ตอนที่ 15:
จุดไฟในใจฉัน
☆ เนฟิเรีย
ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีส้ม เนฟิเรียเงยหน้ามองเปลวไฟตรงหน้าอีกครั้ง คำพูดอย่าง “ทะลวงไปถึงสวรรค์” เหมือนจะเข้ากับเปลวไฟที่ลุกโชนสูง มันลุกเหนือต้นหญ้าและต้นไม้ สูงกว่าตัวเนฟิเรียไปหลายเท่า มันลามออกไปเป็นวงกว้าง ด้วยลมที่พัดเข้ามามันก็ยิ่งทำให้ลามออกไปไกลมากยิ่งขึ้น เมื่อเธอสัมผัสใบหน้าของตัวเอง มันก็ร้อนเสียยิ่งกว่าอุณหภูมิของร่างกาย จนเธอตอบสนองด้วยการชักมือออกห่าง เมื่อเธอสัมผัสกับขนตา มันแข็งและม้วนงอไปด้านหลัง บางทีเธออาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากเกินไปเนื่องจากเมจิคัลเกิร์ลต้านทานไฟอยู่แล้ว เธอเบือนหน้าออกจากไฟเพื่อออกห่างมาอีกนิด
“อีก… นิด…” เนฟิเรียพึมพำ
“อื้อ อื้อ” เร็นเร็นตอบกลับ
เนฟิเรียเอาใบหน้าตัวเองซุกเข้าไปที่หน้าอกของเร็นเร็นเพื่อกอดเอาไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปจนความรู้สึกที่อยู่ภายในตัวกำลังล่องลอยอยู่ ไฟมันก็อยู่ห่างออกไปเรียบร้อยแล้ว เธอวางคางลงไปที่หน้าอกของเร็นเร็น ในตอนที่สัมผัสถึงความรู้สึกแสนสบายจากความนิ่มที่ราวกับจะดูดเธอเข้าไปนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเร็นเร็น เร็นเร็นกำลังมองไปข้างหน้าด้วยท่าทีจริงจัง ดวงตาขยับไปมารอบๆอย่างรวดเร็ว เธอกำลังตื่นตัวในตอนที่กำลังบินโดยที่เนฟิเรียไม่ต้องถาม รักษาระดับการบินต่ำเอาไว้และเคลื่อนไหวไปตามแนวต้นไม้
สภาวะจิตใจของเร็นเร็นไม่มั่นคง ถึงแม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บอยู่เนฟิเรียก็คิดว่าตัวเองต้องช่วย แต่เร็นเร็นก็ทำหน้าที่ได้ดีพอที่จะส่งเธอไปที่ไหนก็ได้ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลผู้ส่งสาส์นโดยไม่อับอาย สิ่งนี้เป็นจริงเสมอ —ทั้งหลังจุดไฟ ก่อนอากิตาย และหลังอากิตาย เร็นเร็นก็ยังคงเป็นเร็นเร็น มันคือความจริงที่น่าตื่นตระหนก เนฟิเรียคิดในขณะที่คางรู้สึกอบอุ่น หากเร็นเร็นพยายามหลอกลวงคนอื่น แบบนั้นเนฟิเรียก็จะรู้ แต่คนที่เร็นเร็นหลอกนั้นมันไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวของเร็นเร็นเอง เพราะแบบนั้นเนฟิเรียจึงไม่รู้ และในตอนนี้เร็นเร็นก็ยังคงเป็นเร็นเร็น จมูกของเนฟิเรียตัดสินว่าเธอเป็นคนน่ารังเกียจได้อย่าง “ถูกต้อง” แต่เรื่องที่เกี่ยวกับเธอนั่นมันถูกต้องรึเปล่านะ?
“…อะ…อ่า…”
“ไม่ต้องฝืนตัวเองให้พูดออกมาหรอกค่ะ” เร็นเร็นลูบหัวของเนฟิเรีย นั่นคงเป็นการที่จะบอกว่า “ถึงไม่ต้องพูดอะไรฉันก็เข้าใจ” แต่มันเป็นการทำให้เนฟิเรียตัวสั่น มันไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกหนาวจากลมที่พัดเข้ามาหาตอนที่บินอยู่บนท้องฟ้า นี่เองก็ต่างจากความหนาวที่ขึ้นมาตรงแขนเสื้อและกระโปรงในตอนที่ข้ามผ่านต้นไม้ด้วยความเร็๋วสูงจนทำให้ปลายเส้นผมชี้ขึ้น ความหนาวที่เธอรู้สึกในตอนนี้มันมาจากความสนุกสนาน
ไฟนั้นจำกัดขอบเขตของสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอด เมจิคัลเกิร์ลเองก็ถูกผลักให้เข้าสู่พื้นที่เล็กๆ ด้วยการที่ต้นไม้ถูกเผาจนล้มลง ผลไม้สีเทาที่มีอยู่ในตอนนี้อาจจะเป็นทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เรื่องทั้งหมดมันสะดวกสำหรับพวกเธอ มันทำให้มีโอกาสในการเจรจา พวกเธอทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นเธอจะใช้มันเพื่อตัวเอง มันยังคงมีความเป็นไปได้ที่ระบบรักษาความปลอดภัยหรืออะไรบางอย่างบนเกาะนี้จะเริ่มทำการดับไฟ แต่การที่ได้เห็นว่าไฟมันลามออกไปมากขนาดนี้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ใช่แบบนั้น ถ้ามันมีระบบอยู่ก็คงจะเป็นการดับไฟด้วยตัวเอง และถ้าจะใช้มันล่ะก็ต้องเป็นที่อาคารหลัก
“หลัก…” เนฟิเรียพูด
“อาคารหลัก หืมมม”
อาคารหลักอยู่ใกล้กับใจกลางของเกาะ มันคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าที่ไฟจะลามไปไกลขนาดนั้น หากจอมเวทที่มีเหตุมีผลยังคงมีชีวิตอยู่ —ซึ่งก็คือรากิคนที่ทำการตรวจสอบระบบ— แบบนั้นเขาก็คงพยายามมุ่งหน้าไปยังอาคารหลัก แล้วแคลนเทลจะทำยังไงล่ะ? เธอคิดยังไงเรื่องรากิ? เมล็ดพันธุ์ที่เนฟิเรียหว่านเอาไว้งอกเงยแล้วรึเปล่า? มันมีหลายเรื่องที่ต้องตารอ
ความเจ็บปวดที่แผ่นหลังมันทำให้ทั้งร่างของเธอกระตุก มันไม่ใช่ว่ามีอะไรมากมายที่เธอตั้งตารอ ถ้าพูดให้ตรงประเด็นก็คือเธอจำเป็นต้องหาความสุขเล็กๆน้อยๆ ไม่งั้นเธอก็จะไปต่อไม่ได้
☆ คลาริสซ่า ทูธเอจ
คลาริสซ่ามีลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ อย่างแรกคือคุ้มกันราเรโกะให้ปลอดภัย พร้อมกับปกป้องโยลที่อยู่ถัดไปด้านหลังเล็๋กน้อย และ “ถ้าเป็นไปได้” ก็กำจัดโทตะทิ้ง เธอคิดว่า ฉันไม่ได้สนใจจะทำอะไรกับเด็กหรอก แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องค้านความต้องการของนาวี่ จริงๆแล้วเธอรู้สึกชอบที่เขาเอาอะไรก็ตามที่อาจเข้ามาขวางทางออกไป สื่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จมันไม่ใช่ความเมตตาหรือความสงสาร แต่มันคือความจริง
หลังจากที่ออกจากอาคารหลักมาแล้ว เธอก็ออกนอกเส้นทางและตัดผ่านป่า เธอเลือกที่จะวิ่งไปตามต้นไม้สูงอย่าสง่างาม คอยระวังไม่ให้ถูกเจอตัว ไม่ใช่แค่แคลนเทล แม้ว่าจะเป็นคนอื่นที่พูดว่า “มาร่วมกลุ่มกันเถอะ” ก็วุ่นวายสำหรับเธอ
คลาริสซ่าเจอในสิ่งที่ตัวเองกำลังมองหาอย่างโชคดีโดยที่ไม่เจอใครหรือมีใครมาถาม เธอรู้อยู่แล้วว่าราเรโกะอยู่ที่ไหนมาตลอด ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เรดาห์ในหัวของคลาริสซ่าก็จะบอกตำแหน่งของเธอให้ทราบ ในขณะที่สาปส่งเด็กสาวที่วิ่งไปทั่วอย่างไม่มีเหตุผล คลาริสซ่าก็ตะโกนออกมาว่า “เฮ้ เดี๋ยวก่อน” ใส่ด้านหลังของราเรโกะในตอนที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วไปรอบๆป่า ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น เธอไปได้ไกลถึงตอนที่พูดคำว่า “เฮ้” กรงเล็บคลาริสซ่าข่วนเข้าไปยังสิ่งโปร่งใสที่พริ้วอยู่ในอากาศ ซึ่งมันกลายเป็นตัวล่อสำหรับแท่งไม้ที่แทงเข้าหาเธอ และเธอก็หลบมันได้อย่างเฉียดฉิว งอตัวกลับหลัง ก้าวเท้าขวาไปด้านหน้า ส่วนเท้าซ้ายก้าวไปด้านหัลง ทำแม้กระทั่งใช้หางสัมผัสกับพื้นเพื่อพยุงตัว เธอรักษาท่าทางประหลาดนี้เอาไว้ได้่ในตอนที่หันแค่หน้าไปหาเพื่อจ้องมอง แล้วก็พูดว่า “ทำอะไรน่ะ?”
สีหน้าของราเรโกะที่ตึงเครียดบิดไปมาราวกับจะพูดว่า “พลาดซะแล้ว” และรีบเก็บคฑาใส่เข้าไปในแขนเสื้อ โค้งตัวลงพร้อมเอามือไว้ที่ด้านหลังศีรษะ แล้วก็โค้งตัวอีกครั้ง “ดิฉันขอโทษ… นึกว่าตัวเองโดนโจมตี”
“มันก็ปกตินะที่จะเครียดแบบนั้น แต่ว่าต้องแยกแยะว่าใครคือมิตรใครคือศัตรูด้วย” คลาริสซ่าใช้นิ้วลูบไปตามแก้มเพื่อดูของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาเล็กน้อย ถ้าประมาทก็คงโดนแน่ แล้วแบบนั้นก็จะได้ไปนอนโรงพยาบาลแหง เธอคิดพร้อมกับขอบคุณการตอบสนองของตัวเอง
ราเรโกะพูดว่า “ขอโทษ” ในตอนที่เข้าหายังต้นไม้ที่อยู่ข้างๆคลาริสซ่าและดึงเอาเลนส์ออกมา —แม้ว่าแว่นตาจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดเมจิคัลเกิร์ลของเธอ เธอก็ทำให้เลนส์มันแตกจากการใช้อย่างไม่ได้ระมัดระวัง— แล้วก็ลูบ แค่การสัมผัสเล็กเพื่อใช้งานเวทมนตร์ รอยแตกก็ถูกซ่อยแซม จากนั้นเธอก็ใส่มันกลับเข้าไปในกรอบแว่น เธอถอนหายใจออกมา “ขอโทษจริงๆ”
“ครั้งหน้าระวังหน่อยนะ โอเคไหม?”
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
“เดี๋ยวคลาริสซ่าผู้นี้จะมอบหนทางและคำแนะนำให้ ดังนั้นก็ทำตามที่ถูกบอกด้วย”
“อื้อ ได้สิ ขอโทษนะ ดิฉันแค่ตกใจ… เอ่อ รู้ไหม ดิฉันเห็นการต่อสู้ด้วย คิดว่าไม่มีทางเลยที่ตัวเองจะชนะได้เลย แล้วดิฉันก็กังวลขึ้นมาว่าถ้าถูกโจมตีขึ้นมาจะทำยังไง”
เมื่อถามกลับไป ราเรโกะก็บอกว่าเห็นเชลซีกับฟรานเชสก้าต่อสู้กันและจากนั้นเธอก็ทิ้งโยลเอาไว้ บอกว่าเธอกำลังจะไปช่วยเชลซี ในตอนนี้คลาริสซ่ารู้แล้วว่าหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่สู้กับฟรานเชสก้าก็คือเชลซี
“เกิดอะไรขึ้นกับเชลซีล่ะ?” คลาริสซ่าถาม
“ดูเหมือนว่าเธอจะหนีไป ดิฉันดูจนจบไม่ได้ เพราะแบบนั้นก็เลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
การบอกเธอไปว่า “คอยจับตาดูให้ดี” บางทีคงทำให้ราเรโกะรู้สึกหดหู่ ดังนั้นคลาริสซ่าจึงพูดว่า “งั้นเหรอ” และพยักหน้า จิตใจของราเรโกะเปราะบางจนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันมาตั้งแต่แรก หากจะใช้งานเธอ มันก็จำเป็นต้องเอาเรื่องนั้นเข้ามาคิดไว้ด้วย มันไม่ใช่เธอไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่เธอบอกว่าดรีมมี่☆เชลซีคือหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่ต้องจับตาดูทำให้เธอมีแต้มต่อ คลาริสซ่าตัดสินใจที่จะบอกคำแนะนำเรื่องความปลอดภัยบางอย่างให้ —มันไม่จำเป็นต้องขอบคุณเรื่องข้อมูลก็จริง แต่การดูแลสภาพจิตใจกับการปกป้องตัวเองต้องถูกรวมเอาไว้ด้วย สำหรับคลาริสซ่าแล้ว ราเรโกะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เกินไปกว่าที่จะสั่งให้กลับไปหาโยลแล้วทำการปกป้องคุณหนู ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่จะให้เธออยู่ในที่ที่อยากจะอยู่
คลาริสซ่าบอกราเรโกะด้วยท่าทางใจดีว่าเมจิคัลเกิร์ลที่สวมชุดเหมือนกับเทพธิดาจะไม่โจมตีคนที่อยู่ในหลุม
“เอ่อ นั่นมัน —เป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ?” ราเรโกะถาม
“คลาริสซ่าโกหกไปแล้วจะได้อะไรล่ะ?”
แต่ราเรโกะก็ยังคงกลัวและถามเรื่องเชลซีอย่างน่ารำคาญ “แบบนี้โอเคเหรอ?” “ไม่มีปัญหาจริงๆรึเปล่า?” คลาริสซ่าปลอบโยนเธอด้วยการขุดหลุมที่พื้นด้วยกรงเล็บและผลักตัวของราเรโกะเข้าไป
“นี่โอเคเหรอ? แบบนี้โอเคใช่ไหม?”
“คลาริสซ่าบอกแล้วไงว่าให้เชื่อน่ะ… หืม?”
ราเรโกะสูดจมูก พอเข้าใจว่ากลิ่นแปลกๆมันคือกลิ่นไหม้ ราโรโกะก็ทำหน้าตาประหลาดและสูดจมูกอีกในทันที และไม่นาน กลุ่มควันสีเทาก็โชยเข้ามา ราเรโกะตกใจจนกระโดดออกมาจากหลุม ส่วนคลาริสซ่าก็จ้องมองไปตามทิศทางลม ปริมาณและความหนาแน่นของควันมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทักษะการได้ยินที่ยอดเยี่ยมของเธอได้ยินแม้กระทั่งเสียงกิ่งไม้ที่ถูกเผาไหม้ นี่ไม่ใช่ไฟที่เกิดขึ้นกลางถิ่นทุรกันดาร มันคือไฟของเกาะนี้ มันฟังดูโง่เมื่อเทียบกับไฟป่าธรรมดาเพราะมันมีน้ำปริมาณมากอยู่โดยรอบ แต่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆสำหรับคนที่ติดอยู่ในควันและวิ่งไปมารอบๆ เสียงของเปลวไฟเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ควันจำนวนมากเองก็โชยขึ้นมาเช่นกัน ไม่ว่าเมจิคัลเกิร์ลจะกลั้นหายใจได้นานแค่ไหน การถูกห้อมล้อมไปด้วยควันในขณะที่ขดตัวอยู่ในหลุม มันก็จะทำให้เธอตายในเวลาเพียงไม่นาน นี่ฟรานเชสก้าเป็นคนทำหรือว่าเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกเธอโจมตีเป็นคนทำกันนะ? ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน พวกเธอก็ต้องทิ้งจุดปลอดภัยที่ขุดดินลงไปทันที เมื่อคลาริสซ่าบอกราเรโกะเรื่องนี้ เธอก็ตื่นตระหนกอย่างน่าประหลาด เธอเอาแต่ก้มหน้าพึมพำอะไรอย่าง “เกิดอะไรขึั้น?” “แบบนี้โอเคเหรอ?” “ทำไมถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น?” ออกมาไม่หยุด คลาริสซ่าไม่สามารถบอกว่ามันเป็นคำถามที่ถามเธอได้อีกต่อไปแล้ว ราเรโกะมองไปรอบบริเวณอย่างกระสับกระส่าย ศีรษะขยับไปมามากเกินไปจนไม่ได้สนใจเท้าของตัวเอง จากนั้นก็สะดุดรากไม้และล้มลง การที่ล้มลงไปมันคงทำให้ตัวของเธอตกใจ ราเรโกะร้องออกมาและเริ่มที่จะหนี
คลาริสซ่ารีบคว้าแขนเสื้อคลุมเอาไว้และดึงเข้ามา “ใจเย็นก่อน!”
“แต่! แต่นี่มัน—!”
ราเรโกะนั้นดูน่าสงสาร เธอปรับตัวไม่ได้เลยจนรู้สึกแย่แทน
อาจารย์ของเธอนั้นมากด้วยความสามารถ เธอใช้เหตุการณ์ต่างๆเป็นข้ออ้างในการจัดการผู้คนนับร้อยจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ ทั้งนักเรียนและผู้ที่จบการศึกษา เธอเป็นคนที่ซื่อสัตย์และภักดี โดนแม้กระทั่งเรียกว่าเป็นอัศวินไม่ก็ซามูไร ทั้งยังได้รับคำชื่นชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขยัน ซื่อสัตย์ จริงใจ แน่วแน่ และอื่นๆ ดังนั้นตามธรรมชาติแล้วเจ้านายจึงให้เกียรติเธอมาก ถูกมอบสถานะที่ไว้วางใจในตระกูลเหนือกว่าเมจิคัลเกิร์ล ถึงจะเป็นนาวี่ ลูก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆ และถ้าเขาไม่ได้ใช้ข้ออ้างของพินัยกรรมเพื่อเข้าหา และตั้งหัวข้อการทดลองกับเธอที่เกือบจะกลายเป็นร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ แบบนั้นการเอาตัวของเธอออกไปก็จะยาก —เธอเป็นตัวตนที่ดูน่าทึ่งและโดดเด่นในฐานะศัตรู
แต่ลูกศิษย์ของเธออย่างราเรโกะนั้นล้มเหลวอย่างที่สุดในการที่จะสืบทอดชื่อเสียงของอาจารย์ เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกเทเข้าใส่ : มีเวทมนตร์ซ่อมแซมอันทรงพลังที่คลาริสซ่ารู้สึกอิจฉา มีคฑาและศิลปะการต่อสู้ที่ถูกไมยะสอนมาโดยตรง ความสามารถทางกายภาพที่ถูกฝึกฝนมา มีดวงตาที่มองหากลยุทธ์ แต่เธอก็ทำให้มันเสียเปล่าด้วยบุคลิกของตัวเอง เธอมีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและความขี้ขลาด ทำให้คนอื่นทำทุกอย่างเพื่อตัวของเธอ ตามการนำทางของเธอไปอย่างมืดบอด เมื่อทิศทางลมเปลี่ยนก็ฉกฉวยโอกาสด้วยการยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเรื่องดีๆที่เกิดมันมาจากความพยายามของเธอเอง โทษเรื่องที่แย่ๆว่าเป็นความผิดของคนอื่น เย็นชาต่อผู้ที่อ่อนแอ ประจบประแจงต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ชอบเยาะเย้ยถากแถงและร้องครวญคราง คลาริสซ่ารู้จักเธอเพียงแค่ไม่นานแต่ถึงจะเป็นเธอก็สามารถทำรายชื่อเรื่องสกปรกที่่จะพูดเกี่ยวราเรโกะออกมาได้
เธอประทับใจมากที่ไมยะสามารถรับมือราเรโกะได้ ในตอนนี้คลาริสซ่าจะสามารถควบคุมราเรโกะได้อย่างสมบูรณ์แบบรึเปล่านะ? เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ เธอบอกตัวเองว่าให้ใจเย็น คอยปลอบโยนและลูบหลังของราเรโกะไป จากนั้นเธอก็วิ่งนำออกไปเพื่อหนีจากไฟในตอนนี้ เสียงฝีเท้าของราเรโกะกำลังตามมา
คลาริสซ่าเหลียวกลับไปมองด้านหลัง ราเรโกะกำลังมองไปรอบๆในตอนที่กำลังวิ่ง และที่ด้านหลัง กลุ่มควันสีซีดและสีเทาเข้มก็กำลังพวยพุ่ง คลาริสซ่าหันใบหน้าไปด้านหน้าอีกครั้ง ใช้กรงเล็บในมือขวาตัดกิ่งไม้ เธอทำแบบนี้เพราะกังวลเรื่องราเรโกะ คิดว่าถ้าตัวเองก้มตัวลงเพื่อหลบ มันก็อาจโดนราเรโกะที่อยู่ด้านหลังได้ แต่มันก็ไม่มีคำขอบคุณจากคนที่วิ่งอยู่ด้วยความกลัวออกมาจากด้านหลังเลย
นี่ฉันควรทำอะไรกันนะ?
นอกเหนือสภาพจิตใจของราเรโกะแล้ว มันก็อดไม่ได้ที่คลาริสซ่าจะคิดว่าสภาพร่างกายเองก็แย่ หากจะพูดในแบบนาวี่ก็คือ ยัยนี่อาจจะทำอะไรออกมาก็ได้เมื่อตื่นตระหนก ก่อนที่ไฟจะเริ่มไหม้เองก็เช่นกัน เธอนั้นกังวล โจมตีเข้ามาที่คลาริสซ่าโดยแทบไม่มองว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในตอนนี้ไฟมันกำลังลุกไหม้ เธอคงต้องกังวลมากกว่าก่อนหน้านี้ —ในจุดนี้มันเป็นความคิดที่ดีงั้นเหรอที่มีเธอเป็นพวกเดียวกัน?
คลาริสซ่าถามตัวเองว่า นี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่รึไง? แล้วก็ตอบตัวเองว่า ใช่แล้ว มันคือสถานการณ์ฉุกเฉิน ไมยะไม่อยู่แล้วและเมื่อให้ราเรโกะทำหน้าที่ของตัวเองได้ มันก็ได้เวลาที่ต้องหนี คนเดียวที่เธอสามารถพูดได้ว่าตายไปแล้วอย่างแน่นอนคือเชพเพิร์ดพาย พวกเธอยังไม่สามารถรู้สถานการณ์ของคนอื่นได้ ซึ่งมันรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย หากฟรานเชสก้ายังคงฆ่าต่อไป แบบนั้นก็ไม่เป็นไร หากเรื่องราวมันหันเข้ามาหาเธออย่างไม่คาดคิด แบบนั้นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน —เพราะในจุดนี้เธอทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว เมื่อคิดถึงจำนวนของผลไม้สีเทาที่เหลืออยู่เช่นเดียวกับอัตราการใช้ พวกเธอก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย
คลาริสซ่ากระโดดขึ้นไปที่เชิงผาและหลบกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาขวางทางได้อย่างง่ายๆ หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องมาจากด้านหลัง และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ ราเรโกะนั้นอันตราย เมจิคัลเกิร์ลคนนี้ถูกฝึกมาโดยปีศาจที่ชื่อไมยะกำลังประหม่ามากเกินไปจนไม่สามารถหลบได้แม้กระทั่งกิ่งไม้
คลาริสซ่าเริ่มวิ่งออกไปอีกครั้งและมองกลับมา กลิ่นกับควันอยู่ห่างออกไปแล้ว ราเรโกะเองก็เช่นกัน
คลาริสซ่ากระโดดข้ามรากไม้และเปลี่ยนทิศทางไปทางซ้ายเพื่อกระโดดอีกครั้ง เธอกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารหลัก
☆ 7753
หัวใจของ 7753 กำลังเต้นรัวอย่างรุนแรง มันเกือบทำให้เธอเชื่อว่าหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากร่าง แต่จากนั้นมันก็ค่อยๆสงบลง แม้เธอจะรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายและจิตใจแบกรับแทบไม่ไหว ในตอนนี้ ที่สุดแล้วเธอก็ได้มันกลับมาพร้อมกับยังถือเต่าอยู่ด้วย เธอดันตัวเปลี่ยนเป็นท่านั่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเทพธิดายังคงอยู่ตรงนี้ กำลังเดินข้ามหนองน้ำ และโคโทริก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นเพื่อหนีออกมาจากใจกลางหนองน้ำ มันไม่ใช่ภาพหลอน รอยเท้าที่ออกไปจากหนองน้ำคือสิ่งที่บ่งบอกว่าคือความจริง โคโทริขยับเข่าบนพื้นหญ้าและเอาใบหน้าเข้าไปใกล้รอยเท้า โคลนมันยังไม่แห้งเลย
เธอยืนขึ้นและส่ายหน้า จากการที่จู่ๆก็กลับมาเป็นร่างมนุษย์และเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก หวาดผวา และกลัว เธอก็จำไม่ได้ว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวมันเป็นยังไง แต่เธอต้องรู้ว่านาวี่ไปทางไหน ไม่งั้นเธอก็จะไปเจอกับเขาไม่ได้
โคโทริสยบความรู้สึกกลัวของตัวเองและสำรวจพื้นดินบริเวณโดยรอบอีกครั้ง มันก็มีเหตุผลที่จะเรียกที่นี่ว่าเป็นสถานที่เฉพาะบนเกาะ หนองน้ำที่ดูแล้วเต็มไปด้วยพิษกระจายออกไปทั่วบริเวณ มีเกาะเล็กๆตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงใจกลางกับต้นไม้ที่ดูน่าเศร้าและหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบๆ ไม่ว่าเธอจะหันไปทางไหน รอบๆหนองน้ำมันก็มีต้นไม้ที่ขนาดใกล้เคียงกัน พวกมันดูเหมือนกันทั้งหมด
ในก้าวแรกที่ก้าวออกไป เธอก็เหยียบเข้าไปที่หินก้อนเล็ก จนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและกุมฝ่าเท้าเอาไว้ อย่างน้อยเธอก็ควรสวมรองเท้าแตะเอาไว้ เธอคิดมันอย่างจริงจังและไม่สงสัยเลยว่าทำไมมานาถึงพูดว่าเมจิคัลเกิร์ลมืออาชีพจะไม่คลายการแปลงร่างของตัวเอง และนี่มันก็คือผลลัพธ์
เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ ไม่ ไม่ อย่าคิดแบบนั้น
พอใช้เวลาคิดแล้ว เธอก็พยายามทำเรื่องนี้ให้มันเป็นความผิดของคนอื่น นี่เป็นเพราะจิตใจมนุษย์ที่อ่อนแอของเธองั้นเหรอ? หรือว่าเธอแค่โยนความอ่อนแอของตัวเองใส่มนุษย์ทุกคนที่พยายามจะหนีความจริงกันนะ?
โคโทริเกร็งหน้าท้อง ลืมตาออกกว้าง และกัดริมฝีปากล่างเพื่อไม่ให้มีอะไรขาดหายไป ด้วยความต้องการที่เรียกได้ว่าแรงกล้าสำหรับโคโทริ เธอยับยั้งความกลัว ความเสียใจ และความรู้สึกด้านลบอื่นๆเอาไว้ มันน่าแปลกแต่เธอก็รู้สึกว่ามีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ต่อหน้าเทพธิดาผู้น่าหวาดกลัว คนที่ทำให้เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งอย่างมิสมาร์เกอริตและเท็ปเซเคเมย์ต้องหนี โคโทริไม่ใช่แค่สัมผัสกับเทพธิดา แต่ยังกระแทกใส่และจับตัวด้วย กระนั้นโคโทริก็ยังคงมีชีวิตอยู่ เธอต้องปกป้องเมย์ และเธอก็ควรจะปกป้องคนอื่นด้วย
ผืนป่าทอดยาวออกไปยังอีกฝั่งของหนองน้ำ เธอเห็นพื้นที่เล็กๆที่พื้นดินเผยออกมาให้เห็น มันคือตรงนั้น ในตอนที่พวกเธอเดินมาตามทาง เท็ปเซเคเมย์ก็เจอต้นไม้ที่ตรงกลางหนองน้ำและบินเข้าไปหาเพื่อเอาผลไม้ หลังจากนั้น โคโทริก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังบนเกาะเล็กๆ นาวี่คนที่คุยกับเธอก็คงอยู่ในบริเวณนี้ จากนั้นเขาก็หันหน้า 180 องศาเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปในป่าพร้อมกับแบกมานา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเทพธิดามาจากทิศทางที่นาวี่มุ่งหน้าไปหรอกเหรอ? แม้ว่าเทพธิดาจะเมินเฉยโคโทริกับเมย์ จนพวกเธอรอดมาได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เทพธิดาก็ไม่จำเป็นที่ต้องมองข้ามนาวี่กับมานา —ไม่สิ เทพธิดาไม่ได้มองข้ามสินะ? โคโทริไม่รู้ว่าการตัดสินใจของเทพธิดามันขึ้นอยู่กับอะไร แต่มันไม่จำเป็นที่ต้องเอามนุษย์ที่ไร้พลังกับเต่าขึ้นมาเทียบ —เทพธิดาอาจจะไม่ได้มองผ่านจอมเวท
โคโทริคิดถึงเรื่องข้อเท็จจริงที่เพิ่งตระหนักได้ และเธอก็เข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ใบหน้าของเธอแข็งทื่อ ไหล่และเข่าก็สั่นเทา เธอไขว้แขนมาตรงหน้าเพื่อที่จะกอดเมย์เอาไว้กับหน้าอกอย่างแนบแน่น
ไม่นะ!
โคโทริเริ่มวิ่งออกไปพร้อมกับเมย์ในอ้อมแขนแต่ก็หยุดลงในทันที ที่เท้าของเธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหนียว มันรู้สึกหนักอึ้งอย่างน่ากลัว เมื่อเธอมองไปที่พื้นด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของเธอจมลงไปถึงข้อเท้า เธอตกใจและและเอนตัวไปด้านหลัง พยายามลากข้อเท้าขึ้นมาจากพื้น เธอเอาใบหน้าลงไปใกล้กลับพื้นเพื่อดูว่ามันคืออะไร และก็พบว่าสีของมันต่างจากจุดที่เธอติดอยู่เล็กน้อย เมื่อเธอพยายามจะสัมผัส ความแตกต่างมันก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สถานที่ที่เธอยืนอยู่ตรงนี้คือดินนิ่ม ส่วนตรงจุดที่เธอเคยติดอยู่คือหนองน้ำที่เหมือนกับดินเหนียว
เธอมองไปด้านหน้า ต้นไม้และใบไม้มันทำให้เธอมองไม่เห็นพื้น ดังนั้นเธอจึงขุดพืชที่อยู่ด้านข้างและเอาใบหน้าเข้าไป เมื่อเธอสัมผัสกับพื้นในบริเวณนี้ มันก็รู้สึกไม่ได้ต่างจากโคลนมากนัก แต่มันต่างจากตรงหนองน้ำ มันมีพืชขึ้นอยู่ เมื่อมองดูแล้วก็ไม่ได้ดูเหมือนโคลนด้วย แต่มันแย่กว่าโคลนที่ดูเหมือนโคลน เพราะมองดูแล้วมันก็บอกไม่ได้ว่าจะจมลงไปที่จุดไหน
โคโทริยืนขึ้นและมองไปรอบบริเวณ เธอไม่สามารถเดินไปเป็นเส้นตรงได้ เธอใช้เส้นทางที่ห่างออกไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าควรจะใช้ทางอ้อม แล้วก็หยุด เธอนั่งลงไปและมองดูด้านล่างของใบไม้หนา ก้านใบที่อยู่ตรงหน้าเธอมันหนามาก มันทั้งยาวและมีหนามแหลม แม้ว่าเธอจะอดทนเจ็บปวดและเดินต่อ เธอก็ไม่สามารถเดินต่อได้อีกด้วยเท้าที่ขาดวิ่น —หากเป็นเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ เธอก็ไม่ต้องสนใจหนามพวกนี้และเดินต่อไปได้
อ่า ให้ตายสิ!
อ้อมซักหน่อยก็ไม่เป็นไร เธอแค่ไม่มีทางเลือกอื่นนอออกจากต้องไปต่อ มันทำให้เธอกังวลมาก แต่ในตอนนี้เส้นทางที่ยาวไกลคือหนทางที่สั้นที่สุด โคโทริเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามจากเป้าหมาย หากเธอสามารถไปถึงพื้นที่ตรงนั้นได้ เธอก็จะกลับไปสู่ความปลอดภัยเช่นเดียวกัน เธอภาวนาต่อพระเจ้าและนาวี่ว่าต้องซ่อนตัวจากเทพธิดาและต้องผ่านไปให้ได้
เธอดูดกลืนเรื่องราวทุกอย่างที่มันจะดีกว่าหากเธอแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ลงไป —ความกังวลที่ใครบางคนอาจจะตาย ความกลัวที่ตัวเองจะถูกฆ่า หัวใจตัวเองที่เต้นแรงจากการวิ่ง ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้า ความขยะแขยงใต้ฝ่าเท้า— และบอกตัวเองว่าต้องทำเรื่องนี้ เธอวิ่งออกไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับชายเสื้อนอนที่พริ้วไหวไปมา
☆ นาวี่ ลู
มันเกิดอะไรขึ้นหลายเรื่อง
เรื่องแรกคือการเจอเข้ากับฟรานเชสก้าในตอนที่กำลังเดินอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นาวี่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะไม่ถูกฟรานเชสก้าโจมตี —เขารู้ว่าควรตอบคำถามของฟรานเชสก้ายังไง เขาไม่อยากให้ใครคนอื่นได้ยิน แต่โชคดีที่มานาที่อยู่บนหลังของเขายังไม่ได้สติ ไม่มีใครที่ฟังอยู่ ด้วยคำพูดไม่กี่คำเขาก็ผ่านฟรานเชสก้า คนที่ไม่ได้มีอันตรายกับเขาไปได้ การเห็นเท้าของเธอเปื้อนไปด้วยโคลน ผมเผ้ายุ่งเหยิง และรอยไหม้ที่ชุด เขาคิดอย่างประชดประชัน ขอโทษที่สร้างปัญหาให้นะ และเห็นรูเล็กๆที่คว้านเข้าไปที่หน้าผากและมีของเหลวสีแดงไหลออกมา เขาปาดเหงื่อที่เย็นเฉียบออกไปพร้อมสงสัยว่า สัตว์ประหลาดตัวไหนมันทำแบบนั้นได้นะ? แม้ว่าจะมีแค่รอยไหม้กับการทำให้เส้นผมขาดได้มันก็น่าประทับใจมากแล้ว แต่การมีใครบางคนสามารถทำให้เธอเลือดออกได้มันอันตรายยิ่งกว่าเรื่องที่คลาริสซ่าพูดไว้ ฟรานเชสก้าควรที่จะสามารถรับการโจมตีที่ปกติแล้วจะทำให้หัวของเมจิคัลเกิร์ลทั่วไปหลุดออกจากร่าง กระโหลกแตกออกเป็นเสี่ยง และเอาสมองมาทำเนื้อสับได้ ผิวหนังของฟรานเชสก้าจะป้องกันมันเอาไว้ ทำให้เธอไม่ได้รับความเสียหาย นาวี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเธอโดยตรง เขาแค่ข้อมูลตัวเลขเฉพาะเท่าที่ทำได้ แต่เขาก็สงสัยว่าพวกนักวิจัยที่ห้องทดลองคงจะเขียนตัวเลขผิดๆลงไป
โลกใบนี้มันกว้างใหญ่ แต่เกาะแห่งนี้มันเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ หากเขายังคงเดินในทางแบบนี้ต่อไป มันก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะไม่ไปเจอกับคนอื่นแบบเดียวกับที่เจอฟรานเชสก้าเมื่อครู่นี้ และมันก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าจะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลที่ทำให้ฟรานเชสก้าบาดเจ็บด้วย หากเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอก็คงต้องสิ้นหวังจากการต่อสู้กับฟรานเชสก้า หากเขาไปเจอเข้ากับเธอก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และนั่นมันก็จะคือปัญหา
หลังจากที่เดินออกไปครู่หนึ่ง นาวี่ก็หันเข้าไปยังที่ที่มีพืชขึ้นอยู่หนา จากนั้นก็เดินออกไปสามสิบก้าวและซ่อนตัวเองอยู่ในพุ่มไม้ กัดเข้าไปที่ผลไม้สีเทา แล้วก็ร่ายเวทมมนตร์ พื้นดินนุ่มงอราวกับถูกขูด กระชากรากของต้นหญ้าออกจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ เมื่อพอใจเรื่องขนาดที่มันใหญ่พอที่ผู้ชายวัยผู้ใหญ่จะเข้าไปนั่งกอดเข่าได้แล้ว เขาก็พยายามวางมานาลงไปในหลุม เขาโยนเธอออกไปแบบหยาบๆไม่ได้เพราะตัวของเธอมันอาจจะมีอะไรที่แตกหัก เขาจับตัวของเธออย่างนุ่มนวลด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงและค่อยๆวางลงไปอย่างช้าๆ วางลงไปในหลุมอย่างระมัดระวัง แล้วก็พ่นลมหายใจออกมาพร้อมคิดว่านี่มันเหมือนกับการเล่นตุ๊กตา ปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผาก วางมือลงบนพื้นและชันเข่าขึ้นหนึ่งข้าง
มันมีเสียงลมที่ทำให้ใบไม้สั่นไหวและเสียงนกร้องที่ดังอยู่ห่างออกไป แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังกว่าตอนที่วางตัวมานาลง และมองเหนือพุ่มไม้ไปตามทาง มันไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่แน่นอนว่านี่มันยังไม่จบ เขาดันพุ่มไม้และออกมาตามทาง จากนั้นก็กลับไปยังทางที่ตัวเองมา ตอนนี้เขาก้าวออกไปเร็วกว่าเดิมเพราะไม่มีตัวของเด็กสาวแล้ว เขาออกไปนอกเส้นทาง กลับไปยังหนองน้ำที่ที่มีกลิ่นเหม็นโชย และในตอนที่คิดว่า โอเค แล้วชั้นจะทำยังไงกับ 7753 ดีล่ะ? คิ้วของเขาก็ย่นเข้าหากัน เขาหรี่ตาและมองไปทั่วบริเวณ เขาสาบานได้ว่ามันมีต้นไม้อยู่บนเกาะที่ 7753 และเท็ปเซเคเมย์ติดอยู่ ในตอนนี้มันมีรอยโคลนอยู่ที่ขอบหนองน้ำ และไม่ใช่แค่นั้น —รอยเท้ามันยังคงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า— ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่นาวี่มา —แล้วก็หายไป
มันเกิดอะไรขึ้น? นี่มันหมายความว่ายังไง? หากรอยเท้านั้นเป็นของ 7753 แบบนั้นก็หมายความว่าเธอข้ามหนองน้ำไปและเคลื่อนไหวต่อ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไม แต่มันเป็นไปไม่ได้ นาวี่ใช้นิ้วชี้เกาตรงระหว่างคิ้ว แม้ว่าจะแค่ใช้เล็บสัมผัส เขาก็รู้สึกได้ว่าเต็มไปความมันเยิ้ม เขาวางมือและขาทั้งสองลงไปที่พื้น จ้องมองรอยเท้าที่ข้ามหนองน้ำไป มันไม่ใช่มีแค่โคลนแต่ก็ยังลงไปลึกด้วย มันมีแรงอยู่ในการก้าวเท้าซึ่งมันไม่ใช่แรงของมนุษย์ มันคือแรงของเมจิคัลเกิร์ล —และยังแข็งแกร่งด้วย
ฟรานเชสก้า?
7753 ในร่างมนุษย์นั้นอยู่ในเท้าเปล่า แต่ชุดของฟรานเชสก้าไม่ได้มีรองเท้าอยู่ด้วย ซึ่งเธอเองก็เท้าเปล่าเช่นกัน นาวี่นึกถึงตำแหน่งและระยะทางที่เขาเจอกับฟรานเชสก้า เธอไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเพียงอย่างเดียว แต่จากในระยะนี้ มันก็จะตรงมาที่หนองน้ำ และรอยเท้านั่นก็คงจะมาจากฟรานเชสก้าที่ออกไปจากหนองน้ำ เมื่อเขามองดูใกล้ๆ มันก็มีกิ่งไม้หักและพุ่มไม้ที่ถูกเตะออกไปด้วย
เหมือนว่าเขาจะคิดว่าการจมลงไปในหนองน้ำด้วยฝีมือของฟรานเชสก้าจะเป็นฉากจบที่สมเหตุสมผลสำหรับ 7753 แต่ถึง 7753 จะตาย ฟรานเชสก้าก็ขาดซึ่งดุลพินิจ หรือการระมัดระวังที่จะกำจัดใครบางคนโดยไม่ให้มีเลือดไหลพุ่งออกมา จากที่เขาเห็น มันไม่มีแม้แต่เศษผ้า ไม่ได้มีเลือดจากเหยื่อซักนิดด้วยซ้ำ —แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?
เขายืนขึ้น และหลังจากที่ลูบรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว มันก็มีบางสื่งที่สั่นอยู่ตรงเอว มันคือเมจิคัลโฟนของเขาเอง บนเกาะแห่งนี้ วิธีการใช้เมจิโฟนเพื่อติดต่อกันมันมีจำกัด นาวี่ดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมาจากกระเป๋าและยืนยันว่าคนที่โทรมาก็คือซาตาบอร์น แต่เรื่องตลกก็คือมันไม่ใช่คนตายที่โทรหาเขา หรือว่าซาตาบอร์นยังคงมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด
“นี่คือคลาริสซ่าผู้น่ารักเองนะ’”
“แล้วทำไมคลาริสซ่าผู้น่ารักถึงไปอยู่ที่นั่นล่ะ?” นาวี่ถามเธอ
“คลาริสซ่าให้ราเรโกะซ่อมแซมสถานที่ที่ถูกเชลซีทำลายแล้วก็เข้าไปในห้องใต้ดิน”
เครื่องส่งสัญญาณที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่ห้องทดลองใต้ดินมันมีประสิทธิภาพสูงกว่าชนิดพกพา แม้ว่าจะไม่สามารถใช้เมจิคัลโฟนสื่อสารระหว่างกันได้ มันก็สามารถสื่อสารจากเครื่องส่งสัญญาณได้ —เหมือนกับที่คลาริสซ่าทำอยู่ในตอนนี้
“นายไม่เห็นควันอะไรบ้างเหรอ?” คลาริสซ่าพูด
“อ๊ะ เรื่องนั้น” ต้นไม้โน้มอยู่เหนือศีรษะ บดบังท้องฟ้าไม่ให้เขามองเห็น นาวี่ถอยหลังไปสามก้าวและมองขึ้นไป มันมีกลุ่มควันมากกว่าที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ มันมีสองกลุ่ม และหนึ่งในนั้นก็หนากว่าก่อนหน้านี้
“รู้สาเหตุรึเปล่า?”
“ไม่รู้หรอก คิดว่าไม่ฟรานเชสก้าก็คู่ต่อสู้ของเธอที่เป็นคนทำน่ะ”
“คลาริสซ่าน่ะติดอยู่ในควันนั่น เพราะแบบนั้นมันก็เลยซ่อนตัวแทบไม่ได้”
“ก็จริง แบบนั้นมันช่วยไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปยังอาคารหลักไม่ใช่เรอะ”
“คลาริสซ่าคิดว่าจะให้ราเรโกะทำงานของตัวเองเลย ก็เลยให้เธอซ่อมทางเข้าทางใต้ดินแล้วก็ยังลดพรมที่นายเอามันขึ้นไปสูงลงมาเพื่อให้เธอซ่อมสิ่งนั้นด้วย”
“โว้ว โว้ว โว้ว โว้ว นั่นเธอทำได้มากกว่าเรื่องที่ปรึกษาชั้นอีกนะนั่น นี่เด็กดีที่ชื่อคลาริสซ่าทำถึงขนาดนั้นด้วยการตัดสินใจของตัวเองงั้นเหรอเนี่ย?”
“ก็เพราะราเรโกะขี้กลัวเรื่องไฟเกินไปจนอาจจะทำอะไรออกมาก็ได้น่ะสิ คลาริสซ่าก็เลยให้เธอทำงานที่พวกเราจำเป็นต้องให้เธอทำเป็นขั้นต้น จากนั้นก็ทำให้เธอหุบปากแล้วก็โยนเข้าไปในที่ไหนซักที่ ไม่ใช่ว่าแบบนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้วหรอกเหรอ?”
เขาจินตนาการถึงราเรโกะที่อยู่ในความกลัวได้ง่ายๆ มันเป็นอย่างที่คลาริสซ่าพูดเอาไว้ มันไม่รู้เลยว่าเธอจะทำอะไรออกมาบ้าง ซึ่งนั่นก็คือความเสี่ยง หากมีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง มันก็จะกลายเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแล้วก็ล้มเหลวไปในที่สุด
การกำจัดไมยะเป็นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ไม่มีใครเข้ามาขวางทางเขาสำหรับการเข้าใกล้ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นถัดไป —ซึ่งก็คือโยลแล้ว จากนั้น หากเป้าหมายสำคัญอย่างที่สอง —ได้รับวัตถุโบราณของปฐมจอมเวทจากการสืบทอดมรดกและให้ราเรโกะซ่อมมัน— เป็นไปได้ด้วยดี แบบนั้นหน้าที่ของราเรโกะก็จะหมดไปเช่นกัน
ตระกูลของโยลมีเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกจ้างแบบเต็มเวลาอยู่สองคน ไมยะกับราเรโกะที่มักจะติดตามคุณหนูในตอนที่เธอออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเสริมว่า “พาเมจิคัลเกิร์ลสองคนมาด้วย” เข้าไป มันก็จะเป็นการทำให้ไมยะและราเรโกะมากับเธอด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนาวี่ถึงเพิ่มเงื่อนไขดังกล่าวเข้าไปในพินัยกรรม มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะปลอมแปลงพินัยกรรมที่ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยเวทมนตร์ แต่การติดฟิล์มใสที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยห้องทดลองเพื่อเพิ่มเงื่อนไขที่ไม่ขัดแย้งกับข้ออื่นลงไปมันก็จะไม่สร้างปัญหา เขาสร้างฟิล์มใสแบบบางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นต่อให้จะมีความรู้สึกไวแค่ไหน มันก็ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลหรือจอมเวทคนไหนรู้ตัว เขาเชิญไมยะเข้ามาเพื่อที่จะกำจัดทิ้ง ส่วนราเรโกะนั้นเขาเชิญมาในการที่จะให้ซ่อมแซมอุปกรณ์บนเกาะนี้
“… อื้อ เข้าใจแล้ว” นาวี่พูด “ชั้นเข้าใจแล้วล่ะว่าเธอเก่งแค่ไหน เก็บอุปกรณ์ให้ดีด้วยล่ะ ไม่ใช่เก็บไว้เพื่อให้ชั้นใช้นะ มันมีพวกงี่เง่า งี่เง่าสุดๆ… อ๊ะ ต้องเป็นผู้ทรงเกียรติสิที่ต้องการมันอยู่ ดังนั้นพวกเราจะปล่อยให้มันมีฝุ่นหรือมีรอยไม่ได้ เพราะมันคือของพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นล่ะนะ”
“รับทราบ”
“แล้วเธอทำให้ราเรโกะหุบปากยังไงล่ะ?”
“คลาริสซ่าทุบเข้าหัวจากด้านหลังแล้วก็เตะให้ล้ม แล้วมันก็ต้องบีบคอไม่ก็ทำอะไรก้ได้ให้สลบใช่ไหมล่ะ? จากนั้นคลาริสซ่าก็มัดเธอแล้วโยนลงไปใต้ดิน”
“อย่าฆ่าเธอด้วยอุบัติเหตุหรืออะไรซักอย่างแล้วกัน”
“คลาริสซ่าปล่อยให้เธอทำงานเสร็จก่อน แบบนั้นถึงจะฆ่าเธอด้วยอุบัติเหตุก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
นั่นมีเหตุผล โดยทั่วไปแล้วนาวี่เตือนเธอว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าฆ่าเธอ หลังจากออกจากเกาะนี้ไปแล้วมันยังคงมีวิธีใช้งานเธออยู่” และคลาริสซ่าก็ตอบว่า “ฉันรู้น่า” บางทีเธออาจจะรู้อยู่แล้ว แต่มันก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายในช่วงสองวันนี้
“อ่า ใช่ ทางนี้เองก็หนักเหมือนกัน” นาวี่พูด “ชั้นขุดหลุมตรงบริเวณใกล้กับพื้นที่ทิ้งขยะแล้ววางตัวมานาลงไป 7753 และเท็ปเซเคเมย์อาจจะตายไปแล้ว แต่บางทีพวกเธอออาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเธอมีผลไม้สีเทาอยู่ แต่มันเหมือนกับว่าเป็นลูกที่ไม่ดีหรือว่าเป็นพิษ ดังนั้นอย่าเอาผลไม้พวกนั้นไปหรือกินมันเข้าล่ะ”
“…เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น?”
“หลายอย่างเลยล่ะ โอเคนะ? หลายอย่างเลย” นาวี่เอามือไปแตะที่ด้านหลังศีรษะและพบว่ามันช่างมันเยิ้มเสียเหลือเกิน
☆ โทตะ มากาโอกะ
มันยากมากที่จะบอกโยลว่าเขาไม่ได้เชื่อใจราเรโกะ และยิ่งกว่านั้น การที่โยลเชื่อใจโทตะมันเลยยากที่จะทำให้สำเร็จ โยลกับราเรโกะ ทั้งสองคนมีเรื่องราวที่โทตะไม่รู้ และทุกเรื่องที่โทตะสามารถพูดได้ก็คือ “ผมคิดแบบนี้” ไม่ก็ “ผมรู้สึกแบบนั้น” โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นตัวเป็นตนเลย เขาทำตัวเท่ๆและเด็ดเดี่ยวเหมือนกับเด็กผู้ชายที่เป็นนักสืบ และพูดว่า “เธอคือคนร้าย และนี่คือเหตุผล”
ดังนั้นโทตะจึงลงมือ แทนที่จะไปซ่อนตัวอยู่ที่จุดนัดพบ เขาก็เดินตรวจทั่วบริเวณตรงด้านหลังก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงเนินเขาโดยแสร้งว่าเป็นการตรวจสอบเรื่องต่างๆ เขามองไปรอบๆ ค้นหาว่ามีใครทำสัญลักษณ์อะไรไว้รึเปล่า ไม่ก็มีอะไรบางอย่างที่อาจจะเป็นคำใบ้ว่าต้องทำยังไง
ในตอนที่กลับไปหาโยล เขาก็ขยายขอบเขตการค้นหา และเมื่อเขาออกมาตรงด้านข้างแม่น้ำ เขาก็โน้มตัวออกไปจากด้านบนของหินก้อนใหญ่เพื่อมองไปรอบบริเวณ เมื่อเขามองมาที่ฝ่ามือของตัวเองก็พบว่าเปียกชื้น ด้านบนก้อนหินที่เขาเพิ่งวางมือลงไป มันมีจุดที่เปียกเป็นรูปวงกลมอยู่ มันเป็นวงเล็กๆ เมื่อเขาคิดว่ามันมีขนาดประมาณไหน เขาก็คิดออกว่ามันคือขวดพลาสติกขนาด 350 มิลลิลิตรที่ขายในร้านสะดวกซื้อ จนเขาส่งเสียงออกมาเบาๆว่า “อ๊ะ!”
มันคือก้นขวดพลาสติก มีใครซักคนวางขวดพลาสติกลงที่นี่และมันก็ยังคงเปียกอยู่ ซึ่งหมายความว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปนานนัก เขามองไปรอบๆและยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีใครอยู่ แต่คนที่เคยอยู่ตรงนี้คงจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถ้าพวกเขาตามออกไปตออนนี้ บางทีก็อาจจะตามทัน
โทตะกลับไปและอธิบาย เมจิคัลเกิร์ลไม่จำเป็นต้องกินและดื่ม ดังนั้นพวกเธอไม่จำเป็นต้องใช้ขวดพลาสติกเช่นกัน คนที่วางขวดพลาสติกไว้บนก้อนหินอาจจะเป็นจอมเวทไม่ก็เมจิคัลเกิร์ลที่คลายการแปลงร่าง ดังนั้นมันคงไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลชั่วร้ายที่ใช้ความรุนแรงแน่
“มันยังเปียกอยู่เลยฮะ” โทตะพูด “เวลายังผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ตามไปกันดีกว่า”
“แต่ราเรโกะยังไม่กลับมาเลย” โยลพูด เสียงนั้นฟังดูเจ็บปวดมาก โทตะเองก็สามารถสัมผัสความรู้สึกของเธอได้ ท่าทางของเธอเองก็ดูเจ็บปวดเช่นกัน ถ้าราเรโกะจัดการเมจิคัลเกิร์ลชั่วร้ายและช่วยเชลซีเอาไว้ได้ แบบนั้นเธอก็คงกลับมาเรียบร้อยแล้ว —เนื่องจากเมจิคัลเกิร์ลนั้นเคลื่อนไหวและต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็พูดออกมาไม่ได้
“ไม่ได้เหรอฮะ—? แบบนั้น… พวกเราทิ้งอะไรเอาไว้ดีไหมฮะ? ทำเครื่องหมายให้รู้ว่าพวกเราไปทางนี้ ถ้าทำแบบนั้นแล้วราเรโกะตามพวกเรามา ก็จะรวมตัวกันได้”
โยลยังคงดูเจ็บปวด แต่พวกเธอจะทิ้งโอกาสนี้ไปไม่ได้ พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่ต้องตามไปมุ่งหน้าไปทางไหน และคนๆนั้นก็จะห่างออกไปไกลขึ้นมากเรื่อยๆ
ในตอนที่มีกลิ่นการเผาไม้โชยมาตามทาง พอเวลาผ่านจนรู้ตัว มันก็มีควันจางๆที่ลอยเข้ามาหาพวกเขา มันคือไฟ เหมือนว่าเมจิคัลเกิร์ลชั่วร้ายจะเป็นคนที่ทำมันขึ้นมา โทตะตื่นตระหนก โยลเองก็เช่นกัน แบบนี้มันแย่แล้ว เขาได้ยินมาเยอะในตอนฝึกซ้อมดับเพลิงว่ามันไม่ดีที่จะสูดควันเข้าไป และเขาก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าการถูกไฟเผามันแย่ยังไงด้วย
“เมจิคัลเกิร์ลนี่แข็งแกรงพอที่จะทนไฟกับควันได้รึเปล่าฮะ?” โทตะถาม
“ถ้าไฟแค่เล็กน้อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะมีอาการคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษหรืออะไรแบบนั้นได้… แต่พวกเธอต้องหายใจ จำเป็นต้องมีออกซิเจน ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะรอดได้เมื่ออยู่ในควัน”
“แบบนั้นก็หมายความว่า…”
“ใช่ ถึงจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็จะพยายามหนีจากไฟและควัน” ท่าทางของโยลดูเจ็บปวดเอามากๆ
โทตะคิดว่าท่าทางของตัวเองก็คงจะเหมือนกัน ต่างคนต่างก็บอกได้ว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ หากเมจิคัลเกิร์ลจำเป็นต้องหนีจากไฟ แบบนั้นเมจิคัลเกิร์ลชั่วร้ายก็จำเป็นที่ต้องหนีจากไฟเช่นกัน และราเรโกะก็จะไม่มายังสถานที่ที่นัดกันเอาไว้ —ตรงด้านหลังก้อนหินสี่เหลี่ยมที่ตั้งเรียงกันเป็นแนวตรงเนินเขา โทตะโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังของก้อนหินและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขารู้สึกว่าควันมันเข้ามาใกล้กว่าก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่ากลิ่นไหม้เองก็แรงขึ้นกว่าเดิม หากพวกเธอยังคงซ่อนตัวอยู่แบบนี้ก็อาจจะติดอยู่ในกองไฟได้
เขากดหน้าอกของตัวเอง หายใจเข้าและออกสามครั้งพร้อมกับทนกลิ่นไหม้ เขาหายใจเข้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้และหายใจออกมาอย่างช้าๆ โยลกัดเข้าไปที่ผลไม้สีเทาครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ห่อไว้ด้วยกระดาษและใส่เข้าไปที่กระเป๋าเสื้อคลุม เธอกินผลไม้สีเทาแบบทีละนิด เก็บสิ่งที่เหลือเอาไว้ ในตอนที่มาถึงตรงนี้ก็เจอผลไม้สีเทาเพิ่มอีกสามลูก แต่กระนั้น ในตอนนี้มันเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งลูก ความเร็วที่โยลกินมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้ตัวเองดีแต่ก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ โทตะไม่รู้ทำไมมันถึงเกิดขึ้น มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องกินเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไปกอง
“…ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ได้นะ” ท่าทางของโยลบ่งบอกว่ามันดูเจ็บปวดที่จะพูดออกมา
โดยส่วนตัวแล้วโทตะรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินมัน แม้เขาอยากจะเป็นคนที่พูดว่า “ราเรโกะเองก็ยังไม่กลับมาเลย แบบนี้ต่อให้อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วล่ะ ดังนั้นไปกันเถอะ” ที่มันยากที่จะพูดออกมา แม้ว่าเขาจะรู้สึกโล่งอก เขาก็ขอโทษอย่างเงียบๆกับการที่ตัวเองรู้สึกโล่งอกแล้วก็พยักหน้า “อื้อ ผมคิดว่าถ้าพวกเราติดอยู่ในกองไฟกับควันมันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ …พวกเราทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้แบบที่ผมบอกก่อนหน้านี้เพื่อให้ราเรโกะรู้ดีไหมฮะ?”
ด้วยปากกาขนนกกับหมึกสีแดง โยลใช้มันเพื่อวาดรูปร่างบนการ์ดเรียบๆที่เธอบอกว่าเป็น “ตราที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูล” เป็นวงกลม สามเหลี่ยม และสี่เหลี่ยมผสมเข้าด้วยกัน จากนั้นโยลก็วางการ์ดลงบนก้อนหินและร่ายคาถา ก้อนหินแหว่งออกพร้อมกับเสียงแตก และสิ่งที่สลักลงไปก็คือใบหน้า ห่างจากภาพใบหน้านั้นออกไปหนึ่งนิ้ว เธอก็สลักรูปลูกศรที่บ่งบอกถึงทิศทางว่าพวกเธอออกไปในทิศทางไหน โทตะร้องออกมาอย่างยินดี “เจ๋งสุดๆเลย!” พร้อมกับปรบมือ โยลดูท่าทางอายๆในตอนที่พูดว่า “รีบไปกันได้แล้วนะ” บางทีเวทมนตร์อาจจะเรียบง่ายกว่าที่โทตะคิดไว้
ในตอนนี้โทตะกำลังคิดว่าใครคือคนที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้มากที่สุด นั่นดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาและโยล แม้เขาจะอยู่ตัวคนเดียว หรือทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน มันก็ยากที่จะปกป้องตัวเอง โทตะอยากให้ตัวเองดูเท่และพูดว่าเขาสามารถปกป้องโยลได้ และทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้เพื่อปกป้องเธอ แต่เขาก็สงสัยว่าตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้รึเปล่าหากศัตรูปรากฏตัวขึ้นมา เขาคิดว่าคุณน้าของเขาคงจะพูดว่า “ถ้าพยายามแล้วก็ยังทำไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ผมคิดว่า… อยากจะไปเจอกับมิสมาร์เกอริตฮะ” โทตะพูด
“เธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่มาที่นี่กับนายใช่ไหม?”
“เธอแข็งแกร่งมากเลยฮะ ผมได้ยินว่าเธอจัดการคนไม่ดีมาเยอะแยะเลย”
โยลพูดว่า “หืมมม” พร้อมกับเอานิ้วชี้ของมือขวาแตะไว้ที่คาง “ราเรโกะดูพึ่งพาไม่ได้ก็จริง แต่เธอก็แข็งแกร่งนะ”
“อ๊ะ เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีกับราเรโกะฮะ เอ่อ ผมหมายถึงพวกเราสามารถเชื่อใจมิสมาร์เกอริตได้”
“พวกเราเองก็เชื่อใจราเรโกะได้เหมือนกันนะ”
“อ่า ใช่ฮะ…”
“และถ้าพูดถึงเรื่องเชื่อถือล่ะก็ พวกเราเองก็เชื่อคุณลุงได้เหมือนกัน”
“ ‘คุณลุง’ ที่ว่านี่ หมายถึงนาวี่เหรอฮะ?”
“อื้อ ครอบครัวของเรารู้จักกัน คุณลุงเองก็ดูแลฉันดีมาตลอดด้วย”
“อ่าาา”
“มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามีการคุยกันเรื่องให้คุณลุงมาเป็นคู่หมั้นด้วย”
“คู่หมั้น? กับใครเหรอฮะ?”
“กับฉันไง”
“…หือ?!”
“น่าตกใจใช่ไหมล่ะ? ช่วงอายุห่างกันมากเลยนะ ปกติแล้วก็ต้องปฎิเสธนั่นแหละ แต่รู้ไหม คุณลุงเกรงใจฉันมากเลยนะ แถมยังพูดว่า ‘ถ้าเธอชอบล่ะก็’ ด้วยล่ะ เหมือนเป็นคนใจดีเลย ”
“อ่า อื้ม… โอ้… อื้ออออ”
โยลหัวเราะคิกคัก เธอเอามือแตะไว้ที่เอวและก้มศีรษะลงมาเพื่อดึงตัวโทตะที่อยู่ด้านล่างขึ้นมา ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่ดูสนุกสนานอยู่ด้วย “คุณทวดที่เสียไปแล้วกับไมยะค้านเรื่องนี้หัวชนฝาเลย ดังนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ แต่ว่า… อ๊าาา!” โยลร้องออกมาแล้วก็วิ่งออกไป
เธอไม่ได้ยินเสียงของโทตะที่บอกว่า “ระวัง!” ที่พยายามจะห้ามด้วย เธอไถลตัวเข้าไปในพุ่มไม้ โทตะพยายามตามเธอไปและพูดว่า “ทำอะไรน่ะ?” แต่ในตอนที่เธอออกมา หน้าผากของทั้งคู่ก็กระแทกเข้าหากัน จนโทตะโน้มตัวกลับไปด้านหลัง มันเป็นเสียง ตึ้ง ที่ดังมาก แต่เขาก็อดทนเอาไว้ เอามือลูบที่หน้าผากในตอนที่มองไปหาโยล
โยลไม่ได้สนใจหน้าผากของตัวเองที่กลายเป็นสีแดง ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ฝ่ามือ นั่นคือผลไม้สีเทาสี่ลูก
“สี่?! อะไรเนี่ย?!” โทตะพูด
“ฉันเห็นมันขึ้นอยู่ใกล้กับพื้นตรงอีกด้านของพุ่มไม้น่ะ” เธอดูเหมือนจะดีใจ
โทตะเองก็ดีใจ เขา นั้น ดีใจ แต่ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อคิด เขาพยายามมองไปรอบบริเวณอีกครั้ง โทตะเองก็เคยมาตรงนี้ระหว่างทางที่ไปแม่น้ำด้วย แต่เขาไม่เจอผลไม้อะไรเลย เขาใช้ความคิดพร้อมส่งเสียง อืมม อืมม อยู่เล็กน้อยแล้วก็รู้ว่า โยลตัวเตี้ยกว่านี่นา ดังนั้นหากเธอก้มลง เคลื่อนไหวอย่างช้าๆโดยเพ่งความสนใจล่ะก็ เธอก็จะเจอผลไม้ที่โดยปกติแล้วจะเป็นการเดินไปรอบๆแล้วใช้สายตามองสูงขึ้นไปจะไม่มีทางหาเจอได้
เรื่องสำคัญก็คือต้องมองจากจุดที่ต่างกันงั้นเหรอ? เขาคิดพร้อมกับรู้สึกอายเล็กน้อยในตอนที่เดินต่อไปจนถึงแม่น้ำ แม้ว่าจะแห้งไปซักเล็กน้อย รอยที่ดูเหมือนว่ามาจากขวดพลาสติกก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
“แต่…” โยลสงสัย “พวกนั้นไปทางไหนกันล่ะ?”
“พวกเราต้องรู้ให้ได้ในตอนนี้ฮะ พวกเราไม่มีเวลาพอ ดังนั้นต้องเร็ว”
เขาคิดว่ามันคงยาก แต่มันก็เจอร่องรอยของคนอื่นอย่างง่ายๆ ตรงอีกฝากของแม่น้ำมันมีร่องรอยอยู่จำนวนมาก —หินก้อนใหญ่ที่แตกเป็นเสี่ยง หินก้อนเล็กที่ปลิวออกไป และพื้นดินที่ยุบลงไป— ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำบางทีก็คงกำลังคลั่งอยู่ คนๆนั้นต้องกระทืบอย่างรุนแรงจนทิ้งรอยเท้าเปลือยเปล่าเอาไว้เป็นจำนวนมาก รูปร่างของนิ้วเท้าแต่ละนิ้วก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน รอยเท้านั้นเดินไปตามกระแสน้ำ ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับไฟที่ลุกโชน
โทตะคิด คนที่วางขวดพลาสติกลงไปจนเกิดรอยเปียกกับคนที่ใช้ความรุนแรงบางทีอาจจะเป็นคนละคนกัน ทางฝั่งนี้ของแม่น้ำมันไม่สัญญาณการทำลายล้างอยู่เลย มันแปลกมากที่ขวดพลาสติกถูกวางลงไปอย่างเบามือ ในขณะที่อีกฝากกลับเต็มไปด้วยความรุนแรง หากเป็นคนละคนกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ? พวกเธอทำอะไรกันแน่?
คนที่พวกเขาอยากตามไปก็คือคนที่มีขวดพลาสติก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอกับคนที่ใช้ความรุนแรง
โทตะหรี่ตา เขาควรจะเปลี่ยนวิธีการคิดของตัวเอง เขาต้องเปลี่ยนมุมมองด้วยเช่นกัน หากคนที่มีขวดพลาสติกเลือกไปทางที่ทวนกระแสน้ำ แบบนั้นหลังจากที่เห็นควันนี่แล้ว ก็คงจะเปลี่ยนไปทางอื่น แต่พวกเธอก็ไม่ได้กลับมา นี่พวกเธอมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำ เดินตามกระแสน้ำไป หรือว่าไปทางอื่นกันนะ? การเดินตามกระแสน้ำไปมันคุ้มค่าพอที่จะทำ
ปัญหาก็คือคนที่อาละวาดเองก็มุ่งหน้าไปตามกระแสน้ำด้วย แต่จากการที่คนวางขวดพลาสติกเอาไว้ไม่ได้อยู่ที่นี่และไม่ได้มีรอยเลือดอยู่ที่ไหน มันก็บอกได้ว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอในทันที ไม่ใช่ว่าจู่ๆก็จะเกิดเรื่องที่อันตรายขึ้น
โทตะแลกเปลี่ยนความคิดของตัวเองกับโยล เธอพูดว่า “งั้นเหรอ งั้นเหรอ” ในตอนที่ฟังอยู่ แต่ในตอนที่เขาเสนอว่าให้เดินไปตามกระแสน้ำ เธอก็เอียงหัว “แบบนั้นไม่อันตรายเหรอ?”
“แต่ถ้าลองมองจากอีกมุม ผมคิดว่าอาจจะไม่อันตรายฮะ ถ้าเธอทำแบบนี้ตลอดในตอนที่เคลื่อนไหว” —เขามองไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกทำลายจนเป็นชิ้นๆ— “มันก็จะเกิดเสียงดังขึ้นมาแน่”
“ก็จริง”
“ถ้าพวกเราตามไปอย่างเงียบๆ มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเห็นเธอก่อนที่เธอจะเห็นพวกเราเหรอฮะ? ตราบใดที่พวกเราไม่ทำอะไรพลาดและโผล่ออกไปด้านหน้าตรงทางที่เธอมุ่งหน้าไป ผมคิดว่ามันก็ปลอดภัยที่จะตามไปฮะ”
“เมจิคัลเกิร์ลมีประสาทฟังเสียงดีนะ แต่… มันก็จริง นายพูดถูก” โยลมองดูต้นไม้ที่ล้มลงมาและพยักหน้า “จริงๆแล้วฉันคิดว่าพวกเราควรจะวิ่งไปทางตรงกันข้าม”
“อ่าา”
“แต่ทางตรงกันข้ามมันก็มีไฟ”
“ใช่ฮะ” เขาใช้ท่าทางเหมือนกับผู้ใหญ่เพราะคิดว่าไม่ได้มีตัวเลือกมากอะไรนัก โทตะคิดว่าหากพวกเขาต้องเลือกจากตัวเลือกที่มีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง นี่ก็คือตัวเลือกที่ดี
โยลลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็กัดเข้าไปหนึ่งในสามของผลไม้สีเทาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งแล้วก็พยักหน้าอีกครั้ง “พอถึงเวลา ฉันจะปกป้องนายเอง”
“นี่… ผมต่างหากที่ต้องปกป้องเธอน่ะ”
ทั้งคู่มองหน้ากันและกันและระเบิดหัวเราะออกมาในเวลาเดียวกัน
☆ ราเรโกะ
ราเรโกะใช้เวลาในช่วงชีวิตของตัวเองอย่างกังวลเรื่องความคิดของคนอื่น กับคนที่เป็นชนชั้นล่างของสังคมแล้ว ทักษะเรื่องการสังเกตุมันคือสิ่งจำเป็นของชีวิต หากไม่มีมันตัวเองก็จะตาย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงขัดเกลามัน ไม่ว่าคลาริสซ่าจะพยายามปิดบังเอาไว้แค่ไหน ราเรโกะก็รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นเรื่องไฟ คลาริสซ่าพยายามซ่อนมันเอาไว้ เธอทำตัวเหมือนกับว่าไม่มีอะไรและยิ้มออกมาราวกับไม่ใช่ปัญหา และมันทำให้ราเรโกะตื่นตระหนก
จะให้มันแสดงออกมาไม่ได้ หากราเรโกะสู้กับคลาริสซ่าเพราะว่าไม่สามารถพึ่งพาต่อไปได้อีกแล้ว แบบนั้นคลาริสซ่าก็จะคิดว่าราเรโกะกำลังเสียเปรียบ หากใครซักคนที่ลงมือทำตามสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับตัวเองคิดว่าตัวเองนั้นกำลังเสียเปรียบ แบบนั้นมันก็ต้องตัดทิ้งไป ราเรโกะลงมือด้วยสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับตัวเธอเอง ดังนั้นเธอจึงอ่อนไหวกับเรื่องเช่นนี้ แม้ภายในจิตใจจะไม่ได้มั่นคง เธอก็ทำตามคำแนะนำของคลาริสซ่า ตอนนี้คลาริสซ่ายังคงเป็นความหวังเดียวของเธอ เหมือนกับก่อนหน้าที่ไฟจะลุกโชน
แม้จะมีตรระกะดังกล่าวอยู่ในหัว เธอก็ไม่สามารถหยุดส่วนที่ไร้ตรรกะของตัวเองไม่ให้ไม่พอใจได้ นาวี่ควรจะจัดการกับเรื่องวุ่นวายแบบนี้ —ที่ราเรโกะทำไปทั้งหมดก็เพราะคิดว่าเขาจะทำได้ หากพวกนั้นมาบอกเธอในตอนนี้ว่าเขาไม่สามารถจัดการเรื่องต่างๆได้แล้ว เธอก็ติดอยู่กับความคิดที่ว่า แล้วดิฉันควรจะทำยังไงล่ะ?
คลาริสซ่าพูดว่าพวกเธอจะไปยังอาคารหลัก ดังนั้นราเรโกะจึงตามเธอไป มองดูแผ่นหลังเล็กๆที่นำอยู่ด้านหน้า เพราะเธอเพ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้นจึงทำให้หลบกิ่งไม้ไม่ได้ มันกระแทกเข้ากับหน้าผากและทำให้ความไม่พอใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นพวกเธอก็กลับมาที่อาคารหลักได้ พวกเธอวนไปด้านข้างตามกำแพงด้านนอกของทางเข้าด้านหน้า พวกเธอไปทางขวาสามสิบเมตรจนมาถึงกำแพงที่เชลซีทำพัง เนื่องจากว่ามันถูกทำลายจนราบ เพราะแบบนั้นก็เลยมองเห็นทางเดินจากด้านนอกด้วย
คลาริสซ่ายืนอยู่ตรงหน้ากำแพงที่พังพร้อมกับพึมพำ “ฉันคิดว่าเป็นที่นี่นะ” จากนั้นก็กางแขนออกกว้างแล้วมองขึ้นไปด้านบน ราเรโกะไม่อยากบอกว่ากำลังเลียนแบบ แต่ตัวเองก็มองขึ้นไปเช่นกัน คลาริสซ่าพึมพำเวทมนตร์ จากนั้นจุดเล็กๆก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อราเรโกะรู้ว่ามันคือพรมที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันก็เข้ามาใกล้อยู่ในระยะที่เอื้อมถึงแล้ว
คลาริสซ่าหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่ด้านบนพรมแล้วยื่นมันมาให้ราเรโกะ ราเรโกะรับกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่มีขนาดเท่าใบหน้าไว้บนฝ่ามือข้างขวา คลาริสซ่าคลายเส้นด้ายสีม่วงด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เปิดมันออกอย่างระมัดระวังเพื่อให้ราเรโกะเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“ทำให้มันกลับเป็นเหมือนเดิม โอเคนะ?” คลาริสซ่าพูด
“หมายถึงอุปกรณ์นี่น่ะเหรอ?” นี่เธอรู้ว่าเสียงของราเรโกะมันสั่นรึเปล่านะ?
ราเรโกะหรี่ตาจนกระทั่งแทบจะมองไม่เห็น จากนั้นก็เปิดกล่องออกช้าๆแล้วก็มองเข้าไปด้านใน อุปกรณ์มันเก่า เก่ามากพอจนบอกไม่ได้ว่ามันเก่าขนาดไหน มันหักเป็นสองส่วนและวางเป็นแนวทแยงอยู่ในกล่อง ราเรโกะกลืนน้ำลาย เธอมีความรู้สึกว่าแทบจะรับไม่ไหวกับวัตถุเพียงแค่อย่างเดียว และยังเป็นสิ่งที่พังอยู่ด้วย เธอสงสัยว่ามันคืออะไร แต่ก็กัดฟันเอาไว้ คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีที่จะถามออกไป
เธอยื่นมือออกไปและสัมผัสมันอย่างกลัวๆ สัมผัสของมันเหมือนกับเป็นเหล็ก แต่มันก็ทำให้เธอขนลุก เธออยากจะปล่อยมันออกไปเดี๋ยวนี้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าอยากสัมผัสมันไปตลอดเช่นกัน ด้วยการลูบทั้งสองส่วนเพียงแค่ครั้งเดียว ราเรโกะก็ซ่อมมันเสร็จเรียบร้อย เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอไม่ต้องการเวลาแม้แต่จะกระพริบตาตรงหน้าอุปกรณ์ที่กลับไปเหมือนเดิมอีกครั้ง “เวทมนตร์ของเธอนี่ดูกี่ครั้งก็ยอดเลยนะ” คลาริสซ่าพูด แต่ราเรโกะไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับคำเยินยอยังไงดี เธอจึงส่ายหน้าออกมา
อุปกรณ์ที่ถูกซ่อมแซมด้วยเวทมนตร์กลับเข้าไปในกล่องไม้ดั้งเดิมของมัน และถูกส่งขึ้นไปสูงบนฟ้าพร้อมกับพรม มันหายไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่มาด้วยเวทมนตร์ที่คลาริสซ่าพึมพำออกมา ราเรโกะรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อเห็นมันบินออกไปในอากาศ และความรู้สึกนั้นมันก็ทำให้เธอกลัว มันคืออะไรกันแน่นะ?
ถัดจากซ่อมอุปกรณ์ เธอก็ซ่อมกำแพงที่พังลงมา เธอรู้สึกว่างานนี้มันไม่ได้มีแรงกดดันอะไรนัก แต่มันมีดินที่ติดอยู่ในบางจุด เธอจึงต้องกวาดมันออกให้สะอาดเพื่อไม่ให้เข้ามาขวาง เธอให้คลาริสซ่าเข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน พวกเธอเอาดินและฝุ่นที่ขวางอยู่ออกไป เธอเอาปลายไม้กวาดที่ใช้ทำความสะอาดแตะเข้าไปที่กำแพง ด้วยเสียง แกร๊ง กำแพงที่พังไปแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมในทันที ทางเดินที่มองเห็นได้จากด้านนอกถูกซ่อนเอาไว้ กำแพงก็กลับมาปลอดภัยอย่างที่มันควรจะเป็น
“เอานี่ รางวัลสำหรับตอนนี้” คลาริสซ่าพูด
“อ๊ะ อื้อ ขอบคุณนะ” ผลไม้สีเทาห้าลูกกลิ้งเข้ามาหาราเรโกะที่รีบรับมันเอาไว้
เหตุผลที่เธอทำไมถึงต้องซ่อมกำแพงนั้น คลาริสซ่าก็แสดงคำตอบของคำถามนั้นให้เธอดู เธอพึมพำเวทมนตร์ออกมาเหมือนกับก่อนหน้าและผลักเข้าไปที่อิฐก้อนหนึ่งที่กำแพง จากนั้นพื้นดินก็สั่นไหว เสียงของหินที่กระแทกเข้ากับหินมันดังขึ้น แน่นอนว่าราเรโกะตื่นตระหนกอย่างชัดเจน เธอเตรียมคฑาพร้อมในตอนที่มองไปรอบๆ จากนั้นดวงตาของเธอก็หยุดอยู่ที่พื้นตรงเท้าของคลาริสซ่า จุดตรงนั้นมันดูเหมือนพื้นดินสั่นจนเปิดออก มันแยกออกไปทางซ้ายและขวาจนมองเห็นหลุมสี่เหลี่ยมที่มีขนาดกว้างยาวราวหนึ่งเมตร จากนั้นการสั่นสะเทือนและเสียงก็หยุดลง ร่างกายครึ่งล่างของคลาริสซ่าลงไปในหลุม แม้ราเรโกะจะตกใจจนแทบหัวใจหยุดเต้น คลาริสซ่าก็ลงไปด้านในโดยไม่ได้อธิบายอะไร เธอตะโกนออกมาจากด้านในหลุมว่า “รอตรงนั้นแหละ!” ราเรโกะเข้าไปใกล้และมองลงไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ด้านในนั้นมันมืดแต่เมจิคัลเกิร์ลก็สามารถมองเห็นได้ กำแพงของหลุมนั้นมันไม่ได้เกิดมาตามธรรมชาติ มันเรียบเหมือนกับถูกขัดหลังจากที่ตัดออกไป มีบันไดเหล็กสำหรับใช้ลงไปด้านล่างอยู่ด้วย
ราเรโกะไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะตามลงไปรึเปล่า จากนั้นมันก็มีเสียงดังขึ้นมาราวกับว่าอ่านใจของเธอได้ “คลาริสซ่าจะติดต่อกับเจ้านาย ดังนั้นคอยระวังให้ด้วย!”
ราเรโกะหันหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าและปล่อยลมหายใจที่เก็บไว้ในอกออกมา มันไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่ต้องคอยระวังหลังจากที่ถูกใช้งานมาตลอด แต่บางทีมันอาจจะดีกว่าการตามคลาริสซ่าเข้าไปในห้องใต้ดินที่น่าสงสัย
เธอหันหน้าออกจากทางเข้าห้องใต้ดิน ที่ด้านนอกของอาคารหลักมันคือป่า มันจึงไม่ใช่ภาพที่น่ามองอะไรนัก ราเรโกะไม่ยอมให้ตัวเองกระโดดเข้าไปในหลุมทันทีหากมีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้น และในตอนที่ยืนอยู่นี้ เธอก็กินผลไม้สีเทาที่ได้รับมาไปหนึ่งลูกแล้วก็กินต่ออีกลูกโดยไม่ได้หยุด เธอใช้นิ้วยกขาแว่นเและปรับตำแหน่งพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้งและเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า แสงมันจ้ามาก เธอไม่อยากทำงานที่ต้องยืนอยู่ด้านนอกในอากาศแบบนี้ เธอเล่นๆคิดว่า ถ้าพวกนั้นทำทางเข้าให้อยู่ในตัวอาคาร แบบนั้นก็จะสามารถคอยจับตาดูจากภายในอาคารได้ แม้ว่าจะมีควันลอยอยู่เหนือผืนป่า มันก็อยู่ห่างออกไป ตัวของเธออยู่ห่างจากมัน จิตใจเองก็เช่นกัน ในตอนนี้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น เธอรู้สึกว่าสามารถมองตัวเองอย่างไม่ลำเอียงได้มากขึ้น
เธอกลัวไฟ ควันเองก็น่ากลัวมาก เมจิคัลเกิร์ลปริศนานั้นน่ากลัวยิ่งกว่า แต่เธอก็ดีกว่านาวี่ ลู ชายคนนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก เธอคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเมื่อตัวเองได้เห็นอุปกรณ์ที่เข้าใจได้ยากแต่แสนจะน่าเหลือเชื่อ ทำไมไมยะถึงตายกันนะ? ทำไมคลาริสซ่าถึงมีข้อมูลเรื่องเมจิคัลเกิร์ลปริศนาว่าจะไม่โจมตีคนที่อยู่ในหลุม? ถ้าคิดเรื่องทั้งหมดนั้นแล้ว มันก็ชัดเจนว่าไม่ต่อต้านนาวี่ ลูจะดีกว่า เธอกอดตัวเองเอาไว้และมองขึ้นไป
เธอคิดว่าเธอได้ยินอะไรบางอย่าง ควรจะบอกคลาริสซ่าดีรึเปล่านะ? เธอต้องบอกคลาริสซ่า ราเรโกะหมุนตัวและประจันหน้าเข้ากับคลาริสซ่าคนที่กำลังเงื้อหมัดอยู่ ก่อนที่เธอจะทันได้ตกใจ คลาริสซ่าก็ต่อยเข้ามา ราเรโกะบิดตัวไปรอบๆและโดนเข้าที่ไหล่ —เธอพยายามจะดึงคฑาออกมา แต่หางของคลาริสซ่ามันพันรอบแขนเสื้อเอาไว้ คลาริสซ่ารัดแขนเสื้อตรงข้อมืออีกข้างไว้ด้วย ราเรโกะดิ้นไปมา พยายามไม่ให้ตัวเองล้มลง เมื่อคลาริสซ่าเอาแขนมาโอบรอบลำคอราเรโกะไว้ ไม่นะ เธอกำลังจะถูกรัดคอตายโดยไม่ได้มีเวลาได้ทันทำอะไร
มีใครบางคนตะโกนออกมา “ทำอะไรกันน่ะ?!”
มีบางอย่างเข้ามาตรงมุมสายตา คลาริสซ่าปล่อยตัวของราเรโกะออกแล้วก็กระโดด ราเรโกะกลิ้งตัวไปกับพื้น ลุกขึ้นและวิ่งตรงไปที่อาคารหลัก ใช้ไหล่กระแทกเข้าไปยังกำแพงที่เธอเพิ่งซ่อมเสร็จ เธอทำลายมัน ก้าวเข้าไปในอาคารหลัก จากนั้นก็ซ่อมด้วยเวทมนตร์แบบไม่หยุดเคลื่อนไหว เธอยังคงวิ่งต่อไปโดยไม่ได้หันกลับมามองกำแพงด้านหลังที่ในตอนนี้ถูกซ่อมกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เธอวิ่งผ่านโถงทางเดินด้วยความเร็วเต็มที่และออกมาที่สวน เธอยังไม่หยุดเพราะเธอหยุดไม่ได้ เธอกำลังสับสน มันเกิดอะไรขึ้น? คลาริสซ่าโจมตีเธอ มีใครบางคนช่วยเธอไว้งั้นเหรอ? เธอได้ยินแต่เสียง —เด็กสาว เสียงของเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ? เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเคยได้ยินมาก่อน แต่บางทีก็อาจจะไม่ หากอีกฝ่ายจะเข้ามาช่วย แบบนั้นก็ต้องช่วยเธอไม่ใช่เหรอ? แต่เธอก็ไม่รู้อีกฝ่ายจะช่วยได้มากแค่ไหน นาวี่ ลูเป็นชายที่น่ากลัว มันไม่มีทางที่คลาริสซ่าพยายามจะฆ่าราเรโกะด้วยการตัดสินของตัวเองแน่ แน่นอนว่านาวี่ ลูต้องสั่งให้เธอทำ
เธอกำลังสับสน เธอต้องพึ่งพาใครซักคน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าใครกันที่สามารถพึ่งพาได้ เธอเชื่อใครไม่ได้เลย เธอเอาตัวกระแทกเข้ากับกำแพงและประตูที่ขวางทางอยู่เพื่อทำลาย จากนั้นเมื่อผ่านไปแล้วก็ซ่อมมันในทันที เธอจะไม่ยอมให้ใครตามมา จากโถงทางเดินไปยังห้อง จากห้องไปยังโถงทางเดิน ด้านล่างบันได ห้องครัว ทุกสิ่งที่เธอทำได้ก็คือวิ่ง เธอจะหยุดที่ไม่ได้ เธอต้องมีใครซักคนที่ช่วยเธอ เธอไม่ได้ยินเสียงของคนที่เข้ามาช่วยหรือคลาริสซ่าแล้ว
เธอทำลายกำแพงแล้วก็ซ่อม วิ่งต่อไปเรื่อยๆในอาคารหลักแบบสลับฟันปลา และจากนั้นเธอก็คิดว่า อ๊ะ พร้อมกับภาพของโยลที่ขึ้นมาในใจ หากราเรโกะไม่มีโชคกับนาวี่ แบบนั้นเธอก็แค่ควรจะกลับไปหาโยล นี่โยลยังคงรออยู่ที่จุดนัดพบรึเปล่านะ? ราเรโกะยังคงสับสน เท้าของเธอไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว หลังจากที่ทะลุกำแพงจนนับไม่ไหวแล้ว เธอก็ก้าวออกมายังแสงสว่างและตอบสนองด้วยการหรี่ตา แสงอาทิตย์ ซึ่งมันหมายถึงเธออยู่ด้านนอก นี่เธอตัดผ่านอาคารหลักจนออกมาข้างนอกงั้นเหรอ? หลังจากที่วิ่งมาแบบไม่รู้ทิศรู้ทางตลอดเวลา แม้จะเป็นราเรโกะก็ไม่รู้ว่าตัวเองออกมาที่ไหน
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?”
เธอหันหน้าไปทางขวา เมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานขนาดยักษ์อยู่ในมือแต่ละข้างกำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังทางเข้า เธอยิ้มให้ราเรโกะ —เธออยู่ห่างออกไปสิบเมตร มีน้ำเสียงที่ไพเราะ ราเรโกะรู้สึกว่าเข่าของเธอกำลังจะทรุดลงไป แต่เธอคงท่ายืนเอาไว้อย่างสิ้นหวังเพื่อหันหน้าเข้าหาเมจิคัลเกิร์ลคนนั้น ราเรโกะได้มองดูจากด้านล่างตอนที่เธอไล่ตามเชลซี แค่เห็นมันเพียงเล็กน้อยจากระยะไกลก็เธอทำให้เธอคิดว่า ไม่ไหวแน่
คลาริสซ่าบอกราเรโกะว่าจะไม่ถูกโจมตีถ้าอยู่ในหลุม แต่หลังจากที่ถูกคลาริสซ่าโจมตีแล้ว เหตุผลที่ราเรโกะจะเชื่อเรื่องนั้นก็หายไป เธอไม่ได้มีเวลาที่จะขุดหลุมตั้งแต่แรกด้วย เธอดึงเอาคฑาออกมาจากแขนเสื้อ เลื่อนทั้งสามส่วนออกอย่างสั่นเทา ยืดความยาวที่ยาวครึ่งเมตรออกเป็นหนึ่งเมตร เมื่อเทียบกับคฑาตามปกติแล้วมันพกพาได้ง่ายมาก ซึ่งทำให้ดูเป็นอาวุธลับมากกว่า มันไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่มันก็แข็งแกร่งพอที่เธอจะใช้อย่างครอบคลุมได้และใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อซ่อมแซม ราเรโกะเหวี่ยงแท่งโลหะผสมที่ยืดออกเพื่อทุบเข้าไปตรงกำแพงที่พัง ทำให้เศษชิ้นส่วนลอยขึ้นไปในอากาศแล้วก็ทุบมันเข้าหาศัตรูสามครั้งติดกัน
ราเรโกะปล่อยลมหายใจออกมาสั้นๆและก้าวถอยหลังเพื่อหนีเข้าไปในอาคารหลัก จากนั้นก็กระทืบเข้าไปที่ไม้กระดานเพื่อพังมัน แทงขึ้นไปเพื่อทำให้เพดานพังลงมา และปรับคฑาให้อยู่ในแนวนอน —มันคือท่าป้องกันที่เรียกว่า “หัตถ์ทั้งแปด” ในทักษะการต่อสู้ด้วยการใช้คฑาเวทมนตร์ เธอปล่อยลมหายใจแบบสั้นๆออกมาอีกครั้งพร้อมกับกระแทกกำแพงเพื่อทำให้เศษชิ้นส่วนลอยขึ้น
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นกระโดดออกไปด้านข้างเพื่อหลบเศษกำแพงที่เหลืออยู่ด้วยท่วงท่าการหมุนตัวแบบบัลเลต์ และเมื่อราเรโกะยิงหินเข้าไปหาเพิ่มอีก เธอก็ทุบมันไปด้านข้างด้วยขวาน ราเรโกะทำลายประตูด้วยแผ่นหลังและร่างกายครึ่งล่าง ก้าวกลับไปเพื่อที่จะหนีไปในห้องที่อยู่ด้านหลัง เธอยังคงจับจ้องศัตรูเอาไว้โดยไม่ละสายตา
เธอยืนอยู่ด้วยท่าทางแบบพื้นฐานที่สุด มองลงไปที่คฑาตรงศัตรูและถอนหายใจออกมาแบบสั้นๆ เธอฝึกฝนเรื่องการหายใจในการต่อสู้มาอย่างเต็มที่ ซึ่งมันทำให้จิตใจของเธอมีสมาธิด้วย ความสับสนทั้งหมดหายไปจากหัวใจของเธอเรียบร้อย มันไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง —เธอไม่ได้ต้องการสิ่งนี้เลย— แต่ก็เตรียมตัวพร้อมที่จะสู้แล้ว
“รึว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?”
เธอหยุดหายใจ อุณหภูมิของร่างกายลดลง หัวใจเต้นช้าลง ราเรโกะยืนอยู่ด้านในอาคารหลักที่ทางเข้าห้อง ศัตรูนั้นยืนอยู่ตรงพื้นที่ที่เปิดออกจากการที่กำแพงถูกทำลาย ดวงอาทิตย์อยู่ที่แผ่นหลังของเธอ
เมจิคัลเกิร์ลที่เป็นศัตรูเปลี่ยนจากการหมุนตัวมาเป็นกระโดดเพื่อเข้ามาใกล้แบบกระทันหัน ราเรโกะตั้งมั่นอยู่กับวังวนแห่งสมาธิ เธอมองดูศัตรู ข้อมูลมันสับสนและวุ่นวาย อีกฝ่ายคนที่ฆ่าไมยะ วิธีการที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระจนยากที่จะคาดเดา แถมมันยังเร็วมาก สิ่งที่ราเรโกะทำได้มากที่สุดคือการมองตามด้วยสายตา แต่แม้กระทั่งการเหวี่ยงขวานเธอยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ เธอรวดเร็วไม่ต่างจากสายลม ราเรโกะสรุปได้ในทันที หากเธอปล่อยให้ศัตรูโจมตี เธอก็จะตาย ราเรโกะป้องกันการโจมตีไม่ได้ ถึงจะหลบ เธอก็จะเสียแขนไปอยู่ดี
ไมยะนั้นแข็งแกร่ง เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งจะบังคับใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อพยายามที่จะชนะ เธอจะใช้ทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมา ความแข็งแกร่งของร่างกาย เวทมนตร์ และทุกๆอย่างเข้าใส่คู่ต่อสู้ในการที่พยายามเพื่อให้ได้รับชัยชนะ แต่ราเรโกะนั้นต่างออกไป เธอไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับไมยะ หากเธอทำเรื่องแบบเดียวกัน เธอก็จะตาย หากเธออยากจะชนะจริงๆล่ะก็ แบบนั้นเธอก็ต้องชนะด้วยลูกเล่นสกปรก ถ้าฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้ก็จะตายซะเอง
เมจิคัลเกิร์ลกำลังเดินอยู่บนพื้นที่พัง ราเรโกะตั้งสมาธิให้ถูกจังหวะ ในตอนที่น้ำหนักร่างกายของคู่ต่อสู้อยู่บนพื้น ราเรโกะก็ซ่อมพื้นที่พังไปทันที ทำให้สถานที่ที่เมจิคัลเกิร์ลเหยียบลงไปไม่ได้มีรอยแตกเสมือนกับเป็นพื้นใหม่เพื่อจับข้อเท้าด้านล่างของคู่ต่อสู้เอาไว้ในพื้น ในเวลาเดียวกัน ราเรโกะก็ย่นระยะทางระหว่างทั้งคู่ เข้าไปในระยะก่อนที่คู่ต่อสู้จะปรับท่าได้ถูกต้อง
ในตอนที่ไล่ตามเชลซีบนท้องฟ้าเช่นเดียวกับการต่อสู้ในตอนนี้ ศัตรูนั้นจดจ่อกับการเคลื่อนไหวแบบผาดโผนอย่างผิดปกติ ดังนั้นราเรโกะต้องหยุดเรื่องนั้นก่อน
ราเรโกะเอามือซ้ายมาเพื่อจะทำ ฮนเตะ อุจิ* ไม่ก็ท่าโจมตีธรรมดา ตามด้วยการดึงมือเข้ามาพร้อมขยับคฑาบนฝ่ามือแล้วก็ใช้แรงเหวี่ยงตีเข้าที่ขาซ้าย จากจุดนั้นในท่ายืน ฮันมิ* แบบพื้นฐาน เธอก็ทุบเข้าไปที่ด้านบนเท้าของศัตรูด้วยการเหวี่ยงกลับอย่างรวดเร็ว
*เทคนิคการโจมตีเข้าไประหว่างดวงตาของคู่ต่อสู้*ท่ายืนของไอคิโด้ที่เท้าที่อยู่หน้าด้านหน้าจะตั้งฉาก ส่วนเท้าที่อยู่ด้านหลังก็หันไปในแนวเดียวกัน
สื่งเหล่านี้คือพื้นฐาน มันผสมผสานอยู่ในท่วงท่าของเธอ “รากฐานคือสิ่งสำคัญ” นั้นคือหนึ่งในคติของไมยะ และไม่เคยยอมให้ราเรโกะย่อหย่อนในการฝึกฝนท่วงท่า ราเรโกะยังคงอยู่ในทวงท่าการเคลื่อนไหว ตัวของเธอไหลลื่นไปด้วยการไถลเท้าจากทางซ้ายมือของศัตรูไปยังแนวทแยงด้านหลัง ราเรโกะผสานเวทมนตร์เข้าไปกับการใช้คฑา ซ่อมแซมเพดานที่ร่วงลงมาตามทางเดิน เศษเพดานกระแทกเข้ากับร่างของศัตรูและใบหน้าในตอนที่ขึ้นไปยังตำแหน่งเดิม และเมื่อตัวของศัตรูโซเซ ราเรโกะก็โจมตีเข้าไปที่ข้อต่อทั้งหมดของอีกฝ่าย สัมผัสที่มือของเธอรู้สึกมันไม่ใช่แค่เลือดเนื้อ แต่มันแข็ง แข็งกว่านั้นมาก มือของเธอที่จับคฑาเอาไว้รู้สึกชา เท้าที่เปลือยเปล่าของศัตรูไม่ได้มีแม้แต่สีแดงด้วยซ้ำ เล็บเท้าก็ไม่ได้แม้แต่จะแตก ราวกับว่าไม่ได้โดนโจมตีเลยหยั่งไงหยั่งงั้น ศัตรูไม่สะทกสะท้านกับการโจมตีของราเรโกะ เธอเหวี่ยงขวานขึ้นเพื่อที่จะทุบลงมาที่พื้น
ศัตรูมีการฟื้นตัวเร็วเกินไป ความสามารถทางร่างกายเองก็อยู่กันคนละระดับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจับตัวเพื่อรั้งเอาไว้ หากราเรโกะพยายามโจมตีด้วยการใช้มือหรือเท้าของตัวเอง มันก็จะกลายเป็นการเจ็บตัวเสียเอง เทคนิคที่ไมยะสอนเธอเอาไว้ เทคนิคที่ร่างกายของเธอซึมซับมัน ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดของมันเองแล้ว
ราเรโกะยกเลิกการซ่อมแซมพื้นและคลายเวทมนตร์ของตัวเอง พื้นที่เคยจับเท้าของศัตรูเอาไว้พร้อมกับพยายามฟื้นฟูตัวเองจู่ๆก็สูญเสียแรงไป ในตอนที่เสียการทรงตัว ร่างกายท่อนบนก็เอนไปด้านหลัง ราเรโกะเคลื่อนที่ไปด้านหลังศัตรูทางขวาเป็นแนวทแยง หลังจากที่เคลื่อนไหว เธอก็ “ดึง” คฑาลงเพื่อให้คฑาหมุนรอบเข่าของเธอและโจมตีเข้าไปที่ข้อเท้าของศัตรู จากนั้น หลังจากที่หมุนคฑาครึ่งรอบ เธอก็ยกมันตั้งขึ้นและแทงลงไปที่พื้น อีกมือหนึ่งเคลื่อนไหวราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตเพื่อดึงเอาคฑาอันที่สองที่ใส่ไว้ด้านหลังของเสื้อคลุมอออกมา สีของมันดูน่าตลก มันมีแถบสีชมพู ขาว และฟ้าอย่างสดใส มันไม่ใช่รสนิยมของราเรโกะเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำลายแล้ว คฑานี้มันก็น่าเชื่อถือกว่าสิ่งอื่น
ราเรโกะเอาคฑาเข้ามาใกล้ ลดและทำให้ท่ายืนของตัวเองกว้างขึ้น ไมยะมีนิสัยชอบพูดว่าศาสตร์เรื่องการใช้คฑาทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับว่าจับอาวุธเอาไว้ในมือยังไง แม้ฝ่ามือจะฉีกหรือมีเลือดไหล ไมยะก็จะไม่หยุดการฝึกฝน ราเรโกะร้องไห้ออกมาทุกครั้งในตอนที่ดึงคฑาออกมา ในตอนนี้ฝ่ามือของราเรโกะเคลื่อนไหวเหมือนกับน้ำที่อาบเหนือคฑาที่ไมยะรัก เธอสัมผัสถึงตัวตนของคฑาได้อย่างชัดเจน ตัวตนของไมยะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ ศัตรูยังคงไม่ได้หันมาหาเธอ การรับรู้ของราเรโกะนั้นเพิ่มมากขึ้น เธอเพิ่งไปที่จุดเพียงจุดเดียวของคฑาในมือ เทคนิคคฑาพื้นฐานของเธอคือจับกุมและยับยั้ง ซึ่งมันเป็นหนึ่งในไม่กี่เทคนิคที่มีเป้าหมายในการทำลาย มันได้ชื่อมาจากการแทงทะลุปีกของมาโอแพมไปหนึ่งกับอีกครึ่งปีก ราเรโกะใช้ร่างกายทั้งหมดกับ “ทะลวงมาโอ” แทงเข้าไปที่ปลายคางของศัตรู จากการเหลือบมองไปด้านหลังทางขวาในแนวทแยง
เสียงที่กระแทกเข้ากับขากรรไกรนั้นมันฟังแล้วน่าพึงพอใจ ใบหน้าของศัตรูสะบัดออกไปอีกด้านราวกับถูกสะท้อน ถ้าเป็นไมยะที่ใช้ทะลวงมาโอ แบบนั้นมันก็จะไม่ใช่แค่กราม มันจะทำลายทุกอย่างที่อยู่เหนือลำคอไปจนหมด แต่แบบนี้ก็ไม่เป็นไร ราเรโกะคำนวนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าคงไม่รุนแรงเหมือนกับไมยะ หากเธอทำให้ศัตรูสลบได้ แบบนั้นสุดท้ายแล้วมันก็เหมือนกัน ราเรโกะเหวี่ยงคฑาขึ้นและถอยกลับเพื่อเตรียมจะใช้ท่าปิดฉาก และในเวลาเดียวกัน ศัตรูก็เหวี่ยงขวาน
หือ? ราเรโกะคิด เธอโจมตีเข้าไปที่คางจนมันสะเทือนไปถึงสมองแล้ว ไม่ว่าจะแข็งหรือทนแค่ไหนก็ไม่สามารถป้องกันได้ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่อึดขนาดไหนมันก็ไม่สามารถป้องกันการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้ และยิ่งกว่านั้น ศัตรูยังคงหันมองทางอื่น ราเรโกะก็เคลื่อนเข้าไปที่จุดบอดแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่ศัตรูจะรู้ว่าราเรโกะอยู่ที่ไหนในทันทีแบบนี้ มันไม่มีทาง แต่ขวานในมือขวาก็เปล่งแสงขึ้น ราเรโกะมองไม่เห็นใบหน้าของศัตรู แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลัง มอง เธออยู่ เธอบอกได้ว่าศัตรูนั้นไม่ได้พยายามจะมองมาที่เธอจนกระทั่งตอนนี้ที่เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลัง มอง มา
ขวานกำลังเข้ามาใกล้ น่าแปลกที่มันดูเหมือนกับเป็นสโลโมชั่น แต่เธอก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบได้อย่างแน่นอน จู่ๆเธอก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมศัตรูถึง เห็น เธอ ความสนใจของอีกฝ่ายอยู่ที่พื้นและเพดาน และความสนใจนั้นก็หันมาที่ราเรโกะเแทน เพราะตัดสินใจว่ามันเป็นการโจมตีของราเรโกะ การโจมตีที่โดนเข้าที่กรามมันเป็นภัยมากกว่าที่พื้นและเพดาน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมศัตรูถึง มอง มาที่ราเรโกะแล้วก็โจมตี
ราเรโกะสาปส่งนาวี่ ลู และเมจิคัลเกิร์ลถือขวานเป็นลำดับถัดมา และสุดท้ายใบหน้าของไมยะก็ลอยขึ้นมาในใจ เธอสาปแช่งไมยะว่า “ให้ตายสิ ยัยบ้านี่ ดันสอนเทคนิคขยะที่ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ให้ซะได้” จากนั้นโลกของเธอก็มืดดับไป
MANGA DISCUSSION