ตอนที่ 6:
โอกาสในการพบพาน
☆ แซลลี่ ราเว็น
พวกเธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาได้แล้ว ส่วนแรกนั้นไม่เป็นอะไร แต่ปัญหามันก็ตามมาภายหลัง อาจารย์ใหญ่ได้กำหนดข้อห้ามในการเข้าร่วมของพวกเธอไว้จำนวนมาก แม้ว่าแซลลี่จะคาดคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว แต่เรื่องข้อห้ามมันก็ค่อนข้างเยอะอยู่ดี
พวกเธอต้องไม่ทำอะไรที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม ต้องไม่สร้างปัญหาให้ทางมัธยมต้นอุเมะมิซากิไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือว่าอาจารย์ ห้ามทำอะไรที่ทำให้ทางโรงเรียนอาจเกิดความสงสัยว่าพวกเธอคือเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอต้องทำเรื่องต่างๆด้วยความสามัคคี —มีเรื่องมากมายที่พวกเธอต้องทำตาม แต่แซลลี่ก็บ่นอะไรไม่ได้
โดยส่วนตัวแซลลี่รู้สึกไม่พอใจมากที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ — “แบบนั้นมันก็หมายถึงว่าใช้ คิวตี้ฮีลเลอร์ ไม่ได้น่ะสิ!” แต่เมื่อเธอใจเย็นลงและคิดเรื่องต่างๆ เธอก็ตระหนักว่านั่นคือตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะกลืนความโกรธของตัวเองลงไป มีเพื่อนร่วมห้องไม่กี่คนที่ไม่ชอบใจเรื่องกฏที่พวกเธอไม่สามารถใช้พลังของเมจิคัลเกิร์ลได้ แต่แซลลี่ก็คิดว่าสามารถนับหัวได้อย่างชัดเจน พวกเธอเป็นฝ่ายที่ยืมใช้อาคารมา ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้
และปัญหาก็ตามมาหลังจากนั้น
พวกเธอได้รับอนุญาตให้เข้าไปแค่ที่สนามกีฬา ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอาคารโรงเรียนได้ ซึ่งมันทำให้พวกเธอรู้สึกว่า “แล้วพวกเราจะเข้าร่วมไปทำไมเนี่ย?” พวกเธอไม่ควรที่จะพูดกับนักเรียนหรืออาจารย์ของทางอุเมะมิซากิเช่นกัน ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่า “ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาคุยด้วย แบบนั้นพวกเราก็ต้องเมินไปรึไง?” เรื่องสุดท้ายของที่บอกว่าห้ามพวกเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มใดๆ มันทำให้ปรินเซสไลท์นิ่งถึงกับใช้ฝ่ามือทุบลงไปที่โต๊ะของตัวเอง
สายตาของทุกคนต่างก็มองไปที่ไลท์นิ่ง แต่ถึงแม้จะมีสายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ ไลท์นิ่งก็พูดออกมาว่า “ทำไมถึงมองมาที่ฉันกันล่ะ?” ด้วยท่าทีดูเรียบเฉยพร้อมกับหันฝ่ามือไปหาเท็ตตี้ คนที่เป็นประธานในการประชุม ให้พูดคุยกันต่อ
ทุกคนต่างไม่พอใจไม่มากก็น้อย หากจะมีอะไรในหมู่พวกเธอที่ต่างกันนั้น มันก็คือการที่จะพูดออกมาดังๆหรือว่าไม่พูด พี่น้องอาร์ลี่และโดรี่ต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแบบไม่หยุด ไซคีสบถสาปแช่งออกมาด้วยเสียงที่ดังและลึกขึ้น ส่วนอาเดลไฮลด์และมิส ริล คนที่ปกติแล้วจะทำตัวเรียบร้อยก็ไม่สามารถทำให้คนรอบข้างสงบลงได้ —พวกเธอมีสีหน้าลำบากใจด้วยซ้ำ และเมฟิส เฟเลส คนที่ปกติแล้วจะก่นด่าอะไรออกมากลับเงียบด้วยเหตุผลบางอย่าง —แต่กระนั้น เธอก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่ได้คิดว่าสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี
แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้ไปถึงข้อสรุป การประชุมในห้องเรียนกินเวลาของคาบแรกไป จากนั้นก็เป็นคาบที่สองใช้หมดไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยที่คัลโคโระยังคงยืนอยู่นิ่งๆโดยไม่ได้ต่างอะไรกับหุ่นไล่กา แล้วเท็ตตี้ก็ยอมแพ้ เธอคิดว่าทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอยอมแพ้เรื่องการเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาไป
พวกเธอไล่เรียงเรื่องทุกอย่างที่ไม่ชอบเกี่ยวกับคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ ตัดสินใจที่จะเขียนรายงานที่จะส่งไปขึ้นมา ซึ่งทั้งห้องต่างก็เห็นด้วย แต่ถ้าจะพูดให้ถูกมากยิ่งขึ้น คัลโคโระนั้นตื่นตระหนกและคัดค้าน แต่พวกเธอก็ทำให้คัลโคโระยอมทำตามได้ พวกเธอบอกว่าจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้และจะรับผิดชอบในสิ่งที่ส่งไปด้วยตัวเอง และเมื่อรายงานเสร็จสิ้น มันก็ถูกส่งให้เท็ตตี้เพื่อไปยื่นให้กับอาจารย์ใหญ่
☆ ฮัลน่า มิดิ เมเร็น
ฮัลน่าอยากจะทุบโตีะแล้วพูดว่า “อย่าเอาไอ้เรื่องไร้สาระนี่มาให้ชั้น!” แต่เธอก็ยั้งความต้องการนั่นเอาไว้ เธออ่านกระดาษที่ยื่นมาให้สามครั้งแล้วก็ถอนหายใจออกมา เธอรู้สึกปวดหัวกับความโลภของเมจิคัลเกิร์ล
แค่อนุญาตให้พวกเธอเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาพร้อมกับเงื่อนไขก็เป็นการยอมให้มากแล้ว แต่ในตอนนี้พวกเธอต่างก็โวยวายว่าไม่ชอบเงื่อนไขเหล่านั้น ฮัลน่าคิดว่าถึงพวกเธอได้รับการอนุญาตไปก็ไม่มีวันที่จะรู้สึกพอใจ การอนุญาตให้เข้าร่วมมันทำให้พวกเธอได้ใจจนเกินไป พวกเธอจะต้องการเรื่องนั้นเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก ยัยพวกนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ
เธอเรียกคัลโคโระที่เป็นอาจารย์มาเพื่อให้อธิบายว่ากระดาษนี้มันถูกส่งมาได้ยังไง เธออยากจะตะโกนใส่คัลโคโระ แต่ถ้าเธอตะโกนออกไปในตอนนี้ คัลโคโระก็จะรู้ว่าเธอโกรธ และถ้าเธอมอบการอนุญาตตามไป มันก็จะดูแปลกสำหรับคํลโคโระว่าทำไมฮัลน่าถึงอนุญาตทั้งๆที่รู้สึกโกรธ ดังนั้นฮัลน่าจึงสวมหน้ากากแห่งความไร้อารมณ์เอาไว้ เธอจึงสามารถสั่งการอย่างเยือกเย็นว่า “บอกความจริงชั้นมา” ออกมาได้
คัลโคโระยังคงตื่นตระหนก แต่เนื่องจากว่าเธอไม่เคย ไม่ รู้สึกตื่นตระหนกเมื่ออยู่ต่อหน้าฮัลหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่มาก่อนเลยซักครั้ง ดังนั้นฮัลน่าจึงไม่ได้ติดใจอะไรและให้คัลโคโระพูดออกมา ฮัลน่าให้คัลโคโระอธิบายว่าใครที่เป็นคนทำรายงานนี้และพวกเธอตอบสนองกับมันยังไง หลังจากที่รับฟังมามากพอแล้ว เธอก็ให้คัลโคโระออกไป
เมื่อคัลโคโระออกไปแล้ว ฮัลน่าก็ทุบลงไปที่โต๊ะด้วยกำปั้น
“ไอ้ขยะพวกนี้นี่!”
ฮัลน่าไม่ได้เหมารวมว่าเมจิคัลเกิร์ลทุกคนคือขยะ เมจิคัลเกิร์ลนั้นจำเป็นต่อดินแดนเวทมนตร์ บางคนก็มีความสามารถที่สมบูรณ์แบบและควรค่าแก่การเคารพ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นนั้น ความจริงแล้ว พวกเธอเป็นตัวตนที่อันตรายมากกว่าที่จะไม่มี ถ้าหากเกียจคร้านกับการฝึกฝนของตัวเอง มันก็เป็นด้านที่ดีกว่า —พวกเธอเป็นแค่คนที่ใช้ความสามารถของเมจิคัลเกิร์ลตามใจไปกับเรื่องที่ผิดกฏหมาย ในทางกลับกัน มันก็มีคนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับพรสวรรค์ของตัวเองและใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสับสนอยู่ด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมองค์กรที่ให้การศึกษาแก่เมจิคัลเกิร์ลถึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
ในตอนที่ฮัลน่ายังเป็นมือใหม่ เธอถูกมอบหมายให้สืบสวนเรื่องเหตุการณ์ของแครนเบอร์รี่ และเธอก็ได้พบกับโศกนาฎกรรมประเภทที่ไม่อยากมองดูมามากมาย เมจิคัลเกิร์ลที่เปรียบได้ดั่งดวงดาวส่องประกาย คนที่ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนหากรอดชีวิตมาได้ กลับต้องพ่ายแพ้ต่อคนที่เก่งกว่าในด้านความสามารถในการต่อสู้และความเจ้าเล่ห์เพียงอย่างเดียว
ยิ่งเธอสืบสวนมากขึ้นเท่าไหร่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เธอหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ เธอเคยเห็นช่วงเวลาของตัวเองที่อยู่กับทีมสืบสวนเป็นเพียงแค่บันไดไปสู่ความสำเร็จ แต่มันกลับได้กระตุ้นเธอให้คิดถึงเรื่องเมจิคัลเกิร์ลใหม่อีกครั้ง พวกแมวมองสติปัญญาต่ำทำหน้าที่ของตัวเองดีขึ้นเล็กน้อย จำนวนของเมจิคัลเกิร์ลก็เพิ่มขึ้น และบางคนก็มีเวทมนตร์ที่ทรงพลัง แต่จิตใจของพวกเธอไม่สามารถรับไหว หากเมจิคัลเกิร์ลนั้นแข็งแกร่งแต่มีหัวใจที่บิดเบี้ยว แบบนั้นการที่ไม่มีตัวตนอยู่เลยจะดีซะกว่า หากยังคงเป็นเช่นนี้ พวกเธอก็จะไม่มีวันใช้การในแบบที่เหมาะสมได้เลย
เรื่องเหตุการณ์ของแครนเบอร์รี่ก็เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง มันไม่สามารถพูดว่า “แก้ไขแล้ว ปิดคดี ดังนั้นมันจบแล้ว” ได้เลย พวกเธอต้องยกระดับการให้การศึกษาแก่เมจิคัลเกิร์ลขึ้นไปอีกสามระดับ ลดอัตราการเกิดเหตุการณ์ทุกอย่างลง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ให้ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และสุดท้ายก็ทำให้เหลือศูนย์
ด้วยความคิดนั้นเองมันก็เลยทำให้พวกเธอได้เปรียบในตอนที่แผนการของฝ่ายพัคล้มเหลว ขโมยสถานโบราณที่ฝ่ายพัคบำรุงรักษามาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ลแห่งนี้ —แต่พวกเธอก็สะดุดตั้งแต่ก้าวแรก โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยได้ต้อนรับเมจิคัลเกิร์ลผู้ไร้เดียงสาและเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้รับการศึกษาที่กังวลต่อเรื่องอนาคตเหมือนกับที่ฮัลน่าคิดเอาไว้ มันกลายเป็นแหล่งรวบรวมเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่มีอะไรดี พวกแนวหน้าที่ถูกส่งเข้ามาในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการขยายผลประโยชน์ของฝ่ายยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด —มันยังมีพวกเศษสวะที่เข้ามาในโรงเรียนด้วย เป็นพวกหน่วยปฎิบัติการลับหรือไม่ก็ผู้ก่อการร้ายตัวจริงที่ทำตัวให้เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลที่มีความชอบธรรม
แนวหน้า หน่วยปฎิบัติการลับ แล้วก็ผู้ก่อการร้าย —นักเรียนทั้งหมดของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลจะคิดว่าตัวเองคือผู้ที่ถูกเลือก เพราะแบบนั้นพวกเธอทุกคนถึงได้ทำอะไรตามใจตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอก็ส่งอะไรแบบนี้มาด้วย เธอคิดแล้วก็ใช้กำปั้นทุบเข้าไปที่กระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ
คัลโคโระบอกว่าสโนไวท์ไม่ได้เห็นด้วย นั่นทำให้รู้สึกว่าเป็นมารยาทอันงดงามที่ยังคงมีอยู่เพียงเล็กน้อย หากดวงดาวส่องประกายของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลไปคลุกคลีกับพวกชั้นต่ำ แบบนั้นมันก็จะกลายเป็นปัญหา
แต่ทั้งหมดนี้มันก็น่าสังเวช…
คัลโคโระยกหมัดของตัวเองขึ้นมา หายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หายใจออกมาหลังจากนั้นไม่กี่วินาที และก็เอาหมัดลงไปอีกครั้ง โต๊ะเวทมนตร์มันไม่ได้รับความเสียหายจากแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น การเป็นผู้ให้การศึกษามันก็ไม่ควรจทำตามอารมณ์ของตัวเองและปฎิบัติกับมันอย่างหยาบคาย
เธอแบฝ่ามือออก ค่อยๆลดมือลงไปช้าๆ ยกแผ่นกระดาษขึ้นมาตรงหน้า เมื่อมือซ้ายของเธอว่าง เธอก็ปรับตำแหน่งของกรอบแว่น แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเนื้อหานั้นงี่เง่า แต่เธอก็อ่านมันซ้ำอีก ไม่ว่าตัวอักษรมันจะไร้ค่าแค่ไหน แว่นตาเวทมนตร์ของเธอมันก็จะแสดงให้เธอเห็นอย่างชัดเจนอยู่ดี
หากเธอจะ มอบ การอนุญาต เธอก็ไม่สามารถอนุญาตทุกอย่างได้ในทันที หากอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดเรื่องกฏระเบียบที่มอบให้นักเรียน การอนุญาตทุกอย่างในทันทีก็จะทำให้ดูผิดธรรมชาติ บางคนก็อาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ แม้ว่าบางคนจะคิดว่าการที่ฮัลน่าอนุญาตให้เข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนานั้นมันผิดธรรมชาติมาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
ไพตี้ เฟรเดริก้าและฝ่ายของลาพิส ลาซูไลน์ก็คงจะรู้ถึงความผิดปกตินี้และใช้มันเป็นโอกาสดี ระบบป้องกันโฮมุนครูสในตอนนี้ยังทำงานไม่ได้ และพวกเธอก็มีกล้องวงจรปิดที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว แม้ว่ากล้องวงจรปิดจะมีเอาไว้เพื่อตรวจหาความผิดปกติ มันก็ต้องหยุดการบุกรุกให้ได้ก่อนที่หน่วยรักษาความปลอดภัยจะบุกเข้ามา และถ้าเสริมเรื่องเงื่อนไขของงานเทศกาลสถาปนาเข้าไปด้วย การสำรวจก็จะเป็นเรื่องง่าย และการบุกเข้ามาก็จะเป็นไปได้
พวกมันคงคิดว่าเงื่อนไขมันดีเกินไปที่จะเข้ามาขโมยและอาจจะคิดว่ามันเป็นกับดักด้วย แต่กระนั้น หากพวกมันคิดว่าการปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปจะทำให้การขโมยวัตถุโบราณออกมาจากสถานโบราณได้ยากยิ่งขึ้น มันก็มีโอกาส 70 เปอร์เซ็นต์ —ไม่สิ 80 เปอร์เซ็นต์ที่จะลงมือเคลื่อนไหว หากฮัลน่าสามารถล่อพวกมันออกมาโดยทำให้ดูเหมือนว่าที่นี่เปิดโล่ง แบบนั้นการที่ต้องรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยก็เป็นสื่งที่ต้องจ่ายในราคาถูก
นอกเหนือจากเฟรเดริก้าและลาซูไลน์ มันก็ยังคงมีพวกหนูตัวอื่นอยู่ด้วย คนอย่างแคลคตันจากห้องทดลอง ทีซจากฝ่ายพัค แล้วก็จูเบจากฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล อาจจะเล็งเข้ามาขโมยในตอนที่กำลังสับสนวุ่นวายหรือหาประโยชน์ในขณะที่คนอื่นกำลังต่อสู้ แต่พวกนั้นคือภัยระดับต่ำ และความอันตรายก็น้อยกว่าเมื่อเทียบกับทางเฟรเดริก้าและลาซูไลน์ ดังนั้นเธอก็จะไม่พูดถึงในตอนนี้
เรื่องของคานะ คนที่ถูกส่งเข้ามาจากคุกเมจิคัลเกิร์ลเองก็เช่นเดียวกัน ฮัลน่าสัมผัสได้ถึงตัวตนที่น่าเหลือเชื่อในตอนที่คุยกับคานะ ดังนั้นเธอจึงพยายามใช้พลังของฝ่ายข้อมูลเพื่อเจาะลึกลงไป แต่ไม่ว่าเธอจะมองไปที่ไหน มันก็หยุดอยู่แค่ตรงที่คุก ไม่มีประวัติอาชญากรอะไรโผล่ขึ้นมาเลย หากเฟรเดริก้าลบประวัติของคานะก่อนที่จะส่งเข้ามา แบบนั้นคานะก็คือศัตรูที่ไม่สามารถประมาทได้ แต่ถ้าเธอสืบสวนเรื่องของคานะมากเกินไปจนหย่อนยานเรื่องอื่น แบบนั้นเธอก็จะสูญเสียทุกอย่างไป ด้วยเหตุนั้นแล้ว เธอจึงวางเรื่องของคานะเอาไว้ชั่วคราว
ในตอนนี้เองก็มีงานเทศกาลสถาปนา แม้ว่าเท็ตตี้จะเอาข้อมูลที่อาจารย์ใหญ่รู้สึกลังเลที่จะอนุญาตมาให้ การต่อรองกับนักเรียนเพียงฝ่ายเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับเธอ —พวกเธอควรจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันหลังจากผ่อนปรนกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า เธอจะลดบรรยากาศที่น่าสงสัยนี้ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นี่คือเรื่องที่จำเป็น การให้ความโกรธอยู่เหนือเรื่องเล็กๆทุกอย่างมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นเธอจึงบอกตัวเองพร้อมกับหยิบปากกาขนนกขึ้นมาในมือ เพิ่มคำสั่งลงไปด้วยหมึกสีแดง ปากกาขนนกเวทมนตร์นั้นเขียนไปอย่างไหลลื่นโดยเมินเฉยต่อความรู้สึกของฮัลน่า นี่จะเป็นงานเทศกาลครั้งสุดท้ายของพวกแนวหน้า หน่วยปฎิบัติการลับ พวกผู้ก่อการร้าย และเมจิคัลเกิร์ลทุกคน เพราะแบบนั้นเธอถึงต้องใจกว้างเมื่ออนุญาตพวกเธอไปแล้ว
หลังจากที่ขยะทุกชิ้นถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว ความคิดแรกเริ่มของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลก็จะฟื้นคืนกลับมา และภายในห้องเรียนก็จะเต็มไปด้วยนักเรียนที่มีคุณสมบัติอย่างถูกต้อง
☆ ไซคีเพลน
จากการที่แลกเปลี่ยนเอกสารจำนวนหนึ่งและประณีประนอมซึ่งกันและกัน พวกเธอก็ตกลงตามเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนา มันทำให้ไซคีรู้สึกว่า “ก็นะ แบบนี้ก็ไม่เป็นอะไร” พวกเธอห้ามใช้พลังเมจิคัลเกิร์ลของตัวเอง งดเว้นการมีปฎิสัมพันธ์ใดๆที่มากเกินไปกับนักเรียนมัธยมต้นอุเมะมิซากิ ต้องระวังไม่ให้แผนการของทางอุเมะมิซากิเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และสิ่งที่ติดลิขสิทธิ์ก็ถูกห้ามใช้
คานะยังคงพูดอย่างจริงจังว่า “เราคิดว่าถ้าจำเป็น เราก็จะไปเจรจากับอาจารย์ใหญ่ตรงๆเอง” แต่นั่นก็เห็นได้ชัดว่าจะนำไปสู่การการทะเลาะกันที่มากขึ้น —การที่ตอนนี้ไม่ได้มีการทะเลาะอะไรอยู่ ไซคีก็รู้สึกขอบคุณอาจารย์ใหญ่ —คนที่เธอไม่เคยเห็นหน้า— ที่ยอมให้กับเรื่องพวกนี้
ไซคียังคงบ่นออกมาตามปกติ ในขณะที่ยังคงท่าทีไม่พอใจเอาไว้ด้านนอก แต่ด้านในนั้นเธอรู้สึกวิงเวียนมากกว่าที่เคย เธอใช้ชีวิตในโรงเรียนตามปกติจนกระทั่งอายุสิบขวบ ในตอนที่เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล และนับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ทิ้งทุกอย่างไปเพื่อมุ่งมั่นกับเรื่องเมจิคัลเกิร์ลของตัวเอง เธอต้องทำเช่นนั้น ไม่งั้นเธอก็จะไม่มีทางที่จะพิสูจน์ตัวเองในฐานะฟรีแลนซ์ได้ มันไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกเสียใจ แต่เธอถูกดึงไปยังส่วนที่สนุกของชีวิตในโรงเรียน เพียงเล็กน้อย —อย่างเช่นการไปทัศนศึกษา การออกไปเที่ยว และอีเวนท์อะไรแบบนั้น แน่นอน การมีเพื่อนร่วมห้องที่ดีเองก็เป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ว่าไซคีจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเพื่อนร่วมห้องคนหรือไม่นั้น —ตัวเลือกก็จะถูกแยกออกไปเป็นอีกเรื่อง แต่ในช่วงหลังๆ เรื่องต่างๆมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอัดอัดเหมือนกับตอนก่อนหน้า และเหมือนว่ามันจะสนุกในตอนที่ทุกคนเสนอข้อความเห็นเรื่องการเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาออกมา —แม้ว่าจะมีเรื่องที่น่าเบื่ออย่างคานะ เช่นเดียวกับเรื่องสมาชิกในกลุ่มของเธอ— แม้ว่าคนหนึ่งในกลุ่มจะดูเอาแต่ใจมาก บางคนก็ทำในเรื่องที่ตัวเองอย่างทำโดยไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร อีกคนก็เอาแต่ฆ่าเวลาไปเฉยๆ ส่วนอีกคนก็เอาแต่จะยัดอนิเมลงไปในการสนทนาทุกๆครั้งที่มีโอกาส พวกเธอไม่ใช่คนที่น่าเบื่อ —พวกเธอมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้ดูน่าสนใจ
ในตอนนั้นที่สัญญากับแซลลี่เอาไว้ ไซคีเพียงแค่สัญญาเอาไว้แบบไม่ได้เป็นทางการโดยคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ในด้านนักรบรับจ้างเป็นหลัก —แต่ในตอนนี้ การมีสัญญาแบบลับๆกับเพื่อนร่วมห้องมันฟังดูเป็นการใช้ชีวิตในโรงเรียนแบบปกติมาก เธอเองก็คิดว่า บางทีแบบนั้นก็คงไม่เป็นอะไร
หัวใจของไซคีตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนา และเมื่อมันเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องราวต่างๆก็ค่อยๆเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เมื่อมาถึงในจุดที่พวกเธอต้องตัดสินใจว่าต้องทำอะไร เธอก็เริ่มรู้สึกสงสัย การประชุมในห้องเรียนในวันก่อนหลังจากที่การเจรจาต่อรองกับอาจารย์ใหญ่ประสบผลสำเร็จ ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมห้องก็มาอยู่ตรงหน้า
ปรินเซสไลท์นิ่งแย้งว่าพวกเธอต้องทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม “สำหรับเทศกาลของโรงเรียนแล้ว มันก็ต้องเป็นร้านขายของกินที่รู้สึกสดชื่นสิ มันจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้ยังไงล่ะ? ฉันบอกไม่ มันก็คือไม่ ฉันไม่มีความคิดที่จะถอยด้วย”
คุมิคุมิเสนอว่าพวกเธอควรจะร่วมมือกันเพื่อสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา “มันตัดสินไปแล้ว… ว่าทางอุเมะมิซากิ… จะทำ… ร้านขายของกิน แทนที่จะ… พยายามขาย… อะไรที่ดูเฉพาะทาง… พวงเราควรจะ… ร่วมมือกัน… ทำอะไรอย่างของที่ระลึก… งานศิลปะที่ทำให้คนรู้สึกประทับใจ…”
ข้อเสนออื่นๆอีกหลายข้อก็ถูกพูดขึ้นมา “ทำแผนที่ของเมือง” “สำรวจปริศนาทั้งเจ็ดของโรงเรียน” “โรลเลอร์โคสเตอร์” “ถ้วยกาแฟ” “งานดนตรี” “แสดงละคร” “สรุปใจความสำคัญในประวัติศาสตร์และเซ็นเซอร์ชื่อจริงของ คิวตีฮีลเลอร์” “คอสเพลย์ถ่ายรูป” “การอ่านในที่สาธารณะ” “งัดข้อ” “ทำลูกกวาด” “ทำนายดวงชะตาและเวทมนตร์” “มังงะคาเฟ่” “บรรยายเรื่องดูแลสัตว์เลี้ยง” “สอนว่าควรจะวาดมังงะยังไง” “คาบเรียนเย็บปักถักร้อยแสนน่ารักของลิเลี่ยน” “บทเรียนศิลปะป้องกันตัว” “ปัญหาเรื่องโชงิ” “ลับใบมีด” “บ้านบอล” “เรียนรู้เรื่องอาวุธที่สามารถมีไว้ในครอบครองอย่างถูกกฏหมาย” “คาเฟ่ถุงทราย” “ปาร์ตี้ดูภาพยนตร์” “ม้าหมุน” “เรียนรู้เรื่องของเหลวทางวิทยาศาสตร์” —และสุดท้ายแล้ว มันก็เหลืออยู่สองเรื่อง ความคิดที่จะ “ทำงานศิลปะ” อะไรซักอย่างแบบคร่าวๆและ “ร้านขายของกิน” ตามความต้องการของไลท์นิ่ง
กว่าจะมาถึงจุดนี้มันก็ใช้ระยะเวลาพอสมควรจนความกระตือรือร้นที่มีมันก็หมดไปแล้ว ไซคีรู้สึกว่า “จะยังไงก็ช่าง ช่วยเลือกซักทีเถอะ” อยู่จริงๆ แต่ในตอนนี้เรื่องราวจริงๆมันก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น สำหรับแผนการของไลท์นิ่งและแผนการของคุมิคุมิที่เหลืออยู่ มันได้กลายเป็นการตัดสินกันระหว่างกลุ่มสองและกลุ่มสาม ในเวลาแบบนี้ กลุ่มสองก็คิดว่ามันน่าอายที่จะยอมถอย ในขณะที่หัวหน้ากลุ่มสามประกาศมาตั้งแต่แรกว่าจะไม่ยอมแพ้ และไซคีก็มองไม่เห็นอนาคตว่าฝ่ายไหนจะยอมแพ้
ถึงแม้ว่าไม่นานมานี้อารมณ์ของเมฟิสจะดูอ่อนลง แต่เมฟิสก็คือเมฟิส เธอดูเหมือนกับหนอนหนังสือ แต่เธอมีบุคลิกที่เป็นนักเลงและพร้อมที่จะสู้อยู่ตลอดเวลา ส่วนไลท์นิ่งก็คือไลท์นิ่งจนถึงท้ายที่สุด ความอิสระของเธอจะไม่รับรู้ถึงอุปสรรคใดๆ
เนื่องจากว่าพวกเธอไม่มีเวลาแล้ว โฮมรูมของวันนี้เองก็จบลง พวกเธอก็ตัดสินว่าไม่สามารถเก็บเรื่องนี้ไว้คุยกันในวันหลังได้ จากนั้นพวกเธอก็ทำการโหวต ด้วยการตัดสินใจนี้เอง กลุ่มสองและกลุ่มสามต่างก็จับตามาที่กลุ่มหนึ่ง หากพวกเธอได้เสียงโหวตจากกลุ่มหนึ่ง แบบนั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ
มันมีแผนการหลายอย่างที่จะรักษาเสียงส่วนใหญ่ภายในห้องเรียนเอาไว้ อย่างเช่นชักจูงด้วยของหวานในมื้อกลางวัน สับเปลี่ยนหน้าที่เวรทำความสะอาด เรื่องต่างๆที่มอบผลประโยชน์ให้ พวกเธอขอร้องให้ร่วมมือด้วยในวันที่ตัดสินการโหวต และเนื่องจากการพูดออกมาจะทำให้เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย ดังนั้นสินบนทั้งหมดจะถูกส่งไปให้ภายใต้การแสร้งว่าเป็นเจตนาดีแสนบริสุทธิ์ ซึ่งมันก็ได้แต่ทำให้สมาชิกของกลุ่มหนึ่งรู้สึกสับสน แถมไซคีเองก็พบว่าทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากันหมดแล้ว
หลังจากเลิกเรียนแล้ว เธอก็มาพบกับแซลลี่ที่คาเฟ่ตามปกติ และก็บ่นเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกมาดังๆในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลได้ออกมา
“ในตอนที่บรรยากาศของห้องกำลังไปในทิศทางที่ดีน่ะ ถ้าเกิดปะทะอะไรกันอีก หรือว่าจะไปในทิศทางนั้น ชั้นล่ะรู้สึกเบื่อจริงๆ จะฝ่ายไหนก็เถอะยอมแพ้ได้แล้ว แต่มันก็ไม่มีฝ่ายไหนทำเลย หัวหน้ากลุ่มมันบ้า แล้วมันก็ทำให้คนอื่นเครียดด้วย”
แซลลี่หัวเราะกับการฟังเรื่องที่ไซคีบ่นออกมา “อ๊ะ เราคิดไม่คิดว่าตอนนี้เรื่องมันเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ อือออ”
“หือ? หมายความว่าไงน่ะ?” ใบหน้าของเธอบูดบึ้งเพราะโดนหัวเราะใส่ คำพูดมันก็เลยออกมาดูรุนแรง
แต่แซลลี่ก็ทำท่าทีจริงจังและโบกมือขวา “ไม่เอาสิคะ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว เราคิดว่ามันเหมือนกับการเอาแต่เล่นกันเลย”
“เธอคิดงั้นเหรอ? ชั้นไม่ยักรู้”
“เหมือนว่าทุกคนกำลังสนุกกันอยู่ด้วย อือออ ไซคีเองก็ควรจะสนุกไปด้วยกันนะ”
“สนุก… อย่างงั้นเหรอ…”
จากรูปลักษณ์ภายนอกของแซลลี่ในร่างมนุษย์ ชีวิตจริงของเธอถูกเติมเต็ม ภายในรั้วโรงเรียนก็ยืนอยู่ในอันดับที่สูง และก็ไม่ได้มีแค่เพียงเท่านั้น —เธอยังมีทักษะในการสื่อสารที่เก่งด้วย เธอสามารถคุยกับกลุ่มสามที่แปลกประหลาดได้อย่างสบายๆ หัวเราะและหยอกล้อไปด้วยกัน เธอสังกัดอยู่ในฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เป็นแหล่งรวมของคนที่มีทักษะการสื่อสารสูงแบบน่าตกใจ ดังนั้นเธอคงเคยชินกับกับเรื่องอะไรต่างๆ
ไซคีคิดว่าหากแซลลี่พูดว่าไม่เป็นอะไร แบบนั้นมันก็คงจะไม่เป็นอะไร แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้สึกชอบเท่าไหร่ แต่เธอก็ชนะ ตอนประชุมในห้องเรียนวันต่อมา การตัดสินใจนั้นเป็นไปอย่างง่ายๆโดยที่ไม่ต้องทำการโหวตเลย มันคือแผนที่เท็ตตี้เสนอขึ้นมาว่าให้สร้าง “ร้านขายของที่ประดับไปด้วยชิ้นงานศิลปะ”
หลังจากที่การประชุมในห้องเรียนจบลงแล้ว ไซคีก็ยังคงบ่นตามออกมาว่า “ถ้าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไม่ควรจะต้องมาเสียเวลาไปเปล่าๆสิ”
☆ ดิโกะ นาระคุโนะอิน
ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเรื่องงานเทศกาลสถาปนา หากดิโกะเป็นแค่นักเรียนอีกคนหนึ่ง เธอก็คงจะรู้สึกตื่นเต้นตามทุกคนไปด้วย ถึงเธอจะเป็นคนที่อยู่เงียบๆมากกว่าก็ตามที แต่หากยกเรื่องหน้าที่ดั้งเดิมของเธอในฐานะผู้ทำปฎิบัติการลับมาคิด เธอก็จะไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองตื่นเต้นออกมาอย่างจริงใจได้ —ตั้งแต่เรื่องการตัดสินใจอย่างแน่นอนว่าพวกเธอจะเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนา มันตรงกับการนับถอยหลังวันที่จะทำการบุกโจมตี
แต่ปรินเซสไลท์นิ่ง คนที่ควรจะมีหน้าที่เดียวกันกับดิโกะกลับตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงท่าทีอะไรออกมา แต่เธอไม่ได้เป็นคนที่พยายามจะปกปิดเรื่องที่ตัวเองคิดเช่นกัน เธอรู้สึกเหมือนกับว่าการปกปิดความคิดของตัวเองมันคือการจำกัดอิสระภาพของตัวเองไปด้วย
ไลท์นิ่งสู้กับทุกเรื่องที่เธออยากทำในงานเทศกาลสถาปนาตามที่ตัวเองต้องการ และเมื่อแผนของเธอถูกผสมเข้ากับความคิดของกลุ่มสองผ่านเท็ตตี้ที่เป็นคนกลาง เธอก็รู้สึกพอใจอย่างมาก การที่เธอจับมือกับเมฟิสมันไม่ได้ดูเหมือนว่าเป็นแค่มารยาทแบบเป็นพิธี และเมื่อเธอพูดว่า “มาร่วมมือกันแล้วก็พยายามไปด้วยกันเถอะ” มันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเสแสร้งอะไร
ไลท์นิ่งจริงจังอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากเลิกเรียนแล้ว เมื่อรันยุย ดิโกะ และไลท์นิ่ง ทั้งสามคนเข้าไปในห้องคาราโอเกะที่เป็นสถานที่นัดพบตามปกติ —สถานที่ที่ใช้สำหรับรายงาน เปรียบเทียบ และปรับเปลี่ยนแผนการ— ไลท์นิ่งก็พูดอะไรที่มันอันตรายออกมา
เธอบอกว่าตัวเองเข้าไปหาอาเดลไฮลด์อีกครั้งที่โรงเรียนตอนกลางคืน และเธอก็เตือนอาเดไฮลด์ไปว่าอย่างเพิ่งพยายามทำอะไรตอนงานเทศกาลสถาปนา เธอยังทำแม้กระทั่งยื่นข้อเสนอในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมมือกันเพื่อให้งานเทศกาลสถาปนาผ่านไปได้ด้วยดีแบบไม่มีปัญหา
เรื่องที่ไลท์นิ่งบอกพวกเธอมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความสงสัยได้ว่าไลท์นิ่งคือสายลับสองหน้า ในขณะที่ดิโกะรู้สึกสับสน เธอก็รับฟังเรื่องที่ไลท์นิ่งพูดจนจบ เมื่อมองไปที่รันยุย เธอก็ดูเหมือนว่ารู้สึกกระวนกระวาย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าและพูดออกมา “‘งั้นเหรอ นั่นสินะ แบบนั้นเองก็เป็นตัวเลือกนึงเหมือนกัน”
มันใช่ตัวเลือกซะที่ไหนล่ะ
พวกเธอมีกันสามคน —รันยุย ดิโกะ และไลท์นิ่ง โดยพื้นฐานแล้วดิโกะจะเป็นคนที่ใช้ความคิด หากใครซักคนจะเป็นผู้นำ มันก็คงเป็นไลท์นิ่ง เนื่องจากว่าเธอได้รับความไว้วางใจให้ลงมือด้วยตัวเอง ดิโกะและรันยุย ทั้งคู่คือแคนดิเดทของลาซูไลน์และอยู่ในระดับเดียวกันอย่างชัดเจน หากดิโกะกลายเป็นผู้นำ แบบนั้นรันยุยก็จะรู้สึกแย่ และถ้ารันยุยเป็นผู้นำ ดิโกะก็จะสงสัยว่าเธอจะสามารถจัดการเรื่องต่างๆได้ดีรึเปล่า
แต่ไลท์นิ่งก็ไม่ได้ถูกเลือกเป็นผู้นำของพวกเธอ และบทบาทนั้นก็ถูกยัดเยียดมาให้ดิโกะ เรื่องนี้มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากวนใจรันยุย และดิโกะก็สงสัยว่าถ้านี่เป็นการเลือกตัวบุคคลแบบผิดพลาดรึเปล่า แต่เมื่อได้เกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อปรินเซสไลท์นิ่ง ความรู้สึกของเธอมันก็กลายเป็นว่าไม่สามารถปล่อยให้ไลท์นิ่งเป็นผู้นำได้อย่างชัดเจน
หากมองดูเพียงผิวเผิน เธอก็ดูเหมือนว่ามีความสามารถ รูปหน้าที่งดงามมันทำให้มีตัวตนมีความแข็งแกร่ง เรื่องนิสัยที่กล้าหาญเองก็จะไม่อนุญาตให้รู้สึกหวั่นไหวหรืออ่อนแอ —ตัวตนของเธอเป็นอะไรที่น่าทึ่ง ดิโกะคิดว่าเพื่อนร่วมห้องทุกคนในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคงคิดว่าปรินเซสไลท์นิ่งไม่ใช่คนธรรมดา
แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถในการเป็นผู้นำ หรือทำปฎิบัติการแบบลับๆ เธอเปลี่ยนแผนที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งในห้องเรียนไป และในตอนนี้เธอก็จริงจังกับการทำให้งานเทศกาลสถาปนาประสบความสำเร็จ แล้วจากนั้นเธอก็ติดต่อกับอาเดลไฮลด์ แม้ว่าไลท์นิ่งจะโจมตีอาเดลไฮลด์ แต่ไม่ใช่ว่าการเตือนอาเดลไฮลด์ให้หลีกเลี่ยงงานเทศกาลสถาปนาจะทำให้ผลประโยชน์ทั้งหมดไปตกอยู่กับศัตรูหรอกเหรอ?
ดิโกะใส่ความพยายามลงไปในเรื่องเสื้อผ้าและทรงผมเพราะเธอรู้คนหลายคนให้ค่ากับรูปร่างหน้าตา หากเธอสามารถทำให้คนอื่นคิดว่าเธอ “ไม่ใช่คนธรรมดา” แค่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียวมันก็สามารถช่วยให้อะไรหลายๆเรื่องขยับไปได้อย่างลื่นไหล
นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเธอใช้สิ่งที่ตัวเองมีมาตั้งแต่เกิด ไลท์นิ่งเองก็ทำในแบบเดียวกัน เพราะแบบนั้นมันคือเหตุผลว่าทำไมถึงหลอกดิโกะไม่ได้ เธอสังเกตไลท์นิ่งอย่างใจเย็นและทำการประเมินเรื่องพฤติกรรม
คนบางคนอาจถูกหลอกลวงได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก รันยุยเองก็คือหนึ่งในนั้น เธอถูกความสวยงามและท่าทีมั่นใจดูดเข้าไปอย่างง่ายๆ แต่ดิโกะไม่สามารถพูดออกมาได้ว่ารันยุยถูกหลอก รันยุยไม่สามารถนับได้ว่าเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจสูงก็จริง เธอนั้นกังวลถึงเรื่องต่างๆเสมอ ถ้าหากเธอทำผิดพลาดตรงจุดไหนซักจุดและบอกไปว่า “เธอทำผิดแล้ว แก้ไขด้วย” มันก็จะทำให้รันยุยวิตกกังวล จนไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองที่ถูกคาดหวังให้ทำได้
เวทมนตร์ของรันยุยมันเป็นอะไรที่สะดวกอย่างน่าเหลือเชื่อ และเธอก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถที่ทำได้ดีในการต่อสู้ด้วย แต่เธอหลงไหลกับการเป็นผู้นำอย่างลาซูไลน์ แม้ดิโกะจะสงสัยว่าเธอถนัดในด้านนี้รึเปล่า การที่เธออยากเป็นลาซูไลน์มากจนถึงขั้นเลียนแบบจังหวะการพูดนั้น มันเปลี่ยนจากเรื่องที่งี่เง่าเป็นดูน่าเศร้าแทน
แม้ว่าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ ดิโกะก็ไม่สามารถบอกเธอได้ —เนื่องจากว่าการปกป้องสภาวะทางอารมณ์ของรันยุยคือส่วนหนึ่งของหน้าที่ของเธอ เธอเองก็ต้องคอยรับมือปรินเซสไลท์นิ่งเอาไว้เพื่อให้รันยุยสามารถทำงานของตัวเองได้อีกด้วย
ดิโกะรู้สึกว่าเข้าใจผิดเรื่องความสามารถของตัวเอง เธอสามารถต่อสู้ได้ มันยากที่จะพูดได้ว่าเธอมีความชำนาญในเรื่องอื่น การไว้วางใจเธอในเรื่องประสานความสัมพันธ์มันก็ค่อนข้างที่จะมากเกินไปด้วย
เมื่อได้รับการเปิดเผยว่าไลท์นิ่งทำงานให้กับลาซูไลน์ ดิโกะก็บอกอาจารย์ของเธอไปว่างานนี้มันหนักเกินไปสำหรับไลท์นิ่ง แต่อาจารย์ก็ปฎิเสธคำพูดของเธอ พูดว่า “เธอคิดมากเกินไปแล้วล่ะ”
ไลท์นิ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงก้องกังวลแสนไพเราะ “ในตอนที่โฮมุนครูสไม่สามารถควบคุมได้น่ะ เธอรู้ไหม ฉันรู้สึกสนุกนะ การที่ได้ร่วมมือกับอาเดลไฮลด์และคนอื่นๆของกลุ่มสองเพื่อต่อสู้กับศัตรู ฉันคิดว่า อ่า นี่มันสนุกจังเลย ฉันก็เลยแน่ใจว่าการร่วมมือเพื่อเป้าหมายเดียวกันในงานเทศกาลสถาปนามันต้องสนุกแน่ แน่นอน ฉันไม่ได้คิดว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้นหรอก หลังจากที่พวกเราทำเรื่องต่างๆที่ต้องทำและเมื่อถึงเวลา ฉันแน่ใจว่ามันจะสนุกกว่าการจัดการทุกคนแน่ ดังนั้นในตอนนี้พวกเราก็เลยต้องรอเวลา ฟังนะ อาเดลไฮลด์ชนะฉันไปครั้งนึงใช่ไหม? ถ้าให้พูดตรงๆแล้ว ฉันไม่เคยสนใจเลยว่าใครคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อฉันแพ้เธอเข้าจริงๆ มันก็รู้สึกรำคาญอย่างน่าตกใจเลยล่ะ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่ายอมรับไม่ได้ที่จะให้จบตรงนี้ ฉันจะจัดการเรื่องนั้นแน่นอน สบายใจได้ ฉันแค่พูดว่าพวกเราจำเป็นต้องเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาเพื่อทำให้มีแรงกระตุ้นมากขึ้นและทำให้จัดการกับอะไรบางอย่างได้ อีกอย่าง การมีโอกาสได้ปฎิสัมพันธ์กันมากขึ้น มันก็ช่วยฉันเรื่องการอ่านการเคลื่อนไหวและหาจุดอ่อนของเธอในตอนที่ต้องสู้กันด้วย —แม้ฉันจะพูดไม่ได้ว่ามันจะได้ผลรึเปล่าก็เถอะ”
คำพูดที่ไลท์นิ่งพูดออกมาทั้งหมดมันทำให้สมองของรันยุยทำงานช้าลง ในตอนที่รันยุยเองก็สับสนมากยิ่งขึ้นด้วยตัวตน ท่าที และอันดับของไลท์นิ่ง จนสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจของตัวเองไป
เมื่อมองดูรันยุยด้วยหางตาแล้วเห็นว่ากำลังพยักหน้าเหมือนกับลูกนก ดิโกะก็คิดว่า จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
หลังจากที่ออกมาจากห้องคาราโอเกะ เธอก็ชวนรันยุยไปลาดตระเวณที่โรงเรียน เมื่อรันยุยถามว่า “ไม่ชวนไลท์นิ่งด้วยเหรอ?” ดิโกะก็ส่ายหน้าออกมาอย่างชัดเจนเพื่อบอกว่าไม่ ถ้าให้พูดแล้ว เดิมทีภารกิจในการลาดตระเวณตอนกลางคืนมันเป็นหน้าที่ของดิโกะและรันยุย เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับไลท์นิ่ง ไม่นานมานี้มันมีอะไรเกิดขึ้นหลายเรื่อง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สามารถทำมันบ่อยครั้งได้ แต่มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ที่จะทำในวันนี้
“ชั้นอยากให้พวกเราไปกันแค่สองคน”
การที่ดิโกะจะพูดออกมาเสียงดังมันหาได้ยาก คนที่รู้เรื่องนี้จะให้ค่ากับเรื่องที่เธอพูดมากขึ้น แม้รันยุยจะบ่นงึมงำว่าทำไมต้องพูดอะไรแบบนี้ด้วย แต่เธอก็ตอบรับคำชวนของดิโกะ และทั้งสองคนก็วิ่งไปที่โรงเรียนในตอนกลางคืน
ตอนที่เธอออกมาจากห้องคาราโอเกะ ท้องฟ้ามันก็เริ่มมืดแล้ว แต่ในตอนที่พวกเธอมาถึงโรงเรียน ดวงอาทิตย์มันก็ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อย ไม่มีนักเรียนคนไหนที่ทำกิจกรรมชมรมหรือเตรียมการเรื่องงานเทศกาลสถาปนา และที่อาคารด้านข้างโรงเรียนที่เป็นที่ตั้งห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล มันก็ไม่มีสัญญาณของผู้คนหรืออะไรที่อาศัยอยู่เลย
ดูเหมือนว่าทั้งไลท์นิ่งหรืออาเดลไฮลด์จะไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่พวกเธอยังมาไม่ถึงหรือว่าวันนี้จะไม่ได้มากันนะ? แต่มันก็ง่ายกว่าที่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่นี่
ดิโกะสั่งการด้วยสัญญาณมือ และรันยุยก็ใช้สัญญาณมือแบบเดียวกันเพื่อบอกเธอว่าโอเค ท่าทางของรันยุยนั้นจริงจังมากกว่าในตอนที่อยู่ในห้องคาราโอเกะพร้อมกับบรรยากาศที่ตึงเครียดเล็กน้อย เหมือนว่าความคิดของดิโกะที่จะชวนแค่รันยุยมาทำภารกิจเพื่อให้ตัวของรันยุยเข้ารูปเข้ารอยนั้นไม่ใช่ความคิดที่แย่เลย
พวกเธอเดินไปยังทางเข้าของอาคารโรงเรียน แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้เข้าไปด้านใน คอยรักษาระยะห่างของกล้องวงจรปิดเอาไว้ แล้วก็แยกตัวกันออกไป รันยุยไปทางขวาส่วนดิโกะไปทางซ้าย พวกเธอวิ่งไปตามด้านข้างของอาคารทั้งสองฝั่ง
การวิ่งด้วยความเร็วของเมจิคัลเกิร์ลมันทำให้พวกเธอวิ่งครึ่งรอบของอาคารได้ในเสี้ยววิ แน่นอนว่าแค่มองดูมันไม่สามารถบอกอะไรได้ ดังนั้นดิโกะจึงวิ่งไปเพื่อที่จะไปพบรันยุยอีกครั้งทันที แต่เท้าของเธอก็หยุดลงทันทีโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่แปลกไป
จู่ๆมันก็มีหลุมอยู่ที่กำแพงด้านนอกอาคารเรียน ตรงจุดที่มีหน้าต่างห่างกันเป็นระยะ หลุมนั้นมันใหญ่มากพอที่ผู้ใหญ่จะผ่านเข้าไปได้โดยที่ไม่ต้องก้มตัว มันไม่ใช่หลุมประเภทที่เกิดขึ้นมาเพราะการพังหรือถล่มลงมา มันคือหลุม ของจริง ที่เจาะทะลุจนเห็นได้ชัด
ดิโกะใช้เวทมนตร์ของตัวเองทันทีตรงจุดนั้น เธอใช้เพราะตอบสนองต่อความประหลาดใจและความกลัวของตัวเอง เธอเคลื่อนไหวไปยังที่ไหนซักที่ในระยะสั้นๆทันที กระโดดไปด้านหลังต้นไม้ที่อยู่ในร่ม ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นและแอบมองไปที่หลุมอย่างเงียบๆ
เธอสาบานได้ว่าในตอนกลางวันตรงจุดนี้มันไม่ได้มีหลุมอยู่ และหลุมนั้นก็กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมากเกินไปกว่าจะถูกเจาะโดยใครบางคนที่ลงมือทำหลังจากเลิกเรียน มันดูเหมือนกับว่าหลุมมันตั้งอยู่ตรงจุดนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนหน้าอาคารเรียนเก่าจะถูกเรียกว่าอาคารเรียน “เก่า” แล้ว
เมื่อสายลมผัดผ่านมา ก้อนเมฆก็เคลื่อนไหว แสงอาทิตย์เองก็ส่องเข้าไปภายในหลุม
ดวงอาทิตย์…?
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ดิโกะรู้สึกว่าแสงอาทิตย์มันส่องผ่านเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ เรื่องนี้มันขัดแย้งกัน
ที่อีกฝั่งหนึ่งเธอสามารถมองเห็นสีเขียว มันมีกิ่งไม้ที่ปลิวไสวไปกับสายลม มีต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดี และต้นหญ้าสีเขียวอ่อนที่อ่อนโยนกับดวงตา
สวน
พวกเธอคิดว่าสวนมันคือจุดที่น่าสงสัยที่สุด มันเหมือนกับเป็นทางเข้าไปสู่สถานโบราณ หนึ่งในภารกิจที่ดิโกะถูกมอบหมายก็คือระบุตำแหน่งของสถานที่นี้และหาทางเข้าไป
สายลมพัดผ่านอีกครั้ง เมื่อก้อนเมฆบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ ภาพของสวนที่มองเห็นได้ก็หายไปจากสายตา ดิโกะที่ยังคงกลั้นหายใจก้าวออกไปอย่างเงียบๆหนึ่งก้าวและอีกหนึ่งก้าวตรงเข้าไปหาหลุม และเมื่อเธออยู่ตรงหน้าหลุม เมื่อระยะมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ เธอก็หยุดตัว ร่างกายของเธอยังคงขยับไปด้านหน้า แต่เธอหยุดเท้าเอาไว้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า
ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มันผิดปกติ มันแปลกที่มีหลุมอยู่ที่นี่ มันแปลกที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านไปที่สวนหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และวิธีการเคลื่อนไหวของเธอที่เหมือนกับแมลงถูกไฟล่อก็ไม่มีเหตุผลด้วย มันมีโอกาสสูงมากว่านี่คือกับดักอะไรบางอย่าง —และอาจจะไม่ใช่กับดักธรรมดา แต่เป็นกับดักเวทมนตร์อันทรงพลัง
ดิโกะดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมา เธอต้องส่งข้อความไปหารุ่นที่หนึ่ง จากนั้นก็ออกจากที่นี่ทันทีและไปรวมตัวกับรันยุย —เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เธอก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที ทำไมเธอถึงหยุดอยู่ตรงนี้ล่ะ? เธอสามารถส่งข้อความในขณะที่เคลื่อนไหวไปด้วยได้ ดังนั้นเธอควรจะออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ร่างกายของดิโกะมันกลับพยายามที่จะอยู่ที่นี่
ชั้นต้องขยับตัว เธอคิด แต่ก่อนหน้าที่จะทันได้ทำแบบนั้น ใครบางคนก็จับแขนของเธอเอาไว้ มันมีมือโผล่ออกมาจากหลุมและจับแขนของดิโกะเอาไว้ด้วยแรงอันน่าสะพรึงกลัว นิ้วมือเรียวยาวและมีสีขาวโปร่งแสง เล็บปลอมสีม่วงแทงลึกลงไปในผิวหนังของเธอ จนทำให้มีเลือดไหลหยดออกมา มืออันเรียวสวยและงดงามได้ทำให้แขนของเมจิคัลเกิร์ลบาดเจ็บ —ซึ่งนั่นเป็นการบอกว่าเจ้าของแขนนี้เองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลเช่นเดียวกัน
มือนั้นมันพยายามลากดิโกะเข้าไปด้วยแรงเหนือมนุษย์อันน่าสะพรึ่งกลัว แคนดิดเดทของลาซูไลน์ล้วนเป็นนักสู้ที่ทรงพลัง แต่ไม่มีใครเลยที่แข็งแกร่งในระดับนี้ สัญชาตญาณมันบอกเธอว่าไม่สามารถขัดขืนได้ ดิโกะตอบสนองด้วยการใช้เวทมนตร์ เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ที่ไม่รู้จักและลงมาบนพื้นหญ้า
ดิโกะรู้สึกสับสนกับจุดที่เธอเคลื่อนย้ายมา เธอ คิด ว่าตัวเองมายังจุดหมายที่ห่างออกไปจากหลุม แต่เธอกลับยืนอยู่ในที่ไหนซักที่ที่ไม่คุ้นเคย ต้นไม้ ทางเดินอิฐ แล้วก็ศาลา ที่นี่คือ… สวนงั้นเหรอ? เวทมนตร์ของเธอไม่ได้ทำงานตามปกติ ดิโกะคิดว่าตัวเองเคลื่อนไหวออกห่างมาแล้ว เธอไม่ได้พยายามจะเข้าในสวนด้วยซ้ำ
“สถานที่แห่งนี้มีไว้เพื่อให้เมจิคัลเกิร์ลได้ร่ำเรียน”
เสียงมันดังจากข้างหลัง มันเป็นเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน —เสียงที่อ่อนหวานและได้ยินอย่างชัดเจน มันคือเสียงของเมจิคัลเกิร์ล
“พวกคนที่ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้…”
ดิโกะพยายามใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอไม่สามารถหันหลังกลับเพื่อมองใบหน้าของอีกฝ่าย มือนั้นวางลงมาบนไหล่ของเธอ เธอขยับตัวไม่ได้ อีกฝ่ายกำลังเมตตาเธอ
“…ไม่ควรจะอยู่ที่นี่”
ฝูงอีกาบินออกไปพร้อมกับเสียงกระพือปีก ดิโกะมองขึ้นไปยังท้องฟ้าทางตะวันออกที่อีกาบินออกไปพร้อมกับกำลังวิ่งโดยไม่ได้หยุดเท้าของตัวเอง พวกมันเป็นแค่อีกา มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ เธอมาถึงด้านหลังของอาคารเรียนโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้น รันยุยที่กำลังเอนหลังพิงกับกำแพงโดยเอามือรองไว้ที่หลังคอมองมาที่ดิโกะด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ช้าจังเลย ทำอะไรของเธออยู่เนี่ย? มีอะไรผิดปกติรึไง?”
พอคิดย้อนกลับไปแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นนอกจากฝูงอีกา รันยุยเองก็คงไม่สามารถรอนานไปกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่ท่าทางของเธอก็ดูเกินจริงไปหน่อย ดิโกะถอนหายใจและยิ้มออกมาที่มุมปาก
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกันล่ะ?”
ดิโกะใช้คางชี้ไปทางอาคารเรียนเพื่อที่จะบอกว่า “ออกไปกันเถอะ”
“ออกไปเหรอ? แล้วพวกเรามาที่นี่ทำไมเนี่ย?”
ดิโกะมองกลับไปในทางที่เธอมา มันไม่เหมือนกับว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเธอก็ไม่ได้เชื่อว่าฝูงอีกาคือเรื่องโชคร้าย หากเธอเชื่อในเรื่องที่ผิดๆแบบนั้น เธอก็คงจะเข้ากับแซลลี่ ราเว็นได้ลำบาก
มันไม่ได้มีอะไรเลย แต่เธอก็มีความรู้สึกที่ไม่ดี และเมจิคัลเกิร์ลคนใดก็ตาม โดยเฉพาะคนที่เป็นแคนดิเดทของลาซูไลน์จะรู้ว่าลางสังหรณ์ของเมจิคัลเกิร์ลคือสิ่งที่ไม่สามารถประมาทได้
ดิโกะออกไปอย่างรวดเร็วพลางบอกรันยุยที่ใบหน้าบึ้งตึงให้ออกไปด้วยกัน
☆ สโนไวท์
การที่ห้อง 2F จะเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาของอุเมะมิซากิมันน่ากังวลตั้งแต่เริ่ม พวกเธอทำตามคำแนะนำของอาเดลไฮลด์ที่บอกว่าให้ทำร้านราเม็ง เรื่องนี้พวกเธอตัดสินใจกันอย่างง่ายๆโดยที่ไม่ได้เกิดการกระทบกระทั่งกัน มันเป็นเมนูสากลที่ได้รับความนิยมสูง และมันก็แตกต่างจากเมนูหลักทั้งหมดของโรงเรียนอุเมะมิซากิ เหตุผลใหญ่ที่สุดที่พวกเธอเลือกเมนูนี้ก็คือสามารถซื้อราเม็งแบรนด์เนมสำเร็จรูปที่ขายให้ในราคาถูกจากรุ่นพี่ของอาเดลไฮลด์ได้ —มันคือผลิตภัณฑ์ล่าสุดของรุ่นพี่อาเดลไฮลด์ พวกเธอจะขายมันในร้านที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะหลากหลายประเภท
สิ่งที่ปรินเซสไลท์นิ่งมีความโลภมากที่สุดก็คืออาหาร สโนไวท์กังวลว่าไลท์นิ่งจะรู้สึกว่ามันไม่ควรค่าพอที่จะทำและคงจะไม่รู้สึกพอใจ —แต่ความกังวลเรื่องดังกล่าวกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องที่มีเหตุผล เพื่อนร่วมห้องคนอื่น คนที่รู้จักไลท์นิ่งมานานกว่าสโนไวท์ไม่กี่เดือนรู้ดีว่าปรินเซสไลท์นิ่งจะไม่จู้จี้ว่าสิ่งต่างๆถูกสร้างขึ้นมาแบบไหน เธอเป็นนักชิมที่รักการกินมาก หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวมากมายจากสมาชิกของกลุ่มหนึ่งอย่างเท็ตตี้และแรปปี้ สโนไวท์ก็พยักหน้า “อย่างนั้นเหรอ”
หากไลท์นิ่งจะไม่ได้บ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แบบนั้นราเม็งสำเร็จรูปก็คือตัวเลือกที่ดี การสร้างชิ้นงานศิลปะมันต้องใช้เวลา ดังนั้นส่วนที่ทำอาหารที่มีความง่ายกว่าก็จะลดภาระได้มาก
ถึงมันจะเป็นแบบสำเร็จรูป แต่คุณภาพนั้นก็สูง รสชาติของราเม็งแบรนด์มังกรคู่ที่ทำขึ้นมาโดยที่ไม่ใช่เวทมนตร์นั้นชนะใจของทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบรสชาติ —รวมถึงไลท์นิ่ง คนที่พูดออกมาว่า “มันจะอร่อยจริงๆเหรอ?” อย่างสงสัย แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกมาว่า “นี่มันดีมากเลยนะเนี่ย”
“รสสัมผัสยอดเลย”
“ชามสอง”
“ฮะฮ่า! นี่มันดีสุดๆเลย! ของดีของจริง!”
“น้ำซุปสามแบบเหรอ? หือ ทงคัทสึ มิโสะ โชยุ หืมมม? บางทีต่อไปลองมิโซะดีกว่า”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้ลองกิน ‘ราเม็ง’ —รสชาติมันนุ่มลึกมาก เหมาะกับเป็นอาหารของหมาป่าจริงๆ”
“ฟังนะ เธอต้องหยุดใส่คำพูดจากมังงะลงไปโดยที่คิดว่าทุกคนเข้าใจที่เธอพูดได้แล้ว”
“เราอยากใส่ท็อปปิ้งมากกว่านี้จังเลยค่ะ อือออ”
“ถ้าพวกเรา… ทำขนาดนั้น… ราคา… มันจะแพง”
“ได้ยินว่าเสนอราคามาให้พวกเราแค่หนึ่งในสิบจากราคาขาย —แบบนี้รุ่นพี่เธอจะไหวเหรอ?”
“ชั้นไม่รู้หรอกว่าเธอพยายามทำให้ถูกต้องหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า แต่ถ้ามันแพงเกินไปตั้งแต่แรก สิบเปอร์เซ็นต์มันก็เหมาะสมแล้ว”
“ถ้าราคามันแพงขนาดนั้นก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมอีก”
“เธอให้ส่วนลดมาเพราะว่าพวกเราทำการโฆษณาและทดสอบให้ด้วย —เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายน่ะนะ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของความภาคภูมิใจไม่ก็สัญชาตญาณในการเป็นรุ่นพี่ที่ไม่อยากดูไม่ดีกับรุ่นน้อง”
“มันรู้สึก… เหมือนกับว่า… พวกเราใช้ความใจดีของรุ่นพี่ในทางที่ผิดเลย…”
“ปกติแล้วชั้นก็ก้มหัวเคารพเธอตลอดนะ บางครั้งเองเธอก็ดีกับชั้นด้วย”
“รุ่นพี่ทุกคนเป็นแบบนั้น… จริงๆ… แค่จำได้ก็ทำให้รู้สึกโมโหแล้ว”
“นี่ เธอไม่ใช่รุ่นพี่ที่ไม่ดีนะ รู้ไหม?”
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้ต้องประสบความสำเร็จแน่นอนค่ะ” เท็ตตี้พูดออกมาอย่างจริงใจราวกับว่าสรุปเรื่องต่างๆ และเพื่อนร่วมห้องที่ต่างคนต่างพูดก็เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง
สโนไวท์คิดว่า ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน
สวนนั้นยังคงเป็นพื้นที่ว่างเปล่าสำหรับเธอ เวทมนตร์ของสโนไวท์ไปไม่ถึงที่นั่น ดังนั้นมันจึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องภาพรวม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยังไง
และเมื่อพูดถึงเรื่องสวน การสืบสวนเรื่องซาโต้เองก็ไม่ได้คืบหน้า เสียงจากในหัวใจของเท็ตตี้บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับซาโต้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนๆนั้นเป็นใคร และเท็ตตี้ก็รู้สึกระแวงที่สโนไวท์ถามคำถามเธอเรื่องของซาโต้ ดังนั้นมันจึงอันตรายหากจะถามมากไปกว่านี้
เรื่องต่างๆมันเป็นไปได้ไม่ดี แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะพักเอาไว้ชั่วคราวและพยายามเข้าไปหาจากทางอื่น หากห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลตั้งเป้าเรื่องงานเทศกาลสถาปนา แบบนั้นเธอก็ควรจะตั้งเป้าเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน
ร้านราเม็งจะมีแค่ราเม็ง ส่วนงานศิลปะนั้นพวกเธอจะทำเพื่อตกแต่งภายในร้าน ความคิดของคุมิคุมิที่จะสร้างงานศิลปะขึ้นมาเป็นความคิดแบบคร่าวๆ แต่เมื่อกลายเป็นเรื่องร้านราเม็งแล้ว ความคิดมันก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในทันทีทันใด พวกเธอร่างภาพลงไปบนกระดาษจนเต็มสิบแผ่น แต่เรื่องแนวคิดพวกเธอก็คิดว่าบางทีมันใหญ่เกินไปเล็กน้อย —การที่จะทำมังกรเพื่อตกแต่งชามราเม็งและให้อยู่ทั่วทั้งห้อง
มันสามารถบอกได้ว่าทุกคนรู้สึกเหนื่อยล้ากันแค่ไหนจากการที่มีขอบตาดำ —ซึ่งมันหมายถึง พวกเธอไม่ได้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลเพื่อทำงาน พวกเธอทำเรื่องนี้ในร่างของมนุษย์ ไม่มีใครล้อเลียนหรือเรียกคุมิคุมิว่าโง่ในเรื่องที่จะทำตามกฏอย่างซื่อตรงที่สุดโดยการไม่ใช่พลังของเมจิคัลเกิร์ล —ความจริงข้อนี้มันทำให้ขวัญกำลังใจภายในห้องเรียนเพิ่มสูงขึ้น
กฏของอาจารย์ใหญ่นั้นหมายความว่าคุมิคุมิต้องไม่ใช้เวทมนตร์ของเธอ ด้วยการที่คุมิคุมิมีเวทมนตร์ในการสร้างสิ่งต่างๆมันก็หมายถึงว่าเธอมีความถนัดไปในด้านนี้ตั้งแต่ต้น จากแผนของเธอมันไม่ใช่สัมผัสได้แค่เรื่องความหลงไหลหรือความภาคภูมิใจ แต่ยังมีเรื่องเทคนิคที่เห็นได้อย่างชัดเจนด้วย มันเป็นแผนการใหญ่ที่บอกว่า พวกเธอต้องรวบรวมกระป๋องเปล่า ท่อเหล็ก จักรยาน แท็บเล็ต ทีวี CRT และวัตถุดิบอื่นๆอีกหลายอย่าง ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกอย่าง แล้วก็นำมารวมกันเพื่อสร้าง ทำสี และสร้างมังกรให้เสร็จสิ้น
งานศิลปะนี้มันห่างไกลจากเรื่องที่คาดหวังได้จากนักเรียนมัธยมต้น แต่กลุ่มคนชั้นยอดของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลกลับเก่งมาก แม้ว่าจะไม่ได้แปลงร่างก็ตามที แต่ในขั้นแรก พวกเธอก็ต้องไปรวบรวมวัตถุดิบมา ในกรณีนี้ การที่แซลลี่ ราเว็นรวบรวมไอเท็มที่ไม่ได้ใช้งานจากทางฝ่ายประชาสัมพันธ์นั้นไม่นับว่าเป็นการใช้พลังเมจิคัลเกิร์ลของตัวเอง หากเรื่องนี้ถูกนับว่าเป็นการใช้พลัง แบบนั้นพวกเธอก็ไม่สามารถรับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่เพื่อเปิดร้านราเม็งได้ตั้งแต่แรก
ตอนโฮมรูม เวลาว่าง และหลังเลิกเรียน เหล่าเมจิคัลเกิร์ลก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง —ล้าง แยกชิ้นส่วน แกะสลัก ประกอบ ทำสี และรวบรวมสิ่งต่างๆเอาไว้ในเบื้องต้น ในตอนที่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นมุ่งหน้าไปที่บ้านเกิดหรือฝ่ายที่ตัวเองเกี่ยวข้อง สโนไวท์ก็รอจังหวะที่ไม่มีใครที่จะจับผิดเธอเรื่องนี้และเรียกมิส ริลที่ตรงประตูโรงเรียน
“เธอพอมีเวลาไหม? ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดด้วยน่ะ”
“ได้สิคะ มีอะไรเหรอ?” ท่าทีของเธอดูสงสัยเล็กน้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าสโนไวท์พูดกับเธอในที่ที่ไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ
“เธอถูกฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลแนะนำมาใช่รึเปล่า?”
“ก็ใช่ค่ะ เห็นชัดว่าเป็นแบบนั้น ถึงฉันจะไม่ได้รู้เรื่องนั้นมากเท่าไหร่… ฉันเองก็ไม่เคยพบกับคนที่แนะนำเข้ามาเลยด้วย”
การพูดกับเธอทำให้สโนไวท์ โคยูกิ ฮิเมคาวะ ตระหนักได้ถึงความเหนื่อยล้ามากของตัวเอง แค่ได้ยินความกังวลในน้ำเสียงของมิส ริลมันก็ทำให้เธอรู้สึกแทบที่จะล้มตัวลงไปแล้ว แต่สโนไวท์ต้องโกหกพื่อใช้งานเธอ
“ฉันเคยเจอหัวหน้าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลมาก่อน” สโนไวท์พูด
“เอ๋ อย่างนั้นเหรอคะ?”
“แล้วฉันก็ทำอะไรที่มันค่อนข้างหยาบคายจนทำให้เขาโกรธ”
“อ่า นั่นมัน…”
“ฉันเองก็อยากขอโทษนะ แต่ฉันเข้าไปหาเขาไม่ได้เลย ดังนั้น เอ่อ ฉันมีเรื่องที่อยากจะขอร้อง พวกเรามีขยะที่ได้มาจากที่ที่แนะนำแซลลี่กับโดรี่มาใช่ไหมล่ะ?”
แซลลี่เอากล่องกระดาษจำนวนมากมาจากทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเพราะมันมีจำนวนเยอะเกินไป เธอก็เลยไม่สามารถเอามาทั้งหมดได้ ดังนั้นไซคี รันยุย และดิโกะจึงเข้าไปช่วย เห็นได้ชัดว่าไลท์นิ่งเองก็พยายามช่วยเหมือนกันแต่ว่าถูกปฎิเสธมาอย่างสุภาพ สโนไวท์เข้าใจความคิดที่ไม่อยากพาปรินเซสไลท์นิ่งไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์
โดรี่เอาวัตถุบางอย่างที่ทำความเข้าใจไม่ได้ว่าคืออะไรมาจากห้องทดลอง วัตถุที่ทำความเข้าใจไม่ได้พวกนี้มันสามารถอธิบายได้เพียงแค่ว่าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ —บางอย่างมันอุ่นเหมือนกับผิวหนังของมนุษย์ มีเมือกที่ทำให้รู้สึกลื่น การบอกว่าให้ทิ้งมันไปทั้งหมดก็จะทำให้โดรี่รู้สึกแย่ ดังนั้นเท็ตตี้จึงอยู่กับโดรี่และคอยช่วยเรื่องจัดแจงประเภทสิ่งของทั้งหมดที่เอามา
มิส ริลเอียงศีรษะอย่างสุภาพ การที่สโนไวท์เปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองในอดีตออกมาในตอนนี้มันเป็นการอธิบายว่าทำไมเธอถึงรอเวลาที่ไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ ความสงสัยของมิส ริลเหมือนว่าจะลดน้อยลงไป แต่ในตอนนี้ก็มีท่าทางสับสนปรากฏออกมา
“ฉันอยากจะช่วยนะคะ… แต่มันก็เหมือนกับที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ เรื่องมันก็คือว่า ฉันถูกแนะนำมา แล้วฉันก็ไม่รู้ใครเป็นคนที่แนะนำมาและเป็นเพราะเหตุผลอะไรด้วย ดังนั้นฉันก็เลยไม่รู้เรื่องวิธีการติดต่อกับทางนั้นเหมือนกัน”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก” สโนไวท์พูด “มันมีหน่วยงานสาธารณะอยู่ ดังนั้นเธอสามารถหาข้อมูลการติดต่อของทางนั้นได้ง่ายๆเลย”
“อย่างนั้นเหรอคะ? แบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีฉันแล้วรึเปล่า?”
“ถ้าฉันพูดออกไปว่าสโนไวท์พยายามจะติดต่อไปหา ทางนั้นก็จะไม่ฟังฉัน และถ้าฉันเข้าไปหาแบบกระทันหัน ฉันก็จะถูกพาตัวออกไปนอกประตู… มันเป็นเพราะเรื่องที่ฉันทำลงไปในอดีต —แล้วฉันก็ไม่ได้ขอโทษ เรื่องทุกอย่างมันก็เลยเป็นแบบนี้อยู่ตลอด… ดังนั้นขอร้องล่ะ! ถ้ามีเธอร่วมทางไปด้วยล่ะก็ แบบนั้นพวกเราก็สามารถเข้าไปด้วยกันได้”
เหมือนว่ามิส ริลยังคงตามเรื่องราวไม่ทัน แต่สโนไวท์รู้ว่ามิส ริลแพ้ทางคำขอร้องและยังไม่สามารถทิ้งคนที่ตกอยู่ในปัญหาได้ ในขณะที่สโนไวท์รู้สึกผิดที่ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของคนที่เป็นคนดี เธอก็ก้มศีรษะลงไปมากกว่าเดิมพร้อมกับประสานมือทั้งสองเข้าหากัน
☆ รากิ สเว เน็นโต
ไม่ใช่ว่ารากิมีอะไรพิเศษกับทางห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล เขาแค่รู้ถึงจุดประสงค์เบื้องหลังในการที่ก่อตั้งขึ้นมา เขาคิดว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นไปตามที่คิด แม้ว่าห้องเรียนนี้จะถูกบอกว่าเป็นการให้การศึกษาสำหรับเมจิคัลเกิร์ล แต่พวกคนที่จะแนะนำคนของตัวเองเข้าไปจะไม่ยอมรับมันทันทีแน่ พวกนั้นจะส่งเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของตัวเองเข้าไปเพื่อที่จะขยายผลประโยชน์ของทางฝ่าย เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลก็จะเป็นเพียงส่วนเสริมในแผนการของคนพวกนั้น และมันก็จะไม่มีการศึกษา การพัฒนา หรืออะไรก็ตามอย่างที่ควรจะเป็นอยู่อีก
รากิไม่ได้คาดหวังอะไรมากตั้งแต่แรก คิดว่ามันเป็นความกล้าได้กล้าเสียที่มีอุดมการณ์อันดีงามและไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้คิดจะใช้ที่นั่งในการที่จะแนะนำคนเข้าไปหนึ่งที่ที่ตัวเองได้รับการจัดสรรมาอย่างไม่ระวัง เขาโดนยัดเยียดที่นั่งเรื่องการแนะนำสำหรับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลนี้มาเพราะว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องเมจิคัลเกิร์ลอย่างกับเป็นการประชด ดังนั้นเขาก็ต้องเติมเต็มความรับผิดชอบของตัวเอง
ตั้งแต่เริ่มแรก ภายในฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่ได้มีเมจิคัลเกิร์ลที่ “อยู่ในการอุปถัมภ์” ของเขา รากิเลือกเมจิคัลเกิร์ลด้วยความเป็นกลางและสายตาในการมองคนเท่านั้น เขาเมินคนพวกที่พยายามประจบประแจงเขาที่คอยพูดว่า “คนนี้เป็นยังไง แล้วคนนี้ล่ะ”
รากิได้ทำตรวจสอบจากหลายๆมุม และเลือกมาหนึ่งคนที่ดูเหมือนว่าใช่ : มีการขัดสนทางการเงิน มีสติปัญญายอดเยี่ยม มีความสามารถในการเรียนรู้สูง มีความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างไม่สิ้นสุด มีจิตใจดีงาม มีทักษะการสื่อสารที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้อย่างราบลื่น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรใดๆ ความหลงไหล พลังใจ ความอดทน มารยาท อายุ ญาติในครอบครัว รางวัลและการลงโทษ คุณสมบัติ และเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นก็มีชื่อว่ามิส ริล
การที่เต็มไปด้วยคนที่ถูกส่งเข้ามาจากแต่ละฝ่าย ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลก็จะกลายเป็นรังของปีศาจ การอยู่ที่นั่นพร้อมกับยังคงความเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ดีเอาไว้เป็นเรื่องที่ลำบาก มันจำเป็นต้องคอยจับตามองเธอเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใหญ่เลวๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นั่นคือเรื่องที่เขาคิด แต่รากิก็ไม่ได้จัดการกับเรื่องต่างๆตั้งแต่ที่เลือกเธอเข้าไป เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน เขาตกอยู่ในเรื่องเลวร้ายอันแสนทรมาณจนลืมเรื่องความกังวลของตัวเองที่มีต่อมิส ริลไป เรื่องที่ควรจะเป็นแค่การประชุมกันเรื่องมรดกกลับกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่เต็มไปด้วยความตาย หลังจากที่เรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว เขาได้รับการติดต่อมาจากมิส ริล คนที่พูดว่าอยากเข้ามาหาเขา
เธอบอกว่าอยากจะพบเขาต่อหน้าเพื่อขอบคุณเขาเรื่องที่แนะนำตัวของเธอ แล้วก็ยังถามว่ามีขยะอะไรอยู่รึเปล่า หากมีก็หวังว่าจะสามารถแบ่งให้เธอได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเธอจะใช้เพื่อเตรียมห้องเรียนสำหรับงานที่ชื่อว่าเทศกาลสถาปนา
เมื่อคิดถึงเรื่องห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเป็นครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนาน รากิก็กอดอกและมองขึ้นไปบนเพดาน แม้จะเรียกมันว่าเพดาน แต่ทางสำนักงานของฝ่ายจัดการก็ไม่ได้มีขอบเขตจำกัด เพดานมันเป็นแค่สีดำที่แผ่ออกไปแบบไม่สิ้นสุด
ดูเหมือนว่าเธอจะใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างขยันขันแข็ง หากเธอเข้าร่วมในอีเวนท์อะไรบางอย่างและกำลังทำงานกับคนอื่น แบบนั้นก็หมายความว่าเธอมีเพื่อนแล้วรึเปล่านะ? เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลเลวๆที่แสร้งทำตัวเป็นเพื่อน แต่เธอจะแยกแยะได้รึเปล่า? มันมีเรื่องที่น่ากังวลหลายเรื่อง รากิตอบรับคำขอจากมิส ริลในทันที ส่วนหนึ่งนั้นมันเป็นความรู้สึกผิดที่ได้ลืมไป
รากิรู้สึกหดหู่มาระยะหนึ่งแล้ว มันไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกสนุกสนานได้เลย และความรู้สึกหม่นมองมันก็จะเรียกความรู้สึกแบบเดียวกันออกมาเพิ่ม ก่อนหน้านี้ รากิจะระบายมันออกมาทั้งหมดด้วยความโกรธ แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว เขากลายเป็นคนที่พูดน้อยลง ทำอะไรขั้นต่ำตามที่จำเป็น และใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ
หลังจากที่ตอบมิส ริลกลับไป รากิก็สร้างโกเล็มขึ้นมาเพื่อทำงานอะไรบางอย่างให้เขาและให้มันรวบรวมสิ่งที่ไม่ได้ใช้งาน แต่มันก็ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงออกไปที่อื่นเพื่อรวบรวมมาเพิ่ม จากนั้นเขาก็ลดการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานให้น้อยลงเพื่อที่จะทำให้สามารถเข้ามาภายในห้องได้ง่ายขึ้น
เขาเหมือนกับเป็นคุณปู่ผู้ชราภาพที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของหลานสาว เขาคิดเช่นนั้นและพ่นลมหายใจออกมา หากปู่และหลานสาวทุกครอบครัวมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ มันก็เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้วที่จะไม่สร้างครอบครัว เขาคิดเพื่อโน้มน้าวใจตัวเอง
หลังจากที่เขาเตรียมการหลายอย่างเสร็จเรียบร้อย เมื่อเวลาผ่านไปจนเขารู้สึกผ่อนคลาย มันก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตูของสำนักงานฝ่ายจัดการ รากิกระแอมออกมาเพื่อให้ลำคอโล่งสองครั้งเพื่อเตรียมพร้อมและบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาด้านใน
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบเธอ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นว่ารูปร่างหน้าตาของเธอเป็นยังไงมาก่อน —ซึ่งแน่นอนว่าเอกสารมันรวมเรื่องนี้เอาไว้ด้วย เขาที่ลอยอยู่กลางอากาศพยักหน้าให้กับเมจิคัลเกิร์ลเหล็กกล้าที่ทักทายมา จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ด้านหลัง มิส ริลไม่ได้มาคนเดียว
เมื่อได้เห็นเครื่องประดับดอกไม้สีขาวที่ขยับไปมา ท่าทีของรากิก็กลายเป็นแข็งกร้าวในพริบตา แม้ว่าท่าทางของมิส ริลจะยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ เธอก็เหมือนว่ารู้สึกแปลกใจ แต่มันดูเหมือนว่าจะมากเกินไปที่จะกังวลเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ หัวหน้าฝ่ายจัดการ ฉันสโนไวท์เอง”
เขาไม่ได้ตอบกลับคำทักทายของเธอออกไปดังๆ เขาแค่ตอบกลับไปด้วยสายตาเพียงเท่านั้น
☆ 0 ลูลู
ซินดี้ เน็คช็อปเปอร์คือเมจิคัลเกิร์ลนักรบรับจ้างที่มีมีดโกนเวทมนตร์ขนาดยักษ์ที่จะไม่สัมผัสโดนอะไรอย่างอื่นนอกจากสิ่งมีชีวิตเท่านั้น การโจมตีด้วยใบมีดโกนของเธอมันกินระยะกว่าหนึ่งเมตร เธอเยาะเย้ยความพยายามของศัตรูที่พยายามจะป้องกันเอาไว้ด้วยเกราะและอาวุธ เพราะมันจะสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายเท่านั้น งานหลักของเธอคือการเป็นผู้คุ้มกันให้กับขุนนาง ข่าวลือทั้งหมดที่ได้มาบอกว่าเธอเป็นพวกซาดิสม์ที่ชอบถือใบมีดโกนแม้กระทั่งนอกเวลางาน แต่ด้วยการเน้นการโจมตีด้วยคุไนและชูริเคนได้เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นเม่นที่นอนกองอยู่ตรงนี้ ใบมีดโกนของเธอไม่สามารถสัมผัสกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการป้องกันพวกมันได้นั่นเอง
คอตตี้ ริเอลคือเมจิคัลเกิร์ลนักรบรับจ้างที่เวทมนตร์นั้นสามารถเปลี่ยนความแข็งแกร่งและคุณสมบัติของกระดาษชำระที่ตัวเองสัมผัสได้ เธอมีกระเป๋าลับอยู่ทั่วและใส่กล่องกระดาษชำระเอาไว้ ในขณะที่เวทมนตร์ของเธอนั้นดูน่าตลก แต่มันก็ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ตัวของเธอใช้มันอย่างมีเหตุผล คนที่ประมาทเธอจะโดนจัดการหรือไม่ก็หั่นด้วยกระดาษชำระ เธอไม่เหมือนกับซินดี้เพราะสามารถป้องกันคุไนและชูริเคนเอาไว้ได้ด้วยการทำให้กระดาษชำระมีความแข็งมากขึ้น แต่ก็ถูกริปเปิลที่กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ในฝั่งตรงข้ามจัดการไป
ทาเทรุ อามามิยะมีลักษณะของช่างไม้และมีอุปกรณ์ช่างไม้เวทมนตร์ ผู้คนพูดกันว่าเธอสามารถสร้างบ้านทั้งหลังได้เร็วกว่าปกติสามพันเท่า เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานช่างไม้ แต่ด้วยการมีนิสัยในการชอบต่อสู้จึงได้กลายมาเป็นนักรบรับจ้าง เธอใช้อุปกรณ์ช่างไม้ที่ดูอันตรายอย่างตะปู ค้อน กบไสไม้ เลื่อย สิ่ว และเส้นหมึกในการจัดการศัตรู เธอพลาดที่จะป้องกันการโจมตีจากริปเปิลในตอนที่เข้าโจมตีมาจากมุมบอดด้วยการใช้ร่างของคอตตี้ ริเอลที่ล้มลงไปเป็นโล่
จากนั้นก็คืออัศวินดำ กวินเนเวียร์ ไอเท็มทุกอย่างที่เธอมี ตั้งแต่หมวกเหล็กสีดำ เกราะ จนถึงดาบยักษ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดมีเวทมนตร์ร่ายเอาไว้ ส่วนเรื่องเวทมนตร์ของเธอเป็นอะไรที่เรียบง่าย —นั่นคือการที่เธอมีม้าเวทมนตร์ แต่เรื่องทักษะการใช้ดาบนั้นจัดอยู่ในอันดับต้นๆของผู้ที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ เธอยึดติดกับการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งมาก และเธอก็เก่งมากพอจะยึดมั่นในเรื่องนั้นด้วย สำหรับลูลูแล้วมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หลังจากที่จัดการซินดี้ เน็ตช็อปเปอร์ คอตตี้ ริเอล และทาเทรุ อามามิยะลงไปแล้ว ริปเปิลก็หยุดอยู่ตรงหน้ากวินเนเวียร์ เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแบบตรงๆ แล้วก็ก้มศีรษะของตัวเองลงไป ทั้งหมดนี้มันมาจากคำแนะนำของลูลู
“ชั้นขอท้าสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง” ริปเปิลพูด
กวินเนเวียร์หัวเราะออกมาภายใต้หมวกเหล็ก “เธออยากสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งหลังจากที่ซุ่มโจมตีพวกเราเนี่ยน่ะเหรอ?”
“ถ้าไม่อยาก… แบบนั้นก็ออกไป”
ในน้ำเสียงของริปเปิลมันไม่ได้มีความท้าทายแฝงอยู่ มันเต็มไปด้วยความไร้อารมณ์ แต่ก็เพราะว่าโทนเสียงเช่นนี้ที่พูดออกมาราวกับบอกความจริงว่าพวกเธอคือใครนั่นเอง สำหรับลูลูแล้วมันฟังดูเหมือนเป็นการท้าทายยิ่งกว่าคำพูดไหนๆเสียอีก
แต่กวินเนเวียร์ก็ไม่ได้โกรธหรือหงุดหงิดอะไร —มันทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นด้วย
“โอ๊ะ ทางนี้คิดอะไรหรอก ซินดี้กับคนอื่นๆที่ถูกจัดการไปก็เพราะฝึกซ้อมในส่วนของตัวเองมาไม่พอ”
เมื่อสิบวินาทีก่อนหน้านี้ คุไนกับชูริเค็นนั้นโปรยลงมาทั่วพื้นที่เหมือนกับห่าฝน แต่ไม่มีอันไหนเลยที่โดนตัวของกวินเนเวียร์ —มันไม่ได้ทำให้เกราะเป็นรอยเลยด้วยซ้ำ เธอเหวี่ยงดาบยักษ์ไปรอบๆเพื่อทุบชูริเค็นและคุไนทั้งหมดให้ร่วงลงมา และมันก็เป็นการปกป้องม้าแสนรักของเธอด้วย แม้ว่าจะเป็นสายตาของลูลูในฐานะแคนดิเดทของลาซูไลน์แล้ว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเกินไป จนเธอแทบจะมองตามไม่ทัน
ด้วยการที่มีชูริเค็นและคุไนปักอยู่ทั่วพื้นที่ของสถานที่ตั้งแคมป์ กวินเนเวียร์ก็ขึ้นไปบนม้าของตัวเองอย่างว่องไวและแทงดาบเข้ามาหาริปเปิล “ข้าคืออัศวินดำ กวินเนเวียร์!” ใบหน้าของเธอซ่อนอยู่ใต้หมวกเหล็ก ทุกสิ่งที่มองเห็นได้คือเส้นผมสีเงินยาวที่โผล่ออกมาจากช่องว่างของเกราะ และน้ำเสียงของเธอก็ฟังดูยินดีอย่างไม่ได้ปกปิด
“ริปเปิล” เสียงที่ออกมาฟังดูสงบราวกับออกมาจากก้านบึ้ง แต่ริปเปิลก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ชูริเค็นและคุไนบินแหวกอากาศออกไป ดาบนินจาที่ส่งเสียงดังออกมาผ่านการตัดอากาศและม้ายักษ์ก็ส่งเสียงร้องออกมา การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และในจุดนี้มันก็ยากที่จะเข้าไปขวาง ลูลูไม่เคยคิดที่จะทำแบบนั้น มันคือเรื่องสำคัญที่เธอจะ ไม่ เข้าไปขวาง เมจิคัลเกิร์ลสองคนต่อสู้กันพร้อมกับเคลื่อนไหว เคลื่อนตัวออกจากสถานที่ตั้งแคมป์เข้าไปในป่าลึก ต้นไม้และฝุ่นปลิวขึ้นมา การรับรู้ถึงตัวตนของทั้งสองยังคงชัดเจนแม้ว่าจะเป็นหลังจากที่ออกไปจากระยะสายตาแล้วก็ตาม
ลูลูยืนขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้พุ่มไม้สั่นไหวในตอนที่แสดงตัวออกมา เสียงของใบไม้ที่สั่นไหวมันทำให้รู้ได้ถึงตัวตนของเธอ แต่ริปเปิลและกวินเนเวียร์ไม่ได้สนใจและยังคงทำการต่อสู้ต่อไป เรื่องที่ลูลูกังวลก็คือเมจิคัลเกิร์ลที่เหลืออยู่
มันมีเมจิคัลเกิร์ลทั้งหมดหกคนที่รวมตัวกันอยู่ในสถานที่ตั้งแคมป์ที่ไม่ได้ใช้งานซึ่งอยู่ลึกในภูเขา พวกเธอคือนักรบรับจ้างที่ถูกว่าจ้างโดยฝ่ายแคสปาร์และกำลังรอคำสั่ง สามคน ซินดี้ คอตตี้ และทาเทรุถูกจัดการไปแล้วด้วยการลอบโจมตีของริปเปิล เมจิคัลเกิร์ลที่กำลังสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งกับริปเปิลคือกวินเนเวียร์ ที่เหลืออีกสองคนก็คือ ช็อคซิงเกอร์ คนที่เก่งเรื่องการสนับสนุนด้วยบทเพลงเวทมนตร์ กับไซเร็นเวฟ คนที่ภูมิใจในฟังก์ชั่นต่างๆมากมายที่ติดตั้งเอาไว้ในมือขวาที่เป็นแขนกล กำลังจ้องมองลูลูอย่างเอาเป็นเอาตาย
ซิงเกอร์ขยับแขนหนึ่งข้างอย่างระมัดระวัง เอื้อมมือเข้าไปหาฟลุตที่อยู่ที่หลัง
“พอแค่นั้นเถอะ” ลูลูพูด
ซิงเกอร์หยุดมือ เธอมองมาที่ลูลูด้วยสายตาสงสัย
“แล้วทำไมฉันต้องหยุดด้วยล่ะ? เพราะเธอไม่อยากสู้แบบสองต่อหนึ่งรึไง?”
“เพราะพวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ต่างหาก”
“ทั้งสองฝ่าย?”
“เธอควรจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรหลังจากที่เห็นเรื่องของสองคนนั้นออกมาเป็นยังไงนะ พวกเราไม่ใช่ปีศาจหรือพวกกระหายเลือด หากเธอยอมแพ้โดยที่ไม่ต่อต้านพวกเรา เธอก็จะถูกปฎิบัติด้วยต่างออกไป”
“หา? นี่เธอคิดว่ากวินเนเวียร์จะแพ้รึไง?”
“คู่หูของฉันน่ะแข็งแกร่ง ในการทดสอบครั้งสุดท้ายของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ สถานที่ที่แครนเบอร์รี่ตาย เธอก็รอดจากการต่อสู้อันรุนแรงมาได้” ลูลูพูดออกมาในขณะที่ร่ายเวทมนตร์กับหินสีม่วง อเมทิสต์ที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋าที่อยู่อันดับสามจากด้านบนและอันดับสองจากด้านขวา มันคือการให้ความสำคัญกับ ความจริงใจ ในขณะที่ทำให้เกิด ความเงียบสงบของจิตใจ ด้วย
เธอไม่ได้พูดโกหก หากริปเปิลชนะแล้วกลับมา การที่พวกเธอไม่ต้องสู้กับลูลูนั่นหมายถึงเรื่องที่ดีกว่า ในทางกลับกัน หากริปเปิลแพ้ มันก็ไม่มีเหตุผลให้ลูลูต้องรีบสู้กับพวกเธอ ถ้ากวินเนเวียร์ยังคงสบายดี แบบนั้นมันก็จะไม่ใช่แค่สองต่อหนึ่ง —มันจะกลายเป็นสามต่อหนึ่ง
ความฉุนเฉียวหายไปจากท่าทางของหนึ่งในเด็กสาว เธอคิดว่า ในตอนนี้พอพูดแบบนั้น มันก็มีเหตุผล เธอไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรและไม่ได้โจมตีเข้ามา นั่นคือวิธีการแบบที่ไม่รุนแรงในการยอมรับข้อตกลงการหยุดโจมตีของลูลู เธอไม่ได้อยากที่จะสู้จริงๆ และลูลูก็มอบทางออกให้ กระตุ้นให้เธอตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ลูลูกำลังควบคุมสถานการณ์นี้อยู่ —แต่ปัญหามันก็เริ่มต้นที่ตรงนี้
ตลอดเวลาพวกเธอแทบจะรับมือเอาไว้ไม่ไหว ศัตรูนั้นมีจำนวนมาก การโจมตีในครั้งแรกของริปเปิลได้ทำการลดจำนวนศัตรูลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตามด้วยการที่เข้าหาศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดอย่างกวินเนเวียร์เพื่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ลูลูกำลังรับมือกับศัตรูที่ริปเปิลจัดการพลาด ในขณะที่ต้องแน่ใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งของพวกเธอและต้องคอยจับตาศัตรูไม่ให้รายงานไปยังนายจ้างเรื่องที่ถูกโจมตีด้วย
เรื่องราวมันดำเนินไปอย่างปาฎิหาริย์จนมาถึงจุดนี้ แต่มันจะยังคงเป็นไปได้ด้วยดีต่ออีกรึเปล่า? มันคือแผนการที่ประมาทเอามากๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะมีตัวเลือกอื่น เฟรเดริก้าคงจะคิดแผนการตอบโต้บางอย่างขึ้นมา เพราะงานแรกในระยะเวลาอันยาวนานของพวกเธอทำให้จำนวนข้อมูลที่ถูกส่งไปกลับลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งคิดว่าควรจะยกเลิกภารกิจ ริปเปิลที่อยู่ระหว่างสโนไวท์กับเฟรเดริก้านั้นคงอยากที่จะทำอะไรบางอย่างกับโอกาสนี้มาก
ลูลูมั่นใจในขาของตัวเอง เธอควรจะวิ่งออกไปก่อนที่ทั้งสองคนจะกลับมา ดังนั้นในด้านที่กำลังคำนวนของลูลูกำลังโต้เถียงกัน แต่ในด้านเกียรติยศมันทำให้เธอรออยู่ที่ตรงนี้ เธอบีบคั้นสมองและคิดแผนการขึ้นมา แม้ว่าแผนการนั้นมันจะประมาทมาก ถึงจะเป็นแบบนั้น ริปเปิลก็ไม่ได้บ่นออกมาเลยแม้แต่คำเดียว เธอแค่พูดออกมาอย่างห้วนๆว่า “มาทำกันเถอะ” ลูลูคิดว่าเพราะแบบนั้นเองถึงเชื่อในตัวริปเปิล
หลังจากที่ความรู้สึกทั้งคู่ระเบิดออกมา พวกเธอก็คุยกันทุกเรื่องที่สามารถคุยได้ รับฟังทุกๆอย่างที่สามารถได้ยินจากอีกฝ่ายตลอดทั้งวัน ลูลูไม่ได้เข้าใจว่าริปเปิลรู้สึกยังไง ลูลูไม่สามารถบอกจากมุมมองของตัวเองได้ว่าริปเปิลมองลูลูเป็นใครบางคนที่ควรใช้งานในตอนนี้หรือเป็นคู่หูที่ควรค่าแก่การเชื่อใจ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน ริปเปิลก็ยังคงเชื่อลูลู แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่เกลียดลูลูมากขนาดนั้นแล้วก็ตาม ดังนั้นลูลูจึงเชื่อใจริปเปิลเช่นกัน ทีมเฉพาะกิจนี้ต้องการพวกเธอทั้งคู่ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และลูลูก็ไม่ยอมปล่อยให้มันจบแค่นี้แน่
พอได้พูดออกมาแล้ว ลูลูก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป มันไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องพ่อกับแม่ของเธอออกมาเลยด้วย เธอพูดแม้กระทั่งเรื่องนิสัยของตัวเองที่คอยมองหาความเปลี่ยนแปลงในตู้ขายของอัตโนมัติอยู่ในช่วงหนึ่งออกมาอีกต่างหาก เรื่องที่เธอสงสัยว่าเด็กๆไปโรงเรียนกันยังไง เรื่องที่เธอไม่สามารถเป็นเพื่อนกับแคนดิเดทลาซูไลน์คนอื่นได้ และเรื่องที่เธอรู้สึกว่าตัวเองคอยมองหาข้อบกพร้องในตัวของคนอื่นแบบไม่รู้ตัว
เธอควบคุมเรื่องที่ตัวเองจะพูดออกมาไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เธอยังอยากฟังเรื่องที่ริปเปิลจะพูดออกมาด้วย แม้ว่าพวกเธอจะร่วมมือกันเพียงไม่นาน ลูลูก็เข้าใจว่าริปเปิลมีความยุติธรรมในเรื่องนี้ ลูลูคิดว่าถ้าตัวเองพูดออกมา แบบนั้นริปเปิลก็จะพูดออกมาด้วยเช่นกัน
จากนั้นลูลูก็ได้รับฟังเรื่องราวของริปเปิล เธอได้ฟังเรื่องเลวร้ายของการทดสอบของแครนเบอร์รี่ เรื่องของศัตรูอย่างคาลามิตี้ แมรี่และไพตี้ เฟรเดริก้า เรื่องของท็อปสปีดกับสโนไวท์ เรื่องของแม่ —เมื่อได้ฟังเรื่องความน่าขยะแขยงของพ่อเลี้ยงที่แตะต้องตัวของริปเปิล ลูลูต่อยลงไปที่เตียงและพูดว่า “ผู้ชายมันก็เป็นซะแบบนี้!!”
จากเรื่องที่สำคัญไปสู่เรื่องเล็กๆ แน่นอนว่าการพูดถึงมันมีความหมาย ในตอนนี้ ในตอนที่ริปเปิลกำลังต่อสู้อยู่นี้ เธอเชื่อใจลูลูมากขึ้นเล็กน้อย
หนึ่งนาทีหลังจากที่เสียงดังก้องของโลหะดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ผืนป่าก็ตกอยู่ในความเงียบ การต่อสู้คงจะจบแล้ว
ลูลูควรจะมีท่าทีที่สงบนิ่ง แต่ในตอนนี้เธอกลับกลืนน้ำลายจนเกิดเสียงดัง
เมจิคัลเกิร์ลหนึ่งคนปรากฏตัวออกมาจากป่าพร้อมกับลากขาของตัวเอง เส้นผมของเธอนั้นยุ่งเหยิง ชูริเคนเครื่องประดับผมเองก็หายไป เลือดไหลย้อยลงมาจากใบหน้า และที่ตัวก็มีรอยเฉือนหลายขนาดอยู่ทั่วทุกที่ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนรูปไปเพราะกระดูกแก้มหัก มันสามารถบอกได้จากภายนอกว่ากระดูกของเธอหักตรงจุดไหนบ้าง อย่างเช่นซี่โครงและไหล่ซ้าย
“เธอนอน… อยู่ตรงนั้น” ริปเปิลใช้กรามของเธอบอก เธอคงจะหมายถึงกวินเนเวียร์
ริปเปิลจ้องไปที่ทั้งสองคนที่เหลืออยู่ ลูลูกำลังจะห้ามเอาไว้แต่จากนั้นก็ถอยกลับไปครึ่งก้าวโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ริปเปิลใช้ปากคาบคุไนเอาไว้ และก้าวออกมาข้างหน้า
ริปเปิลไม่ได้สูญเสียความต้องการใดๆในการต่อสู้ไป เธอเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจที่จะฆ่า แต่ในสภาพนี้ มันก็เกินไปกว่าที่จะผ่านไปได้ด้วยความกล้าเพียงอย่างเดียว หากจะพูดแบบตรงๆแล้ว ริปเปิลนั้นบาดเจ็บมากเกินไปที่จะนับได้ว่าเป็นกำลังในการต่อสู้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็จับจ้องทุกๆการเคลื่อนไหวที่ริปเปิลทำ
ริปเปิลก้มตัวลง มันไม่มีเวลาที่จะมาลังเลแล้ว ในตอนนั้นเอง ในจังหวะที่ลูลูกำลังจะห้ามริปเปิลเอาไว้ไม่งั้นริปเปิลได้ตายแน่ ช็อคซิงเกอร์ก็ชูมือของตัวเองขึ้น
“ฉันยอมแพ้”
ริปเปิลผ่อนคลายท่ายืนของตัวเองและพ่นคุไนออกจากปาก ลูลูยั้งความต้องการที่จะร้องไห้ของตัวเองเอาไว้ในตอนที่วิ่งเข้าไปหาริปเปิล
MANGA DISCUSSION