ตอนที่ 2:
สงสัยจังว่าพวกเราจะเข้ากันได้รึเปล่า
☆ คุมิคุมิ
เวลาก่อนชั่วโมงโฮมรูมมันคือช่วงเวลาที่จะได้ยินเสียงของชมรมมากมายที่กำลังฝึกซ้อมรอบเช้ากันในสนาม
กลุ่มสองที่อยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลกำลังอยู่ในท่าประจำของตัวเอง —นั่งอยู่ที่บันได เอนตัวพิงกับกำแพง ไม่ก็นั่งยองๆอยู่ตรงคูระบายน้ำ คลาสสิคคัล ลิเลี่ยนขึงเส้นด้ายเวทมนตร์เอาไว้รอบบริเวณเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาใกล้มากพอที่จะแอบฟังการคุยกันแบบลับๆของพวกเธอ
เมฟิส คนที่นั่งอยู่พร้อมกับอ้าขาออกกว้างกระแอมออกมาและเริ่มการสนทนา
“วันนี้ตามกำหนดการณ์พวกเรามีสองเรื่อง”
“ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ชั้นได้ยินคนพูดว่า ‘กำหนดการณ์’ น่ะ นี่เป็นการประชุมแบบทางการรึเปล่า?” ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์ถามพร้อมกับปรับปีกหมวกทหารของตัวเอง
หัวหน้ากลุ่มสอง เมฟิส เฟเลส ปฎิเสธที่จะตอบคำถามนั้น —ไม่ว่าจะเป็นการหยอกล้อหรือไม่ก็ตาม— และพูดต่ออย่างไม่สนใจ “เรื่องแรก คานะ พวกเราจะทำยังไงกับเธอ?”
“หมายความ… ว่ายังไง…?” คุมิคุมิพูด
“ชั้นหมายถึง ไม่ว่ามันจะโอเคหรือไม่โอเคที่จะเชิญเธอเข้ามาร่วมกลุ่มนี้ การทิ้งเธอเอาไว้ข้างหลัง เหมือนกับบอกว่า ‘ชั้นจะไปแล้วแต่อย่าตามมานะ’ มันก็น่ารำคาญอยู่ดีนั่นแหละ”
“แต่… มัน…”
“โอเค ชั้นรู้ มันไม่ใช่ แค่ เพราะว่าน่ารำคาญหรอก ชั้นอยากจะบอกว่า การให้เธอเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับพวกเราด้วยมันจะดีกว่ารึเปล่า? คนที่ปล่อยเธอออกจากคุกก็คือหัวหน้าพวกเราใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นมันก็สามารถนับเธอเป็นหนึ่งในพวกเราได้”
คุมิคุมินึกถึงหัวหน้าผู้คุ้มกันชั้นยอดที่มีตำแหน่งสูงจนเอื้อมไม่ถึง และคนที่มีตำแหน่งสูงยิ่งไปกว่านั้นก็คือเมจิคัลเกิร์ลน่าสงสัยในเบื้องบนของฝ่ายแคสปาร์ ไพตี้ เฟรเดริก้า หลังจากที่บุกเข้ามาโดยไม่ได้มีการบอกกล่าว เฟรเดริก้าก็แนะนำคุมิคุมิหลายเรื่อง ข้อมูลจำนวนมากที่เธอนำมาให้มันทำให้คุมิคุมิประหลาดใจ เมื่อคิดถึงเรื่องความน่าสงสัยของเฟรเดริก้าแล้ว คุมิคุมิก็เลยไปตรวจสอบเรื่องต่างๆกับรุ่นพี่ของเธอเผื่อเอาไว้ และรุ่นพี่นั้นก็บอกว่าคุกเองก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของทางฝ่าย และเหมือนว่ารุ่นพี่จะเห็นใครซักคนที่ดูเหมือนเฟรเดริก้าด้วย และคุมิคุมิก็คิดว่าข้อมูลนี้มีความแม่นยำพอตัวเลย
“อ่า นั่นสินะ” อาเดลไฮลด์พูด “ไม่ใช่ว่าชั้นไม่เข้าใจเรื่องนั้น แต่นี่เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวของเธอเหมือนกัน เมฟิส”
“ผลประโยชน์ส่วนตัว หมายความว่ายังไงน่ะ?” เมฟิสตะโกนกลับ
“เธอจะทิ้งคานะเอาไว้ข้างหลังทุกเช้าเพื่อการประชุมนี่ไม่ได้ การมาโรงเรียนจากบ้านหลังเดียวกันแล้วบอกให้เธอต้องรอนี่มันทำให้จิตใจเหนื่อยล้ามากใช่ไหมล่ะ?”
“ก็ใช่ แต่…”
“การพาคานะเข้ามาด้วยเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเครียดที่เกิดขึ้น ชั้นไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ”
“ชั้นไม่ได้จะพาเข้ามาเพราะเรื่องความเครียดของตัวเอง ฟังนะ มันเหมือนกับว่า —คานะช่วยพวกเราเอาไว้เยอะมากตอนเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ใช่ไหมล่ะ? คานะเองก็ช่วยเธอด้วยใช่ไหม คุมิคุมิ?”
คุมิคุมิพยักหน้า เธอตั้งใจพยักหน้าให้แรงที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ คานะนั้นจัดการโฮมุนครูสที่มีความสามารถบ้าบอมากๆอย่างการแตะอะไรก็กลายเป็นฝุ่นได้ด้วยตัวคนเดียว และยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่คุมิคุมิเกือบที่จะถูกจับตัว คานะก็เสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อเข้ามาช่วยเธอ ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยที่จะไม่มีเหตุผลเลยว่าไม่เชื่อใจเธอ
โดยส่วนตัวแล้วคุมิคุมิรู้สึกว่าถ้าหากจะเรียกคานะมาที่นี่ด้วยในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนว่าอาเดลไฮลด์ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ เธอกอดอกแล้วพูดออกมาพร้อมกับท่าทางที่ดูเข้าใจยาก “แข็งแกร่งมันก็ดี แต่นั่นมันก็หมายถึงว่าเป็นตัวอันตรายได้ด้วย”
“หมายความว่าไง?”
“เธอแข็งแกร่งและก็เคยอยู่ในคุก ดังนั้นเธอคงต้องเป็นตัวอันตรายแน่”
“หืมมม” คลาสสิคคัล ลิเลี่ยนพึมพำออกมาและใช้นิ้วแตะคางของตัวเอง “ฉันได้ยินมาว่าความทรงจำของเธอถูกดัดแปลงในตอนที่อยู่ในคุก คานะอาจจะดูแปลกไปบ้าง แต่เธอก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ดี สมมติในอดีตเธอได้ทำเรื่องเลวร้ายขึ้น ถ้าเธอเสียความทรงจำในช่วงเวลานั้นไปจนบุคลิกของตัวเองก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แบบนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าในตอนนี้เธอเป็นคนละคนแล้วงั้นเหรอ?”
คุมิคุมิพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่ แต่อาเดลไฮลด์ก็ยังคงลังเวล ริมฝีปากของเธอดูบูดบึ้ง
“เรื่องที่จะเรียกคานะว่าเป็นเด็กดีน่ะ ในตอนนี้ชั้นเองก็พูดอะไรไม่ได้ แต่รู้ไหม มันไม่ใช่แค่เรื่องที่เธอเป็นตัวอันตรายก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในคุกหรอก คนที่ใช้งานเธอต่างหากที่อันตราย ทำไมเธอถึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโรงเรียนนี้กันล่ะ? โดยพื้นฐานแล้วมันก็เป็นเพราะคนพวกนั้นคิดว่าต้องใช้งานเธอที่นี่”
อาเดลไฮลด์พูดอย่างอ้อมๆ แต่หลังจากที่ลองคิดดูแล้ว คุมิคุมิก็เข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ และเธอก็ยังคิดอีกว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง
“ถ้าหาก… ฉัน… เข้าไปถาม… เรื่องนั้นล่ะ…?”
“คิดแบบนั้นก็ได้อยู่หรอก แต่สำหรับเธอมันโอเคแล้วเหรอที่จะไปถามเรื่องนั้น?”
“ถ้าไม่ได้… พวกนั้นก็แค่… บอกฉันว่าไม่…”
ทุกเรื่องที่เฟรเดริก้าบอกเธอมันสามารถแบ่งปันให้กับเพื่อนของเธอได้ และคุมิคุมิก็ได้รับอนุญาตให้ถามคำถามด้วย จุดประสงค์ของเฟรเดริก้ามันไม่ชัดเจนและยังน่าสงสัย แต่อย่างน้อยที่สุด ในตอนนี้คุมิคุมิก็ดีใจที่มีเธออยู่ด้วย
เมฟิสพ่นลมหายใจออกมา “ทำไมต้องเป็นคุมิคุมิด้วยนะ? พวกระดับสูงมันต้องรู้สิว่าผู้นำของกลุ่มนี้คือท่านเมฟิส เฟเลสผู้ยิ่งใหญ่น่ะ”
“ฉันคิดว่าทางนั้นคงระวังเรื่องเวทมนตร์ของเธอน่ะ เมฟิส ถ้าเธอไปพบแล้วคุยกัน มันก็อาจจะเป็นการใช้เวทมนตร์โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็ได้ พอเป็นเรื่องการคุยกันแล้วเวทมนตร์ของเธอมันน่ากลัวนะ”
ลิเลี่ยนพูดเยินยอออกมาเพื่อให้อารมณ์ของเมฟิสดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ปล่อยไปแล้วพูดว่า “ก็นะ พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก” คุมิคุมิเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเฟรเดริก้าถึงเข้ามาหาเธอ แต่เมื่อดูคนอื่นแล้ว เธอก็ถูกบังคับให้คิดว่าเป็นเพราะเธอดูเหมือนจะเป็นคนที่รับมือง่ายที่สุด
“เอาล่ะ จบไปเรื่องนึงแล้ว” เมฟิสพูด “ตามกำหนดการณ์เรื่องที่สองก็คือนักล่าเมจิคัลเกิร์ล”
“ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าสโนไวท์จะย้ายเข้ามา” ลิเลี่ยนพูดเสริม
“แล้ว… เป้าหมายของเธอคือ…?”
“เธออยู่ในหน่วยสืบสวน เธอคงพยายามสืบสวนเรื่องอะไรบางอย่างอยู่”
“มีเรื่องโฮมุนครูสที่ก่อความวุ่นวายขึ้นนี่นะ —บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้นรึเปล่า?” เมฟิสพูด
“ก็เป็นไปได้… เธอจับตาดูพวกเราอยู่…”
“มันฟังดูเป็นแบบนั้นนะ ฉันไม่ชอบเลย” ลิเลี่ยนพูด
เป้าหมายของฝ่ายแคสปาร์ก็คือการสืบสวนอย่างลับๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสถานโบราณที่อยู่ด้านล่างโรงเรียนที่ที่ห้องเรียนของเมจิคัลเกิร์ลตั้งอยู่ และถ้าเป็นไปได้ก็เก็บวัตถุโบราณที่ซ่อนอยู่ในนั้นมาด้วย สมาชิกกลุ่มคุมิคุมินั้นเป็นสมาชิกของทางผู้คุ้มกันชั้นยอดของฝ่ายแคสปาร์ ดังนั้นมันจึงเป็นเป้าหมายของทางนั้นด้วย แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่ผิดกฏหมาย ถ้าการกระทำของพวกเธอถูกรู้เข้า แน่นอนว่าจะต้องถูกจับกุม
ในจุดนี้ คุมิคุมิรู้สึกได้ว่าบางคนนั้นกระตือรือร้นมากกว่าคนอื่น คุมิคุมิคิดว่าถ้ามันดูเหมือนเรื่องของพวกเธอจะถูกรู้เข้า พวกเธอก็จะไม่ฝืนมันไปมากกว่านั้น หากพวกเธอรายงานสิ่งที่ตัวเองรู้ไปและบอกว่าไม่มีโอกาสที่จะได้วัตถุโบราณมา พวกเธอควรจะใช้เหตุผลนั้นเป็นข้ออ้างและเรียนจบตามแบบปกติ แต่มันดูเหมือนว่าอาเดลไฮลด์กับเมฟิสจะคิดมันอย่างค่อนข้างจริงจัง
“ชั้นได้ยินว่าเธออ่านใจได้ แต่จากการที่คุยกันแล้ว ดูไม่เหมือนว่าเวทมนตร์ของเธอจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร” เมฟิสพูด “เวทมนตร์ของคานะอาจจะยังอันตรายซะกว่า”
“มันดูไม่เหมือนว่าเธอสามารถได้ยินทุกอย่าง…” ลิเลี่ยนเห็นด้วย
“เธออาจจะ… จับตามองแล้วก็รอ… จนกว่าพวกเรา… จะมีแผนที่เป็นรูปเป็นร่าง…”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น ชั้นคิดว่าเธอคงจับพวกเราไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“หน่วยสืบสวนไม่ได้อยู่ในอำนาจของฝ่ายแคสปาร์ด้วย ในจุดนี้พวกเราควรจะระวังเอาไว้ว่าสโนไวท์กำลังจับตามองพวกเราอยู่”
“เธอไม่คิดว่าสโนไวท์จะจับตามองคนอื่นบ้างเหรอ?” เมฟิสถามอาเดลไฮลด์
“มันก็เป็นไปได้ หน่วยสืบสวนทำงานอย่างอิสระ ไม่งั้นก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องทำได้ ชั้นได้ยินเรื่องน่าสงสัยจากฝ่ายข้อมูลของเท็ตตี้ ห้องวิจัยของโดรี่ แล้วก็ฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลของแรปปี้มาด้วย”
“แล้วกลุ่มสามล่ะ?”
“เธอคงจับตามองทางนั้นมากพอๆกับพวกเรา”
หน่วยวิจัยและพัฒนาคือคู่แข่งที่ร้ายกาจที่สุดของฝ่ายแคสปาร์ —ซึ่งมันหมายถึงของผู้คุ้มกันชั้นยอด ดังนั้นคู่แข่งที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเธอก็คือปรินเซสไลท์นิ่ง คนที่ได้รับการแนะนำมาจากทางหน่วยวิจัยและพัฒนา คุมิคุมิยังได้ยินจากเฟรเดริก้าว่า โดยพื้นฐานแล้วรันยุยและดิโกะ นาระคุโนะอินเป็นมิตรกับทางหน่วยวิจัยและพัฒนา ซึ่งนั่นมันทำให้พวกเธอเป็นศัตรูของคุมิคุมิและกลุ่มของเธอ
“หวังว่าเธอจะจับไปแค่กลุ่มสามนะ” เมฟิสถอนหายใจออกมา
“เธอจะหวังแบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเราไม่เข้าใจเวทมนตร์ของสโนไวท์ด้วยซ้ำ —พวกเราต้องลงมือแบบระมัดระวัง ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะโดนเล่นงานเข้าเมื่อไหร่”
“ก็จริง พอเมื่อเป็นเรื่องการต่อสู้แล้ว เธอก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่ชั้นคิด เพราะถูกเรียกว่านักล่าเมจิคัลเกิร์ลชั้นก็เลยตั้งความหวังไว้สูง แต่สุดท้ายก็ผิดหวัง”
“ตำราเรียน… เกินจริงไป…”
“ตำราเรียนมันเน้นไปที่เรื่องของแครนเบอร์รี่ว่าน่ากลัวยังไง” ลิเลี่ยนพูด “ฉันแน่ใจนะว่าสำหรับสโนไวท์ที่เป็นคนจัดการแครนเบอร์รี่นั้นมันไม่สามารถเขียนให้ไม่เป็นเรื่องที่ใหญ่โตได้”
“แต่มันก็เป็นเรื่องปกตินะสำหรับคนที่ปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ มันจะประมาทไม่ได้”
“ประมาทไม่ได้งั้นเหรอ?” เมฟิสพูดตอบด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “อาเดลไฮลด์ เธอไม่ใช่รึไงที่คุยกับสโนไวท์เหมือนกับไม่ได้คิดอะไร แถมยังหัวเราะจนเอามือกุมท้องอีก ไม่ได้ระวังห่าเหวอะไรทั้งนั้น ดูสนิทกันจะตายชัก”
“เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้นซักหน่อย” อาเดลไฮลด์โบกมืออย่างรวดเร็วที่ด้านหน้าใบหน้าแล้วก็ส่ายศีรษะ “คนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอจะกระโดดเข้าใส่เรื่องความงี่เง่าของมาริกะ ฟุคุโรอิทั้งนั้นแหละ”
“ใครมันจะสนเรื่องเฉพาะกลุ่มแบบนั้นกันฟะ?”
“ฉันคิดว่าการที่สโนไวท์ยกเรื่องเฉพาะกลุ่มขึ้นมาได้ บางทีก็ควรเป็นเรื่องที่พวกเราต้องระวังด้วย” ลิเลี่ยนพูด “ซึ่งมันหมายความว่าสโนไวท์ตรวจสอบปูมหลังของอาเดลไฮลด์มาเหมือนกัน”
“จะพูดแบบนั้นมันก็ยากนะ สโนไวท์อาจจะอิงจากชื่อของชั้นแล้วก็พูดออกมาก็ได้ แล้วชั้นก็รู้สึกว่ามาริกะ ฟุคุโรอิกับนักล่าเมจิคัลเกิร์ลสนิทกันมาก่อนด้วย หรือบางทีก็อาจจะไม่”
“เธอนี่จะประมาทไปหน่อยไหม—”
“เฮ้ เมฟิส เธอเองก็คุยกับสโนไวท์ด้วยไม่ใช่รึไง ตอนคาบว่างวันก่อนน่ะ”
“ฟังนะ มันก็แค่คุยกันเฉยๆ —สโนไวท์น่ะอ่านมังงะเรื่องเดียวกันกับที่ชั้นคุยกับคานะตอนพัก ใช่ว่าชั้นคุยกับเธอแล้วมันสนุกหรืออะไรแบบนั้น”
“จากที่ชั้นเห็น เธอดูจะสนุกอยู่นะ”
“เออสิ เพราะชั้นได้คุยเรื่องมังงะที่ตัวเองชอบไงล่ะ ตอนที่ชั้นแนะนำให้เธออ่าน เธอก็บอกว่าไม่ชอบมังงะแนวนักเลงแล้วแม่งก็ไม่อ่าน”
การปล่อยให้ทั้งคู่เป็นแบบนี้ต่อไปไม่จบไม่สิ้นมันไม่มีประโยชน์ ในตอนที่คุมิคุมิคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนการพูดคุยกันนี้ไปในทางที่ดีนั้น ระฆังที่จะดังตอนก่อนเริ่มเวลาเรียนห้านาทีก็ดังขึ้น ทำให้การพูดคุยกันหยุดลง กลุ่มสองจึงคลายการแปลงร่างและวิ่งไปยังห้องเรียนโดยที่ไม่ได้มีเวลาจะคิดแผนการรับมือกับนักล่าเมจิคัลเกิร์ล
☆ คานะ
สมาชิกสี่คนของกลุ่มสอง —ยกเว้นคานะ— กำลังประชุมกลยุทธ์ในยามเช้า คานะต้องอยู่ด้านหลังเพียงคนเดียวในห้องเรียน คอยเฝ้าจับตาดูหากมีอะไรที่แตกต่างจากปกติเกิดขึ้นก่อนที่จะเริ่มคาบเรียน แล้วก็รายงานกลับไปยังพวกเธอ โดยปกติแล้วนี่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่จะไม่ปล่อยให้หน้าใหม่อย่างคานะทำ ดังนั้นนี่มันหมายความว่าทุกคนในกลุ่มเชื่อใจคานะมาก คานะนั้นมีส่วนร่วมพอประมาณในตอนเหตุการณ์โฮมุนครูส แม้ว่าเธอจะทำอะไรงี่เง่าจนเกือบตาย —แต่บางทีสมาชิกในกลุ่มของเธออาจจะคิดอะไรในแง่บวกมากขึ้น จากการที่เธอเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเพื่อนร่วมห้อง
หากเป็นแบบนั้น —ไม่สิ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม คานะก็จะทรยศความเชื่อใจของพวกเธอไม่ได้ คานะต้องเพ่งสมาธิไปที่เรื่องเล็กๆน้อยๆทุกเรื่องภายในห้องเรียน
เมื่อกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อพูดคุย คานะก็เงี่ยหูของตัวเองเพื่อรับฟัง เมื่อกลุ่มสามพูดทักทาย คานะเองก็พูดทักทายกลับไปเช่นกัน —แต่ในตอนที่เธอทำตัวเสมือนกับเป็นปกติ ดวงตาของเธอก็มองไปทั่วห้องเรียนอย่างเฉียบคม มองหาอะไรก็ตามที่มีความผิดปกติ
เธอมองสำรวจหนึ่งรอบ และกลุ่มสามก็ให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยชัดเจน เธอก็เลยเดินไปที่นั่น ปรินเซสไลท์นิ่งกำลังถกเถียงอย่างหนักแน่นว่า จากการหมุนเวียนของเมนูแล้ว อาหารกลางวันในวันนี้จะต้องเป็นขนมปังทอด คานะที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอพยักหน้า จากนั้นเธอก็มองดูกลุ่มสามอีกครั้ง
คานะไม่ได้มองสำรวจพวกเธอทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล เธอรู้ได้ในทันทีว่าอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกไป นั่นคือดิโกะ นาระคุโนะอิน ทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ในส่วนที่เส้นผมชี้ขึ้นไป —จากที่เธอได้เห็นในมังงะของเมฟิสมาหลายครั้งมันเรียกว่าทรงโมฮอว์ก— มันดูแหลมคมมากกว่าปกติ หากจะให้พูดด้วยคำพูดของเมฟิสแล้วนั้น ในวันนี้ดิโกะ “ทำให้มันดูเท่กว่าเดิม”
“ดิโกะ” คานะพูดออกไป
ดิโกะหันมาหาเธอ เช่นกันเดียวกับคนทั้งหมดในกลุ่มสาม ปรินเซสไลท์นิ่งมองมาที่คานะราวกับจะถามว่า “นี่เธอยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วเนี่ย?”
คานะครุ่นคิดเล็กน้อยว่าจะอธิบายดิโกะในตอนนั้นยังไงก่อนที่จะพูดต่อ “เหมือนว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นสินะ”
ดืโกะอ้าปากออกเล้กน้อยแล้วก็ปิดลง ย่นสันจมูกของตัวเอง จากนั้นก็อ้าปากออกเพื่อพูดอีกครั้ง “อ๋อ” เธอมองขึ้นไปบนเพดานก่อนที่จะหันกลับมาหาคานะด้วยท่าทางจริงจัง “รันยุยกำลังจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
แซลลี่มีท่าทีตกใจ “หือ?” ไลท์นิ่งยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “จริงเหรอ?” แล้วไซคีก็ทุบเข้าไปที่แผ่นหลังของดิโกะ “เธอควรจะบอกให้เร็วกว่านี้สิ!” พอกลุ่มหนึ่งรู้ว่ามีเรื่องเอะอะเกิดขึ้นก็เข้ามาหา จากนั้นก็เข้ามาร่วมฉลองด้วยกัน คานะเองก็ดีใจ แต่เธอก็ยังคงจับตามองอยู่ แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่ได้ยินข่าวดีที่ไม่คาดคิด เธอก็ไม่ได้ประมาท ภารกิจที่เมฟิสและคนอื่้นมอบหมายมันต้องทำอย่างจริงจัง
จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่า มีใครบางคนอยู่ห่างจากคนอื่นที่รวมตัวกันออกไปเล็กน้อย —เธอยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น นั่นคือสโนไวท์
ในตอนนี้เมื่อคานะลองคิดดู รันยุยนั้นเข้าโรงพยาบาลไปในตอนที่สโนไวท์ย้ายเข้ามา ซึ่งก็หมายถึง สำหรับสโนไวท์แล้วมันดูเป็นคนแปลกหน้ามากกว่าที่จะเป็นเพื่อนร่วมห้อง แน่นอนว่าแตกต่างออกไปจากคนที่ร่วมสู้ด้วยในเหตุการณ์เดียวกัน
คานะที่กำลังเสร็จสิ้นการมองสำรวจสโนไวท์ในตอนที่พวกเธอสบตากัน สโนไวท์จ้องมองมาที่คานะ และคานะก็มองกลับไปที่สโนไวท์
คานะเดินผ่านอาร์ลี่และโดรี่ คนที่กำลังคุยกันอยู่เสียงดังและเข้าไปยืนอยู่ข้างๆสโนไวท์ นักเรียนแลกเปลี่ยนคือคนที่คานะควรจะเพ่งความสนใจไปมากที่สุด แต่ในตอนนี้เมื่อเธอคิด เธอก็จำไม่ได้ว่าได้คุยกับสโนไวท์มากนัก สโนไวท์นั้นพูดคุยกับนักเรียนคนอื่นอย่างพอประมาณ บางครั้งก็หัวเราะออกมาหรือทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ แต่ในตอนนี้คานะตระหนักได้ว่าสโนไวท์ไม่เคยพูดกับเธอเลย
เธอสงสัยว่าทำไมและเข้ามาเพื่อหาคำตอบ
“นักล่าเมจิคัลเกิร์ล” คานะพูดออกมาเสียงดัง
เธอสัมผัสได้ว่าตัวของสโนไวท์นั้นอยู่ข้างๆ “แค่ฉายาที่คนอื่นตั้งให้น่ะ”
“นั่นหมายความว่าเธอทำมากพอที่จะถูกเรียกแบบนั้น”
“ก็…”
“ไม่ได้กล่าวหาอะไรหรอก เราคิดว่าการกำจัดตัวร้ายมันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมนะ”
คานะเชื่อว่าในห้องเรียนไม่ได้มีตัวร้ายจริงๆอยู่ โชคดีที่เธอจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองก่อนที่จะเข้าคุกไม่ได้ ความทรงจำของเธอถูกปรับแต่ง โอกาสนั้นมีมากพอที่เธอจะเคยเป็นคนไม่ดีที่สโนไวท์จะเข้ามาจัดการ และเนื่องจากโยชิโอกะคือคนที่พาคานะออกมาจากคุก มันก็เลยช่วยไม่ได้ที่คานะจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี
บางทีคานะอาจจะคือเหตุผลที่สโนไวท์ย้ายเข้ามาก็ได้
เธอมองไปที่สโนไวท์อย่างตั้งใจพร้อมรบเร้าว่า “ถ้าเราเป็นคนไม่ดี เราอยากให้เธอจัดการเราแบบไม่ลังเลนะ” แต่สโนไวท์ก็แค่เอียงศีรษะอย่างสับสน
☆ แซลลี่ ราเว็น
แซลลี่พาไซคีเข้ามาในคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆเช่นเคย แต่ในวันนี้พวกเธอนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง ที่นั่งตรงระเบียงนั้นไม่ต้องไปพูดถึง —เธออยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองดูเด่นมากเท่าที่เป็นไปได้และเลือกสถานที่ที่ห่างจากสายตาคนที่สอดรู้สอดเห็น ที่ที่เสียงของพวกเธอจะไม่เล็ดลอดออกไป
“ถ้าเธอคิดแบบนั้น พวกเราก็ไปห้องคาราโอเกะ” ไซคีพูด
“แต่ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราก็ต้องร้องเพลงสิคะ” แซลลี่ตอบ “เราอยากให้ไซคีได้ฟังเพลง คิวตี้ฮีลเลอร์ ของเราด้วย แต่เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน อือออ?”
ไซคีพึมพำอะไรบางอย่างออกมาในตอนที่เธอดึงเอาบลูเรย์สามแผ่นออกมาจากกระเป๋านักเรียน แซลลี่เองก็ดึงเอาแผ่นบลูเรย์ที่ต่างกันออกมาสามแผ่น ซึ่งเธอก็แลกมันกับไซคี
“แหม ซีรี่ย์นี้ดีจังเลย อือออ ว่าไหมคะ?” แซลลี่พูด
“พอคิดว่ามันยังไปได้อีกไกลก็บ้าดีเหมือนกัน”
“เราอิจฉาไซคีจังที่ยังมีซีรีย์ที่ยังไม่ได้ดูอีกตั้งเยอะ”
“นี่เธอชวนชั้นมาเพื่อคุยเรื่องนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ… สโนไวท์ย้ายเข้ามาในห้องของเรานี่?”
ไซคีพยักหน้า ท่าทางของดูขมขื่นราวกับไม่ค่อยพอใจ “น่ารำคาญ… ให้ตายสิ… ทนยัยนั่นไม่ไหว…”
“ไซคีเกลียดเธองั้นเหรอคะ? ในฐานะฟรีแลนซ์แล้วก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเธองั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ ฟรีแลนซ์ทุกคนน่ะมีความรู้สึกผิดชอบในระดับนึงอยู่แล้ว ชั้นปล่อยให้เธอมาสอดแนมพวกเราไม่ได้ พูดตรงๆเลยคือ มันแย่พอที่ชั้นคิดจะออกจากโรงเรียนไปซักพักด้วย…”
“อ๊ะ อย่าทำแบบนั้นเลยค่ะ เราเหงานะ อือออ”
ไซคีเดาะลิ้น จิบชาแล้วก็กลืนลงไปด้วยท่าทางที่ดูไร้มารยาท แต่เมื่อรู้ว่าแก้วชาของตัวเองว่างเปล่า เธอก็ทุบลงไปที่จานรอง แซลลี่คิดว่าไซคีกำลังพยายามซ่อนความเขินอายของตัวเอง
“เราเองก็อยากถามไซคีในฐานะฟรีแลนซ์ที่มีประสบการณ์เหมือนกันค่ะ ไซคีรู้จักสโนไวท์มากแค่ไหนเหรอ?”
ไซคีหยิบมีดขึ้นมาแล้วก็หั่นแพนเค้กเป็นเป็นแนวตั้ง เธอมองขึ้นมาที่แซลลี่พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่อยู่บนริมฝีปาก “ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์มีเรื่องสกปรกที่ไม่อยากให้คนนอกรู้อยู่ไม่ใช่รึไง?”
“ขอร้องล่ะค่ะ เราเป็นแค่ชนชั้นแรงงานเอง เพราะแบบนั้นเราก็เลยไม่ได้รู้เรื่องสกปรกอะไรเลย แต่เราก็พูดไม่ได้ว่าในฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ได้มีเรื่องแบบนั้นอยู่เลยย อือออ นักล่าเมจิคัลเกิร์ล สโนไวท์ นั้นโด่งดังมากพอที่จะถูกบรรจุเอาไว้ในตำราเรียน ดังนั้นมันก็ต้องมีข้อมูลที่ไซคีรู้ใช่ไหมล่ะคะ?”
“ใช่ว่าชั้นจะรู้อะไรมากซักที่ไหน… แค่เรื่องที่ได้ยินคนพูดมา” ไซคีกำลังฟังพร้อมจิ้มแพนเค้กของตัวเองและพยักหน้าตามไปด้วย เธอบอกว่าตัวเองได้ยินมา แต่อย่างน้อยที่สุดเรื่องราวของเธอมันก็น่าจะสมจริงมากกว่าเรื่องราวของความกล้าที่อยู่ในตำราเรียน
แซลลี่ม้วนเส้นพาสต้าไปรอบๆด้วยส้อมแล้วก็เสียบเข้าไปที่มะเขือเทศเชอร์รี่ เอาทั้งหมดใส่เข้าไปในปากแบบรวดเดียว “เธอนั้นเอาจริงกับพวกคนเลวมาก อือออ แต่ก็ดูค่อนข้างต่างจากที่คิดไว้นะ”
“อาจจะเป็นการแกล้งทำก็ได้”
“บางทีนะ อือออ เราแน่ใจว่าต้องแข็งแกร่งกว่าที่เห็น ปกติแล้วก็จะพยายามปิดบังเอาไว้ด้วย”
“ก็นะ ในอีกแง่หนึ่ง…” ไซคีเอาแพนเค้กชิ้นเล็กๆซับไซรัปที่อยู่บนจาน
พอได้เห็นแพนเค้กที่ชุ่มไปด้วยไซรัป แซลลี่ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอคิดว่า บางทีก็ควรทำแบบนั้นบ้าง
“บางทีคนที่เธอไล่ตามอาจจะไม่ใช่พวกเราก็ได้” ไซคีพูด
“คิดแบบนั้นเหรอคะ?”
“ชั้นเองก็ไปตรวจสอบอะไรมาหลายๆอย่าง”
“หือ? กำลังทำเรื่องแบบนั้นอยู่งั้นเหรอคะ อือออ?”
“ชั้นไปถามคนที่รู้จักและตรวจสอบอะไรรอบๆอาคารเรียนอยู่พักนึง… แถมมันก็ยังมีคนที่น่าสงสัยกว่าที่อยู่ในห้องเรียนของพวกเราด้วย”
นั่นก็คือคานะ คนที่เป็นอดีตนักโทษ รันยุยและดิโกะ คนที่แอบไปไหนมาไหนในหลายๆที่ แล้วก็ไลท์นิ่ง —ใครกันที่จะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่? ห้องเรียนของพวกเธอมันเต็มไปด้วยนักเรียนที่น่าสงสัย
“ชั้นเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอาจารย์ใหญ่ด้วย” ไซคีพูด “มันน่าสงสัยสุดๆเลยล่ะ แถมมาจากฝ่ายข้อมูลด้วยใช่ไหม? แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องอันตราย”
“ฝ่ายข้อมูลนี่ไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“แหงสิ”
“ถ้าอาจารย์คือเป้าหมายของเธอ แบบนั้นพวกเราก็อาจจะลงเอยด้วยการไม่มีห้องเรียนอยู่อีกก็ได้ อือออ”
“ก็นะ ถ้าเรื่องมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วพวกเราก็แค่ยอมแพ้ จะจัดปาร์ตี้อำลาแล้วก็สุมหัวนินทาสนุกๆเรื่องอาจารย์ใหญ่ก็ได้”
จากคำพูดนี้ของไซคีมันทำให้แซลลี่กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เมื่อไซคีเริ่มทำหน้าบูดบึ้ง แซลลี่ก็ยกมือขึ้นและพูดว่า “ไม่เอาสิคะ” เพื่อเป็นการปลอบเธอ เธอไม่ได้พยายามจะหัวเราะเยาะไซคี “เราแค่คิดว่าไซคีคิดอะไรหลายเรื่องอยู่จริงๆค่ะ มันดูเหมือนเหมือนว่าไซคีคิดอะไรอยู่เยอะ เราก็เลยเป็นห่วง”
“หา? ชั้นก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ”
“นั่นสินะคะ การที่กิ๊บหนีบผมเบี้ยวเล็กน้อย แถมริมฝีปากยังมันเกินไปหน่อยจากลิปบาล์ม เราก็เลยคิดว่าริมฝีปากของไซคีมันต้องแห้งมากแน่ๆเลย”
ไซคีพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็หมุนส้อมก่อนที่จะวางลงไปบนจาน “เธอจับตาดูชั้นสินะ”
“ก็ใช่สิคะ”
“พลังการสังเกตของเธอนี่มันน่าขยะแขยง” ไซคีสบถคำสาปแช่งออกมาราวกับว่ากำลังร่ายเวทมนตร์สาปแช่งอยู่
แซลลี่รู้สึกโล่งอกเป็นการส่วนตัว หากไซคีทำตัวแบบนี้ มันก็แสดงว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
☆ รันยุย
อารมณ์ของรันยุยมันบิดไปมาอย่างยุ่งเหยิงจนประทั่งเธอมีกำหนดที่จะออกจากโรงพยาบาล การเสริมคำว่า “บิดไปมา” เข้ากับ “ยุ่งเหยิง” ปกติแล้วดูไม่ค่อยดีนัก แต่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งเหยิงแบบธรรมดา —มันปิดไปมาอย่างยุ่งเหยิงจริงๆ
เธอรู้สึกอับอายที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ลงเอยด้วยการเข้าโรงพยาบาลแล้วก็รู้สึกโล่งอกที่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นปลอดภัย แต่เมื่อเธอลองคิดใหม่ เธอไม่ได้รู้สึกโล่งอกเกี่ยวกับสมาชิกของกลุ่มอื่น เธอรู้สึกโล่งอกที่สมาชิกในกลุ่มของเธอนั้นปลอดภัย จากนั้นเธอก็ได้รับรายงานจากดิโกะว่านักล่าเมจิคัลเกิร์ล สโนไวท์ ได้ย้ายเข้ามาในห้องเรียน และเธอก็อ่านจดหมายที่ส่งมาด้วยความปรารถนาดีจากอาจารย์ของเธอแบบซ้ำๆ —จดหมายจากลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่ง ที่ในตอนนี้ถูกเรียกว่าโอลด์ บลู จากตัวอักษรอันสวยงามที่เพียงแค่ได้อ่านมันก็รู้สึกใจนั้น จดหมายมันแสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงรันยุยและความดีใจที่รู้ว่าเธอไม่เป็นอะไร ในขณะที่มีคำขอโทษร่วมอยู่ด้วย มันบอกว่าต้องกลับไปทำหน้าที่ต่อแล้ว
แต่ความสุขของรันยุยไม่ได้คงอยู่ไปตลอด แม้ว่าจะเป็นหลังจากที่อ่านจดหมาย —ยิ่งเธออ่านมันมากเท่าไหร่ ความตื่นตระหนกของเธอมันก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้นเท่านั้น รันยุยต้องกลับไปในห้องเรียน มิเช่นนั้นกลุ่มสามก็จะขาดนักสู้ไปหนึ่งคน กำลังที่อาจารย์จะส่งมาก็คงไม่เพียงพอ
ในตอนที่เธอกำลังกระวนกระวายและรู้สึกว่าต้องกลับไปในทันทีนั้น เวลาก็ผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน และในที่สุด ก่อนวันที่เธอจะออกจากโรงพยาบาลก็มีคนมาเยี่ยม คนที่มานั้นไม่ใช่อาจารย์ของเธอ แต่เป็นดิโกะกับอีกหนึ่งคน ดิโกะมาเยี่ยมเธอทุกวันอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้แปลกอะไรที่เธอจะเข้ามาคุยเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่คนที่มาด้วยนั้นค่อนข้างที่จะคาดไม่ถึง เธอคือปรินเซสไลท์นิ่ง
เธอเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยตามหลังดิโกะราวกับว่าไม่มีอะไร ยิ้มแล้วก็พูดออกมา “ไม่ได้เจอกันพักนึงเลยนะ” รอยยิ้มนั้นทำให้รันยุยใจชื้นและรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข แต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยความสับสนในทันที เจ้าของโรงพยาบาลนี้คือผู้สนับสนุนของรันยุยและดิโกะ หน่วยวิจัยและพัฒนา และรันยุยก็ยกเหตุผลบางอย่างขึ้นมาเพื่อปฎิเสธเพื่อนร่วมห้องคนอื่นที่จะเข้ามาเยี่ยมนอกจากดิโกะ
แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ปรินเซสไลท์นิ่งก็อยู่ที่นี่ในชุดนักเรียน
รันยุยมองไปที่ดิโกะ เธอยืนอยู่ด้วยท่าทางองอาจแบบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ท่าทางไร้อารมณ์บนใบหน้าเองก็ยังคงเหมือนเดิม มันดูไม่เหมือนว่าเธอถูกบังคับจากการรบเร้าของไลท์นิ่ง ดิโกะเป็นคนประเภทที่ปฎิเสธการทำเรื่องแบบนั้นมาตั้งแต่แรก —แม้ว่าจะเป็นไลท์นิ่งก็ตาม
“ไม่ต้องสับสนอะไรหรอก” ไลท์นิ่งพูด
รันยุยตระหนักได้ว่าเธอพลาดที่จะปกปิดความรู้สึกของตัวเอง เธอยกมือขึ้นมาปิดปากและไอออกมาอย่างจงใจสองสามครั้ง
ไลท์นิ่งยกกล่องสีขาวในมือขวาขึ้นด้วยท่าทางที่สง่างามราวกับรูปปั้นเทพธิดาที่อยู่ในหนังสือศิลปะ ภายในกล่องนั้นมีขวดโหลใส่พุดดิ้ง —ทั้งหมดสิบสองขวด ไลท์นิ่งหยิบออกมาหนึ่งขวดทันทีและกางเก้าอี้พับด้วยท่าทางที่สง่างามในอีกรูปแบบหนึ่ง เธอนั่งลงไป เปิดซีลที่ปิดขวดโหลพุดดิ้งเอาไว้ จับช้อนพลาสติก จากนั้นก็ตักเนื้อพุดดิ้งออกมาแล้วใส่เข้าไปในปาก การกระทำทุกอย่างของไลท์นิ่งมันทำให้ใบหน้าของรันยุยมีรอยยิ้ม
“ฉันคุยเรื่องนี้กับดิโกะไปแล้ว… แต่ฉันคิดว่าพวกเราคงยกขึ้นมาพูดอีกครั้งใช่ไหม?” ไลท์นิ่งพูด
ดิโกะที่ยืนอยู่ด้านหลังไลท์นิ่งในแนวทแยงและกำลังกอดอกนั้นพยักหน้าด้วยท่าทางไร้อารมณ์
ไลท์นิ่งเอนศอกลงไปที่พนักพิงของเก้าอี้ในตำแหน่งที่ดูไม่สุภาพเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางดิโกะด้วยท่าทางไม่เต็มใจที่อยู่บนใบหน้า รันยุยจ้องเขม็งไปที่ผิวสีซีดตรงท้ายทอยที่โผล่ออกมาจากด้านหลังเส้นผมของไลท์นิ่งก่อนที่จะรีบวางท่าจริงจังในทันที
“มีเรื่องบางอย่างที่พวกเรายังไม่ได้บอก” ไลท์นิ่งเริ่มพูด
“อะ เอ่อ… อะไรล่ะ?” รันยุยถาม
“ตอนนี้มัธยมต้นอุเมะมิซากิกำลังมีอะไรซักอย่างที่เรียกว่างานเทศกาลสถาปนาอยู่ ทางนั้นขยันขันแข็งทำอะไรกันจนกระทั่งดึกดื่น”
“เอ๋ งั้นเหรอ? เดี๋ยวสิ —ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“แล้วก็ ฉันเองก็ถูกโอลด์ บลูสั่งมาว่าให้เข้าร่วมห้องเรียนด้วย โอ๊ะ เธอรู้ใช่ไหมว่าโอลด์ บลูคือใครน่ะ? ก่อนหน้านี้เธอชื่อลาพิส ลาซูไลน์”
“เอ่อ… อื้อ… ใช่… ฉันรู้จัก”
ท่าทางจริงจังของรันยุยมันหายไปในทันที ใบหน้าของเธอบิดไปมาด้วยความช็อค มันไม่ใช่เรื่องน่าเหลือเชื่อที่จะรู้ แต่การที่ได้ยินออกมาตรงๆจากปากมันทำให้รู้สึกประหลาดใจ แถมการที่ไลท์นิ่งมาโรงพยาบาลพร้อมกับดิโกะก็คือเหตุผลยืนยันเรื่องที่เธอพูดอีกด้วย รันยุยขยับแค่ดวงตาไปมองดิโกะและก็เห็นดิโกะพยักหน้าอย่างเงียบๆ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก
แน่นอนว่ามันทำให้รันยุยรู้สึกช็อค เธอหวังว่าอาจารย์จะบอกเธอในเรื่องนี้ แต่มันก็คงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงบ่นอะไรไม่ได้ หากจะมีอะไรล่ะก็ บางทีก็เธอก็ควรจะดีใจกับเรื่องนี้ —เนื่องจากว่าไลท์นิ่งเป็นพวกเดียวกันกับเธอ
“เอ่อ… นั่นเรื่องดีใช่ไหม?” รันยุยถาม
“ใช่สิ” ไลท์นิ่งตอบ
“ไลท์นิ่ง เธอไม่ใช่แคนดิเดทของลาซูไลน์ใช่ไหม? เธอเป็น… นักรบรับจ้างงั้นเหรอ?”
“ไม่ ฉันเป็นคนของทางองค์กร —ซึ่งคือหน่วยวิจัยและพัฒนา ไม่ใช่ลาซูไลน์ เห็นไหม ฉันน่ะเป็นคนของทางองค์กรมาตั้งแต่แรก ฉันคิดว่าเธอเชื่อฉันได้มากกว่าพวกนักรบรับจ้างนะ”
“ใช่สิ ฉันเชื่อ แต่ทำเธอถึงมาบอกฉันเอาตอนนี้ล่ะ?”
“เรื่องนั้น —มันเกี่ยวกับโอลด์ บลู…”
การที่ไลท์นิ่งพูดว่า “โอลด์ บลู” มันไม่ใช่ทั้งเรื่องความคุ้นเคยหรือความนับถือ เธอแตกต่างจากแคนดิเดทของลาซูไลน์จริงๆ แน่นอนว่ารันยุยรู้ว่าอาจารย์ของตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับทางหน่วยวิจัยและพัฒนาอย่างลึกซึ้ง แต่เธอก็ไม่รู้ว่าอาจารย์นั้นทำงานแบบไหนโดยเฉพาะ เธอไม่รู้จักจอมเวทหรือเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่ทำงานที่นั่น และมันก็ไม่ได้แปลกอะไรที่เธอไม่ได้รู้จักไลท์นิ่งเช่นกัน
“แผนการมันเปลี่ยนเล็กน้อย แทนที่เป้าหมายหลักของพวกเราจะเป็นการขโมยวัตถุโบราณออกมาจากสถานโบราณ เธอบอกว่าอยากให้พวกเราเน้นไปยังเรื่องการป้องกันฝ่ายแคสปาร์… สิ่งที่กลุ่มสองพยายามจะทำ”
“เปลี่ยนแผน? ฉันไม่ได้ยินเรื่องนี้เลยนะ”
“สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว สโนไวท์ —เธอปรากฎตัวออกมา ฉันผิดหวังนะที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากอะไร— แต่ถ้ามองจากอีกมุม การที่เธอสามารถเป็นนักล่าเมจิคัลเกิร์ลได้ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้แข็งแกร่ง แบบนั้นมันก็หมายความว่าเธอเป็นคนที่น่ากลัว การขโมยวัตถุโบราณจะทำให้พวกเรากลายเป็นขโมยและทำให้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับเธอใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าพวกเราทำการขัดขวางเป็นหลัก แบบนั้นก็หมายความว่าพวกเราอยู่ข้างเดียวกับเธอ” ไลท์นิ่งใช้นิ้วชี้แตะลงไปที่หน้าผาก “เห็นได้ชัดนะว่าเธอไม่ได้ดูน่าเหลือเชื่อเหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในตำราเรียน แต่เธอสามารถอ่านใจได้ ความทรงจำของฉันเองก็ยังเคยโดนลบออกอย่างรวดเร็วก่อนที่สโนไวท์จะย้ายเข้ามาด้วย”
รันยุยกำหมัดแน่น เหงื่อของเธอไหลออกมาจากความเครียด ไลท์นิ่งพูดถึงหัวข้อหนักหน่วงตามปกติเหมือนกับการทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน
บางทีอาจจะเป็นเวทมนตร์ของลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สาม หากรุ่นที่สามใช้เวทมนตร์กับไลท์นิ่ง นั่นก็แสดงว่าไลท์นิ่งนั้นใกล้เคียงกับข้อมูลที่เป็นความลับ
ไลท์นิ่งค่อนข้างกล้าหาญที่จะปล่อยให้ความทรงทำของตัวเองถูกเอาออกไป แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความทรงจำที่เป็นส่วนสั้นๆก็ตาม ตัวของรันยุยรู้สึกละอายใจที่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับแผนการลบความทรงจำของพวกเดียวกัน
“ทางนั้นบางทีอาจจะลงมือเพราะว่าไม่อยากให้อะไรบางอย่างออกไป แต่เธอไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยเหรอ? ฉันจำไม่ได้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นก็เลยคิดว่ามันคงไม่ได้สำคัญอะไรนัก อ๊ะ ยกเว้นเรื่องที่โรงเรียนของฉันเหมือนว่าจะไม่ได้เอาอะไรออกไป ฉันก็เลยไม่ได้ลืมพวกเธอไง”
“ใช่”
“ฉันว่าทางนั้นคงไม่ทำถึงขั้นนั้นกับพวกเธอสองคนหรอก ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง แต่เธอไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความลับกับโอลด์ บลูได้อีกแล้ว จำเรื่องนี้ไว้ด้วย”
รันยุยไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความลับมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บ่นอะไร แต่เธอก็พยักหน้าออกมา
“เดิมที” ไลท์นิ่งพูดต่อ “มันมีแค่ฉัน เธอ แล้วก็ดิโกะ แผนที่จะพาพวกเราเข้ามาในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลจากทั้งสองทิศทาง… ด้วยการให้พวกเธอสองคนสืบสวนแล้วก็ฉันที่ก่อความรุนแรง”
“หมายถึง… เหมือนกับตอนที่สู้กับอาเดลไฮลด์ในคืนวันก่อนใช่ไหม?” รันยุยถามในขณะที่มองตรงไปหาดิโกะ เธอไม่ได้ตอบสนองอะไรนัก บางทีรันยุยไม่ควรที่จะถามออกไป
คิ้วของไลท์นิ่งย่นเล็กน้อยในตอนที่เธอเอาช้อนเข้าปาก “ใช่ ก็เป็นส่วนหนึ่ง”
การให้กลุ่มหนึ่งยืมมีดสั้นในการฝึกซ้อมการต่อสู้กับกลุ่มสองเองก็เป็นการใช้ความรุนแรงแบบหนึ่ง พอมาถึงจุดนี้มันก็สามารถทำความเข้าใจได้ มันสมเหตุสมผลในหลายๆเรื่อง และยิ่งไปกว่านั้น รันยุยรู้สึกยินดีและดีใจที่มีไลท์นิ่งเป็นพรรคพวกที่แข็งแกร่งที่สามารถพึ่งพาได้ การเปิดเผยว่าตัวเองดีใจมากเกินไปอาจจะทำให้ไลท์นิ่งดูถูกเธอเอาได้ แต่เธอก็ยังไม่อยากให้ไลท์นิ่งคิดว่าเธอไม่ได้รู้สึกดีใจเลย ดังนั้นเธอจึงปรบมือด้วยท่าทางที่เธอหวังว่าจะดูมีความสุขเล็กน้อยออกมา
“อ๋า ฉันดีใจจัง การมีพรรคพวกเพิ่มนี่มันดีสุดๆเลย ฉันเองก็แน่ใจว่าหวังพึ่งเธอได้นะ ไลท์นิ่ง”
ความดีใจของรันยุยส่งผ่านไปถึงพุดดิ้งและที่อยู่ในมือของเธอมันว่างเปล่าแล้ว เธอจึงวางขวดโหลลงบนโต๊ะ เอามือสอดเข้าไปในกล่องเพื่อที่จะเอาพุดดิ้งออกมา แต่ก็พบว่าน้ำหนักนั้นมันเบามาก รันยุยนึงมองเข้าไปในกล้องแล้วก็พบว่าพุดดิ้งทั้งหมดหายไปแล้ว
“ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กิน ฉันก็เลยคิดว่าเธอคงไม่ต้องการแล้ว” ไลท์นิ่งประสานมือเข้าหากัน นี่เป็นการขอโทษหรือการที่จะบอกว่า ‘ขอบคุณสำหรับอาหาร’ กันนะ?
รันยุยยิ้มออกมาแล้วก็พยักหน้า เมื่อเธอมองไปยังดิโกะ ดิโกะก็กำลังตักพุดดิ้งขึ้นมาจากโหลแก้วด้วยช้อนในมือขวาและเอาใส่เข้าไปในปาก ดูเหมือนว่าเธอจะเก็บส่วนของตัวเองเอาไว้ก่อนที่ไลท์นิ่งจะกินมันไปทั้งหมด
“จริงสิ” ไลท์นิ่งพูดออกมา “ดิโกะหลุดปากเรื่องที่เธอจะออกจากโรงพยาบาลด้วย”
รันยุยมองไปที่ดิโกะ คนที่หันสายตาไปทางอื่นและกำลังทำท่าทางประหลาดแบบอัติโนมัติ
ไลท์นิ่งซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ เหมือนว่าจะรู้สึกตลกกับการตอบสนองของดิโกะ “ทุกคนดีใจนะ โดรี่กับอาร์ลี่ถึงกับกระโดดโลดเต้นเลย เธอนี่เป็นที่ชื่นชอบน่าดูนะ รันยุย”
รันยุยรู้ว่าตัวเองกำลังอายและหวังว่าสีที่แก้มของเธอจะไม่มีมากไปกว่าสีชมพูจางๆที่จะทำให้อายมากขึ้นไปกว่านั้น เธอเกาศีรษะแล้วก็หัวเราะออกมา
☆ 0 ลูลู (เลิฟ ลูลู)
“ยอดเลย ยอดเลย เธอทำได้ดีมากเลยนะ”
พูดตรงๆแล้ว เธอคิดว่ามันไม่ได้ดีอะไรเลย แต่เธอก็เก็บความคิดนั้นไว้แล้วก็พูดชื่นชมพร้อมกับปรบมือออกมาแทนที่
แต่ริปเปิล เมจิคัลเกิร์ลที่เธอเพิ่งจะพูดชมไปนั้น ไม่ได้กระดิกอะไรเลยซักนิดเดียว ไม่แม้กระทั่งลืมตาในตอนที่นอนอยู่บนเตียง ตัวของเธอเต็มไปด้วยพันผ้าพันแผลเหมือนกับเป็นมัมมี่ —ผ้าพันแผลเวทมนตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษา— และ 0 ลูลูรู้ว่าริปเปิลรับรู้ในเรื่องที่เธอพูด โดยทั่วไปแล้ว ริปเปิลก็แค่เมินเธออยู่นั่นเอง
รอยยิ้มของลูลูค่อยๆกลายเป็นในหน้าที่ขมขื่น หากริปเปิลไม่ได้จะมองมาที่เธอ แบบนั้นมันก็ไม่สำคัญว่าท่าทางของเธอจะเป็นแบบไหน
“พวกเราควรจะย้ายเธอไปที่ที่ดีกว่านี้นะ แต่ตอนนี้ก็อดทนไปก่อน ไม่นานหรอก ในตอนนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือต้องซ่อนตัวเอาไว้ บางทีนี่อาจจะไม่ได้ช่วยก็จริง แต่ฉันเอายามาด้วยเยอะแยะเลย เพราะแบบนี้การรักษาก็เลยจะใช้เวลาไม่นาน แล้วฉันก็จะใช้เวทมนตร์กับเธอด้วย โอเคนะ?”
ริปเปิลไม่ได้ตอบสนองอะไร
คิ้วของลูลูยังคงขมวดในตอนที่มองไปรอบๆ ในห้องของโรงแรมที่มืดสลัวที่ผ้าม่านถูกปิดเอาไว้นี้มันรู้สึกแคบแม้ว่าจะมีพวกเธออยู่ในห้องแค่สองคนก็ตาม แต่ความเงียบของริปเปิลก็ไม่ได้บ่นอะไรเรื่องของสถานที่
ลูลูรู้สึกรำคาญมากขึ้น ความประทับใจแรกของเธอว่าไม่สามารถเข้ากันได้กับคนๆนี้ยังคงไม่ได้เปลี่ยนไป
ริปเปิลได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยปกติแล้ว เธอจะถูกส่งตรงไปยังโรงพยาบาล หรืออย่างน้อยก็ไปยังหน่วยวิจัยและพัฒนา แต่ในตอนนี้พวกเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สายตาของเฟรเดริก้าและฝ่ายแคสปาร์จับจ้องไปทั่วทุกที่ และมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเชื่อใจได้ จากทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ในการที่จะออกปฎิบัติการในฐานะคนที่ทำหน้าที่โจมตีนั้น ลูลูและพวกต้องรักษาความลับและความระวัดระวังเอาไว้สูงสุด
การกำจัดนักสู้สามคนได้ด้วยตัวคนเดียวเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ริปเปิลก็คงแสดงท่าทีถึงความสำเร็จออกมาอย่างหยิ่งผยอง แต่มันก็เป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บมากขนาดนี้ด้วย นี่ไม่ใช่บาดแผลแห่งเกียรติยศ ริปเปิลได้รับบาดเจ็บอย่างไม่จำเป็นเพราะว่าทำเรื่องอย่างการหลีกเลี่ยงการฆ่าทั้งๆที่จะทำแบบนั้นก็ไม่เป็นอะไร ในขณะเดียวกัน ริปเปิลไม่ได้รับแม้แต่รอยขีดข่วนในตอนที่ลูลูช่วยเธอจัดการคิมิเอระ
แต่มันก็…
ใช่ พอคิดดูในตอนนี้ มันก็คือจุดเปลี่ยน เธอรู้สึกว่าตั้งแต่ตอนนั้น ท่าทางของริปเปิลก็แข็งกระด้างมากจนกลายเป็นดื้นรั้น ริปเปิลโจมตีคิมิเอระและลูลูเป็นคนที่ปิดฉากคือภาพอันสวยงามของทีมเวิร์คที่ทุกอย่างไม่ได้ตระเตรียมกันมาก่อน แต่ริปเปิลก็โมโหที่เธอจัดการอีกฝ่าย รปิเปิลบอกว่าจากนี้ไปจะลงมือด้วยตัวคนเดียว ลูลูมองริปเปิลด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วก็บอกว่าเรื่องนั้นมันเป็นไม่ได้หรอก เพราะมีแต่ริปเปิลคนเดียวจะจับกุมคนมากกว่าสองคนโดยที่ไม่ได้ฆ่าอีกฝ่าย เธอพูดชมริปเปิลเรื่องนั้นไปเล็กน้อย แต่ริปเปิลก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
ในตอนแรก ลูลูก็รู้สึกหงุดหงิดกับริปเปิล พวกเธออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่า มันต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในตอนที่ศัตรูคือคนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ และยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนั้นคือวายร้ายที่ฆ่าคนมาเป็นจำเป็นมากเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง คนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีเมตตาด้วย สำหรับริปเปิลแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลเลยที่จะมาโกรธเธอที่ฆ่าไปหนึ่งคนเลย
เรื่องแรกของริปเปิลที่ลูลูรู้สึกก็คือ เธอจะบั่นทอนตัวเองลงไปจนเหลือแต่สิ่งสำคัญ นั่นคือเธอเข้มงวดกับตัวเองและกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป —และมันก็มีเรื่องโหดร้ายและน่าเศร้าเกี่ยวกับเธออีก แสงในดวงตาของเธอนั้นแข็งกร้าวและรุนแรงราวกับสัตว์ป่า 0 ลูลูไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเป็นคนอ่อนโยนที่เกลียดการฆ่า
เรื่องต่อไปที่ลูลูหงุดหงิดก็คืออาจารย์ของเธอที่ไม่ได้อธิบายเรื่องนิสัยของริปเปิลอย่างถูกต้อง เธอบอกลูลูว่าให้ช่วยสนุบสนุนริปเปิลในการจัดการกองกำลังของเฟรเดริก้า อธิบายประวัติของริปเปิล ภาพรวมของเวทมนตร์และทักษะการต่อสู้ —แต่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ริปเปิลไม่ได้ชื่นชอบการฆ่า แล้วพอคิดถึงว่าตัวของริปเปิลดูเป็นยังไงแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะไม่คิดว่าเธอไม่ได้เป็นปีศาจแห่งการล้างแค้นผู้ไร้เมตตาหรือน่าสงสารเลย
ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งนั้นมีความสามารถมาก แต่เธอไม่ใช่คนดีในแง่ไหนเลย แคนดิเดทลาซูไลน์คนอื่นอย่างเช่นรันยุย คนที่ถูกมอบภารกิจให้แทรกซึมเข้าไปในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลนั้นยกย่องเธอเหมือนกับพระเจ้า —แต่เธอก็ไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด ไม่ใช่แม้กระทั่งคนดีด้วยซ้ำ เธอเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์และลึกลับ ลูลูคิดว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อเธอ จากนั้นก็โดนหักแล้วแล้วก็ร้องไห้พร้อมบอกว่าที่สัญญากันมันไม่ใช่แบบนี้
แต่กระนั้น…
ลูลูรู้สึกว่าอาจารย์ของเธอจงใจที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่ริปเปิลไม่ชอบการฆ่า
เวทมนตร์ของลูลูเกี่ยวข้องกับการใช้หิน ไม่ได้เป็นแบบที่สะดุดตาเหมือนกับลาซูไลน์รุ่นที่สองที่ใช้เทเลพอร์ท มันเป็นทักษะที่เรียบง่ายมากในการเพิ่มพลังของหินที่มีและทำให้เกิดผลกับคนอื่น หินสีขาวที่ไร้ค่าที่เธอเก็บเอาไว้ —หินจากดวงจันทร์ก้อนเล็กๆที่เป็นสัญลักษณ์ของ สุขภาพ — คือการเพิ่มพลังการฟื้นฟูตัวเองของริปเปิล ดูเหมือนว่าตัวของริปเปิลไม่ได้รู้เลยว่ากำลังถูกช่วยอยู่
หินที่เธอใช้ในตอนที่เข้าโจมตีคิมิเอระคือซิลลิมาไนต์สีขาวดำ ที่มีความหมายว่า การเตือน ทับทิมสีแดงสดหมายถึง อำนาจ และ ความสง่างาม และแทนซาไนต์สีม่วงน้ำเงินที่มีความหมายว่า คนที่มีความภาคภูมิใจ เธอผสมเข้ากับหินชนิดต่างๆอีกเล็กน้อยและทำการปรับแต่งมันอย่างดี ใส่เวทมนตร์เข้าไปไม่มากเพื่อทำให้ไม่มีใครสัมผัสถึงตัวหินได้ถ้าไม่ใช่คนที่มีประสาทสัมผัสไว แล้วก็ฝังมันเอาไว้ใต้พื้น เธอทำให้เฟรเดริก้าคิดถึงบุคคลแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อทำให้สับสน หากลูลูคลายเวทมนตร์ของเธอ มันก็จะไม่มีอะไรมากไปกว่าเม็ดทรายที่เหลืออยู่ ไม่มีพลังเวทมนตร์ที่จะให้สัมผัสถึง มันแม่นยำเพราะต้องละเอียดอ่อน เปราะบาง และเป็นเวทมนตร์ที่คลุมเครือ เธอจึงสามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจกับมันได้
เธอฝังภาพของพูคินเข้าไปในตัวเฟรเดริก้าเพื่อทำให้หวาดกลัวเงาของพูคิน ดังนั้นเธอจะไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่ตัวตนของนักฆ่าคนอื่นได้
หลังจากที่เฟรเดริก้าใช้ริปเปิลไปฆ่าพรีเมี่ยม ซาจิโกะและคลายเวทมนตร์ล้างสมองที่ใช้นั้น ลาซูไลน์รุ่นที่สามก็ได้เข้าหาริปเปิล ในตอนนั้น ริปเปิลเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเตรียมตัวที่จะฆ่าเฟรเดริก้า แต่รุ่นที่สามก็เอาความรู้สึกโกรธนั้นออกไป และเมื่อริปเปิลสูญเสียแรงขับเคลื่อนทั้งหมดของตัวเอง รุ่นที่สามก็รับเธอเข้าไปในการดูแล ซ่อนตัวของริปเปิลเอาในกระท่อมภายในที่รกร้าง แน่นอนว่า นี่คือตอนที่เธอไม่รู้ว่านี่คือการกระทำของฝ่านลาซูไลน์และหน่วยวิจัยและพัฒนา
เฟรเดริก้าได้แอบมองเข้ามาดูว่าริปเปิลทำอะไรอยู่หลายครั้ง แต่ภาพทุกครั้งที่เห็นนั้นก็คือริปเปิลที่นอนขดอยู่ตัวคนเดียว สูญเสียแรงกระตุ้นและพลังงานทั้งหมดไป จนในที่สุด เฟรเดริก้าคงตัดสินว่าริปเปิลไม่มีค่าอะไรอีกแล้วจึงหมดความสนใจและหยุดมองดูไป และหลังจากนั้นไม่นาน ริปเปิลและ 0 ก็เริ่มทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายจู่โจม
ลูลูไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีจุดประสงค์มากแค่ไหน แต่มันก็ชัดเจนว่ารุ่นที่หนึ่งคิดว่ามันสำคัญ ในตอนนี้เฟรเดริก้าระวังตัวเหมือนกับแมวชรา เธอยังคงจับตาการกระทำของลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งอยู่ —หากลาซูไลน์พยายามจะส่งใครซักคนออกไป แบบนั้นเฟรเดริก้าก็จะกำจัดทิ้งในทันที หากใช้หน่วยเล็กๆเข้าโจมตีเฟรเดริก้า เฟรเดริก้าก็จะหนีไปในทันที การมีอยู่ของหน่วยจู่โจมที่ไม่ถูกศัตรูล่วงรู้ถึงตัวตนมันคือโอกาสดีที่จะเป็นเรื่องที่ทำให้ถึงชีวิต
พวกเธอสร้างความเสียหายกับอาวุธเจ้าปัญหาที่เฟรเดริก้ามีอยู่ : พลังในการพิพากษา แม้จะเป็นความเสียหายเพียงเล็กน้อยแค่จุดเดียว ในตอนนี้มันก็มากพอแล้ว
MANGA DISCUSSION