ตอนที่ 12:
ความปรารถนาที่จะปกป้องและช่วยเหลือ
☆ ดรีมมี่✰เชลซี
โลกเปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าสายลมรุนแรงอันเหน็บหนาวที่พัดโดนแก้มและหน้าผาก ต้นไม้ทางใต้ที่เธอทิ้ง มา แสงสว่างอันอ่อนโยนที่ลอดผ่านแมกไม้ หรือของประดับรูปดวงดาวที่เชลซียืนอยู่ยังคงเดิม —แต่มันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เชลซีรู้สึกกระวนกระวายมาก แต่เธอก็ยังคงยืนอยู่และไม่ได้ร่วงลงไปจากดวงดาวของตัวเอง พอนึกได้ว่าตัวเองแบกพาสเทล เมรี่เอาไว้ในอ้อมแขน เธอก็มองลงไปดูที่เด็กสาวและพบว่ากำลังสับสนมากกว่าที่เคย เมรี่มองไปรอบๆเหมือนกับว่าตื่นกลัวและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การได้เห็นเมรี่เป็นแบบนี้มันทำให้เชลซีรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม —แต่มันไม่ใช่เพราะเธอเป็นเด็กสาวในห้วงรักเหมือนกับก่อนหน้านี้ การจำได้ว่าตัวเองพยายามทำตัวติดหนึบกับเมรี่มากแค่ไหน มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับมีไฟลุกโชนออกมาจากใบหน้าด้วยความอับอาย ใบหน้าของเร็นเร็นก็โผล่ขึ้นมาในใจเป็นลำดับถัดไป และความโกรธมันก็ผสมรวมเข้ากับความอับอาย อารมณ์ที่พุ่งพล่านและยากที่จะอธิบายมันหมุนวนอยู่ภายในตัวของเธอราวกับเป็นเป็นวังวนที่มันน่าเกลียด
เมื่อยืนยันได้ว่าตัวเองกำลังแบกเมรี่อยู่ในท่าอุ้มเจ้าสาวท่ามกลางความสับสน มันก็ทำให้รู้สึกอายและโกรธมากยิ่งขึ้น บวกกับความล้มเหลวโดยเฉพาะของเชลซี —เธอนั้นปฎิบัติกับคนอื่นเหมือนกับเป็นเจ้าหญิง! วังวนของความรู้สึกได้กลายเป็นความประสงค์ร้ายจนเธอแทบจะโยนตัวของเมรี่ทิ้ง แต่เมื่อเธอคิดว่า เดี๋ยวก่อน ไม่สิ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ และก็จับเมรี่เอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมปรับท่าทางการจับอีกฝ่าย เธอแทบจะตะโกนความรู้สึกของตัวเองหลุดออกมา แต่ในตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารักเลยใช่ไหม? เธอจึงปิดกั้นพายุนั้นเอาไว้ภายใน
แม้จะจมอยู่ในความเจ็บปวดเช่นนี้ เชลซีก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางของดวงดาว ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เปลือกไม้แตกก็โผล่เข้ามาตรงหน้าห่างจากจมูกไปสี่นิ้ว เชลซีเกร็งนิ้วเท้าที่ระยะเหลือสามนิ้วครึ่ง จากนั้นก็ทำท่า toe loop* ไปทางขวาและกระโดดออกไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่งเพื่อทำท่าหมุนตัวในแนวตั้ง จากนั้นเธอก็คิดว่ามันดูดีไม่มากพอก็เลยเพิ่มการหมุนตัวเข้าไปอีกหนึ่งรอบครึ่ง ตามด้วยการกระโดดออกจากกิ่งไม้และหมุนตัวครึ่งรอบไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วก็ลงมาที่พื้น
*ท่ากระโดดของนักสเก็ตน้ำแข็ง
ธอให้เครื่องประดับรูปดวงดาวบินไปอีกราวสิบเมตรก่อนที่จะกลับมายังมือของเธอด้วยการบินเป็นรูปหัวใจ ด้วยการหักเลี้ยวและหมุนอย่างกระทันหันที่เพิ่มเข้ามาและความกระวนกระวายเรื่องพาสเทล เมรี่ เธอก็วางตัวของเมรี่ลงที่พื้นตรงเท้า แม้ว่าเชลซีจะพยายามให้นุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อพาสเทล เมรี่เห็นเชลซี ทั้งตัวของเธอก็สั่น ใช้สองมือกอดตัวเองเอาไว้และถอยกลับหลัง —มันไม่ใช่ทั้งเรื่องที่เชลซีต้องการหรือคิดเอาไว้
“ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ?!” เชลซีพูด
เมรี่ถอยห่างจากท่าทางที่ดูน่ากลัวของเชลซี เธอดูตื่นตระหนกมากพอที่จะรู้สึกสงสาร มองไปรอบบริเวณและพึมพำออกมาอย่างกลัวๆ “ก็เรากลัวว่าจะโดนกอดแบบนั้นอีกน่ะสิ”
“ไม่ทำหรอกน่า!” เธอจับไหล่ของเมรี่เอาไว้อย่างแน่นๆ “ฉันโดนควบคุมจิตใจด้วยเวทมนตร์สกปรกนะ! เธอเองก็โดนเหมือนกัน!”
“แต่—”
“ไม่มีตงมีต่อมีแต่อะไรทั้งนั้น!”
“เชลซี นั่นมันคำพูดรุ่นพ่อเลย มีแต่คนแก่นะที่พูดแบบนั้น”
“ฉันยังไม่แก่ซักหน่อย!”
เชลซียังคงจับไหล่ของเมรี่เอาไว้และเขย่าตัวของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้พูดออกมา เนื่องจากว่าตอนนี้ความกระวนกระวายของเชลซีไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแล้ว เธอจึงใจเย็นลงเล็กน้อยและมองเรื่องที่ตัวเองทำอยู่อย่างเป็นกลาง เธอกำลังจับไหล่ของพาสเทล เมรี่และเข่าตัวของเธออยู่ เชลซีสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนของร่างกายผ่านทางเสื้อผ้า และพอนึกได้ว่าตัวเองไล่ตามความอบอุ่นจากการกอดนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันก็ทำให้เชลซีรู้สึกอายจนรับไม่ไหวอีกแล้ว เธอสูญเสียความน่ารักของตัวเองไปและภายในจิตใจก็ส่งเสียงร้องออกมาว่า “ไม่น๊าาาาาาาา!”
เชลซีโยนเมรี่ออกไปด้านข้าง ใช้มือกุมศีรษะเอาไว้ในตอนที่มองดูเมรี่ส่งเสียงร้องออกมาและกระแทกเข้ากับพุ่มไม้ ไม่สิ เธอแค่สติหลุดไปครู่หนึ่งต่างหาก แต่แบบนั้นมันก็ไม่เชิงเหมือนกัน นี่เป็นความผิดของเร็นเร็น เมรี่ยืนขึ้นพร้อมส่งเสียงครางและเอามือลูบที่ด้านหลังศีรษะ ยกลำตัวส่วนบนขึ้นเหนือพุ่มไม้ เธอชี้มาที่เชลซีและพูดว่า “เราหมายถึง…”
“อะไรล่ะ?”
“หน้าของเธอมันแดง…”
เชลซีเอามือออไปแตะที่แก้ม มันอุ่น เธอหลับตาลง หากเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็จะกลายเป็นว่าเธอกำลังจะช่วยไม่ได้จริงๆแล้ว เธอต้องคิดเรื่องอื่น เรื่องอะไรก็ได้… เธอคิดเช่นนั้น และใบหน้าของเชพเพิร์ดพายก็ลอยขึ้นมาในใจ “อ๊ะ!” เธอตะโกนออกมา มันไม่ใช่เสียงที่ดูน่ารัก แต่เชลซีก็ยังเอาไว้ไม่ได้ เมื่อเธอตระหนักว่าตัวเองหันเหความสนใจไปที่เรื่องอื่นเพราะว่าไม่อยากจะคิดถึงเรื่องของเชพเพิร์ดพาย คำว่า “คุณพาย” มันก็หลุดออกมาจากปาก
ดวงตาของเมรี่เบิกกว้าง และทันใดนั้นทั่วทั้งใบหน้าก็เปลี่ยนไป การได้เห็นการตอบสนองของพาสเทล เมรี่ เชลซีก็เลยรู้ว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตาหรือภาพหลอน เชลซีเค้นฝ่ามือและก็แบมันออกอีกครั้ง ความรู้สึกของเธอที่อดกลั้นเอาไว้ด้วยการให้ความสำคัญกับความรักจอมปลอม คิดว่า มันแย่สำหรับคุณพาย แต่เมเมน่ะสำคัญกว่า พังทลายไปเสมือนเขื่อนแตก แม้ว่าเธอจะรู้จักเขาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ภายในอย่างรุนแรงมันทำให้เธอไม่สามารถฝืนได้อีกแล้ว —มันเป็นเพราะว่าเธอฝืนเอาไว้มากเกินไปงั้นเหรอ? หรือว่าความรู้สึกที่รุนแรงนั้นมันไม่เข้ากับช่วงเวลากันนะ?
ในตอนที่เธอทำลายห้องและบ้านของเขา ทั้งการเผาและทำให้ตัวอาคารพังถล่มลงมา จับโจรที่ขโมยคุ๊กกี๊ของเขาได้ เช่นเดียวกับล้มเหลวในการทำเรื่องต่างๆมากมาย เชพเพิร์ดพายนั้นดูกังวลอยู่เสมอ ด้วยความผิดพลาดแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้เชลซีคิดว่าตัวเองคงถูกไล่ออกแน่ แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้น เชลซีเก็บตัวมานานกว่าสิบปี มันเลยยากที่เธอจะพูดคุยกับใครอื่นนอกจากครอบครัวของเธอเอง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกกังวลเรื่องความสัมพันธ์ในสถานที่ทำงานแห่งใหม่ และเธอก็รู้สึกโล่งอกเมื่อรู้ว่านายจ้างของเธอเป็นคนดี
สิ่งสุดท้ายที่โผล่ขึ้นมาในใจก็คือความยอดเยี่ยมของเชพเพิร์ดพายและอาหารที่เขาปรุงขึ้น จริงสิ เขายังไม่ได้สอนฉันเลยว่าเมนูนั้นทำยังไง เธอคิด และมันก็มีน้ำตาหนึ่งหยดไหลลงมาโดนมือที่สัมผัสแก้ม
เมรี่ก้มหน้าลง ท่าทางของเธอดูเศร้ามาก เชลซีกัดฟัน หากนี่คือโลกอันแสนงดงามของอนิเมเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ เชพเพิร์ดพายก็คงไม่ต้องตาย
เธอรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนขึ้น หัวใจกำลังเต้นรัว ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เชลซีมีความรับผิดชอบที่ต้องทำตัวน่ารัก แต่เชพเพิร์ดพายตายไปแล้ว เทพธิดาฆ่าเขา เทพธิดาแข็งแกร่ง เธอนั้นแข็งแกร่งกว่าเชลซี
ไม่!
ลมหายใจของเธอติดขัด ร่างกายเหมือนกับถูกฉีกกระชาก ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับเขื่อนที่แตกอยู่ภายในตัวไม่หยุดลง ดรีมมี่✰เชลซีผู้น่ารักและดรีมมี่✰เชลซีที่คิดเรื่องของเชพเพิร์ดพายยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับแยกกันเป็นสองคน เมรี่เอียงศีรษะและพึมพำออกมาแบบเบาๆ “คุณเชพเพิร์ดพาย” คำพูดนั้นกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ทุกอย่างที่แตกสลายในหัวใจของเชลซีกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ก่อนอื่นก็ต้องผลไม้สีเทา เชลซีรู้ว่ากลุ่มของอากิเก็บมันเอาไว้ หากเวทมนตร์ที่ร่ายใส่เธอคลายลงแล้ว มันก็อาจจะเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเร็นเร็นที่ต้องทำให้สู้กับเทพธิดา เร็นเร็นคือคนเลว แต่เชลซีคิดว่าการที่เธอมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าที่จะตายไป แต่เชลซีจะเอาผลไม้สีเทาไป เพราะมันเป็นเหมือนกับเงินค่าชดเชย
เธอจะเอาผลไม้สีเทามาทั้งหมดเพื่อที่จะสู้กับสงครามเรื่องพลังที่ไม่เพียงพอ หากเธอใช้แกะให้เป็นประโยชน์ในฐานะสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เช่นเดียวกับความคล่องแคล่วของดวงดาวเพื่อที่จะสู้กับศัตรูในตอนที่กำลังหนี แบบนั้นการแปลงร่างศัตรูก็จะคลายลงก่อน เชลซีคิดแผนการของเธอไว้แล้ว เธอต้องกลับไปเพื่อเชพเพิร์ดพาย เธอต้องล้างแค้นให้ตัวเอง
พาสเทล เมรี่เงยหน้าขึ้น “อ่า ใช่… เราลืมไปแล้วว่าตัวเองทำคุณปู่ตกไป”
เชลซีถอนหายใจออกมายาวๆและเม้มริมฝีปากเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองดูน่ารัก
☆ เนฟิเรีย
ความต้องการสู้ของเนฟิเรียหายวับไปอย่างรวดเร็ว มันพังทลายไปพร้อมกับแสงสว่างที่สว่างวาบ
ดรีมมี่✰เชลซีพุ่งเข้ามาหาจากท้องฟ้า ข้ามผ่านพื้นที่หินเพื่อเอาตัวพาสเทล เมรี่ไป เนฟิเรียไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดก็รู้ได้ว่ามันมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังไล่ตามหลังมา และนั่นคือศัตรูที่กำลังไล่ล่าเชลซี และการไล่ล่าเชลซีมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
จากการที่ได้สู้กับดรีมมี่✰เชลซีด้วยตัวเอง เนฟิเรียก็สามารถพูดได้อย่างแน่ใจว่าดรีมมี่✰เชลซีคือสัตว์ประหลาด และสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ถูกบังคับให้หนี มนุษย์ที่ไร้อาวุธจะเห็นหมีกริซลี่ รถถัง เรือบรรทุกเครื่องบิน และป้อมปราการลอยฟ้าคือคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ แต่มันมีความแตกต่างของระดับคู่ต่อสู้ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ภายในกรมการต่างประเทศ ในหมู่ของคนที่จบการศึกษาโรงเรียนกวดวิชามาโอ หรือความแข็งแกร่งของฝ่ายต่อต้าน มันก็มีลำดับขั้นของคนที่แข็งแกร่งและอ่อนแออยู่ ไม่ว่าตัวเองจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งขนาดไหน มันก็รู้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองอยู่
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเนฟิเรียถึงหนีอย่างไม่ลังเล หากมีใครบางคนที่เชลซีไม่สามารถจัดการได้ แบบนั้นเนฟิเรียก็ไม่มีวันที่จะสู้กับอีกฝ่ายได้ เนฟิเรียให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเสมอ
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ? รึว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง
เนฟิเรียหันกลับโดยไม่ลดความเร็วลง เทพธิดาไม่ได้เคลื่อนไหวจากจุดที่ตัวเองอยู่ เทพธิดาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองมาที่เนฟิเรีย เธอช่างเหมือนกับเทพธิดาที่ปรากฏตัวออกมาเพื่อแสดงปาฎิหาริย์กับคนตัดไม้ผู้น่าสงสารที่เสียขวานของตัวเองไป หากนำภาพวาดที่เนฟิเรียเคยเห็นในสมุดภาพและนำมาแต่งเติมเพื่อให้เปรอะเปื้อนเล็กน้อย มันก็จะกลายเป็นเช่นนี้ การที่ถือขวานอยู่ในมือแต่ละข้างมันเหมือนกับในสมุดภาพเล่มนั้นเช่นกัน แต่การได้เห็นเข้าจริงด้วยตาของตัวเองมันดูแปลกประหลาด การเห็นเทพธิดาถือขวานที่ดูหนักในแขนที่เรียวบาง ดูน่ารักและบอบบาง มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือจริง และทำให้เนฟิเรียหัวหมุนอีกเช่นกัน
เมื่อเนฟิเรียวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว เทพธิดาก็เหวี่ยงขวาน มันไม่ใช่ว่าเนฟิเรียเห็นว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนั้น ในจังหวะที่เนฟิเรียคิดว่า อ๊ะ ชั้นคิดว่าเธอต้องเหวี่ยงขวานแน่ๆ มันทำให้เธอกระโดดออกไปด้านข้าง หลังจากนั้นมันก็เกิดระเบิดขึ้น ก้อนหินที่แตกออกกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง พื้นดินและตัวของแกะเกิดสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตที่เคยเป็นแกะถูกหั่นจนกลายเป็นเศษเนื้ออย่างน่าสงสาร และก้อนเนื้อของมันก็กระแทกเข้ากับพื้นในจังหวะที่เนฟิเรียลุกขึ้นมาจากท่าชันเข่า
เธอทำได้ อย่ายอมแพ้ ยืนขึ้นสิ เนฟิเรีย เธอให้กำลังใจตัวเองพร้อมกับจับตามองเทพธิดาที่อยู่อีกด้านของม่านควัน แม้ว่าเนฟิเรียจะเสียความต้องการที่จะสู้ไปแล้ว ศัตรูก็ยังคงอยู่ที่นี่ มันดูไม่เหมือนว่าเทพธิดาจะปล่อยให้เธอหนีไปเพราะเธอไม่อยากสู้
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?”
สายลมพัดผ่านเข้ามา ม่านฝุ่นจึงค่อยๆเบาบางลง เมื่อเนฟิเรียมองเห็นใบหน้าของเทพธิดาเพียงเล็กน้อยก็พบว่า เทพธิดากำลังมองไปยังทิศทางอื่น เทพธิดาไม่ได้มองมาที่เนฟิเรีย แต่การโจมตีเมื่อครู่นี้มันเล็งเข้ามาหาเนฟิเรียไม่ใช่รึไงนะ?
เนฟิเรีย ตอนนี้คือโอกาสแล้ว เธอบอกกับตัวเอง ย่อตัวลงต่ำและเดินอย่างเงียบๆ เธอซ่อนตัวในม่านควันและก้าวออกไปเพื่อถอยห่างจากเทพธิดา แต่พอก้าวออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็หยุด
เทพธิดาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามจากเส้นทางที่เนฟิเรียหนี ร่างกายครึ่งล่างของเทพธิดาถูกซ่อนอยู่ในม่านควัน แต่ส่วนนั้นมันเคลื่อนไหวอย่างไหลลื่นจนเหมือนว่าเท้าของเธอไม่มีตัวตนอยู่ นั่นเทพธิดาไม่รู้ว่าเนฟิเรียอยู่ตรงนี้ หรือว่าเทพธิดาไม่ได้สนใจเนฟิเรียเพราะไม่เห็นว่าเธอเป็นอันตรายกันนะ?
เนฟิเรียหายใจออกอย่างช้าๆด้วยความระมัดระวังขึ้นสุดที่จะไม่ทำให้ม่านฝุ่นไหวตัว เทพธิดาไม่ได้มองมาที่เนฟิเรีย เทพธิดาไม่ได้เพ่งความสนใจมาที่เธอ หรือก็คือเทพธิดายังคงไม่รู้ตัว —มันคงเป็นเพราะว่าเป้าหมายของเทพธิดาคือคนอื่น และอีกฝ่ายนั้นก็คงจะไม่ใช่แกะแน่นอน เนื่องจากเมรี่และเชลซีหนีไปก่อนที่ศัตรูจะมาถึง ดังนั้นมันคงเป็นเร็นเร็นไม่ก็อากิ หรืออาจจะเป็นทั้งคู่
หากเป็นเช่นนั้น —มันก็มีความเป็นไปได้ว่าคนน่ารังเกียจสองคนกำลังตกเป็นเป้าด้วย— มันทำให้เนฟิเรียแสยะยิ้มออกมา เธอรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่ไม่ควรจะมี
เนฟิเรียลุกและชันเข่าขึ้นหนึ่งข้าง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเหวี่ยงเคียวขึ้นไปสูงเหนือศีรษะ เธอกะระยะอย่างคร่าวๆว่าตัวเองอยู่ห่างจากเทพธิดาสามสิบเมตร เนฟิเรียเหวี่ยงเคียวลงตรงจุดนั้นโดยที่ไม่ได้มองไปยังเทพธิดา เคียวนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชุดของเธอ เธอจึงไม่สามารถโจมตีในระยะที่อยู่ห่างออกไปสามสิบเมตรได้ เธอรู้เรื่องนี้ดีกว่าคนอื่น
แม้ว่างานของเธอ —หรือถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ เธอมองหาคนน่ารังเกียจผ่านทางงานของตัวเอง เนฟิเรียจึงคุ้นเคยกับเมจิคัลเกิร์ลมากมาย หลายคนทีความสามารถทางกีฬาสูง หลายคนจมูกไวเรื่องอันตราย —หากเนฟิเรียคือมนุษย์ ความว่องไวของอีกฝ่ายก็เหมือนกับสัตว์ป่าหรืออะไรที่ยิ่งกว่านั้น เนฟิเรียฝึกฝนมาเล็กน้อย เธอว่าจ้างผู้ฝึกสอนมาเป็นพิเศษเพื่อที่จะเรียนรู้เรื่องการเหวี่ยงและจับเคียว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการเรียนรู้ตามปกติทั่วไป การเรียนรู้เรื่องเอกสารทางกฎหมายมันมีความสำคัญมากกว่า ความแตกต่างระหว่างเธอกับเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นผู้ล่ากับผู้ถูกล่านั้นคือการเสี่ยงชีวิต —ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นมนุษย์กับสิงโต
หากเนฟิเรียยืนขึ้นและกวัดแกว่งเคียว แม้ว่าระยะจะห่างไปเพียงแค่เล็กน้อย สิงโต —หรือเทพธิดา— ก็จะรู้ตัว หากเทพธิดารู้ตัว แบบนั้นก็จะอ่านความตั้งใจของเนฟิเรียออก เทพธิดาจะคิดว่าเนฟิเรียไม่ได้กวัดแกว่งเคียวขึ้นไปอากาศอย่างไร้เหตุผล
เมจิคัลเกิร์ลที่มีท่าทางเหมือนกับผี ยกไอเท็มพิเศษ —เคียวที่ดูอันตรายมาก— ขึ้นมา โดยมีระยะห่างสามสิบเมตร มันมีโอกาสสูงที่อีกฝ่ายจะใช้เวทมนตร์ การได้สืบสวนเหตุการณ์ลักพาตัวที่คี๊คก่อขึ้น มันเลยทำให้เนฟิเรียได้รู้ว่าหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกทำให้เข้าร่วมในเกมแห่งความตาย อาคาเนะ สามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นได้ ไม่ว่าระยะมันจะห่างแค่ไหน มันไม่สามารถเพิกเฉยคนที่มีเวทมนตร์แบบนั้นได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าสัตว์ร้ายมักจะเคลื่อนไหวโดยไม่คิด เทพธิดาจะหลบก่อนหรือจะโจมตีเข้ามาก่อนกันนะ? หากดูจากการที่เทพธิดารับมือกับสิ่งต่างๆและจากร่องรอยการทำลายล้างมันก็มีโอกาสสูง นั่นหมายถึง เนฟิเรียสามารถกระตุ้นให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาได้ด้วยการเตรียมกวัดแกว่งเคียว โอกาสที่จะสำเร็จมันไม่แน่นอน เธอคิดว่ามันมีโอกาสสำเร็จราว 10 เปอร์เซ็นต์ในการเดิมพันนี้ เธอไม่สามารถหวังพึ่งการตอบสนองของตัวเองได้ เช่นเดียวกับเทคนิคหรือการฝึกอ่านการเคลื่อนไหวล่วงหน้า สื่งที่มากที่สุดที่เนฟิเรียทำได้การกระตุ้น เนฟิเรียเหวี่ยงเคียวลงด้วยแรงทั้งหมดที่มี และในจังหวะที่ปลายเคียวสัมผัสกับพื้น เธอก็กระโดดไปด้านข้าง
ตัวของเธอถูกกระแทกด้วยเสียงและแรงกระแทกที่รุนแรง จนร่างกายลอยขึ้นไปในอากาศ ไม่ใช่แค่ตัวของเธอเท่านั้น —ก้อนดิน ดิน หญ้า ต้นไม้ ทุกสิ่งนั้นลอยขึ้น เธอรู้สึกเหมือนกับเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันมาก่อน
พอแน่ใจว่าตัวเองทำในสิ่งที่พยายามจะทำสำเร็จแล้ว เธอก็ชูมือขึ้นสูงภายในใจพร้อมกับส่งเสียง “เยี่ยม” อย่างเงียบๆ เธอล่อศัตรูด้วยท่าทางที่ไร้ความหมาย หันเหความสนใจของอีกฝ่ายไปจากเร็นเร็นและอากิ และทำการโจมตีเข้ามา แถมเมื่อทำสำเร็จแล้วเนฟิเรียก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็คือเธอควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรูได้
เอาล่ะ ทีนี้ต่อไปก็ เธอคิดในจังหวะเดียวกับที่ไหล่ขวากระแทกเข้ากับหิน
แรงกระแทกที่เทียบไม่ได้เลยกับการระเบิดสองครั้งมันผลักตัวของเนฟิเรียออกไป —เมื่อเธอลืมตา ฝุ่นมันก็หายไปแล้ว พื้นดิน ต้นไม้ ก้อนหิน และตัวของเนฟิเรียไม่ได้ลอยขึ้นไปบนฟ้า ความเงียบทำให้รู้สึกกลัว ดวงอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงแรงมากพอจนรู้สึกรำคาญ เมฆสีขาวลอยอยู่สูงตรงท้องฟ้าที่ห่างออกไป เธอสับสนอยู่ครู่หนึ่งว่าทำไมสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน แต่เธอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว มันเหมือนกับว่าตัวของเธอถูกผลักออกมาไกลกว่าที่คิดไว้
เธอพยายามหายใจเข้า แต่ก็ไอออกมาจนรู้สึกเจ็บที่หน้าอก และมันก็ทำให้ทั่วทั้งร่างของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มือที่เค้นเอาไว้ก็สั่นเทา ความเจ็บปวดมันทำให้สมองที่เบลอตื่นขึ้นมา เนฟิเรียเอามือที่กำลังสั่นมาแตะที่ใบหน้าและยืนยันว่าตัวเองยังคงอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ล หากเธอกลับไปอยู่ในร่างมนุษย์ เธอก็คงต้องตาย แต่ถึงจะอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล มันก็เจ็บปวดทรมาณมาก
เธอครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เธอก็ยืนยันได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เสียสติ และพยายามทำให้ร่างกายที่ไม่เคลื่อนไหวขยับไปข้างหน้า เธอเคลื่อนไหวและหยุดลงเหมือนกับเครื่องจักรที่เสียหาย วางมือลงบนเข่าจากนั้นก็กลิ้งตัวไปด้านข้าง จากตรงนั้นก็ยกตัวขึ้นนั่ง เธอกลั้นเสียงร้องที่พยายามออกมาจากส่วนลึกในลำคอเอาไว้ หินก้อนเล็กๆที่ติดออยู่ตามร่างกายร่วงลงไป เธอไอออกมาเป็นครั้งที่สองและถ่มน้ำลายที่อยู่ในปากออก มันมีสีแดงเข้มจนดูคล้ำ
เธอดันเข่าและลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปมองยังจุดที่เคยอยู่ และก็เข้าใจถึงเหตุผลที่ตัวเองลุกขึ้นได้ลำบากนัก หินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นมันถูกคว้านจนแตกเป็นรอย มันดูเหมือนกับเนฟิเรียกระแทกเข้ากับหินจนทำให้เกิดรอยที่เหมือนกับตัวของเธอจมเข้าไป เธอเห็นผู้คนที่ถูกจัดการแบบนี้ในอนิเมทุกแนวตั้งแต่ตลกโปกฮาไปจนถึงแอคชั่น แต่เธอไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
เธอมองไปรอบๆและพบว่าตัวเองอยู่ในป่าห่างจากพื้นที่หิน แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ต้นไม้ที่อยู่ที่นี่เองก็ถูกพัดหายไปหมดแล้ว พื้นที่ทั้งหมดมันจึงไม่ใช่ป่าอีกต่อไป เนฟิเรียมองไม่เห็นเทพธิดา เร็นเร็นกับอากิเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอมองไปรอบๆหลายครั้งด้วยหัวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกวิงเวียนและพบว่าเคียวของตัวเองวางอยู่บนพื้น เธอคิดพร้อมกับรู้สึกเหนื่อยล้าว่ามันดีที่อยู่ใกล้ๆ แต่ถ้าเป็นในกรณีที่แย่ล่ะก็ เธอก็อาจถูกเสียบด้วยอาวุธของตัวเองได้ เมื่อเธอย่อเอวลงไปเพื่อจะหยิบ เธอก็รู้เจ็บที่ไหล่ขวาราวกับว่าถูกบิดออกไป ภายในใจของเธอส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มันทำเธออยากจะร้องออกมาว่า “เจ็บ เจ็บเหลือเกิน”
เนฟิเรียไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการบาดเจ็บหรือความรู้ทางยามากพอที่จะรู้ว่าเป็นกระดูกหักหรือเป็นกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด เมื่อสรุปว่าตัวเองยังคงขยับได้ แบบนั้นอะไรๆก็คงไปได้ด้วยดี เธอเตะเคียวขึ้นมาด้วยนิ้วเท้าและใช้มือซ้ายจับเอาไว้ เธอแทงเคียวลงไปในดินเหมือนกับไม้เท้า จากนั้นก็ลากขาตามไปในตอนที่มุ่งหน้าเข้าไปในป่า การมีชีวิตอยู่มันลำบาก แต่เธอก็ต้องทำอะไรให้มากยิ่งกว่านั้น
เนฟิเรียเห็นศัตรูแค่ไม่นานก็จริง แต่เธอก็ได้เห็นตัวของศัตรูแล้ว อีกฝ่ายคือเมจิคัลเกิร์ลที่มีรูปแบบของเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิใช่ไหมนะ? พฤติกรรมของศัตรูมันแปลกประหลาดมากพอที่จะรู้สึกยอมรับได้ เรื่องคำถามขวานทองอะไรนั่นมันมีความหมายอะไรอยู่รึเปล่า? เนฟิเรียเพิ่งจะหมดสติไปแท้ๆ —แล้วทำไมเทพธิดาถึงไม่จัดการเธอกันนะ?
สิ่งที่ผิดธรรมชาติมากที่สุดก็คือตัวของเทพธิดานั้น ไม่มีกลิ่น อยู่เลย ในกรณีนี้ “กลิ่น” ไม่ได้หมายถึงกลิ่นของร่างกายหรือกลิ่นที่ใส่เพิ่มเข้าไป มันคือการมีอยู่ของสติปัญญา เนฟิเรียไม่เคยพลาดเรื่องของคนน่ารังเกียจ ไม่ว่าเทพธิดาจะคลั่งเพราะคำสั่งของนาวี่ หรือว่าความรุนแรงที่ก่อขึ้นเป็นการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ก็แค่เป็นการปล่อยตัวเองให้บ้าคลั่ง มันควรที่จะมีกลิ่นของเรื่องพวกนั้นอยู่ มันเป็นไปได้เหรอที่ความรุนแรงของเทพธิดาเป็นไปอย่างอัติโนมัติโดยที่ไม่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง?
แม้เรื่องนั้นมันจะเป็นไปได้…
ทันใดนั้นก็แสงสว่างที่ลอดผ่านต้นไม้เข้ามามันส่องเข้ามาโดนที่ใบหน้าจนทำให้เธอหยีตา จากนั้นเธอก็เร่งความเร็วขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ เนฟิเรียก็ไม่รู้สึกชอบใจ เธอรู้สึกผูกพันกับทั้งสองคนทีอันสิ้นหวังที่หายไปและเสี่ยงชีวิตของตัวเองเข้าช่วย ปัญหามันก็คือพวกเธออยู่ที่ไหนและตอนนี้ทำอะไรอยู่ อากินั้นเป็นคนโลภมาก แต่เธอก็เข้าใจกฎหมาย สัญญา และเนฟิเรีย ส่วนเร็นเร็นมีบรรยากาศของคนมีอาการทางจิตแต่เธอก็ยึดติดเรื่องความสัมพันธ์มาก หากทั้งคู่ไม่มีใครที่เข้ามาช่วยเธอ แบบนั้นก็สามารถสรุปได้ว่าทั้งคู่อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เธอรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ แต่เธอก็บังคับตัวเองให้มีความหวังเพื่อให้เรื่องราวมันดีขึ้น หากเรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอก็ไม่ได้มีเหตุผลที่ต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือ เนฟิเรียด่าร่างกายของตัวเองที่เจ็บปวดด้วยการคิดว่าทั้งคู่ยังปลอดภัยดี ชั้นต้องไปเจอทั้งสองคนเดี๋ยวนี้
แขนและขาขยับไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ การเดินหาตัวคนโลภมากกับคนโรคจิตไปทั้วทั้งที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ชั้นนี่ก็บ้าพอกันนั่นแหละ เธอคิดพร้อมกับยิ้มออกมาที่มุมปาก
☆ รากิ สเว เน็นโต
รากินั่งอยู่ในป่าที่มืดสลัว เขาถูหลังของตัวเองพร้อมกับยืนยันว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ต้นไม้เล็กๆและพุ่มไม้ถูกแกะเตะขึ้นไป และมีความรุนแรงระดับที่ทำให้ก้อนหินแตกออกเป็นเสี่ยง ต้นไม้เองก็ถูกทำลายด้วยอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าฝูงแกะจนกลายเป็นเส้นทางใหม่ที่ตัดตรงผ่านผืนป่ายาวไปจนสุดลูกหูลูกตาเกิดขึ้น รากิดึงเอาผลไม้สีเทาออกมาจากแขนเสื้อ กัดลงไป และกินมันเสร็จภายในห้าวินาที เขาดูดนิ้วมือโดยไม่ปล่อยให้หยดน้ำผลไม้เสียเปล่าไป เลียอย่างระมัดระวังจากนั้นก็เช็ดนิ้วด้วยผ้าเช็ดปาก เขาพยายามทำจิตใจที่วุ่นวายให้สงบมากเท่าที่ทำได้ เขานึกย้อนกลับไปในความทรงจำว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้ยังไง การที่ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย มันทำให้รู้สึกประทับใจ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโกรธ เขาขยำผ้าเช็ดปากและโยนมันลงพื้น เหยียบมันแล้วก็เตะออกไป
พาสเทล เมรี่จับตัวของรากิเอาไว้แล้วก็หนี จากนั้นเธอก็วิ่งออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำคนที่ช่วยเอาไว้หล่น มันจึงทำให้เขาสงสัยว่านี่เธออาจจะวางแผนโยนเขาไปตรงหน้าผู้ไล่ตามเพื่อเป็นเหยื่อสังเวยรึเปล่า —แต่เหมือนว่าเมรี่จะไม่ได้คิดลึกขนาดนั้น แต่ข้อสรุปที่ได้มาว่าเธอดูไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขามันก็ทำให้รากิหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น การกระทำด้วยเจตนาดีผลมันไม่จำเป็นต้องออกมาดีเสมอไป
เขามองดูผ้าเช็ดปากที่กลิ้งไปตามรากไม้กระทั่งหยุดลงที่ก้อนหิน เขายั้งความหงุดหงิดเอาไว้และย่อตัวลงเพื่อหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาและโยนมันเข้าไปในแขนของเสื้อคลุม
เขาควรที่จะรู้สึกขอบคุณ หากเขายังคงอยู่ที่นั่นและไม่มีเมจิคัลเกิร์ลอยู่ด้วย เขาก็คงไม่ทางที่จะต่อกรด้วยได้ เมรี่ใช้สติที่มีอยู่ในตอนนั้นจึงทำให้เขาได้มาลูบหลังของตัวเองอยู่ในตอนนี้ได้ หากเขาตายไปแล้วก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ โชคยังดีที่เหมือนว่าจะไม่มีกระดูกตรงไหนหัก
แล้วก็…
เขาถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง เชลซี เมรี่ แกะ และเมจิคัลเกิร์ลถือขวานที่ไล่ตามมา ได้หายไปตรงจุดไหนซักจุดที่รากิไม่รู้ แล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่ด้วย แผนของเขาที่จะควบคุมเชลซีและเมรี่เพื่อพยายามจะหนีออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้พังทลายไปด้วย
รากิมองไปรอบบริเวณ เขาหาไม้เท้าของตัวเองไม่เจอ เขามองดูโดยที่ยังเอามือสัมผัสกับหลังที่โน้มอยู่ แหวกหญ้าและเตะก้อนหินออกไป มองหาตามสถานที่ที่อาจจะซ่อนอยู่ แต่เขาก็หามันไม่พบ ความหงุดหงิดของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ความคิดที่จะใช้เมจิคัลเกิร์ลคือเรื่องที่ผิดพลาด การพยายามจะใช้เมจิคัลเกิร์ลมันไม่ได้ต่างอะไรจากการใช้ตัวเลือกจำนวนมากที่เขาตัดออกไป เมจิคัลเกิร์ลพวกนั้นใช้การไม่ได้ และความคิดของเขาที่จะควบคุมอีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความเย่อหยิ่งของจอมเวทเลย
นี่ไม่ใช่แค่เชลซีกับเมรี่ แต่มันเกี่ยวกับแคลนเทลด้วย หากเธอแค่อยู่ที่นั่น แบบนั้นมันก็จะสามารถร่วมมือกันได้ แต่ในตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอปลอดภัยรึเปล่า คนที่เขาตั้งใจจ้างมาเพื่อให้เป็นคนคุ้มกันกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกกังวลซะเอง
หากเขายังคงหาไม้เท้าไม่เจอมันก็จะมีปัญหาแน่ มันไม่เหมือนกับความเจ็บปวดภายในใจที่เสียหมวกใบโปรดที่ใช้มามาหลายปีไป เรื่องนี้มันคือปัญหาของจริง มันพูดได้ว่าเป็นหัวใจหลักในแผนของรากิที่จะใช้เปิดประตูขั้นพื้นฐาน การร่ายเวทมนตร์โดยที่ไม่มีไม้เท้ามันจะเป็นการลดความแม่นยำและพลังไปอย่างมาก
ในตอนที่ค้นหาอยู่ เขาก็คิดเรื่องต่างๆไปด้วย เขาเห็นเมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานขนาดใหญ่สองด้ามเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่เขาก็บอกได้ว่านั่นไม่ใช่คนที่เขารู้จัก เมจิคัลเกิร์ลที่ใช้ขวานไม่ได้มีจำนวนที่มากนัก การที่เป็นขวานคู่ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มันเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลที่มีตัวเลขอยู่ในชื่อที่ไม่ได้มีจำนวนมากแต่โดดเด่น หากพวกเธอโดดเด่น รากิก็จะไม่ลืม นั่นหมายถึง เขาแน่ใจว่าเธอไม่ได้อยู่ในบันทึกขอองทางฝ่ายจัดการ แต่กระนั้น เขาก็ยังคงมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเห็นเธอมาก่อน
เธอไม่ใช่คนรู้จักของเขา เขาไม่ได้มีเมจิคัลเกิร์ลที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่แรกแล้ว เธอเองไม่ได้อยู่ในบันทึกที่เขารู้จากการเป็นหัวหน้าของฝ่ายจัดการด้วย แล้วเขาเคยเจอกับเธอที่ไหนกันล่ะ?
เขาเองยังคงหาไม้เท้าไม่พบ ความคิดของเขาก็เลยไม่ได้รวมกันอยู่เป็นจุดเดียว
ความผิดปกติมันคือเรื่องธรรมดาของเมจิคัลเกิร์ล นักวิจัยบางคนเองก็สนุกสนานกับการสร้าง “ข้อยกเว้น”
ขึ้นมา บางครั้งคนที่ฝ่าฝืนจริยธรรมจะปรากฏตัวออกมาและเมินเฉยต่อเจตจำนงและความถูกต้อง โยนเทคโนโลยีใหม่เข้าไปเพื่อความสนุกสนาน มันเลยทำให้บางคนพูดว่าแม้จะเป็นความโดดเด่นอย่างคำว่า “รุ่นแรก” และ “รุ่นสอง” กลายเป็นไม่มีความหมายไป โดยพื้นฐานแล้วมันคือการผสมสนานกันของสถานการณ์ที่สิ่นหวังอย่างที่สุด
เขายังคงหาไม้เท้าของตัวเองไม่เจอ
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ธรรมดา วิธีการมองมันไม่เป็นธรรมชาติสำหรับสิ่งมีชีวิต การเคลื่อนไหวของดวงตาเองก็เช่นกัน มันไม่มีความลังเลหรือความเมตตาอยู่ในการทำลายล้าง แต่มันก็ดูไม่เหมือนว่าเธอจะวิ่งไปทั่วเพราะความซาดิสม์ หรือเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีอำนาจเหนือทุกอย่าง เธอแค่โจมตีอย่างอัติโนมัติใส่คนที่ตัวเองตัดสินว่าคือศัตรู และยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ขันของคำพูดที่เธอพูดออกมาว่ามันขัดแย้งกับการโจมตีที่เสมือนหุ่นยนต์ด้วย คำถามที่ยากจะเข้าใจที่เธอถามออกมาก่อนที่จะโจมตีมันดูไม่เหมือนว่าจะเข้ากันเลย
เมื่อหาไม้เท้าของตัวเองไม่เจอ รากิก็หยุดและนั่งลงไปบนก้อนหิน
มันไม่ใช่ว่าเขารู้สึกเหนื่อย ไม่อยากที่จะขยับขา หรือยอมแพ้ แต่มันมีสมมติฐานอันน่ารังเกียจที่ติดอยู่ในใจ ถึงแม้เขาจะสัมผัสและรู้สึกเหมือนเป็นสนิมเก่าเกรอะกรัง แต่มันก็ไม่หายไป
มันมีคนโง่จำนวนหนึ่งที่พยายามเพื่อความพึงพอใจในความสำเร็จ หรือทำเพราะความสงสัยภายใต้ชื่อของการพัฒนาหรือความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ นั่นคือเรื่องที่ฝ่ายโอสเป็นอยู่ในตอนนี้ แม้จะเป็นเรื่องการทำงานที่อยู่นอกขอบเขตของนักวิจัย ในฝ่ายจัดการเอง รากิก็ได้ยินข่าวลือแบบไม่หยุดว่าร่างเกิดใหม่ของเชน โอส บัล เมล คนปัจจุบันใช้เมจิคัลเกิร์ลแบบพิเศษเป็นร่างต้น และเมื่อมองดูร่างเกิดใหม่นั้น ใครๆก็จะเห็นด้วยว่ามันไม่ใช่ข่าวลือ
พวกนั้นออกแบบโฮมุนครูสด้วยทักษะของเมจิคัลเกิร์ลและตั้งโปรแกรมล่วงหน้าเรื่องความแข็งแกร่งที่จะอดทนต่อการทำหน้าที่เป็นเวลาอย่างยาวนาน คนออกแบบคงจะคิดว่าพวกตัวเองจำเป็นต้องมีร่างเกิดใหม่ที่สามารถทนได้ต่อการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า —แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนเล็กๆก็ตามที หากนั่นคือเมจิคัลเกิร์ลที่มีพื้นฐานมาจากโฮมุนครูส แบบนั้นมันก็สามารถปรับแต่งได้มากมายในขั้นก่อนการแปลงร่าง ถ้ารากิอยู่ที่นั่นด้วย เขาก็จะตะโกนใส่ว่าพวกนั้นขาดความเคารพต่อปราชญ์ผู้ศักดิ์สิทธ์ แต่เสียงของเขาก็ไม่มีวันไปถึงในตอนที่ตะโกนออกมาจากที่ห่างไกล
การวิจัยเรื่องโฮมุนครูสมันเก่าแก่และลึกยิ่งกว่าเรื่องของเมจิคัลเกิร์ล หากนำความรู้มากมายที่สั่งสมมาเข้าไปหา… แต่เรื่องเทคนิคและความรู้เพียงอย่างเดียวไม่มีวันที่สามารถทำได้ มันต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ ต้องมีโรงงาน มีคนที่รวมตัวกัน มีอัญมณีเวทมนตร์ —ทั้งหมดนั้นมันจำเป็นต้องมีพลังจากทางองค์กร
รากินึกถึงรอยยิ้มชั่วร้ายของนาวี่ หากซาตาบอร์นเกี่ยวข้องกับห้องทดลอง แบบนั้นมันก็สมเหตุสมผลที่นาวี่ถูกเชิญมาในฐานะผู้สืบทอด แม้ว่าในฐานะลูกศิษย์ของซาตาบอร์นแล้วเขาจะไม่ได้โดนเด่นก็ตาม หากมีการร่วมมือกันในเรื่องทรัพยากร เทคโนโลยี เส้นสาย หรือความรู้ แบบนั้นทั้งซาตาบอร์นและฝ่ายโอสก็จะได้ประโยชน์
ซาตาบอร์นเคยเป็นนักวิจัยอิสระ —ไม่ใช่ว่าเขาเพิกเฉยหรือเกลียดชังผู้มีอำนาจ แต่ก็ใช่ว่ารากิรู้จักเขาดีพอจนเรียกว่าเป็นคนรู้จัก แต่เขาก็สามารถคาดเดาได้ ซาตาบอร์นไม่ได้ชอบผู้มีอำนาจหรือรังเกียจ นักวิจัยมักจะมองว่ามันไม่สำคัญ หากมันจำเป็นต่องานวิจัย เขาก็จะร่วมงานกับทางเจ้าหน้าที่ แบบนั้นมันฟังดูมีเหตุผล
แต่ความจริงที่คิดออกมาได้มันก็ไม่ได้ทำให้รากิดีใจ หากเมจิคัลเกิร์ลที่บ้าคลั่งนั้นถูกสร้างโดยซาตาบอร์นและห้องทดลอง นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาดีใจเลย เมจิคัลเกิร์ลถือขวานไม่ได้อยู่ในรายชื่อของการรักษาความปลอดภัยของเกาะ ในอีกแง่หนึ่งคือ นี่ไม่ใช่กลไกการป้องกันที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แบบนั้นมันก็ไม่แปลกที่คิดว่าเรื่องราวโศกนาฎกรรมนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยการวิจัยเพื่อฆ่าเมจิคัลเกิร์ลและจอมเวททิ้งโดยไม่ให้ถูกเปิดเผยออกไป
รากิถูกผลักออกจากกระแสหลัก แต่เขาก็ยังคงอยู่ในฝ่ายโอส เขารู้ดีจนเจ็บปวดว่าฝ่ายโอสในทุกวันนี้ว่าจะจัดการสถานการณ์เช่นนี้ยังไง อย่างแรกคือทำให้เรื่องมันเงียบ นาวี่ ลูมีประสบการณ์มากมายในภารกิจแบบนี้โดยเฉพาะ เขารู้ว่าควรจะทำยังไง
รากิให้ค่ากับการเคารพกฏ แม้ว่ามันจะเป็นการเสี่ยงชีวิตของตัวเองหรืออะไรบางอย่างที่มีค่ามากกว่านั้น เขาคิดว่าการปฎิบัติตามกฎควรมาก่อนเป็นอย่างแรก หากจอมเวทที่มีพลังมากกว่าระดับปกติทำอะไรอย่างที่ใจต้องการ มันจะเป็นการสร้างความอันตรายต่อโลกใบนี้ หากทุกคนเมินเฉยกฏ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะล่มสลาย จอมเวทนั้นสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสรรสร้าง ปกป้อง แล้วก็ยังทำลายและสร้างความวุ่นวายด้วย
ในการป้องที่จะไม่ให้ฝ่ายโอสทำให้เรื่องเงียบนั้น ก่อนอื่นเลย เขาต้องจับตัวอาชญากร และให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวนที่อยู่บนเกาะนี้ส่งตัวตรงไปที่หน่วย ทำให้ฝ่ายโอสยื่นมือเข้ามาถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ รากิก็ส่ายหน้า เขาเค้นหมัดที่วางเอาไว้บนตักแน่น
เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับร่างเกิดใหม่และการทำให้เรื่องต่างๆเงียบนั้นมันเป็นแค่การคาดเดาของรากิ ต่อให้เรื่องต่างๆจะเป็นไปตามที่เขาคิด พวกเขาก็ไม่มีกำลังคน เครื่องมือ หรือเวลาที่จะปิดการทำงานเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นร่างเกิดใหม่ได้ เรื่องผลไม้สีเทาเองก็ทำให้เสียเปรียบ หากเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่เขาคิด แบบนั้นก็จะกลายเป็นว่าเขาเสี่ยงชีวิตไปอย่างไร้ความหมาย และถ้ามันเป็นไปตามที่เขาคิด เรื่องนี้มันก็ยังคงยากมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนมันก็ช่างลำบากเหลือเกิน
สุดท้ายก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องหนี
หลังจากที่คิดจนได้ข้อสรุปแล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องหาไม้เท้าของตัวเอง —ด้วยการใช้วิธีโบร่ำโบราณอย่างการอย่างการหาจุดที่มีโอกาสจะตกอยู่อย่างส่งเดช รากิยืนขึ้นและปัดหลังจนถึงต้นขา เขาทำหน้าบึ้งกับแผ่นหลังของตัวเองที่รู้สึกเย็น ส่วนคำสบถนั้นเขากลืนมันลงไป
รากิเงยหน้าขึ้น แสงที่ส่องผ่านใบหน้าเข้ามากำลังกระพริบ ไม่สิ —ใบไม้ตรงจุดที่แสงส่องผ่านมันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่รากิจะเตรียมตัวพร้อม มันก็มีเสียงที่ไม่ใช่แค่ทำให้ใบไม้และกิ่งไม้สั่นไหว แต่ยังทำให้ลำต้นและก้อนหินสั่นไปด้วยดังขึ้น จากนั้นมันก็มีแกะวิ่งเข้ามา ตัวที่สองแล้วก็ตัวที่สาม แกะมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้รากิวิ่งไปด้านหลังต้นไม้เพื่อซ่อนตัวจากฝูงแกะ เมื่อเขาเงยหน้ามันก็มีรูปร่างบางอย่างปรากฏขึ้น
ดรีมมี่✰เชลซีนั่นเอง เธอกำลังยืนอยู่บนดาวดวงเล็กๆด้วยเท้าขวาข้างเดียว และไม่นาน พาสเทล เมรี่ก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับแกะฝูงใหญ่
“อยู่นั่นไง! เชลซีเจอตัวคุณปู่แล้ว!”
“นี่เธอเรียกใครว่าคุณปู่กัน?!” เขาตะโกนใส่เชลซี แต่สายตากำลังขยับและภายในหัวเองก็กำลังใช้ความคิด เขาสัมผัสได้ลางๆว่าเมจิคัลเกิร์ลสองคนนี้มีอะไรบางอย่างแปลกไป เชลซีที่กำลังขี่ดวงดาวกับเมรี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกำลังขี่แกะ ก่อนที่พวกเธอจะแยกตัวออกไป เชลซียังห้ามเมรี่ คนที่พยายามจะออกไปอยู่เลย
“ค่อยยังชั่ว… เราโล่งอกจริงๆ…” เมรี่พูด
“อื้อ” เชลซีเห็นด้วย “มันคงไม่แปลกหรอกที่จะบาดเจ็บหรือตายน่ะ”
“ระวังปากด้วย!” รากิดุเธอ
“อ๊ะ ขอโทษนะ ฉันหมายถึงมันคงไม่แปลกหรอกที่คุณปู่จะตายไปแล้วน่ะ”
“ชั้นไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น!”
แกะนั้นอยู่รอบตัวของพวกเธอ รากิพยายามขดตัวให้เล็กลง แต่กระนั้นมันก็ยังคงไม่ได้มีพื้นที่มากพอ พื้นที่ที่เขาสามารถขยับตัวได้ค่อยๆหายไปทีละเล็กละน้อย จากนั้นเมื่อดวงดาวเลื่อนลงมาและเชลซีก็ลงตามมา มันก็หมายความว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเธอแบบใกล้ๆในขณะที่ยากจะขยับตัว เขาพยายามถอยห่างในตอนที่เธอพ่นลมหายใจออกมาเข้าหน้า
เขากำลังจะตะโกนออกไป แต่เธอก็ยื่นแท่งอะไรบางอย่างที่มีรูปทรงบิดไปมาเข้ามาให้เขา มันคือไม้เท้าแสนรักของเขานั่นเอง “ขอโทษนะคุณปู่…. คุณรากิ นี่ พวกเราเอามันติดไปด้วย”
แม้ว่ารากิจะหยิบมันไปทันทีอย่างขุ่นเคือง แต่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าโล่งอกเป็นการส่วนตัว มันเป็นเพราะเมรี่ที่ทำให้เขาแยกจากไม้เท้ามาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงตัดสินว่าไม่จำเป็นที่ต้องขอบคุณ เมื่อไฟแห่งความไม่พอใจดับลงไป จิตใจของเขาก็เย็นลงไปด้วย “…ทำไมถึงกลับมา? เพื่อคืนไม้เท้าให้ชั้นงั้นเหรอ?”
“เอ่อ… ก็…” เมรี่พูดอย่างอ้ำๆอึ้งๆ
“มันมากกว่านั้น พวกเราไม่อยากให้ใคร… ต้องตาย” เชลซีบอกเขา
รากิมองกลับไปที่เมจิคัลเกิร์ลสองคน การที่แก้มของเชลซีเชิดขึ้นมันจึงทำให้ยากที่จะเรียกว่าเธอนั้นจริงจัง แต่ท่าทางของเมรี่ดูค่อนข้างจริงจัง แต่ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองคนต่างก็กลับมาเพื่อรากิ เขาคิดว่าพวกเธอนั้นถูกควบคุมจิตใจอยู่และไม่ได้คิดเรื่องอะไรของเขาเลย ในตอนนี้พวกเธอไม่ได้จะเผ่นหนีเหมือนกับก่อนหน้า รากิพยักหน้า การพยายามไม่ให้ผู้คนตายไปมากกว่านี้คือสิ่งที่เขาสามารถแบ่งปันได้
เชลซียืนอยู่ในท่าทางที่ประหลาด เอาหลังมือแนบเข้าหากันแล้วชูขึ้นไปเหนือศีรษะในตอนที่มองมายังรากิ เมื่อหันไปมองที่เมรี่เธอก็รีบหันไปมองที่อื่นอย่างรวดเร็ว เมรี่เองก็ก้มหน้าลงอย่างประหลาด รากิไม่ได้เก่งเรื่องการมองผู้คนนัก แต่ถึงจะเป็นเขาก็สามารถบอกได้ว่า —ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนต่างจากก่อนหน้านี้
เชลซีกระแอมออกมาราวกับพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง หลับตาลงแล้วก้พยักหน้า “ตอนนี้พวกเราก็มั่นใจได้ว่าคุณปู่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นมาลงโทษคนร้ายกันเถอะ”
“ไม่ เดี๋ยวก่อนนะ” รากิพูด “ก่อนอื่นพวกเราต้องหนี”
“เชลซีกับเมเมน่ะถูกควบคุมโดยคนที่ชื่อว่าเร็นเร็น”
แบบนั้นการควบคุมจิตใจก็คลายลงไปแล้วสินะ และพวกเธอก็ยังคงมีความทรงจำในตอนที่ถูกควบคุมด้วย
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่—”
“อีกอย่าง… คุณพาย” เชลซีเอาหลังออกจากกัน จากนั้นก็เอามาไว้ที่ด้านหน้าใบหน้าเหมือนกับว่าเธอกำลังวาดรูปวงกลมแล้วตบเข้าหากัน ฝูงแกะที่ส่งเสียงแบะแบะออกมาตลอดเวลาเงียบลงแล้ว พาสเทล เมรี่แสดงให้เห็นถึงความระวังตัว คิ้วของรากิย่นเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
“ฉันไม่ยกโทษให้เธอแน่” เชลซีพูด
ฝูงแกะถอยห่างออกไปจากเชลซี พวกแหะมันกำลังเบียดเสียดกันพร้อมตัวสั่นเทา เสียงของพาสเทล เมรี่ที่ดังขึ้นก็ถูกกลืนเข้าไปในป่าที่เงียบสงบ
รากิเอนตัวพิงกับไม้เท้าและคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ วิธีที่เชลซีขยับร่างกายและกล้ามเนื้อที่ใบหน้า มันเหมือนกับว่าเธอพยายามรักษาท่าทีที่ดูงี่เง่าเอาไว้ แต่สายตาของเธอนั้นกำลังจริงจัง
“เป็นไปไม่ได้” รากิพูด
“ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ซักหน่อย” เชลซีแย้ง
“นั่นไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล มันคืออาวุธที่อยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลที่จอมเวทงี่เง่ารวมตัวกันสร้างขึ้นมา… มันเหมือนกับพระเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้และได้รับชัยชนะ” รากิได้แค่คาดเดาเรื่องการสร้างเมจิคัลเกิร์ลเพียงอย่างเดียว แต่เขาไม่จำเป็นต้องบอกพวกเธอในเรื่องนี้ มันคือการขู่ไม่ให้เธอเข้าไปสู้ การทำให้เธอเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายๆมันคือเรื่องดี
“ฉันไม่สน” แต่เชลซีก็ยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจอยู่ดี
“นี่เธอคิดว่าจะสู้กับอะไรที่ตัวเองไม่รู้จักแล้วจะชนะงั้นเรอะ? นี่เธอหยิ่งยโสขนาดไหนกัน?” โดยส่วนตัวแล้วเขาเข้าใจความรู้สึกของเชลซี แต่เขาพูดออกมาไม่ได้ว่า “มารวมพลังกันเพื่อกำจัดเธอกันเถอะ” เขาจึงย่นคิ้วเข้าหากันราวกับจะพูดว่า “อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย”
รากิหันไปหาเมรี่ “แล้วเธอล่ะ พาสเทล เมรี่? เธอคงไม่พูดหรอกนะว่าจะสู้”
เมรี่จ้องมองไปที่เท้าของตัวเอง ไม่ได้รับหรือปฎิเสธคำพูดของรากิ หากแค่มองดูตัวของเธอที่สั่นเล็กน้อย มันก็ไม่เหมือนกับว่าจะมุ่งหน้าออกไปต่อสู้ แต่จากมือเล็กๆเน้นเค้นแน้นจนปลายนิ้วกลายเป็นสีแดงนั้น เขาก็เห็นว่ามันมีอะไรบางอย่างเช่นการตัดสินใจที่เธอไม่สามารถรวบรวมออกมาเป็นคำพูดได้
รากิ “ไม่ต้องพูดเลย เธอคิดว่าตัวเองจะชนะการต่อสู้ที่ไม่สามารถชนะได้ยังไงกันล่ะ?”
“มันอาจจะยากก็จริง… แต่มันก็มีเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย อย่างเช่นโจรขโมยคุ๊กกี๊” เชลซีพูด
“ใครล่ะนั่น?”
“แล้วก็มิสมาร์เกอริต เอาจริงๆแล้วเธออันตรายมากนะ เชลซีคิดว่าเธอตายแน่เลย”
“เรื่องเล็กๆชั้นไม่สนใจ”
“แล้วคนที่แข็งแกร่งอีกคน… เมจิคัลเกิร์ลที่คุณปู่พามาล่ะ?”
“แคลนเทลแข็งแกร่ง”
“เอาล่ะ!”
“ไม่ ไม่ได้ แข็งแกร่งแล้วมันสำคัญยังไงล่ะ? ล้มเลิกความคิดที่คิดว่าจะชนะได้ถ้ารวบรวมเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งมาได้นี้ไปซะ มันได้แต่ทำให้มีคนตายมากขึ้น”
“เอ่อ” เมรี่ยกมือขวาขึ้นอย่างอายๆ “พวกเรามีผลไม้สีเทาเยอะ ดังนั้นถ้าพวกเรากินแล้วสู้…”
“ใช่แล้ว!” เชลซีเห็นด้วย “ใช่แล้วล่ะ พวกเรามีผลไม้สีเทาอยู่ พวกเราเก็บมาเยอะแยะเลย”
“แบบนั้นไม่ดีหรอกนะ ไม่ควรทำ การกินผลไม้สีเทามีแต่จะเร่งความตายให้เข้ามาหาเร็วขึ้น”
“หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ธรรมชาติของพืชชนิดนี้มันเป็นไปได้สูงว่าดูดซับและกักเก็บพลังเวทมนตร์บนเกาะแห่งนี้เอาไว้ในการที่จะออกผล ยิ่งกินผลไม้สีเทาไปมากเท่าไหร่ พลังของเธอก็ยิ่งจะถูกดูดออกไปมากเท่านั้น มันยิ่งทำให้เธอต้องกินผลไม้สีเทามากขึ้นกว่าเดิม”
“หือ? หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“ฟังนะ ในการที่จะให้ผลไม้สีเทาออกผลมันต้องดูดซับพลังเวทจากสิ่งที่อยู่รอบตัว และพลังมันก็จะไปรวมอยู่ที่นั่น ผลไม้มันรวบรวมพลังเวทเข้าด้วยกัน เธอเข้าใจเรื่องนี้รึเปล่า?”
“ก็พอเข้าใจ”
“พลังเวทที่มันดูดซับจากสิ่งรอบตัวน่ะมันรวมถึงพลังของจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลด้วย —เพราะแบบนั้นจอมเวทถึงหมดสติและการแปลงร่างของเมจิคัลเกิร์ลจึงคลายลง”
“อ๋าาา อย่างนี้นี่เอง! เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง!”
“หลังจากนั้น พวกเราก็ไปเก็บผลไม้สีเทากันมาเยอะ แต่อัตราในการใช้ผลไม้ —หรือก็คืออัตราที่เวทมนตร์ของพวกเราถูกใช้— ก็เพิ่มสูงขึ้น แน่นอนว่าเป็นแบบนั้น —เพราะว่าตัวต้นไม้พยายามชดเชยจำนวนของผลไม้ที่เสียไป”
“เพราะว่าผลไม้หายไปก็เลยต้องดูดพลังเวท และเพราะว่ามันดูดพลังเวทไปจากเรา พวกเราก็เลยต้องกินผลไม้… เป็นลูปเลยนี่นา”
“ใช่แล้ว เพราะแบบนี้แหละชั้นถึงจะบอกว่าอย่าใช้ผลไม้แบบเปล่าประโยชน์”
“แบบนั้นพวกเราก็ไม่ควรใช้มันไปเปล่าๆเหรอ?” เมรี่ถาม
“ใช่!” เชลซีพูด “ใช่แล้วล่ะ พวกเราควรรวบรวมมันมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย”
“ชั้นไม่ได้พูดแบบนั้น!”
เขาสัมผัสได้ว่าเลือดกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง แม้ว่าจะเข้าใจตรรกะที่ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองโมโห เลือดมันก็ยังคงสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้าอยู่ดี ความเข้าใจเรื่องสถานการณ์ของเชลซีนั้นต่ำมาก เมรี่เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน หากพวกเธอยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป บางทีถูกควบคุมจิตใจอยู่อาจจะควบคุมได้ง่ายกว่าซะอีก ก่อนหน้านี้เองเขาก็คิดมันมาหลายครั้ง แต่ในตอนนี้เขารู้ว่า เมจิคัลเกิร์ลนี่มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม
“ฉันไม่ยกโทษให้ ไม่มีวัน ไม่มี ไม่มีวันยกโทษให้!” เชลซีตะโกน
“ยกโทษไปแล้วมันมีอะไรดีขึ้นรึไง?! มันมีอีกตั้งหลายเรื่องที่พวกเราควรทำ!” รากิตะโกนกลับ
“ไม่! สำหรับคุณพาย! ฉันไม่! ยกโทษให้!” เหมือนว่าเชลซีจะเลือดขึ้นหน้าเช่นเดียวกันรากิ หรือไม่ก็อาจจะมากกว่า เธอตะโกนออกมาและเหวี่ยงแขนของตัวเองไปรอบๆ กัดฟันในตอนที่ยืนยันความคิดของตัวเองออกมาแบบไม่หักไม่งอ
การมีใครซักคนอยู่ตรงหน้าที่กำลังโกรธ มักจะทำให้คนหลายคนรู้สึกใจเย็นขึ้นอยู่เสมอ แต่มันไม่ได้ผลกับรากิ
“พอกันทีกันไอ้เรื่องไร้สาระนี่!”
“ไม่ได้ไร้สาระซักหน่อย!”
“ทำไมถึงอยากสู้ขนาดนั้น! เมจิคัลเกิร์ลไม่ได้ถูกสร้างมาให้สู้อย่างเดียวซักหน่อย!”
ดวงตาของเชลซีเบิกกว้าง ทั่วทั้งใบหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงเข้ม บิดเบี้ยว พร้อมกับแยกเขี้ยวออกมา จากนั้นเธอก็หันหน้าขึ้นไปบนฟ้าและตะโกนออกมาเสียงดังจนรากิอยากจะอุดหู เธอยกเท้าขวาขึ้นและหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกระทืบลงไปที่พื้น แกะที่อยู่รอบๆ พาสเทล เมรี่ รากิ หินก้อนเล็กๆ และแม้กระทั่งหินก้อนใหญ่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยแรงกระแทก แกะนั้นวิ่งออกไปด้วยความสับสน พาสเทล เมรี่ล้มตัวลงกับพื้น หินก้อนเล็กกระเด้งไปมา ส่วนรากิก็ค้ำยันร่างกายตัวเองไว้ด้วยไม้เท้า ใบหน้าของเชลซียังคงมองขึ้นไปที่สรวงสวรรค์ เขามองไม่เห็นท่าทีของเธอ เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความรุนแรง เขาก็เอาไม้เท้ามาแนบชิดไว้กับตัว บางทีการแข่งกันตะโกนใส่เมจิคัลเกิร์ลสมองน้อยที่จะออกไปโดยไร้การป้องกันมันก็เป็นความสะเพร่า ถึงแม้ว่าตัวเองจะสะเพร่าเมื่อเลือดขึ้นหน้า เขาก็หยุดตัวเองไม่ได้ ในการที่ยากจะควบคุมนั้น รากิเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมจิคัลเกิร์ลเลย
“ก็ได้” เสียงของเธอฟังดูแหบแห้งอย่างทรมาณ คำพูดที่ตัดจบบทสนทนาเช่นนี้ —ราวกับว่าเธอกำลังกัดฟันพูดจนเลือดไหลออกมาด้วย
รากิหลับตาข้างขวาลงตอนที่เธอพูด เมื่อเข้าใจความหมายแล้ว เขาก็ค่อยๆลืมตาข้างขวาอย่างช้าๆและมองกลับไปที่ใบหน้าของเชลซีที่ค่อยๆก้มลงมา ท่าทางของเธอยังคงโกรธ ใบหน้าของเธอซีด เชลซียกเท้าที่กระทืบพื้นขึ้น มันมีเศษหินร่วงลงมา และเขาก็เห็นว่ามันมีรอยเท้าจมอยู่ลึกลงไปในดิน
เชลซีใช้เท้าเกลี่ยพื้นให้เท่ากันแล้วก็หันกลับมาหารากิ “ไปกันเถอะ”
เขาไม่รู้ว่าอะไรมันไปกระตุ้นความรู้สึกในใจของเชลซีในลักษณะไหน ความคิดของเขาว่าเธอนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่สามารถเปลี่ยงแปลงอะไรได้ยังคงเดิม แต่กระนั้นเขาก็ต้องร่วมมือ
รากิเกาะหลังเชลซี เมรี่ขี่แกะไปพร้อมกับคอตก จากนั้นเชลซีก็ขี่ดวงดาวของเธอบินออกไปนำหน้าฝูงแกะ
☆ นาวี่ ลู
เมื่อนาวี่ลูบคางก็พบว่ามันมีหนวดเส้นหนึ่งที่ยาวและหนากว่าเส้นอื่น เขาไม่เคยเป็นคนประเภทที่พยายามแต่งตัวดีๆเพื่อเข้าหาคนอื่น หรือคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ แต่การที่มีหนวดยาวออกมาเส้นหนึ่งทำให้รู้สึกแปลก เขาดึงมันออกอย่างแรง และเมื่อเขาเอามาดูตรงหน้า มันก็หนาอย่างที่คิดเอาไว้ เขาเป่ามันออกไปด้วยการถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยึดติดกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง การเอาสิ่งกวนใจออกไปก็ดีกว่า
คลาริสซ่าเคยบอกเขาว่า “ถ้าโกนออกไปหน่อยจะดูน่าสงสัยน้อยลงกว่านี้ไหม?” แต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่พูดแบบนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามไม่สนใจเรื่องคนอื่นที่คิดเรื่องรูปร่างหน้าตาของเขายังไง มันก็ไม่มีใครที่รู้จักเรื่องหน้าที่การงานของนาวี่แล้วเชื่อเขาเลย หัวหน้าคนก่อนของเขาได้เคยสั่งสอนเชิงเหยียดหยามเอาไว้ว่า “มีแต่สปายชั้นสามเท่านั้นที่โด่งดังเพราะการกระทำ สปายชั้นหนึ่งในตอนที่ลงมือจะซ่อนอดีตเอาไว้และทำงานเสร็จได้โดยที่ไม่มีใครสงสัย” แต่มันยอดไปเลยไม่ใช่รึไง หากทุกคนสงสัยเขา คิดว่าเขาไม่น่าเชื่อถือ และคิดว่าเขาสามารถทรยศคนอื่นตอนไหนก็ได้ แต่ก็ยังสามารถทำงานได้เสร็จสิ้นน่ะ? นาวี่คิดเช่นนั้น แต่เขาไม่เคยพูดมันออกมา ปล่อยเรื่องราวไปพร้อมกับรอยยิ้ม
นาวี่พยายามมองขึ้นไปบนฟ้า ใช้มือข้างหนึ่งบังแสงจ้าเอาไว้พร้อมกับหรี่ตา เขาคิดว่ามันยังไม่ถึงตอนเที่ยงแต่มันผ่านช่วงเช้าตรู่ไปแล้ว บางทีคงเป็นเพราะเขาไม่ได้นอนหลับแบบปกติตั้งแต่แรก เขาไม่เคยใช้สัมผัสเรื่องเวลาภายในตัวได้เลย ทุกอย่างที่เขาหวังพึ่งได้คือระดับความหิว
เขาพ่นลมหายใจออกมา เมื่อเขามองไปที่ทางเข้า เท็ปเซเคเมย์ก็กำลังกัดวัตถุสีน้ำตาลอยู่ เธอโบยบินอยู่ในสายลมและจู่โจมเข้าใส่ขนมปังชิ้นใหญ่เท่าศีรษะ มันก็มีเนยอยู่บนนั้นด้วย แต่ว่าไม่ได้ทา —มันวางอยู่บนขนมปังเหมือนกับก้อนอะไรบางอย่าง มันดูไม่ดีต่อสุขภาพเลย แต่ในตอนนี้ ร่างกายของเขาต้องการมันแบบสุดๆ เขาอยากได้กรดไขมัน คอเลสเตอรอล แล้วก็เกลือ นาวี่เอามือขวาแตะไว้ที่หน้าท้อง เขากำลังสัมผัสกับกระเพาะที่ว่างเปล่า มันไม่จำเป็นต้องยืนยันอีกครั้งเลย ในตอนนี้ ท้องของเขากำลังส่งเสียงร้องออกมา
“เฮ้!” นาวี่เรียก
เมจิคัลเกิร์ลตัวเล็กไม่ได้หยุด เศษขนมปังกระจายออกตอนที่เธอกัดเข้าไป พอดูจากที่เนยไม่ได้ละลายมันก็สามารถบอกได้ว่าขนมปังนั้นเย็นแค่ไหน ยิ่งกว่านั้นมันยังดูแข็ง หากเห็นมันในวันปกติ มันก็สามารถพูดได้เลยว่า “รสชาติมันห่วยแน่ๆ” แต่ในตอนนี้มันดูน่าอร่อยมาก
“รอเดี๋ยวก่อนสิ” นาวี่พูด
“เมย์ไม่รอ”
“เดี๋ยวก่อน หยุดกินแล้วฟังก่อน”
“เมย์ไม่หยุด”
“เดี๋ยวสิ —โอเค โอเค ชั้นจะให้ของดีนะ ดังนั้นหยุดเถอะ”
เท็ปเซเคเมย์ที่มีท่าทีเรียบเฉยหันหน้ามาหานาวี่ เธอไม่ได้แสดงท่าทางที่เหนือกว่าหรือมีความสุขในการกินออกมา เธอยังซ่อนความกลัวและความระมัดระวังที่สัมผัสได้จากส่วนของตัวเองที่ถูกฟรานเชสก้าลบไป หรือว่าเธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมาตั้งแต่แรกกันนะ?
ยอดเยี่ยม ลึกๆแล้วนาวี่รู้สึกประทับใจ
เขาเอาผลไม้สีเทาหนึ่งลูกออกจากแขนเสื้อมาไว้บนฝ่ามือแล้วยื่นมันไปให้เท็ปเซเคเมย์ “ดูนี่สิ”
แผนของนาวี่คือการใช้ผลไม้แลกเปลี่ยนกับขนมปัง แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เท็ปเซเคเมย์ก็สลับขนมปังที่ถืออยู่ไปไว้ในมือซ้าย นาวี่มองไปที่มือขวาของตัวเองและยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ถืออะไรอยู่ จากนั้นเขาก็มองไปที่เท็ปเซเคเมย์ เมจิคัลเกิร์ลตัวเล็กลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับกินผลไม้สีเทาจนหมดไปเรียบร้อยก่อนที่จะอ้าปากออกกว้างจนมองเห็นฟันเพื่อที่จะกัดเข้าไปยังขนมปังอีกครั้ง
“เดี๋ยว!” นาวี่ตะโกน “เฮ้ ยัยหนู! เอาผลไม้ไปแล้ว แบบนั้นก็เอาขนมปังมาให้ชั้นสิ!”
“เมย์ไม่ได้ยินเรื่องนั้น”
“อะไรนะ?”
“เมย์ได้ยินว่า ‘ถ้ารอล่ะก็ ชั้นจะให้ของดี’ เมย์รอแล้วก็เลยได้ของดี”
“แบบนี้โหดร้ายชะมัด ใจร้ายด้วย”
“ถ้ากินข้าวต้มกับมันหวานที่อยากกินมากเกินไป มันก็จะเกลียดเอาได้ ดังนั้นก็ควรดูเมย์กินแทน”
“ให้ตายสิ ยัยนี่… เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลไม่ใช่รึไง?”
“เมย์เป็นเมจิคัลเกิร์ล”
“แบบนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องกิน”
“เมย์กิน”
“ถ้าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ แบบนั้นก็ต้องช่วยคนที่มีปัญหา นั่นควรจะเป็นหน้าที่ของเธอไม่ใช่เรอะ”
“เมย์กำลังช่วยเมย์ที่มีปัญหา”
มันดูว่าเขาเข้าถึงเธอไม่ได้และยังโดนหลอกและแกล้งเอาเสียด้วย แม้ท่าทีจะยังคงเรียบเฉยแต่เธอก็ปล่อยออร่าแปลกประหลาดออกมา หรืออาจจะเป็นว่าตัวตนของเท็ปเซเคเมย์ส่งผ่านเข้ามาตอนที่คุยกับเธอ โธ่เว๊ย เขาคิดแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก บางทีการที่เธอแทบไม่มีการแสดงออกมันไม่ใช่ว่าเป็นกำแพงหรือโล่ที่เอาไว้ป้องกันตัวเอง แต่มันเป็นส่วนนึงของเธอตามธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด
นาวี่ยื่นฝ่ามือของตัวเองเข้าหาเธอในท่าทางที่ดูตลกพร้อมกับพยักหน้าหลายครั้ง “ก็ได้ ก็ได้ เธอชนะ มาตกลงกันดีกว่า แลกเปลี่ยนผลไม้สีเทากับขนมปัง”
เท็ปเซเคเมย์ยื่นมือขวาออกมาตรงหน้าอย่างเฉียบคมและชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วนางขึ้น “เมย์อยากได้เท่านี้”
“เธอนี่ชูนิ้วแบบแปลกๆนะ หนึ่ง สอง… สาม? เดี๋ยวนะ นี่เธออยากได้สามเลยเรอะ?”
“เมย์จะให้เท่ากัน”
“สามแลกกับสามงั้นเหรอ?”
“เมย์ต้องการให้มีมากพอกับพวกพ้อง เมย์อยากได้หนึ่งลูกไว้สำหรับเมย์ เว็ดดิ้น และฟันนี่ทริค”
“พวกเหรอ เธอหมายถึงเพื่อนสินะ?”
“ครอบครัว”
“ ‘ครอบครัว’ หืม…? แบบนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ”
“ช่วยไม่ได้”
“ถ้าเธอสัญญาได้ล่ะก็ ขอเนยให้ชั้นด้วยแล้วกัน”
“เมย์จะพยายามมากๆ”
“อย่าสัญญาอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้กันดีกว่า”
“เมย์จะพยายามสุดๆ”
“ที่พูดนั่นมันเหมือนกันนะ”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนผลไม้สามลูกกับขนมปังสามชิ้น บวกกับก้อนเนยสี่เหลี่ยมขนาดราวสองนิ้วที่ห่ออยู่ในกระดาษสีเงินที่เมย์ส่งมาให้นาวี่ ในที่สุดนาวี่ก็ได้สิ่งยังชีพมา ขนมปังที่เย็นและแข็งบวกกับเนยที่เย็นมันอร่อยมาก รสชาติและสารอาหารกระจายออกจากลิ้นไปทั่วร่างกาย มันยากสำหรับผู้ชายที่จะมีชีวิตอยู่ได้กับแค่ผลไม้เพียงอย่างเดียว เขาชำเลืองมองไปยังเท็ปเซเคเมย์ คนที่กินผลไม้สีเทาไปครึ่งหนึ่งและเก็บส่วนที่เหลือเอาไว้ในกระเป๋า เมื่อเห็นอีกครั้งเธอก็ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
“เฮ้ — ครอบครัวของเธอก็รู้จักกับสองคนนั่นงั้นเหรอ?” นาวี่ถาม
“7753 คือเว็ดดิ้น มานาคือฟันนี่ทริค”
เหมือนว่าเธอจะสร้างโลกใบเล็กของตัวเองขึ้นมา ท่าทางของเธอยังคงเรียบเฉย เธอไม่ได้ยั้งนิสัยแปลกๆผ่านบทสนทนาทั้งหมดที่ตัวเองพูดเลย เธอคงจะกลัวเล็กน้อย แม้ว่าส่วนหนึ่งของเธอจะถูกฟรานเชสก้าฆ่า บางทีเธออาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ เขาคิดอย่างเงียบๆ เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล พวกนั้นก็จะขาดซึ่งประสบการณ์ในการใช้ภาษาและจิตใจที่ไม่ใช่มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ยากอยู่บ่อยครั้ง
วันแล้ววันเล่า เมจิคัลเกิร์ลหลายประเภทได้ถูกนำมาที่ห้องทดลองที่นาวี่ทำงานอยู่ วิธีอย่างการค้ามนุษย์หรือลักพาตัวถูกอนุญาตให้ทำได้ ทางห้องทดลองเคยพบกับชนชั้นสูงที่มืดแปดด้านจนมอบลูกๆของตัวเองเป็นสิ่งจำนำด้วยเช่นกัน มีผู้ที่ชื่นชอบการต่อสู้ที่ถูกหลอกเข้ามาด้วยการถูกบอกว่าจะให้การสนับสนุนซึ่งจริงๆแล้วมันคือการหลอกลวง บอกไปว่าพวกเธอจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่ง มีสมาชิกของฝ่ายที่ได้โทษประหารชีวิตภายใต้ข้ออ้างของการลงโทษในความผิดพลาดบางอย่าง เมจิคัลเกิร์ลที่ร่างต้นคือสัตว์มักเป็นที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะปฎิบัติกับพวกเธอแบบไหน พวกเธอก็ไม่มีครอบครัวที่จะให้พูดด้วย เจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้มีท่าทีเอะอะโวยวายอะไร ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหา พวกเธอส่วนใหญ่เองก็มีพลังเวทที่ทรงพลัง เพราะว่าพลังมันมีรากฐานมาจากสัญชาตญาณของพวกเธอเอง
เหมือนว่าเท็ปเซเคเมย์เองก็มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังเช่นกัน จากที่มานาพูดและจากการที่ตัวของเท็ปเซเคเมย์พูด มันดูไม่เหมือนว่าส่วนของเธอถูกฆ่าตายไปโดยที่เธอไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเธอคงต้องเผชิญหน้ากับฟรานเชสก้าและทำอะไรบางอย่างก่อนที่ส่วนนั้นจะถูกฆ่า ถึงจะรู้เรื่องของคนที่ฆ่าไมยะทำให้เธอระมัดระวังเอาไว้อยู่ล่วงหน้า เธอก็ยังคงดึงอะไรบางอย่างที่เมจิคัลเกิร์ลธรรมดานับร้อยไม่สามารถทำออกมาได้
ในตอนที่เขาคิดอยู่นั้น จู่ๆเธอก็ยิงคำถามมาหาเขา “แล้วครอบครัวของนาวี่ล่ะ?”
“ชั้นมีคนนึง” เขาตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะรีบเร่งแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สไตล์ของนาวี่ที่จะพูดอะไรอย่างซื่อสัตย์ราวกับคนโง่ในเรื่องครอบครัวของตัวเอง เขายั้งความต้องการที่จะเดาะลิ้นหรือทำหน้าบูดบึ้งเอาไว้ และยิ้มออกมาเสมือนกับว่ามันไม่มีอะไร “แค่คนเดียว”
“คลาริสซ่า?”
“เธอไม่ค่อยดูเป็นครอบครัวเท่าไหร่ ดูเป็นญาติมากกว่า เพราะเป็นลูกสาวของน้องสาว —เป็นหลานสาวชั้นเอง”
“หลานของเมย์?”
“หือ? ชั้นไม่ได้พูดอะไรแปลกๆนะ”
“เมย์…”
เมย์มองไกลออกไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นที่ไหน นี่คือพฤติกรรมที่เข้าใจยากอีกอย่างหนึ่งของเมจิคัลเกิร์ลที่มีร่างต้นเป็นสัตว์
นาวี่กินขนมปังไปได้ครึ่งหนึ่งยังคงมองดูเท็ปเซเคเมย์ บางทีพวกนั้นคงดีใจหากเขาพาเธอกลับไปที่ห้องทดลอง แต่ความเสี่ยงมันสูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ
จากนั้นเท็ปเซเคเมย์ก็หรี่ตาจนหางตาชี้ขึ้นทันที เธอเลื่อนตัวไปด้านข้างจากนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าของนาวี่ กางแขนออกแล้วเอามาไว้ด้านหน้า นี่คือกำลังป้องกันงั้นเหรอ?
“มาแล้ว ซ่อนตัว”
“อ่า คนนี้คือ…” เขามองผ่านร่างโปร่งแสงของเท็ปเซเคเมย์เข้าไปในป่า
มีเมจิคัลเกิร์ลกระโดดออกมาจากระหว่างต้นไม้ตรงหน้าเท็ปเซเคเมย์ พร้อมกับใบไม้ที่กระจัดกระจายในตอนที่เคลื่อนไหวอย่างว่องไวเหมือนกับแมว หูสัตว์ขนาดใหญ่ของเธอกระดิกไปมา หางยาวๆก็กระแทกเข้ากับพื้น “งาย งาย ฉันมารายงานน่าา มีอะไรดีๆด้วยนี่นา”
“อันนี้ชั้นไม่ให้หรอกนะ ชั้นเองเพิ่งพูดชื่อของเธอออกมาพอเลย”
“หือ? อะไรน่ะ?”
เมื่อนาวี่บอกเท็ปเซเคเมย์ไปว่าเขาต้องคุยกับคลาริสซ่าเป็นการส่วนตัว เขาก็สะกิดหลังคลาริสซ่าเพื่อให้เธอออกห่างจากทางเข้า เดินออกไปราวยี่สิบก้าวก่อนที่จะหยุดลง การเดินไปยังจุดที่เท็ปเซเคเมย์มองไม่เห็นมันน่าสงสัย มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำหากกังวลเรื่องการโดนโจมตี —แม้ว่าคนคุ้มกันของเขาอย่างคลาริสซ่าจะอยู่ที่นี่ก็ตาม เมื่อเขาหันหลังกลับไป เท็ปเซเคเมย์ก็ยังคงมองตรงไปที่ป่า แต่ถึงเธอจะดูเหมือนว่ามีขนาดเล็กกว่าร่างปกติราวสามเท่า นาวี่ก็เข้าใจได้ว่าเมื่ออยู่ใกล้เธอจะประมาทไม่ได้
นาวี่ใช้งานหินของตัวเอง เพราะแบบนั้นเสียงมันจึงไม่ดังออกไปและใช้แขนเสื้อข้างหนึ่งบังปากของตัวเองไว้ “ชั้นคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ซ่อนปากเผื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า”
“ไอ้นั่นอ่านริมฝีปากจากระยะไกลได้ด้วยเหรอ?” คลาริสซ่าขยับแค่ดวงตาของเธอไปยังเท็ปเซเคเมย์ “เธอดูไม่เห็นจะฉลาดตรงไหนเลยนี่?”
“หนึ่งส่วนของเธอสู้กับฟรานเชสก้าได้พอตัวเลยล่ะ”
ใบหน้าของคลาริสซ่าบูดเบี้ยวราวกับรู้สึกรังเกียจอย่างที่สุด ใบหูของเธอห้อยลงอย่างอ่อนแแรง “จริงดิ? แคลนเทลเองก็แข็งแกร่งสุดๆเหมือนกัน แข็งแกร่งในขนาดที่ฉันจัดการไม่ได้เลย”
“นี่ไปทำบ้าอะไรมาเนี่ย?”
“แค่มันกลายเป็นแบบนั้น โอเคนะ? มันไม่ได้แย่นักหรอก คลาริสซ่าหาข้ออ้างทีหลังได้ อีกอย่าง มันยังมีคนอื่นที่แข็งแกร่งด้วย สองหรือสามคนอาจจะหนีจากฟรานเชสก้าไปได้”
“เฮ้ เฮ้ เฮ้”
แบบนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดาแล้ว ไม่ว่าอะไรจะอยู่ภายในฟรานเชสก้า —พาชนะที่ไม่สามารถรับมือเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นได้ เธอคือผลของการรวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ก้าวข้ามเมจิคัลเกิร์ล ที่อีกฝ่ายหนีไปได้มันก็หมายความว่าเธอไม่สามารถเอาชนะได้ มันมีเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่บนเกาะเล็กๆแห่งนี้ เมจิคัลเกิร์ลหลายคนที่ฟรานเชสก้าไม่สามารถจัดการได้
“โห” ความประหลาดใจของเขาเป็นของจริงและสั้นๆ มันไม่จำเป็นต้องเล่นคำอะไรมากนัก
ในการสร้างเมจิคัลเกิร์ลฟรานซิสก้า ฟรานเชสก้าขึ้นมาคนเดียวนั้น มันใช้ชีวิตของจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลไปมากมาย แม้สุดท้ายแล้วฟรานเชสก้าจะไม่ได้เสร็จสิ้น มันก็ยังคงเป็นไปได้ว่าเธอจะกลายเป็นพาชนะบรรจุวิญญาณของหนึ่งในสามปราชญ์ในอนาคต นาวี่คิดว่ามันไม่น่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพวกงี่เง่าที่จะพาเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งมามากกว่าหนึ่งคนเพื่อมาพูดคุยกันในเรื่องการแบ่งมรดก เขาประมาทเมจิคัลเกิร์ลเกินไป คิดว่าไมยะจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมาก แต่โลกนี้มันก็กว้างใหญ่และมีอะไรอีกมาก เขาอาจจะทะนงตัวและพูดว่าตัวเองเคยเห็นเมจิคัลเกิร์ลเป็นร้อยเป็นพันในห้องทดลอง แต่พวกเธอก็อยู่ที่นี่
“ที่สำคัญเลยคือ คลาริสซ่ามีข่าวมากบอก คุณปู่หนีไปแล้ว”
“ถ้าหนีไป ก็ไล่ตามไปและจับตัวมา”
“คุณปู่ทิ้งทุกกกกกกอย่างงงงงงงงที่คลาริสซ่ากัดไปหมดเลย เหมือนว่าจะรู้ตัวแล้ว”
ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตที่จะเป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะพวกฮาร์ดคอร์อย่างรากิ ที่บางครั้งจะใช้ประสบการณ์และความรู้ทำในสิ่งที่ผู้อายุน้อยทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านาวี่เบามือกับเขาเกินไปและคิดว่าสามารถจัดการได้ง่ายๆ แต่กระนั้น มันก็กลายเป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน หากรากิเข้าไปหาฟรานเชสก้า แบบนั้นเขาก็จะถูกฆ่าตาย ไม่ว่าเขาจะเป็นจอมเวทที่มากความสามารถมากขนาดไหน หากไปเจอเข้ากับเมจิคัลเกิร์ลที่ฆ่าทุกสิ่งที่เข้าหา เขาก็จะไม่มีโอกาสรอดเลย —และมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นภาชนะสำหรับร่างเกิดใหม่ ต่อให้เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เข้าไปหาเองก็จะตายเช่นกัน— เขาคิดเช่นนั้น แต่คลาริสซ่าที่อยู่ตรงนี้บอกความจริงที่ว่ามันมีเมจิคัลเกิร์ลอีกหลายคนบนเกาะนี้ที่สามารถหนีจากเธอได้ การสูญเสียพลังเวทของตัวเองไปจนหมดสติและการแปลงร่างของเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกบังคับให้คลายลง มันมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงและสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดมากเกินไป
โลกนี้มันกว้างใหญ่ นาวี่ถูกไว้วางใจให้จัดการงานภายนอกให้ห้องทดลองอยู่บ่อยครั้ง และเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองอ่อนต่อโลก แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันยากลำบาก แม้เขาจะชำนาญในการรับมือกับเมจิคัลเกิร์ลก็ตาม
“เปลี่ยนแผน” นาวี่พูด “เพราะเจอเรื่องไม่คาดคิด แบบนั้นรอซักหน่อยน่าจะดีกว่า ชั้นคิดว่าพวกเราทำให้คุณปู่กับโยลติดหนี้ได้แล้ว ไมยะเองก็ไม่อยู่แล้ว ชั้นซ่อนของดีเอาไว้เหมือนกัน ในตอนนี้พวกเรามารอราเรโกะดีกว่า”
มานาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอเองก็ก้าวข้ามความคาดหวังของนาวี่ไปด้วย —เธอเป็นผู้ตรวจการณ์ที่ดี แต่เธอไม่ได้พยายามซ่อนว่าตัวเองสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ในจุดนี้เธอยังคงเป็นเด็ก เขาควรจะยินดีกับความเยาว์วัยของเธอ เขาสามารถยอมให้ตัวเองโดนจับในฐานะวายร้ายตัวจ้อยที่พยายามกวาดส่วนหนึ่งของมรดกไปเหมือนกับโจรในตอนที่เกิดไฟไหม้ได้เช่นกัน
“หากเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นพูดว่าจะจัดการฟรานเชสก้า เธอก็ไปร่วมมือกับพวกนั้นซะ ถ้าฟรานเชสก้าหายไปแล้ว มันก็หมายถึงคุณปู่เองก็ปลอดภัย อย่างน้อยที่สุดในตอนที่สู้กันอยู่ ฟรานเชสก้าก็จะทำให้คุณปู่ยุ่งเกินกว่าที่จะไปวุ่นวายกับเรื่องอื่น”
“อื้อ อื้อ… เดี๋ยวนะ หือ?”
“มีอะไรเรอะ?”
ปลายหูข้างขวาของคลาริสซ่ากระดิกสองครั้ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆลดหูลงแล้วก็ดึงขึ้นตรงอีกครั้ง ท่าทางของเธอ ท่าทางของเธอค่อยๆดูน่ากลัวขึ้นตอนที่หันไปมองรอบๆ “โทตะกำลังเคลื่อนไหว”
“ในตอนนี้เด็กยังสร้างปัญหาให้พวกเราอีกเรอะ เวรเอ๊ย”
“กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เร็วเกินไปแล้ว หวา นี่ไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะ มันเป็นความเร็วของเมจิคัลเกิร์ล”
“ราเรโกะ?”
“บางทีนะ… จากการที่เขาขยับตัวแล้ว มันดูไม่เหมือนว่าฟรานเชสก้าจับตัวเขาไป หรือเขาโดนหั่นเป็นชิ้นๆและเสื้อไปโดนเข้ากับอะไรบางอย่าง ดังนั้นใจเย็นเถอะ”
“จะให้ใจเย็นได้ยังไงล่ะ ทำไมราเรโกะถึงเคลื่อนไหวเอาตอนที่พวกเรายืนยันเรื่องความปลอดภัยให้เธอไม่ได้ด้วย? ตอนนี้เธอออกจากถ้ำมาแล้ว ถ้าหากเธอโดนฟรานเชสก้าโจมตีเข้าล่ะ?”
“คลาริสซ่าสงสัยว่าราเรโกะจะรู้เรื่องฟรานเชสก้าทำงานยังไงด้วยน่ะสิ”
“งั้นก็ไปหาราเรโกะแล้วจัดการให้เรียบร้อย”
“รับทราบ”
ไม่เลวนี่ ตาแก่ นาวี่คิด เขาประทับใจที่รากิทำให้เขาประหลาดใจได้ แต่การที่ราเรโกะทำให้เขาประหลาดใจมันทำให้เขารู้สึกว่า พอทีเถอะน่า นาวี่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นเขาเป็นพวกเดียวกันที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วยการกระทำของเธอเอง ไม่มีใครที่ชอบอะไรแบบนั้น นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายคือราเรโกะ ดังนั้นบางทีเธออาจจะเคลื่อนไหวออกมาเองแบบไม่ได้ขอด้วยความกลัว หรือคิดว่าตัวเองมีประโยชน์
ในตอนที่คลาริสซ่ากำลังจะวิ่งออกไป นาวี่ก็ยกแขนขวาขึ้นแล้วก็เรียก “เดี๋ยวก่อน” ภาพของโยลและราเรโกะลอยขึ้นมาในใจเขา และสุดท้ายเขาก็นึกถึงโทตะ เหมือนว่าเขากับโยลจะสนิทกันดี มันไม่ได้แย่อะไรนักที่เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมีความสนใจในเรื่องเดียวกัน หากพวกเธอสามารถหนีออกจากเกาะนี้ไปได้อย่างปลอดภัย บางทีก็อาจจะสนิทกันมากยิ่งขึ้น นาวี่จินตนาการถึงฉากอบอุ่นหัวใจของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่ยิ้มไปด้วยกันก่อนที่เขาจะเลิกคิดเรื่องแฟนตาซีของตัวเองไปและมองไปที่เท็ปเซเคเมย์ ดวงตาของเธอยังคงจ้องมองไปที่ป่า
“หากเป็นไปได้ล่ะก็ การที่โทตะหายไปจะดีที่สุด” นาวี่พูด
“อื้อ อื้อ คลาริสซ่าจะบอกราเรโกะให้ถ้าทำได้นะ”
☆ มิสมาร์เกอริต
ความทรมาณลอยขึ้นมาจากที่ที่ไม่มีอะไรอยู่ ความทรมาณมันนำพาความเหน็บหนาวและความเจ็บปวดมาด้วย เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองเคลื่อนไหวไม่ได้ตามใจต้องการและเธอก็จำได้ว่าตัวของเธอก็คือตัวของเธอเอง หน้าอกและลำคอบิดไปมาและกระตุกอย่างต่อเนื่องติดกัน ถึงแม้เธออยากจะส่งเสียงร้อง เสียงของเธอมันก็ไม่ยอมออกมา เธอตั้งมั่นความรู้สึกไปที่ลำคอเพื่อที่จะทำให้เสียงออกมา ใส่พลังทั้งหมดที่ร่างกายมีลงไป จากนั้นอากาศมันก็มีเสียงดัง แป๊ะ เหมือนกับอะไรบางอย่างที่ออกมา เธอไอออกมาอย่างรุนแรง ก้อนแห่งความเจ็บปวดออกมาจากส่วนลึกภายในปากจากลำคอ แผ่นหลังของเธองอและร่างกายของเธอกำลังขดตัวกลม เธอนอนตะแคงเพื่อคายอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระเพาะออกมา มันคือครึ่งของเหลวที่มีกลิ่นอันหอมหวานของผลไม้ ที่เป็นแก่นตอกเข้าไปในความทรงจำอันเลือนรางของเธอ มันคือผลไม้สีเทา กลิ่นของโคลนและกรดในกระเพาะอาหารมันผสมปนเปกัน จนสร้างกลิ่นเหม็นที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนกระจายอยู่ภายในปาก
เธอพยายามลืมตาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เธอแตะใบหน้าของตัวเองด้วยมือขวาและรู้ว่าโคลนที่ติดอยู่ตรงมันแห้งจนทำให้ขนตาแข็งไปแล้ว เธอพยายามลูบใบหน้าของตัวเองเพื่อเอาโคลนออกและตกใจว่ามือของตัวเองมันเย็นแค่ไหนเช่นเดียวกับใบหน้า
เมื่อเธอลืมตาได้ เธอก็ปะทะเข้ากับแสงสว่างจ้า ทุกๆการกระทำมันมาพร้อมกับความเจ็บปวด เธอไอออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง และเมื่อเธอเพ่งมอง เธอก็เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังมองลงมาที่เธอ จากนั้นมุมปากของเด็กสาวก็ค่อยๆผ่อนคลาย ปากของเธอเปิดออกเล็กน้อยและพ่นลมหายใจออกมา ทั้งสองคนมองกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมิสมาร์เกอริตก็จำได้ว่าเด็กสาวคนนี้ก็คือแคลนเทลในร่างมนุษย์
มิสมาร์เกอริตพยายามทำให้ร่างกายที่แข็งทื่อฟังคำสั่ง เธอใช้ศอกเพื่อยกร่างกายส่วนบนขึ้นจากจุดที่ตัวเองอยู่ เด็กสาวรีบเข้ามาช่วยเธอจากด้านข้างทันที และด้วยการเอนตัวพิง มิสมาร์เกอริตก็ลุกขึ้นได้ แทนที่จะรู้สึกขอบคุณหรืออยากขอโทษ เธอกลับรู้สึกขยะแขยงที่ร่างกายของเด็กสาวอบอุ่นกว่าของตัวเอง นี่เธอกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงนะ? เธอย้อนความทรงจำของตัวเองกลับไป เธอจำเรื่องความตายหรือสถานการณ์ที่ตัวเองสามารถตายอย่างง่ายๆได้ แต่ในตอนนี้เธอสามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆได้
“อะไร—?” แม้มันจะเป็นเสียงของเธอเอง แต่มันก็ฟังดูแย่ และเธอก็ยังคงไอออกมา
มือที่ลูบหลังของเธอนั้นอบอุ่น ขวดพลาสติกที่เธอรับมามันช่วยได้ มิสมาร์เกอริตล้างปากและถ่มออกไปด้านข้าง เธอยังคงไอออกมาอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายใจเข้าทางปากและถอนหายใจออกมา เธอดื่มน้ำเข้าไปอีก ในคราวนี้เธอกลืนลงไปโดยไม่ได้ล้างปาก เมื่อเธอรู้สึกว่าสามารถส่งเสียงออกมาได้แล้ว เธอก็พยายามพูดอีกครั้ง “เกิด… อะไรขึ้นกับชั้น?”
“ชั้นเจอรอย… ตามมันมาจนถึงที่โคลน… แล้วก็…”
มิสมาร์เกอริตเริ่มทำสีหน้าบูดบึ้งออกมาแต่ก็หักห้ามเอาไว้ การอธิบายนั่นมันดูแย่อย่างน่าตกใจ แต่มันก็แย่หากทำหน้าตาเช่นนั้นกับคนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงปกปิดมันด้วยการไอ ถึงแม้ว่าเธอจะหายใจได้แล้วก็ตาม เด็กสาวที่ลูบหลังของเธออย่างเอ็นดูมันทำให้เธอรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น
เมื่อคิดว่าควรที่จะเริ่มอธิบาย มิสมาร์เกอริตก็บอกเธอไปว่า “ชั้นถูกเมจิคัลเกิร์ลที่ฆ่าไมยะไล่ตาม และในระหว่างทางผลของผลไม้ก็หมด ชั้นจึงจมลงไปในโคลน อีกฝ่ายคือเมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานคู่… เมจิคัลเกิร์ลที่เหมือนกับเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิจากเทพนิยาย เธอถามชั้นว่าทำขวานทองไม่ก็ขวานเงินหล่นรึเปล่า แต่มันดูเหมือนไม่ได้มีความหมายอะไร เธอยังคงพูดมันออกมาแบบซ้ำๆ ชั้นคิดว่าเวทมนตร์ของเธอคือการเปลี่ยนแปลงขวานของตัวเอง เธอทำให้มันระเบิดและเปลี่ยนให้เป็นแม่เหล็กเพื่อดึงเหล็กเข้ามาหาตัวอะไรประมาณนั้น… และบางทีเธออาจจะมีพลังกายสูงมากด้วย”
ท่าทางของเด็กสาวนั้นจริงจังในตอนที่ฟังอยุ่ แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา มิสมาร์เกอริตมองไปที่ใบหน้าของเด็กสาว และเธอก็รู้ว่าทำไมถึงจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคือแคลนเทลในทันที มิสมาร์เกอริตคิดว่าก่อนหน้านี้เธอสวมแว่นอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้มันหายไปแล้ว ใบหน้าของเธอก็เลยดูเปลี่ยนไปด้วย
“เท็ปเซเคเมย์เองก็อยู่กับชั้น แต่บางทีเธอคงอาจถูกฆ่าไปแล้ว” มิสมาร์เกอริตพูดเสริม
ใบหน้าของเด็กสาวหม่นหมอง —หรือไม่ก็บิดไปจากเดิม เธอกัดฟัน และในตอนที่เธอกลั้นหายใจนั้นมันไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกกลัวหรือเศร้า แต่มันคือความโกรธ คำว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” มันลอยขึ้นมาในใจของมิสมาร์เกอริต
“แล้วเธอล่ะ?” มิสมาร์เกอริตถาม
“ชั้นโดนคลาริสซ่าโจมตีมา”
ในคราวนี้ มิสมาร์เกอริตไม่ได้ยั้งใบหน้าที่บูดบึ้งในตอนที่มองไปยังเด็กสาว หลังจากนั้นเด็กสาวก็ไม่ได้พูดอะไรและมองกลับมาที่เธอ เด็กสาวยังคงดูโกรธ มิสมาร์เกอริตคิดว่าการถูกโจมตีโดยคลาริสซ่ามันแย่กว่าถูกคนที่ฆ่าไมยะที่เห็นได้ชัดว่าเป็นศัตรูโจมตีซะอีก แต่เด็กสาวก็ไม่ได้พูดข้อมูลเพิ่มเติมอะไรออกมา บอกแค่ว่าตัวเองถูกโจมตีก่อนที่จะเงียบลง
ดังนั้นมิสมาร์เกอริตจึงเสมือนถูกบังคับให้กระตุ้นเธอ “ทำไมคลาริสซ่าถึงได้ทำแบบนั้นล่ะ?”
“พอย้อนกลับไปแล้ว… คิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะจังหวะไม่ดี”
“จังหวะไม่ดี?”
“ตอนนั้นพวกเรากำลังคุยกันอยู่ และมันมีต้นไม้ลอยเข้ามาหา คลาริสซ่ากระโดดเข้ามาหาชั้น แต่มันกระทันหันเกินไป ชั้นก็เลยยกการ์ดขึ้น และคลาริสซ่าก็ตอบสนองมันด้วยการโจมตี แล้วจากนั้นก็กลายเป็นการต่อสู้…” เธอพยายามอธิบายด้วยท่าทางประหม่าอย่างดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังคงเก้ๆกังๆอยู่ดี
“กำลังคุยกัน? เรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“เธอมีหมวกของรากิอยู่… เธอพยายามซ่อนมันเอาไว้ ชั้นเลยถามว่าทำไม”
โดยทั่วไปแล้วมิสมาร์เกอริตเข้าใจเหตุการณ์โดยรวม : แคลนเทลคุยกับคลาริสซ่าเพราะเธอสงสัยว่าคลาริสซ่าทำอะไรบางอย่างกับรากิ และในตอนที่กำลังคุยกันอยู่นั้นมันก็มีต้นไม้ลอยเข้ามาหา ด้วยการที่คลาริสซ่าหลบ มันจึงทำให้พวกเธออยู่ในระยะที่ใกล้กันมากขึ้น บังคับพวกเธอให้ต้องสู้กัน หากคลาริสซ่าทำร้ายรากิในทางใดทางหนึ่ง เหตุผลมันก็คงจะเป็นเพราะว่าเขาพยายามขโมยผลไม้สีเทาหรืออะไรบางอย่างที่ฟังดูเป็นแบบนั้น
แต่มิสมาร์เกอริตรู้สึกไม่ชอบใจท่าทางของแคลนเทลมากกว่าการอธิบายของเธอ เมื่อชื่อของรากิถูกยกขึ้นมา หางตาของเธอก็ชี้ขึ้น สายตาของเธอมองไปทั่ว มือขวาเองก็สั่นไหว สัญญาณเรื่องความเครียดปรากฏออกมาทั่ว และเธอก็พยายามจะซ่อนมันเอาไว้ มิสมาร์เกอริตคิดว่าแคลนเทลซื่อสัตย์กับรากิมากพอที่จะวิ่งเข้าไปในป่าเพียงคนเดียวเพื่อเขา แต่นี่มันไม่ใช่ปฎิกิริยาของความกังวล
“แล้วก็ เนฟิเรียกำลังขายผลไม้สีเทาอยู่” แคลนเทลพูด
ใครบางคนกำลังหาเงินจากการใช้สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างอันตราย —แม้มันจะรวมชีวิตของตัวเองเข้าไปด้วย มิสมาร์เกอริตไม่ปฎิเสธความเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเนฟิเรียมันเป็นการกระทำของเธอเอง แต่มันก็สมเหตุสมผลที่จะคิดว่าอากิทำให้เนฟิเรียทำตามเธอ
“ชั้นซื้อมาด้วย” แคลนเทลพูดต่อ
มิสมาร์เกอริตเกลียดความคิดที่จะยกเงินให้พวกคนโลภมาก แต่คนเราจะไปถึงเป้าหมายไม่ได้หากไม่มีการเสียสละ และบนเกาะนี้มันก็ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าผลไม้สีเทาแล้ว
จู่ๆมิสมาร์เกอริตก็ติดอยู่กับความคิดนั้น เธอยกฝ่ามือขึ้นมามอง มือของเธอมันเต็มไปด้วยโคลน มันคือมือของมนุษย์ ไม่ใช่มือของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่เหมาะกับโคลน คนที่อยู่ตรงหน้าที่อธิบายอย่างงุ่มง่ามและติดขัดกับเธอเองก็เด็กสาวร่างมนุษย์ ชุดนักเรียนของเธอฉีกขาดและมีรอยแดงติดอยู่ด้วย
“…แล้วผลไม้สีเทาพวกนั้นอยู่ไหนล่ะ?” มิสมาร์เกอริคถามเธอ
“ชั้นใช้ผลไม้ที่ซื้อมาหมดแล้ว”
โคลนแห้งๆบนใบหน้ามิสมาร์เกอริตแตกออกจนเกิดเสียง เธอรู้ถึงท่าทางที่แข็งเกร็งของตัวเองเช่นกัน “ไม่เหลือเลยงั้นเหรอ?”
เด็กสาวเริ่มที่จะอ้าปากออก จากนั้นก็ปิดลงและปล่อยลมหายใจออกมา ริมฝีปากของเธอบิดเล็กน้อย เธอหลับตาลงอีกครั้ง และเมื่อลืมตาขึ้น ท่าทางของเธอก็เหมือนกับอยากจะขอโทษ “ตอนที่ชั้นเอาคุณขึ้นมาจากโคลน คุณก็หยุดหายใจไปแล้ว ดังนั้น”
“อ๊ะ”
การอธิบายของเด็กสาวไม่ได้ดีเช่นเคย แต่จากใบหน้าของเธอแล้ว มิสมาร์เกอริตเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เด็กสาวใช้ผลไม้ทั้งหมดในตอนที่เอาตัวมิสมาร์เกอริตขึ้นมาและช่วยชีวิตเธอ
“หลังจากใช้ท่อสวนเอาโคลนกับน้ำออกมาทั้งหมดแล้ว ชั้นก็ใส่ผลไม้สีเทาเข้าไปในร่างกายของคุณโดยตรง… ถ้าอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลชั้นคิดว่ามันคงง่ายกว่า… เพราะว่ามีพลังกายที่มากกว่าอะไรแบบนั้น คุณอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา จากนั้นการแปลงร่างมันก็คลายลงแทบจะทันที ดังนั้นชั้นเลยใส่เข้าไปเพิ่ม จำนวนผลไม้สีเทาที่มีก็เลยลดลงอย่างรวดเร็ว”
การไม่ถามว่าเอาเครื่องในของสัตว์ชนิดไหนมาทำเป็นท่อเหมือนว่าจะดีกว่า แต่กระนั้น มิสมาร์เกอริตรู้สึกเจ็บหน้าอกและคออย่างรุนแรง —มันยังคงรู้สึกเจ็บ— และในตอนนี้เธอก็รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
หากเป็นตามที่เด็กสาวพูด แบบนั้นเธอก็ใช้ผลไม้สีเทามากเกินไปกับคนที่กำลังจะตายโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้รึเปล่า —นี่มิสมาร์เกอริตควรจะเรียกเธอว่างี่เง่าเพราะใช้ไปจนหมดรึเปล่านะ? หรือว่าเธอควรจะขอบคุณเด็กสาวคนนี้ไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากการช่วยชีวิตดี? ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน เนื่องจากในตอนนี้เธอถูกช่วยมาแล้ว เธอก็ควรที่จะรู้สึกดีใจ มิสมาร์เกอริตวางเข่าเข้าด้วยกันเพื่อที่จะคุกเข่าอย่างเป็นทางการ วางฝ่ามือลงไปที่เข่า ก้มศีรษะลงไปลึกและพูดว่า “ขอบคุณนะ” เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นราวห้าวินาทีให้หลัง เด็กสาวเองก็อยู่ในท่าทางเดียวกันและก้มศีรษะกลับมา
ในตอนที่มิสมาร์เกอริตกำลังจะรู้สึกยินดี ดวงตาของเธอก็มองไปที่ด้านบนศีรษะและผมเปียของเด็กสาวอย่างเย็นชา มิสมาร์เกอริตและแคลนเทลเพิ่งจะพบหน้ากัน แคลนเทลเองก็บอกว่าตัวเองถูกคลาริสซ่าที่มีบทบาทหน้าที่คล้ายกันโจมตีเข้าใส่ การใช้ผลไม้ทั้งหมดที่ตัวเองเพื่อช่วยมิสมาร์เกอริตมันหมายถึงเธอเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของตัวเอง คนเราจะทำมากมายถึงขนาดนั้นเพื่อช่วยใครซักคนเพียงเพราะว่ารู้จักชื่อและหน้าตา ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าใครคือศัตรูใครคือมิตรงั้นเหรอ?
เมื่อลองคิดดูแล้ว แคลนเทลเองก็ไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองในตอนที่เข้าไปในป่าเพื่อรากิเลย แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลเมื่อเธอพูดชื่อของรากิขึ้นมาและตึงเครียดแค่ไหนด้วย ทำไมเธอถึงซ่อนไว้ล่ะ? เธอดูเงียบอย่างแปลกๆอีกด้วย
บางครั้งเมจิคัลเกิร์ลก็จะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยผู้อื่น แต่แคลนเทลไม่ได้เสียสละคนอื่นเพื่อตัวของเธอเองนี่? คำว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” ลอยขึ้นมาในใจของมิสมาร์เกอริตอีกครั้ง ในคราวนี้มันก็ติดหนึบและไม่ได้หายไป เธอถามตัวเองว่าถ้าความรู้สึกด้านลบที่มีอยู่ตั้งแต่แรกได้กลายเป็นความเกลียดชังต่อแคลนเทลแบบที่มองเห็นได้รึเปล่านั้น เธอก็ไม่ได้คำตอบออกมา
ห้าวินาทีให้หลัง เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น เธอพยายามตีความสายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองกลับไปเท่านั้น เทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว มันมีความรุนแรงที่มิสมาร์เกอริตไม่แน่ใจรวมอยู่ด้วย การเรียกมันว่าความระมัดระวังอาจจะถูกต้องกว่า เมื่อเธอรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อแคลนเทลมันย้อนกลับมาหาตัวเอง มิสมาร์เกอริตก็ปัดโคลนตรงหน้าผากออกไปด้วยฝ่ามือ และรู้สึกแย่กับการที่ตัวเองขาดประสบการณ์
MANGA DISCUSSION