ตอนที่ 14:
ตอนนี้ในฐานะมนุษย์
☆ มิสมาร์เกอริต
ความเหนื่อยล้า ความหิว เหงื่อ หัวใจที่สั่นเทา ลมหายใจที่ขาดห้วง —แม้จะขยับเพียงแค่เล็กน้อยแต่ทุกอย่างมันรุมเข้ามาหาเธอพร้อมกันในคราวเดียว เธอปาดเหงื่อบนหน้าผากออกด้วยหลังมือ มองขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าแล้วก็หยีตา มันดูไม่เหมือนว่าแสงอาทิตย์อันโหดร้ายจะลดน้อยลงไปแม้แต่นิด มันกำลังเผาผิวหนังของเธอเช่นเดียวกับความร้อนที่สะสมอยู่ในเส้นผม มันทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หิว และเครียดมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความกลัวมันคือเรื่องสำคัญที่มีอยู่ การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เจอเข้ากับศัตรูเท่ากับตายมันจะบั่นทอนจิตใจของใครก็ตาม
พวกเธอมีแผนที่ชัดเจน พวกเธอจะตามหาคนอื่นที่แยกกันออกไป เช่นเดียวกับต้นไม้ที่มีผลไม้สีเทาขึ้นอยู่ ในขณะเดียวกันก็ต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆไปรอบเกาะเพื่อไม่ให้เทพธิดาเจอตัวของพวกเธอ ดังนั้น มันจึงทำให้พวกเธอเป็นปาร์ตี้ค้นหาที่มีเป้าหมายในการระดมกำลังและเติมเต็มเสบียง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเธอแค่เดินไปอย่างไร้จุดหมายด้วยความเป็นปวดโดยที่ไม่รู้พรรคพวกที่ตัวเองค้นหานั้นยังคงมีชีวิตอยู่รึเปล่า การตามหาผลไม้สีเทามันสามารถหาได้ทุกที่ เธอภาวนาให้คนที่ต้องปกป้องปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็เกรงกลัวศัตรู พวกเธอแทบจะไม่มีเวลาได้พักหายใจเลย
พวกเธอยังคงก้มต่ำ แม้มิสมาร์เกอริตจะคิดว่าการซ่อนตัวอยู่ในหญ้าและเดินไปตามที่ที่ไม่ได้มีทางเดินมันจะมีประโยชน์แค่ไหน พวกเธอยังคงจับตามองสิ่งรอบข้างในตอนที่เดินไปในป่า เมื่อพวกเธอเจอร่องรอยของผลไม้สีเทาที่ถูกเด็ดออกไปแล้ว มิสมาร์เกอริตก็เดาะลิ้น ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องของนกตัวเล็ก พวกเธอจึงตัวสั่นและทิ้งตัวลงกับพื้น
เมื่อพบว่ามันไม่ใช่เทพธิดา มิสมาร์เกอริตก็ถอนหายใจ วางมือลงไปที่เข่าและลุกขึ้น เด็กสาวที่อยู่กับเธอยืนขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เงื้อหอกสั้นขึ้นด้วยมือหนึ่งข้างพร้อมกับระมัดระวังอยู่ตลอด
หอกโบราณที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆนั้นคือแท่งไม้ยาวที่มีปลายแหลม ชุดนักเรียนของเธอเองก็ขาดวิ่น ด้วยการมีจุดสีแดงอยู่มันจึงทำให้ตัวตนของเธอมีบรรยากาศรุนแรง มันอาจเรียกว่าได้ว่าพวกหนอนหนังสือ —แต่ท่าทางของเธอในตอนนี้มันช่างต่างกันมาก
เธอแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย ร่างมนุษย์ของเธอไม่ค่อยพูดเหมือนกับในตอนที่แปลงร่าง แต่เด็กสาวไม่ได้มีท่าทีการเคลื่อนไหวด้วยการใช้อารมณ์เลย มันจึงยากที่จะมองเข้าไปในตัวของเธอกว่าตอนที่เป็นแคลนเทล ท่าทางของเธอดูรุนแรงราวกับเป็นคนน่าขนลุกที่จะคิดอะไรออกมาก็ได้
มิสมาร์เกอริตรู้สึกว่ามีสายตาที่มองมาหาและเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเด็กสาวกำลังมองลงมาที่เธอ มิสมาร์เกอริตกำลังนั่งอยู่ ดังนั้นบางทีเด็กสาวอาจจะคิดว่าเธอกำลังเหนื่อย เธอรีบยืนขึ้นเพราะรู้สึกอาย และวัตถุอะไรบางอย่างที่มีรูปทรงแท่งถูกยื่นมาตรงหน้า มันคืออาหารที่ซื้อมาจากร้านค้าและยังไม่ได้แกะห่อ
“อะไรน่ะ?” มิสมาร์เกอริคถาม
“มันอยู่ในกระเป๋า”
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรอีก เหมือนกับเธอคิดว่าข้อความที่ออกมามันเพียงพอแล้ว เธอพยักหน้าเล็กน้อยให้มิสมาร์เกอริตและไม่ได้พูดอะไรอีก
มิสมาร์เกอริตนั้นหิว ครั้งสุดท้ายที่เธอได้กินคือตอนที่อยู่อาคารหลัก และนับตั้งแต่นั้นมาเธอแทบไม่ได้เติมพลังเลย เธอรับแท่งที่ยื่นมาและเปิดออก หักครึ่งและยื่นกลับไปครึ่งหนึ่ง
เธอมีความรู้สึกว่าถ้าถามเด็กสาวออกไปว่าทำไมถึงเอาของแบบนี้มาด้วย เด็กสาวก็จะตอบกลับมาว่า “เผื่อเอาไว้” ยิ่งเมจิคัลเกิร์ลมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่ได้เตรียมตัวกับการไม่ได้แปลงร่างน้อยลงเท่านั้น 7753 นั้นดูน่าขายหน้าในชุดอยู่บ้านตอนที่การแปลงร่างของเธอคลายลง แต่มิสมาร์เกอริตก็ไม่ได้หัวเราะเธอแต่อย่างใด นั่นเป็นความเกียจคร้านของเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสบการณ์ และมิสมาร์เกอริตเองก็เกือบจะดูน่าขายหน้าในแบบเดียวกัน
แผนการฝึกของหน่วยสืบสวนเองก็จะแทบไม่เคยแตะต้องเรื่องเทคนิคการต่อสู้สำหรับร่างมนุษย์ หากการแปลงร่างนั้นคลายลงตรงหน้าศัตรู มันก็จะตายอย่างช่วยอะไรไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะเตรียมตัวในเรื่องนั้น อีกอย่าง ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถฝึกในตอนที่อยู่ในร่างก่อนการแปลงร่างได้ : เด็กสาวที่ถูกตามใจและไม่เคยออกกำลังมาก่อนในชีวิต หญิงสาววัยกลางคนที่มีไขมันส่วนเกินในหน้าท้อง เด็กก่อนวัยเรียนที่วิ่งแล้วก็จะล้มลง หญิงชราที่เดินธรรมดาก็ยังโอนเอน —มันไม่มีเหตุผลที่จะรวมคนแบบนั้นเข้าด้วยกันเพื่อฝึกการต่อสู้เลย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทางหน่วยสืบสวนจึงไม่เคยทำ พอเริ่มลืมเลือนการใช้ร่างกายตัวเองในฐานะมนุษย์ไปแล้ว มันก็จะสามารถทำให้เรียนรู้การใช้ร่างกายในฐานะเมจิคัลเกิร์ลได้อย่างอิสระ
แต่ในคราวนี้เท่านั้นที่เธอรู้สึกขอบคุณใครบางคนที่เตรียมตัวมาพร้อม ในตอนที่มิสมาร์เกอริตกัดเข้าไปที่อาหารแห้งก็รู้สึกว่ามันกินได้ยากโดยที่ไม่มีน้ำ จากนั้นก็มีขวดพลาสติกยื่นเข้ามาให้ ฉลากที่ขวดเขียนไว้ว่า ชาอู่หลง แต่ของเหลวที่อยู่ด้านในเป็นสีใส นี่เด็กสาวไปเติมมันมาตรงแม่น้ำงั้นเหรอ?
“ขอบคุณนะ” มิสมาร์เกอริตรับมันมาและกลืนลงไปเพื่อหล่อเลี้ยงลำคอ น้ำที่อุ่นไหลลงไป พอคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคงจะดื่มมันจนหมดขวดแน่ เพราะแบบนั้นเธอจึงห้ามตัวเองเอาไว้แค่สามอึกและพยายามคืนขวดน้ำกลับไป แต่เด็กสาวยกฝ่ามือขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า มันมีอีกขวดหนึ่งโผล่ออกมาจากกระเป๋าของชุดนักเรียน
เด็กสาวเอาอาหารแห้งใส่ลงไปในกระเป๋าอีกด้านและใส่อะไรบางอย่างที่เหมือนกับเนื้อเข้าไปในปากและขยับกรามขึ้นลงอย่างช้าๆ มันดูไม่เหมือนว่าจะเป็นเนื้อสด แต่มิสมาร์เกอริตเองก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวกำลังกินอะไร เมื่อเป็นเรื่องเอาท์ดอร์เช่นนี้ มันเห็นได้ชัดว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเก่งกว่าเธอ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่จะแนะนำว่าอย่าเอาอะไรน่าสงสัยเข้าปาก มิสมาร์เกอริตหมุนขวดชาอู่หลงลงและใส่มันเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงและใช้เข็มขัดรัดเอาไว้
ทั้งสองคนเริ่มเดินออกไปอีกครั้ง มิสมาร์เกอริตอธิบายอย่างดีที่สุดว่าเทพธิดาแข็งแกร่งและน่ากลัวขนาดไหนเพื่อให้เด็กสาวที่ไม่ได้เจอกับเทพธิดาเข้าใจว่าเป็นยังไง อย่างน้อยที่สุดเธอก็รับฟังเพราะท่าทางค่อยๆจริงจังขึ้น หากพวกเธอเจอเข้ากับเทพธิดา พวกเธอก็จะตาย —และเพื่อป้องกันไม่ให้เจอเข้ากับเทพธิดา พวกเธอก็ต้องตามหาคนอื่น ด้วยการที่เทพธิดาไปไหนมาไหนตามใจอยาก และคนอื่นก็ซ่อนตัวจากเทพธิดาในตอนที่เคลื่อนไหวบนเกาะนี้ นี่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำในฐานะมนุษย์ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล แต่กระนั้นแล้วเธอก็ต้องทำมัน
เด็กสาวหยุดเดินเป็นครั้งคราว หลับตาลง เอามือป้องหู และดมกลิ่นซ้ำๆ มิสมาร์เกอริตคิดว่ามันแปลก แต่ตอนนี้เมื่อเธอคิดดูแล้วก็เพิ่งรู้ว่าเด็กสาวนั้นทำแว่นของตัวเองหายไป นี่เธอพยายามชดเชยการมองเห็นที่ไม่ดีด้วยการดมกลิ่นและการได้ยินงั้นเหรอ? เธอเองก็มีความรู้เรื่องพืชและสัตว์ด้วย สำหรับมิสมาร์เกอริตแล้ว
เมื่อเธอเจอต้นไม้ที่ออกผลเป็นผลไม้สีเทา —แม้จะบอกไม่ได้ว่ามันต่างกับต้นไม้ต้นอื่นยังไง—และเมื่อเห็นร่องรอยของผลไม้สีเทาที่ถูกเด็ดไปเรียบร้อยแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมา
เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถหวังพึ่งเด็กสาวได้มากเท่าที่ตัวเองรู้สึกกลัว
การฝึกตัวเองด้วยเรื่องต่างๆในฐานะมนุษย์มันมากเกินไปสำหรับเมจิคัลเกิร์ล และการเตรียมตัวเอาไว้หากแว่นของตัวเองหายไป มันก็มากยิ่งกว่าจนเข้าสู่ขอบเขตของความบ้า
มิสมาร์เกอริตเดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกเธอเดินขึ้นไปยังพื้นที่ที่สูงกว่า เธอก็หันหลังกลับและยื่นมือออกมา มือที่เจอจับเอาไว้มีเหงื่อออกเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันคือเหงื่อของใครกันแน่ ร่างกายของเด็กสาวรู้สึกร้อน มือของเด็กสาวนั้นนิ่ม แต่ก็มีผิวหนังด้านที่ทำให้มิสมาร์เกอริตรู้สึกได้ตรงนิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วนางด้านล่างข้อต่อที่สอง ตัวของเด็กสาวเบาอย่างน่าประหลาด จนมิสมาร์เกอริตสามารถดึงตัวขึ้นมาได้ด้วยการออกแรงเพียงเบาๆ
คำว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” ดังก้องอยู่ภายในใจของเธออ นักดนตรีแห่งพงไพรนั้นคือคนที่สมควรจะกล่าวโทษ ไม่ใช่คนที่เป็นเหยื่อที่ถูกลากเข้ามา พวกเธอเหมือนกับทหารเด็กที่ถือกำเนิดในสนามรบโดยไม่มีตัวเลือกนอกจากที่ต้องหยิบปืน แต่ถึงเธอจะรู้เรื่องนั้น เสียงที่ดังก้องอยู่ภายในหัวใจมันก็ไม่หายไป ทุกครั้งที่เด็กสาวแสดงทักษาความสามารถ ทักษะการเอาตัวรอด การเตรียมตัวรับมือทุกสถานการณ์ออกมา อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็คืบคลานเข้ามาหามิสมาร์เกอริต
ในตอนที่เดินเลียบแม่น้ำเพื่อไม่ให้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ มิสมาร์เกอริตก็ขึ้นไปยืนบนหินแบนที่มีขนาดใหญ่ จากนั้นก็ดึงตัวของเด็กสาวขึ้นมา เด็กสาวหยุดตัวตรงนี้ ยกมือของตัวเองขึ้นมาป้องหูและหลับตา ดมกลิ่น และยืนนิ่ง มิสมาร์เกอริตไม่สามารถขัดขวางหรือพูดอะไรเพื่อรบกวน เธอทำได้แค่ดูเพียงเท่านั้น เด็กสาวดมกลิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าของเด็กสาวเงยขึ้นสูงกว่าเดิมในแต่ละครั้ง ยืนขึ้นด้วยปลายเท้า พอเวลาผ่านไปจนมิสมาร์เกอริตคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรบางอย่างและกำลังจะพูดออกมานั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็ก้มลงมาอีกครั้งและลงไปแนบกับก้อนหินในทันที
มิสมาร์เกอริตคิ้วขมวด เด็กสาวเองก็กำลังทำหน้าแบบเดียวกันและมองกลับมาหาเธอด้านหลัง เมื่อมิสมาร์เกอริตกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เด็กสาวก็เอานิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปาก มิสมาร์เกอริตมองไม่เห็นว่าเด็กสาวตอบสนองยังไงหลังจากนั้นเพราะมันไม่มีเวลาจะหันกลับไปมองแล้ว เมจิคัลเกิร์ลที่รูปร่างเสมือนกับเทพธิดากำลังเดินอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำ
แค่ห่างออกไปสามสิบเมตรที่ฝั่งตรงข้าม เทพธิดาปรากฏตัวออกมาอย่างกระทันหัน มันใกล้เกินไป หากพวกเธอแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันก็จะเข้าปะทะกันในทันที พวกเธอควรจะรู้ตัวก่อนที่เทพธิดาจะเข้ามาใกล้ หัวใจของมิสมาร์เกอริตกำลังเต้นรัว เลือดทั่วร่างกำลังสูบฉีดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปเสมือนกับคลื่น เข่าของเธอรู้สึกราวกับจะล้มลงอย่างไม่มีเรี่ยวแรง แต่เธอก็ฝืนมันเอาไว้ เธอไม่ได้ปล่อยลมหายใจออกมา เธอไม่สามารถหายใจได้อย่างที่ควรจะเป็น เทพธิดาที่มีขวานสีเทาอยู่ในมือขวาและขวานสีแดงอยู่ในซ้ายกำลังวิ่ง —ไม่สิ กำลังเดินอยู่ต่างหาก บางทีเมจิคัลเกิร์ลจะเรียกมันว่าการเดิน แต่การเห็นมันจากมุมมองของมนุษย์นั้น เทพธิดาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเหมือนกับว่ากำลังวิ่งอยู่ ยี่สิบเมตร สิบห้าเมตร พวกเธอสบตากันและเทพธิดาก็หยุดเคลื่อนไหว พวกเธอต้องรับมือกับเมจิคัลเกิร์ลแต่พวกเธอไม่สามารถที่จะแปลงร่างได้ พวกเธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย มิสมาร์เกอริตเบือนหน้าหนีออกไปทันที เทพธิดาหันศีรษะไปรอบๆและดึงเอากล่องพลาสติกออกมาจากกระเป๋า เขย่ามันเพื่อให้ทรงกลมเล็กๆออกมาบนมือ มิสมาร์เกอริตเคยเห็นแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่ามันคือยาหรอกเหรอ? การอยู่ห่างกันสิบเมตรทำให้ยากที่จะบอกได้ด้วยสายตาของมนุษย์ เมื่อเธอพยายามมองเข้าไปใกล้ๆ ใบหูของเธอก็เริ่มรู้สึกอุ่นและเริ่มหันเหความสนใจออกไป เทพธิดาใส่เม็ดยาเข้าไปในปากอย่างไม่เร่งรีบราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่และกลืนลงไป
มิสมาร์เกอริตไม่ได้หายใจเข้าหรือหายใจออก เทพธิดาหันศีรษะไปรอบๆราวกับไม่ได้มองพวกเธออยู่
สบตากันแล้ว… แต่ไม่ตอบสนองเลยงั้นเหรอ…?
มันไม่มีทางที่เธอจะไม่เห็นทั้งๆที่ใกล้แบบนี้ มันคงแปลกที่เทพธิดาไม่ได้ยินเสียงหัวใจของพวกเธอเต้น เทพธิดากระโดดขึ้นไปสูงในอากาศราวกับทำท่าบัลเลต์คลาสสิค จากนั้นก็หมุนตัวไปรอบๆเหมือนกับท่าสเกตน้ำแข็ง เหวี่ยงขวานในมือไปรอบๆให้เข้าจังหวะกันในตอนที่วิ่งออกไป มือที่ถือขวานอยู่นั้นกำลังทำท่าชูสองนิ้ว หินก้อนเล็กกระเด็นไปอีกฝั่งจนทำให้ผิวน้ำกระเพื่อม จากนั้นในพริบตาให้หลัง มันก็มีละอองเทลงมาเหมือนกับฝนที่ตกปรอยๆ
ทำไมเทพธิดาถึงไม่สนใจพวกเธอล่ะ? มิสมาร์เกอริตจำตอนที่ตัวเองสู้กับเทพธิดาในร่างเมจิคัลเกิร์ลได้ เธอคิดว่าเทพธิดาไม่ได้อาศัยการใช้ดวงตา แต่บางทีออาจจะเป็นอวัยวะอื่นที่รับความรู้สึก อาจจะเป็นเหตุผลนี้รึเปล่าที่เทพธิดามองข้ามพวกเธอไป?
มิสมาร์เกอริตยังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวของเทพธิดาทุกฝีก้าว เทพธิดากำลังเคลื่อนไหวต่างจากที่สู้กันตอนก่อนหน้านี้
เทพธิดานั้นคลั่งและใส่แรงทั้งหมดลงไปในการอาละวาดอย่างไร้เหตุผล หลังจากนั้น เทพธิดาก็ก๊อปปี๊วิธีการเคลื่อนไหวของมิสมาร์เกอริตและใช้มันกับตัวเอง ทำให้ท่าเดินที่ไม่มั่นคงกลายเป็นท่าเดินอันไหลลื่นอย่างเหลือเชื่อ ในตอนนี้ระดับของเทพธิดามันเหนือยิ่งกว่านั้น เทพธิดากำลังเดินด้วยรูปแบบของทางหน่วยสืบสวนพร้อมกับใส่การละเล่นลงไปในทุกโอกาส เคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่น่าหลงไหลเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลในอนิเม ทำท่าทางของศิลปะการต่อสู้พร้อมกับชูสองนิ้วที่ด้านข้าง และยังทำท่าควักลูกตาด้วยการชูสองนิ้วทั้งสองมือด้วย มันเหมือนกับ สิงอี้เฉวียน ของกังฟูจีน ความคิดที่เรียกได้ว่าบ้าเช่นนี้ —มิสมาร์เกอริตเคยเห็นมันมาก่อน
สู้กับเชลซีมาสินะ
เชลซีคงต้องเชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้แบบใหม่ที่มาจากพรสวรรค์อันมากล้นและฝึกฝนด้วยความพยายามอย่างหนักหน่วงมาเป็นเวลานาน และทักษะของเธอก็ถูกขโมยไปได้ง่ายๆในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว มันมีโอกาสสูงที่ชีวิตของเธอก็จะถูกขโมยไปด้วยในจังหวะเดียวกัน มิสมาร์เกอริตได้แต่ภาวนาว่าเชลซีจะหนีรอดออกมาได้ด้วยการใช้ความแข็งแกร่งของคนที่มีประสบการณ์
เธอค่อยๆหายใจออกมาอย่างช้าๆ อากาศที่ติดอยู่ตรงจมูกก็ออกมาทางปาก เทพธิดาออกไปจากระยะการมองเห็นแล้ว มิสมาร์เกอริตพยายามขยับศีรษะของตัวเองเพื่อมองตามเส้นทางที่เทพธิดาไป แต่ร่างกายของเธอมันแข็งทื่อ ร่างกายมันกำลังสั่น เธอทำให้ตัวเองหันหน้าไปทางนั้นก็จริงได้แต่เทพธิดาก็หายไปเรียบร้อยแล้ว ศีรษะของมิสมาร์เกอริตส่ายไปมา แข้งขาเองก็อ่อนยวบ ความผิดปกติของร่างกายมันบ่งบอกถึงความโล่งใจที่ออกมาจากส่วนลึก ทันที่นั้นที่หน้าท้องของเธอก็รู้สึกอุ่น เมื่อมองลงมาก็เห็นว่าศีรษะของเด็กสาวอยู่ตรงนั้น เธอคิดว่าเด็กสาวกำลังนอนราบไปกับพื้น แต่ในตอนนี้เด็กสาวกำลังชันเข่าขึ้นมา ศีรษะนั้นสัมผัสกับหน้าท้องของมิสมาร์เกอริตพร้อมกับยกหอกเตรียมพร้อมเอาไว้่ เมื่อตัวของเด็กสาวโซเซราวกับจะล้มลง มิสมาร์เกอริตก็พยุงตัวของเด็กสาวเอาไว้ ใช้แขนขวากอดเอาไว้และดึงใบหน้าเข้ามาใกล้
“เอ่อ… เมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวาน…” เด็กสาวเริ่มพูดออกมา
“ศัตรูน่ะ”
ริมฝีปากของเด็กสาวเชิดขึ้น จากนั้นก็พ่นลมใส่จมูกตัวเอง เส้นผมด้านหน้าลอยขึ้นและร่วงลงมา รอยย่นปรากฏขึ้นตรงคิ้ว หลับตาลงและเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท่าทางของเด็กสาวก็กลับมาเข้มแข็ง
เด็กสาวถามเธอว่า “คุณ… โอเคไหม?” ด้วยท่าทางกังวลที่มิสมาร์เกอริตตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นห่วงเธอ
มิสมาร์เกอริตไม่สามารถพูดออกมาได้ว่า “นั่นควรเป็นชั้นที่จะถามมากกว่านะ” เด็กสาวชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งแต่หน้าผากจนถึงกราม มีคราบน้ำตาอยู่ใต้ดวงตาสีแดง แต่ท่าทางยังคงจริงจังมาก ไม่ได้มีท่าทีตลกหรือยิ้มออกมาให้เห็นเลย แม้ท่าทางจะดูเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเหนื่อยล้า มันก็สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของเจตจำนงและจิตวิญญาณที่แสนทรหดได้ผ่านทางสายตาของเด็กสาว
“ไม่เป็นไร… แล้วเธอล่ะ?”
“ยังไหวอยู่”
ไหวอยู่อะไรกัน? เด็กสาวยกตัวขึ้นมาและมองไปยังทิศทางที่เทพธิดาไป ซึ่งมันทำให้มิสมาร์เกอริตคิดว่าหมายถึง “ยังตามไปไหวอยู่”
มิสมาร์เกอริตส่ายหน้า “มันเสี่ยงเกินไป”
“ถ้าพวกเราตามไป… แบบนั้นพวกเราก็สามารถเข้าไปแทรกแซงได้หากใครบางคนถูกโจมตี”
“นั่นแหละที่ชั้นพูดว่ามันเสี่ยง”
“ทำไมเธอถึงไม่ตอบสนองกับพวกเราเลยล่ะ?”
แคลนเทลยังคงไม่ได้สู้กับเทพธิดา เพราะแบบนั้นจึงยังคงไม่รู้ถึงความหวาดกลัวที่ทำความเข้าใจไม่ได้ของสิ่งมีชีวิตนั้นที่ไม่สามารถแน่ใจว่าคือเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า เรื่องความสามารถทางกายภาพของอีกฝ่ายเองก็ไม่รู้ เรื่องเวทมนตร์เองก็ —เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ มิสมาร์เกอริตก็คิดว่า ไม่ เพื่อปฎิเสธมัน ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยเหงื่อมีแม้กระทั่งรอยน้ำตา มันดูไม่เหมือนว่าเธอไม่เข้าใจเรื่องที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับเมจิคัลเกิร์ลว่ามันน่ากลัวยังไง แม้หัวใจจะปฎิเสธ ร่างกายมันก็ถูกบังคับให้เข้าใจอยู่ดี ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
“ถ้าเธอไม่ได้รับรู้ถึงพวกเรา… แบบนั้นก็คงมีทางอยู่” เด็กสาวพยายามโน้มน้าวอย่างงุ่มง่ามโดยที่ไม่รู้ถึงความคิดของมิสมาร์เกอริต “ชั้นจะไปคนเดียว”
“นั่นมันเสี่ยงกว่าเดิมอีกนะ”
“แต่… ชั้นคิดว่ามันอันตราย… แบบนั้น…”
จากนั้นมันก็ลงล็อคพอดิบพอดี มิสมาร์เกอริตไม่เข้าใจสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของเด็กสาว แต่ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอเข้าใจมัน เด็กสาวคนนี้จะป้องกันไม่ให้ความตายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องเสียสละอะไรไปมากแค่ไหนก็ตาม เด็กสาวไม่ได้พยายามเตรียมตัวเองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใดๆดังนั้นจึงสามารถเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ มันเป็นเพราะว่าไม่ต้องการให้ใครตายในทุกสถานการณ์ ใช้แม้กระทั่งผลไม้สีเทาทั้งหมดที่ตัวเองมีกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันและแทบไม่ได้พูดด้วย เข้ามาประจันหน้ากับศัตรูพร้อมกับเงื้อหอกขึ้น แม้จะมีทั้งเหงื่อและน้ำตาที่ไหลออกมาก็ตามที อารมณ์ของเด็กสาวรุนแรงเหมือนกับเด็กที่เอาแต่ใจ พูดว่าไม่อยากให้ใครตาย —แม้จะไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ก็ตาม
หรือบางทีชั้นอาจจะผิด
นี่เธอรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หรือการรู้เรื่องดังกล่าวมันถูกโยนมาหา จนทำให้เธอเป็นแบบนี้กันนะ? เธอรู้ว่าตัวเองมีเพียงแค่สองมือเล็กๆ เธอรู้ว่าความปรารถนาของตัวเองที่จะไม่ปล่อยไปมันไม่มากพอ แต่กระนั้น เธอเชื่อว่าเมจิคัลเกิร์ลสามารถทำได้ มิเช่นนั้นเธอก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ในวันนี้มันกี่ครั้งแล้วนะที่คำว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” ลอยขึ้นมาและหายไปในจิตใจของมิสมาร์เกอริต?
มิสมาร์เกอริตกัดริมฝีปากและสูดลมหายใจ ทำสีหน้าแบบผู้ใหญ่และวางมือลงบนไหล่ของเด็กสาว “เธอไปคนเดียวไม่ได้”
“แต่—”
“ชั้นจะไปด้วย”
เด็กสาวนั้นตกใจ สีหน้าเองก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มิสมาร์เกอริตก็บอกเรื่องทำไมศัตรูถึงมองไม่เห็นพวกเธอที่มาจากประสบการณ์ของตัวเองให้กับเด็กสาว ในตอนที่คุยกันอยู่ พวกเธอก็ขยับเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เทพธิดาหายไป ท่าทางของเด็กสาวค่อยๆเปลี่ยนเป็นจริงจัง
พอคิดว่าเด็กสาวยอมรับว่าเธอไม่ใช่แค่เป็นคนที่ต้องปกป้อง แต่ก็ยังเป็นคู่หูที่อย่างน้อยก็จะร่วมทางไปด้วย มิสมาร์เกอริตก็พ่นลมหายใจออกมาราวยอมรับว่ารู้สึกดีกับเรื่องนั้นเล็กน้อย
หากการมุ่งหน้าเข้าสู่เรื่องอันตรายถึงชีวิตคือชีวิตของเมจิคัลเกิร์ล แบบนั้นการร่วมมือกับคนอื่นเพื่อช่วยเหลือเองก็คือชีวิตของเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงคิดมันอย่างดูถูกดูแคลน แต่ความรู้สึกที่หยาบกร้านภายในหัวใจกลับมีน้อยว่าที่เธอคาดคิดไว้
☆ พาสเทล เมรี่
รากิพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่ดูสำคัญมาก แล้วจากนั้นเมื่อเธอคิดว่า ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ช่วยอธิบายอีกหน่อยสิ เขาก็หมดสติไปแล้ว เมรี่ต้องการละครทีวีที่มีฉากพล็อตทวิสต์ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ เธออยากจะร้องไห้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องเช่นกัน
ก่อนที่จะหมดสติ เขานั้นมีพลังมากกว่าคนที่อายุมากทุกคนที่เมรี่รู้จัก เขาเป็นเหมือนกับปรมาจารย์ในภาพยนตร์กังฟู เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถหวังพึ่งเขาได้
ในตอนนี้ รากิล้มตัวลงไปนอนตะแคงข้าง เขาทำให้เธอนึกถึงคุณปู่ที่เสียไปเมื่อปีก่อน แค่นอนกลิ้งอยู่มันก็ดูเจ็บปวดแล้ว มันเจ็บปวดจนกลิ้งไปไหนอีกไม่ได้ จากนั้นตัวของเขาก็ซูบลงจนมองเห็นรูปร่างของกะโหลกได้ และจากนั้นไม่นาน เขาก็หมดสติไป
“พวกเราทำยังไงดี?” เมรี่ถาม “นี่คงเป็นเพราะเรื่องนั้นใช่ไหม? เพราะผลไม้สีเทาหมดสินะ? ถ้าพวกเราทำให้เขากินผลไม้สีเทาได้ล่ะก็ เราคิดว่าเขาก็จะตื่นมาอีกครั้งนะ”
“เอาล่ะ มาทำให้คุณปู่กินกันดีกว่า” เชลซีตอบ
เชลซีเอาผลไม้มาไว้ในมือและทำแบบทื่อๆ : ง้างกรามด้านบนและล่างด้วยกำลัง เธอบดผลไม้ด้วยกำปั้นเพื่อให้น้ำไหลลงมา จากนั้นก็ทำให้เขากินเนื้อผลไม้ด้วยวิธีที่ทื่อยิ่งกว่า นั่นคือการใส่เข้าไปตรงๆในปาก
“บะ-แบบนี้โอเคเหรอ?” เมรี่พูดอย่างตะกุกตะกัก “มันจะไม่ติดคอเหมือนกินโมจิตอนปีใหม่?”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ดูสิ คุณปู่กลืนลงไปแล้ว”
มันดูเจ็บ แต่ผลไม้ในปากก็ไหลลงไปในลำคอบ้างแล้ว —แต่รากิก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา
เมรี่เอียงศีรษะ “บางที… อาจจะยังไม่พอ”
“งั้นมาลองให้เพิ่มอีกดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน เชลซี พวกเราจะให้เท่าไหร่ล่ะ?”
“ฉันไม่รู้หรอก…”
“ถ้าให้ผลไม้สีเทาที่พวกเรามีไปจนหมดมันก็แย่ใช่ไหม?”
“อื้อ ก็ใช่ ถ้าพวกเราให้คุณปู่กินผลไม้เข้าไปอีกโดยที่ไม่รู้ว่าต้องการมากแค่ไหน แบบนั้นผลไม้ของพวกเราก็จะหมดเอาได้ และในกรณีที่แย่ที่สุด คุณปู่อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาต่อให้พวกเราใช้ผลไม้จนหมด หากมันเกิดขึ้น การแปลงร่างขอลเชลเมรี่ก็จะคลายลง”
นอกจากชื่อคู่ชิปพิลึกๆอย่างเชลซี/เมรี่แล้ว เมรี่เข้าใจเรื่องที่เชลซีพยายามจะบอก รากิหมดสติไปและตอนนี้เขายังคงหายใจอยู่ หากอาการของเขาเหมือนกับก่อนหน้า แบบนั้นพวกเธอก็ควรจะมีเวลามากพอที่จะปล่อยเขาเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง และถ้าอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้พลังเวทของเขาหายไปเหมือนกับที่ใครบางคนพูดเอาไว้ แม้ว่าเขาดูเหมือนกำลังจะตายได้ตลอดเวลา มันก็ไม่ควรเป็นเรื่องที่สำคัญขนาดคอขาดบาดตาย แต่ถ้าการแปลงร่างของเชลซีและเมรี่คลายลงล่ะก็ นั่นก็คือเรื่องที่สำคัญกว่าความเป็นหรือตาย
“เชลซี เธอเหลือผลไม้แค่ไหนเหรอ? เรามีสี่”
“ฉันมี…สอง”
“แบบนี้… มันไม่แย่เหรอ?”
“อื้อ… มันคงแย่สินะ?”
รากิที่หมดสติกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการจะออกจากสถานการณ์นี้ได้ยังไง เชลซีจับตัวเขาเอาไว้และวางลงบนหลังแกะ เขานั้นกำลังหลับอยู่และไม่ตื่นขึ้นมา ถ้าพวกเธอใช้ผลไม้สีเทาจนช่วยให้รากิฟื้นสติขึ้นมาได้ แบบนั้นการแปลงร่างของเมรี่และเชลซีก็จะกลายเป็นปัญหา เชลซีกอดอกพร้อมกับสีหน้าที่ลำบากใจ แต่การที่นิ้วก้อยและนิ้วชี้ของทั้งสองมือชี้ออกมาเหมือนกับสตาร์ควีนแล้ว มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร
“จะว่าไป…” เชลซีเริ่มพูด “คุณปู่พูดว่าพวกเราควรจะไปที่อาคารหลักใช่ไหม?”
“อื้อ คิดว่านะ”
“คุณปู่บอกว่าให้ขุดที่รอบๆอาคารหลัก… เอ่อ ตรงกำแพงที่ถูกทำลายสินะ?”
รากิกระตือรือร้นมากเหมือนกับการพูดในตอนหาเสียงเลือกตั้ง เมรี่รู้สึกทึ่งกับพลังของเขามากทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลย เธอเพียงแค่คิดว่า ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เราควรทำตามที่เขาพูดล่ะนะ และในตอนนี้พวกเธอก็กำลังมีปัญหา พาสเทล เมรี่กัดผลไม้สีเทาเข้าไป ตอนนี้น้ำหวานของผลไม้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเบิกบานแล้ว จำนวนของผลไม้ที่เธอมีลดลงไปอีกหนึ่ง
เชลซียังคงทำท่าโพสแบบสตาร์ควีนในตอนที่มองไปยังผลไม้สีเทาด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจัง แม้เมรี่จะสามารถเดาได้ว่าเรื่องที่เธอคิดบางทีอาจจะไม่มีประโยชน์ และนั่นก็เป็นเพราะเมรี่ไม่ได้คิดอะไรที่เป็นประโยชน์เช่นกัน
เมรี่ถอนหายใจออกมาและวางมือลงบนไหล่เชลซี เชลซีสะดุ้งและมองกลับมาที่เมรี่ด้วยท่าทางตกใจ แก้มกลายเป็นสีแดงในตอนที่กระโดดกลับ “มีอะไรรึเปล่า?!”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไปที่อาคารหลักเหรอ?”
“อ่า… ใช่”
“งั้นก็รีบเถอะ”
เพราะรากิเหนือกว่าเชลซี ดังนั้นมันคงมีอะไรหลายอย่างที่เธออยากจะพูด แต่เมื่อรากิสั่งสอนเธอว่าเมจิคัลเกิร์ลควรจะเป็นเช่นไร เธอก็มั่นใจ จากนั้นรากิก็หมดสติไป เชลซีจึงไม่มีทางเถียงกลับไป เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามสิ่งที่ถูกบอก แม้จริงๆแล้วความรู้สึกของเธออยากที่จะทำเรื่องอื่น แม้ว่าเธออยากจะสวนกลับเทพธิดา แม้ว่าเธออยากจะล้างแค้นให้เชพเพิร์ดพาย เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน จากจุดยืนของเมรี่แล้ว เมจิคัลเกิร์ลเทพธิดาและเชลซีต่างก็แข็งแกร่ง พวกเธออยู่เหนือระดับที่จะเอื้อมไปถึงไปเป็นสิบระดับ ทั้งพลังและความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เมรี่ไม่เคยเห็นใครที่แข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน สำหรับเธอ มันไม่เกี่ยวว่าใครนั้นแข็งแกร่งกว่า —เพราะทั้งคู่ต่างก็แข็งแกร่ง คนที่จะชนะหรือแพ้นั้นเหมือนจะตัดสินด้วยโชคในเพียงแค่เสี้ยววิ
แต่รากิบอกว่าเชลซีไม่มีทางที่จะชนะ และเชลซีคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างไร้เหตุอยู่ตลอดนั้นก็ไม่ได้ปฎิเสธ ดังนั้นมันคงเป็นเรื่องจริง เมรี่ประสบกับตัวเองว่าคนที่ไม่ได้ฝึกอะไรเป็นเรื่องเป็นราวจะเห็นคนมือสมัครเล่นชั้นยอดและโปรชั้นเยี่ยมเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ครั้งหนึ่งเมื่อลองเรื่องนั้นด้วยตัวเอง มันก็จะรู้ว่ามีกำแพงที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้ตั้งขวางอยู่ สำหรับคนที่สนุกสนานกับเรื่องศิลปะและการวาดตลอดทุกครั้งที่มีเวลาว่างเช่นเดียวกับนักเรียนในโรงเรียนศิลปะนั้นจะพบว่ากำแพงที่ตั้งตระหง่านมันมีขนาดใหญ่แค่ไหน
เมรี่อยากให้เชลซีต่อสู้ เมรี่ไม่ได้คุ้นเคยกับการสาปแช่ง แต่เธออยากจะตะโกนคำพูดสี่ไม่ก็ห้าคำที่ต่างกันไปใส่เมจิคัลเกิร์ลเทพธิดา และเธออยากให้เชลซีจัดการอีกฝ่ายให้จนน่วม มันไม่มีเหตุผลเลยที่เชพเพิร์ดพายจะกลายเป็นแบบนั้น —เมรี่รู้ว่าเขาใส่ใจเรื่องเมนูแค่ไหน ทำให้ผู้เป็นแขกมีช่วงเวลาที่ดียังไง ในขณะที่เมรี่ที่ทำอะไรพลาดไปมากมายนั้น เธอก็ต้องออกไปส่งคำเชิญ ทำความสะอาดอาคารหลัก และสั่งวัตถุดิบอาหาร ในตอนนี้ทุกอย่างพังลงไปหมดแล้ว ทุกอย่างมันเละเทะไปหมด เชพเพิร์ดพายถอนหายใจ เอามือแตะหน้าผาก มองขึ้นไปบนฟ้า หรือเช็ดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้าไม่ได้อีกแล้ว
ในหัวของเมรี่ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย แต่…กระนั้น…
มันไม่เลวเลยที่จะให้เชลซีต่อสู้เพื่อเธอเพราะตัวของเธอเองนั้นไม่สามารถต่อสู้ได้ มันเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ในการร้องขอผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ทำทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ตัวเองไม่เก่งแทนที่จะฝืนตัวเอง แต่… แต่ว่า การไม่ให้เชลซีสู้กับศัตรูที่ไม่สามารถจัดการได้ก็จะดีกว่า รากิเองก็พูดแบบเดียวกัน เชลซีรู้ดีกว่าใครเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่ง และรากิก็รู้มากไปกว่าเชลซี ดังนั้นการร้องขอผู้เชี่ยวชาญในที่นี้ก็ทำความเข้าใจได้เช่นกัน
เมื่อรู้ว่าฝูงแกะส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุดเหมือนพายุ เมรี่ก็มองขึ้นไปบนฟ้าและเห็นกลุ่มควันลอยอยู่เหนือต้นไม้ มันอยู่ห่างออกไป แต่กลุ่มควันนั้นมันทึบหนา คำพูดอย่าง ความรุนแรง การทำลาย และความไม่เป็นธรรม ลอยขึ้นมาในใจคำแล้วคำเล่าและทำให้เธอรู้สึกแย่
เมรี่สะกิดต้นแขนของเชลซี เชลซีสะดุ้งและกระโดดโหยง “ทำอะไรน่ะ?!”
“เชลซี ดูสิ”
เมื่อเชลซีมองไปยังจุดที่เธอชี้ ท่าทางของเชลซีก็ดูกังวลอย่างรวดเร็ว “เธอนี่นา! ทำอะไรแย่ๆอยู่อีกแน่!”
“นี่ รีบไปอาคารหลักเร็วเข้าเถอะ… เพราะ เอ่อ ถ้าพวกเราทำไม่ทันเวลาล่ะก็… แย่แน่” เมรี่ไม่ได้พูดออกมาแบบเจาะจงว่ามันจะแย่แบบไหน ไม่ใช่ว่าเธอคิดอะไรไม่ออก เธอแค่ไม่อยากจะยืนยันเรื่องเหล่านั้นโดยการพูดออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น
☆ นาวี่ ลู
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นโรงกำจัดขยะ แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่โคลนที่มีปริมาณมหาศาล หากเป็นแค่ขยะ ถ้าโยนสิ่งที่ไม่ต้องการลงไป มันก็จะจมลงไปในหนองน้ำ การเป็นผู้ฝักใฝ่ในด้านวิชาการ ซาตาบอร์นจึงไม่ได้สนใจในสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็น ซึ่งมันนำไปสู้การที่เขากำจัดขยะแบบลวกๆที่ทำให้นาวี่ต้องเบ้ปาก การสร้างพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษขึ้นมาบนเกาะที่ตัวเองอาศัยอยู่อย่างไม่ใส่ใจมันก็เหมาะสมดีกับชายที่มีนิสัยไร้ความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น นาวี่ก็ไม่ได้เข้าใจหรือเห็นใจอะไร
แต่ในคราวนี้มันเป็นครั้งเดียวที่ออกมาดีสำหรับนาวี่ เขาถูกมอบพื้นที่ขนาดใหญ่มาให้ และก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีหากจะเข้าไปใกล้ แต่ในตอนนี้เขาเห็นมันเป็นโชคที่ไม่ได้คาดคิด นำผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่มาให้จนเขาต้องหักห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา
“อ๊าาา! ที่นี่มัน! หวา!” 7753 ร้องออกมา
“ใจเย็นก่อน! อย่าขยับโดยที่ไม่คิด!” นาวี่ตะโกนกลับ
ใส่การกระทำที่ใสซื่ออย่างการตื่นตระหนกลงไปและแสดงความกังวลเรื่องคนอื่นออกมาอย่างจริงใจคือเรื่องที่เขาชำนาญ เขาโวยวายเสียงดัง ปล่อยให้ตัวเองลืมเรื่องที่ร่ายเวทใส่มานาจากด้านหลังเพื่อทำให้สลบไปเป็นการชั่วคราว เขาเองก็เคยชินกับการใช้อุบายในการมอบคำสั่งด้วยเสียงที่ดังอย่างชัดเจน แม้ว่าตัวเองจะตกใจก็ตาม
“มานา! เกิดอะไรขึ้น มานา?!” 7753 เรียก
“ชั้นไม่รู้! ชั้นเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” นาวี่ตอบกลับ
การตะโกนใส่กันไปมาข้ามหนองน้ำกับผู้หญิงในชุดนอนและเต่ามันดูเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก หากคลาริสซ่าอยู่ที่นี่ด้วย เธอคงหัวเราะกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับเอามือกุมท้องแน่ ความสามารถของเขาที่สามารถทำท่าทางจริงจังในสถานการณ์แบบนี้ได้มันทำให้การกระทำของเขาดูซื่อตรงไปด้วย
นาวี่พยายามก้าวเข้าไปในหนองน้ำ และเมื่อมันเริ่มดูดตัวของเขา เขาก็รีบชักขากลับในทันที “ไม่ไหว! ดูไม่เหมือนว่าชั้นจะข้ามไปได้เลย!”
“ขอโทษนะ! ฉันเองก็ไม่ได้เหมือนกัน!”
“แม่งเอ๊ย! แย่ชะมัด!” เขาดึงเส้นผมที่ยังคงเหลืออยู่และกระทืบลงไปที่พื้นด้วยท่าทางสมจริงโดยซ่อนความดีใจภายในใจเอาไว้
ผลไม้ที่เท็ปเซเคเมย์กินเข้าไปไม่ใช่ผลไม้สีเทาที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ มันมีกลิ่นและสีเหมือนกัน เมจิคัลเกิร์ลที่มีจมูกดีจะใส่มันเข้าไปในปากแบบไม่ลังเล แต่ตรงบริเวณก้านจะมีรูปร่างต่างออกไปเล็กน้อย มันจะโค้งในแบบที่ผลไม้แบบดั้งเดิมนั้นไม่เป็น มันเปลี่ยนไปเพราะว่ามลพิษ หรือว่าซาตาบอร์นนั้นพัฒนาสายพันธุ์ที่สามารถเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีมลพิษกันนะ? ดูจากการแปลงร่างที่คลายลงแล้วมันไม่ดีเลย นาวี่ดีใจที่ 7753 ตรงไปยังเกาะเล็กๆนั่นอย่างไม่ได้คิด หากเป็นไปได้ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าการแปลงร่างของเธอคลายลงระหว่างทางและจมลงไปในหนองน้ำ แต่จะคาดหวังขนาด นั้นก็ไม่ได้
ก็นะ…
“ตอนนี้ชั้นกับคุณผู้หญิงจะออกไปก่อน!” นาวี่พูด
“ไม่นะ! อย่างทิ้งพวกเราไว้!”
“นี่เธอจะบอกให้ชั้นปล่อยให้คุณผู้หญิงที่ไม่ได้สตินอนอยู่ในที่ที่อันตรายเรอะ?!” การใส่ทุกอย่างทั้งคำพูด ท่าทาง และสิ่งที่เขาต้องทำลงไป ไม่มีคำพูดไหนที่ว่างเปล่าเลย แต่ 7753 ก็ก้มหน้าลงราวกับจะขอโทษ
“ข-ขอโทษ… เอ่อ แต่ถ้าเป้นไปได้ก็อยากให้ช่วยพวกเราด้วย!”
“อยู่ตรงนั้นไปก่อน! ชั้นจะกลับมาพร้อมกับคลาริสซ่า!” เขาคว้าแขนของมานาและยกตัวของเธอขึ้นไปที่หลังพร้อมกับกระเป๋าและของอย่างอื่นทั้งหมดของเธอ ตัวของเธอนั้นเบา —แต่ก็ยังคงมีน้ำหนักเกือบสี่สิบห้ากิโลกรัม เธอแบกของมาค่อนข้างเยอะด้วย เธอใส่อะไรเอาไว้ในกระเป๋าสะพายกันนะ? “เครื่องมือเจ็ดอย่างของนักสืบ” หรือว่าจะเป็นอย่างอื่น? เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าไม่ควรจะเอาของที่ไม่จำเป็นมาตอนที่ไปทัศนศึกษา
เขาเข้าไปในระหว่างแนวต้นไม้ และเมื่อมองไม่เห็น 7753 แล้ว เขาก็ดึงเอากระเป๋าของมานาออกและโยนเข้าไปในพุ่มไม้ ในตอนนี้น้ำหนักมันเบาลงเล็กน้อย แต่จอมเวทที่ไม่ได้มีแรงนักก็ไม่สามารถแบกได้นาน ถ้ามีโพรงต้นไม้ไม่ก็ถ้ำตามธรรมชาติก็เป็นเรื่องดี หรือถ้าเป็นในกรณีที่แย่ เขาก็ต้องขุดหลุมแล้วโยนเธอลงไป ตัวของฟรานเชสก้ามีล็อคเวทมนตร์อยู่จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเธอไม่สามารถโจมตีใครก็ตามที่อยู่ในหลุมได้ หลุมขนาดใหญ่ที่มีขนาดพอดีตัวของมานาคงจะไม่เป็นอะไร
“งั้นก็รออยู่ตรงนั้นนะ! เข้าใจไหม? อย่าขยับจากตรงนั้น!” นาวี่ตะโกนสั่งไปที่ 7753 คนที่อยู่นอกระยะสายตาแล้วก็เริ่มเดินต่อ เขาไม่ได้ผ่อนคลายท่าทีของตัวเอง เขามีอะไรที่ต้องคิดเกี่ยวกับมัน
เขาไม่ได้จะฆ่ามานาหรือปล่อยให้เธอถูกฆ่า เขาไม่ได้จะทำอะไรมากไปกว่าการทำให้เธอสลบจนไม่ได้สติในตอนที่ไม่ทันตั้งตัว เขาจะไม่ปล่อยให้พ่อของเธอเข้ามาก้าวก่าย ตราบใดที่เขาปล่อยให้มานากลับบ้านไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะสามารถใช้ชื่อของห้องทดลองและฝ่ายโอสเป็นเกราะป้องกันหน่วยสืบสวนไม่ให้เข้ามายุ่งได้ ความคิดที่แย่มันจะทำให้คนเราคลั่งอย่างรุนแรงและไม่สนเรื่องรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย หนูที่จนมุมจะไม่ได้กัดแค่แมว แต่จะกัดแม้กระทั่งเสือ และบางครั้งเสือมันก็จะป่วยจากการกัดและตายไป
เขาจะปล่อยให้มานามีชีวิตอยู่ มันยากที่จะคำนวนว่าผู้เป็นพ่อจะทำอะไรบ้างหากสูญเสียลูกสาวของตัวเองไป แต่นาวี่ก็รู้เรื่องนั้นดี —อย่างน้อยก็สองหรือสามเท่า— แค่พ่อกับลูกสาวที่ตัวเองหวงแหนที่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้น มานาเป็นตัวกระตุ้นที่อันตราย ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงเป็นจุดอ่อนของเขาด้วย นั่นคือทำไมนาวี่ถึงปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ เขาไม่ได้อยากให้ใครมีชีวิตอยู่ เขาแค่อยากเก็บมานาเอาไว้ภายใต้การควบคุมในขณะที่อยู่บนเกาะแห่งนี้เพราะเธอคือปัญหา และสุดท้าย การแยกเธอออกจากนักสู้คือเรื่องดี แว่นตาของ 7753 เองก็เป็นปัญหา แม้ในตอนนี้มันจะไม่มีอะไรแล้ว แต่มันอาจจะเป็นปัญหาทีหลังได้เมื่อเธอได้มันกลับคืนมา จากในตอนนี้ปัญหานั่นเขาสามารถจัดการได้ แต่กระนั้นปัญหามันก็คือปัญหา การกำจัดทิ้งไปคือเรื่องที่ดีที่สุด
นาวี่เดินไปตามทางเดินสัตว์ครู่หนึ่งก่อนที่จะออกมายังพื้นที่เปิดโล่ง ต้นไม้ที่นี่ไม่ได้หนาแน่น ท้องฟ้าด้านบนก็เปิดโล่ง นาวี่หรี่ตาและมองไปตามควันสีดำตรงท้องฟ้าทางตะวันตก นั่นคือฟรานเชสก้า มันก็ดีที่เธอทำหน้าที่แบบเชิงรุก แต่ไฟมันคือปัญหา มันควรจะมีการเตรียมการติดตั้งเรื่องไฟ รวมถึงไฟป่าเอาไว้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์ตอนนี้มันจะได้ผลรึเปล่า โชคครั้งแรกคือการที่ฟรานเชสก้าและไมยะเข้าปะทะกัน และมันก็ตามมาด้วยโชคร้ายที่อธิบายไม่ได้อย่างการที่พลังเวทหมดไป และตัวเขาในตอนนี้ที่อาบไปด้วยโชค ณ จุดทิ้งขยะ บางทีลูกตุ้มมันอาจจะแกว่งไปอีกทางก็ได้
แต่… ไม่ได้คิดเลยแหะว่าจะเป็นเต่า
มันหาได้ยากมากในการที่สัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันกระตุ้นความอยากรู้ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในฐานะนักวิจัยของนาวี่ เขาชักคางกลับ คิดว่าถ้าเรื่องมันไปได้ด้วยดี เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นไป มันจะตอบแทนหนี้ที่เขาติดค้างเรื่องขนมปัง แต่ถ้าเรื่องราวมันเป็นไปได้ด้วยดี เรื่องแย่ๆมันก็จะเกิดขึ้นเมื่อเขาโลภมากจนเกินไป
ความโลภของเขาไม่เคยหมดสิ้น เคล็ดลับในการที่จะมีชีวิตที่สุขสบายก็คือการที่รู้ว่าควรจะประนีประนอมตรงจุดไหน
☆ 7753
เธอรู้ในทันทีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลอีกแล้ว
เธอเป็น 7753 มาตลอดจนถึงเมื่อซักครู่นี้ แม้ว่าเธอจะยังคงถือเต่าเอาไว้ได้ แต่ในตอนนี้ร่างกายของโคโทริ นานายะมันโอนเอนเกินกว่าจะรับไหว เธอเอาตัวพิงกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ทันทีเพื่อไม่ให้ตัวล้มลงไปในหนองน้ำ ไหล่ของเธอสั่นเทา ฝ่ามือเองก็รู้สึกลื่นจากเหงื่อเช่นเดียวกับแขนที่แบกเต่าเอาไว้เพื่อพยุงตัวเอง มันทำให้ตัวของเธอตรงเข้าหาต้นไม้ พิงเข้ากับลำต้นที่มีขนาดใหญ่พอที่จะโอบด้วยสองมือได้ ไหล่กระแทกเข้ากับต้นไม้ แม้ว่ามันจะเจ็บ แต่เธอก็ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เธอกอดต้นไม้เอาไว้อย่างสิ้นหวัง จับเอาไว้โดยไม่ได้มีความคิดที่จะปล่อยไป จนในที่สุดเธอก็ปล่อยลมหายใจออกมาและหันกลับมาเพื่อมองมานาที่เปลือกตาปิดอยู่และถูกอุ้มไปโดยนาวี่
7753 ตื่นตระหนกและพยายามจะกลับไป จากนั้นความรู้สึกนิ่มและเหนียวที่เธอรู้สึกได้ตรงใต้ฝ่าเท้ามันทำให้จำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเธอก็สามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้ ที่นี่คือหนองน้ำ มนุษย์กับเต่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายในหนองน้ำ เธอมองไปรอบๆและรู้สึกสับสนกับความเป็นจริงที่สิ้นหวังนี้ เนื่องจากพื้นที่มันไม่ได้เป็นวงกลมโดยสมบูรณ์ พื้นที่สีเขียวบางจุดจึงอยู่ห่างออกไป บางจุดเองก็อยู่ใกล้ แต่มันก็ไกลเกินไปที่จะไปถึงด้วยแรงกระโดดของมนุษย์ เธอมาตรงจุดนี้ด้วยแรงขาของ 7753 ตั้งแต่แรก เธอกระโดดออกจากอะไรบางอย่างตรงกลางทางและมาถึงด้วยการกระโดดครั้งที่สอง เท็ปเซเคเมย์ที่บินอยู่บนฟ้าในตอนนี้กลายเป็นเต่าที่คลานอยู่บนพื้นดิน ตัวของเธอนั้นกลม กระดองมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสี่นิ้ว —มันดูเหมือนจะแตกได้ง่ายๆหากโคโทริใส่แรงบีบมากเกินไป แม้ว่าจะเป็นแขนของผู้หญิงก็ตาม เพราะแบบนั้นเธอจึงจับแรงมากไม่ได้
หลังจากที่เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง นาวี่ก็ยกตัวมานาเอาไว้เหนือไหล่และเดินออกไป โคโทริถูกทิ้งไว้ด้านหลัง เธอทำไม่ได้แม้แต่จะพูดคุยกับเท็ปเซเคเมย์ กระดองของเธอนั้นเย็น ที่ดวงตาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ผสมอยู่ มันขาดซึ่งความเป็นมนุษย์ในอีกความหมาย ต่างจากเท็ปเซเคเมย์ตามปกติที่ทำให้ผู้คนสับสนด้วยการพูดอะไรแปลกๆด้วยใบหน้าเฉยเมย
นี่ฉันกำลังคิดอะไรกับเต่าอยู่นะ? โคโทริคิดพร้อมก้มหน้า แน่นอนว่าเธอขาดซึ่งความเป็นมนุษย์เพราะเธอไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่แรก และเธอเมื่อกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่างไปจากเดิมเมื่อแปลงร่าง มันก็เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลทุกคน โคโทริ นานายะจะอยู่ในร่าง 7753 ให้นานที่สุดเท่าที่เธอสามารถทำได้ ใช้ข้ออ้างนั้นเพื่อปกป้องหัวใจหากตัวเองมีความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ล เธอลดเวลาในตอนที่เป็นมนุษย์ของตัวเองลงไปเรื่อยๆ
เธอนั่งย่อตัวลง เอนตัวพิงกับต้นไม้เล็กๆ เธอไม่สามารถทำให้ตัวเองนั่งลงไปได้ เธอไม่ชอบความคิดที่จะนั่งลงไปบนเกาะแห่งนี้ในหนองทั้งชุดนอน ใต้ฝ่าเท้าของเธอมันสกปรก แต่ก็ไม่เป็นไร ฝ่าเท้าสกปรกมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
โคโทริเอาตัวของเมย์ไว้ตรงหน้าอกแล้วมองดูใบหน้าของเธอ เต่ากำลังขยับขาเหมือนกับว่าเธอกำลังดิ้นและหดคอเข้าไปด้านใน โคโทริสัมผัสได้ถึงความฉลาดในการเคลื่อนไหวและถอนหายใจออกมา ในตอนนี้โคโทริอ่อนแอ แต่ก็ยังมีบางคนที่เธอต้องปกป้อง เพราะในตอนนี้เมย์อ่อนแอยิ่งกว่าโคโทริ เท็ปเซเคเมย์คอยปกป้องเธออยู่ตลอด ในตอนนี้โคโทริก็ต้องเป็นฝ่ายที่ปกป้องเธอเหมือนกัน เธอเงยหน้าขึ้นไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้มันช่างน่าตลก
นาวี่บอกให้เธออยู่ที่นี่ แต่ถ้าเธออยู่ที่นี่ ตัวของเธอก็จะดูเด่น ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ชุดนอนของเธอมีสีส้มและแถบสีขาวและตัวอักษร KICK! สีชมพูจางๆ และการที่อยู่ตรงใจกลางหนองน้ำสีดำนี้มันจึงทำให้เธอโดดเด่นอย่างผิดปกติ อย่างน้อยเธอต้องซ่อนตัวไม่งั้นก็จะตกอยู่ในอันตราย แต่ถึงเธอจะขุดหลุมด้วยกิ่งไม้หรือมือของตัวเอง เธอก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้เลย มานานั้นแบกเครื่องมือลับของตัวเองเอาไว้ 7753 เคยคิดว่าเพื่อป้องกันไม่ให้มานามีแต่มือเปล่าหากพวกเธอต้องแยกกัน แต่ในตอนนี้ความคิดของเธอมันสวนทาง 7753 ที่มาด้วยในฐานะคนถือสัมภาระ เพราะแบบนั้น เธอก็ควรที่จะถือกระเป๋าของมานาเอาไว้
“อ๊ะ!”
ไม่ใช่ว่านาวี่โยนของของมานาทิ้งไปแล้วหรอกนะ? เดี๋ยวก่อนสิ นาวี่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อช่วยไปแล้วรึเปล่า? ตอนนั้นโคโทริกำลังตื่นตระหนก เธอจึงไม่ทันได้คิด และเมื่อเวลาผ่านไปจนนาวี่หายไปแล้ว น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาที่ดวงตา และโคโทริก็มองขึ้นไปบนฟ้า อากาศมันดีในแบบที่ไม่มีประโยชน์ ดวงอาทิตย์กำลังเผาผิวหนังของเธอ ไม่สิ ผิดแล้ว เธอบอกตัวเอง เธอเพิ่งจะรู้ว่าก่อนหน้านี้มันไม่มีอะไรมาโดนตัวของเธอเลย ดังนั้นมันหมายความว่าเธอใจเย็นลงบ้างแล้วรึเปล่านะ? จากนั้นเธอก็คิด บางทีเธออาจจะคิดอะไรที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้ออกจากสถานการณ์แบบนี้ได้
ก่อนอื่น เธอยืนยันสถานการณ์ของตัวเอง เธออยู่ที่เกาะบนหนองน้ำ เธอมีชุดนอนกับเต่า ส่วนอย่างอื่นก็มียางรัดผม ต้นหญ้า แล้วก็ดิน มันมีผลไม้สีเทาออกผลอยู่ที่ต้นไม้ด้านหลัง แต่มันถูกเท็ปเซเคเมย์เด็ดไปจนไม่เหลือแล้ว ลูกที่ยังไม่ได้กินมันอยู่ในกระเป๋าของโคโทริ พอคิดว่าเท็ปเซเคเมย์คลายการแปลงร่างหลังจากที่กินเข้าไปแล้ว การที่เธอไม่กินมันคงจะดีกว่า
“ทั้งๆที่จมูกดีแท้ๆ ทำไมถึงกินอะไรแบบนี้นะ?” เธอพูดกับเมย์พร้อมกับถอนหายใจ เต่าที่อยู่ในมือของเธอดิ้นไปมาราวกับไม่สบายตัวและก้มหน้าลง โคโทริไม่รู้ว่าจะพูดกับอีกฝ่ายยังไง แต่เธอก็มีความรู้สึกเข้าใจกันและกันจนรู้สึกโล่งใจ
เธอใช้ต้นไม้ได้รึเปล่านะ? มันสูงกว่าเธอสองเท่ากับอีกเล็กน้อย หากเธอปีนขึ้นไปบนต้นไม้และกระโดดลงมาจากตรงนั้น —เธอก็จะเจ็บตัวและจมลงไปในหนองน้ำ ไม่สิ บางที มันอาจจะขึ้นอยู่กับว่าหนองน้ำมันลึกแค่ไหน เธอควรจะคิดว่าบางทีท่าทีของนาวี่ก็เกินจริงไป เธอลองเอานิ้วเท้าแตะไปเพื่อทดสอบ จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าถูกดูดเข้าไป เธอตกใจและดึงกลับในทันที หากลองแล้วกลับมาไม่ได้กลับมาอีกมันก็ไม่ตลกเลย
ทำยังไงดี…?
เธอรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ตัวเองทำได้เลย สุดท้ายแล้ว มันก็ได้แต่นั่งรอตามที่นาวี่พูดงั้นเหรอ? มันมีกระป๋องและอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเสาอากาศโผล่ขึ้นมาจากหนองน้ำ สำหรับโคโทริแล้วที่แห่งนี้มันดูเหมือนกับที่ทิ้งขยะ หากหนองน้ำนี้มีไว้เพื่อใช้ดูดสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการ แบบนั้นในกรณีที่แย่ที่สุดมันก็เป็นไปได้ว่าหนองน้ำไม่มีก้นอยู่เลย ที่นี่คือเกาะของจอมเวท ดังนั้นมันจึงไม่เคารพกฎฟิสิกส์อยู่แล้ว
แต่เมื่อคิดในอีกทางหนึ่ง เพราะว่านี่คือเกาะของจอมเวท หากขยะชิ้นใดชิ้นหนึ่งมีพลังปริศนาอยู่ล่ะ? เธอยกมือขวามาแตะไว้ที่คาง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจับตัวของเมย์เอาไว้ ดังนั้นเธอจึงใช้มือซ้ายมาแตะที่คางแทน
พอพูดเรื่องของเกาะกับพลังปริศนาแล้ว ก่อนอื่นเลยก็คือผลไม้สีเทา เธอคิดพร้อมกับกลิ้งผลไม้ในมือด้วยท่าทางบึ้งตึง ดูจากอาการในตอนนี้ของเท็ปเซเคเมย์แล้วก็บอกได้ว่าโชคไม่ดีเลยที่มันไม่ใช่ผลไม้สีเทา นอกจากเรื่องนี้แล้ว โชคยังดีที่สิ่งต่างๆมันอยู่รอบตัวเธอ
“อยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ” เธอพูดกับเมย์เผื่อเอาไว้ แม้เธอจะไม่รู้ว่าเมย์นั้นเข้าใจรึเปล่า จากนั้นเธอก็คุกเข่าลงไปตรงจุดสีเขียวของหนองน้ำ จับต้นหญ้าเอาไว้ด้วยมือซ้าย ใช้มือขวายื่นออกไป เมื่อมือของเธอเกือบจะเอื้อมไปถึงกระป๋องขึ้นสนิมที่ลอยอยู่ แผ่นดินมันก็สั่นไหว โคโทริตกใจและดึงแขนกลับ
เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ภาพของเทพธิดาที่อยู่ตรงระหว่างต้นไม้ค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เทพธิดากำลังเข้ามาหา ก่อนที่โคโทริจะทันได้ตกใจ เทพธิดาก็เข้ามาในหนองน้ำเรียบร้อยแล้ว หัวใจของเธอแทบจะหลุดออกจากตัว เธอพยายามถอยกลับไปแต่หลังก็ไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ เธอตื่นตระหนกเกินไปจนไม่ได้รู้สึกเจ็บ เทพธิดาเข้ามาใกล้โดยไม่ได้หยุดเดิน โคโทริจับเมย์ที่อยู่ในเสื้อเอาไว้แน่น เธอคิดอะไรไม่ออก ในใจของเธอไม่มีพื้นที่ให้คิดอะไรเหลืออยู่เลย เทพธิดาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เทพธิดาเคลื่อนไหวช้าลงแล้ว แม้ว่าขาจะจมอยู่ในหนองน้ำ เทพธิดาก็ฝืนมันให้เดินต่อ
โคโทริสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลก เทพธิดาไม่ได้มองมาที่โคโทริ เทพธิดาแค่เดินอยู่ราวกับว่าไม่รู้ถึงตัวตนของโคโทริเลย โคโทริยืนขึ้นอย่างกลัวๆและเดินไปตรงขอบเกาะ เทพธิดาเมินเฉยการเคลื่อนไหวของโคโทริ ยังคงเดินตัดผ่านหนองน้ำต่อไป จากนั้นก็เอาเท้าขึ้นมาบนเกาะ นี่เทพธิดามองไม่เห็นโคโทริงั้นเหรอ? หรือบางทีเทพธิดาคิดว่าโคโทริเป็นเหมือนกับต้นไม้และก้อนหินกันนะ?
กิ่งไม้ขนาดใหญ่อยู่บนไหล่ขวาของเทพธิดา เทพธิดาปล่อยมันเอาไว้แบบนั้นโดยที่ไม่ได้ปัดออก เทพธิดาก้าวออกมาอีกก้าวบนเกาะนี้ แรงกระแทกมันทำให้พื้นดินสั่นไหว พอแรงต้านของหนองน้ำหายไปแล้ว เทพธิดาก็เดินบนพื้นอย่างเต็มแรง การก้าวเท้าเพียงแค่ก้าวเดียวมันทรงพลังอย่างน่าประหลาด ตัวของโคโทริโซเซ เธอเอามือสัมผัสกับต้นไม้ไว้เพื่อไม่ให้ล้ม เทพธิดาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกันและยังคงก้าวออกไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว
ตอนนี้?
เธอไม่ได้แม้แต่จะเข้าใจว่า “ตอนนี้” มันหมายความว่ายังไง เธอปัดตกมันไม่ได้ จะทำหรือไม่ทำ —ทั้งหมดมันมีเพียงเท่านั้น โคโทริกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเทพธิดาตรงข้างที่ไม่ได้มีกิ่งไม้พร้อมกับจับตัวของเมย์เอาไว้แน่น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่อีกต่อไปแล้ว เธอหายใจไม่ได้เช่นกัน ทุกสิ่งที่เธอรู้คือต้องทำมันอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันก็มีเสียงที่ดังมาจากที่ไหนซักที่ที่บอกว่าเธอต้องทำมันและผลักดันให้เธอเคลื่อนไหว แรงกระโดดมันเริ่มทำให้ตัวของเธอร่วงลงไป บางทีมันเหมือนกับการเอาตัวไปกระแทกกับยานพาหนะที่เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไม่มีทาง ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองร่วงลงไปแน่ เธอคิดแล้วยื่นมือออกมา นิ้วของเธอคว้าเสื้อผ้าของเทพธิดาเอาไว้ได้
เธออาจจะตายเพราะทำแบบนี้ เพราะว่าเธออยู่ในร่างมนุษย์ การปัดตัวของเธอออกไปมันก็ฆ่าเธอได้ง่ายๆแล้ว แต่เรื่องแบบนั้นมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น โคโทริใช้แรงทั้งหมดที่ร่างกายและจิตวิญญาณมีเพื่อเกาะเอาไว้ หากเทพธิดาเคยเป็นมนุษย์ มันก็แน่นอนว่าต้องรู้สึกเจ็บ แต่เทพธิดาก็ไม่ได้สนใจ เทพธิดาเดินข้ามหนองน้ำไปเหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรอยู่บนไหล่ และเมื่อเทพธิดาออกมาพ้นพื้นที่ที่มีแรงต้าน เทพธิดาก็เร่งความเร็วขึ้น โคโทริตกใจและปล่อยมือออก เธอยืนแทบจะไม่อยู่ ล้มลงจนหลังกระแทกอย่างแรง และสุดท้ายก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและร้องโอดโอยออกมา
แรงกระแทกที่เธอรู้สึกตรงแผ่นหลังค่อยๆหายไป เธอลุกขึ้น และเมื่อมองไปยังทิศทางที่เทพธิดามุ่งหน้าไป มันก็ไม่มีใครอยู่เลย มันมีแค่รอยโคลน โคโทริถอนหายใจออกมา น้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ตาก็ไหลลงมายังแก้ม
MANGA DISCUSSION