ตอนที่ 10:
ทุกอย่างเป็นดั่งโคลนตม [จบภาคต้น]
☆ มิสมาร์เกอริต
มันไม่มีเวลาที่จะมาลังเล เธอไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดคิด เมื่อเท็ปเซเคเมย์หายไปแล้ว แผนการของเธอก็ลดน้อยถอยลงในทันที การหยุดยั้งศัตรูเอาไว้ด้วยการยิงจากระยะไกลแบบต่อเนื่อง วนไปรอบพื้นที่เพื่อโจมตีขนาบข้าง ส่งข้อความไปหาคนอื่นเพื่อบอกถึงเรื่องอันตราย —ตัวเลือกดังกล่าวมันหายวับไป และในตอนนี้มิสมาร์เกอริตก็กำลังวิ่งไปพร้อมหลบการโจมตีโดยที่ไม่ได้มีแผนการอะไรอยู่ในใจ ศัตรูที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรกำลังไล่ตามเธอมา และเทพธิดาก็ไม่ใช่แค่ไล่ตามเพียงอย่างเดียว แม้จะเป็นจากระยะนั้น เทพธิดาก็ยังคงโจมตีออกมาอย่างต่อเนื่อง
เทพธิดาเหวี่ยงขวานในตอนที่กำลังวิ่ง ขวานพวกนั้นมันไม่ได้เป็นภัยหรือบ่งบอกถึงความไม่พอใจ การฟันของเธอมันเฉือนเปิดหน้าหินที่อยู่บนพื้น และหินก็กระจายตัวออกเหมือนกับกระสุนเข้าหามิสมาร์เกอริต หากถูกมันเข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นเมจิคัลเกิร์ลก็จะกระดูกแตกจนเนื้อแหลกเหลวแน่
มิสมาร์เกอริตทิ้งตัวลงบนพื้นเพื่อหลบสะเก็ดหิน แล้วยังคงวิ่งต่อไปโดยไม่ได้ลดความเร็วลง เธอดึงตัวเองขึ้นแทบจะในทันทีจากท่าก้มที่ต่ำมาก สะเก็ดหินนั่นมันพุ่งเข้าหาเธออีกครั้ง —ในคราวนี้มันพุ่งมาด้วยวิถีต่ำ— เธอจึงดึงเอาเรเปียออกมาไว้ในมือ เรเปียนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุด ดังนั้นเธอจึงสามารถเอากลับมาใช้อีกได้ เธอหันกลับในตอนที่วิ่งอยู่แล้วก็เหวี่ยงเรเปียออกไป ใช้มือซ้ายแทงออกไปทุกทิศทางเพื่อเปลี่ยนวืถีของสะเก็ดหิน สะเก็ดหินมันสะท้อนกันเองและพุ่งกลับเข้าไปหาเทพธิดา แต่เทพธิดาก็เมินเฉยสะเก็ดหินที่พุ่งเข้าหา แม้จะโดนเข้าไปที่ไหล่ไม่ก็หน้าผากก็ไม่ได้ทำให้สะดุ้งสะเทือน ไม่ได้ทิ้งบาดแผลเอาไว้บนตัว —ไม่ได้มีแม้แต่รอยเดียวด้วยซ้ำ
แม้จะวิ่งกลับหลังแต่เธอก็ไม่ได้ช้าลง เธอสามารถพูดอย่างภูมิใจได้ว่านี่คือผลลัพธ์จากการฝึกฝน แต่เธอก็เข้าใจทันทีว่ามันอันตรายเกินไปที่จะทำแบบซ้ำๆให้ศัตรูคนนี้เห็น เทพธิดาใช้ขวานทั้งสองขุดก้อนหินขึ้น ทำให้มันลอยขึ้นไปบนอากาศในตอนที่ตัวเองวิ่ง แต่มิสมาร์เกอริตไม่ได้เว้นระยะห่างระหว่างทั้งคู่มากนัก เธอแค่เว้นไว้ราวๆสิบถึงสิบสามเมตร และด้วยการที่เทพธิดาวิ่งต่างจากก่อนหน้าที่เป็นการก้าวแบบแปลกๆ ในตอนนี้เทพธิดากำลังวิ่งด้วยท่าทางเหมือนกับมิสมาร์เกอริต เปลี่ยนถ่ายน้ำหนักตัวไปมาเพื่อไม่ให้มิสมาร์เกอริตอยู่ห่างออกไป มิสมาร์เกอริตสะบัดผ้าคลุมของเธอ ปกปิดไม่ให้ศัตรูมองเห็นการดึงเอาก้านเหล็กยาวสองนิ้วออกมาจากชายผ้าคลุม เธองอก้านเหล็กนั้นด้วยเวทมนตร์ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นตะขอ
เทพธิดาชักมือขวากลับ
มาแล้ว
ขวานของเทพธิดาฟันก้อนหินแตกออกเป็นชิ้นๆจนปลิวไปทั่ว มิสมาร์เกอริตสลับระหว่างการใช้เรเปียโจมตีเข้าหาและหลบเลี่ยง เธอสะท้อนสะเก็ดหินบางส่วนกลับไปหาคู่ต่อสู้ ใช้มันเป็นกำบังในตอนที่เอาปากคาบเรเปียไว้แล้วงอมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ งอปลายก้านเหล็กที่กลายเป็นตะขอเพื่อให้สะบัดแล้วส่งตัวเองลอยขึ้นไป เธอใช้มันเหมือนกับเครื่องยิงหินในยุคก่อน การเคลื่อนไหวเช่นนี้มันเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่มีอาวุธระยะไกล —เดิมทีแล้วมันเป็นทริคที่ดูเท่ที่ไม่สามารถเอาไปใช้งานจริงกับคนที่สามารถโจมตีจากระยะไกลแบบทรงพลังได้ แต่ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวเหมือนกับทริค มันก็มีประโยชน์ เธอปล่อยตะขอเหล็กออกไปที่ด้านหลังสะเก็ดหินก้อนสุดท้ายที่เธอส่งกลับไป และด้วยการยิงที่มีความเร็วมากกว่าสะเก็ดหิน มันจึงทำให้กระแทกเข้าไปแทบจะในทันที ตะขอพุ่งตามหลังสะเก็ดหินไปจนยากที่จะมองเห็นและเล็งตรงไปที่ดวงตาของคู่ต่อสู้
เทพธิดาไม่ได้หลบสะเก็ดหิน เธอปล่อยให้มันโดนตัวของเธอไป ใช้ผิวหนังและกระดูกรับแรงกระแทก สะเก็ดหินบางก้อนแตกออก ก้อนสุดท้ายโดนเข้าไปที่หน้าผาก และเมื่อก้านเหล็กที่สร้างขึ้นเพื่อให้แทงทะลุดวงตาออกมา มันก็ถูกปัดไปด้านข้างด้วยการสะบัดของเส้นผมสีทองในทันที แค่ลมเพียงอย่างเดียวก็พัดตะขอออกไปได้แล้ว
หลบได้งั้นเหรอ
มิสมาร์เกอริตไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นที่คิดคำนวนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่เมื่อคิดถึงการตอบสนองระดับสัตว์ประหลาดของผู้ไล่ตาม มันก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นมันมาก่อน ถึงเธอจะสามารถหลบได้ มันก็ไม่ใช่ว่าการหลบนั้นไม่ได้ไม่มีประโยชน์อะไรกับมิสมาร์เกอริต การที่เทพธิดาต้องเพ่งสมาธิไปที่สิ่งรบกวนมันจึงดีมากกว่าการวิ่งตรงตามหลังมา แบบนี้มันสามารถช่วยให้หนีไกลขึ้นไปอีกได้
ระยะห่างระหว่างทั้งสองห่างกันมากขึ้นเป็นสิบห้าเมตร มิสมาร์เกอริตค่อยๆเปลี่ยนทิศทางไปทางขวา ทางซ้ายนั้นคือมหาสมุทร ในขณะที่ทางขวาคือผืนป่าอันกว้างใหญ่ แผนการต่อสู้ในพื้นที่หินของเธอล้มเหลวไปแล้ว จนในตอนนี้เธอมาถึงทางตัน ศัตรูของเธอคือเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ ผู้ที่ขึ้นมาจากผืนน้ำ ถ้าหากพวกเธอต้องสู้กันในมหาสมุทร มันก็แน่นอนว่าคราวนี้เป็นการสิ้นสุดแน่ การหนีเข้าไปในป่ามันจึงดีกว่า ในตอนนี้เองก็เสียเท็ปเซเคเมย์ไปด้วย สถานการณ์มันย่ำแย่กว่าในตอนที่วิ่งรอบป่าก่อนหน้านี้ แต่มันก็ยังมีความรู้ในเรื่องที่ศัตรูทำและสามารถทำได้อยู่ เธอยังเรียนรู้ว่ามันยากที่จะเตือนคนอื่นด้วยเสียง ดังนั้นการมุ่งเข้าไปในป่าจะเป็นการทิ้งหลักฐานการต่อสู้ของพวกเธอเอาไว้ และมันจะเรียกความสนใจมากยังพวกเธอได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับเธอ ตรรกะนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการแก้ตัวและโกหกตัวเอง แต่สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มิสมาร์เกอริตรู้ว่าต้องมีความคิดบวกอยู่เสมอ มิเช่นนั้นทุกอย่างจะพังทลาย
ขวานของเทพธิดาเปล่งแสงสีแดง ราวกับว่าพยายามจบการต่อสู้นี้ก่อนที่มิสมาร์เกอริตจะวิ่งเข้าไปในป่าที่เป็นหนึ่งในแผนการที่มิสมาร์เกอริตคาดไว้ แต่เธอไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่การคาดการณ์ของตัวเองถูกต้อง
ขวานที่เป็นเชื้อเพลิงผสมเข้ากับอุณหภูมิที่สูงเพื่อสร้างการระเบิดขึ้นมา แรงระเบิดมันทำให้ตัวของเทพธิดาบินตรงเข้ามาหาเธอในรวดเดียว มิสมาร์เกอริตแทงเรเปียในมือซ้ายออกไปที่ก้อนหิน
การหลบการฟันที่ถูกเร่งความเร็วด้วยแรงระเบิดเมื่อตอนเห็นเทพธิดาเหวี่ยงขวานมันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ ระยะการโจมตีของเทพธิดานั้นเหนือกว่าความสามารถของมิสมาร์เกอริตคาดการณ์ได้ การเคลื่อนไหวมันแทบจะบอกอะไรไม่ได้เลย และยิ่งกว่านั้น ตัวของเทพธิดารวดเร็วมาก แต่ถ้ามิสมาร์เกอริตดึงเรเปียกลับมาเพื่อพยายามป้องกัน ทั้งเรเปียและตัวของเธอก็จะถูกบดขยี้ไปทั้งหมดพร้อมกัน หากเธอไม่พยายามหลบหรือป้องกัน มันก็จะไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากการเคลื่อนไหวก่อนที่การโจมตีจะเข้ามาหา
เธอเหยียบลงไปบนเรเปียที่แทงไปยังพื้นดิน เมื่อมันงอ เธอก็กระโดดไปด้านข้าง ขวานของเทพธิดาตัดผ่านความว่างเปล่าและจมลงไปในดิน ทำให้สะเก็ดหินหินลอยอยู่ในอากาศ แรงเฉื่อยผลักตัวของเทพธิดาไปด้านหน้าสิบเมตร ตรงจุดที่ขวานจมลงไปที่พื้นจนทำให้ตัวเองหยุดลง มิสมาร์เกอริตหันออกไปจากเทพธิดาเก้าสิบองศาแล้วก็กระโดด เท้าของเธอก้าวเข้าไปยังชายป่า เมื่อเทพธิดาหันกลับมาหาเธออีกครั้ง เทพธิดาก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ว่างเปล่าเช่นเดิมโดยที่ไม่ได้มีท่าทีตึงเครียด และไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะล้มเหลวในการจับเหยื่อของตัวเองด้วย
มิสมาร์เกอริตตรงเข้าไปในป่า ตลอดเวลาเธอไม่ได้ละสายตาออกจากเทพธิดา
หลังจากที่มิสมาร์เกอริตสร้างระยะห่างระหว่างกันได้ยี่สิบเมตร เทพธิดาก็เข้ามาภายในป่า มิสมาร์เกอริตเตะเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างแล้วก็กระโดดออก จากนั้นต้นไม้ที่เธอเตะเข้าไปก็สั่นอย่างรุนแรง ทำให้หยดน้ำจำนวนมากร่วงลงมาและกระจายออกไปทุกกิ่งก้าน เทพธิดาหยุดตัวลงครู่หนึ่ง และมิสมาร์เกอริตก็ใช้จังหวะนั้นเพื่อสร้างระยะห่างให้มากขึ้น
เทพธิดาไล่ตามมิสมาร์เกอริตที่ยังคงวิ่ง —มิสมาร์เกอริตกระโดดออกจากต้นไม้ก่อนที่เทพธิดาจะฟันมันจนล้มลงมา มันดูเหมือนว่าเทพธิดากำลังคลั่ง แต่มันก็ไม่มีช่องว่างที่เปิดออกให้เห็นเลย มิสมาร์เกอริตก้าวไปด้านข้างต้นไม้ใหญ่ที่พุ่งเข้ามาหา ใช้ผ้าคลุมห่อรอบต้นไม้เอาไว้แล้วกระโดดขึ้นไป เธอกระโดดออกมาจากจุดนั้นลงมาที่พื้น ใต้เท้าของเธอมันรู้สึกนุ่ม อากาศเต็มไปด้วยความชื้น ที่นี่คือพื้นที่ชุ่มน้ำ ยิ่งเธอออกไปไกลมากเท่าไหร่ พื้นดินมันก็ยิ่งชื้นมากขึ้นเท่านั้น
นี่ชั้นใช้มันได้รึเปล่านะ?
วิธีบางอย่างที่เหมือนกับการสาดโคลนเข้าหาใบหน้าของศัตรูเพื่อปิดกั้นการมองเห็นถูกปัดตกไป มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้วิธีนั้นกับศัตรูที่ดูไม่เหมือนว่าพึ่งพาการมองเห็นในการต่อสู้เพียงอย่างเดียว มิสมาร์เกอริตสามารถล้มตัวลงไปในโคลน และเมื่อสัมผัสถึงฝีเท้าของอีกฝ่าย เธอก็สามารถกลับไปสู้แบบประชิดตัวได้ แต่การทำแบบนั้นแม้จะเป็นหนึ่งในสิบก็ไม่มีทางออกมาดี
มิสมาร์เกอริตก้าวขึ้นไปบนรากไม้หนาและกระโดดออกไป เธอไม่ได้สนใจว่าจะลื่นจากโคลนในตอนที่เด้งตัวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้น จากนั้นเมื่อมือของเธอจับกิ่งไม้เอาไว้ คิ้วของเธอก็ย่นเข้าหากัน เธอทิ้งห่างจากเทพธิดามาพอสมควรแล้ว —หรือถ้าจะให้พูดก็คือ เทพธิดาเป็นฝ่ายที่หยุดเคลื่อนไหว เธอวางขวานทั้งสองพิงกับต้นไม้และดูเหมือนว่ากำลังพักอยู่
แม้ว่ามิสมาร์เกอริตจะสับสนกับการกระทำของศัตรู เท้าของเธอก็ไม่ได้หยุด เทพธิดาดึงเอากล่องเล็กๆสีขาวและเอาอะไรบางอย่างที่เล็กและกลมออกมา แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันก็เป็นระยะที่ไกลเกินไป มิสมาร์เกอริตจึงบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เทพธิดาเอาสิ่งกลมๆที่อยู่ในฝ่ามือใส่เข้าไปในปาก จากนั้นภาพของอีกฝ่ายก็ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยต้นไม้และมองไม่เห็นอีก มิสมาร์เกอริตไม่เคยละสายตาจากศัตรูในตอนที่วิ่งอยู่แม้แต่ครั้งเดียว แต่เนื่องจากว่าอีกฝ่ายหยุดวิ่ง เพราะแบบนั้นก็เลยหลุดจากระยะมองเห็นของมิสมาร์เกอริตไป
ดินในพื้นที่แห่งนี้สุดท้ายก็กลายเป็นโคลนซึ่งมันจะทำให้ความเร็วในการวิ่งของเมจิคัลเกิร์ลช้าลง มิสมาร์เกอริตยังคงรักษาความเร็วของตัวเองในตอนที่เคลื่อนไหวไปตามต้นไม้ แม้ว่าเทพธิดาจะอยู่นอกระยะการมองเห็น มิสมาร์เกอริตก็ย้อนภาพนั้นในสมอง เธอเคยเห็นท่าทางเช่นนั้นมาก่อน
เม็ดยา?
มันดูเหมือนกับมนุษย์ที่เอายาบางอย่างออกมาและกลืนลงไป หากอีกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรทำให้หยุดเลยก็ตาม และด้วยท่าทางที่ทำอะไรแบบนั้น การที่มันเป็นเม็ดยาก็ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
ข้อมูลมากมายหลั่งไหลอยู่ภายในหัวของมิสมาร์เกอริต เธอไม่ได้จัดเรียงหรือแยกแยะ เธอดึงเอาสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะใช่จากคลังความรู้มากมายที่สั่งสมมาอย่างยาวนานในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เธอได้ยินคำว่า “เมจิคัลเกิร์ลที่จำเป็นต้องใช้ยา” ที่อธิบายถึงความหมายตามตัวอักษรมาก่อน
มันถูกบอกว่าเป็นข่าวลือ หนึ่งในคนระดับสูงของฝ่ายสืบสวนบอกเธอว่า “ฉันได้ยินว่ามีการวิจัยที่พยายามสร้างเมจิคัลเกิร์ลสายพันธุ์ใหม่” พวกนั้นยังพูดถึงเรื่องที่จำเป็นต้องทานยาเวทมนตร์อย่างสม่ำเสมอแต่ยานั้นก็สร้างขึ้นได้ง่าย แล้วก็จบการพูดด้วยการล้อเล่น “ถ้ามันไปได้ดี แบบนั้นพวกเราตกงานกันหมดแน่” แต่เรื่องราวมันช่างเหมาะเจาะเกินไป
มิสมาร์เกอริตกระโดดออกจากกิ่งไม้และคว้าเอาเถาวัลย์เพื่อที่จะเพิ่มระยะของการกระโดด
สิ่งมีชีวิตนั่นคงเป็นเมจิคัลเกิร์ลแน่ แต่มันก็รู้สึกผิดแปลก นั่น คือเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ?
เมจิคัลเกิร์ลที่ซาตาบอร์นสร้างขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่?
หรือว่าเป็นผู้สังเกตุการณ์ที่ประจำอยู่บนเกาะนี้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้รึเปล่า? ถ้าไม่ใช่แบบนั้น —ใครบางคนพามาที่นี่งั้นเหรอ? มิสมาร์เกอริตวางเท้าลงบนรากไม้แล้วเกร็ง แต่จากนั้นตัวของเธอกลับไถลลงมา เธอกำลังสับสน เธอรักษาสมดุลย์ของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ตัวของเธอหมุนคว้างอยู่ในอากาศและพุ่งตรงเข้าไปหายังหนองน้ำ ทรายและน้ำโคลนเข้าไปในปากของเธอจนไอออกมา เธอเอามือที่เปื้อนไปด้วยโคลนมาสัมผัสใบหน้า นี่ไม่ใช่มือของมิสมาร์เกอริตที่เหมือนกับชิ้นงานศิลปะ มันคือมือของมนุษย์ผู้หญิงที่มีริ้วรอยตามวัย
การแปลงร่างของเธอคลายลง ผลของผลไม้สีเทาหมดลงแล้ว ตัวของเธอกำลังงุนงง มันไม่ควรจะหมดเอาตอนนี้ นี่การวิ่งแบบไม่หยุดมันทำให้สัมผัสเรื่องเวลาของเธอเปลี่ยนไปรึไงนะ? ทั้งตัวของเธอร่วงลงมา เธอรู้สึกหน้ามืดจากอาการบาดเจ็บ แขนของเธอพยายามขยับไปด้านหน้าจากการตอบสนอง แต่มันก็ล้มเหลวที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง หากเธอวิ่งไม่ได้ แบบนั้นเธอก็จะถูกฆ่าได้ง่ายๆแน่
คำพูดอย่าง ชั้นกำลังจะถูกฆ่า ทำให้ตัวของเธอหนักอึ้ง หัวใจของเธอเต้นรัว ร่างกายเจ็บปวด หัวเองก็รู้สึกมึนงง นี่เธอควรจะทำอะไร? เมจิคัลเกิร์ลผู้มีประสบการณ์ที่ไม่สูญเสียความเยือกเย็นไปแม้ความตายจะคืบคลานเข้ามาได้หายไปแล้ว เธอคิดถึงเรื่องของมนุษย์ที่กำลังหวาดกลัวควรจะทำ
ต้องรีบออกไปจากโคลน เธอคิด แต่ขาของเธอมันไม่ขยับ มันติดอยู่กับอะไรบางอย่าง เมื่อเธอเกร็งเพื่อจะดึงมันขึ้น เธอก็จมลึกลงไปมากกว่าเดิม โคลนนั้นลึกจนเธอสัมผัสก้นบ่อไม่ได้ แม้ว่าเธอจะพยายามดันตัวขึ้นด้วยแขน เธอก็จมลงไปมากกว่าเดิมจนขึ้นมาไม่ได้
ก่อนที่เธอจะกังวลว่าเทพธิดาจะไล่ตามเธอมารึเปล่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอก็จะจมลึกลงไปในโคลนแล้วก็ตาย ไถลตัวจนทั้งตัวลงไปในโคลน ในตอนนี้มันไม่มีอะไรอีกแล้ว เธอมองไม่เห็นร่างกายของตัวเองด้วยซ้ำ ภายในอกค่อยๆรู้สึกหายใจไม่ออก เธออยากจะหายใจแต่เงยหน้าขึ้นมาไม่ได้
มีบางอย่างกำลังสั่นไหว เธอรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงผ่านพื้นด้านบน การสั่นสะเทือนมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นก็หายไปในทันใด เธอไม่มีวิธีหรือหลักฐานอะไรที่จะบอกได้ว่านั่นคือเทพธิดาหรือไม่
ความร้อนของร่างกายค่อยๆหายไป เธออยากจะหายใจ เธอกลัว เธอไม่อยากตาย เธอสามารถตายได้สมศักดิ์ศรีกว่านี้ถ้าตายในร่างเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า? แต่เธอไม่รู้ว่าการตายแบบสมศักดิ์ศรีมันจะไปมีประโยชน์อะไร ความตายมันก็คือความตาย มันคือจุดสิ้นสุด มันไม่ใช่ว่าเธอสามารถเห็นคนอื่นที่ออกความเห็นเรื่องเธอด้วยตาของเธอเองแล้วรู้สึกพึงพอใจได้
ถ้าเธอจะตาย เธอก็อยากที่จะตายในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เธอคิดถึงแอนนามารี คนที่ตายในฐานะเมจิคัลเกิร์ล มิสมาร์เกอริตไม่รู้เธอพึงพอใจกับการตายรึเปล่า การตายในฐานะเมจิคัลเกิร์ลเพื่อความพึงพอใจของตัวเองนั้นมันเป็นภาระหนักให้แก่คนอื่น แต่กระนั้นมันก็ยังคงดีกว่าตายในฐานะมนุษย์ที่ได้แต่ตัวสั่นเพราะความกลัวแบบไม่มีทางเลือก
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
เชลซีและเมรี่ไม่ได้กลับมา นั่นไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเวทมนตร์ของเร็นเร็นที่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด มันเป็นไปได้ว่าเมรี่จะพูดเรื่องความรักของตัวเองกับเร็นเร็นออกมาอย่างไม่ระมัดระวัง แล้วเชลซีก็ได้ยินมันเข้าและรู้สึกไม่ชอบใจจนกลายเป็นความโกรธแล้วอาจะทะเลาะกัน หากเป็นแบบนั้น บางทีพวกเธออาจกลับมาไม่ได้ในทันที
แต่ความคิดในการมองโลกในแง่ดีเช่นนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ผืนป่ามันเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการทำลายล้าง ต้นไม้ถูกโค่น ดินถูกขุดขึ้นมา ก้อนหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันกระจายออกไปทั่ว เร็นเร็นไม่รู้ว่ามันกินพื้นที่มากขนาดไหน แต่เธอไม่อยากตรวจดูมันให้หมด หากเธอทำแบบนั้น มันก็หมายถึงการวิ่งเข้าหาอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดการทำลายล้างที่มากขนาดนี้
เร็นเร็นหันไปอีกทางและสยายปีกออก เธอบินต่ำไปที่ระหว่างต้นไม้ ในตอนนี้ การบินสูงเหนือเกาะมันเป็นความคิดที่แย่
นั่นคือเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งที่นาวี่ ลูพามางั้นเหรอ? มันเหมือนกับว่าจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ การทำลายล้างที่อยู่ใกล้กับอาคารหลักเองก็เป็นอะไรแบบนี้ มันดูเหมือนกัน แต่ถ้านี่เป็นฝีมือของคนที่ร่วมทางมากับนาวี่ก็ดูไม่สมเหตุสมผล หากเรื่องที่อากิพูดคือเรื่องที่ถูกต้อง คนร่วมทางของนาวี่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่แสดงออกมามันคือการที่เธอคุ้มคลั่ง มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? ทุกอย่างมันแปลกไปหมด
การที่เชลซีและเมรี่ไม่ได้กลับมาอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น หากพวกเธอไปเจอเข้ากับคนร่วมทางของนาวี่… เมื่อเร็นเร็นคิดเรื่องนี้เธอก็ส่ายหน้า สายลมที่พัดผ่านเข้ามาที่ใบหน้าทำให้เส้นผมด้านหน้าพริ้วไหว มันทำให้เส้นผมส่ายไปมามากกว่าการที่เธอส่ายหน้าซะอีก
เชลซีและเมรี่จะถูกปฎิบัติในฐานะมิตรของอากิ หากคนร่วมทางของนาวี่ทำร้ายมิตรของอากิ แบบนั้นเท่ากับการทำผิดสัญญา นาวี่จะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น หากคนร่วมทางของนาวี่ทำแบบนั้นด้วยความต้องการของตัวเอง แบบนั้นมันก็หมายความว่านาวี่ควบคุมเธอไม่ได้ แล้วการที่เขาใจเย็นอยู่นั้นดูเหมือนไม่ใช่การแสดงด้วย
ดังนั้นมันเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เชลซีและเมรี่กลับมาไม่ได้งั้นเหรอ? แล้วการทำลายนี่มันเรื่องอะไรกัน? อีกฝ่ายสามารถฉีกทำลายป่าทั้งหมดได้ด้วยตัวเองก็จริง แต่เร็นเร็นไม่เข้าใจเหตุผลที่จะทำแบบนั้นเลย และการที่เธอต่อสู้กับคนอื่นมันก็ไม่มีเหตุผลด้วย สำหรับการทะเลาะที่เกิดอย่างกระทันหันแล้ว ที่นี่มันมีเจตนาฆ่าที่รุนแรงมากจนเกินไป
เร็นเร็นหยุดตัว นี่อากิถูกหลอกงั้นเหรอ? มันมีช่องโหว่อยู่ตรงไหนซักที่รึเปล่า? บางอย่างมันไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ระบุมันไม่ได้ว่าคืออะไร
เร็นเร็นอยากให้อากิมีความสุข เธอไม่อยากให้อากิตาย เธอไม่ได้คิดว่าอากิเป็นแค่นายจ้างอีกต่อไปแล้ว เร็นเร็นเป็นห่วงอากิ อากิสำคัญกับเธอมากราวกับเป็นแม่ เธอไม่อยากให้อากิตายเหมือนกับแม่ของเธอ
ปีกของเร็นเร็นที่กระพืออยู่อ่อนแรงลง เธอค่อยๆมาที่พื้นอย่างช้าๆจากด้านบนอากาศ
เร็นเร็นมองขึ้นไปบนฟ้า เธอมองเห็นแสงสว่างที่ส่องผ่านระหว่างกิ่งไม้ เธอได้ยินเสียงร้องของนกตัวเล็กๆ สายลมยามเช้าที่พัดโชยเข้ามา เร็นเร็นใช้มือตบเข้าไปที่แก้ม
ไม่ แม่ไม่ได้ตาย แม่หายไปต่างหาก แม่ทิ้งฉันเอาไว้ แม่ไม่ได้ตาย ทำไมฉันถึงคิดว่าแม่ตายด้วยล่ะ? ฉันไม่ได้เห็นแม่ตายซักหน่อย แน่นอนว่าฉันไม่ได้ฆ่าแม่ของตัวเองด้วย ฉันไม่มีทางฆ่าแม่แน่ๆ เพราะแม่ก็คือแม่ของฉัน ฉันไม่มีทาง…
“ไม่มีทาง!”
นกตัวน้อยบินออกไปเพราะตกใจเสียงตะโกนของเธอ เร็นเร็นหายใจเข้าลึกๆแล้วก็หายใจออก ตบแก้มของตัวเองสองครั้ง เธอกำลังฟุ้งซ่าน แต่เธอต้องบอกอากิเรื่องสถานการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และไม่ใช่แค่พูดว่านาวี่สนิทกับอากิมากยังไง เรื่องอันตรายเกินไป ไม่มีเวลาที่เร็นเร็นมัวจะมาฟุ้งซ่านอีกแล้ว
เร็นเร็นตั้งสติแล้วก็สยายปีกออก
☆ รากิ สเว เน็นโต
รากิกำลังจะหนีจากเกาะแห่งนี้ แต่เขาจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ของเชพเพิร์ดพายเพื่อการนั้น เชพเพิร์ดพายสามารถสร้างประตูขั้นพื้นฐานแล้วออกไปด้วยตัวเองได้ ออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากนั้นก็กลับมาพร้อมการช่วยเหลือจากภายนอก แต่ถึงแม้จะเป็นประตูขั้นพื้นฐานมันก็จำเป็นต้องมีพิธีในการสร้าง ดังนั้นรากิจะรวบรวมผลไม้สีเทามาในฐานะของที่ใช้แทนอัญมณีเวทมนตร์ และก็ยังจำเป็นต้องมีจอมเวทที่ร่วมมือด้วย
เขาพยายามทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเพื่ออธิบายให้กับเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่รู้ แต่ดรีมมี่✰เชลซีและพาสเทล เมรี่ก็ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย
“คุณพาย!” เชลซีร้อง “ทำไมล่ะ?! แบบนี้มันคงต้องผิดพลาดอะไรซักอย่างแน่!”
“ไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจเลย… แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือ… มันคืออะไรนะ? เอ่อ…” เสียงของพาสเทล เมรี่เบาลลง
“ไม่ว่าเรื่องมันจะอันตรายยังไง” รากิพยายามอธิบายกับพวกเธอ “พวกเราจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือ ชั้นพูดอะไรผิดไหม?”
“เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ถูก”
“สิ่งที่เราไม่เข้าใจ… จริงสิ เรื่องอันตรายนั่นเอง เรื่องที่เราไม่เข้าใจคือเรื่องอันตราย เดิมทีมันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วด้วย เราต้องไปช่วยเร็นเร็น ไม่งั้นเธอ—”
“เมเมจะไปไหนน่ะ?! ใครมันสนใจเร็นเร็นกันล่ะ?!”
“พวกเราต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้” รากิพูดด้วยความโกรธ “มันไม่ใช่เวลาจะไปเร่ขายผลไม้สีเทาแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิ แต่มัน—”
“เธอจะไปไหนมาไหนทั้งๆที่เหตุการณ์มันอันตรายไม่ได้!”
“แต่ แต่ แต่ว่า—”
“สุดท้ายแล้วก็คือเร็นเร็นสินะ เมเม นี่เธอรั—”
“ฟังนะ เจ้าพวกโง่! นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะกัน!” รากิกัดฟัน มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้พวกเธอรับฟังเรื่องทั้งหมดอยู่ ทั้งดรีมมี่✰เชลซีและพาสเทล เมรี่ต่างถูกเวทมนตร์ควบคุมจิตใจเอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไปกันคนละทิศละทาง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลที่มีความสดใสมาตั้งแต่แรก กระนั้น เขาสาบานได้ว่ามันก็ไม่ได้แย่เท่าในตอนนี้
ความช็อคเรื่องความตายของเชพเพิร์ดพายเกิดขึ้นเพียงชั่งเวลาสั้นๆ จากนั้นพวกเธอก็เปลี่ยนไปกังวลเรื่องของคนอื่นแล้วก็รู้สึกอิจฉา แม้จะรู้ถึงสาเหตุ รากิก็แก้ไขมันไม่ได้ หากเขาพยายามร่ายเวทมนตร์ใส่เมจิคัลเกิร์ล เขาต้องเสียใจแน่ สิ่งที่เขาสามารถหวังได้มากที่สุดคือการถูกควบคุมเอาไว้ —หากพวกเธอต่อยหรือเตะเขาออกไป นั่นหมายเป็นการเป็นภัยต่อชีวิตเขา เมจิคัลเกิร์ลทั้งสองคนไม่ได้ดูชั่วร้าย แต่พวกเธอก็ถูกล้างสมอง มันไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเธอจะทำอะไรออกมาบ้าง
ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสง เขาไม่ได้ยินเสียงร้องของแมลงหรือมองเห็นดวงจันทร์แล้ว หากเขาอิดออด ช่วงเวลากลางวันก็จะมาถึง ไม่มี มันอาจจะไม่มา ช่วงเวลานั้นจะไม่มาหาเชพเพิร์ดพายอีกแล้ว ความขมขื่นของรากิแสดงออกมาบนใบหน้า แต่กระนั้นเขาก็เรียกหาเด็กสาวทั้งสอง “ใจเย็นก่อน ก่อนอื่น ต้องใจเย็นแล้วก็ฟัง”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ?! เชลซีใจเย็นได้ที่ไหนกัน!”
“อ่า โธ่ เราต้องรีบแล้ว เราต้องกลับไปเดี๋ยวนี้”
“เมเม! ใจเย็นก่อนนะ!”
พวกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของตัวเองมันไม่ปะติดปะต่อกัน ในแง่ของกฎหมาย พวกเธอนั้นอยู่ในสภาวะที่จิตใจที่ไม่ปกติ รากิคิดและกลืนความโกรธต่ออะไรก็ตามที่ทำให้พวกเธอเป็นแบบนี้ลงไป เด็กสาวทั้งสองมีความสามารถในการคิดน้อยกว่าปกติ ทั้งคู่ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องได้อย่างถูกต้อง เมื่อมองจากอีกมุม นี่ก็คือบางสิ่งที่เขาสามารถหยิบเอามาใช้ได้ มันมีวิธีการหลอกลวงที่เขาสามารถใช้ในตอนนี้ได้ และพวกเธอก็จะไม่รู้ว่าเขาพยายามทำอะไร
เขาควรทำอะไรนะ? สิ่งที่เขาควรทำคือการทำให้พวกเธอฟังและทำในสิ่งที่เขาต้องการงั้นเหรอ? ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นี้ เด็กสาวทั้งสองคนก็ยังทะเลาะและตะโกนใส่กันแบบไร้ความหมาย มันแย่จนเขาอยากจะปิดหูของตัวเอง รากิเหวี่ยงไม้เท้าและแทงมันลงไปที่พื้น เขาร่ายคำพูดของคาถาออกมาไม่กี่คำเพื่อทำให้ปลายไม้เท้าส่องแสง จากนั้นก็ชี้ไปที่ร่างของเชพเพิร์ดพาย แสงออกไปจากไม้เท้าเข้าหาบาดแผลร้ายแรงของศพ มันค่อยๆจางหายไปและรวมเข้าด้วยกัน เมจิคัลเกิร์ลสองคนหยุดทะเลาะกันแล้วมองดูพร้อมกับกลืนน้ำลาย เขาทำให้พวกเธอหุบปากและดึงดูดความสนใจได้สำเร็จแล้ว
“ชั้นได้ยินแล้ว!” รากิตะโกน
เมจิคัลเกิร์ลสองคนมองมาที่เขาราวกับจะพูดว่า “ตาแก่นั่นโอเคไหมน่ะ?” ราวกับเป็นการกวนประสาท แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาโกรธ
“เธอเองก็ได้ยินสินะ! ใช่ไหม!?” เขาพูดซ้ำ
“ได้ยิน… ได้ยินอะไรเหรอ?” เชลซีเอียงศีรษะ
“เสียงของเชพเพิร์ดพาย เธอต้องได้ยินแน่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะพูดว่าไม่ได้ยิน”
“เราคิดว่า… บางทีเราอาจจะได้ยินก็ได้?” พาสเทล เมรี่พูด
“หืมม…”
“เธอได้ยินแน่ ต้องได้ยินมันแน่ๆ” รากิพูดย่ำ
“ก็ไม่รู้สิ…”
“ชั้นพูดได้เลยว่าเธอได้ยินแน่! มันไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินด้วย!”
“ในตอนนี้พอพูดแล้วก็… ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ยินอะไรบางอย่าง…” เชลซีเริ่มที่จะยอมแพ้
“หืมมม… ไม่ค่อยแน่ใจ แต่มันเหมือนว่า…”
“เธอเองก็ได้ยินใช่ไหม? เชพเพิร์ดพายกำลังเจ็บปวด” รากิบอกพวกเธอ
“อื้อ คงเป็นแบบนั้น”
“ใช่…”
“พวกเราต้องฝังเขา นี่เธอจะปล่อยเชพเพิร์ดพายไว้แบบนี้งั้นเหรอ? อย่างน้อยที่สุดก็ให้เขาได้หลับอย่างสงบเถอะ”
“เอ่อ โอเค”
“อื้อ ได้สิ”
ในตอนที่เมจิคัลเกิร์ลสองคนเหมือนจะใจร้อน รากิก็ทำให้พวกเธอรับฟังได้ พาสเทล เมรี่สร้างแกะขึ้นมาเพื่อขุดหลุม ในขณะที่เชลซีก็แบกร่างที่ขาดเป็นชิ้นๆของเชพเพิร์ดพายและวางเขาลงไปที่ก้นหลุม เมื่อเชลซีวางร่างของเชพเพิร์ดพาย เธอก็ดูเศร้ามากพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “เขาตัวเย็นจัง” พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาตรงแก้ม การได้เห็นอะไรแบบนี้ทำให้รากิกัดฟันอย่างขมขื่นมากขึ้นกว่าเดิม มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ร่างของเชพเพิร์ดพายถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณราวกับถูกบดด้วยมวลขนาดใหญ่ เลือดไม่ได้มีอยู่แค่ตรงเสื้อผ้าแต่ที่พื้นและต้นหญ้าโดยรอบก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดง มันเปื้อนชุดของเชลซีด้วย รากิกลบความกลัวของตัวเองด้วยความโกรธแล้วก็ขยับไปยังเรื่องถัดไป
ก่อนอื่นเลย เขาก็พูดออกมาในตอนที่พวกเธอกำลังทำงานอยู่ เขารู้สึกเสียใจเรื่องเชพเพิร์ดพาย แต่ตัวงานนั้นมันไม่ได้สำคัญนัก สิ่งที่สำคัญก็คือในตอนที่กำลังทำงานอยู่นั้น พวกเธอก็ถูกบังคับให้ต้องฟังเรื่องที่รากิพูด
“ฟังชั้นนะ ทั้งสองคนมีคนที่อยากจะปกป้องใช่ไหม? ไม่ ไม่ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน คนพวกนั้นน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก เรื่องสำคัญคือทุกคนมีคนที่ตัวเองรัก ในการที่จะปกป้องคนเหล่านั้นได้ พวกเราต้องมีความช่วยเหลือ และในการนั้น พวกเราจำเป็นต้องมีเวทมนตร์ การที่พยายามอย่างที่สุดด้วยตัวเองมันไม่ได้ผลหรอก พวกเราจำเป็นต้องมีผลไม้สีเทาและเวทมนตร์ ใช่แล้ว พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกัน ชั้นจะบอกเธออีกครั้ง ชั้นไม่ใช่คนที่ปกติแล้วจะพูดอะไรซ้ำๆ แต่ฟังไว้ให้ดี บนเกาะแห่งนี้มีผู้บุกรุกที่กำลังทำอะไรที่โง่เง่า พวกเราจำเป็นต้องหาความช่วยเหลือจากภายนอก เธอเข้าใจรึเปล่า? นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาขายผลไม้สีเทาแล้ว เธอเข้าใจใช่ไหม?”
“เอ่อ ก็” พาสเทล เมรี่มองขึ้นไป จากนั้นก็ก้มหน้าลงในทันที “แบบนั้นเราจะไปบอกอากิ เพราะทางนั้นมีผลไม้สีเทาอยู่”
รากิบอกได้ว่าท่าทางขมขื่นของตัวเองหายไปและก็พยักหน้า “ดีมากที่เข้าใจ จริงสิ ชั้นอยากให้เธอบอกว่า : พวกเราจำเป็นต้องรีบด้วย”
“อื้อ ได้สิ เราเองต้องบอกเร็นเร็นเหมือนกัน… เพราะเรากังวล”
มันมีเสียงโคลนกระเพื่อมดังขึ้น รากิมองไปแล้วก็เห็นเชลซีกำลังย่ำเท้าอยู่ “พูดว่าเร็นเร็นอีกแล้วนะ!”
“แต่เรากังวล…”
“เจ้าโง่ กลับไปพูดเรื่องนั้นอีกแล้วเรอะ?!”
“ก็พูดว่าเร็นเร็นนี่! ”
“แต่เรากังวลจริงๆ…”
“อย่ามาเปลี่ยนหัวข้อ! พอได้แล้ว เจ้าพวกโง่!”
“แต่!”
“หมายถึง…”
จากนั้นก็มีเสียงของใบไม้สั่นไหว เมจิคัลเกิร์ลสองคนหันหน้าไปทางต้นเสียง และชั่วพริบตาให้หลัง รากิก็มองไปทางนั้นด้วย พุ่มไม้หนากำลังสั่นจากนั้นก็แหวกออก มีเมจิคัลเกิร์ลโผล่ออกมา รากิหรี่ตาข้างขวา เขาไม่รู้จักคนๆนี้ เธอมีผมยาวสลวยสีทอง สวมเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนโคลนและรอยถูกเผา เธอถือขวานขนาดยักษ์เอาไว้ในมือแต่ละข้างพร้อมกับรอยยิ้มที่เรียบเฉยบนใบหน้า
เมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานเอียงศีรษะและถามว่า “ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ? รึว่า—?”
☆ 7753
เท็ปเซเคเมย์หยุดบินกลางอากาศ เพราะแบบนั้น 7753 และมานาที่ตามเธอมาจึงหยุดตามไปด้วย
“มีอะไรรึเปล่า?” 7753 ถาม
ตัวของเท็ปเซเคเมย์สั่น เธอมีขนาดหนึ่งในหกจากร่างเดิม แต่นอกจากขนาดแล้ว อย่างอื่นของเธอมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เธอจะไม่หยุดหากไม่มีเหตุผล
เท็ปเซเคเมย์ตัวสั่นอีกสองครั้ง จากนั้นก็พึมพำว่า “ร่างแยกของเมย์ตายแล้ว”
จมูกของ 7753 บานออกและมองมาที่มานา มานากัดริมฝีปากและหันกลับไป ริมฝีปากของเธอค่อยๆแยกออกจากกัน จากนั้นก็หันเข้าหาเท็ปเซเคเมย์ “เกิดอะไรขึ้นกับมิสมาร์เกอริต?”
“เมย์รู้แค่เรื่องร่างแยกตาย”
เท็ปเซเคเมย์ต้องรวมกับส่วนที่เป็น “ร่างแยก” อีกครั้งเพื่อให้รู้ว่ามองเห็นหรือได้ยินอะไรบ้าง สัมผัสของเธอไม่ได้เชื่อมต่อกันแบบในทันที
7753 ชำเลืองมองไปที่มานาที่อยู่ด้านข้าง มานาเอาหมวกของตัวเองออกแล้วถือไว้มันด้วยสองมือ
ทั้งสามคนกลายเป็นหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีใครเลยที่แนะนำว่าให้ไปต่อเช่นกัน พวกเธอพยายามหนีห่างจากเทพธิดา พวกเธอไม่ใช่แค่หนีออกมา แต่ต้องพยายามไม่ให้เข้าไปขวางทางเท็ปเซเคเมย์และมิสมาร์เกอริตด้วย 7753 และมานาไม่ใช่นักสู้ ตัวตนของเธอเป็นอุปสรรคสำหรับมิสมาร์เกอริตและเท็ปเซเคเมย์ เป็นการบังคับให้พวกเธอต้องเข้ามาปกป้องและช่วยเหลือ และนั่นจะทำให้พวกเธอไม่สามารถจัดการแม้แต่คู่ต่อสู้ที่สามารถจัดการได้ ดังนั้นพวกเธอจึงหนีออกมาเพื่อทำการสนับสนุนการต่อสู้
ข้อมูลที่ร่างแยกของเท็ปเซเคเมย์ถูกฆ่ามันมากพอที่จะยืนยันได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแค่การหลอกตัวเอง แม้จะเป็นเพียงแค่หนึ่งในสาม มันก็น่าเหลือเชื่อที่ทำลายร่างแยกของเท็ปเซเคเมย์ได้ ตัวของเท็ปเซเคเมย์สร้างมาจากลมและไม่สามารถโดนโจมตีจากเมจิคัลเกิร์ลที่มีแต่การโจมตีทางกายภาพได้
แต่เทพธิดาสามารถจัดการเท็ปเซเคเมย์ได้ แบบนั้นมันก็หมายถึงมิสมาร์เกอริตอยู่ตัวคนเดียว 7753 และมานาไม่รู้เลยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
“เอ่อ แต่…” 7753 เริ่มพูด แต่มานาก็ไม่ได้ขยับ 7753 หายใจเข้าและหายใจออก และใช้กำปั้นทุบลงไปที่เข่า “มิสมาร์เกอริตแข็งแกร่งใช่ไหม?”
มานาเงยหน้าขึ้น ท่าทางที่ดูโกรธมันคือท่าทางปกติของมานาอยู่แล้ว
“เธอแข็งแกร่ง แบบนั้นจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” 7753 พูด
“…แน่นอน เธอเป็นอาจารย์ของฮานะนี่นะ” มานาตบหมวกเพื่อจัดทรง สวมลงไปบนศีรษะแล้วก็ปล่อยลมหายใจออกมา “ถ้ามีแผนอะไรล่ะก็ พูดมาสิ”
“เมย์อยากได้ผลไม้” เท็ปเซเคเมย์พูด
“เอ้า นี่” มานายื่นหนึ่งในผลไม้สีเทาที่เจอในตอนที่กำลังวิ่งหนีไปให้ รอยย่นที่คิ้วของมานาคลายลงเล็กน้อยในตอนที่มองดูเท็ปเซเคเมย์กัดผลไม้สีเทาเข้าไป
7753 เอามือแตะหน้าผาก แล้วก็นึกได้ว่าแว่นกันลมของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอเช็ดจุดนั้นด้วยการใช้หลังมือเพื่อปกปิดท่าที “ฉันคิดว่าพวกเราไม่ควรกลับไป” ไม่ว่ามิสมาร์เกอริตจะทำอะไร พวกเธอกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ “ถ้าการเสียสละของเท็ปเซเคเมย์สามารถจัดการเทพธิดาได้ มันก็จะต่างออกไป”
“พวกเราตัดสินใจจากการมองโลกในแง่ดีไม่ได้หรอก”
“แต่ว่าการไปต่อมันก็ไม่ได้มีจุดหมายอะไรนี่ อีกอย่าง… ใช่ว่าพวกเราจะมีเป้าหมายอื่น ผลไม้สีเทาก็ไม่ได้มีมากเหมือนกัน”
“ชั้นคิดว่าพวกเราควรจะตั้งความหวังให้วิ่งไปเจอกับอะไรบางอย่าง”
“เอ่อ… พวกเราอาจไปเจอกับไอ้นั่นได้นะ แล้ว…”
มานาดึงปีกหมวกลงมาเหนือคิ้วแล้วก็มองไปรอบๆ มันไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้ ดิน แล้วก็ต้นหญ้า เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วมองไปที่เท็ปเซเคเมย์ คนที่ยังคงกินผลไม้สีเทาของตัวเองอยู่ “เท็ปเซเคเมย์ ชั้นมีเรื่องจะขอ”
“เมย์จะฟังคำขอ”
“ช่วยขึ้นไปบนต้นไม้และมองไปรอบๆหน่อย แล้วบอกชั้นว่าทางไหนมันตรงไปยังอาคารหลัก อย่าบินสูงเกินไปด้วยนะ” จากนั้นเท็ปเซเคเมย์ก็ลอยตัวขึ้นไปเหนือกิ่งไม้
7753 นิ่วหน้า “พวกเราจะกลับไปอาคารหลัก? ไม่ใช่ว่ามันอันตรายเหรอ?”
“แค่เพราะเป็นสถานที่ที่โดนโจมตีครั้งแรกมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะยังคงอันตรายอยู่ แล้วอีกอย่าง ที่ไหนๆบนเกาะนี้ในตอนนี้มันก็อันตรายทั้งนั้น พวกเราจะไปที่ไหนมันก็ใช่ว่าจะปลอดภัยด้วย”
“แต่ว่าจะไปตอนนี้ทำไมกันล่ะ…? มีความคิดอะไรอยู่รึเปล่า?”
“พูดตรงๆก็คือ… มันดีกว่าการเดินไปทั่วแบบไม่มีจุดหมาย แต่ว่า…” หลังจากที่พูดเกรื่นนำออกมา มานาก็พ่นลมหายใจออกจากจมูกและกลับมามีท่าทีโกรธตามปกติ “มรดกมันจะถูกแบ่งกันที่อาคารหลัก”
ในตอนนี้พอพูดแบบนั้นแล้ว มันก็คือเหตุผลที่พวกเธอมายังเกาะนี้ตั้งแต่แรก เหตุผลที่พวกเธอมาตั้งแต่แรกมันถูกลืมไปตั้งนานแล้ว
“มันควรจะรวมถึงอุปกรณ์บางอย่างและพลังเวทมนตร์ด้วย เพราะของพวกนั้นคงจะอยู่ในกองมรดก ชั้นคิดว่าไอเท็มที่มีค่าทางศิลปะสูง ของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางวิชาการ ของโบราณหรืออะไรบางอย่างที่สามารถขายต่อได้อย่างง่ายๆ หรือไอเท็มที่หายากเป็นพิเศษ… มันเป็นสิ่งที่ใช้งานจริงไม่ได้ แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันจะมีพลังอะไรที่มีประโยชน์และพาพวกเราออกไปจากเรื่องนี้ได้รึเปล่า”
หากคุณเชพเพิร์ดพายอยู่ที่นี่ บางทีเขาอาจจะมองดูในแคทตาล็อคได้ เธอพูดเสริม จากนั้นหลังจากที่พูดออกมาแล้ว เธอก็กัดริมฝีปากเหมือนกับเสียใจที่พูดออกมา เมื่อพวกเธอถูกเทพธิดาโจมตี ภายในใจของ 7753 มีแต่คำว่าต้องช่วยมานา ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้น ในใจเธอไม่ได้มีความคิดที่จะช่วยมานา แต่โชคดีที่เธอมองเห็นมานาตรงหน้าพอดี ในจุดนี้ ทุกสิ่งที่พวกเธอทำได้คือการภาวนาให้ปลอดภัย —ทั้งเชพเพิร์ดพาย มิสมาร์เกอริต จอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลทุกคน
มานามองมาที่ 7753 คนที่กำลังพยักหน้าเสมือนพยายามว่าอยากเป็นกำลังใจให้เพียงซักเล็กน้อย จากนั้นเท็ปเซเคเมย์ก็ลงมา ไม่ว่าเธอจะฟังอยู่รึเปล่า เธอก็มองมาที่ทั้งสองคนและพยักหน้า และทั้งสามคนก็พยักหน้าให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
☆ คลาริสซ่า ทูธเอจ
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องสว่างผ่านใบไม้ด้านบนเพื่อแต่งแต้มจุดให้กับพื้นด้านล่าง คลาริสซ่าคิดว่ามันสวยจริงๆ อากาศในยามเช้ามันเย็น ความชื้นเองก็ไม่ได้มากเกินไปนัก แต่เธอก็พูดไม่ได้ว่าทุกอย่างมันรู้สึกดี ไอเท็มหลายอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี มันไม่มีเวลาสนุกสนานไปกับยามเช้าอันรื่นรมณ์แล้ว
อารมณ์ที่ไม่ดีมันไม่เข้ากับยามเช้าอันแสนสดใส เธอเข้าหาไอเท็มเหล่านั้นแล้วหยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้น มันเปียก บางทีอาจจะเป็นเพราะหยาดน้ำค้างยามเช้าที่หยดลงมาจากกิ่งไม้ เธอหมุนหมวกปลายแหลมในมือเป็นครึ่งวงกลมเพื่อเอาน้ำออกไปและเจอกับรอยเล็กๆตรงปีกหมวก แน่นอน เธอรู้ว่ารอยที่ซ่อนอยู่นี้มันคืออะไร มันคือรอยกัดของคลาริสซ่าที่เธอกัดรากิเอาไว้ในตอนที่ไม่ได้สติ
เธอก้มตัวลงเพื่อหยิบเศษผ้าเปื้อนโคลนที่มีหญ้าติดอยู่ มันมาจากข้อมือเสื้อของรากิ นี่เองก็มีรอยกัดของคลาริสซ่าอยู่ด้วย
คลาริสซ่ารู้ตำแหน่งของทุกอย่างที่ตัวเองกัด เวทมนตร์นี้มันสะดวกในหลายๆแง่ เธอรู้เพียงแค่ข้อมูลตำแหน่งของวัตถุที่กัด แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมรากิถึงทิ้งหมวกและส่วนหนึ่งของชุดเอาไว้ คลาริสซ่ารีบเข้ามาหารากิเพราะคิดว่าเขาหมดสติ แต่จริงๆแล้วมันมีแค่หมวกกับเศษผ้าที่กองอยู่ตรงนี้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นคลาริสซ่าก็เข้าใจได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยซักนิด
เธอกำลังรับมือกับจอมเวทหัวดื้อผู้มากประสบการณ์ บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องเวทมนตร์ของเธอก็ได้
สำหรับข้ออ้างเรื่องเวทมนตร์หากถูกเจอเข้า เธอก็แค่พูดออกไปว่าใช้เวทมนตร์กับเขาเพื่อความปลอดภัย แต่เธอไม่ได้เข้าใจว่ารากิเป็นพวกที่ดื้อรั้น มันคงไม่มีใครที่จะมีปัญหาหากเขาซ่อนตัวอยู่ตามที่คลาริสซ่าบอก —การที่เขาเคลื่อนไหวไปรอบๆมันสร้างปัญหาให้กับเธอมากยิ่งขึ้น เธอได้แต่สาปแช่งอย่างเงียบๆว่าเขาเป็นตาแก่ที่กระตือรือร้นอย่างไม่มีจุดหมายแล้วก็มองขึ้นไปหาแสงที่ลอดผ่านมาจากต้นไม้โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษแล้วก็หรี่ตา
คลาริสซ่าทำงานตามความต้องการของนาวี่ ลู และยังสามารถปรับเปลี่ยนตามที่ต้องการตามจังหวะในตอนนั้นด้วย เคลื่อนไหวอย่างอิสระอย่างไม่ถูกผูกมัดด้วยความสามารถอันหลากหลาย ท่าจะพูดให้ดูเท่ก็คือหน่วยคอมมานโด ในตอนนี้เธอกำลังทำงานอย่างหลังขดหลังแข็งในการตรวจสอบปัญหาที่ใหญ่ที่สุดจากรายการที่ต้องทำ ความปลอดภัยของรากิคือเรื่องที่มีความสำคัญสูงมาก เธอจะตามรอยรากิไป หาตัวเขาให้เจอโดยที่ไม่ใช่เวทมนตร์ และคุ้มกันเขา ในคราวนี้เธอต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะหนีออกไปไม่ได้อีก นี่เธอควรจะถอดข้อต่อของเขาพร้อมพูดว่า “นี่ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อคุณปู่เลยนะ?” ดีรึเปล่า? แต่เธอก็มีความรู้สึกว่าชายชราก็จะหนีไปได้อยู่ดี แล้วแบบนี้เธอควรจะทำอะไรกันล่ะ?
คลาริสซ่า ทูธเอจทำงานให้กับนาวี่ ลูมาเป็นเวลานานแล้ว บ่อยครั้งเองก็ถูกโยนงานที่อันตรายเข้าใส่ เธอมีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะคิดว่า ต้องมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมไว้ตลอดเพื่อเตรียมพร้อมรับการโจมตีที่จะเข้ามาจากทุกทิศทาง
ในตอนที่เธอได้ยินเสียงกิ่งไม้หักจากภายในป่า เธอก็กระโดดกลับไปด้านหลัง จับหมวกและเศษผ้าเอาไว้ในมือขวา หลังจากนั้นมันก็มีเสียงฝีเท้าดังตามมา มันไม่ใช่เสียงฝีเท้าของมนุษย์ มันเองก็แตกต่างจากเมจิคัลเกิร์ลเหล่านั้นด้วย หูแมวของคลาริสซ่าขยับในการจับการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย สัตว์สี่ขากำลังใกล้เข้ามา มันใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด อีกฝ่ายคงรู้ถึงตัวตนของคลาริสซ่าแล้ว คลาริสซ่าบอกได้ว่าตัวตนนั้นคืออะไร เมื่อเห็นรูปร่างนั้นปรากฏขึ้นจากในป่า เธอก็ยืนยันว่าเรื่องที่หูของเธอได้ยินมันถูกต้อง
แคลนเทลนั่นเอง ร่างกายครึ่งล่างของเธอไม่ใช่ม้าอีกแล้ว ในตอนนี้มันกลายเป็นสัตว์ตระกูลแมวขนาดใหญ่ที่มีลายสีดำพาดบนขนสีทอง การผสมรวมที่เหมือนภาพตัดปะของความสง่างามอันเป็นสิ่งดั้งเดิมของสัตว์เข้ากับตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ตัวตนของเธอดูประหลาดแต่อย่างใด
คลาริสซ่าเลียริมฝีปากด้วยปลายลิ้น แคลนเทลกำลังพยายามเดินอย่างเงียบๆ เธอเคลื่อนไหวเหมือนกับว่าพร้อมที่จะโจมตีใส่ใครบางคน ท่าทางของเธอดูเหมือนจะมืดหม่น ริมฝีปากของเธอกัดเข้าหากัน เมื่อเทียบกับที่เจอกันก่อนหน้านี้บรรยากาศมันดูแตกต่าง นี่เธอไปสู้กับใครบางคนมางั้นเหรอ? คลาริสซ่ามองไม่เห็นบาดแผลบนตัวแคลนเทล เธอสงสัยว่าแคลนเทลจะปลอดภัยหลังจากที่สู้กับฟรานเชสก้าได้รึเปล่า แต่บางทีก็คงแค่ทะเลาะกับลูกน้องของอากิมา
คลาริสซ่าทำท่าทางสบายๆและยกมือขวาขึ้นด้วยท่าทีสนุกสนานพร้อมกับส่งเสียงเรียกออกไปอย่างสดใส “ดูเหมือนว่าเธอจะปลอดภัยนะ แคลนเทล”
แม้คลาริสซ่าจะพยายามลดความระมัดระวังของแคลนเทลลง แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ขยับตัว แคลนเทลจ้องกลับมา ทั้งแก้มและดวงตาต่างก็ไม่ได้ขยับเลย
“อะไรล่ะ? ตอนนี้พวกเราต่างก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลสายพันธ์แมวกันทั้งคู่แล้วนี่? มาช่วยกันดีกว่านะ”
เแคลนเทลไม่ได้ขยับ กิ่งไม้สั่นไหวด้วยแรงลม แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลงมาหาทั้งคู่ แม้ว่าแสงอาทิตย์มันจะกวนใจคลาริสซ่า เธอก็ยังคงแสดงท่าทางออกมาเช่นเดิม —บางส่วนเป็นเพราะเธอต้องการให้แคลนเทลระวังตัวน้อยลงและยังคงเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากประมาทเพียงแค่ชั่วพริบตาจนอาจเกิดช่องว่างให้โจมตีได้
“คลาริสซ่ากับแคลนเทล แม้แต่ชื่อยังฟังแล้วเข้ากันดีเลย เธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ?” คลาริสซ่าพูด
แคลนเทลยกมือขวาขึ้นและชี้มาตรงหน้าด้วยนิ้วชี้ คลาริสซ่าวัดระยะห่างระหว่างพวกเธอแบบอัติโนมัติทันที แปดเมตรสำหรับขาหน้าของแคลนเทลและเจ็ดเมตรสำหรับนิ้วชี้ บางทีมันอาจจะใกล้กว่านั้นอีก
เธอควรจะเข้าไปใกล้ให้มากพอจนสามารถเอามือแตะไหล่ของแคลนเทลและพูดว่า เฮ้ เฮ้ แต่เธออยากจะรักษาระยะห่างเอาไว้เพื่อที่จะสามารถหนีได้หากจำเป็นต้องทำ ในการระวังไม่ให้แคลนเทลรู้ว่าทั้งคู่อยู่ห่างกันมากเกินไปสำหรับการคุย เธอจึงพูดออกไปด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังมากแต่ได้ยินอย่างชัดเจน “แล้ว มีอะไรงั้นเหรอ?”
“นั่น” เสียงของแคลนเทลนั้นต่ำและเบา คลาริสซ่าสามารถได้ยินมันได้อย่างง่ายๆ แต่เหมือนว่าคำพูดนั้นจะไม่ได้เป็นบทนำของการสนทนา “หมวกนั่น”
“อ๋อ เจ้านี่เหรอ? หมวกจอมเวทนี่ฉันเจอมันน่ะ ถ้าถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ มันก็หมายถึง… ก็นะ ฉันคิดว่าคงลืมเอาไว้นั่นแหละ” นั่นคือข้อเท็จจริงที่เธอเพิ่งจะรู้ในตอนนี้ ในส่วนนี้เธอไม่ได้โกหก
แต่ท่าทางของแคลนเทลไม่ได้ดูผ่อนคลายลง —ความจริงแล้วมันรุนแรงมากยิ่งขึ้น “พยายามซ่อนมันสินะ”
“โทษนะ?”
“ไม่ให้ชั้นเห็นด้านข้างหมวก”
คลาริสซ่าไม่ได้หุบยิ้ม แต่ภายในใจของเธอสบถออกม่าว่า ชิบหายแล้ว
เธอหมุนหมวกเพื่อไม่ให้แคลนเทลมองเห็นรอยกัด คลาริสซ่าย้อนภาพนั้นภายในใจ มันไม่ใช่ว่าเธอเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังเพราะเธอประมาทแคลนเทลว่าจะไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆ คลาริสซ่าจึงทำไปแบบระมัดระวัง แต่แคลนเทลก็รู้อยู่ดี
แคลนเทลไม่ใช่แค่ระวังตัวมาก เธอยังตั้งใจสังเกตด้วยสายตาอันแหลมคม พวกเธอรู้จักกันได้เพียงไม่นาน แต่คลาริสซ่าก็บอกได้ว่าในตอนนี้แคลนเทลต่างออกไป ย้อนไปในตอนที่แคลนเทลวิ่งออกไปและพูดว่าจะออกไปค้นหาผลไม้สีเทา ในตอนนั้นเธอไม่ได้ระวังตัวมากเท่ากับตอนนี้ มันมีอะไรบางอย่างมันทำให้ความรอบคอบของเธอตื่นขึ้นมางั้นเหรอ? มันทำให้เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่บนสนามรบด้วยรึเปล่า?
หากบางคนทำอะไรที่งี่เง่า มันก็มีพวกงี่เง่าอยู่มากมายที่จะทำอะไรเช่นนั้น การได้เห็นว่าไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการต่อสู้จากแคลนเทล บางทีอาจจะมีบางคนที่ให้ความคิดนั้นกับแคลนเทล แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้
“เธอคิดว่าฉันพยายามซ่อนมันงั้นเหรอ? ไม่เอาน่า” คลาริสซ่าพูด
จากการที่แคลนเทลแสดงออกมาในตอนนี้ เธออาจจะนึกเรื่องราวบางอย่างจากการที่เห็นแค่รอยกัด หากคลาริสซ่าเปิดเผยเรื่องเวทมนตร์ของตัวเองออกมาอย่างซื่อตรงและอธิบายว่าเธอกัดไปเพื่อที่จะให้รู้ถึงตำแหน่งของรากิ มันจะได้ผลรึเปล่านะ? คลาริสซ่าคิดถึงสิ่งที่เธอควรจะทำต่อไป เมื่อเธอกำลังจะเปิดปาก มันก็มีเสียงของอะไรบางอย่างที่พุ่งผ่านอากาศมาจนทำให้ใบหูของเธอสั่น เธอทิ้งหมวกและเศษผ้าที่อยู่ในมือลงไป พุ่งตัวไปข้างหน้าก่อนที่จะมองกลับไปหลบท่อนซุงที่บินเข้ามาหา ท่อนซุงมันเด้งขึ้นไปสูง ทำให้โคลนกระจายออก กลิ้งเข้าไปในป่า และบดพืชต้นเล็กๆที่อยู่ข้างใต้
มันไม่ได้พุ่งเข้ามาเหมือนกับว่าเล็งเข้ามาที่เธอ มันไม่มีการโจมตีตามมาเช่นกัน ใครบางคนกำลังต่อสู้อยู่ที่ไหนซักแห่ง —จากการที่เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย บางทีอาจจะเป็นฟรานเชสก้า— และบางทีอาจจะแค่เป็นผลกระทบจากต่อสู้ที่มาถึงตัวของคลาริสซ่า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเธอในตอนนี้ เมื่อตอนที่เธอขยับตัวเพื่อหลบท่อนซุง มันก็กลายเป็นว่าเธอเข้าใกล้แคลนเทลมากขึ้น ในตอนนี้ระยะห่างระหว่างเธอกับแคลนเทล คนที่ยืนอยู่โดยหันหลังให้กับป่าคือสองเมตร พวกเธออยู่ใกล้กันมาก แคลนเทลยกขาหน้าขึ้นและจ้องมาที่เธอ ดวงตานั้นคือดวงตาของเมจิคัลเกิร์ลที่เคยฆ่าคนมาก่อน คลาริสซ่าโดนทิ่มแทงด้วยความรู้สึกที่เธอกำลังจะถูกฆ่าตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอปล่อยให้โมเมนตัมพาตัวไปข้างหน้าและยกขาขึ้นเพื่อหมุนตัวเตะ และในระดับความสูงที่เตะออกไปนั้น เธอก็พยายามให้มันปัดการเตะกลับหลังของแคลนเทลไปด้านข้าง แต่แคลนเทลก็หลบเธอได้อย่างง่ายดาย
ในคราวนี้เธออดไม่ได้ที่จะสบถออกมาเสียงดัง “แม่งเอ๊ย” เธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะโจมตี กระดูกสันหลังของเธอมันตอบสนองต่อภาพสะท้อนในดวงตาของแคลนเทล และร่างกายมันก็ขยับเพราะคิดว่าต้องโจมตีเข้าไปก่อน จิตสังหารอันรุนแรงมันบังคับให้คลาริสซ่าต้องเคลื่อนไหว ในตอนนี้แน่นอนว่าแคลนเทลคงไม่ฟังคำแก้ตัวแน่ คลาริสซ่าตบเข้าไปราวกับว่าเธอพยายามทำให่แคลนเทลออกห่าง จากนั้นก่อนที่แคลนเทลจะป้องกันเอาไว้ เธอก็ชักมือและกรงเล็บกลับ กรงเล็บของศัตรูมันทั้งใหญ่และก็ยาวกว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเสือเบงกอลกับแมวเซอร์วัลเข้าปะทะกันโดยที่ไม่มีทริคในการต่อสู้อะไรอยู่เลยล่ะ? แม้แต่เด็กยังรู้ว่าใครจะชนะ
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือเวทมนตร์ของแคลนเทล ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นม้าและกลายเป็นเสือดาวในตอนที่เข้าไปในป่า และในตอนนี้เธอคือเสือ คลาริสซ่าคิดว่าเธอคงจะแปลงร่างโดยปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ บางทีเวทมนตร์ของเธอคือการแปลงร่างกายครึ่งล่างให้กลายเป็นสัตว์
คลาริสซ่าก้าวออกไปเล็กน้อยทางซ้ายและขวา ดึงความสนใจของคู่ต่อสู้เพ่งมาที่เธอ แล้วแสร้งทำเป็นว่าจะพุ่งตัวกระแทก แต่จริงๆแล้วมันคือการกลิ้งตัวไปด้านหน้า เปลี่ยนทิศทางของแรงตรงหน้าแคลนเทลแล้วก็กระโดดไปด้านข้าง
คลาริสซ่าถอดรองเท้าออกด้วยการกระโดด ทิ้งมันไปเพื่อเผยให้เห็นกรงเล็บตรงเท้า กระโดดเข้าไปในป่า พร้อมระวังไม่ให้ไปทำลายต้นไม้ด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ล เธอปีน กระโดด แล้วก็หลบการโจมตีจากด้านหลังด้วยช่องว่างที่บางเท่ากระดาษ ขนบางส่วนของเธอหลุดออกและลอยอยู่ในอากาศ เมื่อคลาริสซ่าหันกลับไปอีกครั้ง ในตอนนี้ร่างกายครึ่งล่างของแคลนเทลกลายเป็นเสือดาว เธอคงคิดว่าต้องทุ่มกำลังทั้งหมดเหมือนกับที่คลาริสซ่ามี —แรงกระโดดของเสือ การตอบสนอง และกรงเล็บที่แหลมคม
มิเช่นนั้น หากพวกเธอต่อสู้กันบนต้นไม้ คลาริสซ่าก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หากแคลนเทลเปลี่ยนร่างเป็นแมวยักษ์ แบบนั้นคลาริสซ่าก็จัดการเธอได้ น้ำหนักของร่างกายและความละเอียดอ่อนที่จำเป็นมันแตกต่างจากตอนที่อยู่บนพื้น หากเธอต้องรับมือกับสิ่งที่มีน้ำหนักตัวน้อยถึงปานกลาง เช่นเสือดาวหรือแมวป่า แทนที่จะเป็นเสือ สิงโต หรือเสือเขี้ยวดาบ แบบนั้นแคลนเทลก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีของเธอได้ด้วยเนื้อ หนัง และกระดูก คลาริสซ่ามีตัวตนเป็นแมว และใช้เวลามากกว่าแคลนเทลที่ไม่ได้แปลงครึ่งล่างเป็นแมวอยู่ตลอด หากแคลนเทลเลือกสัตว์ที่อยู่บนต้นไม้ตัวอื่นอย่างลิงไม่ก็พวกสัตว์ฟันแทะ แบบนั้นก็ไม่เป็นไร คลาริสซ่ามั่นใจว่าแมวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่ออยู่บนต้นไม้
อีกอย่างก็คือคลาริสซ่าได้เปรียบเรื่องเวทมนตร์ มันไม่ใช่ว่าเธอเข้ามาในป่านี้เป็นครั้งแรก มันเป็นครั้งที่สองแล้ว คลาริสซ่าไม่ใช่แค่ไปมารอบๆเกาะเพื่อมองหาผลไม้สีเทา หากเธอทำรอยกัดไว้ที่ต้นไม้ เธอก็จะยึดครองสถานที่เอาไว้ได้ ด้วยการที่เธอเคยเข้ามาภายในป่านี้แล้ว เธอจึงกัดเข้าไปที่ต้นไม้ไว้เรียบร้อย แคลนเทลไม่ได้รู้เรื่องนี้ว่าที่นี่คืออาณาเขตของคลาริสซ่า
คลาริสซ่าหมุนตัวไปรอบกิ่งไม้และดึงมีดออกมาจากแขนเสื้อในมุมที่แคลนเทลมองไม่เห็น มันไม่สำคัญว่าแคลนเทลจะหลุดออกไปจากระยะสายตารึเปล่า เมื่อแคลนเทลเคลื่อนไหวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้น การขยับมันก็จะทำให้ต้นไม้สั่นไหว และเมื่อมันสั่นไหวไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน มันก็จะเปลี่ยนตำแหน่งของต้นไม้ไป และจะแจ้งเตือนให้คลาริสซ่ารู้ถึงตำแหน่งของเธอ แคลนเทลกระโดดออกจากต้นไม้ไปยังอีกต้น จากนั้นก็กระโดดอีกครั้ง หยุดอยู่ที่แนวเฉียงเหนือตัวของคลาริสซ่าไปทางด้านขวา คลาริสซ่ารู้ว่าแคลนเทลเคลื่อนไหวยังไงโดยที่ไม่จำเป็นต้องมองดู
ในจังหวะที่แคลนเทลกระโจนเข้าหา คลาริสซ่าก็หมุนตัวและขว้างมีดออกไป อุ้งเท้าแมวของเธอปัดมีดออกไปด้านข้าง แต่คลาริสซ่าก็คิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว แคลนเทลกระโจนเข้าหาเธออย่างรวดเร็วมาก แต่คลาริสซ่าก็กระโดดเช่นกัน เมจิคัลเกิร์ลสองคนจ้องมองกันและกันอยู่กลางอากาศ พวกอยู่ใกล้กันมากพอที่หายใจรดต้นคออีกฝ่าย คลาริสซ่าบิดตัวไปรอบๆ เธอหลบการเข้าปะทะกันและเข้าไปยังสีข้างของแคลนเทล พลังมันคือเรื่องหนึ่ง แต่คลาริสซ่านั้นรวดเร็วกว่า
ในระยะห่างที่เหลือศูนย์ คลาริสซ่าแทงเข่าเข้าไปหาลำตัวของแมว กระแทกเข้าไประหว่างซี่โครง เธอยกหน้าแข้งขึ้นโดยที่ไม่ได้ตรวจดูว่าตัวเองทำความเสียหายไปแค่ไหนเพื่อเล็งไปยังร่างกายส่วนบนเป็นลำดับถัดไป
แคลนเทลป้องกันหน้าแข้งของคลาริสซ่าเอาไว้ด้วยแขนของส่วนที่เป็นมนุษย์และพยายามใช้แขนสองข้างโอบรอบตัวเธอ คลาริสซ่าหมุนข้อเท้าเพื่อจะฉวยเอามีดที่ถูกปัดออกไปมาไว้ตรงนิ้วเท้า เธอพยายามฟันเข้าไปที่ดวงตาของแคลนเทลด้วยใบมีด แต่มันก็ถูกป้องกันเอาไว้ —ไม่ใช่แขนของเธอแต่เป็นขา
มันเหมือนกับว่าแคลนเทลไม่ได้มีข้อต่อ —การที่แคลนเทลมีร่างกายที่แข็งแกร่งที่สามารถบิดกระดูกสันหลังของตัวเองได้ด้วยความยืดหยุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของแมวเพื่อใช้ขาหลังตบลงมาได้ มันดูน่าสงสัยด้วยซ้ำ มีดที่ถูกกรงเล็บของเธอจับเอาไว้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันร่วงลงมาโดนเข้ากับกิ่งไม้และใบไม้ จากนั้นก็เด้งออก
ก่อนที่คลาริสซ่าจะทันได้รู้สึกตกใจ ส่วนที่ไม่ได้แปลงร่างหรือก็คือร่างกายท่อนบนที่เป็นมนุษย์ได้จับข้อมือของเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แคลนเทลเหวี่ยงตัวของเธอขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงลง ทุบกระดูกสันหลังของคลาริสซ่าเข้ากับต้นไม้ จนทำให้ต้นไม้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และยังจับข้อมือของเธอเอาไว้แน่นตลอดเวลา แค่แรงจับเพียงอย่างเดียวมันก็แรงมากจนคลาริสซ่ารู้สึกเสมือนกับว่ากระดูกของเธอจะแตกออก มันไม่ใช่แค่ร่างกายครึ่งล่างเท่านั้นที่ทรงพลัง คลาริสซ่าสบถออกมาว่า อีเวรนี่เก่งชิบ อย่างเงียบๆ
แคลนเทลเหวี่ยงเธออขึ้นอีกครั้งสูงกว่าก่อนหน้า คลาริสซ่าเหยียดแขนซ้ายออกมา เธอพยายามข่วนเข้าไปที่ข้อมือของแคลนเทลตอนที่เหวี่ยงขึ้นไปยังจุดสูงสุด แต่ในคราวนี้เมื่อเธอเหยียดแขนออกไป มือซ้ายของเธอก็สัมผัสได้แต่ความว่างเปล่าในอากาศ
แม้แผ่นหลังของเธอจะทำให้กิ่งไม้หัก คลาริสซ่าก็ใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่ต้นไม้เพื่อลดความเร็วในตอนที่ตกลงมา จากนั้นก็กระโดดลงมาด้านล่าง เธอพุ่งเข้าหาแคลนเทล กระโดดขึ้นไป และกรงเล็บของทั้งคู่ก็ปะทะเข้าหากัน กรงเล็บของคลาริสซ่าส่งเสียงออกมาในตอนที่เบี่ยงการโจมตีไปด้านข้าง จากนั้นเธอก็กดลงไปที่ข้อต่อของแคลนเทลด้วยศอกเพื่อที่จะเปิดช่องด้านในตรงขาหน้าในการพยายามที่จะเตะเข้าไป แต่ก่อนที่เธอจะเตะเข้าไปได้นั้น แคลนเทลก็เตะสวนกลับมาในมุมที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อคลาริสซ่าหลบ เมจิคัลเกิร์ลทั้งสองคนจึงแยกตัวออกจากกัน
เมื่อลงมาบนกิ้งไม่ใหญ่ ในคราวนี้คลาริสซ่ากระโดดขึ้นด้านบน เธอพยายามจะเตะเข้าไปที่แคลนเทลในขณะที่กำลังเปลี่ยนทิศทาง แต่มันก็มีการเตะสวนเข้ามาขวางอีกครั้ง คลาริสซ่าจับลำต้นของต้นไม้เอาไว้ด้วยกรงเล็บเพื่อเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนไหวเป็นแนวทแยงขวา ตัวของแคลนเทลผ่านลงมาด้วยการกระโดดลงด้านล่าง จากนั้นก็จับกิ่งไม้เอาไว้เพื่อหยุดตัว
คลาริสซ่ามองลงมายังเมจิคัลเกิร์ลที่มีร่างกายครึ่งล่างเป็นเสือดาว อีกฝ่ายเองก็มองขึ้นมายังคลาริสซ่าด้วยสายตาเย็นชาที่น่ากลัว
หวา…
แคลนเทลเคยชินกับการต่อสู้ เธอไม่ได้แสดงร่องรอยของความกลัวออกมาให้เห็น แม้จะเป็นหลังจากที่มีใบมีดพุ่งเข้าไปหาดวงตาของตัวเองก็ตาม ท่ายืนหรือการขยับดวงตาเองก็ไม่มีจุดอ่อน ไม่ใช่แค่ชำนาญร่างกายของแมว ร่างกายส่วนบนของเธอเรียกว่าแข็งแกร่งเล็กน้อยไม่ได้อีกด้วย —เธอนั้นแข็งแกร่งกว่าคลาริสซ่า
นี่คือเมจิคัลเกิร์ลคนเดียวกันกับที่ตื่นตระหนกเมื่อรากิหมดสติและวิ่งออกไปคนเดียวโดยไม่สนเสียงที่บอกให้หยุด คลาริสซ่าคิดจากเรื่องในตอนนั้นว่าแคลนเทลเป็นแค่หน้าใหม่ แต่อย่างไร การประเมินที่ต่ำเกินไปมันก็จะทำให้ใครก็ตามอับอายในจุดนี้ เธอคือนักสู้ที่สามารถสู้ได้อย่างไหลลื่นในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แม้ว่าเธอจะเห็นร่างก่อนการแปลงร่างของคลาริสซ่ามาก่อน มันก็เหมือนว่าเธอไม่ได้ประมาทเพียงเพราะว่าคลาริสซ่าเป็นเด็ก นี่เธอเคยบาดเจ็บเพราะเด็กมาก่อนรึไงนะ?
แต่… ถึงจะมองฉันแบบนั้น มันก็ดูไม่เหมือนว่าเธอวางแผนจะฆ่าฉันอยู่เลย งั้นก็คิดจะจับตัวฉันงั้นเหรอ?
ความจริงที่คู่ต่อสู้ไม่ได้คิดจะฆ่ามันทำให้คลาริสซ่าตัวสั่น การต่อสู้นี้มันง่ายพอสำหรับเธอที่คิดจับตัวโดยไม่ฆ่า แคลนเทลแสดงออกมาเรียบร้อยแล้วว่าเธอแข็งแกร่งกว่า
คลาริสซ่างอกิ่งไม้และปล่อยให้มันดีดออกเพื่อใช้ในกระโดด เธอวิ่งขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ เธอบอกได้จากเสียงและการสัมผัสตัวตนได้ว่าแคลนเทลกำลังตามเธอมา
หลังจากที่คิดออยู่หลายตลบ คลาริสซ่าก็ได้ข้อสรุป : แคลนเทลเก่งเกินไปที่จะสู้แบบตัวต่อตัวได้ คลาริสซ่าไม่ใช่มีแค่ฟันและเขี้ยว ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีไพ่ตายเหลืออยู่ แต่เธอจะไม่ใช้มันกับคนที่เดิมทีแล้วเป็นคนนอกที่บังเอิญเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้
แนวต้นไม้ค่อยๆลดน้อยลง มีแสงสว่างส่องผ่านเข้ามา ผืนป่าสิ้นสุดตรงนี้ แม้จะเป็นในป่าที่ควรจะเป็นบ้านของคลาริสซ่า พวกเธอก็สามารถเล่นไล่จับกันได้อย่างเท่าเทียม ถ้าแคลนเทลเปลี่ยนร่างกายครึ่งล่างให้เหมาะสมกับสถานที่ที่ไปล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งกว้าง พื้นที่หิน เนินเขา หรือมหาสมุทร แบบนั้นคลาริสซ่าก็เทียบกับเธอไม่ได้
ยัยนั่นแม่งแย่ชะมัด
อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนาวี่ที่ทำให้เธอสบถออกมาในเวลาแบบนี้ ถ้าเธอไม่ระวังมันก็จะหลุดออกมาจากปากของเธอด้วย ไม่ว่าเธอจะมีข้อผูกมัดหรือความหวังดีต่อนาวี่มากแค่ไหน เธอก็ไม่อยากเป็นเหมือนกับตาลุงนั่น เธอพยายามหักห้ามตัวเองทุกครั้งเมื่อคำพูดไม่ดีลอยขึ้นมาในใจ แต่ตัวของเธอก็ไม่เคยต้านทานไว้ได้นานนัก
คลาริสซ่าเตะเข้าไปที่ต้นไม้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีและมันก็แตกออกด้วยแรงนั้น —เศษไม้ก็กระจายออกไปด้านหลัง เธอกระโดดด้วยท่าที่นักว่ายน้ำใช้แข่งขัน หมุนตัว ลงมาที่พื้น ยืนขึ้นแล้วก็วิ่งออกไป เสียงฝีเท้ายังคงตามเธอมาจากด้านหลัง มันไม่ใช่เสียงของกีบเท้า ถ้านั่นไม่ใช่ม้า บางทีก็คงเป็นเสือชีตาร์หรืออะไรซักอย่าง ทั้งหมดนี้คือการประลองของแมว เธอควรจะคิดว่าคู่ต่อสู้อยากจบจะการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว
เธอไม่อยากจะใช้แผนนี้เลย —เพราะจริงๆแล้วมันไม่ใช่แผนที่สามารถช่วยเธอได้ แต่คลาริสซ่าคิดทางเลือกอื่นไม่ออก ในเหตุการณ์ฉุกเฉินมันจะมาเรื่องมากอะไรไม่ได้ เธอจัดเรียงข้อมูลเรื่องตำแหน่งที่เวทมนตร์ส่งมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น
คลาริสซ่าหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นก็ตะโกนออกมา “ช่วยด้วย! ราเรโกะ!”
เสียงฝีเท้าด้านหลังช้าลง เมจิคัลเกิร์ลในชุดเสื้อคลุมโผล่ออกมาจากแนวหินยาวที่อยู่ด้านหน้าห้าสิบเมตรพร้อมกับมีไม้เท้าอยู่ในมือ คลาริสซ่าขอบคุณที่เธอเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าที่คิด
คลาริสซ่ารู้ข้อมูลเรื่องตำแหน่งของสิ่งใดๆที่ตัวเองกัด และถ้าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์หรือจอมเวท —หรือเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้มีหูตาว่องไวอย่าง 7753 หรือพาสเทล เมรี่— มันก็ง่ายที่จะทิ้งรอยกัดเอาไว้โดยที่ไม่รู้ตัว นอกเหนือจากข้อยกเว้นเช่นโยลที่มีราโรโกะคอยอยู่ข้างๆ หรืออากิที่มีเร็นเร็นไม่ก็เนฟิเรียที่ตัวติดกันอยู่ตลอด คลาริสซ่าได้แอบกัดเสื้อผ้าของจอมเวททุกคนที่อยู่บนเกาะแห่งนี้
เธอรู้ว่าโทตะอยู่ที่ไหน และถ้าเธอวิ่งไปหาเขา ราเรโกะก็จะอยู่ที่นั่นด้วยแน่นอน คลาริสซ่าสามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้นหากเป็นอากิ แต่โทตะคือคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นเธอจึงโอเคกับมัน เพราะเธอไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถเลือกอะไรได้
“กินผลไม้สีเทาที่ฉันแบ่งให้เลย! เธอได้มีปัญหาแน่หากดันคลายการแปลงร่างในตอนสู้!” คลาริสซ่าตะโกนออกมา มันชี้ไปที่แคลนเทลมากกว่าจะเป็นราเรโกะ หากแคลนเทลเข้าใจว่าคลาริสซ่าและราเรโกะมีความสัมพันธ์ที่มอบผลไม้สีเทาให้กันและกันได้ แบบนั้นทางเลือกของแคลนเทลก็จะแคบลง แม้คลาริสซ่าจะมีข้อสรุปว่าเธอไม่สามารถชนะแคลนเทลแบบตัวต่อตัวได้ แต่เรื่องมันจะต่างออกไปหากเธอมีพวกที่พึ่งพาได้ร่วมสู้ไปกับเธอด้วย แคลนเทลเองก็คงจะรู้ถึงเรื่องนั้นเช่นกัน คลาริสซ่าเชื่อในความแข็งแกร่งของแคลนเทลเพราะแคลนเทลสามารถประเมินความสามารถของคลาริสซ่าได้ในช่วงเวลาแค่สั้นๆ ดังนั้นเธอคิดว่าตัดสินใจถูกแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ตามมาด้านหลังเธอหยุดลง จากนั้นก็วิ่งออกไปในทิศทางอื่น คลาริสซ่าสบถออกมาอย่างเงียบๆว่า ไสหัวไปซะอีเวรเอ๊ย ในตอนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
☆ โทตะ มากาโอกะ
ราเรโกะกลับมาหลังจากที่วิ่งออกไป คลาริสซ่าเองก็อยู่กับเธอด้วย โยลยืนขึ้นแล้วก็ถามว่า “นั่นอะไรน่ะ?”
โทตะพูดตามออกไป “เกิดอะไรขึ้นเหรอฮะ?”
ราเรโกะมองไปที่คลาริสซ่าราวกับว่ารู้สึกทรมาณออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
คลาริสซ่าถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง “ฉันโดนแคลเทลโจมตีใส่”
“แคลนเทล?” โยลพูด “หมายถึงเมจิคัลเกิร์ลที่ครึ่งล่างเป็นสัตว์น่ะเหรอ? ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเพราะแคลนเทลเป็นคนไม่ดีหรือเธอวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้หรอก อืมมม” คลาริสซ่า คนที่พูดบอกพวกเธอว่าตัวเองโดนโจมตีกำลังพูดปกป้องคนที่โจมตีด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างในตอนที่กอดอกและพยักหน้า “สถานการณ์แบบนี้ที่เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ใครๆต่างก็ตึงเครียดกันทั้งนั้น บางคนอาจจะลงเอยด้วยการคิดว่าสามารถใช้ความรุนแรงเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการมา”
มันจริงที่บางครั้งก็มีตัวละครแบบนั้นอยู่ในมังงะ แต่มังงะมันก็คือมังงะ เรื่องแบบนี้มีอยู่ในเรื่องราวที่แต่งขึ้นบ่อยครั้งเพราะมันเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตจริงงั้นเหรอ? โทตะพยายามนึกเรื่องของแคลนเทล เขาจำได้ว่าเธอดูเหมือนจะวิ่งออกไปก่อนที่อาคารหลักจะถูกโจมตี นั่นเป็นเรื่องที่ดูเท่ แต่เขาก็คิดว่าเมื่อคนบางคนบอกว่ามีคนที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือ แล้วคนที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือตามที่ว่าจะเข้าโจมตีคนอื่นในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ด้วยเหรอ?
“แต่นั่น… มันน่ากลัวสุดๆเลย… ไม่ใช่เหรอ?” โยลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวล
“หมายถึง เอ่อ” คลาริสซ่าพูด “ฉันแน่ใจว่านอกจากคนที่น่ากลัวที่โจมตีพวกเราแล้ว มันก็มีคนอื่นที่น่ากลัวอยู่ข้างนอกด้วย ในตอนที่ผลไม้สีเทาเริ่มจะหมดเองก็เหมือนกัน”
“อ๊ะ ใช่ จริงสิ ผมลืมเรื่องผลไม้สีเทาไปแล้วด้วย” โทตะพูด มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะลืมเลย โทตะบอกคลาริสซ่าไปว่าทำไมถึงไม่มีผลไม้สีเทาเหลือแล้วและจังหวะที่พวกเธอต้องใช้ก็เร็วขึ้นด้วย —และเรื่องที่เนฟิเรียกำลังขายให้พวกเธออยู่
เมื่อคลาริสซ่าได้ยินแบบนั้น เธอก็เอามือแตะไปที่หน้าผาก “ไม่ว่าจะไปที่ไหน มันก็มีพวกที่จะสร้างปัญหาอยู่สินะ”
“คือ… ฉันคิดว่าพวกเราพูดเอาไว้ว่าต้องร่วมมือกันซะอีก” โยลพูด
“อือ แบบนี้มันลำบากสุดๆเลย” คลาริสซ่าพยักหน้า “ตอนนี้ฉันจะทิ้งผลไม้ที่สามารถแบ่งให้พวกเธอได้ไว้ที่นี่แล้วกัน โทษทีนะ แต่ฉันให้ผลไม้ทั้งหมดที่มีไม่ได้ เพราะแบบนั้นมันหมายถึงฉันต้องทิ้งส่วนที่ต้องเก็บให้ตัวเองไปด้วย ใช้นี่ป้องกันตัวเองแล้วกันนะ”
เธอวางผลไม้สีเทาห้าลูกลงบนมือของโยล เปลือกของทั้งห้าลูกมันเหี่ยวแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงเวลามันผ่านมาพอสมควรตั้งแต่ถูกเก็บมา มันไม่ได้มากมายอะไร แต่พวกเธอก็บ่นอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้พวกเธอกำลังเริ่มจะแย่ แม้จะเป็นเพียงแค่ลูกเดียว มันก็ดีกว่าการค่อยๆกัดทีละนิดจากผลไม้หนึ่งลูกที่โทตะได้มาจากเนฟิเรีย
เมื่อโยล โทตะ และราเระโกะพูดขอบคุณกลับไป คลาริสซ่าก็โบกมือขวากลับมาอย่างอายๆ หูแมวของเธอเองก็ส่ายไปตามมือด้วย “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฟังนะ รู้ไหมว่าในเวลาแบบนี้พวกเราต้องช่วยเหลือกัน ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง” คลาริสซ่าพูดอะไรอย่าง “อ่าาา” แล้วก็ “ไม่เอาน่า” ออกมาแล้วก็เดินไปยังทางออก ก่อนที่จะออกไปอีกหนึ่งก้าว เธอก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “ก็นะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาทีหลัง ตาลุงนาวี่เองก็คงอยู่รอบๆด้วยเหมือนกัน หนึ่งในพวกเราเองก็อาจจะแสดงตัวออกมาด้วย ฉันสัญญาว่าคราวหน้าจะไม่พาปัญหามาอีก เกาะกลุ่มกันเอาไว้ล่ะ? ข้างนอกมันอันตราย พวกเธอออกไปไม่ได้หรอก”
โยลเอียงศีรษะ การที่ผมม้วนของเธอส่ายไปมามันเกือบจะทำให้หมวกของเธอร่วงลงมา โทตะประคองด้านข้างหมวกเอาไว้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“คลาริสซ่าไม่ได้จะอยู่ที่นี่เหรอ?” โยลถาม
“ไม่ล่ะ ฉันจะออกไป”
“ไม่ได้นะ มันอันตราย”
โยลยื่นมือออกไป แต่คลาริสซ่าก็ออกไปก่อนที่โยลจะสัมผัสตัวเธอได้ คลาริสซ่าวิ่งเข้าหาแสงอาทิตย์ยามเช้า และเพียงไม่นานก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธออีก โยลชักมือกลับอย่างอายๆ จากนั้นก็มองมาที่โทตะแล้วพูดว่า “ให้ตายสิ มีแต่ปัญหาจัง” “แต่จริงๆแล้ว… มันอันตรายไม่ใช่เหรอ?”
“ฮะ ผมเองก็คิดว่ามันอันตราย” โทตะเห็นด้วย
“ค่ะ คุณหนูพูดถูกแล้ว”
“พวกเราเองก็เพิ่งถูกโจมตีนี่นา?” โยลพูด
“ใช่ฮะ”
“ใช่แล้วค่ะ คุณหนู”
หลังจากนั้นโยลก็ยังคงพูดซ้ำ “สงสัยจังว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า” แม้ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าไม่สามารถห้ามคลาริสซ่าได้ สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมแพ้และพูดว่า “หลังว่าเธอจะไม่เป็นอะไรนะ…” แล้วก็นั่งลงไปยังจุดเดิมด้วยท่าทางที่เป็นกังวล ราเรโกะพูดว่า “ค่ะ ค่ะ” ในการเห็นด้วยกับเรื่องที่โยลพูดพร้อมกับนั่งลงไปที่จุดเดิมของตัวเอง
มีเพียงโทตะเท่านั้นที่ไม่ได้นั่งลง เขายังคงยืนอยู่ที่ทางเข้า เขาหันมาหาราเรโกะและโยลแล้วก็พูดว่า “นี่”
“อะไรเหรอ?” โยลตอบ
“ผมยังคิดว่า…”
“หืม?”
“ตัวเองควรจะออกไป”
“ไม่ใช่พวกเราเพิ่งพูดว่ามันอันตรายเหรอ?”
“ใช่แล้วค่ะ” ราเรโกะพูด “ในตอนนี้พวกเราควรจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
เมื่อทั้งสองคนคัดค้าน โทตะก็ปิดปากเงียบครู่หนึ่ง มันไม่ใช่ว่าเขาเลิกคิดที่จะออกไปข้างนอก เขารู้สึกว่ามันมีอะไรที่แปลกๆเกิดขึ้น และเขาสงสัยว่าควรที่จะพูดถึงมันรึเปล่า
ทั้งสองคนเหมือนจะคิดว่าการที่โทตะเงียบนั้นหมายถึงเขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะออกไปข้างนอก พวกเธอเริ่มคุยกันว่าควรจะทำอะไรเมื่อเนฟิเรียมา เขาคิดว่านั่นเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ควรจะคิด แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย และคิดเรื่องของตัวเองแทน
มันมีบางอย่างที่เขารู้สึกแปลก และมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเดียว
เปลือกของผลไม้ที่เธอได้มาจากคลาริสซ่ามันเหี่ยวแล้ว นั่นหมายความว่าเวลามันผ่านไปพอสมควรตั้งแต่ที่เก็บมา โดยปกติแล้วไม่ใช่ว่ามันต้องกินลูกที่เก็บมานานก่อนหรอกเหรอ? คงไม่เก็บลูกที่เก็บมานานเอาไว้โดยไม่รู้ว่าอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น แต่คลาริสซ่ายังคงเก็บผลไม้ที่เด็ดมานานแล้วเอาไว้ นี่เธอไปเด็ดมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? ถ้าเป็นในตอนก่อนที่ทุกคนจะแยกตัว แบบนั้นมันก็แปลก —เพราะผลไม้ที่เก็บมาในตอนนั้นถูกเก็บรวมเอาไว้ในที่เดียวกันจากนั้นก็ถูกขโมยไป คนอื่นบอกว่าพาสเทล เมรี่เป็นคนที่ขโมย ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่คลาริสซ่าจะมีผลไม้พวกนั้นได้ แต่ผลไม้ที่คลาริสซ่าให้พวกเธอมามันกลับเหี่ยว
เรื่องอย่างอื่นเองก็แปลกเช่นเดียวกัน คลาริสซ่าบอกพวกเธอว่าให้รออยู่ที่นี่ แต่แคลนเทลก็ต้องไล่ตามเธอมาจนเกือบจะถึงที่นี่ด้วย —แบบนี้มันไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าราเรโกะอยู่แถวนี้หรอกเหรอ? หากคนที่โจมตีใส่คนอื่นรู้ว่าพวกเธออยู่ที่ไหนล่ะก็ อย่างน้อยพวกเธอก็ควรต้องเคลื่อนย้ายไปยังจุดใหม่
หากเป็นแบบนั้น โทตะก็ควรจะพูดออกมาได้อย่างปกติ แต่สิ่งสุดท้ายที่มันแปลกทำให้เขาพูดออกมาไม่ได้
ในตอนที่ราเรโกะได้ยินเสียงที่คลาริสซ่าเรียก เธอรีบออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าเธอจะต่อต้านการออกไปด้านนอก แต่ในคราวนี้เธอก็ไม่ได้ลังเลเลย เธอทอดทิ้งคุณหนู คนที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แล้วรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นตัว โยลเป็นคนประเภทที่จะพูดว่า “ถ้ามีคนที่มีปัญหา แบบนั้นพวกเราก็ต้องช่วย” ดังนั้นเธอจะไม่บอกราเรโกะว่าให้ทำแบบนั้น แต่สำหรับโทตะคนที่มองดูจากภายนอก มันมีความรู้สึกแปลกมาก
ราเรโกะยืนยันมาโดย ตลอด ว่าไม่ควรออกไปข้างนอก โทตะคิดว่ามันเป็นเพราะอยากจะปกป้องคุณหนูและบางทีก็อาจจะขี้ขลาดด้วย แต่เมื่อราเรโกะได้ยินเสียงของคลาริสซ่า เธอก็จับอาวุธและออกไปทันที —พร้อมกับการทอดทิ้งคุณหนู
โทตะเกลียดตัวเองที่สงสัยราเรโกะ เขาแค่ฟังที่พวกเธอคุยกันว่าต้องช่วยเหลือกันและกัน และเขาก็คิดเรื่องแบบนี้ออกมา แต่ยิ่งเขาคิดมันมากเท่าไหร่ ความคิดสกปรกก็ติดอยู่ภายในหัวของเขาและก็ไม่ออกไปมากเท่านั้น
เขาเชื่อใจราเรโกะที่เป็นผู้ใหญ่และเมจิคัลเกิร์ลเพียงคนเดียวที่เขาควรจะพึ่งพาไม่ได้ เขาไม่สามารถคุยกับโยลโดยที่ไม่มีราเรโกะอยู่ที่นี่ด้วยไม่ได้ การพูดว่า “ที่นี่มันอันตราย ออกไปด้านนอกกันเถอะ” ไม่ได้ช่วยโน้มน้าวราเรโกะ แต่ในตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเขาพยายามโน้มน้าวใจด้วยเหตุผลที่สมควร เธอจะรับฟังรึเปล่า
ถ้าเป็นมิสมาร์เกอริตจะทำยังไงนะ? เขาสงสัยแต่ก็ไม่ได้คำตอบออกมา มันเหมือนกับว่าเขาควรจะคิดในเรื่องที่โทตะสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่มิสมาร์เกอริตจะทำ
☆ ราเรโกะ
ไมยะถูกฆ่าตาย ในตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว ราเรโกะยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดทั้งวัน เธอแน่ใจว่ายังคงคิดถึงมันและยังคงคิดในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน การที่ไมยะตายสำหรับเธอแล้วมันคือหายนะระดับโลกสั่นสะเทือน
คลาริสซ่าและนาวี่ ลู ทั้งคู่ต่างทำงานในเชิงรุก พวกนั้นแค่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือว่าคาดคิดสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้แล้วนะ? ถ้าเป็นนาวี่ ลูแล้ว แบบไหนมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เรื่องที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับชายคนนั้นคือการที่ไม่น่าแปลกใจเลยหากเขาจะทำอะไรขึ้นมา
แม้จะเป็นราเรโกะ เขาก็คือคนที่น่ากลัว หากไมยะอยู่ที่นี่ เธอก็จะเป็นคนที่น่ากลัวมากกว่า แต่การที่ไมยะไม่อยู่แล้วมันเปลี่ยนเรื่องนี้ไป ในตอนนี้นาวี่ ลู น่ากลัวยิ่งกว่าโยล คนที่อยู่กับเธอ
โยลเป็นคนที่ไร้เดียงสา เธอเป็นคนที่มีสิทธิพิเศษ เพราะเหตุนั้นมันจึงทำให้เธอไม่รู้ถึงธาตุแท้ของคนที่น่ากลัว เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันไม่มีวันที่นาวี่จะเป็นคุณลุงผู้ใจดีไปได้
โยลคือเจ้านายที่ราเรโกะควรจะรับใช้ในตอนนี้ ราเรโกะรู้จักเธอมาตั้งแต่ยังเป็นทารก เพราะแบบนั้นโยลจึงค่อนข้างผูกพันกับเธอ เธอคิดว่าโยลนั้นน่ารัก เมื่อโยลให้เสื้อคลุมเธอเป็นของขวัญวันเกิด ราเรโกะถึงกับใจสั่นและร้องไห้ออกมา จากนั้นเมื่อเธอรู้ว่ามันมีราคามากขนาดไหน เธอก็คิดว่าจะขายมันให้โรงรับจำนำได้ยังไง
แต่กระนั้น ราเรโกะก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องโยลมากกว่าตัวเอง
โยลนั้นควรค่าแก่การปกป้องเพราะมีความเชื่อมโยงกับจุดยืนในสังคมของราเรโกะและเพราะว่านาวี่ ลูต้องการตัวของเธออย่างชัดเจน แน่นอนว่าเขาหวังพึ่งพลังของเธอบนเกาะแห่งนี้ด้วย ในอนาคตเขาเองก็คงต้องการเธออีก เพราะแบบนั้นเองไมยะถึงดูถูกนาวี่ ลูราวกับสวะ ไม่ยอมปล่อยให้เขาใกล้ชิดกับคุณหนู แผนของไมยะเองก็เป็นแผนของราเรโกะเช่นกัน แต่ไมยะก็ไม่อยู่แล้ว เธอถูกฆ่าตาย
ดังนั้นแผนที่ราเรโกะควรทำตามมันคืออะไรล่ะ? โยลหรือครอบครัว? คำตอบนั้นไม่ใช่ทั้งคู่ ราเรโกะควรตามแค่ราเรโกะเท่านั้น เธอต้องทำตามแนวความคิดนี้
เรื่องอื่นที่ไมยะพูดเอาไว้และราเรโกะรู้สึกชอบก็คือ “ปรับตัวอยู่เสมอ” ไมยะใช้คำพูดพวกนั้นในการมอบคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลให้ราเรโกะ และเมื่อเธอทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง ไมยะก็จะตะโกนใส่เธอแล้วก็ทุบตัวของเธอลงกับพื้น แม้ว่ามันจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผล ราเรโกะก็คิดว่าไม่เป็นอะไร
โยลคงพูดเพียงแค่ทุกอย่างมันคือบทเรียนที่ไมยะมอบให้เธอ สิ่งที่ราเรโกะชอบมากที่สุดก็คือสิ่งเดียวกับที่สะดวกกับเธอที่สุด —มันคือการสร้างตัวเลือกที่เหมาะสมให้กับเข้ากับแต่ละสถานการณ์
ราเรโกะมองไปที่โยลโดยไม่ปล่ออยให้ท่าทางเป็นกังวลเปลี่ยนไป
โยลนั้นอ่อนแอมากพอที่จะล้มลงไปจากแรงผลัก มันทำให้เกิดสัญชาตญาณในการปกป้องขึ้นมา แต่อย่างไร สัญชาตญาณนั้นมันก็มากพอสำหรับราเรโกะจะปกป้องหากเธอมีอะไรให้เสีย และในตอนนี้เธอไม่มีอะไรอีกแล้ว มือของเธอมันเต็มไปด้วยการปกป้องตัวเอง ในขณะที่เธอให้ความสำคัญของตัวเองเหนือทุกอย่าง เธอต้องแสดงท่าทีออกมาราวกับว่าจะปกป้องโยลด้วย
โทตะคนที่คุยกับโยลชำเลืองมองมาหาราเรโกะ จากนั้นก็หันออกไปทันที เธอไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพื่อโยล เธอก็คงทิ้งเขาไปนานแล้ว มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเธอที่ต้องปกป้องเขามาตั้งแต่แรก มันคือความผิดของมิสมาร์เกอริตที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะเดิมทีเธอนั้นเป็นคนคุ้มกันของเขา
แม้จะจริงที่เธอไม่ได้สนว่าเขาจะอยู่หรือตาย มันก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ไร้ค่าไปซะทั้งหมดในฐานะคนที่ใช้งานได้
มันไม่ได้แย่ที่เขาเอาผลไม้สีเทามาหนึ่งผลมาแทนที่จะเป็นสัญญา ตอนที่ราเรโกะอายุพอๆกับเขาก็ไม่ได้มีเซนส์ที่ดีอะไรนัก แค่ไปบอกกับคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบมันก็มากที่สุดเท่าที่เธอทำได้แล้ว
ไมยะนั้นโกรธเธออยู่บ่อยครั้งเพราะเธอจะตื่นตระหนกเมื่อถูกกดดัน แต่ในตอนนี้เมื่อเธอคิดถึงมัน ใช่ แน่นอนว่ามันคงไม่มีใครชอบคนที่อยู่รอบๆและเอาแต่ตื่นตระหนกตอนโดนกดดันสินะ? โทตะไม่ได้เป็นภาระเพราะมันมีวิธีใช้เข้าให้เป็นประโยชน์มากกว่าหนึ่ง
หากเธอต้องทิ้งเด็กคนนี้ไปที่ไหนซักที่ มันก็คงเสียเปล่าสำหรับเขาที่ตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย หากเขาอยากจะตาย เขาก็คงอยากตายแบบที่มันมีความหมาย
แต่แน่นอน ราเรโกะจะไม่ใช่คนที่โยนเขาเข้าไปหาหมาป่าด้วยตัวเอง ถ้าเธอพยายามทำแบบนั้นโยลคงจะหยุดเธอเอาไว้ และจากนั้นเธอจะคิดว่าราเรโกะเป็นคนสกปรกที่พยายามสังเวยชีวิตของเด็ก ดังนั้นในตอนนี้เธอจะยังคงปกป้องโทตะโดยที่ไม่ได้มีความตั้งใจ แม้ว่ามันจะไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นทางการก็ตาม
เรื่องนั้นมันนำกลับมาสู่คำถามที่ว่าเธอควรจะทำอะไร ไมยะอาจจะนึกความคิดดีๆออกมาได้และพูดออกมาอย่างหยิ่งผยองพร้อมมีท่าทีน่ารังเกียจแสดงอยู่บนใบหน้า เธอจะทำมันสำเร็จอย่างอวดดี แต่ไมยะก็ถูกฆ่าไปแล้ว ราเรโกะจึงกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง เธอแน่ใจว่าคงจะคิดเรื่องความตายของไมยะซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อที่จะทำความเข้าใจ จากนั้นราเรโกะปรับแว่นของเธอด้วยนิ้วชี้
——— Magical Girl Raising Project Arc 7.5 : breakdown [จบภาคต้น] ——–
MANGA DISCUSSION