ตอนที่ 7:
สิ่งที่ควรเปิดเผยและสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย
☆ 0 ลูลู
การต่อสู้กับกวินเนเวียร์ทำให้ริปเปิลได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง หลายครั้งหลายครามันแย่เอามากๆจนถึงขั้นที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังคงยืนอยู่ได้ แต่ในคราวนี้มันคือความสับสนว่าทำไมถึงยังไม่ตาย ลูลูคิดว่าพวกเธอคงต้องรออีกซักพักสำหรับงานถัดไป และคิดว่าคงต้องซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย
แต่หมอกลับส่งหินเวทมนตร์ขนาดใหญ่มาให้พวกเธอ หินพวกนี้ทางดินแดนเวทมนตร์ใช้มันเป็นแหล่งพลังงานเช่นเดียวกับสกุลเงิน ไม่ได้ถูกขัดเกลาให้มีความหมายพิเศษเหมือนกับหินอื่นๆ ผลลัพธ์ของมันเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมาและไม่ได้มีความโรแมนติก มันคือการใช้แล้วก็จะได้พลังมา
นี่หมายถึงว่า “การฟื้นฟู” มันก็จะเร็วขึ้นด้วย
0 ลูลูพันริปเปิลด้วยผ้าพันแผลมากกว่าปกติและวางตัวของริปเปิลลงบนเตียง นั่งลงบนเตียงที่อยู่ข้างๆและสกัดพลังออกจากหินเวทมนตร์เพื่อส่งไปรักษาบาดแผล
ลูลูก้มหน้าพร้อมกับครุ่นคิด
หมอคนนี้ไม่ใช่คนประเภทที่จะให้การรักษาแบบพิเศษกับพวกเธอมาเพราะว่าการต่อสู้มันหนักหน่วงกว่าปกติ มันมีเหตุผลที่พวกนั้นส่งหินเวทมนตร์นี้มาให้ และด้วยเหตุผลนั้นเองมันก็จำเป็นต้องรักษาบาดแผลของริปเปิลอย่างรวดเร็ว ซึ่งความหมายมันมีเพียงแค่อย่างเดียว
“ลูลู”
ลูลูเงยหน้าขึ้นและมองไปยังริปเปิลที่มองมาที่เธอด้วยความกังวล “มีอะไรรึเปล่า?”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ทำไมเธอต้องเป็นห่วงฉันด้วยล่ะ? คนที่ต้องเป็นห่วงมันคือเธอชัดๆเลยนะ เข้าใจรึเปล่าว่าตัวเองบาดเจ็บหนักขนาดไหน?”
หลังจากที่พูดออกมาแล้ว เธอก็สูดลมหายใจเข้า และในจังหวะนั้นเอง ริปเปิลก็เปิดปาก “เกิดอะไรขึ้น?”
“อะ… อื้อ มันเกิดอะไรบางอย่างขึ้นน่ะ” ลูลูก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนที่จะเงยขึ้นด้วยการใช้แรงที่มากกว่าเดิม “อาจารย์ของฉันจะไม่มีวันส่งโบนัสพิเศษมาให้โดยที่ไม่มีเหตุผล หากเธอส่งหินเวทมนตร์ขนาดใหญ่แบบนี้มา ด้วยเหตุผลดีๆมันก็โอเค แต่นั่นก็หมายความว่า เธออาจต้องการความช่วยเหลือในอนาคตอันใกล้”
เมื่อริปเปิลพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ลูลูก็ลุกขึ้นมาจากเตียง “นอนลงไปเลยนะ” เธอสั่งพร้อมกับดันตัวของริปเปิล “หินเวทมนตร์ที่มีขนาดแบบนี้ราคามันไม่ถูก อย่างที่เธอรู้นั่นแหละ เวทมนตร์ของฉันจำเป็นต้องใช้หิน แต่ฉันก็ไม่ได้ค่าตอบสูง แล้วก็แทบไม่เคยได้โบนัสพิเศษ ดังนั้นฉันก็เลยใช้แต่หินที่มันไม่มีราคา หินดีๆน่ะมันมีประโยชน์เยอะ แต่การใช้หินดีๆในแต่ละครั้งมันก็เป็นการสร้างค่าใช้จ่ายที่สูงด้วย ฉันคิดแบบนี้น่ะ ดังนั้นถ้าอาจารย์ส่งหินเวทมนตร์ดีๆมาให้ แบบนั้นสถานการณ์มันก็คงจะเร่งด่วน” ลูลูปล่อยลมหายใจออกมา “บางทีอีกไม่นานพวกเราอาจจะต้องสู้กับเฟรเดริก้าก็ได้”
ความอบอุ่นหายไปจากสีหน้าของริปเปิล มันเป็นความเย็นชาที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“และมันก็จะหมายความว่าทางห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเองก็จะเจอปัญหาด้วย”
ความอบอุ่นกลับมาสู่ใบหน้าของริปเปิลอีกครั้ง ในตอนนี้มันมีความรู้สึกหลากหลายที่ผสมรวมอยู่ด้วยกัน ทั้งความโกรธ ความสับสน ความเศร้า ริปเปิลพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ดังนั้นลูลูจึงลุกขึ้นอีกครั้งและกดตัวของริปเปิลลงไป
“เธอมีร่างกายแค่ร่างเดียวนะ เธอจะแยกไปสองที่ไม่ได้ และก็ไม่อนุญาตให้ทำด้วย ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลกับจุดที่เฟรเดริก้าอยู่น่ะมันห่างกันมาก ด้วยขาที่เป็นแบบนี้มันไม่มีทางที่จะขยับจากที่นึงไปอีกที่ได้ง่ายๆหรอก”
ลูลูเอาใบหน้าเข้าไปใกล้ริปเปิลที่ดิ้นไปมา หน้าผากของพวกเธอกระแทกเข้าหากัน และลูลูก็กดริปเปิลลงไปจากด้านบน “แต่มีเรื่องนึงที่พวกเราสามารถทำได้”
การขัดขืนของริปเปิลน้อยลงแล้ว ลูลูค่อยๆถอยออกมาและนั่งลงไปที่จุดเดิมของตัวเองบนเตียง ริปเปิลจับชายผ้าปูที่นอนเอาไว้และมองมาที่เธอด้วยท่าทีอ้อนวอน
อย่ามองฉันแบบนั้นสิ
ลูลูเก็บความคิดนั้นเอาไว้แล้วก็๋พูดออกมา “อย่างที่ฉันพูดก่อนหน้านี้น่ะ มันไม่มีใครเลยที่คิดว่าตัวของฉันมีความสำคัญมาก หากถึงเวลา มันก็ไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่ข้างๆเธออย่างแน่นอนด้วย ซึ่งความคิดของฉันก็คือ… ถ้าเธอเชื่อใจฉัน แบบนั้นฉันก็จะไปที่ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล”
ลูลูพยายามที่จะพูดว่า “เชื่อใจฉันเรื่องของสโนไวท์ที่แสนสำคัญของเธอได้รึเปล่า?” ออกมาต่อ แต่ริปเปิลก็พูดออกมาว่า “ได้สิ” ในจังหวะก่อนที่ลูลูจะพูดออกมา จนลูลูไม่สามารถพูดจนจบได้
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
ข้อมูลที่คานะเอามาทำให้ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเกิดความแตกตื่นครั้งใหญ่ “เห็นชัดเลยว่ามีหลายห้องที่จะทำเสื้อยืดเป็นเครื่องแบบกันด้วย”
“จริงเหรอ?!”
“ไม่ใช่ว่าเป็นอะไรที่ต้องทำในวันงานกีฬาสีหรอกเหรอ?”
“อ๊ะ เราคิดว่าบางโรงเรียนก็จะทำสำหรับงานเทศกาลสถาปนาเหมือนกันค่ะ อือออ”
“แบบนี้มันรู้สึก… ไม่แฟร์เลย…”
“ชิบหาย ชิบหาย ชิยหายแล้ว… ทางนั้นเล่นใหญ่เพราะพวกเราไม่มีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้!”
“ห้องของพวกเราเองก็ควรทำด้วยรึเปล่า?”
“เสื้อยืดมันเป็นของที่ต้องมีสำหรับร้านราเม็งนะ”
“เธอคิดแบบนั้นเหรอ?”
“แล้วก็เอาผ้าขนหนูพันรอบหัวไว้ด้วย แบบนั้นล่ะเพอร์เฟ็คเลย”
“ต้องมี ต้องมี!”
“เยงเดต้อนล๊าบบบบบบ!”
“นี่ ทำไมเธอถึงได้ข้อมูลนั้นมาจากอุเมะมิซากิล่ะ?”
“ตอนที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดก่อนหน้านี้ เราใช้มันเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลของตัวเอง สุนัขก็มีหนทางของสุนัข หมาป่าเองก็เช่นกัน”
“เสื้อยืดเหรอ ทำของแบบนั้นมันก็ต้องใช้เงินสินะ?”
“ก็นะ มันคงไม่แพงขนาดนั้นหรอก แล้วเรื่องดีไซน์ล่ะ?”
“พวกเราใช้อะไรอย่าง คิวตี้ฮีลเลอร์ ไม่ได้ใช่ไหมคะ อือออ?”
“ของติดลิขสิทธิ์น่ะไม่ได้”
“จะปล่อยให้เรื่องที่พวกเราเป็นเมจิคัลเกิร์ลหลุดออกไปไม่ได้… ดังนั้นมันก็เลยทำไม่ได้ตั้งแต่แรก แต่อย่างน้อยก็อยากตกแต่งให้รูปแบบของเมจิคัลเกิร์ลซักหน่อย แม้จะไม่ต้องเด่นอะไรก็เถอะ”
เรื่องที่พวกเธอคุยกันค่อยๆกลายเป็นการตัดสินใจว่าจะทำเสื้อยืด แล้วหัวข้อก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องดีไซน์ เท็ตตี้เองก็เข้าร่วมการสนทนาเช่นกัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ความกังวลของเธอมันค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
เธอไม่ได้คิดเรื่องที่จะทำเครื่องแบบที่เหมือนกันเลย แล้วเธอก็ไม่ใช่แค่คนเดียว ไม่มีใครในห้องเรียนที่คิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน มันไม่ใช่ว่าพวกเธอขาดจินตนาการหรือความรู้ แต่มันเป็นเพราะพวกเธอทุกคนไม่เคยชินกับงานประเภทนี้
การที่พวกเธอจะทำเสื้อยืดขึ้นมาในตอนนี้ก็เป็นเพราะว่ากำลังลอกความคิดคนอื่น นักเรียนของทางอุเมะมิซากิอาจจะคิดไอเดียอย่างอื่นออกมาก็ได้ และถ้าพวกเธอคิดไอเดียใหม่ๆขึ้นมา บางทีพวกเธอก็คงจะไม่บอกคานะ ทุกเรื่องที่คานะถูกบอกมาก็คือความคิดแบบทั่วๆไปเรื่องที่มี “เครื่องแบบที่เหมือนกัน”
ไม่ใช่ว่าพวกเธอกำลังแข่งขันกันอยู่ ในงานเทศกาลนี้ไม่ได้ตัดสินว่าใครนั้นดีกว่า แต่เท็ตตี้ไม่สามารถปฎิเสธความรู้สึกที่อยู่ภายในใจได้ว่าตัวเองไม่อยากแพ้ ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เธอไม่อยากโดนมองแบบดูถูก
เท็ตตี้รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถในฐานะหัวหน้าห้องเป็นพิเศษ แต่เพื่อนร่วมห้องของเธอนั้นต่างออกไป แม้ว่าพวกเธอจะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล พวกเธอก็ยังคงเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม เมฟิสมีความเป็นผู้นำที่จะดึงทุกคนตามเธอไปด้วย แล้วเท็ตตี้ก็ไม่เคยพบกับนักเรียนมัธยมต้นคนไหนที่เป็นคนดีเท่ามิส ริลมาก่อนเลย ความระมัดระวังของคุมิคุมิ ความสามารถของคานะที่ทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น ความร่าเริงของแรปปี้ ความอยากรู้ของอาร์ลี่ เรื่องต่างๆที่ไม่สามารถวัดค่าได้ของไลท์นิ่ง ความจริงจังของดิโกะ —เท็ตตี้สามารถมองหาลักษณะพิเศษที่ยอดเยี่ยมของพวกเธอออกมาได้ตลอด
แค่คิดว่าอาจจะโดนมองแบบดูถูกราวกับไม่ได้มีอะไรพิเศษเพราะว่าพวกเธอไม่ได้เคยชินกับงานเทศกาลของโรงเรียนหรืองานวัฒนธรรม มันก็รู้สึกน่าอับอายแบบสุดๆแล้ว
แม้ว่าเท็ตตี้จะไม่ได้มีความสามารถ แต่เธอก็คือหัวหน้าห้อง เธอมีหน้าที่ที่ต้องนำพาห้องเรียนไปในทิศทางที่ดีขึ้น เธอแบกรับหน้าที่โดยทั่วไปของหัวหน้าห้องเอาไว้ อย่างเช่นเรื่องโฮมรูมและคอยสนับสนุนนักเรียนคนอื่น เธอคิดเรื่องต่างๆเช่นนี้ มันคงต้องมีความคิดอะไรบางอย่างที่ดีพอที่จะแข่งกับฝีมือและไหวพริบของทางมัธยมต้นอุเมะมิซากิได้
แต่ช่างโชคร้าย เท็ตตี้ไม่สามารถคิดอะไรดีๆออกมาด้วยตัวเองได้เลย เธอคิดเรื่องออกมาสองสามเรื่อง อย่างการเปิดวีดีโอจากเว็บไซท์หรือมีดนตรีภายในร้าน แต่เมื่อลงมือทำจริงๆแล้ว ทั้งหมดนั้นก็เหมือนว่าจะเป็นเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น
มันยังไม่ถึงเส้นตายก็จริง แต่ถ้าเธอไม่สามารถคิดอะไรออกมาหลังจากวันที่ต้องคิดกันได้นั้น แม้ว่าจะคิดจนไปถึงวันที่เป็นเส้นตาย บางทีเธอก็อาจจะไม่สามารถคิดอะไรออกมาได้เลยก็ได้ เธอเข้าใจเรื่องนี้ดีจากประสบการณ์
ก่อนหน้านี้ เท็ตตี้จะยอมแพ้ตรงที่จุดนี้ แต่ในไม่กี่เดือนหลังจากที่ถูกมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างจริงจังในฐานะหัวหน้าห้องของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลมา เธอถูกทดสอบมามากมายจากเพื่อนร่วมห้องที่ไม่เหมือนใคร มันมากพอที่จะทำให้เธออยากร้องไห้ เธอจะไม่ยอมแพ้ในทันที
หลังจากเลิกเรียนภายในสวน เท็ตตี้ได้พูดกับคุณซาโต้ เท็ตตี้ไม่สามารถคิดอะไรออกมาเองได้ เพื่อนร่วมห้องเองก็คิดเรื่องที่สามารถคิดออกมาหมดแล้ว แต่เธอยังไม่ได้ถามคุณซาโต้เลย คุณซาโต้คือจอมเวท ดังนั้นเธออาจจะมีความคิดอะไรดีๆที่เมจิคัลเกิร์ลไม่สามารถคิดออกมาก็ได้
มันต้องขอบคุณที่คุณซาโต้ที่ช่วยไกล่เกลี่ยกับอาจารย์ใหญ่จนพวกเธอสามารถเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาได้ แค่เรื่องนี้เท็ตตี้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว เธอรู้สึกว่าการแสดงความเคารพคุณซาโต้ในทุกๆวันมันก็ยังไม่มากพอ เธอรู้อายมากพอที่จะรู้สึกว่าการที่จะถามอะไรก็ได้กับจอมเวทมันเป็นเรื่องหน้าไม่อายอย่างชัดเจน แต่ถึงแม้เธอจะรู้ว่ามันหน้าไม่อายมากแค่ไหน เธอก็จะถามออกไปอยู่ดี
“หืมมม” คุณซาโต้พึมพำ ขยับมือออกจากต้นหญ้าที่กำลังจะถอนขึ้นมา เธอเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่แขวนเอาไว้ที่ลำคอ เช็ดที่ปลายหู ปัดดินที่เปื้อนชุดทำงานออกไป แล้วก็พึมพำว่า “อย่างนั้นเหรอ” แล้วก็พยักหน้าด้วยท่าทางที่ทำให้เท็ตตี้คิดว่าเหมือนกับชายชราไม่มีผิด
“ไอเดียงั้นเหรอ หืมมม? แต่มันก็จำกัดนะว่าพวกเธอจะทำอะไรได้บ้าง ฉันเองก็ไม่สามารถแนะนำอะไรที่จะเพิ่มงานของพวกเธอให้มากขึ้นหรือเพิ่มภาระให้เธอได้ตั้งแต่แรก แล้วมันก็ขัดกับกฎที่ว่าจะทำอะไรมากกว่าที่ได้ระบุไว้กับทางอุเมะมิซากิก่อนหน้านี้ด้วย”
เท็ตตี้ค่อยๆก้มหน้าลงไป
“แต่เธอสามารถทำอะไรบางอย่างกับตรงพื้นที่ภายนอกร้านได้นะ ถ้ามันไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร”
เท็ตตี้เงยหน้าขึ้นมาทันที “แบบนั้นคือยังไงเหรอคะ?”
“ร้านอยู่ในอาคารเรียนเก่าใช่ไหมล่ะ… ซึ่งหมายถึงว่าห้องเรียนก็อยู่ในอาคารนี้ด้วย มันต้องเดินผ่านทางเดินเพื่อจะไปให้ถึง หากมีสวนอยู่ระหว่างทาง แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความคิดที่ดีเหรอ?” คุณซาโต้หัวเราะออกมาเสียงดังจนปลายหูสั่น
สำหรับเท็ตตี้แล้วมันฟังดูยอดเยี่ยมมาก แต่เท็ตตี้ไม่สามารถรู้สึกดีใจได้ในทันที “หือ… แบบนั้นไม่เป็นอะไรเหรอคะ? มันเข้าไปในสวนไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตนี่นา”
“ถ้ามองในอีกทางหนึ่ง —มันก็แค่ต้องได้รับการอนุญาตนะ”
เท็ตตี้จำเรื่องที่ถูกบอกมาได้ “ถ้าชวนเมฟิสมาเป็นยังไงล่ะ?” โชคไม่ดีที่เท็ตตี้ขาดความกล้าและอะไรหลายๆอย่าง เธอไม่ได้ถูกมอบโอกาสที่จะทำการเชิญชวนได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นนอกจากเท็ตตี้และคุณซาโต้จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านใน
“มันเป็นวันพิเศษนะ ฉันแน่ใจเลยล่ะว่าจะได้รับอนุญาตแน่ๆ จะมีคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้กินราเม็งอร่อยๆ แล้วคนที่เข้ามาก็จะกลับไปพร้อมกับอิ่มท้องและรู้สึกพอใจด้วย หากที่นี่สามารถเป็นอาหารตาให้กับคนที่มาได้ ในฐานะที่เป็นคนคอยดูแล มันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันดีใจไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”
ในตอนนี้ ชั่วพริบตาให้หลัง ความสุขมันก็เอ่อล้นออกมาจากในหัวใจของเท็ตตี้ เธอเต็มไปด้วยความรู้สึกนั้นในตอนที่จับมือของคุณซาโต้และพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา “ขอบคุณมากๆเลยค่ะ”
☆ แรปปี้ ทิป
ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลกำลังรวบรวมวัสดุต่างๆมาเพื่อทำการประดับตกแต่งมังกร —ขยะอย่างขวดพลาสติก กล่องพลาสติก แผ่นเหล็ก และกล่องกระดาษ ยิ่งพวกเธอมีมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดี ดังนั้นบางคนจึงออกไปยังที่ที่ตัวเองมีความเกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือ อย่างเช่นผู้คุ้มกันชั้นยอด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรือกรมการต่างประเทศ
พวกเธอประหลาดใจเมื่อโดรี่เอาอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับยางแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไรและเศษเหล็กจากห้องทดลองมาเต็มสองแขน แต่พวกเธอก็ประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อมิส ริลเอาวัตถุดิบสำหรับโกเล็มมา มันคือเหล็กและหินที่ได้มาจากฝ่ายจัดการ แรปปี้จินตนาการไม่ออกเลยว่าหัวหน้าของฝ่ายจัดการจะร่วมมือกับอีเวนท์ประเภทนี้ด้วย
เท็ตตี้ไม่ได้เอาอะไรมาจากฝ่ายข้อมูล ก็นะ มันก็คงเป็นแบบนั้น แรปปี้คิด —บางทีทางฝ่ายคงปฎิบัติกับขยะทุกชิ้นเสมือนกับเป็นความลับ
แรปปี้ไม่ได้พยายามไปเอาอะไรมาจากฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน ในทางปฎิบัติแล้วเธอคือสายลับ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถหลุดปากพร้อมตีหน้าซื่อกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นอย่าง “จริงสิ ฉันมาจากฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล” หรืออาจจะคิดเช่นนั้น แต่สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปแล้ว แรปปี้ถูกบังคับให้กลับไปยังฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลแบบที่ไม่เต็มใจนักภายใต้ข้ออ้างว่า “ฉันจะไปเอาขยะมาซักหน่อย”
“ขออนุญาต”
“ยินดีต้อนรับ”
ฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลนั้นอยู่ในแนวหน้าของวัฒนธรรมเมจิคัลเกิร์ล ซึ่งหมายถึงมันเป็นพายุที่อยู่ในพายุอีกทีหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงเพื่อให้อยู่รอด หลายครั้งก็ถูกกลืนกินเข้าไปจากกระแสของการเปลี่ยนแปลง และในแต่ละครั้งมันก็จะมีการ “เริ่มต้นใหม่” การเริ่มต้นใหม่ครั้งล่าสุดนั้นมันรุนแรงมากกว่าที่เคยเป็นมา —เธอได้ยินว่ามันเต็มไปด้วยการนองเลือด
หัวหน้าคนปัจจุบันของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลนั้นควรจะเป็นหนึ่งใรคนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่อย่างน้อยที่สุดตัวตนภายนอกของเธอก็ดูสงบอยู่ตลอดเวลา แรปปี้ไม่เคยเห็นเธอขึ้นเสียงเลยซักครั้ง และนั่นเองมันก็เป็นการทำให้เธอดูน่ากลัวมาก
เมจิคัลเกิร์ลที่มีผมสีเงินอมม่วงและใบหน้าตกกระนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะที่ทำมาจากไม้โอ๊กเก่าขนาดใหญ่ และสายตาจับจ้องมาที่แรปปี้ เธอคือจูเบ หัวหน้าคนปัจจุบันของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล การที่เธอกำลังใช้นิ้วโป้งถูเข้ากับนิ้วกลางของมือขวาและมองมามันก็ทำให้แรปปี้รู้สึกประหม่าแบบอัตโนมัติแล้ว
รองหัวหน้าที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อยบนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างๆนั้น มองมาที่แรปปี้ด้วยท่าทางที่น่าสงสาร หุ่นกระบอกที่อยู่บนมือของเธอ ซึ่งมันดูเหมือนกับตัวของแรปปี้กำลังขยับปากพูดว่า “ขอโทษนะ” แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย
“สโนไวท์ร้องขอความร่วมมือมา”
นี่คือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เรื่องสถานการณ์ของพวกเธอเปลี่ยนแปลงไป จูเบพยักหน้าให้กับรายงานของแรปปี้ “ฉันได้ยินแล้วล่ะ เรื่องมันกระทันหันมาก”
เธอพูดออกมาเหมือนว่ากำลังคุยกับเด็ก ซึ่งนั่นทำให้แรปปี้มองกลับไป จูเบที่แรปปี้รู้จักจะพูดแบบที่แข็งกระด้างกว่า จูเบหลุดปากออกมาว่า “อ๊ะ” ปรบมือแล้วก็พยักหน้า “ขอโทษที เธอคือตัวจริงนี่นะ เร็วๆนี้ฉันมีโอกาสได้พูดกับหุ่นกระบอกแรปปี้หลายครั้งน่ะ ถ้าฉันไม่ได้ไม่ใส่ใจ โทนเสียงของฉันก็จะเปลี่ยน แต่ไม่ต้องกังวลหรอก เอาล่ะ พูดต่อเลย”
แรปปี้กระแอมออกมาแล้วก็พูดต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่สามารถรอดชีวิตจากฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลไปได้ถ้าเกิดยอมแพ้ให้กับเรื่องแปลกๆทุกเรื่องที่คนของที่นี่ทำ
“ใกล้ถึงงานเทศกาลสถาปนาแล้ว ฉันเดาว่าสโนไวท์คงคิดว่าอีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะลงมือ”
แรปปี้คิดว่าสโนไวท์คงรู้อะไรบางอย่าง แต่แรปปี้ก็ต้องรายงานในสิ่งที่ต้องรายงาน หากเธอทำการคาดเดาและเก็บเงียบเอาไว้ เรื่องทุกอย่างที่เหลืออยู่ก็จะคือความจริงที่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ทำไมเธอถึงคิดว่าสโนไวท์ถึงติดต่อมาในตอนนี้ล่ะ? มันแปลกไม่ใช่รึไง?”
โทนเสียงของจูเบกลับไปเป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว แต่แรปปี้ก็เมินและตอบกลับไปว่า “ฉันได้ยินว่าสโนไวท์ไปที่ฝ่ายจัดการพร้อมกับมิส ริล บางทีในตอนนั้น เธอคงให้หัวหน้าฝ่ายจัดการแสดงข้อมูลของฉัน…แล้วก็เรื่องประวัติการทำงานของคุณ แล้วสโนไวท์ก็คิดเรื่องนี้ออกมา”
“งั้นเหรอ เดิมทีฉันเป็นสมาชิกของหน่วยวิจัยและพัฒนา การที่จะสงสัยว่าฉันอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของลาซูไลน์ก็มีเหตุผล หากเป็นแบบนั้น สโนไวท์ก็ควรลังเลที่จะขอความร่วมมือมา ข้อมูลของทางฝ่ายจัดการมีความน่าเชื่อถือสูงมาก —สโนไวท์คงต้องดูข้อมูลมามาก และเมื่อยืนยันได้แล้วว่าพวกเราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับลาซูไลน์ เธอจึงเข้ามาหาฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล ฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล… ชื่อเสียงของฉันในหน่วยสืบสวนไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่ ดังนั้นมันเป็นตัวเลือกที่สโนไวท์ทำการตัดสินใจเอง อ่า สโนไวท์นี่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่น่ากลัวจริงๆ… เธอคิดแบบนั้นไหม?”
หลังจากที่พีเฟิลเสียชีวิตไป เฟรเดริก้าก็ใช้ฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลเป็นรังของตัวเอง และจูเบก็คือคนที่เตะก้นไล่เฟรเดริก้าออกไป เนื่องจากจูเบเป็นศัตรูกับเฟรเดริก้าอย่างเห็นได้ชัด สโนไวท์เองก็ควรจะเข้ามาหาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่เหมือนว่าสโนไวท์จะสงสัยว่าพวกเธออาจจะติดต่อกับฝ่ายลาซูไลน์ ดังนั้นสโนไวท์อาจจะคิดว่าความขัดแย้งกับเฟรเดริก้าคือเรื่องหลอกลวง และจริงๆแล้วพวกเธอกำลังร่วมมือกับเฟรเดริก้าอยู่ สโนไวท์สามารถอ่านใจได้ แต่การแค่อ่านใจของแรปปี้คงทำให้เธอรู้สึกไม่แน่ใจ เธอเป็นคนน่ากลัวที่จะรับมือด้วยจริงๆ
แรปปี้รับฟังอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีหรือพูดแทรกอะไร
แต่จู่ๆจูเบก็เอนตัวมาข้างหน้าบนโต๊ะและมองแรปปี้ด้วยท่าทีที่ดูซุกซน “จะว่าไป แรปปี้?”
“มีอะไรเหรอ?”
“เรื่องร่วมมือกับสโนไวท์น่ะ” จูเบพับนิ้วและมองลงไปยังจุดที่ว่างเปล่าบนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เธอจะอยู่ใต้การสั่งการของสโนไวท์และทำตามคำสั่งของเธอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำสั่งของสโนไวท์คือความสำคัญอันดับสูงสุด เธอไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องผลดีผลเสียต่อทางฝ่าย”
“รับทราบ”
“ถ้ามีคนอื่นที่กำลังสู้กันอยู่ ให้หลีกเลี่ยงการช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เข้าใจนะ? และแน่นอนว่าถ้าเธอได้รับคำสั่งจากสโนไวท์มันก็คืออีกเรื่อง”
“รับทราบ”
“แล้วก็ ใช่แล้วล่ะ ดาร์คคิวตี้รุ่นพี่ของเธอยังไม่กลับมาเลย แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่ใช่ว่าเธอออกจากตำแหน่งของตัวเองไปแล้วด้วย ดังนั้นพวกเราต้องพาตัวเธอกลับมา ฉันได้ยินว่าตอนนี้เธอปรากฏตัวออกมาอยู่รอบๆสโนไวท์ ถ้าเธอเจอดาร์คคิวตี้ล่ะก็ ฉันจะดีใจมากเลยล่ะถ้าช่วยบอกให้กลับมาหน่อย”
“รับทราบ”
“แล้วก็ สนุกกับงานเทศกาลสถาปนาให้มากที่สุดล่ะ”
แรปปี้กำลังจะตอบว่า “รับทราบ” เหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่เธอก็ปิดปากลง แล้วหันกลับไปมองจูเบโดยอัตโนมัติ จูเบกำลังยิ้มให้เธออยู่
“แน่นอนว่าจะประมาทไม่ได้”
แรปปี้ตอบกลับไปว่า “รับทราบ” ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดีมาก พวกที่จะทำอะไรบางอย่างกับดินแดนเวทมนตร์มันก็มีแค่การปฎิวัติเท่านั้น —มันค่อนข้างน่ารำคาญนะ แล้วพวกนั้นก็หมกมุ่นกันเหลือเกิน คิดว่าต้องลงมือทำเองด้วยเหมือนกัน เจ้าพวกนี้มันรักษาไม่หายจริงๆ เพราะแบบนี้หน่วยสืบสวนก็เลยยุ่งอยู่ตลอด แย่จริงๆ”
ไม่ใช่ว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในพวกปฎิวัติที่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเหมือนกันหรอกเหรอ? แรปปี้คิด แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา จูเบนั้นน่ากลัว ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอเป็นใคร เดิมทีก็ไม่ได้สังกัดฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลแต่มาจากทางหน่วยวิจัยและพัฒนา ความจริงที่ว่าเธอเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของฝ่ายทั้งที่เป็นแบบนั้นมันน่ากลัวมาก
แรปปี้คงไม่รอดหากเธอพูดคำไม่กี่คำมากเกินไป —ตัวอย่างเช่น “ทำไมไม่ให้สโนไวท์ทำอะไรให้พวกเราเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเรื่องที่จะยอมรับเรื่องการขอความร่วมมือของเธอมาล่ะ?” คนเป็นหัวหน้าคงบอกเรื่องที่เธอคิดได้อยู่แล้ว แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นมันหมายความว่าต้องรับมือกับจูเบ
แรปปี้ก้มศีรษะลงไปลึกและออกไปจากห้อง เมื่อรองหัวหน้าโบกมือของหุ่นกระบอกมาที่เธอ เธอก็โบกมือกลับไปเล็กน้อย
จากจุดนี้ไปมันก็จะคือการที่เธอไม่ทำก็ต้องตาย เพราะได้รับคำสั่งจากคนที่มีตำแหน่งสูงกว่ามา เธอจึงต้องเข้าไปหาสโนไวท์เพื่อขอคำสั่ง และจากนั้นเธอก็ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะรอดไปได้ หากเธอไม่สามารถทำได้ล่ะก็ เธอก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดภายในฝ่ายทรัพยาการเมจิคัลเกิร์ลแบบนี้ได้เลย และไม่สามารถช่วยเพื่อนร่วมห้องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ด้วยเช่นกัน มันไม่ได้ จำเป็น อะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงจะเป็นฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล ที่ที่ผู้คนเรียกกันว่าเป็นหนึ่งในขุมนรก ก็ยังคงมีเกียรติและแนวคิดของตัวเอง
“อ๊ะ จริงสิ”
เมื่อถูกเรียกให้หยุด แรปปี้ก็หันไปรอบๆ แม้ว่าจะเข้าใจดีว่าจูเบไม่สามารถอ่านใจเธอได้ หัวใจของเธอก็ยังคงเต้นแรงราวกับบ้าคลั่ง
“มีอะไรเหรอ?” แรปปี้ถาม
“ฉันรวบรวมขยะเก่าๆที่ไม่ได้ใช้งานเอาไว้แล้ว เอากลับไปด้วยนะ”
เมื่อแรปปี้ได้ฟังที่จูเบพูด เธอก็ก้มศีรษะลงไปเป็นเวลาสิบวินาทีเต็ม
☆ สโนไวท์
มันเป็นเพราะว่าพวกเธอตัดสินใจกันแล้วว่าจะทำเสื้อยืดขึ้นมา แล้วเรื่องดีไซน์ล่ะจะทำยังไง? ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเองและไม่ยอมกัน ดังนั้นชั่วโมงโฮมรูมจึงกลายเป็นความโกลาหล
“ใช่ว่าพวกเราจะเขียนว่า พวกเราคือเมจิคัลเกิร์ล ลงไปแล้วปริ้นต์ออกมาซักหน่อยนี่คะ เราแค่พูดว่าสำหรับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลแล้วการทำอะไรที่มีความเป็นเมจิคัลเกิร์ลเล็กน้อยมันดีกว่า”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แซลลี่ แต่ดีไซน์ของเธอนี่มัน คิวตี้ฮีลเลอร์ ชัดๆเลย”
“นี่ ไม่ใช่ซักหน่อยค่ะ แค่จากภาพเงาใครมันจะบอกได้ล่ะ”
“แต่… แบบนี้… มันก็คือ… แฟนอาร์ท…”
“กฏบอกว่าไม่อนุญาตให้ใช้ของติดลิขสิทธิ์…”
“ฟังนะคะ แบบว่า เอ่อ เราสามารถไปขอการอนุญาตจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้นะ”
“อาจารย์ใหญ่บอกว่าไม่ ดังนั้นถึงจะได้รับอนุญาตมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”
“โอเค งั้นความคิดของแซลลี่ก็ตกไปนะ”
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิคะ เดี๋ยวก่อน เราจะแก้มันเอง แบบนั้นจะได้บอกจากภาพเงาไม่ได้ว่าคืออะไร”
ทุกคนคงจะคิดว่าดีไซน์ของแซลลี่จะถูกปฎิเสธแน่ๆ แต่แซลลี่ก็ดื้อไม่หยุด จนกระทั่งกินเวลาหนึ่งในสามของชั่วโมงโฮมรูมที่จัดเอาไว้ไป แต่นี่เป็นแค่การโหมโรงไปสู่การต่อสู้ที่รอคอยอยู่ด้านหน้า
“พวกเราทำร้านราเม็ง แบบนั้นวาดภาพราเม็งกับดงบุริจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ถ้าทำแบบนั้น ถ้ามีกลิ่นราเม็งด้วยมันจะดีรึเปล่า?”
“นี่ พอเทศกาลจบแล้วพวกเราก็จะใส่กันตามปกติใช่ไหมล่ะ? แบบนั้นก็ไม่อยากให้มีกลิ่นติดอยู่หรอก”
“ถ้ากลิ่นมันติดอยู่ตอนที่ขนไปร้านซักรีดล่ะก็… ตายแน่”
“เรื่องกลิ่นราเม็งนี่ ไม่ใช่ว่ามันยากมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”
“เอ่อ นี่คือคำขอจากผู้สนับสนุนของพวกเรา… เอ่อ รุ่นพี่ส่งเส้นราเม็งมาให้น่ะ เธอบอกว่าถ้าพวกเราติดโลโก้ของแบรนด์เอาไว้ที่ไหนซักที่ด้วยเธอจะดีใจมากเลย”
“มังกรสามหัว… แบรนด์มันคือมังกรคู่ใช่ไหม? แล้วทำไมมังกรมันมีสามหัวล่ะ?”
“เธอบอกว่าเวทมนตร์ของตัวเองพัฒนาไปจากการที่สามารถอัญเชิญมังกรสองหัวเป็นมังกรสามหัวน่ะ แต่เพราะว่าไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ เธอก็เคยยังคงใช้มังกรคู่อยู่ —แล้วก็เรียกตัวเองว่าเป็นซุปเปอร์มังกรแทน แต่เห็นชัดว่าชื่อแบรนด์เองก็เปลี่ยนไม่ได้เหมือนกัน”
“ไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจส่วนตัวของเพื่อนเธอเลย ให้ตายสิ”
“ธุรกิจส่วนตัว”
“ทุกคนนี่งี่เง่าจัง”
“คิวตี้ฮีลเลอร์…”
“แบบนั้น… ไม่ใช่ว่าพวกควรจะ… ทำงาน… มังกร… ที่ประดับห้อง… เป็นสามหัว… ด้วยเหรอ…?”
“ไม่แน่ใจนะว่าพวกเรามีเวลาพอที่จะแก้ใหม่รึเปล่า”
“ใช่แล้ว พวกเราไม่มีเวลา แทนที่จะเสียเวลาเปล่าอยู่ที่นี่ เส้นทางของหมาป่าน่ะคือ—”
“นี่ ฉันมีไอเดียนะ ถ้ากลิ่นของราเม็งมันมากเกินไป แบบนั้นก็เอากลิ่นของไอศครีมวนิลาดีไหม? บางทีมันอาจง่ายกว่ากลิ่นราเม็งด้วย แล้วก็ไม่มีปัญหาในตอนที่จะเอาไปร้านซักรีดด้วยใช่ไหมล่ะ? เพราะกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มบางกลิ่นเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
“ดิโกะ! โยนยัยนี่ออกไปนอกห้องแล้วทำให้หัวเย็นลงที!”
พวกเธอไม่ถูกอนุญาตให้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลในตอนชั่วโมงโฮมรูม ด้วยเหตุผลนั้น โคยูกิ ฮิเมคาวะ จึงไม่ใช่สโนไวท์ เธอไม่สามารถได้ยินเสียงจากในหัวใจของใครได้ ทุกสิ่งที่เธอทำได้ก็คือคาดเดาจากท่าทางผสมกับเรื่องของพวกเธอที่ได้ยินมาตอนแปลงร่าง
แน่นอนว่าในตอนนี้เมฟิสยังไงก็คงรู้สึกกังวล แต่เธอไม่ได้แสดงมันออกมาบนใบหน้า เธอพยายามควบคุมสถานการณ์นี้ในฐานะหัวหน้าของกลุ่มสอง แรปปี้ คนที่ทำงานให้กับทางฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล และอาเดลไฮลด์ที่ทำงานให้กรมการต่างประเทศ กำลังแสดงท่าทางออกมาเหมือนกับนักเรียนมัธยมต้นปกติทั่วไป
ในขณะที่เข้าร่วมการสนทนาอย่างพอประมาณ โคยูกิก็ถามตัวเองว่าควรจะทำอะไร
เธอควรจะโน้มน้าวเมฟิสรึเปล่า? ถ้าเธอจะทำแบบนั้น เธอก็ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เมฟิสมีความรับผิดชอบสูง ถ้าโคยูกิทำไม่ถูกวิธี แบบนั้นเรื่องก็จะกลายเป็นแย่และถูกส่งไปถึงเฟรเดริก้าได้
เฟรเดริก้ารู้เรื่องเวทมนตร์ของสโนไวท์ แต่การที่สโนไวท์เอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลมันก็คือเรื่องที่เธอควรทำ ด้วยการที่ยึดฝ่ายแคสปาร์เอาไว้ มันทำให้เฟรเดริก้าเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับสโนไวท์ในตอนนี้ ข้อมูลเรื่องเฟรเดริก้าที่ได้รับผ่านทางจิตใจอาเดลไฮลด์และเมฟิสมันเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ เธอไม่สามารถเข้าใจถึงภาพรวมได้ว่าเฟรเดริก้าพยายามจะทำอะไร เฟรเดริก้าพยายามจำกัดข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้สโนไวท์รู้ถึงเรื่องอะไรได้เลย
ในขณะที่สโนไวท์คิดเรื่องของเฟรเดริก้า ใบหน้าของเมจิคัลเกิร์ลอีกคนก็โผล่ขึ้นมาในใจของเธอ ริปเปิลเป็นยังไงบ้างนะ? เธอคงทำได้แต่ซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน เธอได้ความช่วยเหลือจากใครบางคนรึเปล่า หรือมีใครจับตัวเธอไปคุมขังเอาไว้นะ? ทุกครั้งที่สโนไวท์คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็สรุปว่าริปเปิลอาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว และทุกครั้งมันก็มีความรู้สึกเหน็บหนาวแล่นผ่านแผ่นหลังของเธอ ในตอนที่ริปเปิลตัดหัวของซาจิโกะแล้วก็วิ่งหนีไป หัวใจของริปเปิลบอกว่าเธอไม่คิดที่จะเจอหน้าสโนไวท์อีกแล้ว หากสโนไวท์อยากจะบอกริปเปิลว่าอย่าทำอะไรที่เห็นแก่ตัวล่ะก็ ก่อนอื่นเลย เธอก็ต้องไปเจอกับริปเปิล
เธอขยับศีรษะไปด้านขวา จากนั้นก็มาด้านซ้าย แล้วก็กลับไปสู่จุดเดิม เธอไม่ควรจะหลุดออกจากเส้นทางที่จะไปสู่เป้าหมายของตัวเอง แน่นอนว่าริปเปิลคงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน เธอจะจัดการเฟรเดริก้าเอง
☆ คัลโคโระ
นักเรียนทั้งห้องกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง และเนื่องจากเป็นเรื่องของนักเรียนที่เข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนา มันจึงไม่ได้มีงานอะไรสำหรับคัลโคโระที่จะเข้าไปช่วย แต่หน้าที่ของคัลโคโระก็คือคอยมองดูนักเรียนที่กำลังทำงานอย่างตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงอยู่ภายในห้องเรียน นี่คือความเจ็บปวดอันใหญ่หลวง
บางทีเนื่องจากมันใกล้จะถึงงานเทศกาลสถาปนาแล้ว ฮัลน่าจึงอยู่ที่โรงเรียนตลอดเวลา ด้วยเหตุนั้นการเกียจคร้านแบบโง่เขลามันก็จะนำพาไปสู่ความพังทลายได้ภายในทันที แม้จะไปดื่มกาแฟในห้องพักยังเป็นเรื่องที่ยากเลย
พวกเธอทำงานกันหนักจริงๆ เธอคิดเช่นนั้นพร้อมกับความรู้สึก 80 เปอร์เซ็นต์ที่ฉุนเฉียวและอีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็คือการนับถือในตอนที่มองดูพวกเธอทำงาน ความสุขเพียงอย่างเดียวของเธอก็คือการเอาโทรศัพท์ออกมาในห้องน้ำเพื่อเล่นเกมไพ่
เธอเดินไปตามทางเดินพร้อมกับสงสัยว่าฮัลน่าจะโกรธเธอมากกว่าตอนที่อ่านหนังสือวิชาการหรือหนังสือเวทมนตร์มากเกินไปรึเปล่า และในตอนนั้นเธอก็เห็นภาพของปรินเซสไลท์นิ่งที่กำลังเดินอยู่อีกทางเข้ามาในสายตา ในตอนนี้คัลโคโระทำอะไรได้ดีกว่าในตอนที่ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลในตอนแรกแล้ว แต่กระนั้น เธอก็เบือนหน้าออกไปแบบอัตโนมัติ รูปลักษณ์ของเธอมันมากเกินไปกว่าที่จะรู้สึกคุ้นชิน
ในตอนนี้ ตัวของไลท์นิ่งกำลังโอนเอนไปมาในขณะที่กำลังยกเครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่ คัลโคโระรีบเข้าไปหาและช่วยพยุงจากด้านข้าง ไลท์นิ่งกระพริบตา มันสามารถบอกได้ว่าขนตาเรียวยาวของเธอกำลังส่งเสียงออกมา
“แหม อาจารย์เข้ามาช่วยเนี่ยจะดีเหรอ?”
“ดูเหมือนว่าเธอกำลังลำบากอยู่ ดังนั้นดิฉันก็เลยต้อง… ช่างเถอะค่ะ”
“ขอบคุณนะอาจารย์ ช่วยได้มากเลย”
โดยปกติแล้ว แม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มธรรมดาๆแค่ครั้งเดียวจากเธอมันก็จะมีบรรยากาศแห่งความกดดันอย่างมหาศาลอยู่ แต่ในวันนี้ การที่มีรอยเปื้อนสีดำอยู่บนใบหน้ามันก็ทำให้ท่าทีของเธอดูอ่อนลง คัลโคโระตอบกลับไปด้วยการยิ้มออกมาเล็กน้อย และทั้งสองคนก็ยกเครื่องปรับอากาศด้วยกัน
“มีรอยเปื้อนอยู่บนหน้านะคะ พอกลับไปที่ห้องเรียนแล้วก็เช็ดออกให้เรียบร้อยด้วย”
“ไม่รู้ตัวเลย”
เธอคงทุ่มเทกับงานของตัวเอง การคิดว่าไลท์นิ่งเป็นคนที่เฝ้ารอที่จะเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนามันก็ทำให้เธอดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก คัลโคโระเคยคิดว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องกิจกรรมของห้องเรียน ไม่ได้เป็นคนจุกจิกจู้จี้เรื่องอะไร หรือแยกตัวออกจากเรื่องต่างๆ เธอแค่ดูเหมือนเป็นนักเรียนที่ใจเย็นมาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ความประทับใจนั้นก็เปลี่ยนไปมาก
นี่เป็นเพราะไลท์นิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เรื่องของคัลโคโระที่ตัดสินคนอื่นแบบไม่ดี ไม่ว่าเธอจะดูเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหน เธอก็ยังคงเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้น แน่นอนว่าการมีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้องจะทำให้เธอเติบโตขึ้น นี่คือหนทางที่เธอควรจะเป็น
ความรู้สึกของการเป็นอาจารย์ที่ผิดปกติเช่นนี้มันเป็นการกระตุ้นให้คัลโคโระพูดออกมาแบบไม่คิด “เธอเปลี่ยนไปนะ”
หลังจากที่พูดออกมา เธอก็แทบจะสะดุดล้ม เธอมองไปที่ไลท์นิ่งและพบว่าอีกฝ่ายนั้นหยุดเดิน
“เปลี่ยน? ฉันน่ะเหรอ?”
สายตาของเธอจ้องมองมาที่คัลโคโระ ดวงตาของเธอดูเป็นประกายภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง แม้คัลโคโระรู้สึกว่ายากที่จะต้านทานเอาไว้มากกว่าก่อนหน้านี้ เธอก็ยังพูดแก้ตัวออกมา “ไม่สิ ดิฉันไม่ได้หมายความว่ามันมากอะไรขนาดนั้น” จากนั้นก็พยายามปกปิดด้วย “ยังไงก็ เดินต่อดีกว่าค่ะ”
แต่ไลท์นิ่งก็ไม่ได้โง่ ในตอนที่ขยับเท้านั้น ปากของเธอก็ไม่ได้หยุด “เปลี่ยนไปยังไงเหรอ? ตั้งแต่ตอนไหนที่อาจารย์รู้สึกว่าเปลี่ยนไป? หมายถึงในด้านดีใช่ไหม? ฉันไม่ได้มีความรู้สึกแย่ๆอะไรเลย ทำไมอาจารย์ถึงคิดว่าฉันเปลี่ยนไปล่ะ?”
ไลท์นิ่งยิงคำถามออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า มันแปลกสำหรับเด็กสาวที่ปกติแล้วแทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา เธอเหมือนกับว่าดีใจมาก ในขณะที่คัลโคโระโบกมืออยู่เพื่อข้างตัวเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เธอก็รีบไปให้ถึงห้องเรียนและภาวนาว่าจะถูกปล่อยตัวเสียที เธอไม่น่าเปิดปากของตัวเองเลย
☆ ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์
ท่าทีของเมฟิสมันแปลก การที่ลิเลี่ยนทำอะไรต่างๆก็ดูน่าสงสัย คุมิคุมิเองก็จดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง
พวกเธอปิดบังเรื่องต่างๆได้แย่ไม่เหมือนกับอาเดลไฮลด์ พวกเธอแสร้งว่ากำลังสนุกเพราะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เก็บเอาไว้และไม่สามารถพูดออกมาได้ เมื่อเทียบกับประสบการณ์ของตัวเองแล้ว อาเดลไฮลด์คิดว่ามันเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับพวกเธอ พวกเธอถูกเฟรเดริก้าเรียกตัวไป และส่วนใหญ่ก็ได้คำสั่งที่เหมือนกับอาเดลไฮลด์มา แม้ว่าพวกเธอจะเป็นสมาชิกของกลุ่มเดียวกัน เพราะพวกเธอรับคำสั่งที่ไม่ให้เปิดเผยตัวเอง เรื่องต่างๆมันก็เลยแปลก
แต่เรื่องนี้โดยทั่วไปแล้วมันก็คือการเปิดเผย อาเดลไฮลด์คิดจะบอกพวกเธอด้วยตัวเองแทน แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความคิด อาเดลไฮลด์ก็คงจะรู้สึกโกรธหากถูกกล่าวโทษว่าขัดแย้งคำสั่งอย่างไม่มีเหตุผล และถ้าสมาชิกคนอื่นถูกกล่าวโทษ มันก็จะแย่ยิ่งกว่าการก่อปัญหาขึ้นมา ไม่ใช่แค่อาเดลไฮลด์เพียงคนเดียว
เธอคิดถึงตัวเลือกที่จะไปยังโรงเรียนกวดวิชามาโอหรือทางกรมการต่างประเทศเพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นมันก็แค่เรื่องที่ไม่เข้าท่า เหมือนกับการเอาความลับไปพูดกับพ่อแม่ และแม่ของอาเดลไฮลด์เองก็เป็นคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอแล้วก็ยังเป็นสมาชิกของกรมการต่างประเทศด้วย แทนที่มันจะ เหมือน กับเอาความลับไปพูดกับพ่อแม่ มันก็จะกลายเป็นการเอาความลับไปพูดกับพ่อแม่ซะจริงๆ
ในตอนที่คิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรพร้อมกับทำงานไปด้วย มันก็ทำให้นิ้วของเธอเข้าไปติดอยู่ในชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศ เธอสะบัดนิ้วตัวเองและส่งเสียง โอ๊ย ออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าคุมิคุมินั้นกำลังตั้งใจแยกชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศมาก เธอไม่ได้มองมาที่อาเดลไฮลด์ด้วยซ้ำ บางทีเธออาจจะไม่ได้รู้ตัวด้วย
“พวกเราไม่จำเป็นต้องมีวันพรุ่งนี้” คานะยื่นผ้าพันแผลมาให้ การที่คานะพูดอะไรแบบนั้นออกมามันทำให้อาเดลไฮลด์รู้สึกเหมือนกับว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ซึ่งมันก็ทำให้นึกได้ว่า —คานะควรจะเป็นนักเรียนที่ใกล้ชิดกับเฟรเดริก้ามากที่สุด แต่เธอก็ทำตัวเหมือนเดิมตลอด เธอดูไม่เหมือนจะคนที่จะพูดโกหกออกมา แต่เธอไม่ได้รับคำสั่งโดยเฉพาะอะไรมาเลยงั้นเหรอ? และถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงมีเธอคนเดียวที่ไม่ได้รับคำสั่งอะไรมาเลยล่ะ?
อาเดลไฮลด์มองไปรอบๆ ไม่มีใครที่กำลังเพ่งความสนใจมาที่พวกเธอ แม้กระทั่งคุมิคุมิก็จดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง และไม่มีเสียงอะไรดังมาหา
อาเดลไฮลด์ที่รับผ้าพันแผลมาและถามออกไปอย่างเบาๆว่า “นี่ ทำไมเธอถึงถูกส่งมาที่นี่ล่ะ?”
คานะที่กำลังแยกชิ้นส่วนด้านนอกของฮีตเตอร์นั้นหยุดมือลง กอดอก แล้วก็พยักหน้า “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ่า… แบบนั้นสินะ”
หากได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน ไม่ว่าคำสั่งนั้นมันจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน มันก็ต้องลงมือทำ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะแค่เมจิคัลเกิร์ล —มันเป็นจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วย
☆ เมฟิส เฟเลส
พวกเธอไม่ต้องทำอะไรจนกว่าจะถึงงานเทศกาลสถาปนาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันไม่ใช่ว่าพวกเธอปล่อยให้เรื่องต่างๆอยู่ของมันแบบนั้น เฟรเดริก้าเปิดเผยกับพวกเธอว่า “หากเป็นแบบนี้ พวกเราอาจจะต้องลงมือ” ดังนั้นพวกเธอจึงต้องช่วยฝ่ายแคสปาร์ในการเข้าโจมตีโรงเรียน แต่ปัญหาใหญ่ที่พูดกลับถูกละเลยและเลื่อนออกไป ในกรณีนี้ มันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าพวกเธอสามารถหาวิธีแก้ไขได้ทันเวลา แต่เมฟิสก็ไม่ได้มีพลังจินตนาการอันล้ำเลิศเหมือนกับที่ตัวเอกในมังงะมี และเวลามันก็ค่อยๆผ่านไป
พวกเธอมีเวลาไม่มากพอแถมยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ เมฟิสไม่สามารถเป็นคนเดียวที่จมอยู่ในความคิดในขณะที่คนอื่นกำลังลงมือทำงานได้ ดังนั้นเธอจึงช่วยในงานที่คนอื่นจะไม่สงสัยเธอ ซึ่งนั่นมันเป็นการทำให้เธอต้องใช้เวลาคิดมากขึ้น มันน่าหงุดหงิด แต่เธอจะแสดงความหงุดหงิดออกมาไม่ได้
นี่คือเรื่องของการที่รับใช้อำนาจและได้รับค่าตอบแทนมา มันต้องมีความรับผิดชอบอยู่เสมอและโดนพรากเอาอิสระภาพไป เมฟิสอิจฉาความอิสระของคานะที่สามารถไปไหนมาไหนระหว่างห้องเรียน หรือไปยังโรงเรียนหลักเพื่อให้ได้ข้อมูลมา แต่คานะก็ไม่สามารถเป็นเมฟิสได้ เมฟิสเองก็ไม่สามารถเป็นคานะได้เช่นกัน
งานในวันนี้ที่รอพวกเธออยู่มันน่าหงุดหงิดกว่าปกติ พวกเธอต้องไปยังอุเมะมิซากิเพื่อเข้าร่วมคณะกรรมการจัดการงานเทศกาลสถาปนา ที่ๆพวกเธอต้องยืนยันการตัดสินใจของตัวเองและรับสิ่งพิมพ์และสิ่งของต่างๆมา เท็ตตี้ —คนที่เป็นหัวหน้าห้องและหัวหน้ากลุ่มหนึ่ง— จะไปพร้อมกับเมฟิสและไลท์นิ่ง หัวหน้าของอีกสองกลุ่ม
กลุ่มสองนั้นดูกังวลมาก คนในกลุ่มกำลังบรรยายให้เธอฟังว่า “อย่าทะเลาะกับเด็กนักเรียนจากอุเมะมิซากิเชียวล่ะ” ไม่ก็ “ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร เธอจะโกรธไม่ได้นะ” เมฟิสจึงตะโกนใส่พวกเธอกลับไปว่า “นี่พวกแกคิดว่าชั้นเป็นใครห๊ะ?”
ก่อนที่จะเข้าไปภายในโรงเรียน เมฟิสก็ย้อมผมตัวเองเป็นสีดำ สวมแว่นตาแบบเรียบๆ รวบผมเป็นเปีย และสวมเครื่องแบบตามกฏ ทุกอย่างนั้นเข้ากับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล บางทีสุดท้ายแล้วมันอาจจะเป็นความพยายามที่ไม่จำเป็น แต่เธอก็ปกปิดตัวตนของตัวเองเพื่อประโยชน์ของภารกิจ เธอปรารถนาไปถึงขั้นนั้น แล้วทำไมคนอื่นถึงคิดว่าเธอจะไปสร้างปัญหาที่อุเมะมิซากิกันล่ะ? ถ้าจะกังวลเรื่องของใครซักคนล่ะก็ มันก็ควรจะเป็นไลท์นิ่ง
เธอมองไปที่สมาชิกของกลุ่มสามที่กำลังสั่งอะไรอย่าง “อย่าทำแบบนี้” “อย่าทำแบบนั้น” แล้วก็ “อยู่เงียบๆให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” กับไลท์นิ่ง —หรือก็คือกำลังขอร้องนั่นเอง เรื่องของพวกเธอมันดูมีเหตุผลกว่ามาก
สุดท้ายแล้ว การประชุมคณะกรรมการจัดงานก็จบลงโดยที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เมฟิสทำหน้าจริงจังในตอนที่ทักทายทุกคนและทำหน้าจริงจังในตอนที่ฟังทุกคน —เธอทำหน้าจริงจังอยู่โดยตลอดเวลา นักเรียนของอุเมะมิซากิต่างก็มองไปที่ไลท์นิ่ง ทุกเรื่องที่เมฟิสคิดได้ก็มีแค่ ก็แหงล่ะนะ ไลท์นิ่งไม่ได้พูดมากกว่าที่จำเป็นตามคำสั่งของสมาชิกในกลุ่ม แต่การที่เธอนั่ง เดิน หรือว่าจะทำอะไรก็ตามมันก็ยังดึงดูดความสนใจอยู่ดี
เมจิคัลเกิร์ลต่างก็งดงามเมื่อแปลงร่าง และการที่มาโรงเรียนและได้อยู่กับไลท์นิ่งเป็นเวลาหลายเดือน เมฟิสก็ชินกับเธอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดว่าใครๆต่างก็หันมองไลท์นิ่งเมื่อเธอออกไปข้างนอก
พวกเธอได้ยินเสียงถอนหายใจและเสียงซุบซิบตลอดระยะเวลาการประชุมคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่การประชุมจบลงแล้ว ในตอนที่คนอื่นเข้ามาเพื่อพยายามจะพูดด้วย เมฟิสก็ก้มศีรษะและแทรกตัวผ่านออกมา เมื่อเวลาผ่านไปจนเธอกลับมายังอาคารเก่าของโรงเรียน เธอก็รู้สึกเหนื่อย แค่คิดว่าเธอต้องทำแบบนี้ทุกครั้งในการประชุมคณะกรรมการ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองทนไม่ไหว
ไลท์นิ่งคนที่เป็นต้นตอของปัญหาพูดขึ้นมาว่า “ฉันต้องไปช่วยคุมิคุมิแล้ว” แล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนพร้อมกับการเดินแล้วกระโดดไปด้วย
ในตอนที่เท็ตตี้กำลังจะกลับไปที่ห้องเรียนเช่นเดียวกัน เมฟิสก็เรียกเธอให้หยุดเอาไว้ “พอมีเวลาไหม?”
“หือ? อะไรเหรอคะ?”
“เฮ้ เธอไม่คิดว่าแค่หัวหน้าห้องคนเดียวมันก็พอแล้วรึไง? อุเมะมิซากิมีหัวหน้าห้องหนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง แล้วทำไมพวกเราต้องส่งไปหนึ่งคนต่อหนึ่งกลุ่มด้วย? คราวหน้าเธอไปเองเลยนะ คงจะไม่พูดว่าไปคนเดียวมันเหงาใช่ไหม?”
ดวงตาของเท็ตตี้เบิกกว้าง เธอเหมือนว่าจะประหลาดใจ เธอสูดลมหายใจเข้าและหายใจออกมาอย่างเงียบๆ “เอ่อ ก็… มันเป็นข้ออ้างที่จะพาไลท์นิ่งไปด้วยน่ะค่ะ”
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“นักเรียนของทางอุเมะมิซากิถามพวกเราว่าจะพาไลท์นิ่งไปด้วยได้รึเปล่า”
เมื่อได้ยินเอาตอนนี้ มันก็ฟังดูงี่เง่า จนเมฟิสถอนหายใจออกมา
“อะไรล่ะนั่น… ช่างเถอะ อย่าคิดอะไรมาก คราวหน้าเธอก็ไปคนเดียวละกัน”
“หือ? เมฟิสจะไม่มาด้วยเหรอคะ?”
“พวกเรายุ่งกันตั้งแรกแล้ว จะเสียคนทำงานไปอีกไม่ได้”
“ก็ ฟังนะคะ เหมือนว่าการที่พวกเราสามารถเข้าร่วมได้เป็นเพราะความหวังดีของทุกคนจากอุเมะมิซากินะคะ” ในตอนที่เท็ตตี้กำลังแก้ตัวอยู่นั้น มุมปากของเธอก็ม้วนขึ้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จนกลายเป็นว่าเธอยิ้มออกมา
เมฟิสขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย “…ทำไมเธอถึงดูดีใจล่ะ?”
“หือ? นี่ฉันดูเหมือนกำลังดีใจอยู่งั้นเหรอคะ? อ่าา ก็ ฉันแค่คิดว่า เมฟิสพูดกับฉันแบบปกติแล้วเท่านั้นเอง”
พอเท็ตตี้พูดแบบนั้น เมฟิสก็คิดว่า อ๊ะ พอนึกได้ว่าตอนนี้เมฟิสกับเท็ตตี้กำลังทะเลาะกันอยู่ เมื่อเร็วๆนี้มันมีเรื่องมากมายที่ต้องคิด เธอก็เลยลืมมันไป
เมฟิสคิดว่าหากจะโทษใครซักคนล่ะก็ มันก็ควรเป็นเธอเอง แต่เธอก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะขอโทษ แล้วเรื่องราวมันก็ลากยาวมาเพราะเธอ อาเดลไฮลด์อยู่ตรงรายชื่อด้านบนสุดของสมาชิกกลุ่มที่ได้ออกไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเป็นอะไรที่รับมือยาก แต่การที่ได้เห็นเท็ตตี้เป็นแบบนี้ เมฟิสจึงไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเธอถึงรู้สึกโกรธ เธอถอนหายใจออกมาแล้วก็ดันแว่นขึ้นไป
“มันเหมือนกับว่า” เมฟิสเริ่มพูด
“เหมือนกับว่า? …อ๊ะ จริงด้วย มันมีเรื่องที่ฉันอยากจะพูดกับเมฟิสอยู่ด้วยค่ะ”
“เรื่อง?”
“เรื่องสวนค่ะ”
เมฟิสมองกลับไปอย่างอัติโนมัติ เสียงของเท็ตตี้ฟังดูตื่นเต้น เหมือนว่าเท็ตตี้จะไม่เข้าใจเรื่องความสำคัญของคำพูดที่ตัวเองพูดออกมา
“พวกเราได้รับอนุญาตให้ใช้สวนเป็นเส้นทางในการไปและกลับร้านค่ะ มันเป็นสถานที่ที่ดีนะคะ ฉันคิดว่ามันเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับลูกค้าด้วย”
“ได้รับอนุญาต… จากใคร?”
“ภารโรงของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลค่ะ”
“ภารโรง? มีด้วยเหรอ?”
“มีสิคะ เธอทำงานอยู่ในสวนบ่อยๆ”
สวนนั้นแทบจะแน่นอนว่าเป็นทางเข้าไปสู่สถานโบราณ และสถานโบราณก็ถูกป้องกันเอาไว้ เมฟิสและกลุ่มของเธอถูกส่งเข้ามายังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเพื่อขโมยวัตถุโบราณ หากพวกเธอสามารถขโมยได้ แบบนั้นมันก็จะไม่มีการโจมตี ภารกิจดั้งเดิมของเธอคือการยืนยันเรื่องตำแหน่งของสถานโบราณ ลอบเข้าไปด้านใน และขโมยมันออกมา ในตอนนั้นมันไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะทำการโจมตี แต่ในตอนนี้ สิ่งต่างๆมันก็ต่างกันออกไป
หากเธอสามารถขโมยออกมาได้ แบบนั้นก็จะไม่มีการโจมตี ปัญหาก็คือเธอจะเอามันออกมาได้รึเปล่า
“…พวกเราไปดูตอนนี้เลยได้รึเปล่า?” เมฟิสถาม
“บางทีอาจจะไม่ได้ค่ะ… อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่าทำไมถึงไม่ชวนเมฟิสมาที่สวนด้วย ดังนั้นมันก็หมายถึง ถ้าฉันอยู่กับเมฟิส แบบนั้นก็คงจะไม่เป็นอะไร… รึเปล่านะ?”
“อ่า ใช่ ฟังดูไม่เป็นไรนะ แบบนั้นชั้นจะแอบมองได้ไหมนะ?” เมฟิสพูดออกมาพร้อมกับท่าทางสงบนิ่งบนใบหน้า แต่หัวใจของเธอนั้นเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากเรื่องราวมันเป็นไปได้ด้วยดี เธอก็จะจบเรื่องทุกอย่างลงที่นี่ เธอไม่เคยมีโอกาสแบบนี้มาก่อน แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นไปด้วยดีขนาดนั้น แต่เธอก็ได้ข้อมูลมา แม้ว่าในตอนนี้จะเป็ํนไปไม่ได้ เธอก็อาจจะสามารถทำได้ก่อนที่จะถึงกำหนดการเข้าโจมตี ในขณะที่จ้องมองไปยังแผ่นหลังของเท็ตตี้ที่อยู่ด้านหน้า เมฟิสก็กัดริมฝีปากล่างแรงขึ้น ถ้าเธอทำสำเร็จ แบบนั้นเธอก็ไม่สามารถอยู่ในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลได้อีก แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าดีกว่าการที่จะเข้าโจมตี มันต้องเป็นแบบนั้น ใช่ การที่มันไม่ได้เป็นไปด้วยดีอาจจะดีกว่า มันอาจจะดีกว่าสำหรับเมฟิสที่สามารถระบุตำแหน่งและเส้นทางการแทรกซึม แล้วผู้ที่เชี่ยวชาญจำนวนมากจะแอบเข้าไปและขโมยออกมาตามข้อมูลที่มี แบบนั้นมันก็มีโอกาสที่เธอจะสามารถเข้าร่วมชั้นเรียนต่อไปได้เหมือนกับก่อนหน้านี้
พวกเธอเดินไปตามทางเดินที่มีหลังคาระหว่างอาคาร วนรอบชั้นหนึ่งตามเข็มนาฬิกาเพื่อออกมายังด้านหน้าของสวน เท็ตตี้วางมือลงที่ด้ามจับ และประตูเหล็กที่ดูหนักก็เปิดออกอย่างนิ่มนวล เหมือนว่ามันจะมีเวทมนตร์ที่ร่ายเอาไว้ บางทีมันอาจจะตอบสนองกับเท็ตตี้ และในตอนนี้พวกเธอก็เข้าไปด้านในประตูที่เมฟิสไม่สามารถเปิดได้
“อ๊ะ สวัสดีค่ะ”
ในตอนนี้มันมีปัญหา มันมีใครบางคนอยู่ที่นี่ เท็ตตี้นั้นกำลังโบกมือให้ นี่คือภารโรงที่เท็ตตี้พูดถึงรึเปล่า? คนที่กำลังนั่งยองๆอยู่ตรงพุ่มไม้ด้านหน้าของสวนลุกขึ้นมา อีกฝ่ายใส่ชุดเอี๊ยมและมีผ้าขนหนูพากเอาไว้ที่คอเหมือนกับภารโรงทั่วไป เส้นผมมัดเอาไว้ด้านหลัง และที่ปลายหูยาวๆมันก็แหลม เมฟิสทำหน้าบึ้งตึง เธอคิดว่านี่คืออาจารย์ใหญ่ แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ ใบหน้าของพวกเธอนั้นต่างกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจำผิดคิดว่าคนๆนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ นอกจากการที่มีหูแหลมแล้ว เธอก็มีรูปร่างที่เรียวสวยและใบหน้าที่งดงามเหมือนเอลฟ์สาวที่ปรากฎอยู่ในนิทาน
จริงๆแล้ว…
เธอเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหนมาก่อน เธอเคยเห็นที่ไหนกันนะ? หญิงสาวคนนั้นยื่นมือซ้ายเข้ามาหาเธอ เมฟิสรู้สึกวิงเวียน เธอไม่สามารถยืนไหว นี่มัน—
“รู้ไหมคะ ฉันดีใจที่พวกเราคืนดีกันได้”
“อ่าาา เอ่อ… อื้อ”
ในตอนที่เดินอยู่ข้างๆกันตามทางเดิน เมฟิสก็ยิ้มออกมาทางด้านซ้ายของใบหน้า ในฝั่งที่เท็ตตี้ไม่สามารถมองเห็น เธอไม่ได้ยิ้มเพราะว่ารู้สึกดีใจ —เธอยิ้มออกมาเพราะความไม่ระวังตัวของเท็ตตี้ เหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจเหตุผลว่าทำไมเมฟิสถึงคุยกับเธอเหมือนกับว่าไม่มีอะไร
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเมฟิสไม่ได้รู้สึกดีใจเลย
“มันทำให้ฉันนึกถึง…” เท็ตตี้เริ่มพูด
“อะไรเรอะ?”
“เอ่อ… มันคืออะไรแล้วนะ? ฉันคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่จะพูดกับเมฟิสค่ะ”
“เรื่องไร้สาระอีกงั้นเหรอ? เธอนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ไม่ต้องสนใจหรอก ค่อยบอกชั้นตอนที่นึกได้ก็แล้วกัน ที่สำคัญคือ กลับไปที่ห้องเรียนเถอะ ไลท์นิ่งตรงไปที่ห้องเรียนและบางทีก็อาจจะทำงานอยู่ ถ้าพวกเราไปสายแล้วเธอคิดว่าพวกเราขี้เกียจ ชั้นคงประสาทกินแน่”
ทั้งสองคนเดินไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็วขึ้น
☆ คานะ
ในวันต่อมา วันที่ทั้งห้องรู้ว่าต้องไปเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการงานเทศกาลสถาปนา เมฟิสกับเท็ตตี้ก็ประสบความสำเร็จในการคืนดีกันครั้งประวัติศาสตร์ เหตุผลที่พวกเธอคืนดีกันไม่สามารถทราบได้ เมื่อมิส ริลถามเท็ตตี้ เท็ตตี้ก็บอกว่า “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” และเมื่ออาเดลไฮลด์ถามเมฟิส เมฟิสก็ตอบกลับมาว่า “หุบปากไปเลยนะ” หากคานะถาม เวทมนตร์ของเธอก็จะให้คำตอบ แต่แบบนั้นมันก็เสียมารยาทมากเกินไป
มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทางตอนที่กลับจากการเข้าร่วมประชุมในตอนที่ปรินเซสไลท์นิ่งไม่อยู่ เมื่อได้พลาดฉากนั้นไป ไลท์นิ่งก็พูดออกมาว่า “แทนที่จะรีบกลับ ฉันก็ควรจะอยู่นานกว่านั้นซักหน่อย” ไลท์นิ่งรู้สึกไม่พอใจในแบบของเธอ
คานะคิดว่าจะถามเมฟิสหลังจากที่กลับไปที่บ้าน เนื่องจากเวทมนตร์ของคานะจะทำงานเมื่อเธอถามคำถามออกมา ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถถามออกมาได้ การแตะต้องปัญหาโดยที่ไม่ได้ถามคำถามมันจะทำให้เมฟิสอารมณ์เสียอย่างรวดเร็ว และเมื่อรู้ว่าเมฟิสจะอารมณ์ไม่ดีเพราะแบบนั้น คานะก็ล้มเลิกความอยากรู้เรื่องการคืนดีของเมฟิสและเท็ตตี้ไป
คานะสงสัยเรื่องรายละเอียด แต่มันไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถเรื่องราวทุกอย่างของโลกใบนี้ได้ มันมีหลายเรื่องที่เธอต้องยอมแพ้ เธอควรจะรู้สึกดีใจเรื่องการคืนดีและการเติบโตของตัวเองที่รู้ถึงอารมณ์ของเมฟิสมากกว่า
สุดท้ายแล้ว ตราบใดที่พวกเธอสามารถคืนดีกันได้ แบบนั้นมันก็ดีแล้ว และถ้ามันสามารถทำให้เรื่องต่างๆภายในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลดีขึ้น แบบนั้นทุกคนก็จะได้ประโยชน์ แน่นอนว่าคานะเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนที่บอกว่า “รวมคานะเข้าไปด้วย” มันเป็นเรื่องที่ดี เธอคิดออกมาในตอนที่กัดเข้าไปที่ขนมอบของมื้อเย็น การที่เธอยิ้มออกมามันทำให้เมฟิสรู้สึกสยองด้วย
ในขณะที่เธอทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง เรื่องต่างๆมันก็ค่อยๆเป็นไปในทางที่ดี ถ้ามันยังคงเป็นไปแบบนี้ต่อไป แน่นอนว่างานเทศกาลสถาปนาก็จะออกมาดีเช่นกัน วันต่อมาพวกเธอก็มีคาบเรียน คอยช่วยยกสิ่งต่างๆตอนพัก และในตอนเวลาว่าง พวกเธอก็ทดสอบรสชาติของราเม็ง
“ทุกครั้งที่ลองชิมเจ้านี่ ชั้นก็ค้นพบอะไรใหม่ๆ ชั้นรู้ว่ารสชาติแบบนี้มันไม่ดีกับสุขภาพเอาซะเลย” เมฟิสพูด
“เธอรีวิวดีกว่านั้นไม่ได้รึไง? ถ้าเธอพูดแบบนั้น รุ่นพี่ของชั้นได้ร้องไห้แน่”
เมฟิสถูกขับออกจากหน้าที่ในการทดสอบรสชาติอย่างรวดเร็วแล้วก็ไปช่วยคุมิคุมิแทน การที่ตัวของคานะอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลตลอดมันทำให้เธอแข็งแรงกว่าเพื่อนร่วมห้อง —ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน สำหรับงานที่ต้องใช้แรง อย่างการแยกชิ้นส่วนของเครื่องจักรและบีบอัดขวดพลาสติก มันก็ไม่มีใครที่เทียบคานะได้ ถ้าให้พูดอย่างเข้มงวดแล้ว เรื่องนี้บางทีอาจจะขัดกับกฎที่ห้ามใช้ความสามารถของเมจิคัลเกิร์ล แต่ถ้าจะยึดติดกับกฎ แบบนั้นคานะก็จะเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ —มันไม่ได้มีการประกาศออกมาว่าจะไม่ได้สนใจก็จริง แต่คานะก็รู้ดีว่ามันเป็นแบบนั้น เธอรู้สึกดีใจที่เพื่อนร่วมห้องมีน้ำใจเช่นนี้
การสร้างงานศิลปะที่คุมิคุมิมีหน้าที่รับผิดชอบก็คืบหน้ามากขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละวัน มังกรที่พวกเธอสร้างขึ้นจากขยะนั้นดูมีชีวิตมากเหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะขยับไปตลอดเวลา
“ออกมายอดเลย” คานะพูด “ในคุกมันไม่ได้ดีอะไรยอดเยี่ยมแบบนี้เลย”
“นั่น… ไม่รู้สึกเหมือน… จะเป็นคำชมนะ…”
“แปลกจัง เราหมายถึงการยกย่องแบบสูงมากนะ”
หลังจากที่ทานมื้อกลางวันของโรงเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คานะก็วิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ไปยังโรงเรียนหลักอุเมะมิซากิในทันที มันเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะมองเห็นคานะในตอนที่กำลังเคลื่อนไหว แต่ถ้าเธอลดความเร็วลงและมีใครบางคนถามอะไรกับเธอในตอนที่หยุดตัว แบบนั้นมันก็อาจจะนำพาไปสู่การรู้ถึงเรื่องเมจิคัลเกิร์ลได้ ดังนั้นเธอต้องแน่ใจว่าจะไม่ได้มีใครที่มองอยู่ก่อนที่จะหยุดตัว ความกังวลพวกนั้นมันสมกับเป็นเมจิคัลเกิร์ลมาก คานะรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากการเป็นนักโทษผู้ไร้กฏ แล้วเธอก็พยักหน้าให้กับตัวเอง
“อ๊ะ คานะ ยินดีต้อนรับจ้า”
“อื้อ สวัสดี”
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง? เป็นไปด้วยดีรึเปล่า?”
“เราคิดว่าราเม็งมันอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ก็นะ มันไม่ดีต่อสุขภาพหรอก …แต่รสชาติมันอร่อยไง”
“เธอไม่คิดว่าการเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการกินแบบตามใจมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเหรอ?”
“มันต้องดราม่าขนาดนั้นไหม?”
ที่มัธยมต้นอุเมะมิซากิ เธอสามารถเข้ากันได้ดีกับนักเรียนห้อง 2-C เธอเพ่งความสนใจไปกับเรื่องที่พวกเธอคุยกันมากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถพูดอะไรแปลกๆออกมาอย่างเปิดเผยเหมือนกับตอนอยู่ในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลได้ แต่เมื่อเทียบกับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลแล้ว นักเรียนของที่นี่ต่างก็เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่คานะไม่รู้ แล้วก็ยังมีความสนุกสนานมาก คานะสามารถใช้เวลาทั้งหมดในช่วงพักด้วยแค่การคุยกับพวกเธอได้
เมื่อคานะถามพวกเธอเรื่องแหล่งพลังงานของรถไฟเหาะที่ทำมาจากกระดาษแข็ง เมจิคัลโฟนของเธอก็สั่นเพื่อแจ้งเตือนเธอ มันมีคนที่ยืนอยู่นอกห้องที่คอยมองดูและซุบซิบกันอยู่ เธอจึงไม่สามารถเอาเมจิคัลโฟนออกมาในขณะที่พวกเธอมองดูอยู่ได้ คานะพูดออกมาว่า “ขอตัวก่อนนะ” แล้วก็ออกไป เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านคนที่ยืนอยู่และออกมาตรงบันไดที่ไม่มีคน แล้วก็ดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมา
เธอได้รับข้อความมาจากโยชิโอกะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอติดต่อมาตั้งแต่ที่คานะเข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล ข้อความนั้นบอกเอาไว้ว่า :
พวกเราจำนวนมากกำลังจะไปเยี่ยม ดังนั้นช่วยทำตัวดีๆแล้วอยู่เฉยๆ แบบนั้นจะได้ไม่เจ็บตัว
MANGA DISCUSSION