ตอนที่ 8:
งานปาร์ตี้ตอนเที่ยงวัน
☆ ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สาม
เมื่อลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งได้รับการติดต่อมาจากทีมที่คอยจับตามองมัธยมต้นอุเมะมิซากิพร้อมกับรายงานที่บอกว่า “ฝ่ายแคสปาร์กำลังเคลื่อนไหว” เธอก็มอบคำสั่งเหมือนกับที่คิดเอาไว้ พวกเธอไม่ได้จัดสรรกองกำลังเพิ่มเข้าไปยังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล —พวกเธอให้รันยุย ดิโกะ และไลท์นิ่งเป็นคนจัดการไป แล้วก็กองกำลังหลักที่เป็นทีมชั้นยอดที่ประกอบด้วยแคนดิเดทลาซูไลน์จำนวนหนึ่งและอยู่ไกลออกไปจากอุเมะมิซากิ จะทำการบุกเข้าไปยังฐานบัญชาการของฝ่ายแคสปาร์ คฤหาสน์ที่อยู่ชานเมือง เป้าหมายของพวกเธอคือหัวของเฟรเดริก้า คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
สมาชิกทุกคนที่อยู่รอบๆตัวเธอกำลังทำงานกันอย่างวุ่นวาย —พวกเธอกำลังจะทำการบุกเข้าไป ในขณะที่ทุกคนรอบตัวกำลังวุ่นวายไปกับเรื่องอาจารย์และนักเรียนนั้น โอลด์ บลูและลาซูไลน์รุ่นที่สามก็นั่งอยู่ตรงข้ามกันในห้องทำงานหลักของทางฝ่าย กำลังเพลิดเพลินไปกับชาดำและของหวาน
“ฉันรู้สึกแย่จังที่มานั่งดื่มชาสบายๆทั้งๆคนอื่นกำลังยุ่งกันอยู่” ลาซูไลน์พูด
“อีกไม่นานพวกเราก็จะยุ่งกันแล้วล่ะ แค่ตอนนี้ทำตัวแบบสบายๆเพราะเตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อย”
แม้ว่าจะเป็นช่วงบ่ายของวันธรรมดาและยังคงมีเวลาหนึ่งวันก่อนที่จะถึงงานเทศกาลสถาปนา เฟรเดริก้าก็ลงมือเคลื่อนไหวแล้ว การคาดการณ์ของอาจารย์ที่บอกว่า ถ้าพวกนั้นจะเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างแบบที่ทำได้อย่างสะดวกในงานเทศกาลสถาปนา แบบนั้นการที่เฟรเดริก้าจะเลือกลงมือในช่วงเวลาอื่นคือเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าพวกเธอแจ้งข่าวไปยังคนอื่นและสั่งการ มันก็อาจถูกเฟรเดริก้าจับได้แล้วก็เปลี่ยนแผนการของตัวเองไป ดังนั้นอาจารย์จึงคิดว่ายังไม่ควรที่จะบอกคนอื่น พวกเธอเตรียมตัวเองให้พร้อมเอาไว้แม้ว่าเรื่องราวมันค่อนข้างจะวุ่นวาย
“หากเป็นกรณีที่แย่ที่สุด หากวัตถุโบราณจะถูกขโมยออกไปจากสถานโบราณ ชั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก” โอลด์ บลูพูด “ตราบใดที่เฟรเดริก้าถูกกำจัด การใช้วัตถุโบราณอย่างผิดๆก็มีแผนที่วางเอาไว้ด้วย”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราควรจะเน้นไปที่การป้องกันห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเหรอ?” ลาซูไลน์ถาม มันเป็นการแย้งแบบอ้อมๆต่อการทำให้ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเป็นเหยื่อล่อ
แต่อาจารย์ของเธอก็ส่ายหน้าและยิ้มออกมา “หากเฟรเดริก้ายังคงมีชีวิตอยู่ สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะกลับไปยังจุดเริ่มต้น เป้าหมายสูงสุดของชั้นคือการแยกตัวออกจากดินแดนเวทมนตร์และทำลายระบบเมจิคัลเกิร์ลทิ้ง… แน่นอนว่าเฟรเดริก้าจะพยายามป้องกันเรื่องนั้นเอาไว้อย่างถึงที่สุด”
ท่าทางของเธอเปลี่ยนเป็นจริงจังครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมามีรอยยิ้ม “อีกอย่าง ชั้นไม่คิดว่าเรื่องที่เธอคิดเอาไว้จะเกิดขึ้นหรอกนะ”
“เรื่องที่ฉันคิด?”
“เธอคิดว่าห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคือเหยื่อล่อหรือถูกปล่อยให้ตายไปใช่ไหมล่ะ? ชั้นแน่ใจว่ามันไม่เกิดขึ้นหรอก เธอตัดสินเรื่องพลังของเพื่อนที่ถูกส่งไปยังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลผิดแล้วล่ะ เธอประเมินพวกนั้นต่ำไป”
“ฉันไม่ได้…”
หรือบางทีอาจจะคิดแบบนั้นกันนะ เธอคิดพร้อมกับปิดปาก แต่เฟรเดริก้าเองก็ส่งกองกำลังที่เก่งกาจเข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเช่นเดียวกัน อีกฝ่ายแน่นอนว่าเป็นนักรบรับจ้างที่มีความสามารถอย่างแน่นอน เธอจะไม่พูดว่ารันยุยและดิโกะนั้นอ่อนแอ แต่เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานอย่างหนักหน่วงในแนวหน้าแล้ว —และคนที่อยู่ในอันดับต้นๆของคนเหล่านั้น— พวกเธอก็ยังคงไม่ดีพอ
อาจารย์มองดูเธอด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างแล้วก็พยักหน้าเหมือนกับว่ารู้สึกขบขัน “ความแข็งแกร่งของพวกเธอเป็นของจริงนะ —โดยเฉพาะปรินเซสไลท์นิ่ง แม้ดูเหมือนว่าเธอจะทำตัวให้ชอบไลท์นิ่งไม่ได้ก็เถอะ”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น”
“ไม่ชอบเรื่องต้นกำเนิดของเธองั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นเลย”
ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของลาซูไลน์มีครอบครัวอันแสนอบอุ่น การที่ฝ่ายพ่อและแม่ตายไปทั้งคู่แล้วคือด้านที่ดีกว่า —เมจิคัลเกิร์ลส่วนใหญ่นั้นเคยถูกทิ้ง เกือบที่จะถูกฆ่า หรือถูกขาย ก่อนที่รุ่นที่หนึ่งจะรับเข้ามาดูแล
หนึ่งในเด็กสาวเหล่านี้ ปรินเซสไลท์นิ่งคือคนที่เรียกได้ว่ามีประวัติที่น่าเศร้า เธอเคยเป็นสินค้าที่มีความหมายตามตัวอักษร เป็นเด็กที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นมาโดยจอมเวทพร้อมกับมีการเพิ่มเรื่องศีลธรรมเข้าไป —เธอเป็นมนุษย์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นสัตว์เลี้ยง สร้างขึ้นมาโดยที่มีเป้าหมายว่าให้งดงามที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเนื่องจากว่าเธอไม่เหมาะที่จะเป็นสินค้า สุดท้ายก็เลยมาอยู่กับอาจารย์
ประวัติของไลท์นิ่งไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ลาซูไลน์ไม่ชอบเธอ ลาซูไลน์ไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจอะไรกับเรื่องราวนั้น การที่ต้นกำเนิดต่างจากคนอื่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบเธอด้วย
จนกระทั่งในตอนนี้ ลาซูไลน์รู้สึกว่าเหตุผลที่เธอไม่ชอบไลท์นิ่งมันยากที่จะพูดออกมาเป็นคำพูด แต่คำพูดเหล่านั้นจากอาจารย์มันก็สามารถทำให้เธอเข้าใจได้ เหตุผลที่เธอไม่ชอบไลท์นิ่งมันเป็นเพราะท่าทางของอาจารย์ที่มีต่อไลท์นิ่งนั่นเอง
ไม่ว่าอาจารย์จะรู้หรือไม่ว่าลาซูไลน์รู้สึกยังไง —ก็นะ แต่ก็คงรู้นั่นแหละ ว่าเธอเป็นเด็กสาวประเภทนั้น
อาจารย์พูดต่อพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงอยู่บนใบหน้า “แผนการปรินเซสน่ะออกดอกออกผลได้ด้วยไลท์นิ่ง —ผสมกับสิ่งที่จำเป็นที่สุดจากเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ที่ได้มาจากที่ไหนซักที่ เธอแตกต่างจากเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์รุ่นก่อนหน้านี้… ไม่สิ เธอแตกต่างจากเมจิคัลเกิร์ลทุกคน รวมถึงตัวชั้นด้วย ด้วยการให้พวกเธอรับมือในฝั่งของโรงเรียน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง”
“โอเค ถ้าพูดแบบนั้นล่ะก็ ฉันก็คงพูดได้แค่ว่าไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่อาจารย์รู้ไหมว่ามันมีเรื่องอื่นที่ฉันกังวลมากกว่าอยู่น่ะ?”
“หืม? กังวลเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“อาจารย์ มันไม่จำเป็นที่อาจารย์จะต้องออกมาพร้อมกับพวกเราเลย มันอันตรายแบบที่ไม่มีเหตุผลเลย แล้วฉันคิดว่าถ้าอาจารย์ซ่อนตัวอยู่ในหน่วยวิจัยและพัฒนาไม่ก็ที่ไหนซักที่แบบเงียบๆมันดีกว่าซะอีก”
“ชั้นทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” โอลด์ บลูส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ถ้าชั้น ไม่ได้ ออกไปต่างหากที่จะเป็นอันตรายกับตัวเองจริงๆน่ะ”
“จะบอกว่าปล่อยให้พวกลูกศิษย์จัดการไม่ได้งั้นเหรอ?”
อาจารย์ของเธอไม่ได้ตอบ ปล่อยให้ส้อมของตัวเองจมลงไปในมิลล์เฟย เค้กนั้นถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่งโดยไร้แรงต้าน รวมถึงเลม่อนที่หั่นกลมๆเอาไว้ด้วย อาจารย์ใช้ส้อมเสียบเข้าไปในมิลล์เฟยที่ถูกแบ่ง ยกขึ้นมาที่ปากและกินเข้าไปด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย การที่ได้เห็นแบบนั้นมันก็ทำให้ลาซูไลน์กินมิลล์เฟยของตัวเองเช่นกัน
“เฟรเดริก้าคิดว่าชั้นจะโจมตีฐานบัญชาการของฝ่ายแคสปาร์เมื่อการป้องกันของทางนั้นบางลงเพราะกองกำลังถูกส่งมายังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมจู่ๆถึงเข้าโจมตีห้องเรียน —เธอคิดว่าจะล่อศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่ง ออกมา และจงใจทำให้ฐานบัญชาการนั้นโล่งเพื่อทำให้เหมือนว่าตัวเองดูอ่อนแอ”
ลาซูไลน์กำลังจะพูดว่า ถ้าเข้าใจเรื่องพวกนั้น ก็ไม่ใช่ว่าการที่ไม่ควรไปมันก็ยิ่งมีเหตุผลรึไง? แต่มิลล์เฟยของเธอก็เข้ามาขวางเอาไว้ แล้วทุกสิ่งที่เธอทำได้ก็คือบ่นพึมพำในตอนที่กินมิลล์เฟย มันไม่มีทางที่อาจารย์ของเธอจะได้ยินว่าเธอพูดอะไร แต่เธอก็พยักหน้าออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไร
“เฟรเดริก้าทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อในการที่จะล่อชั้นออกมา แล้วชั้นเองก็เป็นเหยื่อล่อเช่นกัน แม้ว่าการที่ชั้นจะปกปิดตัวตนเอาไว้จะปลอดภัยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเฟรเดริก้ารู้ถึงเรื่องนั้น เธอก็อาจจะหายตัวไป คิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อล่ออีก”
เมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ อาจารย์ของเธอพูดว่าตัวเองและเฟรเดริก้ากำลังทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็นตัวประกันซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นหลักประกันในการต่อสู้อันร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ลาซูไลน์พ่นลมหายใจออกมา หวังว่าพวกผู้ใหญ่จะทำอะไรให้มันเหมาะกับอายุของตัวเองหน่อย เธอคิดพร้อมกับกลืนมิลล์เฟยที่เคี้ยวอยู่ลงไป
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
“แล้วตรงจุดนี้ก็เหมือนว่าจะถูกโจมตี”
แอสโมน่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ไม่ได้พูดอะไรและก็ไม่ได้พยักหน้า เธอแค่มองมาที่เฟรเดริก้า เธอไม่ได้พยายามที่จะซ่อนท่าทางที่ฉุนเฉียวของตัวเอง เธอส่ายหน้าอย่างช้าๆ ปรับแว่น แล้วก็ถอนหายใจออกมา “พวกผู้ใหญ่ทำกันแบบนี้งั้นเหรอ?”
“เป็นเรื่องที่เมจิคัลเกิร์ลทำต่างหากล่ะ”
“ใช่ว่าเมจิคัลเกิร์ลจะได้รับอนุญาตให้ทำอะไรตามใจชอบได้ซักหน่อย”
“ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้ได้รับ อนุญาต นะ”
“เธอน่ะควรจะคิดเรื่องปัญหาที่ตัวเองสร้างให้คนอื่น ชั้นยังไม่อยากจะคิดเลยว่าคนจะตายกันมากแค่ไหน”
“พวกเรามาพยายามกันเพื่อที่จะไม่เพิ่มรายชื่อคนตายดีกว่านะ… อีกอย่าง”
“อีกอย่าง?”
“เมฟิส เฟเลสถูกแทนที่แล้ว นี่คือคนที่สาม”
จมูกของแอสโมน่าบานออกในตอนที่หายใจออกมา “…แล้วอาเดลไฮลด์?”
“เธอยังปลอดภัยอยู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะปลอดภัยไปอีกนานแค่ไหน ฉันคิดว่าแทนที่จะอยู่เฉยๆเพื่อรอดูกองกำลังของตัวเองลดลง ฉันก็ควรจะสร้างปัญหาให้ตัวเองบ้าง”
“แต่… ถ้าเป็นแบบนั้น ก็เพิ่มการป้องกันให้มากขึ้นอีกหน่อยสิ… ชั้นรู้ว่าในตอนนี้พวกเรายังคงกางบาเรียได้”
“แบบนั้นไม่ทันเวลาหรอก สำหรับการปิดล้อมโจมตีน่ะ ปราสาทคือฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ ฉันวางกับดักบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และถ้าอีกฝ่ายทำอะไรที่มันน่าเบื่ออย่างทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด หรือส่งเมจิคัลเกิร์ลที่พกระเบิดเข้ามาเพื่อทำการระเบิดจากภายในล่ะก็ —พวกเรามีวิธีการตอบโต้สำหรับเรื่องนั้นแล้ว ซึ่งมันก็คงจะมากเพียงพอ พวกเราเตรียมการเอาไว้แล้ว ดังนั้นมันควรจะไม่มีปัญหาสำหรับเมจิคัลเกิร์ลที่จะมีการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้น”
แอสโมน่าถอดแว่นของตัวเองออกแล้ววางลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นไปยังเพดาน นวดคิ้ว แล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง การถอนหายใจครั้งนี้มันหนักกว่าในครั้งแรก
เธอหันกลับมาที่เฟรเดริก้าพร้อมกับใช้นิ้วชี้ชี้มาที่เธอ สำหรับเธอแล้วมันเป็นท่าทางที่ไม่มีมารยาท แต่ในคราวนี้มันก็ทำให้เฟรเดริก้ารู้สึกพอใจ และเธอก็ตอบสนองด้วยรอยยิ้ม
“มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟรเดริก้าถาม
“เธอนี่มันบ้า”
“นั่นไม่จริงหรอกนะ พวกนั้นเองก็คิดแบบเดียวกันในตอนที่เข้าโจมตี”
“พวกเธอนี่มันอะไรน่ะ? ดูเหมือนว่าเข้าใจกันและกันด้วย น่าขยะแขยง”
“ฉันคิดว่าคนเลวจะเข้าใจคนเลวได้ดีนะ”
“ถ้าเธอเข้าใจเรื่องนั้นดี แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าควรจะร่วมมือกันเพื่อต่อต้านดินแดนเวทมนตร์หรอกเรอะ?”
“โชคไม่ดีนะ ที่ความสัมพันธ์แบบนั้นไม่สามารถทำให้สองฝ่ายรอดชีวิตได้”
“เหลือเชื่อเลย”
“แน่นอนสิว่าเหลือเชื่อ แต่มันก็คือภัยคุกคามที่สมจริงด้วย”
“ในตอนนี้ชั้นเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงต้องอยู่ที่นี่ ชั้นยังคงคิดนะว่าเธอจะส่งชั้นไปที่ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลแน่ๆ”
เฟรเดริก้า มี แผนที่จะส่งแอสโมน่าไปที่โรงเรียนเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถใช้งานเอมี่กับโมนาโกะ ที่เดิมทีเป็นคนที่เธอส่งไปได้ ทั้งคู่นั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้แถมยังรับมือด้วยลำบาก
มันน่าเสียใจที่เฟรเดริก้าไม่สามารถใช้งานพวกเธอได้อีกแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเสียใจได้
การต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ลที่เต็มไปด้วยความหวังเรื่องของอนาคตกับคู่หูที่แสนป่าเถื่อนสองคนนั้นแน่นอนว่ามันต้องสนุก แต่ช่างโชคร้ายที่เธอถูกบังคับให้ต้องยอมแพ้ไป แล้วเมื่อเธอคิดถึงเรื่องปัญหา เธอก็คิดว่าการใช้แอสโมน่าเข้าไปแทนที่ตำแหน่งของเอมี่และโมนาโกะนั้นเป็นความคิดที่แย่ บทบาทของพวกเธอแตกต่างกันตั้งแต่แรก ถ้าเอมี่และโมนาโกะไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากต้องทำงานโดยที่ไม่มีพวกเธอ เธอเองยังมีไม้ตายที่ซ่อนเอาไว้ แม้การพูดว่าไม้ตายจะดูน่าสงสัยก็ตาม
เฟรเดริก้าโบกมือที่ด้านหน้าใบหน้าของตัวเอง “ไม่ ไม่ ฉันพูดไม่ได้ว่าเธอเข้าใจจริงๆ ฉันไม่ทำให้คุณค่าของเธอเสียเปล่าโดยการให้อยู่ด้านหลังเป็นคนคอยเฝ้าระวังหรอก”
แม้แต่ในตอนนี้ เธอก็จำเรื่องรายละเอียดได้ แน่นอนว่าเธอจะไม่ลืมเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลสีฟ้าที่ต่อสู้กับศัตรูตรงด้านหน้าของสถานโบราณที่พัคพั๊คยึดครองเอาไว้ไปชั่วชีวิต ศิลปะการต่อสู้ที่ถูกขัดเกลามาอย่างดี ความสามารถทางกายภาพที่เหนือชั้น เวทมนตร์ที่จัดการศัตรูเพียงแค่สัมผัส —เธอขึ้นมาสู่ระดับสูงแบบที่ต่างออกไปจาก “เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่ง” อย่างเช่นร่างเกิดใหม่ของปราชญ์หรือพวกโรงเรียนกวดวิชามาโอ เฟรเดริก้ารู้ความจริงในภายหลังว่าเธอคือลาซูไลน์คนใหม่ ซึ่งนั่นมันก็สมเหตุสมผล
ในขณะที่ส่วนที่เป็นเด็กของเฟรเดริก้าที่มองดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับมีเหงื่อที่ไหลออกมาที่ฝ่ามือ ส่วนที่เป็นผู้ใหญ่อันสกปรกของเธอก็ทำการประเมินอย่างใจเย็น หากเฟรเดริก้าต้องสู้กับเธอในอนาคต แบบนั้นเธอก็ต้องคิดเรื่องแผนการตอบโต้เอาไว้ มิเช่นนั้นเธอจะได้เจ็บตัวแน่ การรับมือกับเธอก่อนที่จะกลายเป็นการต่อสู้คือเรื่องเสียเปล่า สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแบบนั้น ความงดงามของเธอคือเรื่องอันสมบูรณ์แบบที่ต้องรับมือด้วยการต่อสู้
“เหมือนว่านักฆ่าที่เก่งกาจที่สุดที่อีกฝ่ายจะส่งมาหาฉัน ไพตี้ เฟรเดริก้า ก็คือลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สาม ฉันเคยมองดูการต่อสู้ของเธอ แต่หัวใจของฉันและสายตาที่จับจ้องก็ถูกขโมยไปจนหมด การพยายามจะรับมือกับเธอด้วยจำนวนก็มีแต่จะให้ตายเพิ่มกันแบบเปล่าประโยชน์ ในการที่จะทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนั้น มันก็จำเป็นต้องมีปีศาจในระดับเดียวกัน ซึ่งก็คือแอสโมน่า ผู้มากด้วยเสน่ห์ คนที่อาวุโสที่สุดของโรงเรียนกวดวิชามาโอ และเป็นหนึ่งในเจ็ดปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ด้วย แน่นอนว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ดีแน่ นอกเหนือจากเรื่องกำลังแล้ว เธอก็ทุ่มเทให้กับภารกิจอย่างมากด้วยนะ แล้วก็จะไม่วิ่งหนีต่อให้จะเสียเปรียบเพียงเล็กน้อยด้วย”
มันยังสามารถหมายความว่า “ยอดเลยที่สามารถใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยได้” ได้อีกด้วย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เฟรเดริก้าจะสื่อ และแอสโมน่าเองก็เข้าใจด้วยเช่นกัน เรื่องที่เฟรเดริก้าต้องการจะสื่อก็คือเธอพยายามทำให้เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งมากสองคนต่อสู้กัน เมื่อกลายเป็นการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆแล้ว เธอเองก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชนะ มันคงไม่แปลกนักที่การต่อสู้อย่างยาวนานจะกลายเป็นการเสมอ และมันก็ไม่ได้แปลกหากการต่อสู้จะจบลงในทันทีเช่นกัน ซึ่งนั่นมันทำให้น่าสนุก
แอสโมน่าถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วก็สวมแว่นกลับเข้าไป เอามือจับที่ปีกหมวกนิวส์บอยและดึงลงมาต่ำ มองมาที่เฟรเดริก้าพร้อมกับความขุ่นเคืองด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น แล้วก็ส่งเสียงอะไรบางอย่างออกมา
การได้รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอายเมื่อถูกยอ เฟรเดริก้าก็บีบหลังมือขวาเพื่อยับยั้งรอยยิ้มที่เกิดขึ้นภายในตัว
☆ ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์
ในตอนที่เธอได้รับข้อความมาจากเฟรเดริก้า เธอก็คิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นหรืออะไรซักอย่างแน่ๆ บางครั้งเฟรเดริก้าก็จะทำตัวน่ารังเกียจแล้วก็สนุกสนานเมื่อเห็นคนอื่นตื่นตระหนก อาเดลไฮลด์ไม่ได้จินตนาการว่าจะมีใครซักคนที่พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเราจะเข้าโจมตีห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลตอนกลางวัน ดังนั้นก็ช่วยสนับสนุนด้วย” ในตอนที่มีคนจำนวนมากอยู่ที่โรงเรียนหลักของทางอุเมะมิซากิด้วย
เมื่อเมจิคัลโฟนส่งเสียงดังขึ้นมา อาเดลไฮลด์ก็ออกจากห้องเรียนไปคนเดียวและนั่งลงตรงชานพักบันไดที่ว่างอยู่ อ่านข้อความที่เธอได้รับมาซ้ำหลายๆครั้ง ในตอนที่นั่งอยู่ตรงชานพักบันได เธอก็แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล เธออยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องตลก แต่ไพตี้ เฟรเดริก้าคือคนลึกลับที่ทำความเข้าใจอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงคิดว่ามันไม่แปลกที่เฟรเดริก้าจะลงมือ
เธออยากที่จะเอามือกุมศีรษะ แต่เธอก็ยั้งการถอนหายใจเอาไว้และส่งเสียงออกไปตามทางเดิน “มีธุระอะไรกับชั้นรึไง? ตอนนี้ชั้นยุ่งอยู่นะ”
คนอื่นๆไม่ได้พยายามจะปกปิดเสียงฝีเท้าของตัวเอง อาเดลไฮลด์สามารถระบุตัวของเจ้าของฝีเท้าทุกคนในห้องเรียนได้ และอีกฝ่ายก็คือคลาสสิคคัล ลิเลี่ยนอย่างที่เธอคิดไว้ไม่ผิด และเธอก็แปลงร่างเรียบร้อยแล้วในตอนที่ออกมา “เธอวิ่งตามทางเดินทั้งๆที่หน้าซีด ฉันก็เลยตามมา”
เธอไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความรู้สึกออกมาบนใบหน้า เธอคิดว่าตัวเองควบคุมความรู้สึกได้ดีกว่าเพื่อนร่วมห้องคนอื่นที่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันคือเรื่องที่คิดไปเอง เธอรู้สึกอายและ พยายาม ไม่เปลี่ยนท่าทีของตัวเองในตอนที่มองไปยังลิเลี่ยน เมื่อลิเลี่ยนแปลงร่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็จะใจเย็น มันไม่ใช่เรื่องจะสามารถจินตนาการได้จากตัวตอนของเธอตามปกติที่ดูน่ากลัว
“ชั้นให้เธอตามมาไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“หือ? ไม่ได้มีอะไรเกิดกับเธอรึไง?”
“ไม่มีอะไรเหมือนปกติ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?”
เหมือนว่ามันยากที่จะปิดบังเอาไว้นานไปมากกว่านี้ อาเดลไฮลด์จับเมจิคัลโฟนของเธอเอาไว้ด้วยนิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วโป้งพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง จากนั้นก็ส่งมันให้ลิเลี่ยน
ลิเลี่ยนมองดูหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง หลับตาลงแล้วก็เปิดตาออกอย่างช้าๆอีกครั้ง “ไม่ได้มีการตอบสนองอะไรจากเมฟิสหรือคุมิคุมิ เหมือนว่าพวกเธอไม่ได้รับการติดต่อ ดูจากเรื่องเมื่อไม่นานมานี้ พวกเธอนั้นได้คำสั่งที่คล้ายกับพวกเรา แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ในตอนนี้พวกเธอกลับไม่ได้รับ… ฉันเองก็ไม่ได้รับเหมือนกัน”
“ชั้นไม่เข้าใจ ชั้นไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นคนเดียวที่ได้รับข้อความ เธอไม่ได้ถูกบอกว่าให้ลงมือทำโดนที่ไม่มีสมาชิกอีกสามคนของผู้คุ้มกันชั้นยอดอีกด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกคนระดับสูงกันแน่?
“ชั้นไม่เข้าใจ… แต่มันไม่มีเวลาแล้ว พวกเราต้องลงมือทำงานของพวกเรา”
“ที่ว่าทำงานของพวกเรา มันหมายถึง เรื่องนั้น ใช่ไหม?”
เรื่องนี้มันหมายถึงการช่วยสนับสนุนใครก็ตามที่เข้ามาขโมยวัตถุโบราณที่ซ่อนอยู่ในสถานโบราณ ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ไม่ว่าจะเป็นอาเดลไฮลด์หรือลิเลี่ยน มันก็จะกลายเป็นการปล้น ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเธอไม่สามารถกลับมายังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าพวกเธอเข้าร่วมห้องเรียนนี้มาด้วยความตั้งใจนั้น พวกเธอรู้ดีว่านี่เป็นการแทรกซึมเข้ามา พวกเธอควรที่จะยังคงมีความคิดแบบนั้นอยู่ แต่เธอเกลียดความตั้งใจที่อ่อนแอ ส่วนที่ละเอียดอ่อนของเธอจะคิดเรื่องนั้น หากเธอปล่อยให้มันคิด มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ มันมีเรื่องที่ไม่น่าพอใจมากมายที่เกิดขึ้น —การแพ้กลุ่มหนึ่งไม่ก็กลุ่มสามในช่วงเวลาว่าง การที่ไลท์นิ่งที่ขโมยของหวานในตอนช่วงพักกลางวัน การถูกลากเข้าไปในการทะเลาะกันของอารืลี่และโดรี่จนล้มลง เรื่องคาบเรียนของคัลโคโระว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน —ดังนั้นอาเดลไฮลด์จึงไม่ได้คิดว่างานเทศกาลสถาปนามันจะรู้สึกสนุกอะไร แต่เธอก็ยังพบว่าเรื่องนี้มันน่าเสียใจ แม้ว่าเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นนักรบรับจ้างที่ถูกต้องควรจะสามารถโจมตีเข้าไปที่ใครซักคนที่เพิ่งจะคุยด้วยอย่างสนุกสนานได้ในทันที ถ้ามันจำเป็น
อาเดลไฮลด์ทำท่าทางของตัวเองให้จริงจังด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่ากำลังต่อยเข้าไปที่ความอ่อนภายในตัวและก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “โดยพื้นฐานแล้วก็หมายความว่าแบบนั้น ลิเลี่ยน เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้ไหม?”
“ฉันจะทำ” การที่ลิเลี่ยนตกลงมันก็ทำให้เธอหยุดพูด ท่าทางของลิเลี่ยนนั้นมันมีความดุดันแฝงอยู่ ซึ่งมันจากแตกต่างจากท่าทีนิ่มนวลในตอนที่ไม่ได้แปลงร่าง
อาเดลไฮลด์รออยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย และในตอนที่เธอกำลังจะพูดออกมานั้น เธอก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากห้องเรียน มันคือเสียงกรีดร้อง ทั้งสองคนจึงวิ่งตรงไปยังห้องเรียนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
☆ คัลโคโระ
คัลโคโระรู้สึกเหนื่อยล้ากับการมองนักเรียนของเธอที่กำลังทำงาน ดังนั้นเธอจึงเหม่อลอยและมองออกไปด้านนอก เมื่อคิดให้ถูกต้องแล้ว เธอก็ควรจะมองดูห้องเรียน แต่นั่นก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโดนบังคับ เธอต้องมีอิสระภาพที่จะมองไปยังฝูงนกที่บินอยู่บนท้องฟ้าแล้วก็คิดถึงเรื่องนั้นด้วยความอิจฉา ไม่งั้นเธอก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย
ด้วยเหตุนั้นเองคัลโคโระจึงรู้ตัวก่อนนักเรียนของเธอ สีของท้องฟ้าตรงหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีดำ และที่เหนือตาข่ายตรงสนามโรงเรียน ถนน และที่พักอาศัยกลายเป็นพร่ามัวราวกับว่ากำลังมองผ่านหมอก เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรู้ว่ามี อะไรบางอย่าง เกิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่โฮมุนครูสหลุดออกจากการควบคุมแล้ว เธอก็คงจะรู้สึกลังเล แต่ในตอนนี้เรื่องมันต่างออกไป คัลโคโระลุกขึ้นยืนและแปลงร่างทันที จากนั้นก็หันไปหานักเรียน
“ทุกคน แปลงร่างค่ะ!”
นักเรียนทุกคนมองมาที่เธอ พวกเธอยังคงไม่ได้แปลงร่างและมองมาที่เธอด้วยความตกใจ คัลโคโระหันไปรอบๆและดึงเอาลูกคิดออกมา แต่ผู้บุกรุกที่พังหน้าต่างเข้ามาก็ป้องกันเอาไว้ง่ายๆด้วยมือขวาเพียงอย่างเดียว
นี่คือเมจิคัลเกิร์ล จีบขอบชุดของอีกฝ่ายกำลังพริ้วไหว แต่ที่ใบหน้ากลับสวมหน้ากากพลาสติกเอาไว้ มันเหมือนกับของที่เด็กๆจะขอร้องพ่อแม่ให้ซื้อให้ในงานเทศกาล —บางทีอาจจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลอะไรซักอย่างจากอนิเม— เพื่อปิดบังตัวตนของตัวเองเอาไว้
จากด้านหลังก็ยิ่งมีเข้ามามากขึ้น ทั้งหมดคือเมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากที่ปิดบังใบหน้า คัลโคโระกำลังสับสน แต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนอง เธอกระทืบลงไปที่เท้าของคนที่ป้องกันลูกคิดเอาไว้ —คู่ต่อสู้ของเธอหลบและเตะเข้ามาที่เธอด้วยขาข้างเดียวกัน คัลโคโระป้องกันเอาไว้ด้วยลูกคิดแต่ก็พลาดที่จะทรงตัวเอาไว้ด้วยขาซ้าย และแม้ว่าจะเป็นการเตะแบบเบาๆมันก็ทรงพลังมาก ตัวของเธอถูกโยนกลับไปด้านหลัง แต่ใครบางคนก็จับตัวของเธอเอาไว้
เธอเงยหน้ามองขึ้นไปและก็เห็นขากรรไกรของเท็ตตี้ คนที่จับเธอเอาไว้ ขากรรไกรของเธอนั้นงดงาม เธอแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว
“พวกแกเป็นใคร?!” เท็ตตี้พูดออกไป แต่ก็ไม่มีใครที่ตอบกลับมา
เมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากเหวี่ยงคฑาหรือไม่ก็กระแทกหมัดเข้าหากันและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในตอนที่เข้ามาข้างหน้า เรื่องถัดจากนั้นที่เธอรู้ก็คือ สโนไวท์แทงอาวุธที่ดูเหมือนกับนากินาตะออกไปด้านหน้า และเมื่อมีแท่งโจมตีเข้ามาจากด้านข้าง แรปปี้ก็คลายแรปเวทมนตร์ของเธอเพื่อช่วยป้องกันสโนไวท์เอาไว้ โดรี่พุ่งเข้าไปพร้อมกับเสียงร้อง แล้วอาร์ลี่ก็ตามการนำสโนไวท์เข้าไปหาศัตรู
“ไอ้พวกเวรเอ๊ย!” ไซคีสบถออกมาในตอนที่ยิงปืนฉีดน้ำออกไปแบบไม่มีจุดหมาย พ่นของเหลวสีเงินเข้าไปหาศัตรู ของเหลวที่กระจายออกไปนั้นมันยากที่จะหลบ แต่ศัตรูก็หมุนไม้เท้า บิดตัวไปรอบๆ หรือไม่ก็สร้างโล่ขึ้นมาตรงหน้า และไม่มีใครเลยที่โดนการโจมตีเข้าไป ความจริงแล้ว เนื่องจากว่ามันสาดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ของเหลวนั้นก็โดนเข้าไปที่ด้านหลังศีรษะของมิส ริล และหยดสีเงินก็ย้อยลงมาที่ตัว
ตัวของมิส ริลโซเซและละลายกลายเป็นสีเงินเช่นเดียวกับของเหลว มันเป็นการยิงพลาดที่แย่มาก —ไม่สิ หลังจากที่โดนปรอทของไซคียิงเข้าใส่ มิส ริลก็ใช้เวทมนตร์ของเธอและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นปรอทเพื่อคลานไปตามพื้นรอบๆห้องเรียนพร้อมกับโจมตีเข้าใส่เท้าของศัตรู
รูปขบวนชั่วคราวกำลังเป็นรูปเป็นร่าง —ด้วยการที่อาร์ลี่ แรปปี้ และเท็ตตี้ที่อยู่ด้านหน้าเป็นโล่ให้กับสโนไวท์และโดรี่ที่โจมตีเข้าไปจากด้านหลัง ตรงบริเวณที่ใกล้กับเพดาน อีกาของแซลลี่ก็โจมตีเข้ามาจากด้านบน และจากด้านล่าง การโจมตีของมิส ริลที่เปลี่ยนแปลงได้หลายรูปก็คอยโจมตีเข้าไปที่เท้าของศัตรูเช่นเดียวกับไซคีที่พยายามยิงเข้าไปหา
ในตอนที่คำนวน คัลโคโระก็ร่ายเวทมนตร์ แต่ก่อนที่เวทมนตร์จะเสร็จสิ้น เธอก็สังเกตุว่าศัตรูไม่ได้ตอบโต้เข้ามา แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่เท็ตตี้บดคฑาที่เหวี่ยงลงมาที่เธอด้วยมือ ศัตรูก็ไม่ได้ดูกระวนกระวายอะไร แค่ขยับไปด้านหลังเพื่อเตรียมการโจมตีครั้งต่อไป นอกเหนือจากนั้นแล้ว ลูกหินของลูกคิดเวทมนตร์ก็ส่งเสียงดังออกมา และเธอก็ได้รับคำตอบมาอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายกำลังถ่วงเวลา…?
เสียงดังก้องที่ฟังดูเหมือนกับระเบิดทำให้อาคารโรงเรียนสั่นสะเทือน ฝุ่นควันร่วงลงมาจากฝาครอบหลอดไฟ เมจิคัลเกิร์ลทุกคนโจมตีเข้าไปหาศัตรูรุนแรงขึ้น แต่รูปแบบการป้องกันของศัตรูเองก็แข็งแกร่ง ไม่เคยได้รับความเสียหายที่รุนแรงในตอนที่ค่อยๆถอยกลับไปที่หน้าต่างห้องเรียน
พวกมันจะถ่วงเวลาไปเพื่ออะไรกันล่ะ? เหมือนว่าพวกมันจะเข้ามาที่สถานโบราณ แต่มันก็ไม่มีเวลาที่จะมัวทำแบบนี้ เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่เข้าโจมตีห้องเรียนล้วนแข็งแกร่ง อีกฝ่ายไม่ใช่แค่มีความสามารถทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม —คัลโคโระสามารถสัมผัสถึงเรื่องประสบการณ์ของอีกฝ่ายได้ แถมยังตอบสนองต่อเวทมนตร์ของพวกนักเรียนอย่างสบายๆเช่นกัน มันสามารถคิดได้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว นี่ไม่ใช่ความก่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด —มันคือการวางแผนโจมตีเข้ามาที่โรงเรียน มันคือการก่อการร้าย
คัลโคโระคิดเรื่องทั้งหมดนี้ ในตอนนี้มันไม่มีใครที่ป้องกันสถานโบราณอยู่ —ไม่สิ นักเรียนบางคนเองก็ออกไปก่อนแล้ว ไลท์นิ่ง เมฟิส คุมิคุมิ รันยุย ดิโกะ แล้วก็มังกรที่เป็นชิ้นงานศิลปะที่คุมิคุมิทำขึ้น ทั้งหมดนั้นหายไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง เธอคิดว่ามันแปลกที่เด็กพวกนี้วิ่งออกไปในตอนที่ศัตรูปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นบางทีพวกเธออาจจะโจมตีสวนกลับไปที่ศัตรูบางคนที่โจมตีเข้ามาจากมุมอื่น
นี่มันดูเหมือนว่าง่ายเกินไป แต่คัลโคโระก็ต้องยึดเรื่องความหวังนั้นเอาไว้ในตอนนี้ อาจารย์ใหญ่ปลอดภัยรึเปล่านะ? หากศัตรูมุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ด้วย และการที่ฮัลน่าไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ หากฮัลน่าเสียชีวิตไป ต่อให้คัลโคโระจะรอดจากการต่อสู้นี้ไปได้ แน่นอนว่ามันคงจะไม่มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้น
ถึงจะคิดมากไปในตอนนี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ ภารกิจของคัลโคโระคือการที่ต้องขับไล่ศัตรูออกไป ปกป้องสถานโบราณและก็ฮัลน่า ปกป้องนักเรียนให้ปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้พร้อมกับแก้ไขสถานการณ์นี้ เธอหยุดร่ายเวทมนตร์ การที่เมจิคัลเกิร์ลกำลังต่อสู้ด้วยความเร็วสูง การร่ายเวทมนตร์ของจอมเวทก็หลายเป็นเรื่องอืดอาดอย่างทำอะไรไม่ได้ แต่ด้วยการเป็นทั้งเมจิคัลเกิร์ลและจอมเวท การร่ายเวทมนตร์ของคัลโคโระจึงมีประสิทธิภาพ
คัลโคโระรวบรวมพลังแห่งการหลับไหลและสลบเอาไว้ในฝ่ามือ แต่ก่อนที่เธอจะเหวี่ยงมันเข้าไปที่ใบหน้าของศัตรูนั้น กลุ่มศัตรูก็กระโดดออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกับคลื่นที่ถอยกลับ และเวทมนตร์ของคัลโคโระก็สูญเสียเป้าหมายไป
จังหวะมันดีเกินไป นี่หมายความการที่ศัตรูรู้ข้อมูลพวกเธอไม่ใช่แค่เรื่องนักเรียนแต่มันรวมถึงคัลโคโระด้วยงั้นเหรอ? การตอบสนองนี้มันจะมีเหตุผลถ้าศัตรูตรวจสอบประเภทของเวทมนตร์ที่เธอชำนาญ ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลที่สามารถใช้เวทมนตร์ของจอมเวทได้
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนั้น ในที่สุดศัตรูก็แสดงจุดอ่อนออกมาแล้ว เธอควรจะใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบ
“ทุกคน! ถอยก่อนแล้วย้ายไปที่ชั้นหนึ่ง!”
แอปเปิลที่มีสีสรรน่าประหลาดถูกโยนเข้ามาจากภายนอกลูกแล้วลูกเล่า และจากนั้น ทั่วทั้งพื้นที่ก็เกิดระเบิดขึ้น
☆ รันยุย
เด็กสาวบางคนเคลื่อนตัวกลับไปด้านหลังในจังหวะเดียวกันกับที่ศัตรูเข้าโจมตี ด้วยสัญญาณมือจากไลท์นิ่ง รันยุยจึงออกจากห้องเรียนพร้อมกับดิโกะ และหลังจากนั้นไม่นาน เมฟิสและคุมิคุมิก็โผล่ออกมาที่ทางเดินด้วย
“ทำไมทั้งสองคนถึงออกมาด้วยล่ะ?” ไลท์นิ่งถามด้วยท่าทีที่สง่างามซึ่งตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมฟิสตอบพร้อมกับเดาะลิ้น “อาเดลไฮลด์กับลิเลี่ยนเพิ่งออกจากห้องเรียนไป ชั้นจะไปเรียกพวกเธอ”
“เพื่ออะไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าคนที่มานี่คือพวกเดียวกันกับเธอหรอกเหรอ?”
ท่าทางของเมฟิสเต็มไปด้วยความสงสัย ดิโกะหรี่ตาขวาของเธอเล็กน้อย นี่เป็นหลักฐานว่าเธอสัมผัสได้ถึงเรื่องบางอย่างที่แปลกออกไป
โทนเสียงของไลท์นิ่งฟังดูต่ำลง “ตายจริง นั่นไม่ใช่พวกของเธอหรอกเหรอ?”
“ชั้นไม่รู้ แล้วไม่ใช่พวกของแกรึไง?”
“แน่นอน พวกเราไม่รู้หรอก”
พวกเธอสองคนมองหน้ากันและกัน —แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่เมฟิสที่มองอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่มันพูดได้ว่าไลท์นิ่งกำลังมองใบหน้าเมฟิสอย่างใกล้ๆ ซึ่งมันดูหยาบคายแต่ก็น่าสนใจมาก คุมิคุมิกระแอมออกมาอย่างเงียบๆ เธอมีสิ่งของขนาดใหญ่ที่ห่อเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าอยู่ที่หลัง ดูจากช่องว่างของเสื้อผ้าแล้ว มันก็สามารถมองเห็นมังกรที่เป็นงานศิลปะได้ เธอไม่ได้ทิ้งมันไปแม้ว่าจะเป็นในเวลาแบบนี้
“พวกเรา… ไม่มีเวลา… มายืนคุย… อยู่ตรงนี้…”
“อ่า จริงด้วย” เมฟิสหันหน้าออกจากไลท์นิ่งราวกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วก็วิ่งออกไป ในขณะที่คุมิคุมิที่ตามไปก็เหวี่ยงพิกแอคของตัวเอง ส่วนไลท์นิ่งก็ตามไปอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากว่าพวกเธอออกไปกันแล้ว รันยุยเองก็ต้องไปเช่นกัน เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งนั่นหมายถึงว่าดิโกะเองก็ตามมาด้วย รันยุยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะควรจะได้ยิน
“นี่แกตามพวกชั้นมาทำไมเนี่ย?!” เมฟิสตะโกนอย่างหงุดหงิด
“พวกเราจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ!” ไลท์นิ่งตะโกนกลับไปอย่างร่าเริง
นี่จะสู้กันอีกแล้วเหรอ? และถ้ามันเกิดขึ้น รันยุยควรจะทำยังไงล่ะ? พวกเธอไม่มีเวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ หลังจากที่เลี้ยวตรงหัวมุม พวกเธอก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลสองคนที่กำลังวิ่งมาหา นั่นคืออาเดลไฮลด์กับลิเลี่ยน ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันและกันด้วยท่าทางตกใจแล้วก็หยุดเคลื่อนไหว
“หยุดตรงนี้ก่อน!”
เมฟิสหยุดตามคำสั่งของอาเดลไฮลด์ พวกเธออยู่ห่างกันราวสิบก้าว เมฟิสหยุดก็จริง แต่เธอดูไม่ค่อยพอใจ
“จะหยุดทำไมเนี่ย?”
“ทำไมพวกเธอถึงอยู่ด้วยกัน?”
“เจ้าพวกนี้ก็แค่ตามพวกเรามา” เมฟิสพูดพร้อมกับใช้นิ้วโป้งขวาชี้ไปด้านหลัง เมื่อถูกชี้ รันยุยก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เธอไม่รู้ว่าความตั้งใจจริงๆของไลท์นิ่งคืออะไร ดังนั้นเธอก็เลยสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้ตามไลท์นิ่งมาด้วย แต่มันคงดูแย่หากเธอเป็นคนเดียวที่สับสน ดังนั้นเธอก็เลยกอดอกพร้อมกับทำท่าทางมั่นใจอยู่ด้านหลังเมฟิส ท่าทางนี้ของรันยุยมันทำอาเดลไฮลด์ขมวดคิ้ว แล้วเธอก็เดาะลิ้นออกมา
“เฮ้ย อีห่านี่ เดาะลิ้นใส่ชั้นทำไมวะ” เมฟิสสบถใส่อาเดลไฮลด์
“แค่เดาะลิ้นเฉยๆน่ะ ไปกันเถอะ”
“นี่ อาเดลไฮลด์” ไลท์นิ่งพูดตัดการสนทนาของเมฟิสและอาเดลไฮลด์ “มีพวกคนไม่ดีปรากฏตัวขึ้นมาที่ห้องเรียน —นั่นเป็นพวกเดียวกับเธอรึเปล่า?”
อาเดลไฮลด์มีท่าทางเหมือนกับว่าโดนอะไรบางอย่างที่น่าขยะแขยงยัดเข้ามาภายในปาก
ก่อนที่รันยุยจะคิดออกว่าท่าทางนั้นมันหมายความว่ายังไง ไลท์นิ่งก็หัวเราะออกมาอย่างดงาม “ท่าทางแบบนี้ เหมือนว่าเธอจะรู้จักสินะ ดังนั้นเธอเองก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกหัวขโมยด้วยงั้นสิ? และถ้าพวกเราจัดการเธอลงที่นี่ตรงนี้ แบบนั้นพวกเราก็จะคือฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างความยุติธรรม”
อาเดลไฮลด์เปิดปากออกเพื่อจะตอบกลับ แต่ในคราวนี้คุมิคุมิก็พูดแทรกเข้ามา “เดี๋ยว… นี่หมายความว่ายังไง? ฉันไม่ได้ยินอะไร… เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย” เมฟิสถ่มน้ำลายออกมา “อธิบายมาเลยนะว่ามันเกิดห่าอะไรขึ้น อีเวร”
คำพูดมันติดอยู่ในลำคอของอาเดลไฮลด์ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไร หรือจะพูดออกมายังไง และความลังเลของเธอก็ทำให้อารมณ์ของคนอื่นพุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น เมฟิสตะโกนออกมา คุมิคุมิจับตัวของเธอไว้ ส่วนไลท์นิ่งก็ยักไหล่แล้วก็หัวเราะออกมา
“เดี๋ยวก่อนนะ”
เมื่อความสนใจของทุกคนเพ่งมากที่ตัวเองแล้ว รันยุยก็รู้สึกพอใจ เธอเอาฝ่ามือชี้ไปที่อาเดลไฮลด์และลิเลี่ยน “ก่อนอื่นเลย มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกเราควรจะถามว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง ทุกคนเอาแต่พูดขัดจนอาเดลไฮลด์พูดออกมาไม่ได้แล้ว”
“เธอจะแก้ตัวแบบไหนได้ล่ะ?” ไลท์นิ่งพูด “หากเธอมีความเกี่ยวข้องกับหัวขโมย มันก็คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แล้วการที่เมฟิสกับคุมิคุมิไม่ได้ถูกแจ้งอะไรมา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องกังวลด้วย”
“ก็ นั่นน่ะ เอ่อ บางครั้งมันก็ไม่รู้จนกระทั่งถามนั่นแหละ… บางทีนะ” รันยุยไม่ได้พยายามปกป้องอาเดลไฮลด์อย่างจริงจัง มันเป็นแค่การสัมผัสได้ว่าหากปล่อยให้การถกเถียงนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆก็จะอันตราย พร้อมกับเรื่องเล็กๆที่เสริมเข้าไปเหมือนกับโรยเครื่องเทศอย่าง อาเดลไฮลด์เหมือนกับฉันในตอนที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาเลย แล้วผลลัพธ์ที่ออกมานั้น มันก็กลายเป็นว่ารันยุยปกป้องอาเดลไฮลด์
ไม่ว่าจะเป็นเพราะการรันยุยพูดออกมาหรือเป็นเพราะความตั้งใจเรื่องอื่นๆ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่งแล้วก็มองไปที่อาเดลไฮลด์ อาเดลไฮลด์พ่นลมหายใจออกมา มือขวาจับเอาไว้ที่ด้ามดาบทหาร ส่วนมือซ้ายก็เกาที่ด้านหลังศีรษะ จากนั้นก็ส่ายหน้าเหมือนกับเด็กตัวเล็กๆพร้อมพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่”
“ชั้นได้ข้อความมา ทางนั้นบอกว่าจะมาที่นี่ตอนนี้”
พวกเธอได้ยินเสียง ตูม ดังสนั่นของระเบิดที่ทำให้ทั่วทั้งอาคารเรียนสั่นสะเทือน มันดังมาจากภายในห้องเรียน และเป็นการดึงดูดความสนใจของรันยุย แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ปรินเซสไลท์นิ่งย่นระยะห่างสิบก้าวระหว่างพวกเธอในเสี้ยววิ เหวี่ยงดาบสายฟ้าลงมาที่อาเดลไฮลด์ ในขณะที่อาเดลไฮลด์ป้องกันเอาไว้ด้วยดาบทหาร
“เธอนี่เป็นพวกเดียวกับหัวขโมยจริงๆสินะ” ไลท์นิ่งพูด
สายฟ้ามันเกิดประกายขึ้นมาระหว่างพวกเธอสองคนจนเกิดเสียงแตก เมฟิสวิ่งออกไป ดิโกะก้าวมาข้างหน้าเพื่อขวางเอาไว้ และรันยุยก็ขยับตัวเพื่อรั้งลิเลี่ยนเอาไว้ คุมิคุมิมองไปรอบๆที่เพื่อนร่วมห้อง เหมือนว่ากำลังสับสนอยู่คนเดียว
ไลท์นิ่งพึมพำ “พลาสม่าบอล”
สายฟ้าก็ปรากฏขึ้นมาระหว่างไลท์นิ่งและอาเดลไฮลด์ออกไปไปทั่วทุกทิศทาง —แสงสว่าง ขนาด แล้วก็เสียง— มันเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว และเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่รอบๆทั้งสองคนที่กำลังเริ่มต่อสู้ รวมถึงคุมิคุมิที่กำลังสับสนด้วย ต่างก็กระโดดออกจากพื้นที่ที่โดนผลกระทบ
☆ ฮัลน่า มิดิ เมเร็น
การถูกโจมตีก่อนงานเทศกาลสถาปนาเริ่มต้นขึ้น —และเป็นในช่วงเวลากลางวันด้วย— มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด มันเกินกว่าการคาดเดาของฮัลน่าในเรื่องที่ว่าถึงแม้จะเป็นพวกนอกกฏหมายก็ต้องมีสติปัญญามากพอในการคำนวนผลได้ผลเสียไปอย่างเห็นได้ชัด ความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นเป็นการทำให้ตรงไปสู่การทำลายล้างด้วยการพยายามเพียงแค่จะสร้างความประหลาดใจเล็กน้อยให้พวกเธอ
ในตอนที่ฮัลน่าตระหนักได้ว่าเกิดการโจมตี เธอก็พยายามติดต่อออกไปด้านนอก —ซึ่งแน่นอนว่ามันล้มเหลวและมันก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธ หากอีกฝ่ายเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า มันก็จะทำให้พวกเดียวกันไม่สามารถทำการติดต่อออกไปข้างนอกได้ด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายก็ควรจะโจมตีเข้ามาในตอนที่มีโอกาสสำเร็จสูง— คนจำพวกนี้ไม่สามารถทำการแก้ไขอะไรได้แม้แต่นิด
มันยากที่เธอจะรักษาความสงบของตัวเองเอาไว้ในตอนที่กำลังโกรธ แต่เมื่อรู้สึกเคยชินแล้ว —พร้อมกับความสามารถที่ฮัลน่ามี— มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แม้ว่าจะโกรธ เธอก็จะตั้งเป้าแนวทางปฎิบัติอย่างดีที่สุด มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของศัตรูคือสวนซึ่งเป็นสถานที่ที่นำไปสู่สถานโบราณ การที่อีกฝ่ายจะเข้ามายึดห้องทำงานอาจารย์ใหญ่เองก็มีโอกาสเป็นไปได้มาก การอยู่ที่นี่ต่อไปเป็นความคิดที่ไม่ดี หากถูกบุกเข้ามาเป็นจำนวนมากเธอจะมีปัญหาแน่ และถ้าพวกศัตรูโยนระเบิดหรืออะไรบางอย่างเข้ามาจากกด้านนอก เธอก็จะไม่มีโอกาสรอดเลย
ฮัลน่าออกจากห้องทำงานอาจารย์ใหญ่เป็นอันดับแรก ไม่ว่าเธอจะไปทางซ้ายหรือทางขวาตามทางเดิน มันก็จะนำไปสู่สวน แต่เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางขวา ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปทางซ้าย เสียงฝีเท้ากำลังตามเธอมา อีกฝ่ายกำลังวิ่ง พวกมันมีจำนวนมาก รองเท้าของฮัลน่าร่ายเวทมนตร์เพื่อเพิ่มความเร็วในการวิ่งเอาไว้ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้เร็วพอที่จะแข่งกับเมจิคัลเกิร์ล มีอะไรบางอย่างยิงเข้ามาหาเธอ เสื้อคลุมที่ป้องกันแผ่นหลังก็ส่องสว่างออกมาอย่างต่อเนื่อง มันมีเวทมนตร์หลายบทที่ถูกร่ายเอาไว้ แต่ถ้าโดนโจมตีเข้ามากๆ เธอก็ไม่รู้ว่ามันจะทนไปได้นานซักแค่ไหน
เธอแค่วิ่ง เธอไม่ได้มองกลับไปด้านหลัง เสียงของฝีเท้าไม่ได้หายไป —ความจริงแล้วมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ศัตรูมีความสามารถทางกายภาพที่เหนือกว่ามาก เสื้อคลุมของเธอยังคงส่องแสงออกมาแบบไม่หยุด และหลังจากที่แสงสว่างจ้าส่องออกมาเป็นครั้งสุดท้าย มันก็แตกละเอียดกลายเป็นผ้าขี้ริ้วและร่วงลงไป การโจมตีครั้งสุดท้ายไม่ได้เป็นอาวุธวิถีโค้ง หนึ่งในศัตรูนั้นวิ่งเข้ามาหาและโจมตีเข้ามาจากทางด้านหลัง ศัตรูอยู่ที่นี่ ฮัลน่ากระโดดไปด้านหน้า ยื่นมือไปที่ทางเข้าของสวน จากนั้นก็เปิดประตูและกลิ้งเข้าไปด้านใน เธอกลิ้งไปด้านหน้าตามทางเดินที่ปูด้วยหินและแผ่นหลังของเธอก็กระแทกเข้ากับลำต้นของต้นด๊อกวู๊ด
“ว้าว พาพวกเราเข้ามาด้วย”
“งี่เง่าจริง”
เธอหันกลับไปหาพวกหัวขโมยที่ตามมาจากด้านหลัง เธอซ่อนใบหน้าของตัวเองด้วยฝ่ามือและตะโกนออกไป “หยุดไอ้เรื่องปัญญาอ่อนนี่ซะ! นี่พวกแกพยายามจะสู้กับฝ่ายข้อมูลรึยังไง?!”
อีกฝ่ายหัวเราะเยาะออกมาเสียงดังกับการขู่ที่น่าตลกของเธอ
“จะโง่ได้ซักแค่ไหนกันนะ?”
“แกตายแน่”
“ลองสู้ให้ถึงที่สุดดูสิ ถึงมันจะไม่มีความหมายอะไรก็เถอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมจิคัลเกิร์ลที่สวมหน้ากากมีสามคน แม้ว่าอีกฝ่ายปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ แต่จากน้ำเสียงและท่าทีแล้ว มันก็บ่งบอกได้ถึงการขาดการศึกษาอย่างชัดเจน พวกนี้ทำให้ฮัลน่ามั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเรื่องที่เธอกำลังจะทำมันไม่ได้ผิด มันเป็นเพราะเมจิคัลเกิร์ลเศษสวะพวกนี้ทำตัวเหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของตัวเอง เพราะแบบนี้ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคือสิ่งที่จำเป็น เธอจะฝึกฝนเมจิคัลเกิร์ลของจริง คนที่สามารถทำอะไรที่ถูกต้องในทางที่เหมาะสมเอาไว้ —ไม่ใช่สำหรับพวกนอกกฏหมายที่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่ใช่คนที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ไม่ใช่พวกแนวหน้าของฝ่ายที่มองหาแต่ความก้าวหน้าของตัวเอง เธอจะไม่ปล่อยให้โศกนาฎกรรมแบบนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่เกิดขึ้นอีก พวกคนที่เลียนแบบต้องโดนกำจัดทิ้งทั้งหมด
เธอสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเรื่องนั้น เธอสามารถยอมรับการเสียสละได้ หากมีร้อยคนที่ต้องตายในตอนนี้ แบบนั้นมันก็หมายความว่าคนนับล้านในอนาคตจะถูกช่วยเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่เสียเปล่า และมันคือเรื่องดีที่คนพวกนี้คือพวกที่ต้องเสียสละด้วย
พวกเมจิคัลเกิร์ลชั่วช้าส่งเสียงหัวเราะออกมา พวกมันลืมไปว่าต้องกำจัดคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด หรือว่า —พวกมันถูกทำให้ลืมเรื่องนั้นไป ฮัลน่าค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆและเดินตรงเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบสนอง
สวนแห่งนี้ ที่ที่ฮัลน่าสร้างมันขึ้นมาอย่างยากลำบากแสนสาหัสมันคือป่าเวทมนตร์ มีเพียงการอยู่ด้านในนี้เท่านั้นที่เวทมนตร์ทุกบทจะเสร็จสิ้นโดยที่ไม่ต้องทำการร่ายหรือออกท่าทาง
ในตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่าศัตรูมีจำนวนเท่าไหร่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงแม้แต่การที่จะใช้พลังงานให้น้อยที่สุด เธอจึงจะไม่ใช้เวทมนตร์ใดๆเพื่อจัดการอีกฝ่าย เธอดึงเอามีดเวทมนตร์ออกมาแล้วเฉือนลำคอของเมจิคัลเกิร์ลที่ยิ้มอยู่เรียงคน เมจิคัลเกิร์ลนั้นล้มลงไปทีละคนและนอนจมกองเลือดของตัวเองโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกของตัวเองถูกฆ่าตาย
มีแต่ฮัลน่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับของสถานที่แห่งนี้ มันมีบาเรียกางเอาไว้รอบสวน การสำรวจจากภายนอกมันจึงเป็นไปไม่ได้ เวทมนตร์ป้องกันทางจิตใจรักษาข้อมูลนี้เอาไว้ไม่ให้ส่งไปยังสโนไวท์เช่นกัน เรื่องรายละเอียดนั้นมันเป็นความลับแม้กระทั่งภายในฝ่ายข้อมูล มันก็คือความลับในหมู่ของความลับ
เธอกลับไปที่ทางเข้าและทำการปิดมันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่การป้องกันแบบเด็ดขาด แต่มันก็สามารถถ่วงเวลาให้เธอได้
ฮัลน่าถอดแว่นออก เช็ดรอยหยดเลือดที่ติดอยู่ด้วยแขนเสื้อคลุมอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปยังพุ่มไลแลคแล้วก็นั่งลงไป ปัดดินที่อยู่ตรงรากออกจนมองเห็นฝาโลหะ เธอวางมือลงไปเพื่อทำการคลายผนึกและเปิดออก เธอหยิบตัวรับสัญญาณที่อยู่ในหมู่อุปกรณ์ขึ้นมา ยืดสายออก และเอามาไว้ที่ตรงปาก ในตอนนี้เธอมีห้องกระจายเสียงแบบพื้นฐานแล้ว
เธอไม่จำเป็นต้องร่ายเวทมนตร์หรือทำท่วงท่าใดๆตราบที่เธออยู่ในสวน แต่การร่ายนั้นก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี มันไม่ใช่ว่าเธอสามารถร่ายเวทมนตร์บทใหญ่ใดๆได้อย่างเป็นอิสระ ดังนั้นเวทมนตร์ของเธอจึงจำกัดอยู่ที่การต่อสู้ และนั่นหมายความว่าฮัลน่าเพียงคนเดียวมันก็ไม่มากพอ หากศัตรูไม่ได้สนใจที่จะคุยกับเธอ แบบนั้นเธอก็คงจะตายไปเรียบร้อยแล้ว เธอจำเป็นต้องมีผู้ปกป้อง คนที่คอยป้องกันเธอจากการโจมตีของศัตรู —แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม
☆ คุมิคุมิ
เมฟิสป้องกันการหมุนตัวเตะของดิโกะเอาไว้ด้วยหางที่อยู่ในเส้นผม จากนั้นก็ไถลตัวเข้าไปในระยะแล้วก็แทงขึ้นไปที่กรามจากด้านล่างด้วยการใช้ฝ่ามือ ซึ่งดิโกะหลบด้วยการย่อตัวลง รักษาโมเมนตัมของการหมุนตัวเตะเอาไว้เพื่อพยายามกวาดขาจากด้านล่าง —เมฟิสยกเท้าขึ้นและหยุดขาของดิโกะเอาไว้ด้วยฝ่าเท้า แม้ว่าทั้งคู่จะถอยหลังและเดินหน้า เมจิคัลเกิร์ลสองคนก็ไม่เคยหยุดวิ่ง พวกเธอเคลื่อนที่ไประหว่างต้นไม้ วิ่งไปตามทางของอาคารเรียนเก่าเพื่อตรงไปยังห้องเรียน
คุมิคุมิแทงพิกแอคไปที่รันยุยเพื่อตรึงตัวรันยุยเอาไว้ แต่เธอก็รู้ว่ารันยุยนั้นรวดเร็ว แต่ในตอนนี้สิ่งที่คุมิคุมิมีอยู่บนหลังมันก็ขัดขวางเธอเอาไว้ เธอเหวี่ยงพิกแอคลงไปที่พื้นเพื่อให้รันยุยเห็นดินที่เธอทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปเป็นหินขว้างทรงเหลี่ยมด้วยเวทมนตร์ แต่รันยุยก็สามารถหลบได้อย่างง่ายๆ เนื่องจากว่าพวกเธอรู้เรื่องความสามารถทางกายภาพและเวทมนตร์ของกันและกันเป็นอย่างดี พวกเธอก็เลยไม่ได้แปลกใจนัก เมฟิสและดิโกะเองก็สู้กันเหมือนกับเป็นช่วงต่อเวลาของคาบว่างด้วย คู่ที่ปะทะกันส่วนใหญ่ในตอนคาบว่างก็คือเมฟิส ผู้สั่งการแบบพลีชีพของกลุ่มสอง และดิโกะ ผู้ชำนาญการใช้ความรุนแรงของกลุ่มสาม
รันยุยก้าวสลับจากด้านหนึ่งมายังอีกด้าน แสร้งทำเป็นโจมตีหนึ่งครั้งก่อนที่จะเตะต่ำเข้ามา
คุมิคุมิกระโดดกลับ ยื่นฝ่ามือออกมา แล้วก็หยุดเคลื่อนไหว “… เดี๋ยวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน? เพื่ออะไร?” รันยุยพูด แต่ท่าทางของเธอไม่ได้ดูก้าวร้าวเหมือนกับคำพูด รันยุยเองก็หยุดเคลื่อนไหวและมองดูเรื่องที่คุมิคุมิจะทำ
“มันไม่มี… เหตุผล… ที่พวกเรา… ต้องสู้กัน”
“ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ เธอน่ะเกี่ยวข้องกับพวกหัวขโมย”
“ฉันไม่ได้… เกี่ยวข้อง คนที่ได้… แจ้งเตือนมา… คือลิเลี่ยนกับอาเดลไฮลด์”
คุมิคุมิหันไปยังเมฟิสและดิโกะที่กำลังสู้กับอีกฝ่ายอยู่พร้อมกับเอามือป้องปาก นี่มันหมายความว่าเธอหันหลังให้กับรันยุย แต่เธอเลือกที่จะตั้งใจทำแบบนี้ หากรันยุยรู้สึกลังเล แบบนั้นก็จะไม่มีการโจมตีเข้ามา
“ดิโกะ! เมฟิส! หยุดนะ! มันไม่มี… เหตุผล… ที่พวกเราต้องสู้กัน!”
แขนและขาของทั้งคู่ต่างก็หยุด และพวกเธอก็มองตรงมาที่คุมิคุมิ พวกเธอดูไม่เหมือนว่ากำลังสงสัยหรือกำลังยับยั้งความโกรธของตัวเองเอาไว้ ท่าทีบนใบหน้าของพวกเธอนั้นบอกว่า “เออ รู้อยู่แล้วล่ะ”
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้รับการตอบสนองที่ดีกลับมา คุมิคุมิก็พูดต่อ “เมฟิส… กับฉัน… ไม่ได้เกี่ยวข้อง… พวกเรา… ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย… จากท่าทางของเมฟิส… มันก็เห็นได้ชัดไม่ใช่เหรอ… ว่าเธอเองก็ไม่รู้… ว่าอาเดลไฮลด์กับลิเลี่ยน… จะทำอะไร…”
ดิโกะมองมาที่ด้านหลังคุมิคุมิจากใต้ฮู๊ด เธอกำลังส่งสัญญาณกันทางสายตา หรือว่าเป็นอะไรแบบนั้นกับรันยุย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เข้าใจ มันไม่ใช่ว่าจำเป็นที่พวกเธอต้องสู้กันในตอนนี้
“ตอนนี้… ไลท์นิ่ง… ลิเลี่ยนกับอาเดลไฮลด์… กำลังสู้กันอยู่ ไม่ใช่ว่าพวกเธอควรจะไปทางนั้นหรอกเหรอ…? เมฟิสกับฉัน… จะไป… ที่ห้องเรียน… ได้ยินเสียงระเบิด…”
บางทีพวกเธออาจจะอยากจับตาเมฟิสและคุมิคุมิเอาไว้ แต่พวกเธอก็ต้องกังวลเรื่องของไลท์นิ่งที่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองตรงทางเดินและแยกตัวออกไปมากกว่า บางทีอาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนก็อาจจะอยู่กับเธอด้วย พวกเธอไม่มีเวลาที่จะมาลังเล ดิโกะและรันยุยวิ่งออกไปโดยไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรออกมา กระโดดออกไปทางหน้าต่างที่เข้ามาก่อนหน้านี้ซึ่งถูกทำลายด้วยเวทมนตร์ของไลท์นิ่งจนมองเห็นทางเดิน
เมฟิสเดาะลิ้นในตอนที่มองดูทั้งสองคนออกไป “ทำไมเธอต้องเข้ามาขวางชั้นด้วยเนี่ย? นี่มันคือโอกาสดีที่จะจัดการดิโกะแล้วด้วย”
“มัน… ไม่ใช่เวลา… สำหรับเรื่องนั้น พวกเราไม่รู้… ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น”
“ชั้นต่างหากที่ควรจะบอก เธอ ว่ามันไม่ใช่เวลา —ที่จะมาแบกของใหญ่ๆเอาไว้บนหลัง นี่จะแบกมาทำไมเนี่ย?”
ฝีเท้าของคุมิคุมิไม่ได้ดีพอที่จะทำเรื่องอย่างการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสามารถไปเอามังกรมาได้ ก่อนหน้านี้เธออธิบายเรื่องนี้กับดิโกะและรันยุยไปมาก เธอนั้นขาดซึ่งความเร็วในการคิดอะไรขึ้นมาและลงมือทำเป็นอย่างมาก คุมิคุมิรู้เรื่องนี้ของตัวเองดียิ่งกว่าใคร
หากเธอมีเวลาคิด มันก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่สามารถทำได้ แต่เนื่องจากว่าไม่นานมานี้เฟรเดริก้าเริ่มทำอะไรแปลกๆ และคุมิคุมิเองก็ได้เจอกับเธอน้อยลงไปมาก จนคุมิคุมิเริ่มที่จะคิดว่า —เฟรเดริก้ามองเธอเป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้ใช่รึเปล่า? จนเฟรเดริก้าตัดขาดกับเธอไป มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก แต่มันเองก็ยากที่จะปฎิเสธ คุมิคุมิคิดว่าการที่ตัวเองไม่ได้อยากทำอะไรที่เลวร้ายหรือแย่กับเพื่อนร่วมห้องถ้าเป็นไปได้นั้นมันคือความจริง มันเป็นเรื่องจริงที่คุมิคุมิไม่ได้มีความสามารถตามที่เฟรเดริก้าแสวงหา
แล้วก็ เธอคิดออกมาอย่างต่อต้าน หากเฟรเดริก้าจะทำอะไรบางอย่าง และถ้าคุมิคุมิไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แบบนั้นตัวของเธอก็ควรจะทำอะไรล่ะ? เธอไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้เรื่องต่างๆมันเกิดขึ้น บางทีคุมิคุมิคนเก่าจะรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ แล้วก็ยอมแพ้ไป แต่ในตอนนี้มันต่างกันแล้ว การทอดทิ้งสิ่งต่างๆเพียงเพราะว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวเองคิดมันจะเป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้สำหรับคานะ คานะนั้นเต็มใจที่จะสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยคุมิคุมิ เพราะคานะรู้สึกว่าเธอมีค่ามากเกินพอที่จะทำมากถึงขนาดนั้นเพื่อช่วยเอาไว้ คุมิคุมิต้องเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีค่ามากระดับนั้นให้ได้
มันค่อนข้างที่จะน่าสงสารว่าอย่างแรกที่เธอทำจนถึงท้ายที่สุดคือการที่เธอทำให้สามารถแบกมังกรไปรอบๆได้ แต่กระนั้น เธอก็บอกได้ว่ามันเป็นเรื่องที่สมกับเป็นคุมิคุมิเช่นกัน
“แล้วนี่เธอปล่อยให้ดิโกะกับรันยุยออกไปได้ยังไงเนี่ย?” เมฟิสพูด “ถ้าอาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนกำลังสู้อยู่กับไลท์นิ่ง และมีสองคนนั้นเข้าไปเพิ่ม มันก็จะกลายเป็นสามต่อสอง”
“ถ้าพวกเธอไม่สามารถชนะได้… พวกเธอก็จะหนี… และถ้าพวกเธอเป็นพวกเดียวกับหัวขโมย… แบบนั้นหัวขโมย… ก็อาจจะเข้ามาช่วย ถ้าจะมีอะไรล่ะก็… คนที่พวกเราควรกังวล… ก็คือกลุ่มของไลท์นิ่ง”
“หือ? นี่เธออยู่ฝ่ายไหนกันเนี่ย?”
“ในตอนนี้… พวกเราควรจะอยู่ฝ่ายเดียวกับโรงเรียน… พวกเราไม่ได้รับ… การติดต่อมาเลย… ถ้าหัวขโมย… เป็นแค่หัวขโมย… แบบนั้นในฐานะสมาชิกของผู้คุ้มกันชั้นยอด… และในฐานะของนักเรียน… พวกเราต้อง… กำจัด… หัวขโมย”
“ไม่เอาน่า… ไม่ใช่ว่าแบบนั้นมันคือการตีความอะไรให้เข้ากับตัวเองหรอกเหรอ? ชั้นหมายถึง เหมือนกับว่า แบบนั้นแหละ แม้ชั้นจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมีแค่อาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนที่ได้รับการติดต่อก็เถอะ”
“ทางนั้นทิ้งพวกเรา…”
ท่าทางของเมฟิสที่อยู่ตรงหน้าเธอกลายเป็นรุนแรง คุมิคุมิเข้าใจความรู้สึกของเมฟิสได้ การถูกทิ้งมันทำให้คุมิคุมิคิดว่า อ่า อย่างนั้นเหรอ… แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเมฟิสถึงโดนทิ้งไปด้วยอีกคน มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วมันก็เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องที่เมฟิสสามารถยอมรับได้
แต่มันไม่มีเวลาแล้ว เธอต้องทำให้เมฟิสยอมรับให้ได้
“อะไรบางอย่าง… คงจะ… เกิดขึ้น” คุมิคุมิพูด
“อะไรบางอย่าง? เช่นอะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่เธอคิดว่า… ไม่อยากโจมตีโรงเรียนเลยหรอกเหรอ…? แล้วทางนั้นก็มองทะลุ…”
ท่าทางของเมฟิสดูรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่เหมือนกับว่าคุมิคุมิไม่ได้พูดผิดไปทั้งหมด หลักฐานมันก็คือการที่เมฟิสไม่ได้เถียงกลับมา
คุมิคุมิรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีเวลามากพอที่จะคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
คานะออกไปที่โรงเรียนหลัก เมื่อคิดถึงเรื่องนิสัยของคานะแล้ว คานะคงต้องพยายามปกป้องนักเรียนของทางโรงเรียนหลักเอาไว้ พวกเธอยืนยันได้ว่าอาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนมีความเกี่ยวข้องกับหัวขโมย เธอกังวลว่าจะมีเพียงแค่สองคนรึเปล่า แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เธอต้องคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปมากกว่า พวกเธออยู่ในห้องเรียนกันจำนวนหนึ่ง ดังนั้นพวกเธอจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของอาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนมากกว่า แต่การระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมันทำให้เธอกังวล แม้จะรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเธอจะไม่เป็นอะไรจากการโจมตีเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการโจมตีครั้งต่อไปไม่ใช่การโจมตี เล็กๆ อีกแล้ว
“มองทะลุพวกเรางั้นเหรอ…? ไม่มีทางที่พวกเราจะโดนตัดออกเพราะเหตุผลปัญญาอ่อนแบบนั้นหรอก!” เมฟิสพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว
“นั่น… ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน—”
เสียงระฆังดังขึ้น มันรู้สึกผิดที่ผิดทางมากจนคุมิคุมิหยุดพูดในทันทีและหันไปมองรอบๆบริเวณ เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับระฆังจนทำให้ส่งเสียงดังออกมา เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องที่คุมิคุมิคาดคิดเอาไว้
เสียงระฆังที่ดังขึ้นมาตามมาด้วยเสียงอู้อี้ มันเป็นการประกาศที่ดังขึ้นมาจากที่ไหนซักที่
“พวกเรากำลังถูกโจมตี เมจิคัลเกิร์ลทุกคนในห้องเรียนหลังจากที่อพยพมาที่สวนแล้ว ให้ฟังคำแนะนำของอาจารย์ใหญ่ด้วย”
ความรู้เหน็บหนาวมันแล่นผ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั่วทั้งตัวของเมฟิสกำลังสั่น เมฟิสจับแขนของคุมิคุมิเอาไว้และพยายามทำให้ร่างกายหยุดสั่น คุมิคุมิเปิดปากออกเพราะคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดมันก็ไม่ออกมา มันไม่จำเป็นที่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เธอต้องทำตามคำสั่ง เธอต้องมุ่งหน้าไปที่สวน เธอต้องไปที่นั่นเพื่อขอคำแนะนำจากอาจารย์ใหญ่
เมฟิสและคุมิคุมิวิ่งออกไปในเวลาเดียวกัน
MANGA DISCUSSION