ตอนที่ 3:
ร่วมด้วยได้ไหม?
☆ ห้อง 2-F
“มีเยลลี่เหลืออยู่ด้วย!”
ทุกคนในห้องเรียนมองตรงไปยังเด็กสาวที่ตะโกนออกมา เธอสวมแว่นตาและมีเส้นผมที่ถักเป็นเปีย : หัวหน้ากลุ่มสอง เมฟิส เฟเลส ที่กำลังใช้ตัวของเธอบังภาชนะพลาสติกเพื่อปกป้องเอาไว้
“เฮ้ เฮ้” รันยุย เด็กสาวที่มีทรงผมโพนี่เทลห้ามเมฟิสเอาไว้ “ทำไมต้องทำท่าแบบนั้นด้วยล่ะ? คิดจะเอาเยลลี่ที่เหลือเป็นตัวเองรึไง?”
“ถ้าจะทำแบบนั้น ชั้นก็แค่เงียบแล้วก็กินเองไปแล้ว ชั้นกำลังปกป้องเยลลี่อยู่ต่างหาก ครั้งก่อนที่มีของหวานเหลือ ใครบางคน ก็หยิบเอาไปกินโดยที่ไม่ได้ถาม”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังที่เดียวกันอีกครั้ง เด็กสาวผมยาวดำที่ดูสง่างามกำลังถือช้อนปลายส้อมอยู่ —ปรินเซสไลท์นิ่ง หัวหน้ากลุ่มสาม— เธอกระพริบตาราวกับว่าพยายามโชว์ขนตาเรียวยาว จากนั้นก็ชี้ไปที่ใบหน้าที่ดูงดงามของตัวเองที่มีกรามเรียวสวย “นี่ฉันทำอะไรเหรอ?”
“ปัญญาอ่อนรึไงวะ ครั้งที่แล้วมีส้มแมนดารินแช่แข็งเหลืออยู่ แกเป็นคนที่เอาไปกินเองไม่ใช่รึไง”
“ในตอนนั้น มันไม่ได้มีกฏที่ตั้งว่าห้ามใครเอาของหวานที่เหลือไปกินนี่? เพราะแบบนั้น เรื่องที่ฉันทำก็เลยไม่ได้ผิดกฏอะไรซักหน่อย”
“ฮะฮะ งั้นเหรอ มีเหตุผลนะ” ดูเหมือนว่ารันยุยจะเป็นคนเดียวที่ถูกโน้มน้าวด้วยเหตุผลนี้ เธอพยักหน้าสองสามครั้ง แต่นักเรียนคนอื่นก็มองมาที่เธออย่างเย็นชา
เมฟิสโกรธมากเป็นพิเศษ เธอทุบลงไปที่โต๊ะด้วยกำปั้น “ถึงมันจะไม่มีกฏที่ตั้งเอาไว้ แกก็ควรใช้กฏของการเป็นมนุษย์หน่อยเซ่!”
“จากกฏ ส่วนตัว ของฉันมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนะ ฉันเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องกฏของเธอด้วย ดังนั้นฉันไม่รู้ด้วยหรอก ว่าแต่พวกเราคุยกันเสร็จรึยัง? คุยกันแบบนี้เหมือนกับวนอยู่ในอ่างเลย”
ในจุดนี้ ทุกคนภายในห้องก็คิดว่าเมฟิสจะโมโหกับการยั่วยุของไลท์นิ่ง —แม้ว่าตัวของไลท์นิ่งจะไม่ได้ตั้งใจยั่วยุก็ตาม— แต่จากนั้นใครบางคนก็ก้าวเข้ามาช่วย เด็กสาวตาสีฟ้าและมีผมสีบลอนด์เข้ามายืนข้างๆเมฟิส ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์ วางมือลงไปตรงหน้าหัวหน้ากลุ่มสองที่กำลังโกรธเพื่อห้ามเธอ
“เฮ้ ตอนนี้น่ะใจเย็นก่อน คุยกันเรื่องอดีตไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก พวกเราต้องคุยเรื่องที่เกิดในตอนนี้ต่างหาก วันนี้น่ะ คุณคัลโคโระโดนเรียกตัวออกไปจากห้องเรียนแถมตอนกลางวันเองก็ไม่อยู่ด้วย แล้วมันก็เยลลี่เหลืออยู่แค่หนึ่งที่ พวกเรามันไม่มีทางที่จะแบ่งให้ทุกคนได้หรอก เพราะแบบนั้น ใครซักคนก็ควรจะได้มันไป —แล้วในตอนนี้พวกเราก็ต้องคุยกันว่าใครจะเป็นที่ได้ไป”
เด็กสาวผิวคล้ำตัวเล็กๆ อาร์ค อาร์ลี่ ยกมือขึ้น “เป่ายิ้งฉุบ!”
ดริล โดรี่ คนที่ดูเหมือนกับอาร์ลี่ทุกกระเบียดนิ้วพูดตามออกมา “สู้!”
เด็กสาวผมบ๊อบสีดำ —หัวหน้าห้องและหัวหน้ากลุ่มหนึ่ง เท็ตตี้ กู๊ดกริป— บอกให้อาร์ลี่และโดรี่นั่งลงไป จากนั้นต่อมา เด็กสาวที่ตัดผมสั้นเสมอกันและมีผิวสีน้ำตาลอ่อน คุมิคุมิ ก็บอกว่า “จำนวนคน… มันเยอะเกินไปที่จะให้เป่ายิ้งฉุบ… แล้วตอนนี้พวกเรา… ก็สู้กันไม่ได้…” ออกมาอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นก็หาทางอื่นกัน… อ่า โอเค”
คลาสสิคคัล ลิเลี่ยน เด็กสาวที่มีผิวซีดและผมยาวดำที่ดูยุ่งเริ่มที่จะพูดบางอย่างออกมา แต่เมื่อเธอรู้ว่าทุกคนกำลังมองมาที่ตัวเอง เธอก็สะดุ้งแล้วก็ถอยหลังกลับไป
เด็กสาวผมบ๊อบที่ย้อมสีเข้มเล็กน้อย แซลลี่ ราเว็น ยกมือขึ้นราวกับว่ารับช่วงต่อจากคำพูดของลิเลี่ยนที่ถอยไปกลางทาง “แบบนั้นฉันก็มีข้อเสนอ อือออ ถ้าจะให้ทุกคนมาแข่งพร้อมกันก็จะใช้เวลา แบบนั้นพวกเราก็ควรมีคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน แล้วจากนั้นกลุ่มของคนที่ชนะก็จะได้ไปแบ่งกัน หรือไม่ก็ตัดสินผู้ชนะเป็นคนสุดท้าย”
แซลลี่ไม่ได้แตะต้องตัวตนของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เส้นผมหยักศกของไซคีเพลนกำลังขยับไปมาในตอนที่พึมพำออกมาแบบไม่หยุด
“แล้วก็เรื่องเกม…” แซลลี่พูดต่อ “เราคิดว่าเก้าอี้ดนตรีก็น่าจะดีนะ อือออ”
การที่จู่ๆแซลลี่พูดคำแนะนำที่น่างุนงงออกมามันทำให้เกิดความสงสัยขึ้นบนใบหน้าของเมฟิส จากนั้นเธอก็มองไปยังเด็กสาวที่ดูโดดเด่น คนที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังแซลลี่ —ดิโกะ นาระคุโนะอิน คนที่มีผมทรงโมฮอว์กและรอยสักนูเอะที่ด้านข้างใบหน้า
เธอมีความสามารถทางร่างกายที่แข็งแกร่งและมีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม เมื่อมองดูแล้ว การจะเล่นเก้าอี้ดนตรีมันก็ยากที่จะแข่งด้วยได้ แต่กลุ่มสามคิดว่าฝ่ายตัวเองได้เปรียบเพราะมีคนที่แข็งแกร่งอย่างดิโกะอยู่ด้วยอย่างชัดเจน
เมฟิสพ่นลมหายใจออกมา “แน่ใจว่าจะชนะงั้นเหรอ? ก็ได้ ชั้นรับคำท้า พวกแกไม่โดนลืมไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ใช่ เราเองก็ไม่อยากให้ลืมเรานะ” คานะ คนที่อยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลเพียงคนเดียวทุบลงไปที่หน้าอกตัวเอง
แต่เมฟิสก็บอกให้คานะเงียบ “ไม่ใช่เธอ นี่พยายามจะฆ่าคนอื่นรึไง?” และคานะก็ถอยกลับไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางครั้งคานะก็เป็นคนที่รุกมากเกินไป แต่เธอก็รับฟังคำพูดคนอื่นด้วย
“ชั้นเห็นด้วยที่จะแข่งกันเรื่องร่างกาย และการที่เป็นคนที่ตัวสูงที่สุดในห้องมันก็หมายถึงว่าเก่งที่สุดเรื่องของเก้าอี้ดนตรี” เมฟิสตบเข้าไปที่หลังของอาเดลไฮลด์ที่อยู่ข้างๆ และอาเดลไฮลด์ก็ยืดอกขึ้นอย่างมั่นใจ เธอสูงเกินกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร —หากไม่นับรวมความสูงของโมฮอว์กเข้าไปด้วย แบบนั้นแม้จะเป็นดิโกะก็สู้อาเดลไฮลด์ไม่ได้ เธอเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในหมู่เด็กๆ
“เฮ้ เฮ้ อย่าลืมกลุ่มหนึ่งไปสิ”
แรปปี้ ทิปกับเส้นผมสีสดใสที่ไม่เหมาะสมกับโรงเรียนมัธยมต้นแถมยังแต่งหน้าจัดอย่างไม่เหมาะสมยิ่งกว่าอย่างแรกยืนขึ้น “ในกลุ่มของพวกเรามีคนที่เก่งเรื่องเก้าอี้ดนตรีมากกว่าทุกคน ฝากด้วยนะ มิส ริล”
มิส ริล เด็กสาวตัวอวบลุกขึ้นยืน เธอไม่ได้สูงเหมือนกับอาเดลไฮลด์หรือว่าดิโกะ แต่เธอก็ชนะทั้งสองคนในเรื่องน้ำหนักและขนาดตัว
“ถ้าเป็นการกระแทกเข้าหากันล่ะก็ มันก็เป็นการแข่งกันเรื่องน้ำหนักค่ะ”
ความแข็งแกร่งอันสง่างามนั้นสามารถสัมผัสจากรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอ โดยปกติแล้วเธอเป็นคนที่เงียบๆและเก็บเนื้อเก็บตัว แต่เธอเองก็เก่งในเรื่องยอมรับความเห็นของคนอื่นด้วย
อาจารย์คัลโคโระไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อห้ามพวกเธอ ทุกคนต่างก็ร่วมมือกันขยับโต๊ะและเก้าอี้ภายใต้คำแนะนำของเท็ตตี้ สร้างพื้นที่ว่างขึ้นมาตรงกลางห้องเพื่อที่พวกเธอจะวางเก้าอี้ลงไปหนึ่งตัว เด็กสาวสามคนยืนอยู่รอบๆเก้าอี้ จากนั้นคนอื่นๆของห้องก็ยืนล้อมเด็กสาวเอาไว้อีกที บางคนยกหมัดขึ้น บางคนเอามือป้องปากเพื่อส่งเสียงเชียร์สมาชิกกลุ่มตัวเอง
เมจิคัลโฟนของแซลลี่เริ่มเล่นเพลงเปิดของซีรี่ย์ คิวตี้ฮีลเลอร์ ภาคแรก เด็กสาวสามคนเริ่มเดินวนไปรอบๆเก้าอี้หนึ่งตัวที่วางเอาไว้ เกมเก้าอี้ดนตรีที่มีของรางวัลเป็นเยลลี่ผลไม้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
☆ โคยูกิ ฮิเมคาวะ
หลังจากที่โรงเรียนเลิก เธอก็ใช้ประตูเพื่อกระโดดจากโรงเรียนไปยังหน่วยสืบสวน และเธอก็ใช้ประตูอีกบานหนึ่งจากที่นั่นเพื่อกระโดดไปยังจุดที่อยู่ใกล้กับบ้านของเธอ แม้ว่าจะพูดว่าใกล้ แต่มันก็ห่างออกไปสองสถานี ดังนั้นเธอจึงนั่งรถไฟกลับบ้าน ในตอนเช้า เธอจะทำทั้งหมดนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง นี่คือการที่สโนไวท์ —โคยูกิ ฮิเมคาวะ— เดินทางมาโรงเรียน
ในตอนที่ตัวส่ายไปมาอยู่บนรถไฟ โคยูกิก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในตอนพักกลางวัน พวกเธอสนุกสนานไปกับเกมเก้าอี้ดนตรีระหว่างกลุ่มเพื่อเยลลี่ เพื่อนร่วมห้องของเธอตื่นเต้นกับมันมาก แม้ว่าจะเป็นลิเลี่ยน คนที่ปกติแล้วจะเป็นคนเงียบๆ และหัวหน้ากลุ่มที่จริงจังอย่างเท็ตตี้ต่างก็ส่งเสียงเชียร์สมาชิกกลุ่มของตัวเองออกมาแบบดังๆ มีเพียงไซคีเท่านั้นที่สบถสาปแช่งสมาชิกคนอื่นออกมา แต่นั่นก็เป็นการส่งเสียงเชียร์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
โคยูกิเป็นคนหนึ่งที่ใจเย็น เธอแสร้งทำเป็นว่าตัวเองสนุกสนาน ดังนั้นตัวของเธอจะดูไม่โดดเด่น แต่ลึกลงไปแล้ว เธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แววตาของคนอื่นมันดูสดใสเกินไปสำหรับเธอจนรู้สึกอิจฉา
เธอถูกหน่วยสืบสวนส่งเข้ามาเพื่อสืบสวนเรื่องห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลที่น่าสงสัย ดังนั้นการสืบสวนจึงเป็นเรื่องอันดับหนึ่ง และเธอก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสนุกสนานไปกับชีวิตที่โรงเรียน แต่ก่อนที่เธอจะรู้ตัว โคยูกิ ฮิเมคาวะก็คุยกับเพื่อนร่วมห้องอย่างเป็นมิตร และเธอก็เชื่อว่ารอยยิ้มของตัวเองมันให้ความรู้สึกจริงใจ เมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้น เธอก็ต้องรีบเพ่งสมาธิอีกครั้ง
มันมีข้อเสนอที่จะแต่งตั้งเธอให้เป็นอาจารย์ด้วย แต่แบบนั้นเธอก็จะรู้สึกแย่เรื่องคุณคัลโคโระ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจย้ายเข้ามาในฐานะนักเรียน แต่ในตอนนี้ เธอรู้สึกว่าถ้าตัวเองเป็นอาจารย์ บางทีเธออาจจะสามารถขีดเส้นแบ่งระหว่างตัวเองและนักเรียนได้
เมจิคัลเกิร์ลในห้องเรียนเองก็แตกต่างกันมาก ดิโกะกับอาเดลไฮลด์ให้ความสำคัญกับเรื่องภารกิจของตัวเองมากกว่าทุกสิ่ง แต่พวกเธอปล่อยตัวเองให้สนุกสนานในเวลาที่ต้องสนุกสนานและทำงานในเวลาที่ต้องทำงาน พวกเธอสามารถแยกแยะได้ คุมิคุมิเองก็กังวลเรื่องเฟรเดริก้า แต่เธอก็ใช้เวลาทุกวันไปการทำอะไรก็ตามที่จะสามารถหาข้อสรุปออกมา ในขณะที่รันยุยไม่สามารถละทิ้งความนับถือที่มีต่อลาซูไลน์ไปได้ แม้ว่ามันห่างไกลจากตัวเองมาก เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้และพยายามอย่างดีที่สุด —ทั้งคู่ต่างก็ทำงานของตัวเองอย่างแข็งขันเท่าที่จะทำได้ ส่วนเท็ตตี้กับมิส ริลก็มีความตั้งใจจริงในฐานะนักเรียน
โดยทั่วไปแล้วเรื่องที่พวกเธอมีคือความหวังในเรื่องอนาคต
ในฐานะนักเรียนจอมปลอม เมื่อสโนไวท์เปรียบเทียบตัวเองกับเด็กสาวเยาว์วัยที่ตรงไปตรงมา เธอก็รู้สึกว่าตัวเองแก่กว่ายี่สิบหรือสามสิบปี แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็ไม่ได้แสดงมันออกมาบนใบหน้า คอยไกล่เกลี่ยเรื่องระหว่างอาร์ลี่และโดรี่ หัวเราะไปกับมุกตลกของแรปปี้ในขณะที่คอยมองดูคนอื่นๆ
เธอได้ยินเสียงที่ผสมผสานระหว่างความกลัวและความนับถือเรื่องฉายานักล่าเมจิคัลเกิร์ล ทั้งหมดมันมาจากความคิด ดังนั้นสโนไวท์จึงไม่สามารถหยุดตัวเองจากการได้ยินมันได้ เธอเข้าใจดีกว่าใครอื่นว่าตัวเองไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เสียงมันก็ไม่ยอมหยุด
นี่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล ปรินเซสดีลูจเองก็เป็นเช่นเดียวกัน สโนไวท์เกือบที่จะฆ่าปรินเซสดีลูจไปในตอนทื่ต่อสู้กันภายในถ้ำที่เธอยึดครองเอาไว้พร้อมกับฝ่ายพัค —และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการใช้อาวุธของปรินเซสอินเฟอร์โน คนที่เป็นเพื่อนกับดีลูจและยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของสโนไวท์อีกด้วย การที่ดีลูจหลีกเลี่ยงความตายได้ต้องขอบคุณพลังชีวิตและโชคของเธอ
การแก้แค้นมันทำให้ดีลูจใช้พลังของตัวเองอย่างรุนแรง แต่ความพ่ายแพ้มันก็ได้ขยายมุมมองของเธอ เธอกลายมาเป็นคนประเภทที่เคารพสโนไวท์ คนที่สามารถจัดการตัวเองได้ และสโนไวท์ก็ได้ยินความคิดของดีลูจที่ยกย่องเธอด้วยความเคารพ แม้ว่าจะเป็นในตอนที่ลังเล เธอก็หันมองตรงไปด้านหน้า
สโนไวท์อยากจะกุมศีรษะแล้วกรีดร้องออกมา มันช่วยไม่ได้ที่จะจดจำช่วงเวลาที่ถูกพัคพั๊คควบคุมอยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ถูกถามหาความรับผิดชอบเพราะว่าถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์ แต่มันก็มีคนมากมายที่ต้องตาย และเสียงในหัวใจของแต่ละคนยังคงดังก้องอยู่ภายในตัวสโนไวท์ ในห้องวิจัยใต้ดิน เธอได้ยินเสียงในหัวใจของเมจิคัลเกิร์ลที่กำลังจะถูกฆ่า แต่เธอก็ต้องเมินมันไป สโนไวท์ทำแบบนั้นซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา
จากนั้นเธอก็ได้รับมอบความทรงจำของอินเฟอร์โนมา ในเมือง N สโนไวท์ได้สาบานกับฮาร์ดกอร์ อลิสว่าเธอจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่สามารถภาคภูมิใจได้ต่อไป เธอไม่เคยลืมความรู้สึกของตัวเองในตอนที่ลาพูเซลเสียชีวิต ตราบใดที่เธอยังถือไม้ต่อที่เด็กสาวเหล่านั้นส่งมาให้ สโนไวท์ก็ต้องกัดฟันและเดินหน้าต่อไป
และก็ยังมีริปเปิล ฟาลเองก็เช่นกัน ทั้งคู่จำเป็นต้องมีสโนไวท์ เธอต้องช่วยทั้งคู่ให้ได้ แม้ว่าเธอจะละอายใจมากจนอยากที่จะกรีดร้องออกมา แม้ว่าเธอจะต้องจดจำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจำ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เสียงประกาศจากขบวนรถไฟประกาศออกมาว่าใกล้จะถึงสถานี ดวงตาของโคยูกิมองออกไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างเชื่องช้า มันคือภาพทิวทัศน์ที่ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคย ซึ่งมันทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า ในตอนที่เธอแปลงร่างเป็นสโนไวท์ที่โรงเรียน เธอไม่เคยได้ยินเสียงอะไรที่ดังออกมาจากทางสวนเลย แต่ถ้าเธออยากจะถามเรื่องนั้น ใครกันคือคนที่เธอควรจะเข้าไปหาล่ะ…? และก่อนที่จะทันได้รู้สึกตัว เธอก็กลับเข้าสู่ภารกิจของตัวเอง
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
ใครบางคนที่อยู่ด้านนอกของห้องเรียนนั้นไม่ดีเลย สุดท้ายแล้วแน่นอนว่าเธอต้องรับมือกับเรื่องนั้น แต่ในตอนนี้ แอสโมน่าก็สามารถรับมือได้ เฟรเดริก้ามีหลายเรื่องที่ต้องทำ เธอไม่สามารถหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสนุกๆในตอนที่ถูกโจมตีเข้ามาได้
เธอเสร็จสิ้นเรื่องการควานหาร่างเกิดใหม่ไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่เธอก็ยังต้องเข้าไปยุ่งกับห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเล็กน้อย เวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่เฟรเดริก้าได้ยินจากอาเดลไฮลด์ว่าสโนไวท์ย้ายเข้ามา แต่เฟรเดริก้าก็ยังจับไม่ได้ว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
เธออยากจะรู้เรื่องห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยและเรื่องที่ว่าสโนไวท์กำลังทำอะไรอยู่ เนื่องจากว่าเฟรเดริก้าไม่สามารถใช้เวทมนตร์ของตัวเองกับสโนไวท์ได้มาระยะหนึ่งแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ก็คือผ่านทางคุมิคุมิที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง เฟรเดริก้าไม่ได้เจอกับเธอมาตั้งแต่ก่อนหน้าเหตุการณ์โฮมุนครูส
เฟรเดริก้ามองเข้าไปในคริสตัลบอลเพื่อกระโดดไปยังตำแหน่งของคุมิคุมิ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมันกลับมืดสนิท และเธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ มันแปลกมาก มันแตกต่างจากการที่เธอไม่สามารถใช้เวทมนตร์กับสโนไวท์ —เพราะในตอนนี้เธอใช้เวทมนตร์ของตัวเองได้แต่สามารถมองเห็นได้แค่ความมืด เรื่องนี้มันอาจจะสมเหตุสมผลหากคุมิคุมิอยู่ที่โรงเรียน แต่ในตอนนี้เธอควรจะอยู่ที่บ้าน มันเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับคุมิคุมิ
ในห้องรับรองของฝ่ายแคสปาร์ เฟรเดริก้าเอนหลังและทิ้งตัวลงไปในโซฟา
ประสบการณ์มันบอกเธอว่าคำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว หากเป้าหมายเวทมนตร์ของเธอเสียชีวิต คริสตัลบอลก็จะออกมาแต่ความมืด นี่เธอโดนโจมตีเหมือนกับคิมิเอระและถูกจัดการไปงั้นเหรอ?
เฟรเดริก้ากลิ้งตัวไปมาบนโซฟาและเอาใบหน้าซุกเข้าไปที่หมอน
ในตอนนี้เธอเปิดเมจิคัลโฟนของตัวเองและส่งข้อความไปหาคุมิคุมิ เฟรเดริก้าคิดเรียบร้อยแล้วว่ามีโอกาส 95 เปอร์เซ็นต์ที่คุมิคุมิจะตาย และนี่ก็เป็นเผื่อเอาไว้เพื่อยืนยันว่าจะไม่มีการตอบสนอง —แต่เรื่องมันกลับตรงกันข้ามกับความคาดหวังของเธอ มีข้อความตอบกลับมาในทันที
เฟรเดริก้าจ้องมองไปที่ข้อความที่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมกับเอียงศีรษะ เธอต่างหากที่เป็นอยากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เฟรเดริก้าลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปทางขวาของห้องตรงไปยังทางออก จากจุดนั้น เธอก็หมุนตัวและเดินไปที่หน้าต่าง —ระหว่างทางนั้น เธอก็เตะเข้าไปที่ถุงที่กำลังบิดไปมาไปด้านข้าง จากนั้นก็หยุดตัว
มันแปลกมาก เครือข่ายการสื่อสารของเฟรเดริก้ามีอยู่ทั่วทุกที่ หากมันเกิดอะไรขึ้นกับคุมิคุมิ มันก็ไม่มีทางเลยที่เฟรเดริก้าจะไม่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายถึง คุมิคุมิปกติดีและไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เวทมนตร์ของเฟรเดริก้ากลับไปไม่ถึงเธอ นี่มันแปลก
เฟรเดริก้าใช้เวลาครึ่งวันหลังจากที่ตรวจสอบความปลอดภัยในบริเวณละแวกบ้านของคุมิคุมิ เธอไม่เจอปัญหาอะไรที่มันผิดปกติเลย คุมิคุมิอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่เงียบสงบที่ไม่ได้มีคนผ่านไปมามากมายนัก ไม่มีกองกำลังของศัตรูที่คอยจับตาอยู่ที่นั่น
เฟรเดริก้าใช้เส้นผมของลูกน้องที่ออกปฎิบัติการภายนอกเพื่อกระโดดไปยังละแวกบ้านคุมิคุมิ และเมื่อแน่ใจว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบค่อนข้างปลอดภัย ตัวของเธอที่ยังคงการแปลงร่างเอาไว้ก็กดกริ่ง
โดยปกติแล้ว นี่มันไม่ใช่ปัญหาที่เฟรเดริก้าต้องจัดการด้วยตัวเอง มันมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นกับดัก และการที่จะพยายามยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองมันก็บ้ามากพอ หากแอสโมน่ารู้เรื่องนี้เข้า เธอก็คงเดาะลิ้นออกมาพร้อมกับท่าทางเหนื่อยหน่าย แต่เฟรเดริก้ารู้จักตัวเองดีที่สุด เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะอยู่เฉยๆกับสถานการณ์อะไรแบบนี้ การบังคับตัวเองให้อยู่เฉยๆมันแย่ต่อสุขภาพของเธอมาก —มันจะทำให้อายุขัยของเธอหายไปหลายปีเลยทีเดียว
การมาเยี่ยมเยือนพร้อมการเตรียมใจตายเอาไว้บางส่วนนั้น มันคือข้ออ้างที่เธอสร้างขึ้นมาให้กับตัวเอง แต่คุมิคุมิก็ออกมาที่ประตูหน้าพร้อมกับท่าทางบนใบหน้าที่เหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ในคราวนี้เฟรเดริก้าส่งข้อความออกไปล่วงหน้า ดังนั้นคุมิคุมิจึงคาดหวังการที่เธอจะมาหา เธอไม่ได้ดูประหลาดใจนัก —แค่เฟรเดริก้ามีความรู้สึกแบบว่า “ไม่อยากโดนลากเข้ามาเจอปัญหาเลย” ลอยฟุ้งออกมาอย่างรุนแรงทั่วร่างกาย
นี่คือคุมิคุมิ ไม่ใช่แค่ดูเหมือนเธอ —แต่ยังตอบสนองเหมือนกับคุมิคุมิก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน เฟรเดริก้าถูกเชิญเข้าไปในบ้าน เธอตรวจสอบภายในอพาร์ทเมนท์เล็กๆแห่งนี้มาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกประหลาด มันยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้ แล้วทำไมเวทมนตร์ของเฟรเดริก้าจึงหยุดทำงานล่ะ?
เฟรเดริก้านั่งลงไปและสัมผัสได้ถึงความบางของหมอนที่วางอยู่บนที่นั่ง ทำให้ภายในปากชุ่มชื่นด้วยชาบาร์เลย์ที่คุมิคุมินำมาให้ รสชาติยังคงเหมือนกับก่อนหน้า มันราคาถูกแต่มีรสชาติผ่อนคลายเหมือนกับบ้านเกิด เธอปล่อยลมหายใจออกมาทางจมูกและเงยหน้าขึ้น
นี่มันอะไร…?
เธอได้กลิ่นอะไรที่แปลกออกไป เมื่อคิดว่ามันอาจจะเป็นชา เธอจึงจิบเข้าไปอีกครั้ง จากนั้นก็ยกขึ้นมาใกล้ๆจมูกเพื่อดม แต่มันก็ไม่ใช่ ไม่สิ มันคืออย่างอื่น คุมิคุมิมองมาที่เธออย่างสงสัย แต่เฟรเดริก้าก็ไม่สนใจ เฟรเดริก้าสูดจมูกครั้งที่สามและสี่ จากนั้นเมื่อวางถ้วยชาญี่ปุ่นที่มีน้ำชาอยู่ด้านในลงไปบนโต๊ะ เธอก็สูดจมูกครั้งที่ห้าและหก
เธอยืนขึ้น เดินวนรอบโต๊ะตามเข็มนาฬิกาและเข้าหาคุมิคุมิ คุมิคุมิรีบที่จะยกตัวขึ้น แต่เฟรเดริก้าก็ห้ามเธอเอาไว้ด้วยการพูดว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น”
เฟรเดริก้ายืนอยู่ตรงหน้าคุมิคุมิ คนที่กำลังมองมาที่เธอด้วยท่าทางสับสนอย่างชัดเจน แต่เฟรเดริก้าเองก็สับสนเช่นกัน เธอพยายามคิดว่าการที่มีอะไรบางอย่างแปลกไปนี้เหตุผลมันคืออะไร แต่เธอก็ไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ช่วยคลายการแปลงร่างด้วย”
คุมิคุมิกลับไปอยู่ในร่างมนุษย์ตามที่เธอสั่ง เฟรเดริก้าวางมือลงบนศีรษะของคุมิคุมิ ลูบไล้ด้วยการออกแรงเล็กน้อยจนมีเสียงดังออกมา เหตุผลที่เธอไม่ได้สัมผัสเส้นผมอย่างอ่อนโยนก็เพราะว่าอยากตรวจสอบความรู้สึกของเส้นผมคุมิคุมิให้แน่ใจ สัมผัสของเส้นผมที่อยู่ในมือมันบอกอะไรบางอย่างที่แน่นอนกับเฟรเดริก้า
เฟรเดริก้าถอนหายใจออกมาและมองมาที่คุมิคุมิอีกครั้ง และคุมิคุมิก็มองกลับมาที่เธออย่างหวาดกลัว เฟรเดริก้ารู้ว่าใบหน้าของตัวเองเกร็งจนดูรุนแรง เธอปล่อยศีรษะของคุมิคุมิที่จับเอาไว้ หันมองไปทางอื่น นวดระหว่างดวงตาด้วยมือที่ใช้ลูบศีรษะ ในเวลาเดียวกัน เธอก็สูดกลิ่นที่ติดมือเข้าไป เพื่อยืนยันกลิ่นของเส้นผม
“แปลงร่างอีกครั้งสิ”
เธอบอกให้คุมิคุมิแปลงร่างและทำกระบวนการเดิมซ้ำ
เฟรเดริก้ากลับไปทางเดิมเพื่อกลับไปที่เก้าอี้และนั่งลง เธอมองดูคุมิคุมิในระดับสายตาเดียวกัน คุมิคุมินั้นมองกลับมาที่เธอโดยที่ไม่ได้ซ่อนความสับสนและความกลัวของตัวเอง
เฟรเดริก้าค่อยๆเอาเส้นผมหนึ่งเส้นของคุมิคุมิที่ติดอยู่บนฝ่ามือใส่เข้าไปในกระเป๋า ยกมือขึ้นไปที่ปากและไอออกมาอย่างจงใจ “นานเลยนะ”
“ก็ใช่”
“วันนี้ฉันไม่ได้มีธุระอะไรหรอก… แค่มาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง จะว่าไปแล้ว ที่โรงเรียนมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม? ฉันได้ยินว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา”
ในตอนที่กำลังมองดูคุมิคุมิที่พูดอย่างติดๆขัดๆพร้อมกับรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้า เฟรเดริก้าก็คิด เธอดูไม่เหมือนอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากเป็นคุมิคุมิตัวจริง หากปัญหาไม่ได้โผล่ขึ้นมาภายในห้องเรียน แบบนั้นมันก็หมายความว่าไม่ใช่ทั้งอาจารย์และนักเรียนที่รู้ว่าคุมิคุมิมีอะไรที่ผิดปกติ
เฟรเดริก้าไม่ได้ยึดติดอะไรกับคุมิคุมิเป็นพิเศษ —ถ้าหากจะมีอะไร มันก็คือเรื่องที่เธออยู่ในฐานะผู้ใหญ่ที่ชั่วช้าที่พยายามใช้งานเธอ แต่เมจิคัลเกิร์ลที่ถูกเปลี่ยนเป็นอะไรอย่างอื่นมันทำให้เฟรเดริก้ารู้สึกโกรธจนยากที่จะระงับเอาไว้
☆ คานะ
สามวันหลังจากที่รันยุยกลับมา คานะก็คอยจับตามองดูเธอ เธอได้เห็นรันยุยในหลายๆด้าน : รันยุยถามคำถามกับดิโกะ รันยุยถูกไลท์นิ่งทำให้รู้สึกกลัว รันยุยคอยมองดูไซคี รันยุยมองไปที่แซลลี่ด้วยความอิจฉา —เมื่อคานะตัดสินว่าในตอนนี้รันยุยร่าเริงเหมือนกับก่อนที่เข้าโรงพยาบาลแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งอก ความตายมันหมายถึงการที่จะไม่ได้มีวันกลับมาอีก แต่รันยุยก็เฉียดไปโดนเข้ากับเส้นแห่งความตายและรอดชีวิต ดังนั้นเธอจึงสามารถกลับมาได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก
เธอเข้าใจเรื่องนี้ดีด้วยตัวเอง ในวันที่รันยุยกลับมา คานะก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมกับปรบมือ ในตอนที่รันยุยเข้ามาในห้องเรียน ดูเหมือนว่าเธอจะสับสนเล็กน้อยเพราะทุกคนแสดงความยินดีกับเธอ บรรยากาศของห้องเรียนมันเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่วันที่รันยุยเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นคานะคิดว่ามันไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะสับสน สำหรับเรื่องที่ว่าอะไรคือเรื่องที่ต่างออกไปนั้นมันคืออีกเรื่อง —ก่อนหน้านี้ คานะจะมีความคิดคร่าวๆเกี่ยวกับมัน แต่เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ และถ้าเธอพูดกับใครบางคนในเรื่องนี้ที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ อีกฝ่ายก็จะมีท่าทีอย่าง “ยัยนี่ไม่เข้าใจเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?” กลับมา
แต่คานะไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกับที่ตัวเองเคยเป็นก่อนหน้านี้แล้ว การเล่าเรียนในทุกๆวันมันเปลี่ยนเธอจากอดีตนักโทษที่ไม่รู้เรื่องในอดีตให้เป็นนักเรียน เธอมั่นใจว่าอะไรบางอย่างมันต่างออกไปแล้ว
ในตอนเที่ยงของวันที่คานะสังเกตเห็นว่ารันยุยฟื้นตัวอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ได้พูดกับคนอื่นนั้น ทุกคนก็ขยับโต๊ะเข้ามาหากันเพื่อทานมื้อเที่ยง และคานะที่เป็นคนเดียวที่อยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลก็ทานเสร็จก่อนใคร และพูดอะไรบางอย่างออกมากับเพื่อนในกลุ่มสอง
“เอาล่ะ เราอยากคุยเรื่องที่ว่าพวกเราจะทำอะไรต่อไป”
ทุกคนมองมาที่คานะ คุมิคุมิกำลังมีปัญหากับการเอาหลอดเสียบเข้าไปที่กล่องนม เมฟิสและอาเดลไฮลด์ที่กำลังคุยกันเรื่องมังงะตอนล่าสุด และลิเลี่ยนที่ดูไม่ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะช่วยคุมิคุมิรึเปล่านั้น —ต่างก็มีใบหน้าที่งุนงง
“เรื่องที่พวกเราจะทำ…? เช่นอะไรเรอะ?” เมฟิสถาม
“นี่เป็นเรื่องแบบว่า ปรัชญารึเปล่า?” อาเดลไฮลด์พูดต่อ
“หมายถึง… เรื่องที่พวกเราควรทำ… ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล…?”
“เอ่อ ขอโทษนะ แต่เธอต้องอธิบายเพิ่มหน่อยว่ามันหมายถึงอะไร ไม่งั้นฉันคิดว่าตัวเองก็คงไม่เข้าใจ… ขอโทษนะ”
“หยุดขอโทษทุกเรื่องได้แล้ว ลิเลี่ยน” เมฟิสตะโกนกลับ
คานะรู้ว่ามันคือความผิดพลาดของเธอ เธอคิดว่าทุกคนคงรู้จึงได้ข้ามเรื่องอะไรต่างๆไปมากก่อนที่จะพูดออกมา เธอต้องปรับเปลี่ยนมัน เสริมรายละเอียดเล็กๆเข้าไปเพิ่มและทำให้มันเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น เธอควรจะมีประสบการณ์ในความเข้าใจที่เป็นพื้นฐานจากการที่พยายามจะทำความเข้าใจอยู่แล้ว —เรื่องทุกอย่างมันจะวุ่นวายหากเธอข้ามขั้นตอนไป
คานะรวบรวมสิ่งที่อยู่ในใจของเธอทุกอย่างที่เธออยากจะพูดออกมา คิดหาวิธีการที่จะได้ผลแล้วก็เริ่มพูด ทุกคนทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัญหาของคุมิคุมิที่หลอดเสียบไม่เข้าไปในกล่องนมถูกแก้ไขเรียบร้อย และพวกเธอก็กำลังรอคานะที่จะเริ่มพูดอย่างใจเย็น
“ตรงโรงเรียนมัธยมต้น… ใช่แล้ว ห้องเรียนอื่นๆที่ไม่ใช่ห้องของพวกเรา นักเรียนคนอื่นนอกจากเมจิคัลเกิร์ลอยู่ที่ไหนกันเหรอ”
“อ่าาา ก็โรงเรียนมัธยมต้นอุเมะมิซากิ” เมฟิสพูด
“หือ? เกิดอะไรขึ้นที่นั่นเหรอ?”
ดูเหมือนว่าอาเดลไฮลด์จะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ คานะคิดว่านั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความขาดการเอาใจใส่อย่างมาก แต่นี่บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าคานะเติบโตขึ้นแล้ว เพราะแบบนั้นเธอจึงสามารถจับตามองสิ่งที่อยู่รอบๆตัวแบบนี้ได้ หากเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นหน้าที่ของเธอในฐานะเพื่อนร่วมห้องที่จะบอกอาเดลไฮลด์ว่าเธอรู้อะไร
“เราเห็นในตอนที่มาโรงเรียน” คานะพูด “ทางนั้นกำลังสร้างประตูโค้งใหญ่ๆในสนาม”
“อ๋อ พิธีรำลึกสถาปนาอะไรซักอย่างนั่นแหละ” อาเดลไฮลด์พูด
“‘งานเทศกาลสถาปนา มังงะหลายเรื่องที่เรายืมมาจากเมฟิสเนื้อเรื่องมันอยู่ในโรงเรียน โดยทั่วไปเราเข้าใจว่ามันเป็นงานเทศกาลของโรงเรียน เราถามคุณคัลโคโระเพื่อยืนยันว่ามันไม่ได้ต่างกันเผื่อเอาไว้แล้ว สำหรับงานเทศกาลสถาปนานั้น กลุ่มอย่างเช่นห้องเรียน หรือชมรมจะตั้งร้านขายของ ทำกิจกรรม ไม่ก็โปรเจควิจัยกัน”
เมฟิสรับฟังด้วยท่าทีที่ดูไม่เข้าใจ แต่ในตอนนี้เธอก็พึมพำออกมาว่า “อ๋อ ที่ว่าพวกเราจะทำอะไรนั่น เธอหมายถึงว่า ถ้าพวกเราเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาของอุเมะมิซากิ พวกเราจะทำอะไรสินะ”
“เราหมายความว่าแบบนั้นแหละ”
เมฟิสเอานิ้วแตะไปที่แว่นตาพร้อมกับมีใบหน้าที่ดูบึ้งตึง อาเดลไฮลด์กอดอกและมองขึ้นไปยังเพดาน คุมิคุมิก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่าง ส่วนลิเลี่ยนก็ดูเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด ท่าทางของทุกคนคือความไม่สบายใจในแบบของตัวเอง
คานะมองดูอย่างสับสน “ท่าทางดูแปลกจัง”
“เอ้อ แน่นอน บางทีนะ” เมฟิสพูด “แต่พวกเราไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอุเมะมิซากิใช่ไหม? ชั้นสงสัยว่าพวกเราจะเข้าร่วมงานเทศกาลนี้ได้รึเปล่า”
“ใช่ ชั้นคิดว่าทั่วไปแล้วก็คงแบบนั้น” อาเดลไฮลด์เห็นด้วย
“นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเราเลย” คานะพูด
“เอ่อ ใช่ บางที แต่ว่า…” เมฟิสเริ่มพูด
“บางที… แค่บอกพวกเรา… ว่าไม่ควร… ทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล” คุมิคุมิพูด
“เราไม่คิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มีเหตุผลนะ” คานะพูดแย้ง “คู่มือนักเรียนบอกไว้ว่าพวกเรากำลังยืมทรัพย์สินของทางมัธยมต้นอุเมะมิซากิอยู่ มันจะไม่เป็นปัญหาเอาเหรอถ้าเรารับประโยชน์นี้ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ได้ตอบแทนอะไร?”
“เฮ้ ตอนนี้น่ะ มันใช่เวลาที่ต้องตอบแทนงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการรบกวนทางนั้นเพราะพวกเราอยากเข้าร่วมเทศกาลรึไง? การที่พวกเราจะเข้าร่วมงานด้วยการใช้เหตุผลที่เข้าข้างตัวเองน่ะ มันเป็นแค่การสร้างปัญหาให้ทางนั้นนะ”
“ตอนนี้ก็ดูเหมือนเข้าข้างตัวเองนะ ลองคิดดูสิว่าทางนั้นจะคิดยังไง และการคิดว่าพวกเราไม่ควรจะไปมันก็ไม่ส่งผลดีกับฝ่ายไหนเหมือนกัน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีพวกเราก็ควรถามนะ”
“แล้วพวกเราควรไปถามใครล่ะ?” ลิเลี่ยนถาม
“เรารู้แล้วว่าถ้าไปถามคุณคัลโคโระ คุณคัลโคโระก็จะบอกว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจ” คานะพูด “เราไม่ได้ตั้งใจรบกวนอาจารย์อย่างไม่มีความหมายหรอก”
“แล้วแบบนั้น… พวกเราควรจะ… ถามใคร…?”
“ไม่ ไม่” เมฟิสที่ใบหน้าบึ้งตึงหลับตาลงและโบกมือ “เธอจะไปถามอาจารย์ใหญ่ใช่ไหมล่ะ? ไม่มีทาง ชั้นไม่อยากให้อาจารย์ใหญ่มองชั้นแรงไปกว่านี้แล้ว”
“จริงสินะ ชั้นได้ยินว่าเธอเจอกับอาจารย์ใหญ่ด้วยนี่ เมฟิส”
“อย่าพูดเหมือนว่าชั้นมีเส้นสายอะไรแบบนั้น มันตรงกันข้ามกันเลย”
โดยพื้นฐานแล้วคานะคิดว่า การที่เป็นหัวกลุ่ม เมฟิสก็ควรที่จะเสนอความเห็นของตัวเองไปกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนตรงๆ แต่ถ้าเธอไม่อยากทำแบบนั้น มันก็ต้องมีใครบางคนที่เป็นคนทำ
“มีคนอื่นนอกจากเมฟิสที่ได้เจอกับอาจารย์ใหญ่รึเปล่า?” คานะถาม อาเดลไฮลด์ คุมิคุมิ และลิเลี่ยนต่างก็ส่ายหน้า จากนั้นคานะก็พยักหน้า “แบบนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเราต้องไปเอง ไม่ว่าจะดีหรือว่าไม่ดี เวทมนตร์ของเราก็เกี่ยวข้องกับคำถาม เราจะหลีกเลี่ยงการใช้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ถ้าเราไม่ใช้ตอนนี้มันจะต้องไปใช้ตอนไหนล่ะ?”
“เฮ้ ไม่ —เดี๋ยวก่อน”
“ระวังให้มากขึ้นหน่อยดีกว่า”
“มันเหมือนกับ… เอาน้ำมัน… ราดใส่กองไฟ”
“คุยกัน! มาคุยกันก่อน ขอร้องล่ะ!”
ทุกคนต่างก็หยุดเธอเอาไว้อย่างพร้อมเพรียง
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
กลุ่มสองสร้างเสียงเอะอะขึ้นในตอนทานอาหารกลางวัน และมันไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถของเมจิคัลเกิร์ลในการฟังเลยว่าทางนั้นกำลังพูดอะไร พวกเธอกำลังคุยกันเรื่องการเข้าร่วมงานเทศกาลสถาปนาของทางอุเมะมิซากิ และเมื่อคานะพูดเรื่องอันตรายอย่างการไปถามอาจารย์ใหญ่ตรงๆออกมา ทุกคนก็ห้ามเธอเอาไว้
“พวกนั้นคุยอะไรกันน่ะ?” แรปปี้ยักไหล่ ท่าทางของเธอดูขบขันมากกว่าที่พูดออกมา เธอลดเสียงของตัวเองลงเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยินต่างจากกลุ่มสอง “หวังว่าพวกนั้นจะไม่ทำอะไรบ้าๆนะ รู้ไหม ตั้งแต่ที่คานะ— เหมือนว่า ก็นะ ฉันไม่อยากพูดว่าไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่มันดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ให้ค่าตัวเองมากนักในตอนที่ลงมือทำอะไร เหมือนกับตอนเรื่องโฮมุนครูส ฉันได้ยินเรื่องไม่ดีในตอนที่ปกป้องคุมิคุมิเอาไว้ด้วย”
มิส ริลหัวเราะคิกคัก “แต่แรปปี้เองก็ปกป้องฉันไว้เหมือนกันนะคะ”
แรปปี้คงรู้สึกอายเพราะหน้าของเธอแดง จากนั้นก็โบกมือ “ไม่มีใครปกป้องคนอื่นมากกว่าเธอแล้วล่ะ มิส ริล”
ทั้งสองคนหัวเราะจนไหล่สั่น และเท็ตตี้ คนที่เป็นเหตุของการป้องกันและถูกป้องกันนั้นก็หัวเราะตามพวกเธอออกมา
อาร์ลี่กับโดรี่ไม่เข้าใจว่างานเทศกาลสถาปนาคืออะไร พวกเธอยิงคำถามใส่สโนไวท์ด้วยการใช้คำที่ตัวเองไม่ค่อยเข้าใจ และสโนไวท์ก็ตอบพวกเธอกลับไปด้วยการใช้คำที่ทั้งสองคนเข้าใจได้
เท็ตตี้ยิ้มออกมาในตอนที่คิดถึงเรื่องต่างๆ เหมือนว่าคานะจะเคยเจอกับอาจารย์ใหญ่มาก่อน เมฟิสเองก็บอกว่าตัวเองก็เคยเจอกับอาจารย์ใหญ่มาก่อนด้วย แต่เหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอีกฝ่าย การที่คานะคนที่อยู่ข้างๆเมฟิสได้พบกับอาจารย์ใหญ่ก็คงเป็นเพราะว่าเธอย้ายเข้ามาในโรงเรียนด้วยเส้นทางที่ต่างจากนักเรียนคนอื่น บางทีอาจารย์ใหญ่คงตัดสินใจว่าต้องแน่ใจเรื่องตัวตนของคานะว่าเป็นยังไง มิเช่นนั้นการปล่อยให้อดีตนักโทษย้ายเข้ามาก็จะเป็นอันตราย
แต่ถ้าได้เจอกันเพราะเหตุนั้น เท็ตตี้ก็คิดว่าทั้งสองคนคงไม่ได้สนิทกันมากพอที่คานะจะร้องขออะไรได้ พวกเธอแค่เจอกันเพราะว่าปัญหาเรื่องคานะ คนที่มีปัญหาที่เดินเข้ามาพร้อมกับปัญหาใหม่คงไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเป็นมิตรจากอาจารย์ใหญ่
เท็ตตี้ไม่เคยเจออาจารย์ใหญ่ก็จริง แต่เธอรู้จักคุณซาโต้ คนที่คงจะเคยพบกับอาจารย์ใหญ่มาแล้ว
ในตอนงานเทศกาลวัฒนธรรมของโรงเรียนประถม พวกเธอต้องทำอะไรอย่างการทำแผนที่อาคารเก่าของบ้านเกิดตัวเองแล้วก็เอาทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกัน ไม่ก็รวบรวมเรื่องราวที่ถูกบอกกล่าวภายในพื้นที่ เขียนมันออกมาแล้วทำให้เป็นหนังสือ เธอยังคงจำได้ว่าได้ทำอุด้งกับตอกโมจิ ใช้เงินที่รวบรวมมาเพื่อสร้างบ้านให้กับสัตว์เลี้ยงของโรงเรียนหรืออะไรแบบนั้นด้วย เธอจำได้ว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นพร้อมกับเพื่อนๆที่รู้สึกสนุกสนาน
เธอมองไปที่สโนไวท์ คนที่อยู่ระหว่างอาร์ลี่และโดรี่ที่ผลัดกันคุยกับเธอ จากนั้นก็มิส ริลและแรปปี้ คนที่หัวเราะออกมาเพราะว่าจิ้มเข้าไปที่สีข้างของมิส ริล เท็ตตี้ยังไม่ได้รู้จักสโนไวท์ดีนัก แต่ถ้าพวกเธอมีอีเวนท์อะไรแบบนั้นล่ะก็ พวกเธอก็อาจจะเป็นเพื่อนกันได้ การสร้างอะไรบางอย่างและทำอะไรบางอย่างไปด้วยกันมันแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่สนุกกับสมาชิกคนอื่นภายในกลุ่มด้วย
เธอมองไปที่กลุ่มสองด้วยการขยับเพียงแค่ดวงตา เมฟิสกำลังพูดกับคานะด้วยท่าทางจริงจัง บางทีเมฟิสอาจจะพยายามโน้มน้าวคานะให้ยอมแพ้กับความคิดบ้าๆนี้ก็ได้
มันเป็นเรื่องที่บ้าจริงๆงั้นเหรอ? แค่ลองตรวจสอบมันไม่ได้เสียหายอะไรเลย ดังนั้นไม่ใช่ว่าเท็ตตี้ คนที่เป็นหัวหน้าห้องควรจะเป็นคนที่ลองดูหรอกเหรอ?
เมฟิสวางมือลงบนไหล่ของคานะแล้วก็ส่ายหน้า การได้เห็นผมเปียที่สะบัดไปมา มันทำให้เท็ตตี้ตัดสินใจได้ —เธอควรจะลองถามคุณซาโต้ คนที่กังวลเรื่องปัญหาของเธอกับเมฟิสดู หากเธอร่วมมือด้วยกันเพื่อทำอะไรบางอย่างสำหรับงานอีเวนท์ใหญ่แบบนั้น บางทีเธออาจจะคืนดีกับเมฟิสได้
☆ แซลลี่ ราเว็น
แซลลี่ไม่อยากจะโทษนิสัยของหัวหน้ากลุ่ม แต่สำหรับกลุ่มสองนั้นขาดซึ่งความยับยั้งชั่งใจ และพวกเธอก็คุยกันตอนมื้อเที่ยงเสียงดังด้วย แม้ว่าจะมีกลุ่มหนึ่งคั่นเอาไว้ คำพูดของคานะก็ได้ยินมาถึงกลุ่มสาม แซลลี่คิดว่า หืม เป็นหัวข้อที่น่าสนใจดีจัง แต่การเริ่มรู้ว่าพวกเธอกำลังคุยกันเรื่องอะไรมันก็เหมือนว่าเธอกำลังดักฟังอยู่ เธอจึงรู้สึกลังเลที่จะพูดอะไรออกมา
แต่ในตอนที่แซลลี่สงสัยว่าตัวเองควรจะทำอะไร ปรินเซสไลท์นิ่ง คนที่ไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะคิดเรื่องอะไรนั้นก็พูดถึงเรื่องที่คานะพูดออกมา “จะถึงงานเทศกาลสถาปนาแล้ว?”
“เราคิดว่าอีกราวๆสองอาทิตย์น่ะ อือออ” มันไม่สามารถคาดหวังคำตอบที่ถูกต้องจากดิโกะหรือไซคีได้ และรันยุยเองก็เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ดังนั้นแซลลี่จึงเป็นตอบ เมื่อเธอพูดออกมาแล้ว เธอก็คิดทันทีว่า ไม่ใช่ว่ามันดูเหมือนเราให้ความสนใจมากเกินไป ต่อให้เรารู้กำหนดการณ์งานเทศกาลสถาปนาของทางมัธยมต้นอุเมะมิซากิอยู่แล้วรึเปล่า?
ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นรอบๆโรงเรียน ทั้งประตูโค้งที่ทำขึ้นในสนามหรือเวทีที่ถูกวางเข้าด้วยกัน มันจะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่างานเทศกาลจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แซลลี่รู้เรื่องวันที่เริ่มงานแบบเจาะจงเพราะว่า แน่นอนอยู่ เธอคาดหวังกับมัน —เธอคิดถึงเรื่องนี้มากเกินไป
ไลท์นิ่งพ่นลมหายใจออกมา หืมมม อย่างไม่แยแสแล้วก็กลืนขนมปังก้อนเล็กลงไปไปหนึ่งคำ หรือเธออาจจะกำลังกินขนมปังอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่ากำลังกลืนลงไป
“ฉันไม่เคยคิดจะเข้าร่วมอะไรแบบนั้นเลย” ไลท์นิ่งพูด
“หมายถึง… งานเทศกาลโรงเรียนอะไรแบบนั้นเหรอ?” รันยุยถามเธอ
“ใช่ ทุกคนเคยเข้าร่วมมาก่อนเหรอ?”
“อ่าาา ก็ เราไม่ได้มีโอกาสเลยน่ะคะ” แซลลี่พูด
ดิโกะพยักหน้าอย่างเงียบๆ ไซคีเองก็พยักหน้าแล้วพึมพำออกมา การที่ไลท์นิ่งพูดออกมามันไม่เหมือนว่าเธอไม่เคยเข้าร่วมมาก่อนเลยซักครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจหรืออะไรแบบนั้นเลย
“เราไม่เคยจำได้เลยว่าเคยจริงจังกับอะไรแบบนั้นซักครั้ง” แซลลี่พูดออกมาราวกับว่าสะท้อนภาพในอดีตของตัวเอง
ในตอนประถมและมัธยมก่อนที่จะเข้ามายังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล หน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลคือความสำคัญอันดับหนึ่งของแซลลี่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นแบบจริงจัง หากเธอมีเวลามากพอ เรื่องส่วนใหญ่ที่เธอทำก็คือการเรียน ฝึกฝน และขัดเกลาตัวเองในฐานะเมจิคัลเกิร์ล —มันไม่มีเวลาที่จะใส่ความพยายามลงไปในเรื่องอย่างชมรม กิจกรรมนอกหลักสูตร หรือไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อน เธอตั้งเป้าว่าจะเป็นคิวตี้ฮีลเลอร์ จุดสูงสุดของเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นเธอจึงละทิ้งเรื่องที่ไม่จำเป็นไปมิเช่นนั้นเธอจะไม่สามารถจัดการได้ ความปรารถนาที่จะสนุกกับอะไรบางอย่างมันจะนำพาไปสู่ความเกียจคร้านในทันที และตัดเส้นทางในการที่เธอจะได้เป็นคิวตี้ฮีลเลอร์ทิ้งไป
ในเรื่องนี้แซลลี่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แคนดิเดททั้งหมดของคิวตี้ฮีลเลอร์ในฝ่ายประชาสัมพันธ์ล้วนเป็นแบบนั้น หากพยายามจะสนุกสนานกับชีวิตในโรงเรียน มันก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แซลลี่ต้องอยู่ในอันดับสูงของห้องเรียนนี้ในโรงเรียนนี้ ทั้งในด้านวิชาการและด้านกีฬา เธอมีเพื่อนมากมายหลายคนแต่ก็สนิทกันแค่เพียงผิวเผิน สำหรับงานอย่างเทศกาลวัฒนธรรมหรือร้องเพลงประสานเสียง เธอมีทักษะมากพอที่จะทำให้คนอื่นบอกไม่ได้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ ในขณะเดียวกันเธอก็ทำให้ดูเหมือนว่าได้เข้าร่วมอย่างถูกต้อง —ตัวของเธอคิดเช่นนั้น
ดังนั้นแซลลี่จึงไม่ได้คิดเรื่องชีวิตภายในรั้วโรงเรียนมากมายนัก แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้มีความปรารถนาที่จะสนุกสนานอยู่เลย คิวตี้ฮีลเลอร์ คือเด็กสาวที่สนุกสนานกับโรงเรียนและเข้าร่วมงานเทศกาลประจำฤดูหลากหลายครั้ง และการที่จะทำให้แฟนๆรู้สึกเช่นนั้นได้ ตัวของเธอก็จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วย แต่การเป็นแคนดิเดทไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ แซลลี่ถูกบังคับให้ยอมแพ้กับเรื่องชีวิตภายในโรงเรียน
การที่ดิโกะ ไลท์นิ่ง และรันยุยไม่เคยเข้าร่วมอะไรอย่างงานเทศกาลของโรงเรียนบางทีเหตุผลมันอาจจะคล้ายกัน คนระดับสูงที่เข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะยกเรื่องการเป็นเมจิคัลเกิร์ลในทุกๆวันมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง
สำหรับการที่ไซคีไม่ได้รู้สึกสนุกสนานมันเป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเพราะบุคลิกและนิสัยของเธอ —แต่ถึงจะเอาเรื่องนั้นเข้ามารวมด้วย แซลลี่ก็คิดว่าในตอนนี้เรื่องต่างๆมันก็คงจะต่างออกไป ไซคีนั้นถูกยอมรับ รวมถึงเรื่องพฤติกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างการสบถออกมาแบบไม่หยุดหย่อน หากเธอเข้าร่วมด้วย บางทีอาจจะรู้สึกสนุกไปพร้อมๆกับคนอื่นก็ได้
เมื่อคิดมาไกลถึงจุดนี้ แซลลี่ก็ดื่มนมลงไป เธอควรจะใจเย็นลงซักเล็กน้อย นี่มันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอเอนเอียงไปในด้านที่จะเข้าร่วมเรียบร้อยแล้ว มันมองโลกในแง่ดีเกินไป
“คิดว่ามันจะสนุกรึเปล่า?” ไลท์นิ่งถาม
“ไม่รู้สิคะ มันดูไม่น่าสนุกเลย อือออ”
“ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน…”
“อีกแล้วนะคะ ไซคี ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้หรอกค่ะ”
หลังจากที่พูดออกมา แซลลี่ก็คิดว่า อ๊ะ เธอเอนเอียงไปด้านที่จะเข้าร่วมจริงๆ เธอแค่ไม่สามารถปล่อยความหลงไหลเรื่องงานเทศกาลโรงเรียนที่คิวตี้ฮีลเลอร์หลายๆรุ่นสนุกสนานไปได้
“หืม ก็จริงนะ ถ้าไม่ลองดูมันก็ไม่รู้” ไลท์นิ่งพึมพำออกมาโดยไม่ได้พูดกับใครเป็นพิเศษ แซลลี่คิดว่าไลท์นิ่งคงมีความคิดแย่ๆอีกแล้ว แต่เธอก็เงียบเอาไว้และซดซุปผักของตัวเองต่อไป
☆ ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สาม
ลาซูไลน์อยู่ตัวคนเดียว กำลังทำความสะอาดพื้นของสถานที่อาบน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ฝึกฝนแคนดิเดทลาซูไลน์อย่างแข็งขัน ไม่ว่าเธอจะขัดแล้วขัดอีกมากแค่ไหน คราบหินปูนมันก็ไม่ยอมหลุดออกไป และขนาดของที่นี่ก็ใหญ่เหมือนกับสระน้ำของโรงเรียน แม้ว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันก็ต้องใช้เวลา หากเธอมีฟองน้ำเวทมนตร์อยู่ล่ะก็ เธอก็สามารถทำให้เสร็จได้เร็วกว่านี้ แต่เธอไม่ได้มีอะไรแบบนั้นอยู่เลย แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่ถูกเลือกเป็นลาซูไลน์ แคนดิเดทของลาซูไลน์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงงานแปลกๆได้ อาจารย์ของพวกเธอนั้นเข้มงวดเสมอ
ถึงแม้จะถูกพูดว่าเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดและมีความสามารถก็ยังถูกบังคับให้ทำหน้าที่ที่ดูเหลือเชื่ออย่างการทำโปรเจคเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ให้สำเร็จได้ มันยากที่จะทำสำเร็จได้ด้วยหน่วยวิจัยและพัฒนาเพียงหน่วยเดียวตั้งแต่แรก พวกเธอไม่ได้มีอะไรที่มากพอ ทั้งเรื่องทุน จำนวนบุคคลากร เส้นสาย เทคโนโลยี และเวลา บางทีอาจารย์ของเธอคงจะคิดว่าทางหน่วยจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อเธอได้คิดแผนขึ้นมา
ถึงจะมีคนที่มีอำนาจและเงินตราอยู่ฝ่ายเดียวกันด้วยมันไม่มากพอ —พวกเธอต้องมีเป้าหมายเดียวกันในระดับนึง การมีอยู่ของเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์เป็นการสั่นสะเทือนตำแหน่งปัจจุบันที่มีอำนาจสูงสุดของดินแดนเวทมนตร์
พีเฟิลสามารถเคลียร์เงื่อนไขเหล่านั้นได้ทั้งหมด เธอแสวงหาอำนาจที่สามารถจะต่อต้านดินแดนเวทมนตร์ เป็นหัวหน้าหน่วยทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล มีเงินทองมากมาย และยังเฉียบคมมากอีกด้วย และการที่เธอเป็นหนึ่งในเด็กสาวของแครนเบอร์รี่บางทีอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญด้วยเช่นกัน —แม้ว่าลาซูไลน์จะถามอาจารย์ในเรื่องนั้น อาจารย์ก็คงจะปฎิเสธอย่างแน่นอน
พีเฟิลเป็นผู้ร่วมมือคนหนึ่งที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขจำเป็นได้ทุกอย่าง แต่เธอก็เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ของพัคพั๊ค แผนการอันแสนมหัศจรรย์เพื่อปกป้องชาโดว์เกลมันทำให้ลาซูไลน์รู้สึกทึ่ง —แต่จากที่อาจารย์ว่าเอาไว้ การเอาอารมณ์และความรู้สึกมาก่อนมันก็แค่ทำให้ต้องตายโดยที่ยังไม่ได้เติมเต็มเป้าหมายของตัวเอง
แต่ลาซูไลน์ก็รู้
เป้าหมายสูงสุดของพีเฟิลมีเพียงแค่ทำให้ชาโดว์เกลปลอดภัยเท่านั้น แยกตัวของชาโดว์เกลออกจากอันตรายทุกรูปแบบของดินแดนเวทมนตร์ โปรเจคเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ ตำแหน่งของตัวเองในฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เพื่อประโยชน์ของผู้ติดตามเพียงแค่คนเดียว ลาซูไลน์แยกแคนดี้ออกมาจากตัวของพีเฟิลตามคำสั่งของอาจารย์อย่างไม่เต็มใจ —หลังจากที่เธอกลืนมันลงไปเพื่อยืนยันทุกเรื่องที่พีเฟิลรู้เกี่ยวกับโปรเจคเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ ในตอนนี้ลาซูไลน์ก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร
แคนดี้นั่นมันซับซ้อนมากแถมยังน่ารำคาญ เธอเสียใจที่ไม่ได้แยกความทรงจำและอารมณ์ออกมาก่อน
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ตอนที่ร่างเกิดใหม่ของปราชญ์กริมฮาร์ทเข้าโจมตี ฝ่ายลาซูไลน์ได้จับเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์เอาไว้ได้ เมื่อผสานกับเทคโนโลยีที่พวกเธอได้รับมาจากเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์เข้ากับความทรงจำของพีเฟิล พวกเธอจึงสามารถทำปรินเซสซีรี่ย์รุ่นสุดท้าย : ปรินเซสไลท์นิ่ง ออกมาได้สำเร็จ
แต่ในโลกใบนี้ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดี หลังจากที่เข้าห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลไปแล้ว ปรินเซสไลท์นิ่ง คนที่ควรจะเป็นรุ่นสุดท้ายก็เริ่มทำอะไรตามใจตัวเอง ทุกสิ่งที่พวกเธอทำได้ก็คือภาวนาให้ดิโกะและรันยุย คนที่เข้าร่วมกับเธอจะสามารถรับมือได้
ในตอนที่ขัดอ่างอาบน้ำด้วยแปรงอยู่นั้น ลาซูไลน์ก็คิด เธอไม่ได้นับถืออาจารย์ของเธอเหมือนกับแคนดิเดทลาซูไลน์บางคนนัก แต่เธอก็ไม่ได้เกลียด จริงๆแล้วเธอชอบอาจารย์ด้วย แต่เรื่องพฤติกรรมหลายเรื่องเมื่อไม่นานมานี้ของอาจารย์มันไม่เข้ากับเธอ เธอไม่ควรจะมีความรู้สึกเกลียดชังต่ออาจารย์ แต่มันก็ยากที่จะมองในแง่บวก
เมื่อเธอพยายามมองย้อนกลับไปเพื่อหาว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเริ่มมองอาจารย์ต่างออกไป คำตอบมันก็คือหลังจากที่เธอกลืนความทรงจำและความรู้สึกของพีเฟิลลงไปนั่นเอง ลาซูไลน์สามารถควบคุมเวทมนตร์ของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ และแคนดี้ที่เธอกลืนลงไปจะไม่มีทางรบกวนจิตใจหรือพฤติกรรมก่อนหน้าได้ แต่เมื่อคิดย้อนไปในเรื่องนิสัยของพีเฟิล มันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะคิดว่าตอนนี้ตัวเองควรจะจริงจังกับความคิดนั้นได้แล้ว
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คือ ในตอนที่เธอกำลังคิดเรื่องต่างๆในขณะที่กำลังทำความสะอาดอยู่ในตอนนี้ ชาโดว์เกลก็โผล่ขึ้นมาในจิตใจเธออย่างกระทันหัน เมื่อคิดว่าในตอนนี้ชาโดว์เกลที่อยู่กับดีลูจเป็นยังไงบ้าง มันทำให้อะไรบางอย่างที่ไม่สามรถอธิบายได้เอ่อล้นขึ้นมาจากภายในตัวของเธอและทำให้มีรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
เรื่องนี้ภายในหัวใจของเธอที่เปลี่ยนแปลงไปมันทำให้รู้สึกไม่มั่นคง แต่มันก็ยังคงน่าสนใจด้วย มันเหมือนกับว่าได้รับอิทธิพลมาจากพีเฟิลและยังเป็นอะไรที่เหมือนกับลาซูไลน์มากด้วยเช่นกัน
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
คุมิคุมิไม่ใช่คุมิคุมิอีกต่อไปแล้ว กลิ่น การมองเห็น รสชาติ การสัมผัส —สัมผัสทุกอย่างของเฟรเดริก้านั้นแหลมคมเพื่อที่จะรับรู้เรื่องเมจิคัลเกิร์ล เมื่อสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันก็ทำให้เฟรเดริก้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่คุมิคุมิคนเดิมอีกต่อไป
เฟรเดริก้าแอบเอาเส้นผมหนึ่งเส้นจากคนๆนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นคุมิคุมิและกลับไปยังฐานบัญชาการของฝ่ายแคสปาร์ จากนั้นก็สั่งการให้ช่างเทคนิคทำการสืบสวนเส้นผม ส่วนผลลัพธ์มันจะออกมาภายในสองวัน
อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ใช่มนุษย์ อาจจะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลด้วยเช่นกัน ในการที่จะได้ข้อสรุปที่แม่นยำกว่านี้ พวกเธอจำเป็นต้องใช้เวลา จำนวนคน และสิ่งอำนวยความสะดวก
เธอคาดหวังเรื่องของคำตอบ แต่เมื่อเทียบกับอีกสองฝ่ายแล้ว ช่างโชคร้ายที่ฝ่ายแคสปาร์ขาดแคลนเทคโนโลยี การวิเคราะห์เองก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน ฝ่ายแคสปาร์ไม่สามารถเทียบชั้นกับห้องทดลองที่เป็นแค่หนึ่งหน่วยงานภายใต้อำนาจของฝ่ายโอสได้
เธอคิดว่าผลการวิเคราะห์เส้นผมมันต้องใช้เวลา ดังนั้นในตลอดสองวัน เธอจึงคิดสมมติฐานต่างๆขึ้นมา มันต้องเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องผสมเข้ากับกลิ่นและบรรยากาศของเมจิคัลเกิร์ล ภายในระยะเวลาสองวันนั้น เฟรเดริก้าได้ตรวจสอบทุกอย่าง —กลิ่น บรรยากาศ ตัวตน และความรู้สึก จากสิ่งที่เธอคุ้นเคยและสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และได้ข้อสรุปว่ามันมีโฮมุนครูสผสมรวมอยู่ด้วย
และมันก็ไม่ใช่แค่โฮมุนครูสธรรมดา —มันเป็นโฮมุนครูสที่ใช้เทคโนโลยีในระดับที่สูงมาก มันไม่ใช่แค่มีรูปร่างเหมือนคุมิคุมิ มันยังแปลงร่างและใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับเธอด้วย
มันไปไกลยิ่งกว่าจะเป็นระดับสูงสุด และเมื่อเทียบกับโฮมุนครูสประเภทภาพเงาสีดำแล้ว มันก็ทำงานได้มากยิ่งกว่า ไม่ใช่แค่รูปร่างภายนอก แต่ยังเป็นภายในด้วย การทำงานของจิตใจก็แสดงออกมาในท่าทางและการกระทำ นี่ไม่ใช่การเลียนแบบแบบธรรมดา แต่มันคือตัวของคุมิคุมิเอง
นี่เป็นการถอดแบบเธอเป็นโฮมุนครูสรึเปล่า? มันละเอียดมากเกินไปกว่าที่จะเป็นเวทมนตร์คัดลอก บางทีอาจจะไม่ใช่การคัดลอกก็ได้ เพราะถ้าหากใช้สิ่งที่อยู่ “ภายใน” คุมิคุมิ แน่นอนว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาก็จะไม่ใช่อะไรอย่างอื่นนอกจากคุมิคุมิ
เมื่อคิดถึงการมีอยู่ของโฮมุนครูที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงมันก็ทำให้เธอนึกถึงห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล เดิมทีแล้วห้องเรียนมีการป้องกันที่แน่นหนาด้วยการใช้โฮมุนครูสจำนวนมาก และเฟรเดริก้าก็ได้ยินเรื่องนั้นมาในตอนที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น โฮมุนครูสที่มีรูปร่างและความสามารถของเมจิคัลเกิร์ลได้ปรากฏตัวออกมาและสร้างความรุนแรง
หลักๆแล้วทางฝ่ายข้อมูลมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บกวาดหลังจากเรื่องความวุ่นวายของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล แต่ทางห้องทดลองเองก็ร่วมมือกับทางนั้นด้วย ความพยายามทุกอย่างที่จะสร้างร่างเกิดใหม่ขึ้นมายังคงไม่สำเร็จ แต่ถ้าถามว่าใครเป็นคนที่นำอยู่ในเรื่องนี้ คำตอบมันก็คือห้องทดลอง ซึ่งมันหมายถึง เธอยังสามารถจินตนาการได้ว่าพวกนั้นมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการโอนย้ายวิญญาณ
เฟรเดริก้าลุกขึ้นมาจากโซฟาและยืดหลัง มองไปที่โคมระย้าพร้อมกับเอียงศีรษะ เมจิคัลเกิร์ลเครื่องแก้วเต้นรำอยู่ด้านในนั้น แค่มองดูมันก็เป็นการปลอบโยนเธอมากพอแล้ว
ในตอนนี้เธอทำได้เพียงแค่การคาดเดา และการที่จะทำได้นั้น เธอก็จำเป็นต้องมีวัตถุดิบด้วย การสิบสวนเรื่องคุมิคุมิก่อนจะมีความอันตรายมาก —เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุมิคุมิ
เฟรเดริก้าหลับตาข้างขวาและก็มองลงมาอีกครั้ง เตะถุงที่อยู่กองตรงเท้าเพื่อให้ไปอยู่ที่มุมห้อง เธอดึงเอาเมฟิคัลโฟนออกมาโดยที่ไม่สนใจถุงที่กำลังดิ้นไปมา
เธอรู้ว่าตัวเองกำลังสั่นเทา การแทนที่เมจิคัลเกิร์ลในห้องเรียนด้วยโฮมุนครูสเป็นการก่อความไม่สงบอย่างแท้จริง มันไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุมิคุมิเป็นการเฉพาะ เฟรเดริก้าโกรธเพราะเธอเป็นคนที่คลั่งไคล้เมจิคัลเกิร์ลโดยไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไงและหมกมุ่นอยู่กับเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าใครๆ นี่มันเป็นกับความโกรธเคืองที่มีสิทธิอันชอบธรรม —ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินว่าตัวเองยังใจเย็นไม่มากพอ
เฟรเดริก้าเรียกแอสโมน่าผ่านทางเมจิคัลโฟน แม้ว่าแอสโมน่าจะขาดความสามารถในการคิดอะไรออกมาแม้จะเป็นเพียงแค่เรื่องหนึ่งเรื่อง แต่เมื่อเป็นเรื่องงานแล้ว เธอก็เหนือกว่าเฟรเดริก้ามาก มีความสามารถในการตัดสินอย่างมีเหตุมีผล หากต้องการใครซักคนที่อยู่ข้างๆเพื่อขอความเห็น แอสโมน่าก็คือคนๆนั้น
แอสโมน่าที่โดนเรียกมาผ่านทางโทรศัพท์ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ที่คิ้วของเธอมีรอยย่นลึก —มันไม่ใช่ท่าทีที่ควรจะแสดงให้นายจ้างของตัวเองเห็น ท่าทีของเธออ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเฟรเดริก้าอธิบายเรื่องสถานการณ์ แต่จากนั้นรอยย่นที่คิ้วมันก็กลับไปลึกเหมือนเดิมในทันที เธอถอนหายใจออกมา ดึงหมวกนิวส์บอยที่ดูเด่นบนศีรษะลงมาเหนือใบหน้า
“ขอยืนยันก่อนนะ” แอสโมน่าพูด “พวกเราไม่สามารถถามทางห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลตรงๆได้ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่มันยากมากที่จะทำ”
เดิมทีปัญหาของเรื่องนี้มันเริ่มต้นด้วยการที่เธอไม่สามารถมองดูสโนไวท์ได้อีก ในตอนนั้นเฟรเดริก้ารู้สึกดีใจ เธอคิดอย่างมั่นใจว่าสโนไวท์คงต้องทำอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเพื่อเป็นการตอบโต้เธอ การที่สโนไวท์เข้าไปในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลมันทำให้ยากที่จะจับตามองเรื่องต่างๆ
“ไม่ว่าการจับตามองพวกนั้นมันจะยากขนาดไหน เธอก็จำเป็นต้องมีสายตาที่จับจ้องห้องเรียนไว้” แอสโมน่าพูดยืนยัน
“อื้อ ใช่แล้วล่ะ”
“แบบนั้นมันก็ง่ายเลย เธอก็แค่เข้าหาคนอื่นที่แทรกซึมเข้าไปนอกจากคุมิคุมิ คานะ… อาจจะเสี่ยงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันอันทรงเกียรติ หรืออาเดลไฮลด์ก็คงไม่เป็นอะไร นั่นแหละ —ทำไมถึงไม่ใช่อาเดลไฮลด์ล่ะ? พวกเรายังคงได้รับรายงานจากเธอตามปกติใช่ไหม? ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้พวกมือสมัครเล่นอย่างคุมิคุมิตั้งแต่แรกเลย ชั้นรับรองเรื่องอาเดลไฮลด์ได้นะ เธอยังเด็กอยู่แต่ก็เป็นมืออาชีพ เธอไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่ยังสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการในเวลานั้นได้ด้วย เธอได้เรื่องนี้มาจากแม่ของเธอ”
แอสโมน่าเคยเป็นนักเรียนรุ่นพี่ของแม่อาเดลไฮลด์ในโรงเรียนกวดวิชามาโอ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า เธอเป็นรุ่นพี่ของอาเดลไฮลด์แบบสองเท่าด้วย เฟรเดริก้าเข้าใจความปรารถนาที่อยากจะช่วยเหลือรุ่นน้องที่เด็กกว่ามากดี นอกจากนี้ แม้ว่าจะวางเรื่องความผูกพันธ์ลงไป อาเดลไฮลด์ก็เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง เมฟิส เฟเลสนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องอารมณ์เกินไป คุมิคุมิขี้อายเกินไป ส่วนคลาสสิคคัล ลิเลี่ยนให้ค่าเรื่องความสามัคคีมาก เธอตั้งใจที่จะทำอะไรเพียงแค่ครึ่งทาง
“หืมม… เธอพูดถูกนะ นอกจากคุมิคุมิกับคานะแล้ว ให้ฉันติดต่อไปหาแต่ละคนไหม?”
“มันจะสบายมากไปหน่อยไหม? เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นนั้นยุ่งกันจะตาย ดังนั้นเธอก็ควรจะยุ่งด้วย”
เฟรเดริก้าพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องคำเหน็บแนม “ฉันอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีใครที่สังเกตบ้างว่าคุมิคุมิเปลี่ยนไปยังไง และยังมีใครนอกจากเธอที่ถูกสับเปลี่ยนกับโฮมุนครูสรึเปล่า ฉันสงสัยว่าการสับเปลี่ยนคุมิคุมิมันจะจบเพียงเท่านั้น ฉันควรจะสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหลายเส้นทางขึ้นมาเพื่อที่จะตอบสนองกับสถานการณ์ได้หากมีใครซักคนที่โดนแทนที่ในจุดใดจุดหนึ่ง ฉันน่ะยุ่งอยู่จริงๆนะ แล้วฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นทำเรื่องนี้ด้วย มันยากที่จะอธิบายแบบเฉพาะเจาะจงว่าเธอเปลี่ยนไปยังไง และการที่จะเอาเส้นผมมาหนึ่งเส้นมันก็ต้องใช้เทคนิคที่เชี่ยวชาญด้วย มันคงแย่ที่จะบอกให้คนที่ไม่เคยชินลงมือทำทุกครั้ง”
คิ้วของแอสโมน่าผ่อนคลายลงเล็กน้อย เฟรเดริก้าพูดต่อพร้อมรู้สึกโล่งอกแบบลับๆ “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้กลุ่มสองทั้งหมดถอนตัว แต่ในตอนนี้น่ะฉันไม่สามารถแอบมองเข้าไปในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลได้ หากฉันไม่ได้มีคนที่ร่วมมืออยู่ภายใน แบบนั้นก็จะแพ้ในเรื่องสงครามข่าวสาร ฉันจะไม่ส่งข้อมูลอะไรที่สำคัญไปยังคุมิคุมิ แล้วฉันจะเตือนพวกเธอว่าไม่ควรแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกลุ่มทั้งหมด ฉันจะไปเจอกับพวกเธอเป็นระยะๆเพื่อตรวจสอบ ภาวนาขอให้พวกเธอไม่โดนสับเปลี่ยนไปทั้งกลุ่มด้วย”
“ทำไมไม่ให้คุมิคุมิถอนตัวออกมาแค่คนเดียวล่ะ?”
“มันก็จริงที่ตัวตนของเธออาจเป็นอันตราย แต่ฉันไม่อยากแสดงท่าทีอะไรเกินไปจนเป็นการเตือนพวกเธอว่าพวกเรารู้ตัวแล้ว และอีกอย่าง อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถเติมเต็มจำนวนสมาชิกได้… ดูสิ แค่พวกเรานั่งลงด้วยกันในห้อง มันก็เหมือนเป็นภาพจำลองในอนิเมเมจิคัลเกิร์ล ที่ที่หัวหน้าศัตรูมารวมตัวกัน มันเหมือนกับพวกเราในตอนนี้เลย” เฟรเดริก้าพูดติดตลกและคิดว่า แอสโมน่าคงด่าเธอที่พูดอะไรแบบนี้ออกมา
แต่แอสโมน่ากลับถามเธอกลับด้วยท่าทางจริงจังแบบไม่คาดคิด “หัวหน้าของศัตรูรวมตัวกัน?”
“ใช่”
“หมายถึงพวกเราคือศัตรู?”
เฟรเดริก้าพยักหน้าสองครั้งพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างดูดีที่สุด “ใช่แล้ว พวกเราคือศัตรูของทุกคน”
MANGA DISCUSSION