ตอนที่ 20:
ไม่ได้วางแผน ไม่ได้คาดคิด
เมจิคัลเกิร์ลไม่ได้มีผมแม้แต่เส้นเดียวอยู่บนศีรษะ
เมจิคัลเกิร์ลหัวล้านนั้นมันผิดปกติ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินมาเลย มันมีสถานการณ์ที่หลากหลายที่อาจทำให้พวกเธอหัวล้านได้ : การมีศรัทธาในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์จนเส้นผมทั้งหมดถูกเผาไหม้หรือร่วงลงไป ไม่ก็โกนออกเพื่อป้องการถูกโจมตีโดยเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้เส้นผมของคนอื่นเป็นอาวุธ และมันยังมีอีกกรณีหนึ่งที่พวกเธออาจจะโกนหัวของตัวเอง —เพื่อแสดงถึงการขอโทษ
เมจิคัลเกิร์ลคนแรกมีโลโก้ของร้านเค้กชื่อดังติดอยู่ที่กระเป๋าที่กำลังถืออยู่ที่มือ เมจิคัลเกิร์ลคนที่สองมีกล่องที่ห่อด้วยกระดาษจากร้านขายขนมหวานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงห้อยลงมาจากมือ และเมจิคัลเกิร์ลคนที่สามที่ถือแฟ้มกระดาษอยู่ใต้วงแขนจ่าหน้าเอาไว้ว่า ขออภัย เพื่อดึงดูดความสนใจ ทุกคนนั้นกำลังก้มหน้าลงพร้อมกับท่าทางที่มืดมน เดินไปอย่างเงียบๆตามโถงทางเดินราวกับกำลังแห่ศพจนกระทั่งทั้งสามคนมายืนเรียงเป็นแถวที่หน้าประตู
สายตาของทั้งสามคนมองไปที่ป้ายบนประตู แต่ละคนต่างก็นิ่วหน้าไม่ก็เดาะลิ้น
“นี่มันหมายความว่ายังไงเนี่ย ไม่อยู่ออฟฟิสชั่วคราวงั้นเหรอ?! มรดก? เกาะ? ใครมันสนกันเล่า! รู้หน่อยสิว่าตอนไหนที่ไม่ควรออกไปข้างนอกน่ะ ตาแก่!”
“นี่เธอคิดว่าฉันต่อแถวเพื่อซื้อมองบลังค์ที่ขายตามฤดูแบบจำกัดจำนวนจากร้านอาเธน่า เวฟนานแค่ไหนล่ะ?”
“แย่ที่สุด! ฉันเขียนวันที่ลงไปบนจดหมายขออภัยแล้วด้วย!”
ต่างคนต่างก็ถอดวิกผมหัวล้านออกเพื่อพัดใส่ตัวเองด้วยมือเหมือนกับว่ารู้สึกร้อน ไม่ก็ทุบวิกเหมือนว่าหงุดหงิด ทั้งสามคนต่างสาปแช่งเจ้าของห้องอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางของพวกเธอก็ค่อยๆสงบลงจนกระทั่งใบหน้าและน้ำเสียงกลายเป็นสงบนิ่งและใจเย็น จากนั้นพวกเธอก็สุมหัวกันตรงโถงทางเดินที่ว่างเปล่า
“เฮ้อ ช่างเถอะ ใช่ว่าแผนของพวกเราล้มเหลวซีกหน่อย พวกเราแค่ยังทำไม่เสร็จเอง”
“แผนมันยอดสุดๆเลยนะที่แสร้งว่าสำนึกผิดแล้ว และก็มาที่ออฟฟิสของหัวหน้าฝ่ายจัดการเพื่อที่จะเปิดฉากจากภายใน”
“ตาลุงแก่ๆน่ะแพ้น้ำตาผู้หญิงทั้งนั้นแหละ ถึงหน้าของหัวหน้าฝ่ายจัดการจะบึ้งตึงแบบนั้น แต่ข้างในมันก็เหมือนกันหมด ถ้าแผนนี้มันเป็นไปได้ด้วยดีล่ะก็ แบบนั้นพวกเราก็จะกลายเป็นคนที่สามารถโจรกรรมข้อมูลได้สำเร็จ แล้วพวกเราก็จะได้โด่งดังเท่ากับนักล่าเมจิคัลเกิร์ล พอเป็นแบบนั้นแล้วมันก็จะมีงานเยอะแยะ—”
เมจิคัลเกิร์ลทั้งสามคนที่หมกมุ่นอยู่กับการก่ออาชญากรรมแบบลับๆของพวกเธอนั้นไม่ได้รู้ว่าที่ประตูห้องของหัวหน้าฝ่ายจัดการมีแสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้นแล้วก็บิดไปมา หลุมที่เปิดออกมีขนาดเท่ากับศีรษะมนุษย์ และก่อนที่เมจิคัลเกิร์ลจะทันได้ตอบสนอง พวกเธอก็ถูกดึงเข้าไปหาและถูกดูดเข้าไป มีเสียงกรีดร้องดังออกมา และเมื่อเกิดการบิดอีกครั้ง หลุมมันก็หายไปราวกับว่าไม่เคยมีอยู่ที่นี่มาก่อน มันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากวิกหัวล้านที่หล่นอยู่
เมจิคัลเกิร์ลที่แอบมองอยู่หลังเสาตัวสั่น หุ่นเชิดที่ไม่มีใบหน้าที่อยู่ในมือขวานั้นก็สั่นไปด้วยเหมือนกับเจ้าของ “น่ากลัว… ฝ่ายจัดการนี่น่ากลัวเหมือนกับที่ข่าวลือบอกเลย”
เมจิคัลเกิร์ลที่มีใบหน้าตกกระเอนตัวออกจากด้านหลังมาด้านหน้าเพื่อมองดูสิ่งต่างๆแล้วก็ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก กับดักน่ะบางทีอาจจะเปิดใช้งานแค่สำหรับคนที่มีความตั้งใจไม่ดี พวกเราน่ะมีความตั้งใจดีกับหัวหน้าฝ่าย ดังนั้นถ้าเข้าใกล้มันก็ไม่ควรจะเกิดอะไร… แต่ก็นะ พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องตอนที่เขาไม่อยู่หรอก” พอพูดแบบนั้นแล้ว เมจิคัลเกิร์ลหน้าตกกระก็หันหน้าออกจากประตูออฟฟิสของฟัวหน้าฝ่ายจัดการและเริ่มเดินกลับไปยังทางที่เธอมา
เมจิคัลเกิร์ลที่มีหุ่นเชิดอยู่ในมือวิ่งตามหลังไป “จะกลับแล้วเหรอ?”
“ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ มันก็ไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้หรอก คราวหน้านัดไว้ก่อนที่จะมาดีกว่า อย่างน้อยฉันก็อยากเห็นหน้าเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
“เหมือนว่าเขาจะออกไปที่เกาะหรืออะไรแบบนั้นนะ —ถ้าเธอรีบล่ะก็ แบบนั้นพวกเราก็แค่ไปที่นั่นก็ได้นี่?”
เมจิคัลเกิร์ลหน้าตกกระก้มหน้ามองพื้นในตอนที่กำลังเดินอยู่ จากนั้นก็เอามือมาแตะที่คางแล้วก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “เขาน่ะโกรธอยู่ตลอด ดังนั้นอย่าทำอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจดีกว่า ฟังนะ ถ้าเขาเกลียดความไม่ถูกต้องมากเท่าที่ข่าวลือว่า แล้วก็มารับตำแหน่งของฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ ในตอนนี้พวกเนื้อเน่าก็คงถูกกำจัดออกไปแล้วล่ะ”
“อื้อ เอาแบบนั้นดีกว่า แต่จะว่าไป คนที่ถูกดูดเข้าไปจะเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกโรงเรียนกวดวิชามาโอถูกจับไปเป็นโหล ก็ถูกปล่อยตัวออกมาภายในสามวันนะ”
“นั่นมันเหลือเชื่อเลย…”
เมจิคัลเกิร์ลสองคนเดินออกไปพร้อมกับพึมพำใส่กันและกันแบบเงียบๆ วิกหัวล้านนั้นถูกวางทิ้งเอาไว้ราวกับว่าเป็นการต่อต้าน
☆ โทตะ มากาโอกะ
มิสมาร์เกอริตบอกเขาว่าให้มุ่งหน้าไปที่อาคารหลัก —ดังนั้นเขาจึงไปที่นั่นแบบเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
เขาดึงมือของโยลแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด เรื่องต่างๆที่ปกติแล้วเขาจะกังวล เช่นแขนซ้ายอาจจะถูกบาดด้วยใบไม้แหลมคม หรือแก้มอาจจะถูกแทงด้วยกิ่งไม้ เขาไม่สนใจมันทั้งหมด เขาเพียงแค่คิดเรื่องที่ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เขาไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ เขาแค่ปล่อยให้ขามันขยับ
สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่อาคารหลัก: แต่มันคือแกะ แกะจำนวนมากรวมตัวกันอยู่พร้อมกับส่งเสียง แบะแบะ ออกมาและกำลังกินหญ้าอย่างเกียจคร้าน ถ้าหากมันมีแกะ แบบนั้นก็คงเป็นพาสเทล เมรี่ โทตะไม่ได้ยินว่าบนเกาะแห่งนี้มันมีแกะอยู่ด้วย ดังนั้นเขาก็เลยคิดว่ามันคงต้องเป็นเธอ
เขาแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำกับเธอ เขาเพียงจำชื่อของเธอได้เพราะว่าชื่อของเธอถูกยกขึ้นมาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเรื่องโจรขโมยผลไม้สีเทา และเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้ว เธอเป็นแค่คนที่มีโอกาสเป็นคนร้าย หากความสงสัยนั้นมันถูกต้อง มันก็หมายถึงเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ประโยชน์ที่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง
โทตะเข้าใจเรื่องนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วลง แม้ว่าเธอจะเป็นหัวขโมยและเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ประโยชน์ ในตอนนี้พาสเทล เมรี่คือคนๆเดียวที่เขาสามารถหวังพึ่งได้ มันเหมือนกับการที่เขาได้เรียนรู้จากพจนานุกรมรวมสุภาษิตของมังงะในห้องสมุดของโรงเรียนว่า “คนที่กำลังจะจมน้ำแม้แต่ฟางก็จะคว้าเอาไว้”
พวกเธอเดินผ่านแกะและพื้นที่ที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้จนออกมาถึงพื้นที่เปิดโล่ง โทตะหรี่ตาในทันที่เพราะออกมายังพื้นที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึง ก่อนที่เขาจะมองรอบๆตัว ใครบางคนก็ตะโกนว่า “ระวัง!”
ใครบางคนกระโดดเข้ามาจากด้านข้างและช้อนตัวของเขาและโยลขึ้นมา แล้วพวกเธอกลิ้งไปตามพื้น จากนั้นใครบางคนที่จับตัวของพวกเธอก็หยุดลงเมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับต้นไม้ แม้ว่าสายตาของเขาจะหมุนติ้ว เขาก็หันหน้าตรงไปข้างหน้าแล้วก็มองออกไป เมจิคัลเกิร์ลที่ดูเหมือนนักเต้นชาวอาหรับกำลังลอยอยู่บนอากาศพร้อมกับจอมเวทชราที่อยู่ด้านล่าง คนที่อยู่ข้างๆคือพาสเทล เมรี่ที่ดูนุ่มนิ่ม มันก็มีแกะมากมายอยู่โดยรอบเช่นเดียวกับอุปกรณ์ ขวดแก้ว และวัตถุรูปร่างประหลาดที่วางอยู่ทั่วทุกที่ สัญลักษณ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนถูกทาเอาไว้บนพื้นด้วยสีแดงและน้ำเงิน แม้จะแค่มองดู จำนวนเส้นมันก็มากจนทำให้เขารู้สึกปวดหัว จอมเวท เมจิคัลเกิร์ล ต่างก็มองมาที่โทตะและโยลด้วยความประหลาดใจ
เมจิคัลเกิร์ลในชุดเครื่องแบบนักเรียนลูบหลังของตัวเองพร้อมกับส่งเสียง “โอย โอย” ออกมาในตอนที่ลุกขึ้นและปล่อยตัวของโทตะและโยล “ของที่ดูเหมือนถาดโปร่งใส่ที่อยู่ตรงนี้มันอันตราย จะแตะไม่ได้นะ”
โทตะมองไปยังจุดที่เธอชี้ มันอยู่ตรงนี้ อะไรบางอย่างที่มีความกว้างราวเมตรครึ่งและมองเห็นได้แบบไม่ชัดกำลังลอยอยู่ราวครึ่งเมตรเหนือพื้นดิน แทนที่โทตะจะตอบเธอกลับไป เขาก็รีบบอกเธอในสิ่งที่เขาต้องพูดในตอนนี้
เขาบอกเธอไปว่ามีคนกำลังสู้กับเมจิคัลเกิร์ลเทพธิดาอยู่ใกล้ๆและอยากให้พวกเธอไปช่วย มันมีอะไรหลายเรื่องที่เขาสงสัย อย่างเช่นทำไมทุกคนถึงอยู่ที่นี่และกำลังทำอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้มันสำคัญมากกว่าที่จะถามคำถามเหล่านั้นออกไป โยลพูดส่วนของเธอออกมาด้วย กุมมือของโทตะเอาไว้แรงมากพอที่จะรู้สึกเจ็บในตอนที่พูดออกมาพร้อมกับเขา โทตะบีบตอบกลับไปอย่างแรงจนกระทั่งมีน้ำลายไหลออกมาจากปากของเขา และเขาก็ไม่ได้ขอโทษที่ตัวเองเอาแต่พูด พูด แล้วก็พูด
เขาอยากให้พวกเธอไปช่วยมิสมาร์เกอริตและคนอื่นๆ เขาอยากให้พวกเธอจัดการคนไม่ดีไปด้วยกัน
ในตอนที่เขากำลังพูดอยู่นั้น มันก็มีเสียงดัง ตูม เกิดขึ้นและพื้นดินก็สั่นไหว โทตะและโยลพยุงตัวซึ่งกันและกันและหันกลับไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว พวกเธอมองเห็นต้นไม้ถูกระเบิดออกแล้วก็ร่วงลงมา จากนั้นมันก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งและเกิดการสั่นไหว มันคือเสียงของต้นไม้ที่ร่วงลงมา
“เมย์จะไป” เมจิคัลเกิร์ลนักเต้นอาหรับพึมพำด้วยท่าทีเรียบเฉยและมองตรงไปทางเสียงที่เกิด “อย่าตามมา” เธอพูดออกมาเพิ่มและจากนั้นตัวของเธอก็หายวับไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีใครเข้าไปแทรก
จอมเวทชรากระทืบเท้าลงกับพื้นอย่างรุนแรง “มันอยู่ใกล้เกินไป พวกเราไม่มีเวลาแล้ว”
พาสเทล เมรี่ขยับศีรษะของตัวเองอย่างกล้าๆกลัวๆเพื่อหันไปหาชายชรา “พะ-พวกเราจะทำยังไงล่ะ? พวกเราต้องยกเลิกการเตรียมการแล้วก็ เอ่อ หนีรึเปล่า? มันมีเด็กๆอยู่ด้วย”
ด้วยการที่ถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลที่ต้องหนี โทตะจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วงพวกเราฮะ” และโยลก็พูดตามขึ้นมาว่า “ถ้ามีอะไรที่พวกเราช่วยได้ พวกเราก็จะช่วย”
“อีกอย่าง…” โทตะขยับใบหน้าเพื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ควันสีดำกำลังแผ่ขยายออก มันเข้ามาใกล้กว่าที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ “มันไม่มีที่ไหนให้พวกเราหนีไปด้วย” พาสเทล เมรี่เหมือนว่าจะตกใจ เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยในตอนที่มองมายังโทตะและโยล
“ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างมากเท่าที่มี” จอมเวทพูดพร้อมพยักหน้า “ชั้นคิดจะสร้างประตูแบบชั่วคราวเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะแห่งนี้ การเตรียมการมันเสร็จสิ้นแล้ว… พวกเรากำลังจะที่จะทำพิธี โอ๊ะ พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องพลังงานอีกแล้ว อยู่ห่างๆเอาไว้ด้วย ถ้าไปแตะมันเข้าล่ะก็ มันก็จะดูดเข้าไป”
โทตะดึงแขนของโยลให้ออกห่างจากถาดโปร่งใส จอมเวทพยักหน้า หนวดของเขาไหวไปมา “ดีจังนะ เพราะชั้นต้องมีจอมเวทที่เป็นผู้ช่วยด้วย ยัยหนู จำได้รึเปล่าว่าที่โรงเรียนสอนอะไรมาบ้าง?”
โยลยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วก็เอามันออกมาอีกครั้ง การ์ดที่มีตัวละครไม่ก็รูปแบบต่างๆมันอยู่เสียบอยู่ที่ระหว่างนิ้ว “ไว้ใจได้เลย มาสเตอร์รากิ ฉันจะโชว์เรื่องที่มากกว่าได้เรียนที่โรงเรียนออกมาให้ดูเป็นขวัญตา”
หลังจากที่ประกาศออกมาอย่างเท่ๆแล้ว ตัวของเธอก็เกือบจะทรุดลงไป และเมจิคัลเกิร์ลในชุดนักเรียนก็เข้ามาช่วยพยุงจากด้านหลังและเอาขวดแก้วมาที่ปากของเธอ ให้เธอดื่มของเหลวสีม่วงเข้มที่อยู่ด้านใน เมื่อโทตะถามว่ามันคืออะไร เขาก็ตอบกลับมาว่าคือ “น้ำยาปลูกผม”
☆ มิสมาร์เกอริต
ขาของช้างที่เหมือนกับต้นไม้เหวี่ยงลงมาอย่างกระหายเลือดจนเธออยากจะเบือนหน้าหนี มันกระทืบลงมาอย่างไร้ความปราณีหนี่งครั้ง สองครั้ง พร้อมกับใส่น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดลงไป ครั้งแรกมันโดนเข้าไปที่ไหล่ขวาของเทพธิดา ส่วนครั้งที่สองโดนเข้าไปที่ต้นแขนขวา และจากนั้นขาช้างของแคลนเทลก็ยกขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะบดขยี้ศัตรู
แต่ถึงจะโดนโจมตีอยู่ เทพธิดาอยู่ในท่าเตรียมเรียบร้อยแล้ว เธอรับการโจมตีครั้งแรกที่รุนแรงเอาไว้ด้วยไหล่ขวา และหยุดครั้งที่สองด้วยการใช้แขนเป็นโล่ พลัง น้ำหนัก และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือเวทมนตร์ที่จะบดขยี้เมจิคัลเกิร์ล มันมีเพียงแค่เทพธิดาเท่านั้นที่สามารถรับเท้าที่กระทืบลงมาได้ด้วยโล่ได้ ซึ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่กระดูกจะแตก แค่ผิวก็ยังไม่ได้ระคายด้วยซ้ำ
การโจมตีของแคลนเทลที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นมันทรงพลัง บางครั้ง ความโกรธของเมจิคัลเกิร์ลมันก็คือพลัง แต่มิสมาร์เกอริตคิดว่าความแข็งแกร่งของแคลนเทลมันไม่ได้อยู่ในเรื่องการโจมตีที่ทรงพลัง แต่มันคือความสามารถที่มีรอบด้านและความยืดหยุ่นต่างหาก ด้วยเรื่องนั้นแล้ว การที่แคลนเทลให้ความสำคัญกับการโจมตีในตอนนี้มันอันตรายมาก บางทีเธออาจจะลืมไปแล้วว่าการเติมพลังมันสำคัญยังไง เธอจำเป็นต้องกินผลไม้สีเทา
มิสมาร์เกอริตใช้เวลาเล็งครู่หนึ่ง เมื่อแขนขวานที่ถือขวานอยู่นั้นเกร็ง เธอก็วิ่งออกไป เธอไถลตัวเข้าไประหว่างขาของแคลนเทลอย่างนิ่มนวลเพื่อทำการแทงแบบที่ต่ำมาก ซึ่งมันทำให้เทพธิดาหลบด้วยการตีลังกา และชั่วพริบตาให้หลัง การกระทืบของเแคลนเทลมันก็ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
เทพธิดากระโดดถอยหลังกลับไป แคลนเทลแปลงร่างเป็นสิงโตและไล่ตามไป มิสมาร์เกอริตตามทั้งสองไปด้วยการกระโดดจากต้นไม้ไปยังต้นไม้อีกต้นพร้อมกับรักษาระยะห่างที่สามารถเข้าแทรกแซงได้ตลอดเวลาเอาไว้
มิสมาร์เกอริตเคลื่อนไหวไปตามกิ่งไม้แล้วก็กระโดดออกจากตรงลำต้น เธอทำให้ดูเหมือนว่าพยายามเข้าไปด้านหลังเทพธิดาด้วยการขนาบข้างกับแคลนเทล ทำให้ศัตรูกังวลเรื่องการยับยั้งการเคลื่อนไหวของเธอ แต่จริงๆแล้วเป้าหมายของเธอมันคืออย่างอื่น มิสมาร์เกอริตก้มต่ำในจังหวะก่อนที่จะกระโดดออกจากลำต้นของต้นไม้ บินเข้าไปหาแคลนเทลอย่างเฉียบคม เธอเอาแขนจับไว้รอบเอวเพื่อหยุดตัว และจากการคร่อมอยู่บนหลังของสิงโตแล้ว เธอก็เผชิญหากับเทพธิดา
“นี่” มิสมาร์เกอริตยื่นผลไม้สีเทาไปตรงใบหน้าของแคลนเทล แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ด้วยการแปลงร่างไปมาหลายครั้ง วิ่งไปรอบๆเพื่อต่อกรกับสัตว์ประหลาดแล้ว พลังของเธอก็คงจะหมด
แคลนเทลขยับส่วนคอขึ้นไปเล็กน้อย มองมาที่ผลไม้สีเทาที่ยื่นไปหา
ความโกรธของเธอลดลงเล็กน้อย —ไม่ได้มาก แค่เล็กน้อยเพียงเท่านั้น— และเหตุผลเล็กๆก็ถูกจุดประกายขึ้นในของตาของเธอเสมือนกับเปลวไฟ การคำนวนอย่างเย็นชาที่ผสานเข้ากับความโกรธและความต้องการอย่างรุนแรงที่จะสู้เพื่อจัดการศัตรูลดลงไป มันบอกเธอว่าในการที่จะชนะได้นั้น เธอต้องใจเย็นและกินผลไม้สีเทา
ในตอนนี้แคลนเทลจำเป็นต้องมีผลไม้สีเทาในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบเช่นเดียวกับการเติมพลังแบบเรียบง่าย นี่คือเหตุผลว่าทำไมมิสมาร์เกอริตถึงยื่นมันให้กับเธอ แต่นี่เองก็เป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูด้วย
ในตอนที่มิสมาร์เกอริตยื่นผลไม้สีเทาออกมา เทพธิดาก็หยุดตัว เธอบิดหลังราวกับว่าลอกท่าทางของมิสมาร์เกอริตในตอนที่เธอขว้างหินใส่ และด้วยการเหวี่ยงแขน เทพธิดาก็ขว้างคฑาของไมยะออกมา
มิสมาร์เกอริตเตะเข้าไปที่แผ่นหลังของแคลนเทลเพื่อให้กระโดดขึ้นไป ผลไม้สีเทาในมือที่เธอกัดเข้าไปแล้วหนึ่งคำที่ยื่นไปให้แคลนเทลหล่นลงไปบนพื้นหญ้า แคลนเทลแปลงร่างจากเสือไปเป็นงูที่ส่องประกายสีดำ ใช้ความต่างของความสูงเพื่อหลบคฑา
จากท่าทางที่ขว้างออกมามันทำให้ดูเหมือนว่าเทพธิดาแค่ขว้างคฑาออกมาแบบเบาๆ แต่คฑาของไมยะก็พุ่งผ่านอากาศรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วเสียง ทำลายกิ่งไม้และใบไม้ในทางที่มันผ่าน การขว้างมันทรงพลังเหมือนกับปืนใหญ่อัติโนมัติ มันทำลายต้นไม้หนา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นหนาในตอนที่ร่วงลง
การหลบนั้นคำตอบที่ถูกต้องเพียงและเป็นไปได้เพียงคำตอบเดียว แต่ในตอนนี้มิสมาร์เกอริตเอาผลไม้สีเทาให้แคลนเทลไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่เธอทำได้คือการหนีไปบนต้นไม้ แต่แคลนเทลก็ยังไม่ได้เติมพลัง
เทพธิดาเปลี่ยนจากการขว้างมาเป็นการทุบด้วยจังหวะที่ลื่นไหล แคลนเทลเอาหางงูปัดเข้าไปที่เท้าของเทพธิดา และเทพธิดาก็กระโดดขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลบ มิสมาร์เกอริตขว้างกิ่งไม้หักเข้าไปหาจากด้านบนต้นไม้ เทพธิดาปัดมันออกไปตอนที่อยู่กลางอากาศ แคลนเทลตวัดหางงูเข้าหาเทพธิดาจากด้านหลัง เทพธิดาเอาขวานในมือขวามาด้านหลังเพื่อป้องกันเอาไว้ แต่ตัวของแคลนเทลที่ถูกคมขวานก็ยังคงพยายามโจมตีกลับเข้าไป
หางงูสีดำกลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา รูปร่างเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เกล็ดขนาดใหญ่เคลื่อนไหวราวกับว่าพยายามแหวกว่ายในอากาศ เทพธิดาเหวี่ยงขวานเข้ามาอีกครั้ง ผ่าครีบจนเลือดพุ่งออกมา แต่ตัวของเทพธิดาก็เกิดการสั่นขึ้นภายในทันที และหยุดเคลื่อนไหวไปพริบตาหนึ่ง
แคลนเทลแปลงร่างจากงูไปเป็นปลาไหลไฟฟ้า ส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังตัวของเทพธิดา
เทพธิดาลงมาที่พื้นจากการกระโดด มิสมาร์เกอริตกระโดดตามหลังไป และแคลนเทลก็แปลงร่างอีกครั้ง
ก้ามขนาดยักษ์ของแมงป่องพุ่งเข้าไปที่ขาของเทพธิดา เทพธิดาเตะก้ามข้างขวาออกไปจนเปลือกแตกกระจายออก แล้วก็กระทืบข้างซ้ายจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใช้หน้าผากกระแทกเข้าไปที่เหล็กในพิษจนแตกออกเช่นเดียวกัน จนทำให้ตัวของแคลนเทลงอและกระเด็นออกไปไกล เมื่อเทพธิดากำลังจะเหวี่ยงขวานเข้าหาแคลนเทล มิสมาร์เกอริตก็แทงเข้าไป เล็งอาวุธตรงไปที่เหนือศีรษะ
แต่มิสมาร์เกอริตก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะโจมตีหรือถูกโจมตี การแทงของเธอมันแผ่วเบา ก่อนที่ขวานจะเหวี่ยงออกมา เธอก็ดึงเถาวัลย์ด้วยมือขวาเพื่อกลับขึ้นไปที่ด้านบนต้นไม้
ขวานเหวี่ยงลงมา แม้ว่ามันจะแค่ตัดผ่านอากาศ แรงลมและแรงสั่นสะเทือนมันก็ทำให้ต้นไม้ กิ่งไม้ และตัวของมิสมาร์เกอริตลอยออกไป แคลนเทลเปลี่ยนร่างแมงป่องไปเป็นผึ้งเพื่อใช้พิษที่อยู่ตรงของปลายเหล็กในแทงเข้าไป แต่เทพธิดาก็เอาขวานมาไว้ด้านหน้าเหมือนกับโล่เพื่อป้องกันเอาไว้
ในตอนที่มิสมาร์เกอริตปลิวออกไป เธอก็จับกิ่งไม้เอาไว้และไถลตัวลงมาจากลำต้น ใช้เทคนิคการเดินของหน่วยสืบสวนเพื่อข้ามสิ่งกีดขวางระหว่างต้นไม้ แล้วก็เล็งเข้าไปที่ด้านหลังของเทพธิดา
แคลนเทลแปลงร่างเป็นเสือเพื่อกระโดดกลับหลัง จากนั้นก็ลดตัวลงทั้งสี่เท้าเหมือนกับแรงทั้งหมดได้หายไปจากตัวของเธอ เอามือขวาวางไว้บนพื้นเพื่อที่จะพยุงตัว เธอเลี่ยงการเอาหน้าจุ่มลงไปในโคลนได้ แต่ก็ไม่สามารถยกตัวขึ้นได้ในทันที เธอมองไปที่ฝ่ามือของตัวเองด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
เธอกำลังมองไปที่มือของมนุษย์ที่เป็นเด็กสาว การแปลงร่างของเธอคลายลง มันไม่ได้กินเวลานานเท่าไหร่นัก
☆ นาวี่ ลู
อุปกรณ์ที่พังคือวัตถุโบราณของปฐมจอมเวทที่ถูกจัดการโดยดินแดนเวทมนตร์พร้อมด้วยซากปรักหักพังที่ถูกปกป้องเอาไว้เป็นพิเศษ แต่มันก็สูญหายไปเพราะโจรปล้นสุสานแล้ว
ซาตาบอร์นได้มันมาผ่านทางโรงรับจำนำที่น่าสงสัย หากเรื่องนี้ถูกล่วงรู้เป็นสาธารณะ มันก็มีข้อผูกมัดที่จะต้องส่งคืน เพราะแบบนั้นซาตาบอร์นจึงไม่รายงาน และไม่ได้ปล่อยไอเท็มนั้นไป และใช้มันเป็นวัตถุดิบในการวิจัย
นักวิชาการบางคนอาจเรียกสิ่งนี้ว่าการดูหมิ่น หรืออย่างน้อยที่สุดมันก็คือปัญหาที่ต้องรายงานกับเจ้าหน้าที่ แต่คนที่ครอบครองวัตถุโบราณอยู่ก็คือซาตาบอร์น ในการเผชิญหน้ากับงานวิจัยของเขาแล้ว ศรัทธาหรือความเคารพใดๆที่มีต่อปฐมจอมเวทมันก็คือขยะ
นาวี่ ลูเพิ่งจะรู้ว่าซาตาบอร์นมีอุปกรณ์นี้อยู่เมื่อไม่นานมานี้ หากไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นความโชคดีเล็กๆอย่าง —ความประมาทของซาตาบอร์น ความไม่สนใจโลกของเขา การร่วมมือของเขากับห้องทดลอง ตำแหน่งของนาวี่ที่ทำให้เขามาเยี่ยมที่เกาะบ่อยครั้ง— เขาก็จะไม่มีวันรู้ได้เลย
หากตัวตนของอุปกรณ์นี้ถูกรับรู้เป็นสาธารณะเพราะความตายของซาตาบอร์นล่ะก็ อุปกรณ์มันก็จะถูกเอากลับไปแล้วก็จะจบไปเท่านั้น มันก็จะไม่ได้อะไรเลย
นาวี่มองหาผลกำไร มันคือความเชี่ยวชาญของเขา
เมื่อได้ยินเสียงของการทำลายอันรุนแรง นาวี่ ลูก็หยุดคิดคำนวนครู่หนึ่งแล้วมองไปยังอาคารหลัก
คลาริสซ่ารู้รูปแบบพฤติกรรมของฟรานเชสก้าดีเช่นเดียวกับการมีดาบที่เขาเอาออกมาจากคลังสมบัติ ดังนั้นเธอจะไม่แพ้ เรื่องราวมันจะเป็นไปได้ดีหากนาวี่ ลูร่วมมือกับเมจิคัลเกิร์ลเพื่อกำจัดฟรานเชสก้า แทนที่เขาจะใช้คำสั่งเพื่อหยุด เพราะเขาไม่สามารถฆ่าทุกคนบนเกาะนี้ได้ เขาจึงสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จากนั้นมันเสียงของการทำลายก็ดังตามออกมา พื้นดินสั่นสะเทือนจนมาถึงด้านล่างเท้าของเขา
คลื่นซัดเข้ามาหาเขา และหลังจากที่กลิ่นเกลือโชยและฟองสีขาวเข้ามาหา มันก็ค่อยๆหายไป
เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด มันเหมือนกับสิ่งที่ไม่คาดคิดกำลังจะเกิดขึ้น ภายในหัวนั้น เขาสำรวจข้อมูลทุกส่วนอย่างระมัดระวังและข้อสรุปที่ได้ออกมาคือมันไม่ควรที่จะมีปัญหา แต่ความรู้สึกไม่สบายใจมันก็ไม่ได้หายไปแบบง่ายๆ นาวี่ ลูลูบผลไม้สีเทาด้วยแขนเสื้อและกัดลงไปสองคำ น้ำหวานเริ่มจะไหลออกจากมุมปาก เขาเช็ดมันด้วยกระดาษเช็ดปากที่มีก่อนที่จะขยำแล้วก็โยนออกไปในแนวปะการัง แต่ลมมันก็พัดขยะกลับเข้ามาหาเขา มันโดนเข้ากับหน้าแข้งและร่วงลงไปบนพื้น เขาเดาะลิ้น หยิบขยะขึ้นมาแล้วก็ใส่มันเอาไว้ในกระเป๋า
เขาหันไปทางใต้ของเกาะ ร่อยรอยของควันสีดำกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า
มันมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาก มันเริ่มจากการที่ไม่สามารถใช้ประตูสำรองได้อีกแล้ว และการที่มีไฟลุกขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่างก็เป็นอีกเรื่อง สถานการณ์มันอยู่ในจุดที่ต้องกินผลไม้สีเทาอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติก็ด้วย มันมีผู้รอดชีวิตมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เด็กผู้ชายที่ชื่อโทตะ มากาโอกะนั่นกลายเป็นเพื่อนกับโยล และเนฟิเรียก็เข้ามาเจรจากับเขา —นิ้วในมือหนึ่งข้างคงนับได้ไม่หมด แต่เขาก็ยังคงทำให้เรื่องต่างๆอยู่ภายใต้การควบคุม
นาวี่ได้ยินเสียงครางและมองไปหา มานาที่นอนอยู่บนพื้นมีท่าทางเจ็บปวดในตอนที่ส่งเสียงออกมา ตัวตนของเธอเองก็เรื่องที่ไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน
“แข็งแกร่งจังแฮะ” เขาพึมพำกับตัวเอง เธอไม่ได้เป็นผู้ตรวจการณ์ของหน่วยสืบสวนเพื่อเอาไว้โชว์จริงๆด้วย
ขนตาของเธอขยับขึ้นและลง และในที่สุดเปลือกตาก็เปิดออก นาวี่ลดเข่าลงข้างๆตัวเธอเพื่อทำให้เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของ “ดูสิ ชั้นเป็นคนช่วยเธอเอาไว้นะ” แล้วเมื่อเธอได้สติ เขาก็ยื่นผลไม้สีเทาไปที่ปากของเธอ ไม่นานหลังจากที่มานาลืมตา เธอก็ขยับใบหน้าจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน และเธอรู้สึกถึงผลไม้สีเทา เธอกินมันเข้าไปเหมือนกับสัตว์
เมื่อเธอกินผลไม้สีเทาเสร็จแล้ว เธอก็เอามือวางลงไปที่เข่าของนาวี่เพื่อยกตัวขึ้นมาเป็นท่านั่ง “มัน… เกิดอะไรขึ้น…?”
พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง และทั้งสองคนก็มองไปที่อาคารหลัก
☆ เนฟิเรีย
แน่นอนว่ามันมีเหตุผลด้านอารมณ์เข้ามาเกี่ยวกับการที่เธอพยายามช่วยดรีมมี่☆เชลซี แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เนฟิเรีย —หรือเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นฟรีแลนซ์โดยทั่วไป— จะหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดรีมมี่☆เชลซีคือคนที่เธอสามารถนำมาใช้งานได้
ในตอนที่ป้อนผลไม้สีเทาให้เชลซีเหมือนแม่นกที่ป้อนอาหารให้ลูกนก เนฟิเรียก็คิด
ครั้งแรกที่เนฟิเรียเจอเข้ากับนาวี่ ลูบนเกาะแห่งนี้ ชายคนนั้นก็นั่งอยู่บนพรมเวทมนตร์ที่ลอยอยู่บนอากาศ และนับตั้งแต่ตอนนั้นมา เขาก็จะปรากฎตัวออกมาพร้อมกับพรมเวทมนตร์ แต่ในตอนที่เธอเจอกับเขาก่อนหน้านี้ เขากำลังเดินอยู่ด้วยสองเท้าของเขาเอง แม้ว่าจะแบกตัวของมานาอยู่ เขาก็ไม่ได้พรมของตัวเอง ไม่ได้แบกเอาไว้ด้วยซ้ำ
มันมีเหตุผลบางอย่างที่นาวี่ ลูปล่อยพรมเวทมนตร์ไป เนฟิเรียไม่คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดอย่างกระทันหัน เสื้อของเขาไม่ได้มีรอยเปื้อนอยู่ เธอเองก็สัมผัสไม่ได้ถึงความตื่นตระหนกในตัวของเขาด้วยเช่นกัน และเมื่อรวมมันเข้ากับคำพูดสุดท้ายของราเรโกะ เนฟิเรียก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
มันได้ข้อสรุปออกมาว่าเขาใช้พรมเวทมนตร์บินได้ของตัวเองส่งไอเท็มอะไรบางอย่างที่เขาต้องการขึ้นไปสูงบนท้องฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่ามันปลอดภัย เนฟิเรียรู้ว่าเธอควรจะทำอะไร เนฟิเรียบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ได้ เร็นเร็นนั้นสามารถบินได้แต่เธออยู่กับคลาริสซ่า มันยากที่จะติดต่อกับเร็นเร็นในตอนนี้เพื่อให้เข้าใกล้ไอเท็มนั้น
และในตอนนี้เธอก็มีดรีมมี่☆เชลซีอยู่ เมจิคัลเกิร์ลที่บ้าคลั่งคนนี้สามารถทำให้วัตถุรูปดวงดาวบินได้และทำได้แม้กระทั่งขี่อยู่ที่ด้านบนของมันเพื่อบินด้วยตัวเอง ในการที่เนฟิเรียจะได้ในสิ่งที่นาวี่ ลูต้องการมาและยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่านั้น เธอจำเป็นต้องมีความสามารถของดรีมมี่☆เชลซีเพื่อบิน
เชลซียกตัวขึ้นมาด้วยข้อศอกและเข้าหาผลไม้สีเทา จับผลไม้สีเทาหนึ่งลูกเพื่อใส่เข้าปากด้วยตัวเอง ตัวของเธอนั้นดูดีกว่าตอนที่เป็นศพมาก เธออยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล ความแข็งแกร่งมันกลับมาสู่แววตาของเธอเช่นกัน แต่กระนั้น บาดแผลร้ายแรงพวกนี้โดยปกติแล้วมันจะส่งเธอตรงไปสู่โรงพยาบาล —แต่ในตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ปกติ
หลังจากนั้น เธอก็กินผลไม้สีเทาไปอีกห้าลูกก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งหันข้างด้วยขาของเธอแล้วก็ถอนหายใจออกมาดัง ฟู่ววว และหลังจากที่เนฟิเรียเช็ดน้ำของผลไม้สีเทาออกจากมือและปากของเธอ เชลซีก็มองมาด้านหน้า ชี้มาที่เนฟิเรียและร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “เธอ… ทำไมล่ะ… หือ? อย่าบอกนะว่าช่วยฉันเอาไว้?”
เนฟิเรียหัวเราะคิกคัก หากเธอเข้าใจแบบนั้นมันก็ทำให้อะไรๆรวดเร็วขึ้น ดังนั้นเนฟิเรียจึงอธิบาย
เธอบอกเชลซีไปว่ากำลังจะตาย —ซึ่งในความจริงนั้น เชลซีตายไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเธอเริ่มพูดถึงเรื่องนั้น เรื่องราวมันก็จะยาวเกินไป และมันก็ไม่ใช่ว่าตัวของเนฟิเรียเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เธอแค่พูดออกมาเหมือนว่าเชลซีกำลังจะตาย— และคลาริสซ่ากับเร็นเร็นก็มุ่งหน้าไปเพื่อจัดการเมจิคัลเกิร์ลเทพธิดา
เมื่อถึงจุดนี้ เชลซีก็พยายามจะลุกขึ้น แต่เนฟิเรียก็ใช้แขนโอบรอบเอวของเธอเพื่อหยุดเอาไว้ “ถ้าเธอจะสู้…มันก็จำเป็นต้อง…”
“ที่ไหนล่ะ? ที่ไหน?”
“บางที… ซ่อนอยู่… บนฟ้า”
“งั้นฉันก็ต้องไปเอามันมา! พวกเราต้องไปเดี๋ยวนี้เลย! พาฉันไปสิ!”
คลาริสซ่าจะจัดการเทพธิดา มันไม่มีเหตุผลที่เชลซีต้องทำงานหนักขนาดนั้น แต่มันก็เหมือนกับการที่ไม่มีเส้นผมอยู่บนหัวของนาวี่ มันไม่มีเหตุผลที่ต้องบอกเธอในเรื่องนั้น
☆ พาสเทล เมรี่
จำนวนคนมันเพิ่มมากขึ้น กลุ่มแรกคือผู้หญิงในชุดนอนและเต่าน้อย ซึ่งก็คือ 7753 กับเท็ปเซเคเมย์ เมื่อพวกเธอให้เต่าเลียยากลั้วคอ เธอก็แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลสไตล์นักเต้น แต่ขนาดตัวของเธอนั้นเล็กกว่าที่เมรี่เห็นก่อนหน้านี้สองเท่า ส่วนคนที่สร้างความวุ่นวายมากกว่าเต่าเป็นร้อยเท่าพร้อมกับอุดจมูกของตัวเองในตอนที่ดื่มยากลั้วคอลงไปก็คือ 7753 ตัวของเธอดูเหมือนว่าจะขาดอะไรบางอย่าง ชุดของเธอคือชุดนักเรียน ดังนั้นด้วยการที่มีหมวกนักเรียนและชุด กาคุรัน อยู่ มันจึงดูไม่เหมือนว่ามีอะไรที่ขาดหายไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันก็รู้สึกไม่ถูกต้อง แต่เมรี่ก็จำไม่ได้ว่าสิ่งที่ขาดหายไปมันคืออะไร เธอมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามันสำคัญมาก แต่มันก็รู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้นเช่นกัน
จะยังไงก็ตาม เธอไม่ได้มีเวลาที่จะมากังวลเรื่องนั้น แม้แต่ในช่วงเวลาดีๆ การที่เธอใช้ความคิดมันก็กินเวลา เมื่อเรื่องต่างๆมันวุ่นวาย เธอก็ควรจะทำงานของตัวเอง และถ้ามีเวลาว่างในภายหลัง เธอก็จะค่อยคิดถึงมัน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอยังมีจอมเวทเด็กสองคนที่เพิ่มเข้ามาด้วย ในตอนนี้ พาสเทล เมรี่สามารถหลบเลี่ยงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ นั่นก็คือการที่เธอต้องเป็นผู้ช่วยในพิธีอะไรบางอย่าง เธอเข้าใจตัวเองดีกว่าใครๆ มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องความมั่นใจ พาสเทล เมรี่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำผิดพลาดได้อย่างมาก เธอรู้ว่าตัวเองต้องทำพลาดแน่ๆ
ในเวลาแบบนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นน่าสงสาร แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถเปลี่ยนตัวเองในทันทีได้ เมรี่จะทำในสิ่งที่เธอควรทำ ซึ่งหมายถึง เธอต้องวาดแกะต่อไปและต่อไปและตั้งค่าให้แกะนั้นทำงาน เธอสามารถใช้แกะเป็นโล่ได้เมื่อถึงยามจำเป็น
เธอปิดกั้นการสนทนาทั้งหมดจากโดยรอบและเสียงการระเบิดจากภายในป่าไม่ให้เข้ามา เธอใช้พลังงาน กำลัง เวทมนตร์ทั้งหมดไปกับการวาดแกะ ดังนั้นเธอจะไม่เสียใจ แม้ว่าชีวิตของเธอในฐานะจิตรกรจะจบลงที่นี่ก็ตามที และเมื่อเธอมีช่วงเวลาที่ว่าง เธอก็จะดื่มยาปลูกผมไม่ก็ยาแก้ไออะไรพวกนั้นลงไป เธอไม่สนรสชาติ ปล่อยให้ทุกอย่างไหลลงไปในลำคอ
หลังจากที่วาดแกะที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเสร็จแล้ว เธอก็เงยหน้ามองขึ้นไป เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงของดรีมมี่☆เชลซี เธอส่ายหัวทันทีและเริ่มวาดแกะต่อ เธอจะนึกถึงเรื่องเชลซีในภายหลัง ในตอนนี้ เธอต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อให้ “ภายหลัง” นั้นมันเกิดขึ้นมา
☆ ดรีมมี่☆เชลซี
เธอออกไปทั่วทุกที่บนท้องฟ้าเหมือนกับว่า “บางทีอาจจะอยู่ตรงนั้น บางทีอาจจะอยู่ทางนี้”
โดยปกติแล้วการแบกตัวของเนฟิเรียไว้บนหลังพร้อมกับขี่ก้อนหินรูปดวงดาวเล็กๆไปทั่วท้องฟ้านั้นมันเป็นงานที่ง่ายๆ แต่ในตอนนี้ เชลซีไม่ใช่เชลซีตามปกติ บาดแผลของเธอนั้นร้ายแรง ความน่ารักของเธอจึงถูกลดทอนลงไป สิ่งที่เธอทำได้มากที่สุดก็คือการเคลื่อนไหว และยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งขึ้นไปสูงบนท้องฟ้ามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้เชลซีไม่ควรที่จะขึ้นมาในที่สูง
แต่เนฟิเรียก็คะยั้นคะยอเธอมาก เธอทำเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องหามันจริงๆ เธอก็หลงทิศทาง นี่มันทำให้เกิดปัญหา
เนฟิเรียชี้ออกไปราวกับว่า “บางทีอาจจะอยู่ตรงนั้น” และเชลซีก็บ่นในตอนที่มุ่งหน้าไป จากนั้นเนฟิเรียก็ชี้ออกมา “บางทีอาจจะอยู่ทางนี้” และเชลซีก็บ่นในตอนที่ไปทางนั้น หลังจากที่ทำซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพวกเธอก็เจออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะใช่ คนที่เจอมันไม่ใช่เนฟิเรียแต่เป็นเชลซี เนฟิเรียนี่ใช้การอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เธอดูเหมือนตัวร้ายมาตั้งแต่แรกแล้ว และถ้าเชลซีไม่ได้ติดหนี้ที่เธอช่วยเอาไว้ก็คงจะเมินไปแล้ว
แต่เป็นเพราะเนฟิเรียเจอเธอ เรื่องราวมันก็เลยเปลี่ยนไป
ที่ด้านบนของพรมที่ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆมันมีกล่องไม้เล็กๆวางอยู่ ในตอนที่เปิดฝา เชลซีก็ร้อง “ว้าว!” ออกมาด้วยความแปลกใจผสมกับตื่นเต้น
เมื่อมองดูมันก็เหมือนเป็นอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันชัดเจนว่ามันมีความน่ารักที่ซ่อนอยู่ภายใน เป็นความน่ารักอันแรงกล้าเทียบได้กับเมจิคัลเกิร์ลมากมายที่ถูกทำเป็นอนิเม แก้มของเชลซีที่เป็นสีขาวเพราะขาดเลือดจากความหนาว ในตอนนี้ก็มีสีชมพูแทรกขึ้นมา
เนฟิเรียหัวเราะออกมา บางทีเสียงหัวเราะ ชิชิ อาจจะนับว่าเป็นความน่ารักก็ได้เหมือนกัน
☆ มิสมาร์เกอริต
เมจิคัลเกิร์ลครึ่งสัตว์ที่ต่อสู้กับเทพธิดาแบบตัวต่อตัวหายไปแล้ว เด็กสาวตัวเล็กในชุดนักเรียนที่ขาดวิ่นกำลังกัดฟันกับความไร้พลังของตัวเอง กดหน้าอกที่เต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถระบายออกมาเอาไว้ ลมหายใจเองก็เบาลงในตอนที่คุกเข่าอยู่ในโคลน
มิสมาร์เกอริตถอนหายใจออกมายาวๆ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เธอจินตนาการเอาไว้ ความจริงแล้ว มันอยู่ในด้านที่ดีด้วยซ้ำ ถ้าการแปลงร่างของแคลนเทลคลายลงในตอนที่เข้าปะทะกัน หรือในตอนที่กำลังวิ่งหรือหนี อย่างดีที่สุดเธอก็จะบาดเจ็บหนัก และร้ายที่สุด เธอก็จะกลายเป็นเนื้อสับ
เทพธิดาบิดตัวเข้าหามิสมาร์เกอริตและชี้คมขวานเข้าหา ฆาตกรคนนี้ไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่สามารถแปลงร่างได้ แบบนี้มันก็สามารถพูดได้ว่าแคลนเทลหนีเข้าไปในเซฟโซนได้แล้ว
มิสมาร์เกอริตกัดผลไม้สีเทาและกระโดดไปด้านหลัง ขวานนั้นเหวี่ยงไล่ตามมา ระเบิดต้นไม้และดินจนปลิวว่อน เด็กสาวในชุดนักเรียนที่อยู่ด้านหลังเทพธิดาเองก็ปลิวออกไปเช่นกัน แม้มันจะเป็นแค่แรงลม มนุษย์ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้หลังจากที่โดนมันกระแทกเข้าไป มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากภาวนาให้ไม่ตายในตอนที่กระแทกพื้น
มิสมาร์เกอริตกินผลไม้สีเทาที่เหลือทั้งหมดในคำเดียว สะบัดน้ำผลไม้ที่เลอะอยู่ในมือขวาออกไป
เทพธิดายังคงไม่ได้สู้แบบเต็มกำลัง เทพธิดาบาดเจ็บอยู่ มีขวานเพียงด้ามเดียวและมีเมือกติดอยู่จนทำให้จับได้ยาก แต่กระนั้น มันก็ยากอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับมิสมาร์เกอริตที่จะเอาชนะได้
มิสมาร์เกอริตจัดการกับการโจมตีเพื่อทำลายต้นไม้แต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง ทีละต้นทีละต้น ในระหว่างนั้นผิวหนังของเธอก็ถูกลอกออก เนื้อถูกคว้านออกไป กระดูกเองก็แตก ความสามารถในการต่อสู้ของเธอค่อยๆหายไปในขณะที่ศัตรูค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ หากมิสมาร์เกอริตสู้โดยไม่มีแผน แบบนั้นเรื่องราวก็จะซ้ำรอยกับที่เกิดก่อนหน้านี้
ยิ่งเธอใช้เวลากับมันไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เธอเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น เธอแค่ต้องปล่อยมันออกไป
มิสมาร์เกอริตกลั้นหายใจเอาไว้ ในขณะที่ก้าวเท้าขวาออกไป เธอเกร็งแล้วก็ปล่อย—
“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ!”
มิสมาร์เกอริตชะงัก เทพธิดาเองก็หันไปทางเสียงที่ดังขึ้น
แม้ว่าจะมีกิ่งไม้และใบไม้บดบังอยู่ มันก็ยังสามารถมองเห็นได้ ตัวของเธอลอยอยู่เหนือพื้นดินสิบเมตร ขี่วัตถุที่มีรูปร่างเหมือนกับดวงดาวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบห้าเซ็นติเมตร มือแตะอยู่ที่เอวในตอนที่มองลงมาในท่าทางที่สะดุดตา “เอาแต่ทำเรื่องไม่ดีแล้วก็รุนแรงซ้ำๆ! ฉันไม่ยกโทษให้แน่!”
“หยุด” คำพูดมันออกมาครึ่งทางจากลำคอของมิสมาร์เกอริต แต่เธอก็หยุดและกลืนมันลงไป จากจุดยืนของมิสมาร์เกอริตที่ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อต่อสู้จนตัวโชกเลือดแล้ว แต่จากตัวของเชลซีนั้น มันแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเธอยังไม่ตาย ไม่ใช่แค่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด แต่กระทั่งตัวของเธอก็ซีดเซียวเหมือนกับคนป่วยหนัก ชุดของเธอขาดวิ่นและถูกซ่อมแบบประหลาดๆด้วยการใช้หินเป็นหมุด ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้บางทีก็คงจะโดนฟันไปด้วย ใบหน้า ชุดของเธอจนไปถึงถุงเท้ามันถูกย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม เส้นผมด้านหน้าก็ติดอยู่กับหน้าผาก เธอไม่ได้ถือคฑาของตัวเองอยู่ รองเท้าเองก็หายไปแล้ว
“ดรีมมี่…” เธอหยุดไปสิบวินาทีเต็ม ใช้เวลาเพื่อยกขาขึ้นมาหนึ่งข้างและเอามือประสานกันเป็นท่าโพส “☆เชลซีจะจัดการเอง!!”
ปากของเทพธิดาเผยอขึ้น นั่นมันคือรอยยิ้มหรือการเย้ยหยันกันนะ?
ดวงดาวตรงเท้าของเชลซีส่งเสียงออกมาในตอนที่เริ่มเคลื่อนไหว จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปหาเทพธิดา
เทพธิดายกเท้าขึ้นเพื่อที่จะกระทืบลงไปที่พื้น แรงที่ส่งออกมามันทำให้พื้นดินสั่นไหว และมิสมาร์เกอริตก็ย่อตัวลงต่ำเพื่อที่จะต้านเอาไว้ ต่อไป เทพธิดาก็เอาขวานในมือขวาไปด้านข้างเหมือนกับนกและกำลังจะขยับ จากนั้นก็ดึงเข้ามาในทันที จับด้ามขวานเอาไว้ด้วยสองมือและเอามือไว้ตรงหน้าเป็นแนวตั้ง
มิสมาร์เกอริตที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของขวาน หน้าตาก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งพร้อมกับส่งเสียงครางออกมากับแรงระเบิดที่เกิดขึ้น สีของคมขวานมันกลายเป็นสีดำมืดที่ดูลึกอย่างไร้จุดสิ้นสุด เป็นสีดำที่ดึงดูดสายตา มิสมาร์เกอริตเคยเห็นมันมาก่อน มันคือปีกของมาโอแพม
เชลซีพุ่งลงมาพร้อมกับฝุ่นควันและต้นไม้ที่ปลิวออกไป เทพธิดาเปลี่ยนท่าทางเป็นการตั้งการ์ดสูง และก้าวเท้าออกไปอย่างรุนแรงจนข้อเท้าจมลงไปในดินเพื่อที่จะเตรียมตัวป้องกันเอาไว้
มันดูไม่เหมือนว่าเชลซีจะมีแผน ดวงดาวที่หมุนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอแค่ดูเหมือนว่าทำขึ้นมาชั่วคราวแบบเฉพาะหน้า และตัวของเธอก็ดูเหมือนคนที่จนตรอกจนควบคุมอะไรไม่ได้ ในตอนที่ท่าทางของเทพธิดาขยับออกไป ขวานเองก็ขยับเช่นเดียวกัน สีของมันกลายเป็นดำมากยิ่งขึ้น มันขยับไปมาราวกับว่าจะกลืนกินทุกอย่าง
ด้วยความเหนียว ความคม และความทนทานที่ผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดการทำลายล้าง นี่มันเหมือนกับปีกของมาโอแพมที่ใช้บดขยี้ศัตรู
เมื่อติดอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ่งต่างๆเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว มิสมาร์เกอริตก็รู้สึกว่าสัมผัสเรื่องเวลาของเธอมันผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาดในตอนที่คิดเรื่องที่ตัวเองควรจะทำ
สำหรับเทพธิดาแล้ว การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของขวานนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนรูปร่างของปีกมาโอแพม มันคงเป็นส่วนหนึ่งของท่าพิเศษที่เธอไม่สามารถใช้มันได้ตลอดเวลา เทพธิดาไม่ได้ใช้มันทุกครั้งในตอนที่สู้กับมิสมาร์เกอริต หากเทพธิดาใช้มันตลอด แบบนั้นมิสมาร์เกอริตก็คงจะไม่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ ซึ่งมันหมายถึง มันมีเหตุผลที่เทพธิดาไม่สามารถใช้มันได้
นี่เทพธิดามีความตั้งใจว่าจะไม่ใช่กับศัตรูที่อ่อนแอรึเปล่า? ไม่ใช่ การได้เห็นเทพธิดาลอกเลียนการเคลื่อนไหวและขยับท่าทางอยู่ตลอดเวลาอย่างบ้าคลั่งนั้น มิสมาร์เกอริตไม่คิดว่าเทพธิดาจะมีความตั้งใจที่มากถึงขนาดนั้น
มันมีผลสะท้อนที่รุนแรงบางอย่างรึเปล่า? แต่เทพธิดาก็บ้าบิ่นมากพอที่จะบิดด้วยการใช้ขวานทั้งสองด้ามสร้างระเบิดขึ้นมา แล้วทำไมเทพธิดาถึงจะต้องกลัวตัวเองบาดเจ็บด้วยล่ะ?
รึว่าเป็นเพราะมันใช้พลังงานมากเกินไป? บนเกาะแห่งนี้ อัตราการใช้พลังงานของเมจิคัลเกิร์ลมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้าพวกเธอใช้มันออกไปทั้งหมด พวกเธอก็จะไม่สามารถคงสภาพการแปลงร่างเอาไว้ได้ การเปลี่ยนขวานให้เป็นอะไรที่เหมือนกับเหล็กและดินปืน ระดับการกินพลังงานมันคงต่างจากตอนที่ทำให้พวกมันเป็นปีกมาโอแพม
เหมือนว่าสิ่งที่เทพธิดาอยากจะหลีกเลี่ยงมากที่สุดก็คือการสิ้นเปลืองพลังงาน ถ้ามันเป็นแบบนั้น หลังจากที่เทพธิดาปะทะเข้ากับเชลซี มันก็มีโอกาสสูงที่เทพธิดาจะหมดแรงไปอย่างสมบูรณ์ หากพวกเธอโจมตีเทพธิดาในตอนนั้น บางทีมันก็อาจจะสามารถทำให้เกิดบาดแผลถึงชีวิตได้
แม้ว่าจะนึกเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา ปอดและลำคอของมิสมาร์เกอริตก็ตะโกนออกมาว่า “เชลซี! หยุดนะ!”
MANGA DISCUSSION