ตอนที่ 9:
วิธีการของผู้คน วิถีทางของสนามรบ
☆ ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สาม
ลาซูไลน์ไม่เคยพบกับไพตี้ เฟรเดริก้าตัวเป็นๆ แต่จากการที่ได้รู้ถึงประวัติก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมันบ้า เธอโจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล ทำการโจมตีเพราะมีเป้าหมายว่าจะทำให้รุ่นที่หนึ่งโจมตีเข้ามาในตอนที่กองกำลังของตัวเองทั้งหมดถูกส่งออกไปทำการโจมตี โดยที่ไม่ถึงคิดเรื่องปัญหาที่ตัวเองสร้างให้กับคนอื่น —เพราะเธอมันบ้า
ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้โกรธ เธอเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ต่อให้จะตอบรับการเชิญชวนของเฟรเดริก้าเสมือนกับเป็นการทำงานอดิเรก เธอก็คงจะอะไรบางอย่างที่เหมือนกับการโกง —อะไรบางอย่างที่ทำให้คนที่แพ้การต่อสู้ พลิกกลับมาชนะในเรื่องสงคราม ลาซูไลน์ไม่ได้ถูกบอกว่าอาจารย์ของเธอกำลังทำอะไรอยู่แบบเป็นพิเศษ ดังนั้นตัวของเธอก็จึงไม่รู้ แต่ไม่ว่ามันจะดีหรือแย่ เธอก็เชื่อว่าอาจารย์ของเธอจะไม่ทำงานอะไรบางอย่างผิดพลาด มันคงไม่แปลกนักหากเรื่องที่อาจารย์บอกเธอจะไม่มีเรื่องไหนเลยที่เป็นความจริง ต่อให้ต้องไปหาเฟรเดริก้าเพราะงานอดิเรกเพื่อการที่จะทำให้จับตัวได้ รุ่นที่หนึ่งก็จะไม่ท้าสู้แบบตรงๆอยู่แล้ว
คำสั่งถูกมอบมาให้เธอผ่านทางชุดหูฟัง ผู้สั่งการภาคสนามคือหนึ่งในแคนดิเดท น้ำเสียงของเธอสงบนิ่ง ลาซูไลน์รู้สึกประทับใจที่เธอได้รับแต่งตั้งในทันทีหลังจากที่เกิดการโจมตีขึ้นที่ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล
ลูกบอลพลังงานสีฟ้าถูกโยนเข้าไป และตรงหน้าทางเข้าก็เกิดระเบิดขึ้น เสาหินที่สูงและหนาของแต่ละด้านล้มลง ชายคาที่ถูกค้ำยันเอาไว้พังถล่มลงมา จนอาคารสไตล์โกธิคกลายเป็นภูเขาขยะภายในเสี้ยววิ
ในเวลาเดียวกัน มันก็มีการระเบิดเกิดขึ้นที่ด้านหลังทางเข้าด้วย ทีมที่เข้าไปด้านในผ่านทางท่อระบายน้ำสามารถเข้าไปภายในห้องครัวได้ บวกกับทีมที่ทำลายกำแพงเพื่อโจมตีเข้าไปจากด้านข้างได้เริ่มทำการโจมตีจากแต่ละด้านพร้อมกัน พวกเธอมีทั้งหมดสิบหน่วย คนที่ยอดเยี่ยมที่เลือกมาจากแคนดิเดทลาซูไลน์ คนที่มีศักยภาพ และคนที่เป็นอดีตแคนดิเดทของลาซูไลน์ที่มีความสามารถในการต่อสู้ ลาซูไลน์ไม่รู้ว่ารุ่นที่หนึ่งวางตัวเองเอาไว้ตรงจุดไหน เมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่ของเมจิคัลเกิร์ลสีฟ้าแล้วก็จะไม่ถูกพบตัวง่ายๆ
แม้ว่าจะอยู่ตรงใจกลางของพื้นที่พักอาศัยที่เงียบสงบ ในการที่จะผ่านเวทมนตร์ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ที่ร่ายเอาไว้ทั่วทุกที่ มันก็จำเป็นต้องเดินและขยับนิ้วอย่างระมัดระวังในทุกย่างก้าว ไม่ว่าเสียงที่เกิดขึ้นมันจะมากแค่ไหน สำหรับทุกคนนอกจากผู้มาเยี่ยมเยือนและผู้พักอาศัยแล้ว มันก็ยังคงเงียบราวกับพื้นที่ทั้งหมดถูกแยกตัวออกไป ไม่มีใครที่จะเข้ามาขัดขวางได้
เด็กสาวบางคนที่สวมชุดแฟนซีที่ไม่ได้เข้ากับการเป็นเครื่องแบบของเมดนั้นส่งเสียงร้องออกมาในตอนที่ออกมาหน้าประตูพร้อมกับกุมศีรษะแล้ววิ่งออกไป แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ พวกเธอก็จะปล่อยไปไม่ได้ หนึ่งในเด็กสาวสีฟ้าเตะเข้าไปที่เมด แต่ก็ถูกป้องกันเอาไว้ได้ ชุดเมดนั้นหลุดออกไปด้านข้าง และที่ด้านในคือชุดที่เหมือนกับทหารไพ่
มันคือชัฟฟินซีรี่ย์ เรื่องนี้คงอยู่ภายใต้ข้ออ้างของการว่าจ้างเมด และทำการยืมกำลังต่อสู้มาจากพวกคนที่ไม่ฉลาดนักจากฝ่ายโอส ดูจากที่ข้อมูลในเรื่องนี้ที่มาไม่ถึงลาซูไลน์แล้ว บางทีก็คงจัดจ้างผ่านทางตัวแทนจัดหางานเก๊ หรือบางทีอาจจะผ่านทางหลากหลายบริษัท
อาจารย์ของเธอจะไม่ประมาทเฟรเดริก้า เธอจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจัดการเฟรเดริก้าลงให้ได้ ดังนั้นเฟรเดริก้าเองก็ต้องลงทุนกับเรื่องนี้มากเป็นอย่างน้อย แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่อยู่นอกเหนือสิ่งที่พวกเธอคาดคิดเอาไว้
เมจิคัลเกิร์ลที่มีมงกุฎและอัญมณีแบบพื้นๆออกมาด้านหน้าชัฟฟินเพื่อปกป้องสหายสีฟ้าเอาไว้ พวกเธอมีจำนวนที่มากกว่าแคนดิเดทของลาซูไลน์ แต่ไม่ใช่ว่าคุณภาพนั้นจะต่ำ อาจารย์ของเธอพูดราวกับว่าปรินเซสไลท์นิ่งคือเวอร์ชั่นสุดท้ายของปรินเซสซีรี่ย์ แต่ปรินเซสจำนวนมากก็ถูกสร้างขึ้นมาก่อนหน้า แม้กระทั่งคนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็ยังสามารถแปลงร่างได้
ขวัญกำลังใจของปรินเซสนั้นสูงด้วยสามเหตุผล ทักษะของโอลด์ บลูที่สามารถกุมหัวใจของมนุษย์ ความยินดีของเด็กสาวที่ถูกดึงขึ้นมาจากจุดตกต่ำ และความจริงที่พวกเธอมีหน้าที่เป็นของตัวเอง จากการสนับสนุนของฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่มีความสำคัญต่อการปรับแต่งและจัดหาพลังงาน หากสูญเสียอาจารย์ไป พวกเธอก็จะตายในฐานะเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอสู้แบบหลังชนหลัง ยืนหยันสู้กับชัฟฟินโดยไร้ซึ่งความกลัว ไม่มองแม้กระทั่งความสูญเสียของพวกเดียวกันเองในขณะที่กระโจนเข้าใส่เอซโพดำ แม้จะมีชัฟฟินอยู่เป็นจำนวนมาก มันก็มีปรินเซสอยู่จำนวนมากด้วย แน่นอน —ว่ามันไม่จำเป็นต้องเลือกแคนดิเดทที่มีความสามารถในการเป็นเมจิคัลเกิร์ล
ลาซูไลน์วิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับเมจิคัลเกิร์ลสีฟ้า คนเฝ้าประตู นักรบรับจ้างที่วิ่งเข้ามาหา เด็กสาวจากฝ่ายแคสปาร์ และสมาชิกของผู้คุ้มกันชั้นยอดต่างก็ถาโถมเข้ามาเสมือนกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง เพดานพังลงมา มีลมพายุพัดขึ้นไป จากนั้นก็มีหมอกพิษถูกปล่อยออกมา —แต่ลาซูไลน์ก็ผ่านไปได้ทุกอุปสรรค แยกตัวออกห่างมาจากกลุ่มเพื่อจะเข้าไปด้านใน
หากเธอสังหารเฟรเดริก้าได้ แบบนั้นเรื่องมันก็จบ นักสู้ของศัตรูที่ลาซูไลน์วิ่งผ่านมาตามทางไม่สามารถสัมผัสตัวของเธอได้ —เพราะเธอสัมผัสตัวของอีกฝ่ายเพื่อขโมยแคนดี้ความทรงจำมา เธอมองทะลุผ่านทุกกับดักทางกายภาพและเวทมนตร์โดยไม่ได้เข้าไปแตะต้อง —ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดหวังได้สำหรับลาซูไลน์
เธอไม่เคยลดความเร็วลงในตอนที่วิ่งผ่านทางเดิน —แต่จากนั้นเธอก็หยุดตัวในทันที เธอทิ้งน้ำหนักไปด้านหลัง ใช้ส้นรองเท้ากดลงไปในพรมในตอนที่ใช้มือสัมผัสกับพื้นแล้วก็กระโดดขึ้นไป หลบการโจมตีและถอยไปด้านหลัง
ลาซูไลน์ค่อยๆตั้งท่าย่อต่ำ เอาสองมือมาไว้ตรงหน้าพร้อมกับผ่อนลมหายใจ ที่ด้านหน้าของเธอมันเป็นทางแยกสี่ทางและที่ตรงใจกลางก็มีเมจิคัลเกิร์ลหนึ่งคนยืนอยู่ เธอสามารถหยุดลาซูไลน์ที่มาได้ไกลขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครทำให้ช้าลงเอาไว้ได้
เธอสวมหมวกนิวส์บอยสีแดงที่มีจุดสีขาว แว่นตาที่ดูเหมือนใช้งานได้หลากหลาย ชุดเอี๊ยมและกางเกงขาสั้นมันทำให้เธอดูเหมือนกับเด็กผู้ชายที่เป็นนักสืบที่สวมหมวกผิดประเภท แต่เธอก็คือเมจิคัลเกิร์ล การขาดสิ่งประดับตกแต่งที่สมกับเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างจีบผ้าและอัญมณี มันบ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นคนที่มาจากยุคก่อน ยุคสมัยก่อนที่ภาพจำของเมจิคัลเกิร์ลจะถือกำเนิดผ่านทางอนิเมและสื่ออื่นๆ
คนจากยุคสมัยนั้น —ถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ คนจากยุคสมัยนั้นที่ยังคงเป็นเมจิคัลเกิร์ลอยู่— แน่นอนว่าแข็งแกร่งแบบที่ไม่มีข้อยกเว้น
การคงท่ายืนของตัวเองเอาไว้มันแสดงให้เห็นว่าไม่ได้สนใจกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วทั้งคฤหาสน์ เธอก้มตัวลง กางฝ่ามือออกเล็กน้อย เอามือซ้ายมาไว้ที่ด้านหน้าของหน้าอกและเอามือขวามาไว้ด้านหน้ามือซ้ายอีกทีหนึ่ง ท่าทางของเธอดูเหมือนจะธรรมดาในตอนแรก แต่ถ้าเธอไม่ได้เจาะจงมองไปที่จุดไหนล่ะก็ —มันสามารถคาดคิดได้ว่าจะโจมตีเข้ามาจากทิศทางไหนก็ได้
ทั้งสองคนก้าวออกมาด้านหน้า ทั้งคู่โจมตีไปด้านหน้าและป้องกันเอาไว้
ศอกของลาซูไลน์ที่โจมตีเข้าไปในระยะเผาขนเป็นแค่การหลอกเพื่อที่จะเตะเข้าไปที่เข่าซ้ายแบบไม่ต้องมอง ศัตรูนั้นป้องกันเอาไว้ด้วยหน้าแข้ง —ลาซูไลน์ต่อยเข้าไปด้วยหมัดขวา ซ้าย จากนั้นก็ย่อตัวเพื่อหลบ ใช้สองมือสัมผัสกับพื้น ใช้มันเป็นฐานเพื่อดันตัวเองขึ้นไปเป็นการกระโดด— ลาซูไลน์หมุนตัวครึ่งรอบตรงเพดาน และจากนั้นศัตรูก็ขึ้นมาที่เพดานในเวลาเดียวกัน พวกเธอโจมตีเข้าใส่กันในตอนที่วิ่งไปตามเพดาน —ในตอนที่ศัตรูเตะกลับหลัง ลาซูไลน์ก็หลบด้วยการสะบัดหน้า
ลาซูไลน์วิ่งเป็นแนวทแยงมุมไปตามกำแพง จากนั้นก็กระโดดไปยังกำแพงฝั่งตรงข้าม เมจิคัลเกิร์ลสองคนทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน โจมตี ป้องกัน หยุด ขัดขวาง ลาซูไลน์ยกสองแขนขึ้นมาป้องกันเอาไว้ และเมื่อศัตรูชักมือกลับไปแบบในทันที ลาซูไลน์ก็ย่นระยะเข้าไปใกล้และใช้หมัดซ้ายโจมตี ลาซูไลน์ถอดรองเท้าออกในตอนที่เตะเข้าไปเพื่อทำให้ทุกข้อต่อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น —ต้นขา เข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า— เพื่อโจมตีเข้าไปที่แก้มคู่ต่อสู้และเอาแคนดี้ออกมาให้ได้ แต่หมวกนิวส์บอยกลับไหลลงมาและป้องกันความพยายามของลาซูไลน์เอาไว้
ตัวของสองคนพันกันในตอนที่ร่วงลงมา แต่ศัตรูก็ใช้ชุดและเครื่องประตับของตัวเองป้องกันการสัมผัสผิวหนังเอาไว้ได้ ลาซูไลน์ลงมาที่พื้นโดยไม่ได้ใช้เวทมนตร์ ใช้แผ่นหลังของตัวเองกระแทกเข้าใส่ศัตรูเพื่อทำให้อีกฝ่ายปลิวออกไป
ศัตรูเคลื่อนไหวเหมือนกับรู้ว่าเวทมนตร์ของลาซูไลน์คืออะไร จากการเคลื่อนไหวแล้วนี่มันเหนือกว่าที่คิดเอาไว้ ศัตรูรู้อย่างชัดเจน ซึ่งมันหมายถึงว่าอีกฝ่ายถูกวางตัวเอาไว้ที่นี่เพื่อรับมือกับลาซูไลน์ การส่งลาซูไลน์บุกเดี่ยวเข้าไปเพื่อทำการลอบสังหารนั้นมันคือแผนที่ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นแผน แต่กระนั้นแผนการที่จะป้องกันเอาไว้มันก็ยังคงยาก แม้ว่าเฟรเดริก้าจะอ่านมันได้ก็ตาม
ลาซูไลน์หายใจออกมาแบบสั้นๆและก้าวเท้ายาวออกไปด้านหน้า เธอใช้นิ้วเท้าจับพรมเอาไว้ ดึงมันเข้ามาหาตัว พรมผืนนี้มันทอดยาวออกไปตามทางเดินซึ่งอยู่ด้านล่างฝ่าเท้าของศัตรูเช่นเดียวกัน ลาซูไลน์คิดว่าศัตรูจะเสียการทรงตัว กระโดด รั้งตัวเองเอาไว้ หรือดึงกลับไปแทน —แต่ศัตรูกลับทำอะไรบางอย่างที่มันผิดปกติ ศัตรูดึงพรมทั้งผืนเข้ามาหาตัวโดยไม่ได้เปลี่ยนสมดุลของร่างกายเลย
มันไม่ใช่แค่เธออ่านพลาด แต่ยังมีมือหอกที่แทงเข้ามาหาด้วย ลาซูไลน์ลดตัวลงต่ำเพื่อหลบแล้วก็กลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีที่จะตามเข้ามา ในตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้น เธอก็ชนเข้ากับขาของศัตรู ลาซูไลน์ทุบลงไปที่พื้นเพื่อเล็งไปยังต้นขา แต่ศัตรูก็หลบได้ ด้วยการป้องกันและโจมตีกลับ เมจิคัลเกิร์ลสองคนยังคงปะทะกันและกัน
ลาซูไลน์หรี่ตา นี่มันไม่ใช่แค่ฝุ่น มันมีอะไรบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ
เส้นผมที่ด้านหลังศีรษะของเธอชี้ขึ้น ร่างกายและจิตใจของเธอมันแปลกไป และเธอก็เอาแคนดี้ออกมาจากร่างกายของตัวเองทันที เวทมนตร์ของลาซูไลน์สามารถเอาความรู้สึกและความทรงจำออกมาได้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น —มันสามารถเอาผลของเวทมนตร์ออกมาจากตัวของเธอได้เช่นกัน เพราะแบบนี้เธอถึงทำให้เวทมนตร์ของพัคพั๊ค ร่างเกิดใหม่ของปราชญ์กลายเป็นไร้ผลได้
เธอไม่ใช่เอาความผิดปกติของเวทมนตร์ออกไปเพียงอย่างเดียว —ด้วยการขว้างแคนดี้เข้าใส่ศัตรู เธอก็สามารถทำมันให้เป็นการโจมตีได้เช่นกัน เธอยิงแคนดี้ออกไปทั้งหมดหกลูก แต่ศัตรูก็หลบสี่ลูกแรกได้ ในขณะที่สองลูกที่ตามมาศัตรูก็จับเอาไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวา และนิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือซ้าย
ลาซูไลน์กระโดดกลับไปด้านหลัง และเมื่อส้นรองเท้าไปสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่รู้สึกนิ่ม เธอก็หยุด มันมีเห็ดขนาดเล็กขึ้นอยู่ที่พื้น เห็ดสีแดงขาวที่ดูมีพิษนั้นดูแปลกประหลาดในคฤหาสน์ที่สะอาดสะอ้าน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ลาซูไลน์รู้สึกหวั่นไหว —มันทำให้ความระมัดระวังแหลมคมขึ้น พื้นและเพดานกำลังเคลื่อนไหว มันคือเห็ด เห็ดมันงอกอยู่ทั่วทุกที่ สีแคนดี้ของเธอคือดำชมพู —มันคือการควบคุมระบบประสาท ศัตรูพยายามสร้างความผิดปกติในร่างกายผ่านทางสปอร์ของเห็ด
“แอสโมน่า ผู้มากด้วยเสน่ห์” ลาซูไลน์พูด
ศัตรูพึมพำออกมาว่า “หืมมม” ด้วยท่าทางแปลกใจ “เธอนี่เป็นนักเรียนที่ขยันดีนะ รู้ชื่อของคนแก่ที่ไม่มีชื่อเสียงด้วย”
“ไม่มีชื่อเสียง? ตลกล่ะ”
เครื่องแต่งกายที่ดูสุภาพและมีสติปัญญา ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม ภาพของ “ผู้มากด้วยเสน่ห์” และผลของเวทมนตร์ที่ไร้ซึ่งความเป็นมิตร ทั้งหมดมันล้วนไม่เข้ากัน ดังนั้นลาซูไลน์จึงใช้เวลากว่าที่จะนึกออก เธอควรจะรู้ตั้งแต่จากหมวกนิวส์บอยว่ามันเหมือนกับเห็ดพิษแล้ว
บางทีฉันอาจจะประหม่ากว่าที่ตัวเองรู้ก็ได้
แม้จะเป็นตอนที่พวกเธอพูดกัน แคนดี้ยังคงไหลออกมาจากร่างกายของลาซูไลน์ หากเธอโดนสปอร์ของแอสโมน่าเข้าไป เธอก็จะไม่สามารถต่อสู้ในแบบที่ควรจะเป็นได้
ไม่อยากจะเชื่อ ลาซูไลน์คิดอย่างฉุนเฉียว นี่คือศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าเธอจะชนะหรือแพ้มันก็ขึ้นอยู่กับดวง แถมสไตล์การต่อสู้ก็เข้ากันได้ดีเกินไปอีก หากเธอเป็นฝ่ายเร่งรีบ เธอก็จะเป็นคนที่เจ็บตัวซะเอง
ไม่เลวนี่ ไพตี้ เฟรเดริก้า ลาซูไลน์รู้ว่าตัวเองเริ่มที่จะสนุก แต่ก็เธอสงบสติอารมณ์เอาไว้ —เธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตอบสนองความรู้สึกส่วนตัว เวทมนตร์ของแอสโมน่ามันกระจายออกไปได้ไกลแค่ไหนกัน? ยิ่งอีกฝ่ายขยับ สปอร์มันก็ยิ่งออกมารอบตัวมากขึ้น แถมยังมีเห็ดที่งอกขึ้นมาและพ่นสปอร์อยู่ทั่วด้วย ถึงจะขึ้นอยู่กับระยะของเวทมนตร์มันมันไกลแค่ไหน แม้ว่าตัวของลาซูไลน์จะปลอดภัยก็จริง แต่มันก็เป็นไปได้ว่าพวกของเธอทั้งหมดจะถูกจัดการ เธอไม่สามารถปล่อยให้การต่อสู้นี้ดำเนินไปได้นานกว่านี้อีกแล้ว
ลาซูไลน์เตะเข้าไปที่แคนดี้ที่อยู่ตรงเท้าเข้าไปหาแอสโมน่า หลังจากที่เหวี่ยงขาออกไปแล้ว เธอก็เหวี่ยงมันอีกครั้งลงมาเป็นการกระทืบโดยไม่ปล่อยให้แรงที่เกิดขึ้นนั้นเสียเปล่า พื้นที่ถูกกระแทกยุบลงไปเหมือนกับปากปล่องภูเขาไฟ กำแพงพังทลาย เห็ดทั้งหมดที่งอกขึ้นมา รอยแตกลึกที่วิ่งไปตามเพดานเช่นเดียวกับแคนดี้ที่กำลังเต้นรำอยู่ในอากาศ ทุกอย่างกระแทกเข้ากับพื้นและกำแพงเพื่อยิงออกไปอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับพินบอล
เมจิคัลเกิร์ลสองคนกระโดดในเวลาเดียวกัน เตะเข้าแคนดี้กลางอากาศ ใช้แรงถีบเพื่อเปลี่ยนทิศทางของการกระโดดครั้งหนึ่งและอีกครั้ง เมจิคัลเกิร์ลสองคนพุ่งเข้าหากันกลางอากาศพร้อมกับแคนดี้จำนวนนับไม่ถ้วน
☆ ไซคีเพลน
แม้จะเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจว่าเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นเข้าจริงๆแล้ว มันก็รู้สึกหงุดหงิดและโกรธเคืองที่พวกนั้นลงมือตอนกลางวันแสกๆราวกับว่าใจกล้าหน้าด้านที่จะทำ การเตรียมรับมือกับการต่อสู้ที่รุนแรงและการที่อยากมีการต่อสู้ที่รุนแรงมันมีความแตกต่างอันใหญ่หลวงอยู่ ไซคีไม่เข้าใจพวกที่ชื่นชอบการต่อสู้ และเธอก็ไม่อยากสู้ด้วยเช่นกัน
สำหรับเหตุผลนั้น เธอรู้อยู่แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไร มันคือการหนีและซ่อนตัว
ในตอนที่ไอ้บ้าบางตัวทำให้เกิดระเบิดในห้องเรียน เธอก็ตอบสนองได้รวดเร็วกว่าคนอื่นเพราะว่าตัวเลือกแรกของไซคีมันคือการหนีอยู่เสมอ เธอหันหน้าเพื่อเปลี่ยนทิศทาง แต่แซลลี่ก็ขวางทางเธออยู่ ดังนั้นไซคีจึงใช้แขนโอบรอบเอวของแซลลี่เอาไว้แล้วก็กระโดดจากหน้าต่างห้องเรียนออกมาที่ทางเดิน จากนั้นก็กระโดดตรงออกไปด้านนอก เธอเตรียมตัวเองพร้อมก่อนที่จะลงมายังด้านบนหลังคาของทางเดินด้านนอกพร้อมกับแรงลมที่พัดเข้ามาหาจากด้านหลัง แต่หลังคามันก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้ ตัวของเธอทะลุลงไปผ่านแผ่นเหล็กที่บิดงอของหลังคาพร้อมด้วยเสาหิน ก่อนที่จะกระแทกเข้ากับก้อนหินที่อยู่ด้านล่าง
ไซคีส่งเสียงครางออกมา หากเป็นมนุษย์ในตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว แต่โชคดีที่เธอคือเมจิคัลเกิร์ล เธอขอบคุณดวงของตัวเองที่ทำให้ยังคงมีชีวิต และคิดว่าตัวเองคงต้องใช้ดวงมากกว่านี้ในการที่จะหนีออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าเคลื่อนไหวในตอนนี้ก็อาจจะถูกศัตรูโจมตีเอาได้ ดังนั้นเธอจึงควรทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ
แซลลี่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอไม่ได้มีลมหายใจผิดปกติหรือการเต้นของหัวใจที่แปลกไป หัวใจของแซลลี่ยังคงเต้นเร็วเล็กน้อย แต่มันก็คงจะแปลกหากหัวใจไม่ได้เต้นแรงในสถานการณ์แบบนี้
“นี่ แซลลี่ ชั้นมีเรื่องจะขอ”
แซลลี่ คนที่กำลังจ้องเมจิคัลโฟนของตัวเองเงยหน้าขึ้นมา การที่มีแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาจากด้านล่างในความมืด แม้ว่าจะเป็นใบหน้าที่งดงามมันก็ดูน่ากลัวเล็กน้อย “เราพยายามลองว่าจะติดต่อไปยังภายนอกได้รึเปล่า แต่มันก็ดูเหมือนว่าไม่ได้เลยค่ะ อือออ”
“ก็นะ ถ้าใครซักคนจะทำอะไรแบบนี้ มันก็คงเตรียมการเอาไว้แล้วล่ะ ที่สำคัญเลย ชั้นมีเรื่องจะขอ”
“ในสถานการณ์แบบนี้เหรอคะ?”
“ชั้นขอ เพราะ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายนี่แหละ ให้ตายเถอะ มันเกิดอะไรกับอีกาของเธอ? ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?”
“มันไม่หายไปเพราะระเบิดแบบนั้นหรอกค่ะ ตอนนี้มันบินอยู่ด้านบนพวกเรา”
ไซคีตอบกลับด้วยการเดาะลิ้น แซลลี่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอก็ตัวสั่น
“หือ? มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“การมีอะไรดึงดูดความสนใจอย่างมีอีกาบินวนอยู่ด้านบนมันคือการบอกศัตรูว่าเจ้าของอยู่ตรงนี้ ให้ตายเถอะ ใกล้ๆนี่มีคนที่ดูอันตรายอยู่รึเปล่า?”
“เราไม่เห็นใครเลยค่ะ”
“งั้นนี่ก็คือโอกาสของพวกเราแล้ว”
เธอดันหลังคาขึ้นไปแล้วก็ขยับเศษหินไปด้านข้าง แสงอาทิตย์มันส่องลงมายังพื้นที่เล็กๆที่ที่ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่แสงจากเมจิคัลโฟน ไซคีเตะเสาหินออกไปแล้วก็ย้ายเศษหิน สะดุ้งเล็กน้อยเพราะฝุ่นในตอนที่ออกมาด้านนอก จากนั้นเธอก็โยนแซลลี่ลงไปที่ด้านบนของกองหิน
ไซคีตรวจสอบรอบบริเวณโดยไม่สนการแย้งของแซลลี่ที่ปฎิบัติกับเธอแบบรุนแรง เธอได้ยินเสียงปะทะกันอย่างรุนแรงจากทั่วบริเวณที่เธอคิดว่ามันมาจากการต่อสู้ เสียงของอะไรบางอย่างที่น่ารังเกียจ เสียงระเบิด เสียงอะไรบางอย่างที่ปะทุออกมา —มันเหมือนกับว่าเสียงมันดังขึ้นอยู่รอบตัวพวกเธอเป็นระยะๆ
แต่… ก็ไม่ได้มากเท่าที่คิดไว้
ไซคีคิดว่าการที่จะเข้าโจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลที่เต็มไปด้วยหัวกะทิที่เป็นอนาคตของโลกเมจิคัลเกิร์ลนั้น พวกมันจะต้องบุกเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เหมือนว่าเธอจะคิดผิด หากเรื่องมันเป็นแบบนี้ มันก็ยังคงมีทางหนีอยู่
“ไม่ว่ายังไง พวกเราก็อยู่ที่นี่ไม่ได้”
ไซคีพูดตามออกมาว่า “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” ในจังหวะเดียวกันกับที่แซลลี่พูดว่า “กลับไปที่ห้องเรียนกันเถอะค่ะ อือออ” ออกมา และทั้งสองคนก็มองหน้ากันและกัน แซลลี่มองมาที่เธอด้วยท่าทางประหลาดใจ ไซคีมองไปที่แซลลี่พร้อมกับท่าทางที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน “ยัยบ้านี่คิดอะไรอยู่เนี่ย?”
“ทำไมเธอต้องกลับไปที่ห้องเรียนด้วย?” ไซคีถาม
“ถ้ามีใครซักคนอยู่ที่นั่น พวกเราก็จะมีนักสู้เพิ่มค่ะ”
“ถ้ายังมีคนอยู่ที่ห้องเรียนล่ะก็ ไม่บาดเจ็บก็ตายไปแล้วล่ะ”
“ถ้าพวกเธอตาย… แบบนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าพวกเธอบาดเจ็บ พวกเราก็ต้องช่วย อือออ”
“นี่ใช่เวลาทำแบบนั้นไหมเนี่ย?”
เสียงฝีเท้าเบาๆที่ผสมเข้ากับเสียงของการต่อสู้กำลังเข้ามาหาพวกเธอ ไซคีและแซลลี่มองไปตรงไปที่เสียงฝีเท้าในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็วิ่งออกไป
ไซคีเดาะลิ้น แซลลี่คิดที่จะสู้กลับ มันตรงกันข้ามกับความคิดของไซคีที่คิดว่าการหนีคือเรื่องที่ดีที่สุด ไซคีไม่ควรจะไปกับแซลลี่ ไซคีรู้ว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมันจะฆ่าพวกเธอ แต่ถึงจะรู้แบบนั้น ไซคีก็ตามแซลลี่ไป
การตัดใจสินใจแบบนี้มันไม่ได้มีเศษเสี้ยวของความน่าชื่นชมผสมอยู่ เรื่องนี้มันเหมือนกับว่าไซคีรักษาสัญญาที่พวกเธอสัญญากันเอาไว้ในคาเฟ่ก่อนที่เหตุการณ์โฮมุนครูสจะเกิดขึ้นว่าจะช่วยเหลือกันและกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันมีเสียงฝีเท้าแค่หนึ่งเดียว ดังนั้นแทนที่พวกเธอจะไปจะเรียกคนอื่น การเงียบเอาไว้ในขณะที่มีความได้เปรียบแบบสองต่อหนึ่ง —สามต่อหนึ่งถ้ารวมอีกาเข้าไปด้วยคือเรื่องที่ดีที่สุด ไม่ว่าเธอจะแยกตัวกับแซลลี่หรือพยายามโน้มน้าว มันก็จะเป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง
เมจิคัลเกิร์ลที่บินออกมาจากอีกด้านของทางเดินสวมหน้ากากของคิวตี้แพนด้าพร้อมกับมีหางยาวที่เหมือนกับลิง เสียงของแซลลี่ฟังดูหงุดหงิดในตอนที่พูดว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกนอกกฎหมายใช้หน้ากากของคิวตี้แพนด้าที่เป็นผู้หญิงแกร่งและอ่อนโยนเนี่ยนะ” พร้อมกับเดาะลิ้น ในขณะที่ไซคีสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดที่มากกว่าเดิม “พวกเนิร์ดเอ๊ย”
เมจิคัลเกิร์ลสองแยกออกไปทางซ้ายและขวาเพื่อวิ่งเข้าหาศัตรู พวกเธอร่วมมือกันมามากมายหลายครั้งตอนช่วงเวลาว่าง พวกเธอแค่เพิ่มอีกาเข้าไปและทำการโจมตีจากสามทิศทาง ไซคีชักปืนฉีดน้ำออกมาและชี้ปากกระบอกไปที่ศัตรู แต่ในตอนนั้นเองหน้ากากแพนด้าก็เข้ามาใกล้มากเรียบร้อยแล้ว มันเลยกลายเป็นว่าปากกระบอกปืนที่ชักออกมาไปอยู่ที่ตรงไหล่ของอีกฝ่าย
เร็ว…!
ด้วยการที่ศัตรูเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ปืนฉีดน้ำของเธอก็เลยไม่มีประโยชน์ เธอก้าวกลับหลังเพื่อพยายามที่จะเพิ่มระยะห่าง แต่ศัตรูก็เข้ามาใกล้และไม่ถอยออกไป เอาตัวเข้ามาใกล้และจับไหล่ของไซคีเอาไว้ด้วยสองมือ แซลลี่ส่งเสียงร้องออกมา อีกาของเธอกำลังโฉบลงมา หน้าอกของศัตรูสั่นไหวอย่างผิดธรรมชาติ และศัตรูก็ตะโกนออกมาราวกับว่าปลดปล่อยลมทั้งหมดที่อยู่ภายใน
เธอไม่ได้ยินอะไรเลย สติของเธอค่อยๆหายไป ที่มุมสายตาเธอเห็นอีกากำลังบินอยู่ เข่าของไซคีทรุดลงไปพร้อมกับของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาจากหูและตา เธอล้มตัวลงไปโดยที่ไม่สามารถประคองตัวเองได้เลย
☆ คานะ
ความกังวลมันเกิดขึ้นไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้ามืดลง และที่ภายนอกโรงเรียนก็กลายเป็นพร่ามัว บางทีอาจจะมีการกางบาเรียขึ้น หากพวกเธอพยายามสัมผัสหรือทำอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันว่าไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ แบบนั้นก็เป็นเรื่องที่มากกว่าความน่ากังวล มันจะกลายเป็นความตื่นตระหนก คานะพยายามส่งข้อความกลับไปยังโยชิโอกะ แต่เธอก็ไม่สามารถทำการติดต่อได้ การสื่อสารทุกช่องทางที่จะส่งออกไปยังภายนอกถูกตัดขาด —คลื่นวิทยุ ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็ก แล้วก็คลื่นเสียง— คือประเภทของบาเรียที่ใช้กันเป็นประจำ ดังนั้นมันจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำเธอถึงไม่สามารถทำการติดต่อได้ ปัญหาก็คือถ้านักเรียนหรืออาจารย์ของทางอุเมะมิซากิรู้เข้า มันก็จะกลายเป็นความโกลาหล
เธอยังได้ยินเสียงที่ดังมาจากทางอาคารเรียนเก่า มันคือเสียงของเหล็กที่ปะทะเข้ากับเหล็ก มันคือการต่อสู้ นี่คือเรื่องที่โยชิโอกะส่งข้อความมาบอกว่าจะเข้าโจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล —เพื่อพาคนพวกนั้นเข้ามางั้นเหรอ?
โยชิโอกะคือคนที่ปล่อยคานะออกมาจากคุกและส่งเธอเข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล เธอเกี่ยวข้องกับฝ่ายแคสปาร์ และเธอก็ทำงานอย่างหนักเพื่อขยายขอบเขตอิทธิพลของฝ่าย หากคานะนั้นเกียจคร้าน เธอก็จะถูกส่งกลับไปที่คุกในทันที
แต่ถ้าคานะทำเรื่องผิดกฏหมายอย่างโจ่งแจ้ง แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่ามันหมายถึงการส่งกลับไปที่คุกเหมือนกันงั้นเหรอ? เธอมีเรื่องที่ติดค้างกับโยชิโอกะมาก เช่นเดียวกับที่ติดหนี้และมีภาระหน้าที่ต่อห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล
เธอชั่งน้ำหนักอยู่ภายในใจ เมื่อเธอจินตนาการถึงเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ถูกทำร้ายที่มีเมฟิสอยู่อันดับบนสุด ตราชั่งมันก็เอียงไปที่ข้างเดียว และมันก็ดูไม่เหมือนว่าเธอสามารถย้อนกลับได้ เธอไม่รู้ว่าสาเหตุที่พวกนั้นโจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคืออะไร แต่โยชิโอกะคงต้องเสียใจกับความโชคร้ายของตัวเองที่ปลดปล่อยคนเนรคุณอย่างคานะออกมา
จุดยืนของคานะกลายเป็นเรื่องที่ชัดเจน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่ตัดสินใจจะช่วยเพื่อนของตัวเองแล้ว เธอก็ไม่สามารถขยับจากจุดนี้ได้ นักเรียนของอุเมะมิซากิ มุราโอกะกับโคโนะ คนที่เธอได้พบในตอนที่พวกเธอกำลังสร้างชิ้นงานศิลปะกำลังมีท่าทีกังวลในตอนที่พูดออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” คุโรดะมองออกไปนอกหน้าต่างและพูดออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร “แกล้งอะไรกันรึเปล่า?” ในขณะที่ซานาดะพูดออกมาพร้อมกับแสดงความกังวลเรื่องคานะ “คานะ เป็นอะไรรึเปล่า?”
หากกองกำลังของโยชิโอกะมาที่นี่ แบบนั้นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่มีทางสู้ด้วย ในอาคารเรียนเก่ามีเมจิคัลเกิร์ลอยู่มากมาย แต่ที่นี่ ในฝั่งของโรงเรียนใหม่นี้ มีคานะที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลเพียงคนเดียว ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หากสถานการณ์มันเกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอก็จำเป็นต้องมีคานะ
มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างมากที่เธอไม่สามารถออกไปได้ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องของตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องเพื่อนร่วมห้องของเธอทุกคน มันก็ดูเหมือนว่าต่อให้จะลำบากซักเล็กน้อย บางทีพวกเธอก็คงจะไม่แพ้ เหมือนกับที่เธอพยายามนึกถึงภาพใบหน้าของโยชิโอกะ มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอต้องทำอะไรที่มากกว่าการพยายามเพียงแค่เล็กน้อย ท่าทางของคานะยังคงเหมือนเดิมพร้อมกับกำลังกัดฟัน และในตอนนี้ซานาดะก็กังวลเรื่องของเธอมากด้วย
แม้ว่าเธอจะอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ไม่ควรอยู่ในห้องเรียนนี้ หากกองกำลังของโยชิโอกะบุกมาที่นี่ แบบนั้นคานะก็จะหาจุดที่เธอสามารถขัดขวางอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่จะหยุดใครก็ตามที่โง่พอจะเข้าไปในอาคารเรียนเก่า มันเป็นเรื่องดีที่มีจะใครซักคนในห้องเรียนที่ทำหน้าที่สนับสนุนเมื่อความวุ่นวายดำเนินไปจนถึงขีดสุด แต่คานะก็สงสัยว่าเธอจะสามารถเติมเต็มบทบาทนั้นได้รึเปล่า
ก่อนอื่น เธอต้องออกไปจากโรงเรียน —แต่ความคิดของเธอมันไม่ได้ผ่านจุดนั้นไป จู่ๆจิตใจของเธอก็กลายเป็นชัดเจน และข้อมูลก็หลั่งไหลเข้ามาพร้อมกันในคราวเดียว คานะกดศีรษะเอาไว้ด้วยมือขวาในขณะที่มือซ้ายจับราวเหล็กเอาไว้เพื่อพยุงตัวในตอนที่ตัวเองกำลังโซเซ
นี่… มันอะไร? ความทรงจำ… พวกนี้? ความทรงจำของใคร…? ของเรางั้นเหรอ?
“คานะ! เป็นอะไรไป คานะ?”
เสียงนั้นเหมือนกับว่าดังอยู่ไกลออกไป มันใช้เวลากว่าที่จะรู้คนที่กำลังพูดกับเธออยู่ก็คือตัวของเธอเอง น้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากโดยที่ไม่ได้เช็ดออกไป และลึกลงไปในลำคอ เธอก็สามารถได้ยินเสียงครางที่ฟังดูไม่เหมือนเสียงของตัวเอง เธอบดราวเหล็กที่อยู่ในมือ เธอได้ยินเสียงที่น่ากลัว และมือที่ช่วยประคองไหล่ก็ยื่นเข้ามาหา
นั่นน่ะคือความทรงจำของเราเอง คุกเมจิคัลเกิร์ล… และก่อนหน้านั้น เราถูกตัดออกไป ดาบ… แล้วก็การล้างสมอง
มีเสียงระเบิดดังสนั่น และพื้นที่อยู่ใต้เท้าของเธอก็สั่นไหว มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น มันรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกโลกหนึ่ง ความทรงจำก่อนหน้านี้ของเธอผสมและหลอมรวมเข้ากับความทรงจำเรื่องห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลของเธอ เธอจำได้ว่าตัวเองเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่
เธอมองไปที่หน้าต่าง ภาพของเมจิคัลเกิร์ลที่สะท้อนอยู่ในกระจกกำลังมองมาที่เธอ นี่ไม่ใช่คานะ ผนึกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จุดปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเธอ มันเน้นย้ำว่าเธอจนใครมากจนรู้สึกน่ารังเกียจ
เฟรเดริก้าขโมยความทรงจำของเราไป และในตอนนี้ความทรงจำพวกนั้นมันก็กลับมาแล้ว ซึ่งมันหมายถึงเวทมนตร์คลายลง ทำไมถึงเป็นตอนนี้กันล่ะ? เฟรเดริก้าพยายามจะทำอะไรกันแน่? โจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล… สถานโบราณ… จริงสิ ในสถานโบราณใต้ดินมันมีวัตถุโบราณสถิตอยู่ที่นั่น
เธอพ่นลมหายใจออกมาจากส่วนลึกของปอดและดึงตัวเองขึ้นมาจากจุดที่ล้มลงไป โยนสิ่งที่เคยเป็นราวเหล็กที่เธอบดมันในมือลงไปที่พื้น มันทำให้เกิดเสียงแหลมสูง เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของเธอในตอนที่เรื่องราวต่างๆภายในหัวยังไม่ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“คานะ…?”
เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าคานะกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง หลีกเลี่ยงไออุ่นของมือที่พยายามยื่นเข้ามาหาเธออีกครั้ง
☆ สโนไวท์
ก่อนที่แอปเปิ้ลจะถูกขว้างเข้ามา สมองของสโนไวท์ก็ทำงานด้วยความเร็วสูง มิส ริลกับแรปปี้สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยเวทมนตร์ของตัวเอง เช่นเดียวกับอาร์ลี่ และโดรี่ คนที่อยู่ใกล้ๆอาร์ลี่ที่จะใช้ตัวของอาร์ลี่เป็นโล่ —เธอเห็นจากหางตาว่าไซคีวิ่งออกไปก่อนและจากนั้นก็เอาตัวของแซลลี่ไปด้วย เธอภาวนาว่าคัลโคโระกับเท็ตตี้จะยังคงปลอดภัยดี
สโนไวท์กระแทกเข้าไปที่กำแพงห้องเรียนด้วยไหล่และกระโดดเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ข้างๆซึ่งไม่ได้ถูกใช้งาน ตัวของเธอลอยออกไปและกระแทกเข้ากับกระดานดำด้วยแรงลมจากการระเบิดที่พัดเข้ามา ในตอนนี้เธอเตะเข้าไปที่หน้าต่างและกระโดดออกไปข้างนอกพร้อมกับผงชอล์กที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ เธอวิ่งวนรอบไปตามชายคาเพื่อที่จะเข้ามายังห้องเรียนที่เธออยู่ก่อนหน้านี้
เธอได้ยินเสียงจากในหัวใจก่อนที่แอปเปิ้ลจะถูกโยนเข้ามา แต่เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น เธอไม่มีเวลาที่จะเตือนทุกคนเช่นกัน ศัตรูทุกคนรวดเร็ว แม้กระทั่งเวทมนตร์และการตอบสนองของสโนไวท์ เธอก็ตามแทบจะไม่ทัน
เธอวนไปรอบๆ และกระโดดเข้ามาด้านในจากทางหน้าต่างที่พังอยู่ และโจมตีเข้าไปอย่างเต็มแรงพร้อมกับความโกรธที่มีอยู่
สโนไวท์คาดว่าหลังจากที่โจมตีออกไป ศัตรูก็จะโจมตีเข้ามาอีกครั้ง แต่มันก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็อ่านการเคลื่อนไหวของสโนไวท์ด้วย และการโจมตีของเธอก็ถูกป้องกันเอาไว้ง่ายๆด้วยดาบมือเดียว
ภายในของห้องเรียนถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งด้วยการระเบิด ที่พื้นเองก็พังถล่มลงไป
ส่วนฝ่ายของพวกเธอนั้น แรปปี้ กำลังใช้แรปเวทมนตร์ของตัวเองปัดการโจมตีของศัตรูออกไปด้านข้าง อาร์ลี่ คนที่กำลังถูกศัตรูสามคนรุมเตะและในตอนนี้ก็กำลังโดนต่อยด้วย แล้วก็มิส ริล คนที่เปลี่ยนเป็นสีดำซึ่งบางทีอาจจะถือชิ้นส่วนเกราะของอาร์ลี่เอาไว้ เช่นเดียวกับส่วนที่พังอยู่ของเธอที่พยายามในการกลับคืนสู่รูปร่างเดิม
ศัตรูที่กำลังโจมตีอาร์ลี่มีสามคน สองคนกำลังโจมตีแรปปี้ สองคนกำลังโจมตีมิส ริล และอีกหนึ่งคนที่กำลังสู้อยู่กับสโนไวท์ มีวัตถุปริศนาหลายชิ้นที่ลอยอยู่บนอากาศ มันเป็นโลหะทรงกลมที่มีรูปร่างเหมือนกับลูกตาและมีขนาดเล็กกว่ากำปั้น
เหมือนว่าคัลโคโระกับเท็ตตี้จะร่วงลงไปด้านล่าง เธอสามารถได้ยินเสียงจากในหัวใจจากตรงนี้ ดังนั้นทั้งสองคนยังไม่ได้หมดสติไป ลูกตาเล็กๆจำนวนครึ่งหนึ่งเคลื่อนที่ไปที่หลุมเพื่อไปยังพื้นที่ด้านล่าง พวกมันพยายามที่จะตามสองคนที่ร่วงลงไป
สโนไวท์ยืนยันสิ่งที่ตัวเองควรทำและสิ่งที่คนอื่นควรทำ
เธอโจมตีเข้าไปหาศัตรูที่ถือดาบเอาไว้มือเดียว กดใบดาบเข้าหากัน สโนไวท์ใช้สองมือและใช้น้ำหนักตัวกดลงไป แต่ศัตรูก็ป้องกันเอาไว้ได้อย่างง่ายๆด้วยมือขวา หน้ากากของอีกฝ่ายส่ายไปมา สโนไวท์สามารถได้ยินเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจ เสียงหัวเราะนั้นเหมือนกับการที่จะพูดว่า “นี่น่ะเหรอนักล่าเมจิคัลเกิร์ลที่ได้ยินมาเยอะน่ะ?”
สโนไวท์ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ แต่ถึงเธอจะขาดซึ่งพลัง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่สามารถชนะได้
เมื่อศัตรูโจมตีเข้ามาด้านข้างด้วยดาบในมือซ้าย สโนไวท์ก็ตอบสนองด้วยการใช้ด้ามอาวุธป้องกันเอาไว้ในตอนที่เธอก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อที่จะให้ระยะอยู่ใกล้กันมากขึ้น การที่เธอด้อยกว่าในด้านพลัง ศิลปะการต่อสู้ และประสบการณ์ มันทำให้สโนไวท์ไม่สามารถทนอยู่ในท่านี้ได้นานไปกว่าหนึ่งวินาที ศัตรูรู้เรื่องนี้ดี เพราะแบบนั้นมันจึงบังคับให้เธอทำ
แต่เธอไม่จำเป็นต้องทนถึงหนึ่งวินาที —เพียงแค่ครึ่งวินาทีมันก็มากพอแล้ว
ชายกระโปรงของเธอลอยขึ้น ผ้าพันคอเองก็พริ้วไหวไปในอากาศ สายลมพัดออกมาจากด้านในชุดของสโนไวท์ ลอดเข้าไปใต้หน้ากาก และผ่านเข้าไปในปากของศัตรูที่อ้าออกเพราะการช็อค
หน้าอกและท้องของศัตรูบวมขึ้นมา —จากนั้นเมื่อกลับไปเป็นปกติ ศัตรูก็ทิ้งดาบสองเล่มของตัวเองลงและไอออกมาอย่างรุนแรง
“เมย์ระเบิดตัวของเธอได้ตลอดเวลานะ พูคินเป็นคนล่าสุดที่เมย์ระเบิดก็ตาย ดังนั้นถ้าไม่ชอบ ก็ทำตามที่เมย์พูดด้วย”
เมจิคัลเกิร์ลที่สวมหน้ากากแทงมือของตัวเองลงไปในลำคอ แต่ก่อนที่จะจับเท็ปเซเคเมย์ได้ หน้าอกและท้องของก็บวมขึ้นมาอีกครั้ง การบวมนั้นมันใหญ่กว่าครั้งก่อนหน้า จากนั้นก็ยุบลง และศัตรูก็จับหน้าอกและท้องเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด
“เมย์ใจเย็นนะ แต่บางทีก็ไม่”
ในการที่จะป้องกันไม่ให้ไพตี้ เฟรเดริก้าแอบมองดูด้วยการใช้เวทมนตร์ สโนไวท์จำเป็นต้องยืมพลังของเท็ปเซเคเมย์ ตอนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในการที่จะให้ได้ความเชื่อใจมานั้น เฟรเดริก้าได้ทำสัญญาว่าเธอจะไม่สามารถโจมตีเมจิคัลเกิร์ลคนใดก็ตามในปัจจุบันของช่วงเวลานั้นหรือใช้เวทมนตร์กับพวกเธอได้ แน่นอนว่าหลายคนก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังมีสามคนที่ในตอนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็คือมานา 7753 และเท็ปเซเคเมย์ และถ้าเป็นเท็ปเซเคเมย์ สโนไวท์ก็จะสามารถซ่อนตัวของเธอเอาไว้ใต้เสื้อผ้าเพื่อทำให้สามารถป้องกันตัวเองจากเวทมนตร์ของเฟรเดริก้าได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเธอ แถมงานนี้เองก็อันตรายมาก ดังนั้นสโนไวท์จึงต้องก้มหัวขอร้องพวกเธอและเตรียมใจที่จะโดนปฎิเสธเอาไว้แล้ว แต่เท็ปเซเคเมย์ก็ตกลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่า 7753 จะรู้สึกกังวล เธอก็ไม่ได้พยายามห้ามเท็ปเซเคเมย์ เห็นได้ชัดว่า พวกเธอเองก็อยากทำอะไรบางอย่างกับเฟรเดริก้าเช่นกัน
แรปปี้ปล่อยแรปเวทมนตร์ออกไป โดยปกติแล้วแรปที่ถูกปล่อยออกไปนั้นจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น แต่มันก็ถูกลมพัดเข้าไปติดกับอาวุธและแขนของศัตรู ส่วนแรปที่ลอยเข้าไปยังใบหน้าของศัตรูก็ถูกป้องกันเอาไว้ด้วยไม้เท้า แต่ในขณะที่ความสนใจของศัตรูเพ่งไปที่เรื่องนั้น แรปปี้ก็ไถลตัวเข้าไประหว่างขาของศัตรูและพันตัวเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นเอง ตัวของศัตรูจึงล้มลงไปที่พื้นอย่างงุ่มง่าม
เธอซ่อนการมีตัวตนของเท็ปเซเคเมย์เอาไว้จากเพื่อนร่วมห้องยกเว้นแรปปี้ ในตอนที่กลับไปยังฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล เธอก็ได้บอกแรปปี้เรื่องสถานการณ์ และหลังจากนั้น พวกเธอก็ได้ทำการฝึกซ้อมการร่วมโจมตีกันหลายครั้ง และในตอนนี้ มันก็คือการใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ฝึกซ้อมกันมา
หนึ่งในศัตรูที่เผชิญหน้าอยู่กับอาร์ลี่หันมาทางแรปปี้ แต่หลังจากนั้น อาร์ลี่ก็เปิดเกราะของเธอออก และโดรี่ คนที่ถูกปกป้องอยู่ด้านใน ก็กระโจนออกมาพร้อมกับใช้สว่านแทงเข้าไปที่ศัตรูในทันที ศัตรูที่ถูกสว่านแทงเข้าไปตรงแผ่นหลังก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาณ
☆ รันยุย
หลังจากที่มุ่งหน้าออกไปยังที่ที่ไลท์นิ่งกำลังต่อสู้อยู่ มันก็มีการประกาศดังขึ้นมา มันไม่เคยมีการประกาศขึ้นภายในอาคารแห่งนี้มาก่อน แต่มันก็มีการติดตั้งระฆังเพื่อให้ส่งเสียงเอาไว้ ดังนั้นการกระจายเสียงเองก็คงเป็นไปได้เช่นกัน เมื่อการประกาศนั้นบอกว่าให้ไปรวมตัวกันในสวนและทำตามคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ รันยุยก็คิดว่า นี่มันใช่เวลาที่จะทำแบบนั้นเหรอ? และเธอก็วิ่งต่อไป แต่ดิโกะกลับหยุดเคลื่อนไหว รันยุยไม่สามารถวิ่งต่อไปคนเดียวได้ ดังนั้นรันยุยเองก็ต้องหยุดอย่างไม่เต็มใจเช่นเดียวกันและส่งเสียงเรียกดิโกะ
“นี่ ทำอะไรอยู่น่ะ? ไปกันได้แล้ว”
ดิโกะไม่ได้ตอบสนอง เธอเป็นคนเงียบๆก็จริง แต่ดิโกะไม่เคยเมินรันยุยมาก่อน เมื่อคิดว่าบางทีดิโกะอาจจะไม่ได้ยินเธอ รันยุยจึงวนออกไปด้านหน้า แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้า เธอก็รู้สึกตกใจ ดิโกะไม่ได้มองมาที่รันยุย มันดูเหมือนว่าจิตใจของเธอกำลังเหม่อลอย มองออกไปที่อีกทางหนึ่ง พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองและก็วิ่งออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ที่พวกเธอจะมุ่งหน้าไป
“นี่ ดิโกะ!”
รันยุยยื่นมือออกไป แต่มือของเธอก็คว้าได้แต่อากาศ ดิโกะใช้เวทมนตร์ของตัวเองในการหายตัวเพื่อที่จะสลัดการพยายามของรันยุยที่จะห้ามเธอเอาไว้ และก่อนที่รันยุยจะทันได้รู้สึกตกใจ เธอก็เตะเข้าไปที่กำแพงของอาคารเรียนแล้วก็กระโดดเข้าไปด้านใน
แคนดิเดทของลาซูไลน์จะต้องเรียนรู้เรื่องเวทมนตร์และผลของมันทุกประเภท เพื่อที่จะสามารถหาทางรับมือกับมันได้ ในตอนนี้ดิโกะตกอยู่ภายใต้ผลของเวทมนตร์ ใครบางคนกำลังควบคุมจิตใจของเธอและพาเธอไปที่ไหนซักแห่ง หากรันยุยต้องคิดเรื่องต้นเหตุ การประกาศของโรงเรียนคือเรื่องที่น่าสงสัยที่สุด แต่เธอเองก็ฟังการประกาศด้วยเช่นกัน และมันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ในตอนนี้เธอยังคงสามารถตัดสินใจอะไรได้เองอยู่
เธอถามตัวเองว่าควรจะทำยังไง เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้น มันก็ไม่ใช่ว่าเธอจะยืนอยู่ที่นี่เช่นกัน เธอต้องเลือกว่าจะไล่ตามดิโกะไปหรือว่าจะไปช่วยไลท์นิ่ง
เหมือนว่าดิโกะจะมุ่งหน้าไปที่สวน แต่รันยุยเองก็ไม่สามารถพูดอย่างมั่นใจได้ แล้วแบบนั้นเธอควรจะไปหาไลท์นิ่งรึเปล่า? เดิมทีรันยุยรู้ว่าไลท์นิ่งนั้นอยู่ที่ไหน เธอสามารถมองเห็นแสงและได้ยินเสียงของสายฟ้าที่ดังออกมาตามทางลงไปชั้นหนึ่ง
รันยุยเริ่มวิ่งออกไปหาไลท์นิ่ง แต่ในทันใดนั้นเธอก็หยุดอีกครั้งทันที
“เจอแล้ว เจอตัวแล้ว หนึ่งคนอยู่ตรงนี้”
“จัดการมัน จัดการมันเลย!”
เมจิคัลเกิร์ลสามคนที่สวมหน้ากากกำลังพูดและชี้มาที่ทิศทางที่เธออยู่ ในตอนนี้มันไม่มีเวลาที่จะมาลังเลแล้ว รันยุยตัดสินใจหันหลังกลับและวิ่งออกไป แต่ในก้าวที่สอง เธอกลับล้มลงจนหัวกระแทกพื้นอย่างซุ่มซ่าม จากนั้นก็มีลูกธนูพุ่งเข้ามาเสียบทะลุขาซ้าย หนึ่งในคนที่สวมหน้ากากที่ถือหน้าไม้อยู่ก็ส่งเสียงออกมาอย่างดีใจ “จับได้แล้ว จับตัวได้แล้ว!” ในการที่จะรอดชีวิตไปจากที่นี่ให้ได้ รันยุยจึงต้องใช้เวทมนตร์ของตัวเองด้วยความสิ้นหวัง หนึ่งประตูเชื่อมต่อกับอีกหนึ่งประตู
☆ ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์
ลิเลี่ยนหายไป อาเดลไฮลด์คิดว่าเธอคงจะซ่อนตัวด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเพื่อรอโอกาสในการโจมตี… แต่หลังจากที่สร้างโอกาสนั้นขึ้นมา ลิเลี่ยนก็ไม่ได้ออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะหายไปจริงๆ
การประกาศภายในอาคารไม่ได้มีความหมายอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องทำตาม —อาเดลไฮลด์ไม่เข้าใจเลย แผนของพวกเธอคือการใช้ความได้เปรียบแบบสองต่อหนึ่งเพื่อจัดการศัตรูอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็ถูกบังคับให้ต้องสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง จากการที่อยากจัดการเรื่องนี้แบบรวดเร็ว อาเดลไฮลด์ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ารู้สึกพอใจเลย
ประกายสายฟ้าแล่นผ่านตามทางเดินทำให้เพดานสีดำพังลงมา อาเดลไฮลด์เตะเศษของเพดานที่พังลงมาเข้าใส่ไลท์นิ่ง ปลดปล่อยพลังงานที่สะสมเอาไว้มาตลอดลงไปที่ขา
“บลิทซ์ครีค”
เมื่อชิ้นส่วนที่ถูกเตะออกไปกระจายออก เธอก็วิ่งไปข้างหน้าเพื่อฟันลงมาตรงหน้าไลท์นิ่งที่กำลังปัดเศษเพดานออกไป —เมื่อไลท์นิ่งป้องกันเอาไว้ด้วยมีดสั้น อาเดลไฮลด์ก็ดันเข้าไปใกล้กับบาดแผลตรงไหล่ของไลท์นิ่ง
เมื่อแรงต้านลดลง อาเดลไฮลด์ก็ดันเข้าไปมากกว่าเดิม ไลท์นิ่งคงรู้สึกไม่ชอบอะไรแบบนี้ในตอนที่ตัวเองล้มตัวไปด้านหลัง ในตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้น ไลท์นิ่งก็ขว้างมีดสั้นออกมาจำนวนมาก อาเดลไฮลด์ทุบมันลงไปจำนวนหนึ่งด้วยดาบทหาร ส่วนมีดสั้นที่พลาดไปนั้นมันก็ปักเข้าไปที่เพดานอย่างไม่มีความหมาย
ไลท์นิ่งร้องออกมา “ธันเดอร์เบรค!”
มีดสั้นทั้งสี่ที่ปักอยู่ตรงเพดานส่งเสียงออกมา อาเดลไฮลด์ถอยกลับไปด้านหลังทันที แต่ไลท์นิ่งก็ใช้ขาของตัวเองขวางเอาไว้จนทำให้ตัวอาเดลไฮลด์เกิดเซ จากนั้นอาเดลไฮลด์ก็โดนสายฟ้าฟาดลงมาไปสองครั้ง
เธอดูดซับพลังงานเอาไว้ด้วยเวทมนตร์ของตัวเอง ทำให้หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บร้ายแรงได้ ไลท์นิ่งโจมตีตามเข้ามาด้วยการแทงแล้วก็ปัด ซึ่งอาเดลไฮลด์กลิ้งตัวเพื่อหลบและแทงดาบเข้าหาจากตรงเข่า ไลท์นิ่งถือดาบสายฟ้าเอาไว้ในมือขวา ในขณะที่มือซ้ายเธอก็ถืออัญมณีขนาดใหญ่ทั้งหมดสี่อันเอาไว้ระหว่างนิ้วแต่ละนิ้ว
“ลักซ์ซูรี่โหมด : เบิร์ส”
มันมีแสงห่อหุ้มตัวของร่างกายทั้งร่างของไลท์นิ่งเอาไว้อย่างน่าเหลือเชื่อ บาดแผลตรงไหล่ก็ถูกรักษาต่อหน้าต่อหน้าเธอ อาเดลไฮลด์ที่ถือดาบเอาไว้เหนือศีรษะกัดริมฝีปากของตัวเอง นี่คือร่างที่เธอไม่ได้แสดงให้เห็นในตอนที่ต่อสู้กันที่โรงเรียนตอนกลางคืน ในตอนที่กำจัดโฮมุนครูสเองก็ด้วย มันคือท่าลับที่ซ่อนเอาไว้งั้นเหรอ?
มือขวาของไลท์นิ่งขยับ อาเดลไฮลด์ยกการ์ดขึ้นมา นี่เธอควรจะลงมือก่อนรึเปล่านะ? แต่แบบนั้นมันคงยาก เธอจะรับการโจมตีเอาไว้และพยายามสวนกลับ ปัญหาก็คือเธอจะไม่เป็นอะไรหลังจากที่รับการโจมตีหนึ่งครั้งไปแล้วรึเปล่า มันมีโอกาสสูงว่าไลท์นิ่งจะทำได้มากกว่าอาเดลไฮลด์สามารถรับเอาไว้
ไลท์นิ่งยกมือขวาขึ้นมาตรงหน้า กางฝ่ามือเข้าหาอาเดลไฮลด์ เธอก้าวกลับไปด้านหลัง “เธอช่วยรอก่อนได้ไหม?”
“…เอ่อ ทำไม? รออะไร?”
มันเหมือนกับว่าในตอนนี้ไลท์นิ่งกำลังได้เปรียบอยู่ เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะเสียความกล้าของตัวเองไปด้วย ดังนั้นพวกเธอจะรออะไรกันล่ะ?
“ฉันอยากสู้กับเธอแบบหนึ่งต่อหนึ่ง”
“หือ?”
“ร่วมมือกันต่อสู้โฮมุนครูสกับคนที่เพิ่งแพ้มาก่อนหน้านี้… ก็นะ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแพ้หรอก แต่สำหรับคนที่แพ้ การได้ต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งในวันนี้แล้วก็ชนะ —เธอไม่คิดว่ามันเหมือนกับมังงะที่เมฟิสเอามาเหรอ? มังงะที่มีฉันเป็นตัวเอกน่ะ”
ไลท์นิ่งก้าวกลับไปด้านหลังอีกครั้ง
อาเดลไฮลด์ไม่เข้าใจว่าจะยกเรื่องแบบนั้นขึ้นมาพูดตอนนี้ทำไม แต่เธอก็ไม่เคยเข้าใจคนๆนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เปลี่ยนไป อาเดลไฮลด์กลืนการอยากถอนหายใจของตัวเองลงไปได้ แล้วก็เชิดคางขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ไลท์นิ่งพูดต่อ
“แล้วยังไง?”
“ฉันไม่อยากให้มีใครเข้ามาขวาง”
สายตาของไลท์นิ่งมองไปที่ด้านหลังของอาเดลไฮลด์ ความสนใจของอาเดลไฮลด์จึงเปลี่ยนไปยังตรงนั้นด้วยเช่นกัน มันมีเสียงฝีเท้าอยู่ มันไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องของเธอ ซึ่งหมายความว่ามันมีเพียงคำตอบเดียว
“เฮ้ อาเดลไฮลด์นี่นา”
“ว้าว กำลังสู้กับคนเก่งๆอยู่ด้วย”
เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่ดูเหมือนกิ้งก่ากำลังยืนอยู่ด้วยขาหลังซึ่งมีความสูงเกินกว่าสองเมตร ส่วนอีกคนที่อยู่กับเธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่มีขนาดตัวเท่ากับเด็กทารกที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลางพาวเวอร์สูทรูปร่างมนุษย์ที่มีความสูงเกือบสองเมตร พวกเธอสองคนทำให้ทางเดินของโรงเรียนดูแคบ ไม่ว่าทั้งสองคนจะไปที่ไหนก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีเอกลักษณ์มาก แต่เนื่องจากว่าพวกเธอกำลังสวมหน้ากากของอนิเมเมจิคัลเกิร์ลเอาไว้ พวกเธอจึงดูโดดเด่นอย่างแปลกประหลาด โดยเฉพาะคนที่เป็นเด็กทารกนั้นสวมหน้ากากอยู่สองอัน —อันแรกคือร่างจักรกลและอีกอันหนึ่งกับตัวเอง หากไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ หากได้เห็นมันก็น่าหัวเราะ
ทั้งสองคนคือคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอและเป็นรุ่นพี่ของอาเดลไฮลด์ การที่พวกเธอสวมหน้ากากเอาไว้มันก็หมายถึงว่าเป็นพวกเดียวกับคนที่เข้าโจมตี
คนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอล้วนแต่แข็งแกร่งแบบที่ไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้ไลท์นิ่งจะใช้ท่าลับของตัวเองกับนักสู้สองคนที่ตอนนี้ข้ามาผสมโรงด้วย อีกฝ่ายก็ อาจ สามารถเหนือกว่าได้
แต่หลังจากที่วิเคราะห์พลังต่อสู้ในปัจจุบัน อาเดลไฮลด์ก็หันกลับมาหารุ่นพี่ทั้งสองและก้มศีรษะลงไป “ขอโทษนะรุ่นพี่ ชั้นอยากสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งที่นี่น่ะ”
เสียงของเด็กทารกที่พูดออกมาฟังดูรุนแรง “เฮ้ เฮ้ พวกเรากำลังทำงานอยู่นะ ถ้าเธอเป็นมืออาชีพล่ะก็ แบบนั้นก็ทำตัวให้มีเหตุผลหน่อย”
กิ้งก่ากอดอกและพยักหน้า “ก็นะ อายุเท่านี้คงกังวลอะไรหลายๆเรื่อง แต่โทษที พวกเราทำตามความต้องการของเธอไม่ได้”
ไม่ว่าจะคิดถึงเรื่องนี้ยังไง อีกฝ่ายก็พูดได้อย่างถูกต้อง โดยปกติแล้วอาเดลไฮลด์จะเป็นคนที่ยืนหยัดในเรื่องนั้นมาก
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม อาเดลไฮลด์ก็ยังคงก้มศีรษะของตัวเอง “ชั้นขอโทษนะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ขอร้องล่ะ เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องก็จริง แต่ก็มีความนับถือโรงเรียนกวดวิชามาโออย่างจริงจังด้วย”
“หือ จริงเหรอนั่น?”
“และเธอก็ยังมีชื่อท่าโจมตีเป็นของตัวเองเหมือนกัน”
ไลท์นิ่งเชิดอกของตัวเอง พยักหน้าอย่างภูมิใจด้วยเหตุผลบางอย่างในตอนที่พูดว่า “อื้อ อย่างที่พูดแหละ”
“อ่าาา ที่ชั้นคิดว่าตัวเองได้ยินคนสองคนพูดชื่อท่าของตัวเอง มันคืออย่างนี้นี่เองสินะ?”
“ดังนั้นในฐานะของคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอแล้ว ชั้นก็ต้องทำตัวให้เข้ากับความเป็นโรงเรียน… เอ่อ ชั้นรู้สึกว่าตัวเองจะแก้ตัวกับมาโอไม่ได้น่ะ”
เด็กทารกส่งเสียงครางออกมา ส่วนกิ้งก่าก็พูดออกมา “แล้วเธอจะทำอะไรกันล่ะ?”
“ถ้ายกเรื่องของโรงเรียนกวดวิชามาโอกับมาโอขึ้นมาแล้ว มันคือเรื่องที่มีความสำคัญมากยิ่งกว่างาน”
“อะ… งั้นก็รีบเข้าละกัน พวกชั้นจะมุ่งหน้าไปที่สวนก่อน มันมีการประกาศดังออกมา บางทีพวกนักสู้อาจจะไปรวมตัวกันที่นั่นแล้ว”
อาเดลไฮลด์ก้มศีรษะของตัวเองแบบซ้ำๆ ในขณะที่เมจิคัลเกิร์ลรุ่นพี่สองคนมีท่าทีที่ไม่ค่อยชอบใจในตอนที่เดินออกไปที่สวน พวกเธอเดินผ่านไลท์นิ่งที่อยู่ระหว่างทาง และมองเข้าไปหาด้วยสายตาที่ดูรุนแรง
“ทำไมต้องเคารพโรงเรียนกวดวิชามาโอด้วย? ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนี้มันตกยุคไปแล้วรึไง”
“ก็อาเดลไฮลด์ดูเหมือนว่ากำลังสนุกสุดๆอยู่เลยนี่นา”
“หืม ไม่เลวนี่ อาเดลไฮลด์ เธอเผยแพร่คำสอนออกไปงั้นสินะ ดีแล้ว พยายามเข้าล่ะ”
พวกเธอทำตัวเหมือนกับรุ่นพี่ต่อนักเรียนที่มีความเยาว์วัยกว่าไปเรียบร้อย แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับตัวตนของแต่ละคน คนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอก็จะทำตัวเช่นนี้ต่อคนที่มีความเคารพต่อโรงเรียนอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้เมจิคัลเกิร์ลทั้งสองออกไป ไหล่ของอาเดลไฮลด์ก็ลู่ลงมาพร้อมกับเอามือวางลงไปที่เข่า เธอแทบจะพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปไม่ได้ “อะไรล่ะนั่น? เล่นเอาซะความเครียดของชั้นหายหมด”
“โทษที”
“ถ้าเธอจะเป็นตัวละครหลักล่ะก็ ชั้นแน่ใจเลยว่าไม่ใช่มังงะต่อสู้แน่ๆ แต่จะเป็นมังงะคอมเมดี้”
“แบบนั้นฉันก็โอเคนะ” ไลท์นิ่งจับอัญมณีของเธออีกครั้งและชูมันขึ้นเหนือหน้าผาก แสงที่จางลงไปแล้ว ในตอนนี้ก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะเสียเวลาไปแบบนั้น ตอนนี้ฉันก็เลยต้องใช้พลังมากขึ้นอีก”
“นี่เธอบ่นเรื่องเสียเวลาออกมาให้ชั้นฟังได้ไงเนี่ย?”
อาเดลไฮลด์เก็บดาบเอาไว้ในฝักแต่ก็ปล่อยให้ไหลออกมาเล็กน้อย ใช้มือซ้ายจับเอาไว้ที่ฝัก ส่วนมือขวาจับเอาไว้ที่ด้าม เธอก้าวเท้าขวาออกมาด้านหน้าในท่าหันข้าง
ไลท์นิ่งปรบมือออกมาอย่างร่างเริง “ท่านั่น! ฉันรู้จักนะ มันเรียกว่าอิไอจุทสึใช่ไหม?”
“ถ้าเธอใช้ท่าที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา มันก็เป็นมารยาทที่ชั้นก็จะต้องใช้ของตัวเองเหมือนกัน”
แม้จะพูดว่าความตึงเครียดของตัวเองมันหายไปแล้ว อาเดลไฮลด์ก็อยู่ในจุดที่ความเคร่งเครียดของตัวเองพุ่งไปถึงขีดสุด เธอไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องสู้กับไลท์นิ่งแบบหนึ่งต่อหนึ่งเพราะว่าอยากจะเล่นตลก ต่อให้เธอจะสู้กับรุ่นพี่ทั้งสองคน เธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ ในตอนนี้ตัวของไลท์นิ่งเต็มไปด้วยพลังงานที่เอ่อล้นออกมา เพียงแค่เข้าไปหามันก็สามารถทำให้สะดุ้งได้แล้ว
อาเดลไฮลด์ไม่สามารถใช้ท่าลับนี้ได้ มันเป็นเทคนิคที่ยังไม่ได้แสดงให้ไลท์นิ่งเห็นในการต่อสู้แบบเปิดเผย การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งมันคือเรื่องที่ต้องทำ
หลังจากที่คิดมาถึงจุดนี้ รอยยิ้มมันก็โผล่ขึ้นมาบนในหน้า พอมาถึงจุดนี้แล้ว บางทีปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดก็คืออิทธิพลของไลท์นิ่งที่พูดอะไรออกมาเหมือนกับเด็กๆอย่างการบอกว่าอยากสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
“ยิ้มเรื่องอะไรเนี่ย?” ไลท์นิ่งถาม
“ความลับ”
ไลท์นิ่งยืนเผชิญหน้ากับอาเดลไฮลด์ ดาบสายฟ้าของเธอชี้มาที่ระหว่างดวงตาอาเดลไฮลด์ อาเดลไฮลด์ต้องก้าวออกไปสิบก้าวเพื่อไปให้ถึงตัวไลท์นิ่ง เธอนั้นอยู่ห่างออกไปไกลเกินกว่าที่จะโจมตีโดยตรง ไลท์นิ่งคงมีเรื่องอะไรที่อยู่ในใจถึงได้ถอยออกไป
“ให้ตายสิ… ทำกันขนาดนี้เลยเหรอ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ตอนที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่ เธอก็ค่อยๆถอยห่างออกไป เว้นระยะห่างเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ เก่งนี่ ทั้งๆที่ตี้หน้าซื่ออยู่ตลอดเวลา”
“ตำแหน่งของตัวเองในสนามรบมันคือเรื่องพื้นฐานนะ”
“อือ อือ เธอพูดถูก”
ไลท์นิ่งยิ้มออกมา ปลายดาบของเธอค่อยๆลดลงเพื่อชี้มาที่อาเดลไฮลด์
“ธอร์ แฮมเมอร์”
สายฟ้าสีม่วงยิงออกมา พลังงานเข้มข้นกลายเป็นคลื่นที่สาดไปทั่วบริเวณ ทั้งพื้น หน้าต่าง ทางเดิน และเพดานโดยที่ไม่ทันจะได้กระพริบตา และในเวลาเดียวกับที่ไลท์นิ่งยิงออกไป อาเดลไอลด์ก็ดูดซับมันลงไป
เธอดูดซับพลังงานเอาไว้ แต่เธอก็ถึงขีดจำกัดในเวลาเดียวกับที่ทำการสัมผัส อาเดลไฮลด์พยายามปล่อยพลังงานออกมาที่เท้าในเวลาเดียวกัน แต่จำนวนของพลังงานนั้นมันก็มากผิดปกติ มันจึงมีเสียงร้องหลุดออกมา ทั่วทั้งร่างของเธอกำลังถูกเผา ชุดเองก็กำลังไหม้ แม้กระทั่งเส้นผมเองก็ยังรู้สึกร้อน
อาเดลไฮลด์ก้าวเท้าขวาไปด้านหน้า เธอไม่สามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง หากเธอทำในสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ มันก็มากเพียงพอแล้ว ไลท์นิ่งชักเท้าขวากลับไปด้านหลัง เธอกำลังกะระยะอิไอของอาเดลไฮลด์อยู่
อาเดลไฮลด์พูดกับตัวเองภายในใจ
ไม่ต้องเครียด เธอต้องคิดให้ออก มันไม่มีทางที่อิไอมันจะไปถึงจากระยะไกลขนาดนี้อยู่แล้ว
“วิลล์เฮม เกอร์เชอร์ท”*
*ชื่อของปืนที่ใช้ยิงระยะไกลของเยอรมันที่ใช้ในการปิดล้อมปารีสตอนสงครามโลกครั้งที่ 1https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Gun
เธอรวบรวมพลังทั้งหมดเอาไว้ที่ดาบแล้วก็ปลดปล่อยออกมา ฝักดาบบิดงอเพราะไม่สามารถทนแรงที่เกิดขึ้นได้ ในขณะที่ดาบนั้นถูกยิงออกไปเหมือนกับจรวดเพื่อที่จะกระแทกเข้าไปที่ท้องของไลท์นิ่งด้วยปลายด้ามดาบ อาเดลไฮลด์สามารถได้ยินเสียงกระดูกแตกและกล้ามเนื้อถูกบดจากที่ที่ตัวเองยืนอยู่ ไลท์นิ่งกระอักเลือดออกมา ทรุดเข่าลงไปที่พื้น และล้มตัวลงไปด้านข้าง
เทคนิคนี้มันแทบจะเหมือนกับเรื่องที่น่าตลก เธอใช้ฝักดาบเป็นปืนใหญ่และใช้พลังงานที่ได้มาจากการโจมตีของศัตรูเพื่อทำให้ดาบบินออกไป ด้วยธรรมชาติของการโจมตีนี้ อาเดลไฮลด์จะเสียอาวุธของตัวเองไป และถ้ามันถูกหลบหรือป้องกันเอาไว้ได้ สำหรับเธอแล้วมันก็จะจบสิ้น แต่เมื่อศัตรูเห็นท่ายืนของเธอและจินตนาการว่าเธอกำลังจะทำอิไอ แบบนั้นศัตรูก็จะประหลาดใจ และการยิงเทคนิคลับสุดยอดของตัวเองออกไปก็จะเป็นการสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามมาที่หน้าอก ซึ่งนั่นทำให้ตัวของไลท์นิ่งล้มลง
ไลท์นิ่งพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันมีควันสีดำผสมอยู่ด้วย เธอชันเข่าขึ้นและวางศอกลงไปที่เข่า ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถทนเอาไว้ได้ มันน่าแปลกที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่
เธอไอออกมาสองสามครั้ง ไม่ใช่อาเดลไฮลด์ —แต่เป็นไลท์นิ่งที่ล้มลงไปต่างหากที่ไอออกมา เธอค่อยๆพยายามยกตัวเองขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นไปด้วยดี
“อย่าทำอะไรบ้าๆ การต่อสู้จบแล้ว” อาเดลไฮลด์พูด
“อือ… ฉันแพ้”
ไลท์นิ่งไอออกมาเสียงดัง ในตอนที่ทิ้งตัวลงไปที่พื้นพร้อมกับนอนหงาย เธอคงยอมแพ้ที่จะลุกขึ้นมายืนแล้ว ดาบของอาเดลไฮลด์และมีดสั้นของไลท์นิ่งส่งเสียงดังขั้นมาตอนที่กระแทกเข้ากับพื้น
“ฉันเป็นอะไร… บางอย่าง… ที่พิเศษไม่ได้”
“นั่นเป็นกันไม่ได้ง่ายๆหรอก”
“ฉันอยาก… มันน่าหงุดหงิดนะ… แต่บางที… ฉันก็รู้สึก… โล่งอก” ไลท์นิ่งไอออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากปาก จากนั้นก็พูดต่อ “ฉันจำไม่ได้จริงๆว่า… ทำไมถึงอยากจะเป็น… อะไรที่พิเศษ… แต่ฉันแน่ใจว่า… ความทรงจำบางอย่าง…”
“หยุดพูดได้แล้ว กระดูกที่หักมันกำลังแทงตัวเธออยู่นะ นอนอยู่ตรงนี้แล้วก็รอความช่วยเหลือ”
“ฉัน… ไม่ได้มีสิ่งที่ยึดติด… กับความทรงจำของตัวเอง… เลย…ไม่สิ… ฉันคิดว่าฉันไม่ได้… แต่…”
“ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่าพูด”
“แต่สุดท้าย… ฉันก็ไม่อยากตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองลืมอะไรไป” ไลท์นิ่งยื่นอะไรบางอย่างออกมา แต่แรงจับของเธอนั้นอ่อนแอมาก มันล่วงลงมาจากการจับของเธอและกระแทกเข้ากับพื้นทางเดิน มันกลิ้งและไปโดนเข้ากับกำแพง มันเป็นวัตถุทรงกลมสีฟ้า —ที่ดูเหมือนกับแคนดี้ “อาเดลไฮลด์… เอาไอ้นั่น”
“เธอนี่มันสร้างแต่ปัญหาจริงๆ”
อาเดลไฮลด์ขยับตัวไปข้างหน้า ทรมาณร่างกายจนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับคอยพักระหว่างการเคลื่อนไหวไปด้วย หยิบมันขึ้นมาแล้วเอาไปให้ไลท์นิ่ง เธอไม่ได้คิดว่ามันอาจจะเป็นกับดัก เธอรู้ว่าไลท์นิ่งเข้าใจได้ยากมาโดยตลอด แต่ส่วนหนึ่งของเธอนั้นสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ
“ใส่เข้ามาในปากฉันที…” ไลท์นิ่งพูด
“เธอทำเองสิ จริงๆแล้วยังมีแรงเหลืออยู่ใช่ไหมล่ะ?”
อาเดลไฮลด์ยกตัวของเธอขึ้นมาและใส่แคนดี้สีฟ้าเข้าไปในปาก เธอไม่ได้เข้าใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว —ว่าทำไมถึงทำเรื่องทุกอย่างเพื่อเด็กสาวคนอื่นด้วย?
ไลท์นิ่งพึมพำ “อ่าาา” ตามมาด้วย “งั้นเหรอ…” ในตอนที่เธอเคี้ยวแคนดี้ “ตอนนี้ฉันจำได้แล้ว”
“อะไรล่ะ?”
ในทันใดนั้น อาเดลไฮลด์ก็รู้ตัว —เธอได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ดังมาจากทิศทางตรงกันข้ามกับสวน พวกมันมีจำนวนมาก
ใครน่ะ? ชั้นไม่เคยได้ยินเสียงฝีเท้าแบบนี้…
ไม่สิ —เดี๋ยวก่อน
อาเดลไฮลด์ยืนขึ้นพร้อมกับก้าวออกไปด้วยขาที่สั่นเทา เสียงฝีเท้านี้มันรู้สึกคุ้นเคยมาก
MANGA DISCUSSION