ตอนที่ 19:
พลังแห่งชีวิต
☆ มิสมาร์เกอริต
มิสมาร์เกอริตช่วยโทตะและโยลหนีออกไปจากอาคารหลัก และเมื่อเวลาผ่านไปจนเธอกลับมา ตัวของคลาริสซ่าก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
มันไม่มีเวลาที่จะให้พักหายใจ เธอต้องใช้เวลาตัดสินใจน้อยลงและปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวมากขึ้น มิสมาร์เกอริตกระโดดออกจากหลังของแคลนเทล ทุบลงไปบนหลังม้าเพื่อบอกว่า “ไปหาคลาริสซ่า” จากนั้นก็กางขาออกและชี้ปลายเท้าของตัวเองไปยังเทพธิดา เสียงกีบเท้าอยู่ห่างออกไปแล้ว แคลนเทลเคยเจอกับคลาริสซ่ามาก่อน แม้ว่าแคลนเทลจะพูดออกมาไม่มาก มิสมาร์เกอริตเองก็รู้สึกกังวลเมื่ออยู่ใกล้เธอบ่อยครั้ง แต่ในเวลาแบบนี้ เธอรู้สึกดีใจที่ไม่ได้ถามคำถามอะไรออกไป ซึ่งมันหมายถึงปัญหาจะน้อยกว่า
เหมือนว่าคลาริสซ่าจะบาดเจ็บมากเกินกว่าที่จะช่วยอะไรได้แล้ว แม้จะมองจากที่ที่ห่างออกไป มันก็สามารถบอกได้ว่าบาดแผลของเธอนั้นร้ายแรง และยิ่งไปกว่านั้น เลือดมันไหลออกมามากจนทั่วร่างถูกย้อมไปด้วยสีแดง แต่มันมีสองเหตุผลที่มิสมาร์เกอริตส่งแคลนเทลไป แม้จะรู้ว่ามันไม่มีความหมายอะไรก็ตาม
อย่างแรกคือการตอบสนองของแคลนเทลเมื่อเห็นคลาริสซ่า ด้วยการที่มิสมาร์เกอริตอยู่บนหลังม้า มันเลยทำให้เธอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของแคลนเทลเพิ่มสูงขึ้นจนแทบจะทำให้ร่างกายครึ่งล่างของมิสมาร์เกอริตไหม้ แคลนเทลมีความรู้สึกเกลียดชังความตายอย่างรุนแรง และเธอไม่สนว่ามันเป็นใครบางคนที่มีความเป็นศัตรูต่อเธอรึเปล่าด้วย แม้ว่ามันจะเป็นนิสัยที่อันตรายมากหากมีมันอยู่ แต่นั่นเองก็เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตของมิสมาร์เกอริตเอาไว้
นี่คือเหตุผล แม้มิสมาร์เกอริตจะคิดว่านิสัยของแคลนเทลมันไร้เดียงสาอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอก็ไม่ได้ปฎิเสธมันไป แต่ถึงเธอจะไม่ได้ปฎิเสธ เธอก็ทำให้แคลนเทลถอยกลับมาครึ่งก้าว ด้วยการส่งแคลนเทลไปหาคลาริสซ่าก่อน เธอจะแสดงให้แคลนเทลเห็นว่าการต่อสู้กับเทพธิดานั้นมันเป็นยังไง ซึ่งมันจะมอบเวลากับแคลนเทลเพื่อที่จะให้ใจเย็นลงและรู้จักศัตรูมากยิ่งขึ้น นี่คือเหตุผลข้อแรก
เหตุผลข้อที่สองคือมิสมาร์เกอริตอยากจะเผชิญหน้ากับเทพธิดาเพียงลำพังซักครู่หนึ่ง เธอมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าการจดจ่อไปที่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว และเธอก็ไม่ได้มีแรงกระตุ้นด้วยความเกลียดชังหรือความต้องการที่จะล้างแค้นเช่นกัน การอยู่เพียงลำพังมันทำให้คาดการณ์และวิเคราะห์ความถูกผิดได้ดีกว่า เธอปล่อยมือขวาที่จับเอาไว้ที่ด้ามของเรเปียครู่หนึ่ง จากนั้นก็จับมันอีกครั้งแบบเบามือ เท้าของเธอไม่ได้หยุดนิ่ง
หน้าอกของเทพธิดาถูกตัดขาดจนมีเลือดไหลลงมา นี่ไม่ใช่ความแตกต่างเพียงแค่อย่างเดียวกับก่อนหน้านี้ ปลายด้ามขวานเองก็ถูกตัดออกและแทงเข้าไปที่ผ้าคาดเอว แถมเทพธิดาก็กำลังถือคฑาของไมยะอยู่ด้วย เธอขยับคฑาด้วยท่วงท่าอันไหลลื่น เหวี่ยงมันแล้วก็ยกขึ้นมาเพื่อชี้เข้าหามิสมาร์เกอริต
มิสมาร์เกอริตไม่ได้รีบเร่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้มีความลังเลอยู่ เธอรักษาความเร็วการเคลื่อนไหวเอาไว้เพื่อออกท่าในการก้าวครั้งสุดท้ายและแทงเข้าไป ซึ่งเทพธิดาปัดมันออกไปได้ด้วยคฑา แต่มิสมาร์เกอริตปล่อยมันไหลไปตามด้ามจับและแทงกลับ เทพธิดาเขย่าคฑาเพื่อปัดเรเปียออก และในตอนที่จะโจมตีสวนกลับเข้ามา มิสมาร์เกอริตก็กระโดดถอยหลังยาวกลับไปด้านหลัง การโจมตีจึงโดนเข้าไปที่พื้นและทำให้ฝุ่นฝุ้งขึ้นมา บดบังการมองเห็นของเธอไว้เหมือนกับเป็นม่านควัน การแทงที่เข้ามาจากม่านควันมันเร็วกว่าการตอบสนองของมิสมาร์เกอริต แต่เธอก็เห็นว่ามันกำลังเข้ามา เธอจึงเตรียมตัวหลบเรียบร้อยแล้ว เอาร่างกายเข้าไปในเซฟโซนเพื่อหลบเลี่ยง จากนั้นก็ปรับท่าของตัวเองเป็นท่าย่อต่ำ ใช้นิ้วเท้าจับชายกระโปรงเอาไว้เพื่อไม่ให้สะบัดขึ้นไปจากแรงกระแทก
สิ่งสกปรกร่วงลงมาหาเธอจากด้านบน หยดเลือดไหลลงมาจากเส้นผมของเทพธิดาและหยุดลงตรงที่คิ้ว เทพธิดายังคงยิ้มออกมา ปลายด้ามขวานที่แทงเข้าไปในผ้าคาดเอวมันสั่นไปมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปร่าง —มันดูเหมือนว่าจะค่อยๆสร้างคมขวานขึ้นมาอีกครั้ง
มันกำลังพยายามสร้างขวานขึ้นมาอีกครั้ง… ถ้ามันกลับไปเป็นแบบนั้นล่ะก็ พวกเราจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบซะเอง
มิสมาร์เกอริตกลืนผลไม้สีเทาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งลงไปในคำเดียว
มันเป็นไปอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เทพธิดาที่ใช้คฑาไม่ได้น่ากลัวเท่ากับตอนที่ใช้ขวาน
การกวาดแบบหยาบๆของเทพธิดานั้นมันมาจากสัญชาตญาณการโจมตีแบบง่ายๆ ไม่ได้มาจากทฤษฎีการต่อสู้อะไร ด้วยขวานเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ได้แล้ว การโจมตีของเทพธิดาจึงหลบเลี่ยงได้ยากมาก แม้ว่าแค่จะรับมือกับการโจมตีแต่ละครั้ง มันก็ทำให้มิสมาร์เกอริตสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายและจิตใจ และด้วยการที่ต้องเน้นไปที่เรื่องการหลบ เธอก็เลยโดนโจมตีเข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เธอไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่เทพธิดาจะทำในลำดับถัดไปได้ จากนั้นในขณะที่กำลังรู้สึกแปลกใจ เธอก็ยิ่งถลำลึกไปมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งตัวของเธอก็แค่กำลังวิ่งอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว
ทักษะเรื่องคฑาของไมยะกับราเรโกะนั้นมาจากเทคนิคที่เป็นระบบขั้นสูง แต่มันก็คือศิลปะการต่อสู้ที่มีพื้นฐานจากมนุษย์ มันไม่ได้เข้ากับมอนเตอร์ —หรือว่าเทพธิดา การเน้นการป้องกันมันละเอียดอ่อนมากเกินไปสำหรับการกระทำของศัตรู การโจมตีเพื่อสกัดกั้นมันยังห่างไกลจากการโจมตีแบบเต็มกำลัง ด้วยความแข็งแกร่งและการตอบสนองของเทพธิดาแล้ว มันก็ไม่จำเป็นสำหรับเทพธิดาที่ต้องป้องกันเลย แต่เทพธิดากลับทุ่มเทให้กับเทคนิคพื้นฐานเรื่องคฑา
มิสมาร์เกอริตขยับไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหลบการแทงต่ำ จากนั้นก็ปัดเข่าของอีกฝ่ายด้วยการแทงเรเปียเข้าไป และก่อนที่คฑาของเทพธิดาจะทุบเข้ามา มิสมาร์เกอริตก็ชักเรเปียกลับ เปลี่ยนทิศทางไปทางขวาพร้อมกับฟุตเวิร์คที่ผสานกลลวง ในการเหวี่ยงและแทงคฑานั้น ฝุ่นควันมันก็ลอยฟุ้งขึ้น ต้นไม้หักโค้น กิ่งไม้และใบไม้เองก็กระจัดกระจายไปทั่ว มิสมาร์เกอริตกำมือซ้ายและแบออก แม้ว่าจะไม่ได้หายไปทั้งหมด มันก็ยังมากพอที่จะเคลื่อนไหวได้ขนาดนี้ พลังฟื้นฟูของเธอมันมากกว่าปกติ —ซึ่งมันต้องขอบคุณผลไม้สีเทา
มิสมาร์เกอริตตอบสนองการกระโดดกลับหลังอย่างกระทันหันของเทพธิดาด้วยการเตะหินเข้าใส่ เทพธิดานั้นปัดออกไปด้วยการหมุนคฑาของตัวเอง แต่มิสมาร์เกอริตก็ร่นระยะเข้ามาในทันทีเพื่อโจมตี แทงเข้าไปด้วยเรเปีย การหมุนของคฑามันกลายเป็นสิ่งกีดขวางซึ่งทำให้การตอบสนองของเทพธิดาช้าลง แต่เทพธิดาก็ยังคงหนีไปได้ด้วยการหมุนตัวต่อเนื่องสามรอบตามด้วยการกระโดดตีลังกา การโจมตีแบบเต็มแรงของมิสมาร์เกอริตเฉี่ยวลำตัวของเทพธิดาไป แต่มันก็เฉือนผ้าคาดตรงเอวออกไปครึ่งหนึ่ง
การเคลื่อนไหวในอากาศมันไม่เข้ากับเทพธิดา แม้ในตอนแรกมิสมาร์เกอริตจะรู้สึกประทับใจที่เทพธิดาสามารถเลียนแบบเชลซีได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเธอรู้สึกชินแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการโชว์ มันมีเหตุผลอะไรกันที่สิงโตผู้ทรงพลังมหาศาลจะทำให้กระต่ายรู้สึกกลัวด้วยการเคลื่อนไหวที่ดูประหลาดกันล่ะ?
ในการเคลื่อนไหวของเชลซีนั้นมันมีความอันตรายแฝงอยู่ เธอเอาความเชื่อของเมจิคัลเกิร์ลใส่ลงไปในสัญลักษณ์แห่งสันติภาพตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงเล็บแต่ละเล็บ ซึ่งท่าทางนั้นมันดูบ้ามากพอที่ทำให้มิสมาร์เกอริตรู้สึกลังเลที่จะโจมตีเข้าไป หัวใจคืออาวุธที่ทรงพลังของเมจิคัลเกิร์ล การลงมือไปโดยที่ไร้ซึ่งความเชื่อมั่นล่ะก็ มันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิงอี้เฉวียน* ที่ยังไม่บรรลุถึงขึ้น สิ่งนี้มันกำลังขัดขวางเทพธิดาอยู่
*หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ของจีน https://en.wikipedia.org/wiki/Xing_Yi_Quan
ศัตรูถอยกลับเพื่อทุบและแทง มิสมาร์เกอริตสามารถหลบทั้งสองอย่างได้ ด้วยฝุ่นที่กระจายอยู่ทั่ว ถึงจะเข้าไปแม้แต่ในดวงตาของเธอ มิสมาร์เกอริตก็เพ่งมองไปที่ศัตรู เตรียมเรเปียพร้อมเอาไว้โดยที่ไม่กระพริบตา
คฑานั้นเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมในหมู่เมจิคัลเกิร์ล และมีผู้คนจำนวนมากที่ใช้มัน ซึ่งนั่นหมายถึง ผู้ฝึกสอนของหน่วยสืบสวนจะคิดว่ามันจะถูกใช้โดยหนึ่งในศัตรูที่มีความสามารถซึ่งมีโอกาสสูงที่จะต้องสู้ด้วย แม้จะเป็นคนอย่างเทพธิดา คนที่มีความสามารถทางกายภาพที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ มันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวหางใช้การเคลื่อนไหวแบบพื้นฐาน ปัญหามันก็คือขวาน ด้ามขวานที่ห้อยอยู่ตรงเอวยังคงพยายามฟื้นคืนสภาพของคมขวาน เธอไม่รู้ว่าอีกอันหนึ่งที่ห้อยอยู่ตรงคอจะอยู่แบบนั้นไปอีกนานแค่ไหนเช่นกัน เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ได้ลดทอนพละกำลังของเทพธิดาลงไปทีละนิด และผลลัพธ์ก็คือ พวกเธอสามารถคำให้เทพธิดาสู้ด้วยเทคนิคของคฑาซึ่งมันไม่เข้ากับตัวของเทพธิดาได้ นี่มันคือโอกาสแล้ว เธอจะปล่อยมันหลุดมือไปไม่ได้ หากเธอปล่อยผ่านไปล่ะก็ แบบนั้นเรื่องราวก็จะกลายเป็นสิ้นหวัง เธอต้องจบเรื่องนี้ก่อนที่ขวานจะฟื้นคืนสภาพเป็นปกติ
เธอเคลื่อนตัวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้น รูปแบบฟุตเวิร์คของหน่วยสืบสวนนั้นทำให้การเคลื่อนไหวมันนุ่มนวลที่สุดมากเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะถูกทำลายไปด้วยต้นไม้ที่โค่นลงมาและดินที่ถูกขุดขึ้นก็ตามที เทพธิดาตามมิสมาร์เกอริตมาด้วยท่าทางการเดินที่มีมารยาทเช่นเดิม มิสมาร์เกอริตหลบตัวเทพธิดาและแทงเข้าไป และเทพธิดาก็ฟันสวนกลับมา มิสมาร์เกอริตที่เด้งตัวออกไปจากลำต้นของต้นไม้ก็ถูกทำลายไป งอต้นไม้เป็นมุมฉากเพื่อใช้เป็นฐานส่งตัว เธอหลบคฑาที่แทงตรงเข้ามาหาดวงตาพร้อมกับเศษไม้ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ หลังจากที่เตรียมตัวรับมือการโจมตีที่เข้ามาจากเทพธิดาเป็นลำดับถัดไป เธอก็เตะต้นไม้ที่โค่นลงมาและก้าวไปข้างหน้าเพื่อโจมตีไปที่เทพธิดา การโจมตีนั้นมันเฉี่ยวจุดที่โจมตีครั้งก่อนหน้าไปเป็นครั้งที่สอง
เมื่อผ้าคาดเอวของเทพธิดาขาดออกและพริ้วไปมาอยู่ในอากาศ มิสมาร์เกอริตก็ทิ้งตัวลงกับพื้นในจังหวะเดียวโดยไม่ได้มีการหยุดตัวหลังจากการโจมตี การฟันเป็นแนวนอนที่เทพธิดาโจมตีสวนกลับมามันกำลังตัดผ่านอากาศ
มิสมาร์เกอริตที่เอามือและเท้าแนบติดกับพื้นเหมือนกับสัตว์สี่เท้าไถลตัวไปด้านหลัง เธอจ้องมองด้ามขวานที่อยู่ตรงนั้นพร้อมกับยื่นลิ้นออกมา เธอเลียริมฝีปากด้านบนเพื่อให้เปียกชื้น
เธอตัดผ้าคาดเอวและทำให้ขวานของเทพธิดาร่วงลงมา จากจุดนี้เธอควรจะเตรียมการยังไงดีนะ? ควรจะรอการช่วยเหลือจากแคลนเทลรึเปล่า? แต่ถ้าเธอรอ ผลของผลไม้สีเทาก็จะหมดไป มิสมาร์เกอริตไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ เธอต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างมากมายเพียงแค่เพื่อที่จะลดทอนพลังต่อสู้ของศัตรู —ในกรณีนี้คือขวานหนึ่งด้าม แต่ในตอนนี้เธอก็มาถึงขั้นตอนนี้แล้ว— เมื่อคิดมาไกลถึงขั้นนี้ มิสมาร์เกอริตก็หรี่ตา
เทพธิดาดึงคฑามาอยู่ในฝ่ามือ ลดท่ายืนลงต่ำและกางขาออก ท่ายืนนี้มันแตกต่างจากก่อนหน้า มิสมาร์เกอริตก้าวไปด้านข้างแล้วก็ชูมือขึ้น ยกเรเปียขึ้นมาตรงใบหน้า
สิ่งที่เทพธิดากำลังทำอยู่ในตอนนี้มันคือท่าป้องกัน ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เรื่องการทำลายเพียงอย่างเดียว มันคือท่าเคลื่อนไหวนอกแบบแผนซึ่งเป็นท่าของไมยะ มันเป็นสิ่งตรงข้ามของเทคนิคคฑาในอุดมคติที่ผู้ใช้และคู่ต่อสู้จะไม่ได้รับอันตราย ชื่อที่ได้มาจากตอนที่ทะลวงหนึ่งในปีกของมาโอแพม —นี่คือทะลวงมาโอ จากการที่เป็นเทคนิคสำหรับจัดการปีศาจ มันก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเทคนิคที่เข้ากับเทพธิดาเป็นอย่างดี
มิสมาร์เกอริตคิดว่าจะปล่อยให้ร่างกายของเธอขยับไปตามที่ควรจะเป็น แต่ในตอนนี้เธอหยุดเอาไว้ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไร ไมยะใช้การโจมตีนี้ทะลวงปีกของมาโอแพม แล้วทะลวงมาโอมันจะกลายเป็นยังไงหากมันถูกใช้โดยคนที่เก่งกว่าไมยะมากกันล่ะ? มันเป็นไปได้ที่จะอ่านทางล่วงหน้าหรือหลบได้รึเปล่า? เธอจินตนาการถึงระดับการทำลายล้างหรือพลังที่จะเกิดขึ้นไม่ออก จากนั้นมิสมาร์เกอริตก็เลียริมฝีปากด้านล่างและพบว่า —มันแห้งไปเรียบร้อยแล้ว
☆ รากิ สเว เน็นโต
ไม่มีจอมเวทคนไหนที่ไม่เคยไม่ได้ยินข่าวลือเรื่องของฝ่ายโอสว่าเป็นกลุ่มของพวกชั่วร้าย คนที่ไม่สนใจกฎหมายและปฎิบัติกับเมจิคัลเกิร์ลราวกับเป็นขยะ ห้องทดลองนั้นคือตัวอย่างที่ดีที่สุด แต่ปีศาจร้ายตัวจริงนั้นคือการซ่อนความชั่วร้ายของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดพร้อมกับสวมหน้ากากที่เหมือนกับว่าตัวเองไม่กล้าฆ่าแม้แต่แมลง ข่าวลือสกปรกเกี่ยวกับฝ่ายโอสและห้องทดลองนั้นส่วนใหญ่แล้วมันคือโฆษณาชวนเชื่อ
“คุณรากิ พวกเราจะเอาอันนี้ไปด้วยรึเปล่า?” เมรี่ถามเขา
“แน่นอน”
เรื่องที่ฝ่ายโอสคือฝ่ายที่น่ากลัวนั้นมันมีการรับรู้ร่วมกันอยู่แล้ว แต่การใช้ความกลัวเป็นสิ่งที่ช่วยให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบลื่นนั้น —มันก็เหมือนกับเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม การแก้ไขข้อพิพาทด้วยวิธีนี้มันหมายถึงพวกนั้นกระจายข่าวลือเรื่องชื่อเสียงแย่ๆออกไปด้วยตัวเอง และจากนั้นก็ปล่อยให้ฝ่ายอื่นพูดเรื่องแย่ๆอะไรก็ได้ไปตามที่ต้องการและไม่ได้ปฎิเสธ รากิอยากจะบอกไปว่ากลยุทธ์เช่นนี้มันขาดซึ่งความรับผิดชอบ เป็นอะไรที่ดูเหมือนเด็ก และทอดทิ้งความภาคภูมิใจของจอมเวทไป แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับสูงแล้วมันไม่มีใครเลยที่จะฟังคำพูดของเขา ต่อให้อีกฝ่ายจะฟังมัน มันก็ไม่มีใครที่จะรู้สึกละอายอยู่ดี
“พวกเรามีแกะไม่พอ” รากิบอกเมรี่ “สร้างเพิ่มอีก แบบที่มีความสามารถทางกายภาพที่เหมาะกับการแบกของจะดีที่สุด”
“เราบอกไปแล้วไงว่าถ้าปรับแต่งมากเกินไปมันจะทำให้ควบคุมได้ยาก”
ในตอนนี้เขารู้แล้วว่ากลยุทธ์นั่นไม่ได้เปลี่ยนแค่มุมมองจากภายนอก แต่มุมมองขององค์กรจากภายในเองก็เปลี่ยนไปด้วย ความคิดบิดเบี้ยวที่บอกว่าทำมากกว่านั้นหน่อยก็ไม่เป็นอะไรเพราะนี่คือห้องทดลอง —ไม่ใช่ว่ามันคือความจริงที่ทำให้ไปไกลขนาดนั้นรึไง? พวกนั้นเชื่อว่าห้องทดลองคือองค์กรที่น่าหวั่นเกรง ไม่มีใครดูถูกตัวเองได้ และสำนึกอันแปลกประหลาดอันภาคภูมิใจก็เติบโตขึ้นมาจากความคิดนั้น
“การขยับเจ้านี่มันโอเคจริงๆเหรอ?” เมรี่ถามเขา “ตอนที่พวกเราแบกอยู่จะไม่ตื่นขึ้นมาเอาเหรอ?”
“ไม่หรอก พวกตุ๊กตาที่ไม่มีวิญญาณอยู่มันก็เป็นแค่สิ่งของ”
เรื่องนี้มันคือความเย่อหยิ่ง พวกนั้นคิดว่าคงไม่มีใครที่ประมาทเลินเล่อเช่นเดียวกับเมินเฉยต่อการร้องขอจากทางห้องทดลองและแทรกข้อมูลที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ในเอกสารลงไป ดังนั้นพวกนั้นจึงมองข้ามนักวิจัยแสนประหลาดที่ชื่อซาตาบอร์นไป เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ทุกอย่างมันก็สมเหตุสมผล และมันก็ทำให้รากิหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ชั้นต้องให้เธอช่วยเรื่องพิธี” รากิพูด “ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแกะของเธอออกไปแล้วด้วย”
“เดี๋ยวนะ หือ? เราเหรอ? ไม่ไหวหรอก เราทำไม่ได้” เมรี่แย้ง
“ผู้ช่วยน่ะใช้เทคนิคแค่อย่างเดียว ขนาดคนโง่ยังทำได้เลย ต่อให้เธอไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าคืออะไร เธอก็แค่ทำตามที่ชั้นบอก”
“ก็เราบอกแล้วไงว่าไม่มีทาง!”
“งั้นก็หาทางเข้าสิ!”
ในตอนนี้เมื่อเขาคิดถึงมัน เขาก็จินตนาการภาพของซาตาบอร์นที่เตรียมพร้อมเรื่องถูกฆ่าด้วยเช่นกัน รากิไม่ใช่แค่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เขาแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับซาตาบอร์นด้วยซ้ำ —ไม่ใช่ว่าซาตาบอร์นระบุตัวเขาในฐานะผู้สืบทอดเพราะว่าเขาอยากให้ใครบางคนที่อยู่ภายในฝ่ายโอสแทงข้างหลังใครบางคนที่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาเรียบเรียงเอาไว้งั้นเหรอ? อีกแง่หนึ่ง มันต้องเป็นจอมเวทที่มีความสามารถมากพอที่จะปกป้องเขา เช่นเดียวกับคนที่ถึงเวลาก็จะโอ้อวด —รากิรู้สึกโกรธเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขากระทุ้งปลายไม้เท้าลงไปที่พื้น
แต่มันไม่ใช่แค่รากิ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยสืบสวนและคนที่เกี่ยวข้องยังถูกเชิญมาในฐานะผู้สืบทอดด้วย หากเขาคิดว่าเมื่อถึงเวลาก็จะให้ทุกคนทำตามที่เขาต้องการล่ะก็—
“คุณรากิ คุณรากิ!”
“อ่า ชั้นได้ยินแล้ว มีอะไรรึไง?”
นี่เขาคิดมากเกินไปรึเปล่านะ? มันไม่ได้น่ากังวลเหมือนกับที่เขาคิด เขารู้สึกว่าซาตาบอร์นตัดสินใจที่จะทำมัน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าความคิดแบบนี้มันได้รับอิทธิพลจากบุคลิกที่รุนแรงของซาตาบอร์น แต่รากิก็ยังคงคิดว่าเมื่อซาตาบอร์นจะใช้อะไรมากเท่าที่ต้องการเพื่อที่จะวิจัยและพัฒนาสิ่งที่ตัวเองชอบขึ้นมา จอมเวทชราก็คงดีใจเหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ มันไม่แปลกเลยสำหรับเขาที่จะวางชีวิตของตัวเองไว้เป็นความสำคัญอันดับสองหรือสามถัดจากเรื่องนั้น —ความจริงแล้วมันก็สมกับเป็นเขามากด้วย
“ทางเข้ามันเล็กเดินไป เราเอาตู้ออกไปข้างนอกไม่ได้” เมรี่พูด
“เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลนะ ถ้าทางเข้ามันเล็กเกินไป งั้นก็ทำให้มันใหญ่ขึ้นซะสิ”
แม้ว่าจะเข้าใจในเรื่องนี้ รากิก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจ เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดมากและมากยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับมัน สถานการณ์นั้นมันบ่งชี้ว่าซาตาบอร์นไม่ได้ถูกฆ่าตายแต่เขาตายไปด้วยเหตุบังเอิญตั้งแต่แรก หากมันเป็นการฆาตกรรม แบบนั้นก็จะจะอ้างเหตุผลบางอย่างขึ้นมาเพื่อชะลอการแจกจ่ายมรดก เชพเพิร์ดพายไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะเมินแรงกดดันนั้นไป
แต่ในตอนนี้รากิไม่สามารถบอกซาตาบอร์นได้ว่าจอมเวทควรจะทำตัวยังไง ตะโกนใส่ว่าให้คิดถึงปัญหาที่ก่อให้กับคนอื่น ร้องขอเพื่อให้คิดก่อนจะทำอะไร หรือทุบเข้าซักทีได้อีกแล้ว ซาตาบอร์นได้เดินทางออกไปยังที่ที่รากิเอื้อมไปไม่ถึง ซึ่งมันก็น่ารำคาญเช่นกัน
“แบบนั้นมันฟังดูบ้าจังเลย…” เมรี่โอดครวญ
“ต่อให้มันบ้าก็ต้องทำ!”
☆ 7753
เมื่อเธอมาถึงทางเดินแล้วมันก็ง่ายกว่า แต่มันไม่มีทางที่จะง่ายแบบนั้น โคโทริมองลงมายังเต่าที่กอดหน้าอกของเธอเอาไว้บ่อยครั้งและคิดว่า หากเธอไม่ใช่เต่าอียิปต์ แต่เป็นเต่ากาลาปากอสล่ะก็ แบบนั้นฉันจะขี่เธอแทนได้ไหมนะ? ซึ่งมันทำให้เธอรู้ว่าแม้แต่ภายในจิตใจของเธอก็ยังคงอ่อนล้า และเธอก็ดุด่าตัวเองว่า ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น แล้วก็รีบเดินหน้าต่อ
เมื่อมองเห็นภาพของอาคารหลัก เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เดินต่อไป เธอหักห้ามตัวเองไม่ให้รีบเร่งมากเท่าที่ทำได้ แต่เธอก็ยังคงคอยระวังความรู้สึกที่ว่านี่คือการเดินทอดน่องแบบธรรมดาอยู่ด้วย คอยให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างในขณะที่เดินไปยังด้านหน้าของอาคารหลักอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเห็นระดับการทำลายล้างที่มากกว่าที่ตัวเองจำได้ ไหล่ของเธอก็ลู่ลงพร้อมกับภาวนาขอให้ทุกคนปลอดภัย
เธอสาบานกับตัวเองว่าไม่น่าจะเห็นสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหน เธอก็ต้องไม่อ่อนไหว ต้องไม่ร้องไห้หรือล้มตัวลงกับพื้น จากนั้นเมื่อเธอแอบมองผ่านรอยแตกตรงกำแพงที่พังลง เธอก็พบสายตาอีกคู่หนึ่ง มันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์ เธอกระพรืบตาสองสามครั้งแล้วก็ถอยห่างออกไป อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปครึ่งเมตรและในที่สุดเธอก็รู้ว่าคืออะไร มันคือแกะนั่นเอง
โคโทริวนไปรอบพื้นที่ที่พังเสียหาย และเมื่อเธอเอนตัวมองไปด้านหน้าเพื่อมองเข้าไปด้านใน เธอก็เห็นแกะสามตัวกำลังกินหญ้าอยู่ แกะนั้นแค่มองเธอและเหมือนว่าไม่ได้สนใจตัวของเธอนัก
หากมีแกะอยู่ที่นี่ แบบนั้นพาสเทล เมรี่ก็คงจะอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อพูดถึงเด็กคนนั้นแล้ว เธอถูกสงสัยว่าคือหัวขโมยผลไม้สีเทา โคโทริไม่ได้รู้สึกดีใจมากนักที่เจอกับคนๆนี้ หรือว่าพวกเธออาจจะทำความเข้าใจกันได้หากได้คุยกันนะ? แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็สามารถใช้เหตุผลกับเธอได้มากกว่าเทพธิดา
ฉันเองยังสู้กับไพตี้ เฟรเดริก้าได้ เมื่อเทียบกันแล้ว… บางที
เธอควรที่จะคิดถึงมัน แต่มันไม่มีใครเลยที่เธอสามารถจะถามได้ โคโทริ นานายะไม่ได้สงสัยเลยว่าตัวเองเป็นบุคคลากรที่ควรถูกใช้ เธอคิดว่าตัวเองไม่เข้ากับการออกคำสั่ง ปฎิบัติการเป็นกลุ่ม วางตำแหน่งคน หรือรวมแผนเข้าด้วยกัน เมื่อเธอทำงานในฐานะเมจิคัลเกิร์ล มันก็ไม่เคยเลยที่จะอยู่ในขอบเขตของเธอ โดยทั่วไปแล้วการตัดสินใจของเธอมันไม่จำเป็น มันมีคนที่คิดได้ดีกว่า 7753 อยู่เสมออย่างเช่นหัวหน้าของเธอ —บนเกาะแห่งนี้ก็คงจะเป็นมานา— และเธอก็รู้ว่าการทำตามคำสั่งของคนอื่นนั้นดีกว่า
สายตาของโคโทริมองลงมาที่เต่า การได้เห็นดวงตากลมๆที่มองขึ้นมานั้นมันปลอบโยนหัวใจของเธอ แต่เต่ามันก็ไม่ใช่อะไรที่ควรจะไปถามหาคำแนะนำมา เธอไม่ได้มีเวลาที่จะลังเลและคิดว่าต้องทำอะไร มันยังไม่มีเวลาพอที่จะคิดด้วย มันไม่มีอะไรเลยนอกจากต้องเดินหน้า แค่คุยกัน เธอสามารถจัดการได้ หากเธอบอกพาสเทล เมรี่เรื่องข้อมูลที่เธอรู้มา บางทีพาสเทล เมรี่ก็อาจจะเปลี่ยนใจและกลายเป็นร่วมมือกับทุกคนแทน จากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว มันช่วยไม่ได้ที่เธอจะหวังเรื่องนั้น เธอพยักหน้าแล้วก็ยืนขึ้น
โคโทริได้ยินเสียงกระแทกของอะไรบางอย่างที่เป็นเหล็กขนาดใหญ่ มีอะไรบางอย่างที่หกออกมา มีเสียงร้องของเด็กสาวดังขึ้น และจากนั้นเสียงที่ดังที่สุดก็คือเสียงตะโกนของผู้ชาย “นี่ทำอะไรของเธอเนี่ย?!” จากนั้นมันก็เงียบลง
เธอจำเสียงของชายที่อยู่ในวัยชราได้ เธอรู้จักชายชราที่อยู่บนเกาะนี้เพียงคนเดียวมาตั้งแต่แรก อีกฝ่ายคือรากิ โคโทริวิ่งออกไปผ่านฝูงแกะที่จ้องมองมาที่เธอ มุ่งหน้าไปยังจุดที่เธอได้ยินเสียง เรื่องทั้งหมดของรากิที่เธอจดจำได้นั้นมันแย่ —เขาคือตาแก่หัวรั้น ชอบบ่น โกรธอยู่เสมอ และเขาก็เหนื่อยได้ง่ายๆ แต่เขาคือจอมเวทที่มีสถานะสูงพอที่กระทั่งมานาก็ยังเคารพเขา และมานานั้นจะตะครุบในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบทันที แม้จะเป็นในตอนที่รากิกำลังโกรธแล้วก็ตะโกนออกมาด้วยเหตุผลที่จริงจังก็ตามที
ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่โคโทริเชื่อไม่ใช่ใครบางคนที่เป็นมิตรหรือเข้ากันได้ง่ายๆ ใครบางคนที่ไม่โกหกหรือหลอกลวงนั้นมันดีกว่า ใครบางคนที่โง่เขลามากเกินไปมันก็จะกลายเป็นความดื้นรั้น เธอจินตนาการถึงภาพของชายชราที่หักหลังคนอื่นเพื่อผลไม้สีเทาไม่ออก —ความจริงแล้ว เหมือนว่าเขาจะดุด่าพาสเทล เมรี่เรื่องขโมยผลไม้ไปด้วย
โคโทริพุ่งตรงไปจากตรงมุม และในตอนที่เธอเริ่มสงสัยว่าตัวเองมาทำถูกรึเปล่านั้น เธอก็บีบความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งและทำการเดิน วิ่ง แล้วก็กระโดดออกไปแทน —เมื่อเวลาผ่านไปจนเธอได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า “ระวัง!” เธอก็ล้มคว่ำไปเรียบร้อยแล้ว
เธอพบว่ามีใครบางคนอยู่ด้านบน และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น สายตาของพวกเธอก็สบเข้าหากัน เมจิคัลเกิร์ลที่ดูหัวทึบพร้อมกับชุดที่ดูนุ่มนิ่ม —พาสเทล เมรี่นั่นเอง ก่อนที่เธอจะสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันก็มีเสียงเรียกดังขึ้นว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ?!” จากนั้นพาสเทล เมรี่ที่ก็หันไปรอบๆและตะโกนกลับไป “ไม่เป็นอะไร”
โคโทริยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจับมือที่ยื่นเข้ามาหาและดึงตัวขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ ที่นี่คือสวนงั้นเหรอ? ในพื้นที่เปิดโล่งนั้นมีรากิ เมรี่ และแกะเพียงไม่กี่ตัว —และเมื่อโคโทริเห็นร่างของเทพธิดาจำนวนมากนอนคว่ำหน้าอยู่ เธอก็กลืนเสียงกรีดร้องลงไปและเริ่มถอยไปด้านหลัง เมรี่พยายามจับตัวของเธอเอาไว้ แต่เท้าของเมรี่นั้นก็ลื่นล้มจนจับเอาไว้ไม่ได้ พวกเธอทั้งสองคนล้มตัวเข้าหากัน และรากิก็โกรธพวกเธอทั้งคู่ “ทำอะไรกันอยู่เนี่ย?! ให้ตายสิ!” พร้อมกับเอาไม้เท้ากระแทกเข้ากับพื้น
“เราขอโทษ” พาสเทล เมรี่พูด
“ขอโทษนะ” โคโทริพูดเสริมการขอโทษของตัวเองไปด้วย แม้ว่าจะขอโทษออกไปแล้ว เธอก็ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ดี “เอ่อ… มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอ?”
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว” รากิพูด “ต้องออกไปจากที่นี่”
เมรี่ช่วยยกตัวของโคโทริขึ้น แต่เธอก็เสียสมดุลย์จนล้มลงไป รากิตะโกนออกมาพร้อมกับการช่วยเหลือของแกะสองตัว เมื่อพวกเธอออกห่างจากกันสองสามก้าวได้แล้ว โคโทริก็มองกลับไปและรู้ว่าก่อนหน้านี้เธอมองไม่เห็นมัน ต้นหญ้าตรงพื้นที่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรนั้นดูซีดจาง เมื่อเธอมองเข้าไปใกล้ๆ เธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นหญ้าที่ดูซีดจาง มันมีถาดโปร่งใส —วัตถุประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนกับถาด— ลอยอยู่บนพื้น
“นี่คือ…?” โคโทริกำลังยื่นมือออกไป จากนั้นเสียงตะโกน “อย่าแตะมัน!” ก็ดังขึ้นในทันที เธอหันไปรอบๆและเห็นว่ารากิกำลังจ้องมองเธอแบบหน้านิ่วคิ้วขมวด ในตอนนี้เมื่อเธอคิด เธอก็นึกไม่ออกว่าเขาดูเป็นยังไงในตอนที่ไม่ได้โกรธหรือไม่ได้ไม่พอใจ
“เอ่อ มีมันอะไรเหรอ? อันตรายรึเปล่า?” โคโทริถาม
“คิดว่าถ้าเธอแตะมันล่ะก็ คงจะได้ตายแน่”
โคโทริถอยหลังกลับไปแบบอัติโนมัติทันที ด้านหลังศีรษะของเธอไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง เมรี่ร้องออกมาและโคโทริก็ร้องออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นรากิก็ตะโกนออกมา ในตอนที่โคโทริกำลังคลานอยู่นั้น จิตใจของเธอก็สับสน เธอคิดว่า ฉันต้องหนีจากเรื่องอันตรายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมกับกุมศีรษะของเธอตัวเอง เธอพยายามยืนขึ้น และจากนั้นภาพของเมจิคัลเกิร์ลเทพธิดาที่นอนหลับอยู่อย่างสงบนิ่งก็เข้ามาภายในภาพที่เธอมองเห็น แล้วโคโทริก็ร้องออกมาอีกครั้งพร้อมกับถอยหลังกลับ และหลังของเธอก็ไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง เมรี่ร้องออกมาและรากิก็ตะโกนออกมาตาม ส่วนเมย์ก็ขยับตัวไปมาอย่างสบายๆในเสื้อผ้าของโคโทริ
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
เร็นเร็นใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่จะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีมันอาจจะสั้นกว่าหรือนานกว่านั้น ร่างของคลาริสซ่าลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับของเหลวสีแดงที่สาดกระเซ็นไปทั่ว เมื่อหลังของเธอกระแทกเข้ากับพื้น เวลาของเร็นเร็นก็เริ่มเดินต่อ ความคิดเรื่องของศัตรูหลุดลอยออกไปจากหัวของเธอ ภายในหัวของเร็นเร็นมันเต็มไปด้วยเรื่องของคลาริสซ่าและเรื่องครอบครัวของคลาริสซ่าในตอนที่เธอพุ่งลงไปโดยที่ไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ตัวของคลาริสซ่ากระเด้งและกำลังจะลงมาที่พื้นเป็นครั้งที่สอง เร็นเร็นก็จับตัวของเธอเอาไว้จากด้านข้างได้ เธอทิ้งรอยที่เกิดจากขาซ้ายและขวาเอาไว้บนพื้น คอยจับตัวเอาไว้จนกระทั่งหลังของตัวเองกระแทกเข้ากับต้นไม้หนาและหยุดลง
เร็นเร็นกำลังจะพูดออกมาว่า “เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” แต่คำพูดมันก็หายไปก่อนที่จะออกมาจากปากของเธอ เลือดนั้นยังคงไหลออกมาแบบไม่หยุดจากแขนของเร็นเร็นในตอนที่จับตัวของคลาริสซ่าเอาไว้ มันทำให้หน้าอก หน้าท้อง และทุกๆส่วนที่สัมผัสเต็มไปด้วยเลือด การแปลงร่างของคลาริสซ่าคลายลง เธอเป็นแค่เด็กสาวที่ดูธรรมดาๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เป็นแฟชั่นยุคก่อนกับกระโปรงที่มีสายคาดนั้นเข้ากับร่างเล็กๆได้ดี กระดูกที่หักแทงทะลุออกมาจากหลายที่ ทั่วร่างของเธอนั้นอ่อนแรง ความอบอุ่นของร่างกายค่อยๆหายไป ชีพจรและลมหายใจมันหายไปเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เร็นเร็นก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันคือแขนของเธอเองที่สั่นเทา
ทุกสิ่งที่อยู่ภายในหัวของเร็นเร็นนั้นมันยากสำหรับตัวของเร็นเร็นที่จะอธิบายหรือระบุออกมา มันมีเด็กสาวตัวน้อยที่พยายามกลับไปหาแม่ และในตอนนี้ร่างของเธอก็แน่นิ่งอยู่ภายในอ้อมแขนของเร็นเร็น อะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะมีรูปร่างก็ค่อยๆมีรูปร่างขึ้นมา เด็กสาวตัวน้อยก็คือเร็นเร็น เธอคือตัวของเร็นเร็นเอง คนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลในการค้นหาครอบครัวที่อบอุ่น เธอเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากเร็นเร็น คนที่กลับมาไม่ได้ ร่วงหล่นลงไปโดยไปไม่ถึงเป้าหมายของตัวเอง แม้ว่าเรื่องนี้คือคนที่เธอควรจะปกป้องอย่างมากที่สุด เด็กสาวก็หลุดร่วงออกจากอ้อมแขนของเธอลงสู่พื้นดิน
ตัวของเธอสั่นไหวไปมา เสียงที่เหมือนกับกบหลุดออกมาจากลำคอ ร่างกายมันไม่ยอมหยุดสั่น ทิวทัศน์ที่มองเห็นก็บิดเบี้ยว ผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วยสายรุ้ง เธอได้ยินเสียงที่ตัวเองไม่ควรจะได้ยิน สายลมที่ไม่ได้พัดกำลังส่งเสียงออกมา ตอนที่ร่างกายและจิตใจของเร็นเร็นกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง มันก็มีเสียงตบดังขึ้นที่ตรงแก้ม
เธอจ้องมองไปที่เมจิคัลเกิร์ลคนนั้น ท่าทางของเธอนั้นดูเรียบเฉย —ไม่สิ มันเป็นอะไรอย่างอื่น เธอจับคอเสื้อของเร็นเร็นเอาไว้ด้วยมือซ้าย ในขณะที่มือขวาแบออกแล้วยกขึ้น ทิวทัศน์อันแปลกประหลาดกลับคืนสู่ปกติ เสียงที่ทำความเข้าใจไม่ได้ก็หายไปเช่นกัน ที่แก้มของเร็นเร็นมันอาการแสบร้อนอยู่ เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นได้ทำร้ายเธอ
“พอได้แล้ว มันยังไม่จบ”
ดินและต้นไม้กำลังลอยขึ้นไปที่ด้านหลังของเมจิคัลเกิร์ล แม้ว่ามันจะดูเหมือนกับเรื่องตลก แต่มันก็ไม่ใช่ ที่แห่งนี้ไม่มีการโกหกหรือเรื่องตลกอยู่ เมจิคัลเกิร์ลยกขาหน้าที่เป็นม้าขึ้นและกระทืบลงมา กีบเท้าประทับลงไปที่พื้นและทิ้งรอยเอาไว้ เร็นเร็นเปิดปากออก เธอหายใจได้ไม่ดีนัก ของเหลวอุ่นๆมันไหลลงมาจากแก้ม เธอกอดร่างเย็นๆของเด็กสาวเอาไว้ตรงหน้าอก กลิ่นของเลือดนั้นโชยขึ้นมาที่จมูก
“แต่เธอ… เธออยากจะเจอกับแม่ อยากเจอกับครอบครัวของตัวเองนะ” เร็นเร็นแย้ง
“ชั้นเองก็เหมือนกัน ชั้นจะรอดกลับไปหาครอบครัวตัวเอง เธอก็ด้วย” คำพูดของแคลนเทลมันไม่ได้หนักแน่น มันฟังดูเหมือนกับว่าเธอพยายามพูดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเลยทำให้คำพูดแต่ละคำนั้นดูไม่คล่องและยากที่จะจับใจความ แต่ทุกๆคำพูดของแคลนเทลมันทำให้สมองของเร็นเร็นสั่นสะท้านไปจนถึงแก่นภายในตัว ดวงไฟเล็กๆถูกจุดขึ้นภายในตัวของเธอที่เหน็บหนาวไปจนถึงกระดูก มันทำให้ตัวของเธออุ่นขึ้นจากภายใน
“จะสู้หรือจะหนี เลือกเอาหนึ่งอย่าง อยู่ตรงนี้มันไม่ดี” เมื่อแคลนเทลพูดมันออกมาแล้ว เธอก็หันไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” เร็นเร็นเรียกแคลนเทลให้หยุด เธอยื่นผลไม้สีเทาจำนวนหนึ่งที่มากจนล้นฝ่ามือไปให้แคลนเทล และก่อนที่เธอจะพูดอะไร เธอก็กระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทิวทัศน์ที่เธอมองเห็นอย่างพร่ามัวมาโดยตลอดในตอนนี้มันมองเห็นได้อย่างชัดเจน ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวตัดกันอย่างชัดเจน แม้จะมีดินและต้นไม้ลอยขึ้นมา มันก็ไม่สูญเสียสัมผัสการเชื่อโยงกับความเป็นจริงไปเลย ใบหน้าของเนฟิเรียลอยขึ้นมาบนเมฆอย่างรางๆ และหัวเราะ ชิชิ แบบของเธอออกมา แบบนี้มันคงไม่เป็นอะไร เร็นเร็นเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เธอเข้าใจว่าตัวเองเป็นใคร สิ่งที่เธอต้องทำคืออะไร และสิ่งที่ไม่ควรทำคืออะไร ภาพของคลาริสซ่าที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับแม่ลอยขึ้นมาในใจ มันคือภาพแห่งความสุขที่แสนล้ำค่าซึ่งเธอจะไม่มีวันได้เห็นมันอีกครั้ง
ครั้งต่อไป เธอจะไม่ล้มเหลวในการปกป้องคนที่เธอจะปกป้องอีกเด็ดขาด เธอจะต่อสู้ในสถานที่ที่มอบโอกาสแห่งความสำเร็จให้เธอมากที่สุด เลิฟมีเร็นเร็นคือผู้ปกป้องแห่งความรักและครอบครัว: เธอจะปกป้องความรักของครอบครัวด้วยชีวิตของเธอ
เร็นเร็นตั้งสติได้อีกครั้ง เธอยังรู้ตัวเองทำตัวไม่ถูกต้องเลยจนถึงตอนนี้ เธอยื่นมือออกไป แบออกแล้วก็กำมัน หายใจเข้าไปในปอดลึกๆ ให้ลมหายใจเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย
ความทรงจำที่เคยบิดเบี้ยวมันกลับมาแล้ว —ในคราวนี้มันกลับมาอย่างชัดเจน แม่กับพ่อของเธอทะเลาะกัน น้องสาวของเธอกำลังร้องไห้และพยายามจะเข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่ ร่างกายเล็กๆนั้นถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วจนกระแทกกับผนังและหยุดเคลื่อนไหว เสียงกรีดร้องของเด็กสาวมันกลบเสียงร้องของแม่และเสียงตะโกนของพ่อ จากนั้นความทรงจำมันก็ถูกตัดขาดตรงนี้ และเธอก็ไม่เห็นอะไรอีก
ไม่มี…. อีกแล้ว…
เธอจะไม่ทำแบบเดียวกันซ้ำอีก เธอจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำ เร็นเร็นจะหยุดมัน
พ่อกับแม่ของเธอกำลังทะเลาะกัน พ่อนั้นใช้คฑาส่วนแม่นั้นใช้เรเปีย และจากนั้นน้องสาวของเธอก็วิ่งเข้าไปหาทั้งคู่ หากเป็นแบบนี้ น้องสาวของเธอก็จะตาย หลายครั้งที่เธอนึกถึงมันก็น่ารำคาญ —ทุกสิ่งที่น้องสาวทำคือตามเธอและเรียกเธอว่า “พี่คะ พี่คะ” แต่กระนั้นเธอก็ยังคงเป็นน้องสาวที่แสนน่ารักอยู่ดี แม้ว่าเธอจะกระโดดขึ้นจากพื้นด้วยร่างกายครึ่งล่างที่เป็นสัตว์ เธอก็ยังคงเป็นน้องสาวอยู่ดี เร็นเร็นต้องปกป้องเธอ แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องใช้ร่างกายของตัวเองปกป้อง แม้จะเป็นการสละชีวิตของเธอไป เธอก็ต้องปกป้องน้องสาวให้ได้
ภายในหัวของเธอมันชัดเจนกว่าที่เคยเป็นมา เร็นเร็นดึงเอาลูกศรออกมากระบอกใส่เกินกว่าสิบสองดอกออกมาในครั้งเดียวแล้วก็ง้างมันเข้ากับธนู เธอสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของสายลมได้ มองเห็นแม้กระทั่งน้ำหนักของอากาศ ก่อนที่จะยิงลูกศรออกไป เธอก็มองเห็นวิถีของการยิง ในตอนนี้เธอมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ เธอสามารถทำอะไรก็ได้ เมื่อคิดถึงตอนที่แก้ไขเรื่องราวทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็น้องสาว รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเร็นเร็น
☆ เนฟิเรีย
การเปลี่ยนเคียวของตัวเองไปเป็นคฑาของราเรโกะมันทำให้เธอสามารถเดินได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย แต่กระนั้นมันก็ยังคงเจ็บปวด แต่เธอก็อดทนกับความเจ็บปวดนั้นและเดินต่อไป เช่นเดียวกับความรู้สึกแย่ๆที่ต้องแตะต้องศพเพื่อให้ได้ข้อมูลบางอย่างมา ส่วนที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการคาดเดาของเนฟิเรีย
เธอได้ยินเสียงดังอย่างต่อเนื่องจากอีกฝั่งของคฤหาสน์ มันทำให้บาดแผลของเธอรู้สึกเจ็บ เช่นเดียวกับภายในจิตใจ เร็นเร็นเป็นยังไงบ้างนะ? นี่คลาริสซ่าทำตามที่พูดไว้ได้รึเปล่า? แม้ว่าพวกเธอจะอยู่ใกล้ๆ อารมณ์ของเธอมันก็เหมือนกับครอบครัวของทหาร ความกังวลนั้นมันอยู่ห่างไกลจากสนามรบ
แต่สิ่งที่เธอต้องทำนั้นมันไกลเกินกว่าคำว่างดงาม มากกว่าคำว่าสกปรก มีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่าผู้คนที่ต่อสู้ในแนวหน้า การที่เธอแตะต้องร่างคนตายเช่นนี้ เธอก็ไม่ได้ต่างไปจากไฮยีน่าหรือแร้งเลย
เธอเดินผ่านทางเข้าที่มันกว้างขึ้นกว่าเดิมเพราะการทำลายเพื่อเข้าไปในอาคารหลัก เธอได้ยินเสียงของการต่อสู้ที่มาจากอีกฝั่งของอาคารหลัก ดังนั้นถึงจะระมัดระวังตอนที่อยู่ตรงนี้เกินไปก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก แต่ถึงจะเข้าใจเรื่องนั้น เธอก็ไม่ได้วางการ์ดลง คอยเงื้อหูขึ้นฟังจากเงาหนึ่งไปอีกเงาในตอนที่ตามร่องรอยของการทำลายไป เมื่อเธอมาถึงสถานที่ที่เดิมทีดูเหมือนว่าจะเป็นห้องครัว เธอก็ยกหม้อขึ้นจากพื้นและดื่มน้ำซุปที่อยู่ข้างในก่อนที่จะนั่งลงไปบนเตาถ่านยุคก่อนแบบเบาๆ แม้จะเป็นเธอที่อยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล ซุปที่เชพเพิร์ดพายทำขึ้นมาเป็นพิเศษนั้นมันก็ยังคงอร่อย
การออกมาจากห้องครัวมาที่โถงทางเดินนั้นมันทำให้ใบหน้าของเนฟิเรียบึ้งตึง สภาพที่ถูกทำลายของที่นี่มันแย่เอามากๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าสิ่งต่างๆจะถูกทำลายไปขนาดไหน มันก็จะยังคงมีสิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ที่เธอสามารถเดาได้ว่าเดิมทีแล้วมันเคยอยู่ที่นี่ ในตอนนี้มันไม่ได้มีแม้กระทั่งเศษอะไรเหลืออยู่เลย พื้นทั้งหมดมันถูกขุดขึ้นมาจากฐาน มันคว้านไปถึงดินที่อยู่ด้านล่าง มันดูเหมือนรถถังปริศนาที่มีสว่านอยู่ด้านหน้าที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอย่างเต็มพิกัดผ่านอาคารหลักไป —เพดานที่ร่วงลงมาและเสาที่เหลืออยู่พยายามซ่อนมันเอาไว้ แต่มันก็ซ่อนไว้ไม่ได้ทั้งหมด พวกมันดูเหมือนกับหิมะสีซีดที่มีรอยเท้าอยู่ด้านบน
เมื่อเธอมองขึ้นไป เธอก็สามารถมองเห็นเพดานของชั้นสอง การที่มันไม่ได้พังลงมาทั้งหมดคือความจริงที่น่าประทับใจเช่นกัน
เธอกระโดดลงบนเศษซากปรักหักพัง แรงสั่นสะเทือนนั้นมันแล่นผ่านเข่าของเธอจนทำให้ต้องกัดฟัน ในตอนที่เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไหลเข้ามาผ่านทางฝ่าเท้า ใบหน้าของเธอก็บึ้งตึงมากยิ่งขึ้น พื้นที่ที่ถูกทำลายนั้นมันร้อน เหมือนว่าจะไม่ใช่รถถังปริศนาที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่มันคืออาวุธลำแสงต่างหาก
เมื่อเธอตามรอยของการทำลายไป พื้นที่มันก็ค่อยๆแคบลง เธอถอนหายใจออกมาและคิดว่าหากมันจะเป็นแบบนี้ ไม่กระโดดลงมาซะก็ดี เธอขึ้นมาที่พื้นอีกครั้ง และเส้นทางที่ถูกทำลายก็สิ้นสุดลง เนฟิเรียหรี่ตา แบบนี้มันไม่ได้มากพอที่จะเรียกว่าการทำลายล้าง แต่มันคือรอยของอะไรบางอย่างที่กระแทกกับพื้น การที่มีรอยหยดอยู่ ทำให้เธอคิดว่ามันคงกลิ้งไปมาพร้อมกับกระแทกสิ่งต่างๆไปด้วย
เธอเข้าไปลึกขึ้น เลือดสีแดงฉานมันกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ไม่ใช่แค่ที่พื้นและกำแพง —มันมีอยู่บนเพดานด้วย ซึ่งบ่งบอกว่าเหยื่อนั้นมีบาดแผลที่ร้ายแรงขนาดไหน การที่เธอวิ่งเข้าหาสิ่งพวกนี้ ล้มลง ไถลตัวไปกับพื้น มันได้นำเธอมาสู่ประตูพังๆบานหนึ่ง เนฟิเรียเปิดประตูส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ออกด้วยไม้เท้าของเธอและก้าวเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหน้า
มันมีใครบางคนอยู่ที่พื้น เธอกำลังสวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง คนที่สวมชุดที่ไม่เข้ากันแบบนี้คือดรีมมี่☆เชลซีก่อนการแปลงร่าง เธอเอนตัวพิงกับกำแพง ศีรษะห้อยลงมาอย่างอ่อนแรง เนฟิเรียเข้าไปหาเธอ ก้มตัวลง จับข้อมือและเขย่าศีรษะ จากนั้นก็พนมมือขึ้นและโค้งตัว
เมื่อมองดูกำแพงที่เชลซีกำลังพิงอยู่ เธอก็ถอนหายใจออกมา มันมีรอยสีแดงเข้มที่เป็นรูปคนอยู่บนกำแพง กำแพงนั้นร้าวลึกและกว้างออกไปตรงส่วนมือ บางทีเธออาจจะพยายามเอาสองมือกระแทกเมื่อโดนโจมตี ซึ่งหมายถึงเธอพยุงตัวเองเอาไว้ —ในขณะที่บาดแผลมันร้ายแรงพอที่จะทำให้รูปร่างของมนุษย์เต็มไปด้วยเลือด
เนฟิเรียเปิดส่วนหน้าอกของชุดคลุมอาบน้ำและสำรวจร่าง มันมีรอยเฉือนกว้างที่ด้านหน้าตั้งแต่ไหล่ไปจนถึงหน้าท้อง เลือดของเธอไหลออกมามากพอจนกลายเป็นแอ่งในบริเวณที่นั่งอยู่ แต่รอยเฉือนนั้นถูกเย็บเอาไว้ด้วยหินก้อนเล็กๆที่แกะสลักเหมือนกับหัวลูกศรซึ่งปิดแผลเอาไว้เหมือนกับลวดเย็บกระดาษ เชลซีคงจะใช้ “ดวงดาว” ของเธอเพื่อห้ามเลือด
ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้จากการที่เธอล้มตัวลงและจัดการกับเลือดที่ไหลออกมามันบอกเนฟิเรียว่าเธอทำทุกอย่างเพื่อให้รอดชีวิตจนถึงท้ายที่สุด แต่ความจริงนั้นมันก็ยิ่งทำให้เนฟิเรียรู้สึกเศร้า เมื่อใครบางคนต่อสู้และต่อสู้จนถึงตายในท้ายที่สุด มันจะส่งผลต่อคนที่เฝ้าดูอย่างรุนแรงที่สุดด้วย
เอาล่ะ
เนฟิเรียสัมผัสเท้าของเชลซี มันยังคงอุ่น —ซึ่งบ่งบอกว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ความตายที่สดใหม่มันรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาบ่นได้ เธอแค่ลูบเท้าของอีกฝ่าย
เสียงนั้นมันออกมาจากปาก ไม่ก็จมูก ซึ่งทำให้เนฟิเรียหลับตาลงหนึ่งข้างและเอียงศีรษะ มันใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะรู้ว่าเสียงที่ดังขึ้นเป็นชุดพวกนี้มันคือเพลง มันขาดหายและแหบแห้ง อ่อนแอยิ่งกว่าตั๊กแตนในฤดูหนาว มันฟังดูเหมือนกับการฮัมเพลง และมันไม่ใช่เพลงที่เนฟิเรียรู้จัก
ร้องเพลงก่อนที่จะตาย เธอคงจะเสียสติไปแล้ว แม้แต่คนที่มีประสบการณ์บางครั้งก็อาจจะคุ้มคลั่งขึ้นในตอนที่จะตาย เนฟิเรียไม่ได้คิดว่ามันมีความหมายอะไร เธอเริ่มลูบอย่างเร็วขึ้นเพื่อให้ผ่านมันไป เมื่อคำว่า “เชลซี” ดังออกมา เนฟิเรียก็รู้ว่ามันเป็นเพลงประเภทไหน นี่คือออริจินอลธีมซองหรืออะไรแบบนั้น มันยากที่จะทนไหวแต่เธอก็ต้องทำต่อไป
“มีปัญหาอยู่ตลอด… แต่แน่นอนว่าเธอต้องมา… เพราะว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ล… ช่วยฉันที เชลซี”
เสียงนั้นหยุดลง เสียงของเธอไม่ได้ออกมาราวกับว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ เนฟิเรียก็ใช้มือล้วงเข้าไปในลำคอตัวเองเพื่อทำให้โล่งหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกๆอยู่ ทำไมจู่ๆเสียงของเธอก็หายไปและไม่ออกมาอีกล่ะ? เมื่อมีมือยื่นเข้ามาหา เธอก็ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก หญิงสาวที่เอนตัวพิงกับกำแพงยื่นมือเข้ามาหาและจับแขนของเนฟิเรียเอาไว้
ลมหายของเนฟิเรียขาดห้วงไป ท่าทางของหญิงสาวที่บีบมือของเธออยู่นั้นน่าสยดสยอง ริมฝีปากที่ซีดจางกำลังสั่นไหว คำพูดของเธอแทบจะขาดหายไป แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ได้… ยินเสียง…” —น้ำเสียงที่พึมพำของเธอกลายเป็นเสียงกระซิบ จากนั้นก็กลายเป็นเสียงที่เงียบกว่ายุงบินแล้วก็หายไป— “ขอ… เชลซี… ให้… ช่วย…” เธอก้มศีรษะลงโดยที่ยังไม่ได้พูดจบ
เนฟิเรียปล่อยเท้าที่จับเอาไว้และบดผลไม้สีเทาที่ดึงออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ใส่ผลไม้เข้าไปในปากของหญิงสาวลูกแล้วลูกเล่า
เธอ…!
เธอตายไปแล้ว มันไม่มีทางผิดพลาดแน่เพราะเนฟิเรียทำงานเกี่ยวข้องกับการติดต่อกับคนตาย ชีวิตของเชลซีมันถึงจุดสิ้นสุดแล้วไปแล้ว ทุกอย่างมันบ้าชัดๆ มันบ้า แต่มันก็สามารถพูดได้ว่าเพราะเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันก็เลยเป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะความศรัทธาในเมจิคัลเกิร์ลของเธอ ความแข็งแกร่งของจิตใจ ประสบการณ์ และสิ่งต่างๆทางกายภาพที่เข้าข้างเธอ —ว่าเธอตกลงมาแบบไหน หยุดเลือดที่ไหลออกมายังไง ร่างกายที่แข็งแกร่งและความอึดที่น่าเหลือเชื่อของเธอไม่ยอมปล่อยให้วิญญาณหลุดออกไป และบางที —แรงผลักดันครั้งสุดท้ายในการเรียกชื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ มันทำให้เธอกลับมาได้—
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน หากเธอกลับมา มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องส่งเธอออกไปอีกครั้ง หากเธอใช้งานได้ แบบนั้นเนฟิเรียก็ต้องใช้งานเธอ ผิวหนังของหญิงสาวค่อยๆเริ่มมีสีขึ้นมา และนิ้วของเธอก็กระตุก
☆ แคลนเทล
คลาริสซ่านั้นช่วยไม่ได้แล้ว แคลนเทลรู้ดีกว่าใครว่าความปรารถนาของเธอที่ไม่อยากให้ใครตายมันไม่กลายเป็นความจริง สิ่งที่มีชีวิตมันต้องตาย แต่กระนั้น เธอก็ไม่อยากให้มันตาย เธอไม่อยากให้มิสมาร์เกอริต เร็นเร็น หรือคนอื่นๆต้องตาย เธอกลืนผลไม้สีเทาลงไปหนึ่งครั้ง น้ำหวานของผลไม้มันเอ่อขึ้นมาเกือบถึงจมูกจนได้กลิ่นของมัน
มิสมาร์เกอริตยังคงเข้าปะทะกับเทพธิดา เธอไม่สามารถทำการโจมตีได้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเทคนิคบางอย่างหรือเวทมนตร์ที่เทพธิดาใช้ แคลนเทลต้องทำให้เทพธิดาวอกแวก ต้องขัดขวางการเคลื่อนไหวและทำให้มิสมาร์เกอริตโจมตีได้
แคลนเทลร่างแผนการขึ้นในหัว และเปลี่ยนร่างกายครึ่งล่างจากม้าควอเธอร์*เป็นสปริงบ็อก* แล้วก็เร่งความเร็ว มิสมาร์เกอริตร้องออกมาว่า “อย่า!” เธอคงสัมผัสได้ถึงเสียงกีบเท้าของแคลนเทล แต่แคลนเทลก็พุ่งเข้าไปอย่างไม่ได้สนใจ ในการที่จะสร้างช่องว่างนั้นเธอจะต้องโจมตี ด้วยความแข็งแกร่ง เวทมนตร์ที่ยืดหยุ่น และความสามารถในการหลบของเธอแล้ว แคลนเทลคือคนที่เหมาะสมกับบทบาทนั้นมากที่สุด
*สายพันธุ์ม้าที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกาที่เก่งเรื่องการแข่งขันระยะสั้นhttps://en.wikipedia.org/wiki/American_Quarter_Horse
*สัตว์กับเท้าชนิดหนึ่งจำพวกแอนทิโลป (คล้ายกวางแต่ไม่ใช่กวาง) เขาสัตว์มีลักษณะเป็นเกลียวและข้างในกลวงhttps://en.wikipedia.org/wiki/Springbokhttps://en.wikipedia.org/wiki/Antelope
แต่เธอก็ยังคงดีใจที่มิสมาร์เกอริตเป็นห่วงเธอ มันทำให้หัวใจของเธอแน่วแน่มากยิ่งขึ้น แคลนเทลต้องเข้าไปก่อน เธอตัดสินแล้ว
เธอแปลงร่างจากสปริงบ็อกไปเป็นชีตาร์ ใช้การเปลี่ยนแปลงความสูงเพื่อหลบการเล็งของศัตรูและเร่งความเร็ว จังหวะที่ระเบิดความเร็วนั้นมันรวดเร็วเกินไปกว่าที่แคลนเทลจะควบคุมได้ เธอลงมาที่พื้นและกระโดดขึ้นไป กิ่งไม้ ใบไม้ และดินร่วงลงมาอย่างช้าๆ เธอมุ่งหน้าไปทางขวาและเล็งเข้าไปที่สีข้างของเทพธิดา —แต่สายตาของพวกเธอก็สบเข้าหากัน และเทพธิดาก็หันกลับเข้ามาหาแคลนเทล
การตอบสนองมันมากกว่าที่คาดคิด แต่ในตอนนี้แคลนเทลก็ไม่ได้โดนโจมตีอะไร แคลนเทลเห็นตัวของเธอคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นโล่หรือเหยื่อล่อแบบง่ายๆเพราะว่าตัวของเธอเป็นแบบนั้น —เธอไม่ได้ทำเรื่องนี้เพราะว่ามีจิตวิญญาณแห่งความเสียสละหรือความต้องการที่จะฆ่าตัวตาย แม้ว่าเส้นทางสู่ชัยชนะมันจะแคบ แต่ก็ใช่ว่ามันไม่ได้ไม่มีอยู่เลย
เธอไม่ได้อยากให้ใครตาย ตัวของแคลนเทลก็รวมอยู่ในนั้น ชีวิตของเธอมันสำคัญกับเธอ เช่นเดียวกับเพื่อนของเธอ เธอต้องไม่ทำให้มันเสียเปล่า
จากนั้นการมองของเทพธิดาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่มองมาที่แคลนเทล —แต่เป็นด้านหลังและเฉียงขึ้นไปทางขวา ใบไม้สั่นไหว กิ่งไม้เองก็หัก เทพธิดาเปลี่ยนท่ายืนไปใช้คฑาเพื่อทุบลูกศรที่ยิงเข้ามาจากด้านบน แคลนเทลแปลงร่างเป็นเสือพูม่า*และกระโดดสูงขึ้นไป ตอนที่อยู่กลางอากาศเธอก็แปลงร่างเป็นลิงแมงมุม* เธอจับลูกศรที่ยิงไปด้านหลังด้วยหางที่ยาวและว่องไว ลูกศรนั้นถูกยิงออกมาเหมือนกับห่าฝน ทั้งบนพื้น ต้นไม้ และใบไม้ มันถูกยิงออกไปทั่วทุกที่ราวกับไม่ได้เล็งไปที่ไหน
*เสือพูม่า – https://en.wikipedia.org/wiki/Puma_(genus)*ลิงแมงมุม – https://en.wikipedia.org/wiki/Spider_monkey
เมื่อเริ่มวิ่ง แคลนเทลก็ขึ้นไปบนยอดต้นไม้ด้วยการกระโดดแค่ครั้งเดียว ใช้กรงเล็บที่ยาวของตัวเองจับกิ่งไม้เอาไว้และหมุนตัวไปรอบๆ และในตอนที่เธอมองไปด้านหลัง เธอก็มองเห็นเร็นเร็นง้างธนูขึ้นมาหลายดอก
แคลนเทลขยับตัวจากกิ่งไม้ไปยังกิ่งไม้อีกที่ เมื่อเร็นเร็นยิงลูกศรออกมาอีก เธอก็จับเอาไว้ด้วยหาง เร็นเร็นเล็งมาที่แคลนเทลด้วยเหตุผลบางอย่าง เทพธิดาทุบลูกศรที่ยิงลงมาในขณะที่มิสมาร์เกอริตกลิ้งตัวอยู่บนพื้น พื้นที่ที่ทั้งสองคนต่อสู้เต็มไปลูกศรเหมือนตัวเม่น เร็นเร็นนั้นโจมตีทุกคน แคลนเทลไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เร็นเร็นทำอยู่ในตอนนี้
“เร็นเร็น! พอได้แล้ว!” มิสมาร์เกอริตตะโกนออกมา แต่เร็นเร็นก็ไม่ได้หยุด
เธอดิ่งลงมาสิบเมตรในทันทีเพื่อบินเรียบไปกับพื้นและยังคงยิงลูกศรออกมาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุด นี่มันต่างจากตอนที่เธอยิงออกมาแบบไม่หยุดไปทั่วทุกพื้นที่ ลูกศรแต่ละดอกที่ยิงออกมามันมีการคุกคามถึงชีวิตในตอนที่เล็งเข้าหาเมจิคัลเกิร์ลอยู่ด้วย เทพธิดาเหวี่ยงขวานเพื่อจัดการลูกธนู มิสมาร์เกอริตกระโดดไปมาบนพื้น ในขณะที่แคลนเทลวิ่งผ่านต้นไม้พร้อมกับปัดลูกธนูออกไปด้านข้างด้วยหาง ลูกศรดอกที่สองนั้นถูกซ่อนเอาไว้หลังดอกแรก และแคลนเทลก็จับมันเอาไว้ด้วยมือลิงพร้อมกับปัดดอกที่สามออกไปด้านข้างด้วยมือของเธอเอง ลูกศรนั้นมันเร็วมาก หากเธอประมาทแม้แต่นิดเดียวล่ะก็คงโดนเข้าแน่
เธอเคลื่อนตัวไปตามกิ่งไม้เพื่อซ่อนตัวจากเร็นเร็น ลูกศรของเธอยังคงเสียบเข้าไปที่ต้นไม้อย่างต่อเนื่อง
มิสมาร์เกอริตนั้นสับสน ความรับผิดชอบของเธอมันมากเกินไปจนทำได้แค่หลบ จากตำแหน่งที่แคลนเทลอยู่มันก็โจมตีได้ยาก แต่แรงกดดันที่เธอมีมันก็น้อยกว่ามิสมาร์เกอริต และเธอก็ไม่ได้ไขว้เขวแม้แต่น้อย กระทั่งเทพธิดา คนที่ดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านกับอะไรก็ตาม ในตอนนี้เองก็ดูสับสน ไม่มีใครเลยที่เข้าใจว่าเร็นเร็นทำอะไร
เร็นเร็นนั้นอยู่ทั่วทุกที่ เธอบินจากบนฟ้าไปที่ระหว่างต้นไม้ บินลงมาเฉียดพื้นเองก็ด้วย เธอยิ้มออกมาเหมือนกับว่าดีใจด้วยเหตุผลบางอย่าง นี่เธอเสียสติไปแล้วงั้นเหรอ? แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ดูมีความชำนาญมาก เธอวนไปด้านหลังมิสมาร์เกอริตและยิงลูกศรออกไปจากการบินต่ำ จากสิ่งที่แคลนเทลเห็น การที่มิสมาร์เกอริตหลบได้นั้นมันแทบจะเรียกได้ว่าปาฎิหาริย์ มันเป็นการยิงที่ยอดเยี่ยมมาก
มิสมาร์เกอริตทิ้งตัวลงบนพื้นเหมือนกับกิ้งก่า ลูกศรที่ยิงเข้าหาจุดที่เธออยู่ก่อนหน้านี้ก็ตรงเข้าไปหาเทพธิดา คนที่สะบัดชายกระโปรงขึ้นเพื่อทำให้ลูกศรร่วงลงมาก่อนที่จะโดน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที
เร็นเร็นเล็งไปที่มิสมาร์เกอริตในขณะเดียวกันก็ใช้มิสมาร์เกอริตเป็นกำบังเพื่อเล็งไปที่เทพธิดา มันเป็นการเคลื่อนไหวที่น่ารังเกียจ คาดเดาไม่ได้สำหรับมิสมาร์เกอริตคนที่ควรจะเป็นพวกเดียวกัน แม้กระทั่งเทพธิดา คนที่คิดว่าควรจะเป็นศัตรูด้วย การเคลื่อนไหวนี้มันทำให้เทพธิดาชะงัก การเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันแบบปกติของเทพธิดา —ที่ย่อตัวลงต่ำพร้อมกับปัดลูกศรออกไปด้านข้างด้วยคฑา— ทำได้ไม่ทันเวลา เทพธิดาถูกบังคับให้ต้องหลบอย่างฉุกเฉินซึ่งมันทำให้ตัวของเธอไม่ได้สมดุล
แคลนเทลยังคงไม่รู้ว่าเร็นเร็นพยายามทำอะไร แต่เธอสามารถใช้เรื่องนี้เป็นความได้เปรียบได้ แคลนเทลเปลี่ยนร่างจากลิงแมงมุมไปเป็นเสือดาว เธอยังคงอยู่ในจุดบอดของเร็นเร็นในตอนที่วิ่งลงมาจากต้นไม้และเปลี่ยนไปเป็นจระเข้ยักษ์ ใช้การเปลี่ยนแปลงขนาดเพื่อย่นระยะเข้าหาเทพธิดาในทันทีพร้อมกับตวัดหาง
มิสมาร์เกอริตร่วมมือกับเธอ เธอขว้างหินออกมาจากท่าทางแปลกๆที่คว่ำหน้าอยู่กับพื้น แม้ว่าเทพธิดาจะเสียสมดุลย์ เธอก็ยังคงกวัดแกว่งคฑาเพื่อปัดก้อนหินออกไปได้ จากนั้นก็สะบัดตัวไปอีกทางเพื่อปัดลูกศรลง เทพธิดาจับหางหนาๆของจระเข้เอาไว้ด้วยมือที่ว่างอยู่แล้วก็บีบราวกับว่ากำลังบดมันผ่านเกล็ดหนา ร่างของแคลนเทลลอยขึ้นไปในอากาศ แม้ห่างของเธอจะยาวเกินสองเมตร แต่เทพธิดาก็เหวี่ยงจระเข้น้ำเค็มที่ดูเหมือนกับไดโนเสาร์นี้ไปรอบๆด้วยมือข้างเดียว
แคลนเทลเปลี่ยนร่างจากจระเข้เป็นแฮ็กฟิช* ใช้เมือกที่ตัวเองมีเพื่อทำให้หลุดออกจากนิ้วของเทพธิดาและหนีออกมาจากการจับ เรื่องนี้มันทำให้เทพธิดาเสียการทรงตัวมากยิ่งขึ้น มิสมาร์เกอริตยกตัวขึ้นด้วยเข่าเพื่อก้าวไปข้างหน้าและแทงออกไปด้วยแรงอันน่าเหลือเชื่อและมันก็ถูกป้องกันไว้ด้วยคฑา
*ปลาที่มีรูปร่างคล้ายปลาไหล และมีเมือกอยู่ทั่วตัว https://en.wikipedia.org/wiki/Hagfish
แคลนเทลเปลี่ยนร่างเป็นเสือและโจมตีเข้าหาเทพธิดา เทพธิดาจับด้ามขวานที่ห้อยลงมาจากคอด้วยมือที่ยังคงเต็มไปด้วยเมือกแล้วก็ดึงออกพร้อมกับดินที่ติดอยู่ เลือดมันพุ่งออกมาจากลำคอของเทพธิดา แต่เลือดที่ออกมาก็ไม่ได้รุนแรงตามความลึกของบาดแผล มันเริ่มที่จะหยุดไหลแล้ว มิสมาร์เกอริตฟันเข้าไปจากนั้นก็ตวัดออก และเทพธิดาก็ตอบสนองด้วยคฑาของเธอ แต่มันก็ขาดซึ่งพลัง เธอนั้นเสียสมดุลย์ไปแล้ว ถูกขนาบจากด้านหน้าและหลัง พร้อมด้วยลูกศรที่ยิงเข้าหา สมาธิเองก็เสียไปด้วย หากพวกเธอจะลงมือ มันก็คือตอนนี้
แคลนเทลเข้าไปหาเทพธิดาจากด้านหลัง เมือกนั้นยังคงอยู่ในมือที่ว่างของเทพธิดา บางทีเข็มอาจจะแทงทะลุผิวหนังไม่ได้ บางทีเทพธิดาอาจจะต้านทานพิษได้ แต่ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหน หากร่างกายเต็มไปด้วยเมือก มันก็จะลื่น แม้ว่าเธอจะเอาชนะด้วยการโจมตีตรงๆใส่กันและกันไม่ได้ แต่ถ้าเทพธิดาจับอาวุธของตัวเองไม่ได้ล่ะก็ มันก็คืออีกเรื่อง แคลนเทลยกขาหลังของเสือขึ้น เทพธิดากำลังจับด้ามขวานอย่างแน่นๆ ก้อนดินได้เปลี่ยนเป็นใบดาบที่มีสีเดียวกับเหล็กและมันก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น มือที่จับด้ามเอาไว้มันลื่นเล็กน้อย มันลื่น และเทพธิดาก็จับเอาไว้ไม่ได้
นี่แหละ!
ทั้งคู่สบตากัน และในตอนที่ทั้งคู่กำลังจะโจมตี เร็นเร็นก็บินลงมาแบบไร้เสียง
แคลนเทลมึนงงและไม่ได้ขยับตัวอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง เร็นเร็นกางแขนออกเพื่อกอดส่วนลำตัวของเสือเอาไว้ด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความกังวล แคลนเทลไม่ได้มีเวลาพอที่จะถามเธอทำอะไร เทพธิดาเหวี่ยงขวานลงมา และเลือดมันก็พุ่งออกมา ปีกสีขาวที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงก็ขาดออกเป็นชิ้นๆ
เร็นเร็นกำลังยิ้ม ถึงแผ่นหลังจะถูกฟันและมีเลือดไหลออกมาจากปาก แต่เธอก็ยังคงยิ้ม “อย่า… ครอบครัว…”
แคลนเทลกระโดดไปด้านหลังพร้อมอุ้มตัวของเร็นเร็นเอาไว้ เร็นเร็นที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอนั้นไม่ขยับตัวแล้ว แต่เร็นเร็นก็ยังคงยิ้มอยู่ มิสมาร์เกอริตเหวี่ยงเรเปียของเธอ และเทพธิดาก็หันกลับไปหา
ถึงแม้แคลนเทลไม่อยากจะรับรู้ เธอก็ถูกบังคับให้รับรู้ว่าเร็นเร็นนั้นได้ปกป้องเธอ เธอยังคงไม่รู้ว่าเร็นเร็นนั้นพยายามจะทำอะไร แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเร็นเร็นได้ปกป้องเธอ
มันเหมือนกับเพื่อนของเธอ โนนาโกะ คนที่โกรธริโอเน็ตต้าอยู่ตลอดและเรียกว่า “ไอ้ตุ๊กตาปัญญาอ่อน!” ได้ตายไปเพราะการปกป้องเธอ ริโอเน็ตต้าเองก็พูดว่า “ชั้นไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่ทำร้ายเพจิกะหรอกนะ เพราะชั้นสัญญาเอาไว้แล้ว” ที่ซื่อสัตย์กับคำพูดของตัวเองและตายไปด้วยการปกป้องเพจิกะ และเพจิกะก็ตายไปเพราะการปกป้องแคลนเทล เพจิกะดูพึงพอใจอย่างน่าประหลาด รอยยิ้มของเร็นเร็นในตอนนี้เองก็เป็นแบบนั้น
พื้นดินสั่นไหว มิสมาร์เกอริตเข้าไปหาเทพธิดา เทพธิดายกคฑาขึ้นด้านข้าง มีเสียงดังออกมา มันใช้เวลากว่าที่แคลนเทลจะรู้ว่ามันคือเสียงของเธอเอง เสียงมันค่อยๆดังขึ้น เธอไม่ได้อยากให้ใครตาย แล้วใครกันที่โจมตีอย่างก้าวร้าวแล้วใช้เร็นเร็นเป็นโล่กันล่ะ?
เสียงมันดังมากยิ่งขึ้น มันทำให้เธออยากจะอุดหูของตัวเอง ดวงตาของมิสมาร์เกอริตเบิกกว้างขึ้น เทพธิดาหันกลับมาหาแคลนเทลอีกครั้ง แคลนเทลส่งเสียงออกมา ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ทุกๆอย่างมันผสมรวมกันและกระจายออกไปในวังวนขนาดใหญ่ ซึ่งตัวของวังวนนั้นมันมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก
เธอแปลงร่างเป็นหมีขั้วโลก เหวี่ยงแขนของตัวเองไปรอบๆและทุบลงมาที่เทพธิดา ไม่สนใจขวานที่โจมตีเข้ามา ใช้อุ้งมือตะปบที่ถูกเฉือนเข้าไปที่ศีรษะของเทพธิดา และในตอนที่เทพธิดาทรุดเข่าลงหนึ่งข้าง แคลนเทลก็ใช้เท้าหน้าของช้างแอฟริกากระทืบลงไป
MANGA DISCUSSION