ตอนที่ 8:
เทพธิดา
☆ ดรีมมี่✰เชลซี
ดรีมมี่✰เชลซียืนอยู่บนดวงดาวของเธอด้วยปลายเท้าในตอนที่บินออกไปด้วยความเร็วสูง ตั้งแต่ที่เธอเล่นกับดวงดาวทุกๆวันมาตั้งแต่เด็ก ตัวของเธอก็ไม่เคยเสียสมดุลเลย ไม่ใช่เพียงแค่ตอนที่ถ่ายน้ำหนักหรือเปลี่ยนท่าทาง แต่ยังเป็นในตอนที่ทำท่ากายกรรมที่ดูน่าอายด้วย เธองอเข่าและเอนตัวไปด้านหน้าราวกับว่ากำลังเล่นสกีพร้อมกับเตะดวงดาวเพื่อเร่งความเร็ว เธอเร่งความเร็วผ่านป่าจนไม่ใช่แค่ภาพที่เห็นเบลอ แต่ยังทำให้ต้นหญ้าล้มและกิ่งไม้หักไปด้วย ภาพเดียวที่เชลซีมองเห็นคือใบหน้าของพาสเทล เมรี่ที่กำลังยิ้มอยู่ภายในใจ
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องของพาสเทล เมรี่ เธอก็รู้สึกดีใจ ไม่ว่าเธอจะรู้สึกเครียดมากแค่ไหน ตราบใดที่พาสเทล เมรี่อยู่ที่นี่ มันก็จะถูกพัดหายไปจนหมด ใครบางคนจะปลอบโยนเธอด้วยการแค่คิดว่าเธอมีตัวตนอยู่ในชีวิตจริง เชลซีถูกประทานพรจากบทเพลงแห่งการสรรเสริญที่ทำให้รู้ว่าความรักมันยอดเยี่ยมแค่ไหน —การตกหลุมรักคนอื่นมันดีเช่นไร เธอได้พบกับเรื่องนี้จริงๆ เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดอายุสามสิบสี่ปีของเธอ
ในตอนประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย หัวใจของเชลซีไม่เคยหลงรักใครมาก่อน ในตอนที่จิเอะอยู่อนุบาล เพื่อนสมัยเด็กของเธอพูดอย่างกระตือรือร้นว่าจะแต่งงานกับเธอแน่นอน ตอนที่เขาอยู่ประถมคงลืมคำพูดนั้นไปหมดแล้วเพราะไปเดทกับเด็กผู้หญิงคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย ความรู้สึกโรแมนติกสุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว หากเทียบกับความหลงไหลในเมจิคัลเกิร์ลของเชลซีแล้วมันก็บอบบางและแตกสลายได้ง่าย เหตุการณ์นั้นมันทำให้เชลซีเชื่อมมากยิ่งขึ้น ทำให้เธอเชื่อว่าตัวเองควรให้ความสำคัญในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลเหนือกว่าสิ่งอื่นใด
ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เธอก็คิดเรื่องของเมจิคัลเกิร์ล มันเป็นแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่ในใจของเธอว่าจะตั้งเป้าเป็นเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติ สุดท้ายแล้วความโรแมนติกก็ไม่ใส่สิ่งที่จำเป็น แม้ว่าวันเวลาของเธอในฐานะนักเรียน จิเอะจะตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าหากมีใครซักคนมาสารภาพรักกับเธอ ฉันชอบเธอ ไม่ก็ ฉันรักเธอ หรืออะไรแบบนั้น ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเธอก็จะปฎิเสธไป สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้มีใครมาสารภาพรักกับเธอแต่เธอก็ใส่ความพยายามทั้งหมดที่มีในหัวใจใส่ลงไปในงานของเมจิคัลเกิร์ล ตัวของเชลซีไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะมาตกหลุมรักใครในจุดนี้ของชีวิต
ในครึ่งหลังซีซั่นสองของ ริกกะเบล ตอนของโคทาโร่ใน ฮิโยโกะจัง แล้วก็ มิโกะจัง ที่มีหรือไม่มีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสมัยเด็กเป็นธีมหลัก รันรันผู้ลึกลับ ที่ให้เด็กชายหน้าตาดีที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นตัวละครปกติที่คอยประคองเรื่อง และมันก็มีอนิเมเมจิคัลเกิร์ลอีกมากมายที่พล๊อตแบบโรแมนติก แต่เชลซีไม่เคยสนุกกับมันเลย มันได้แต่ทำให้เธอพูดกับตัวเองว่า “เด็กสาวทุกคนน่าดึงดูดกว่าเพื่อนสมัยเด็กที่น่าเบื่อหรือเด็กผู้ชายหน้าตาดีตั้งเยอะ” แต่ในการพบกับพาสเทล เมรี่ ในที่สุดเธอก็เข้าใจเรื่องความรู้สึกนั้น เธอนั้นดีเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลในอนิเมที่เชลซีรู้จักและนับถือ แม้จะเป็นตัวเอกส่วนใหญ่ที่เธอรัก —ความจริงแล้ว พาสเทล เมรี่อยู่เหนือกว่าในทางใดทางหนึ่ง เธอนั้นน่าดึงดูด การใช้ภาษาไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ว่าเธอนั้นน่าดึงดูดยังไง การพยายามลองก็ไม่มีความหมาย พาสเทล เมรี่เทียบกับอะไรอย่างอื่นไม่ได้ และเธอก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างอื่นได้นอกจากคำว่า “พาสเทล เมรี่” พาสเทล เมรี่แค่เป็นตัวของเธอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอมีเส่นห์น่าดึงดูดมาก
อีกไม่นานเธอก็จะได้พบกับพาสเทล เมรี่แล้ว แม้ว่าพาสเทล เมรี่จะเป็นคนที่ขอเธอ มันก็เจ็บปวดมากที่ต้องทำงานโดยที่ต้องห่างจากกัน มิสมาร์เกอริต เมจิคัลเกิร์ลที่มีเรเปีย ทำให้เชลซีรู้สึกกลัวเพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมา นั่นไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลที่ดี เธอเป็นคนประเภทเดียวกับแม่ของเชลซี —สุดท้ายแล้วเธอจะใช้ความรุนแรงเพื่อทำให้อีกฝ่าบปิดปากเงียบไม่ก็ลดเงินที่ให้เพื่อให้หุบปาก— โดยทั่วไปแล้วเธอเป็นประเภทที่เก่งเรื่องการแก้ไขสิ่งต่างๆด้วยวิธีการมากกว่าที่จะพูดคุยกัน สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้ว นั่นมันทำให้เธอเป็นตัวละคร “คู่แข่งที่น่ารังเกียจ” มากที่สุด สำหรับพาสเทล เมรี่แล้วมันไม่ยุติธรรมเลยที่จะเอาเด็กสาวมาเทียบกับเธอ ใช่แล้ว พาสเทล เมรี่คือเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกต้องเพียงคนเดียวบนเกาะแห่งนี้ นั่นคือทำไมเชลซีถึงช่วยเรื่องเป้าหมายของเธอ เดิมทีเธอควรจะรับคำสั่งจากเชพเพิร์ดพายที่เป็นนายจ้าง แต่บางทีเขาก็คงยกโทษให้หากเธอขอโทษ เขาเป็นคนที่จิตใจดีแบบนั้นอยู่แล้ว
เชลซีเค้นหมัดขวาและบีบมันอย่างแน่นๆ จากนั้นก็มองลงไป โชคไม่ดีที่สายคาดที่เป็นส่วนของแว่นกันลมที่มีรูปหัวใจน่ารักๆขาดออกไป แม้จะมีตำหนิแต่ก็ยังคงเป็นสมบัติที่ไม่เหมือนใคร การเคลื่อนไหวของมานา มิสมาร์เกอริต และ 7753 อยู่รอบเจ้าแว่นกันลมนี้ เร็นเร็น อากิ และเนฟิเรียเองก็คุยเรื่องนี้เช่นกัน มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายคอยเฝ้าดูพวกเธอ ทุกคนนั้นต่างก็ให้คุณค่ากับแว่นไม่ก็รู้สึกกลัวมัน
เชลซีได้ยินมาว่าแว่นกันลมนี้มีเวทมนตร์แบบไหน มันจะสามารถมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้หากมองผ่านมัน ในอีกแง่หนึ่งคือ เธอสามารถรู้ได้ว่าพาสเทล เมรี่รู้สึกยังไงกับเธอ
พาสเทล เมรี่คงรู้สึกชอบเธอด้วยแน่ ตั้งแต่ที่มายังเกาะแห่งนี้ สายสัมพันธ์ของพวกเธอก็ยาวนานและลึกซึ้ง ในตอนที่พื้นกลายเป็นหลุม ในตอนที่กำแพงพังลงมา ในตอนแกะอยู่เหนือการควบคุม ทั้งสองคนก็ร่วมมือกันข้ามผ่านวิกฤติมาได้ มันคงไม่น่าตกใจนักที่จะเรียกได้ว่าเกิดปรากฎการณ์สะพานแขวนขึ้นจากเรื่องร้ายๆ อีกอย่าง พาสเทล เมรี่เองก็เห็นร่างเปลือยของเธอด้วย นั่นเป็นอีเวนท์หลักของนางเอกในเรื่องแนวรอมคอม หากจะพูดอีกอย่าง สำหรับเมรี่แล้ว เชลซีก็คือนางเอก และมันก็ไม่ต้องสงสัยเรื่องความรักของเธอเลย
ใช่แล้ว มันไม่ต้องสงสัยเลย แต่เธอก็ยังคงมีความกังวล บางครั้งพาสเทล เมรี่ก็จะคุยกับคนอื่น แม้เชลซีจะรู้ว่าพวกเธอจะคุยกันแค่เรื่องงานและไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เธอก็หยุดกังวลไม่ได้ เธอรู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไป แต่พาสเทล เมรี่นั้นน่าดึงดูด ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่คนอื่นจะไม่ตกหลุมรักเธอเลย แถมพาสเทล เมรี่อ่อนแอต่อแรงกดดัน และถ้าเป็นแบบนั้น หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาและเธอก็เคลื่อนไหวด้วยความหลงไหลล่ะก็… เชลซีไม่ต้องการรักสามเศร้าอะไรแบบนั้น ตราบใดที่พาสเทล เมรี่คือพาสเทล เมรี่ ความสงสัยที่หลบซ่อนอยู่ลึกลงไปในหัวใจของเชลซีก็จะไม่หายไปอย่างแน่นอน แต่ —แต่ถ้า— ถ้าหากเธอมีแว่นกันลมนี้ แบบนั้นเชลซีก็จะแน่ใจได้ว่าพวกเธอมีความรู้สึกร่วมกันและหาตัวคู่แข่งที่น่ารังเกียจสำหรับที่มาหลงรักพาสเทล เมรี่ได้ด้วย แบบนั้นเธอจะสามารถรู้สึกสบายใจได้จริงๆ
“อา…” เสียงครางหลุดออกมา เธออดทนไม่ไหว เธออยากเห็นใบหน้าของพาสเทล เมรี่ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เธอคิดเรื่องพาสเทล เมรี่ ทุกอย่างก็จะถูกย้อมไปด้วยสีของพาสเทล เมรี่ เชลซียิงเข้าไปที่แว่นกันลมตรงมือของ 7753 เพื่อไม่ให้เธอใช้มัน เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องขโมยมันมาเพื่อตัวเอง แต่เมื่อยกสองนิ้วขึ้น เธอก็เห็นว่าแว่นกันลมมันอยู่ตรงพุ่มไม้ตรงมุมสายตา และเธอก็นึกขึ้นในทันทีว่า หากฉันใช้เจ้านี่ล่ะก็… และทันใดนั้นเธอก็ยิงดวงดาวออกไปเพื่อเอามันมาเพื่อตัวเอง
ดวงดาวส่องสว่างอยู่รอบๆเชลซี พวกมันหมุนวนไปรอบๆราวกับว่าสะท้อนถึงความตื่นเต้นของเธอ ส่องสว่างอยู่ภายใต้แสงจากดวงจันทร์ในตอนที่เธอกำลังบินอยู่
“อ่าาา…” พอจินตนาการถึงภาพของพาสเทล เมรี่ที่กำลังมีความสุข เสียงครางมันก็หลุดออกมาอีกครั้ง
เพราะเธออ้าปากออกกว้างในตอนที่เคลื่อนไหว มันจึงมีหยดน้ำค้างยามค่ำคืนเข้ามาในปาก เธอสำลักมัน แต่จากนั้นเธอก็แค่กลืนลงไป อากาศที่อบอุ่น ความชุ่มชื่นที่เหมือนกับกำลังว่ายอยู่ในหมอก กลิ่นของดินและกลิ่นของใบหญ้า —มันล้วนแต่อวยพรให้กับอนาคตของเชลซีกับพาสเทล เมรี่ นี่คือกลิ่นอายของอนิเมเมจิคัลเกิร์ลที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่แฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อความรู้สึกกลายเป็นแบบนี้แล้ว เมจิคัลเกิร์ลก็จะได้รับชัยชนะเสมอ ไม่ว่าจะมีบททดสอบรออยู่อีกแค่ไหนก็ตาม
พาสเทล เมรี่ยึดครองหัวใจของเธอไปจนหมด เรื่องเมจิคัลเกิร์ลที่น่ากลัว ผลไม้สีเทา ทุกๆอย่าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นพาสเทล เมรี่ และเชลซีก็มีความสุขกับมัน จากนั้นเธอก็กระโดดตีลังกาในอากาศสามรอบเหนือดวงดาวที่ลอยอยู่ของตัวเอง
☆ รากิ สเว เน็นโต
ยิ่งรากิจมลึงในห้วงความคิดมากเท่าไหร่ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเขาที่จะโมโหพร้อมกับเคาะสมองตัวเองไปพร้อมกันแบบนี้ เหตุผลมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่เขาถูกมอบหมายหน้าที่ในฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล แต่ยิ่งเขาจมกับความคิดของตัวเองไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น แต่ถึงเรื่องนี้มันจะไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเขา เขาก็เมินมันไปง่ายๆไม่ได้
แม้ว่าภายในถ้ำมันจะรู้สึกหนาวเย็นจบแทบทนไม่ได้และกลิ่นภายในถ้ำจะแย่แค่ไหน สิ่งที่เขาต้องคิดและสิ่งที่เขารู้สึกโกรธก็โผล่ขึ้นมาภายในใจเรื่องแล้วเรื่องเล่า
มันน่าหงุดหงิดที่จอมเวทคนอื่นและเมจิคัลเกิร์ลต่างก็วิ่งออกไปคนละทิศคนละทาง ในเกาะเล็กๆแบบนี้จะหนีไปเพื่ออะไรกัน? รากิไม่ได้จะบอกว่าให้เผชิญหน้ากับศัตรูแล้วก็ตายไป การมีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้มันย่อมดีกว่าการตายแบบไร้จุดหมาย ยังไงก็ตาม การที่ทุกคนวิ่งออกไปด้วยตัวเองมันทำให้ร่วมมือกันได้ยาก แค่มีชีวิตอยู่ไม่ใช่เป้าหมายที่ทำให้มองเห็นวันพรุ่งนี้ เขาจำได้ว่าคลาริสซ่าบอกว่าตัวเองออกไปค้นหาคนอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะทำอะไรได้มากนัก เธอยังปิดบังตัวเองจากสายตาของคนประสงค์ร้ายในตอนที่ออกไปจัดการเรื่องต่างๆ สิ่งที่คลาริสซ่าและนาวี่กำลังทำนั้นขัดแย้งกันราวกับไม่ได้ตั้งใจ มันดูไม่เหมือนว่าพวกเธอตั้งเป้าว่าจะแก้ไขต้นเหตุของความกังวล
รากิคิด ใช่แล้ว เขากำลังใช้ความคิด ตั้งแต่มายังเกาะแห่งนี้ เขาก็รู้สึกแย่เหมือนกับตัวเองป่วย เป็นคนไข้ที่ต้องนอนติดเตียง ความรู้ความเข้าใจของเขาลดลงจนมันทำให้รู้สึกไม่ดีมากยิ่งขึ้น แต่ผลไม้สีเทาที่นาวี่เอามาได้ทำให้เขาฟื้นคืนสติเป็นครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนาน
ทำไมประตูถึงถูกทำลาย? หากมันเป็นการขังพวกเขาเอาไว้ภายใน แบบนั้นทำไมจึงจำเป็นต้องขังพวกเขาเอาไว้ด้วย? เพื่อฆ่าทุกคนงั้นเหรอ? รากิคิดว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซาตาบอร์น อีกอย่าง นี่เองก็เป็นเรื่องที่ละเอียดเกินกว่าที่พวกคนบ้าจะคิดได้
มันไม่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของคนคนนั้น มันทำลายประตู ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่อยากให้พวกทายาทออกไป นั่นคือเรื่องที่รากิเข้าใจ
เขายืนขึ้น กัดเข้าไปที่ผลไม้สีเทาและเอาที่เหลือใส่เข้าไปในแขนเสื้อ ผลไม้สีเทามันมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด ซาตาบอร์นได้สร้างไอเท็มที่มีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปก่อนที่จะประกาศผลการทดลองของตัวเองออกมา รากิจะหนีออกไปจากเกาะนี้พร้อมกับผลไม้สีเทา และโชว์ว่านี่คือของใหม่ที่ซาตาบอร์นสร้างขึ้นมาเพื่อลบความความเสียใจของคนตายออกไปบ้างเล็กน้อย
เดี๋ยวก่อน ไม่สิ นี่มันไม่ใช่ของใหม่
ริมฝีปากของรากิหุบเข้าไปด้านในหนวดยาวๆสีขาว เขาดึงเอาผลไม้สีเทาออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนฝ่ามือและจ้องมอง ผลไม้มันกลิ้งไปมาราวกับว่าหันหลังให้เขา เขาหยุดเอาไว้ด้วยรอยเหี่ยวย่นของนิ้วมือ นี่ไม่ใช่ของใหม่ มันแค่ถูกเพาะพันธุ์จากสิ่งที่มีอยู่มาก่อน รากิจ้องมองลงไป แน่นอนว่าผลไม้สีเทามันไม่มีการตอบสนอง ถึงจะชำเลืองมองไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
รากิรู้เรื่องต้นกำเนิดของผลไม้สีเทา —ประเภทที่ซาตาบอร์นเพาะพันธุ์จากมัน มันเป็นผลไม้ธรรมดาที่ใช้เป็นสารอาหารในการทำยาชูกำลัง มันเป็นอะไรที่แพร่หลายมากจนเขาไม่ทันคิด
เมื่อผลไม้สีเทานี้มีพื้นฐานจากตามที่อยู่ในใจเขา รากิก็พยายามผลักเรื่องนี้ออกห่างไป —นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาคิดในตอนนี้— แต่อะไรบางอย่างก็กวนใจ และจิตใจของเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้น ย้อนกลับไปในตอนที่เขาเป็นนักวิจัย เขาเรียกมันว่าแสงสว่างแห่งความรู้แจ้งภายในใจ และมันก็มีไม่กี่ทฤษฎีโผล่ออกมา
แม้ว่าความหงุดหงิดจะยังคงอยู่ รากิก็คิดเรื่องของผลไม้นี้ย้อนกลับไปในแต่ละเรื่องที่นึกออก
ผลไม้สีเทาดั้งเดิมไม่ได้มีผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง มันจะสกัดเอาพลังเวทจากพื้นดินและในอากาศเป็นระยะเวลานานและทำการรวบรวมเอาไว้ มันไม่ได้มีขึ้นอยู่ทั่วเหมือนกับผลไม้สีเทาบนเกาะแห่งนี้เช่นกัน การปลูกต้นไม้หลายต้นในพื้นที่เล็กๆมันจะเป็นการแย่งชิงพลังเวทจากกันและกัน และก็จะหยุดออกผลในเวลาต่อมา มันสามารถพูดได้ว่าผลไม้ที่ปลูกอยู่บนเกาะแห่งนี้ได้เปลี่ยนไปในทุกๆทาง
ไม่สิ… อย่างนั้นเหรอ งั้นนี่ก็…
แสงสว่างแห่งความรู้แจ้งเรื่มก่อตัว ผลไม่สีเทาขยับไปมาในมือของรากิ ความจริงทุกอย่างมันชี้ไปยังคำตอบเดียว ควรเรียกผลไม้นี้ว่ายาครอบจักรวาลรึเปล่านะ? ไม่สิ เขาจะยกย่องมันโดยที่ไม่มีผลไม้เหลืออยู่ไม่ได้
งั้นเหรอ… งั้นเหรอ งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง… เข้าใจแล้ว…!
รากิจ้องไปที่ผลไม้ มันนิ่งเงียบและไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ว่ามันจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน เขาก็ต้องหวังพึ่งมันในตอนนี้ และความจริงข้อนั้นมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
รากิเอาผลไม้สีเทากลับเข้าไปในแขนเสื้อ จัดหมวกที่อยู่บนศีรษะของตัวเองให้แน่น เขาแทงปลายไม้เท้าเข้าไปที่พื้นดินและค่อยๆมุ่งหน้าไปหาแสงสว่าง ก่อนจะออกไปจากถ้ำ เขาใช้หยดเลือดของตัวเองไม่กี่หยดจากนิ้วมือและร่ายมนต์เพื่อใช้คาถาที่ทำให้มองเห็นในความมืดและล่องหน ทำให้ตัวเองกลืนไปกับสิ่งรอบข้าง เขาตัดเถาวัลย์ที่อยู่ตรงทางเข้าออกไปด้วยคาถา —นั่นคงเป็นการอำพรางของคลาริสซ่า ในตอนที่เขาโบกมือไปด้านข้างเพื่อตัดเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากด้านบน เขาก็นิ่วหน้าเล็กน้อยกับรอยกัดของสัตว์ที่อยู่บนเปลือกไม้ และในที่สุดเขาก็ออกมาจากถ้ำได้
แม้จะเรียกมันว่าเวทมนตร์ล่องหน มันที่เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่ย่อมาจากรูปแบบดั้งเดิม ดังนั้นมันจึงไม่ได้ซ่อนไปเสียหมดทุกอย่าง เขาต้องเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและเงียบๆ จากเงาที่หนึ่งไปยังอีกที่ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้มีไพ่ตายอะไรเหลืออยู่หากเกิดความจำเป็น แต่เขาไม่อยากรีบใช้มัน
ก่อนอื่นก็ต้องรวบรวมกำลัง ทุกคนวิ่งออกไปคนละทางเพราะว่าตื่นตระหนกเกินไปที่จะคิดเรื่องความปลอดภัยของคนอื่น ในอีกแง่หนึ่ง ความคิดของพวกนั้นก็ไม่ลงรอยกันด้วย นั่นเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับรากิที่หมดสติไปและไม่มีจอมเวทคนอื่นที่ทำตัวเป็นผู้นำ มันเป็นหน้าที่ของชายชราที่ต้องชี้นำคนหนุ่มสาว รากิให้กำลังใจตัวเองในตอนที่ค่อยๆก้าวออกไป ข้ามผ่านรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและหลบเลี่ยงใบไม้เปียกชื้นที่ดูจะทำให้ลื่นไถล รากิทำหัวใจของตัวเองให้สงบในขณะที่เดินออกไป จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีฝ่ามือมาแตะบนไหล่
“ไม่ดีนะ คุณปู่ ฉันบอกแล้วไงว่าออกไปข้างนอกมันอันตราย”
เขาหันไปหาคลาริสซ่าที่อยู่ตรงนั้น เธอกำลังยิ้มอยู่ แต่มันดูเหมือนว่าน่ารำคาญมากกว่าที่จะดูดีใจ จู่ๆแขนของรากิก็รู้สึกแปลก ข้อมือของเขาถูกเชือกมัดเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว เขาเสียสมดุลย์จนเกือบที่จะล้มลงแต่จากนั้นก็รู้ว่าขาเองก็ไม่ขยับเพราะถูกมัดเอาไว้แน่นเช่นกัน
“นี่แกทำบ้าอะไร?!” รากิตะโกน
“ตะโกนออกมานี่ไม่ดีนา”
“อะไรนะ—? นี่แก กล้าดียังไง—”
“แต่ว่านะ ถ้าคุณปู่พยายามออกไปแบบนี้ การมัดเอาไว้คือทางเลือกเดียวของฉันแล้วล่ะ เหมือนว่าคุณปู่จะออกไปแม้ตัวเองจะพูดว่าไม่ แบบนั้นฉันก็ไม่มีตัวเลือกอื่นน่ะนะ มันอันตรายเกินไป”
คลาริสซ่าลากรากิกลับเข้าไปในถ้ำที่ต้องผ่านอะไรหลายอย่างเพื่อออกมาโดยไม่ฟังเขาเลยแม้แต่น้อย
และในตอนนี้เขาสูญเสียแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระไป เธอโยนเขาเข้าไปข้างใน เขาส่งเสียงดังออกมาเพื่อต่อต้าน ตำหนิ และสาปแช่ง แต่ด้วยคำพูดแค่ “ถ้าเสียงดังเกินไป เดี๋ยวคนไม่ดีจะเจอตัวเอานะ” เพียงประโยคเดียวทำให้เขาไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาเองก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากรู้สึกไม่พอใจ
คลาริสซ่าออกไปโดยที่ไม่มีเสียงฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย รากิไม่ได้พยายามฝืนเอาเชือกที่มัดไว้ออกไป สิ่งที่มันไม่ได้ขาดง่ายๆจากการดิ้นรนของจอมเวทวัยชรา ในตอนนี้มันไม่จำเป็นที่ต้องเคลื่อนไหวไปมารอบๆ บทของรากิในตอนนี้ไม่ใช่การขยับร่างกายของตัวเอง ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องความโกรธเกรี้ยวเช่นกัน งานของรากิคือการใช้ความคิด
รากิคิดว่า คลาริสซ่าไม่คิดว่ารากิเป็นประโยชน์เหมือนกับนาวี่ที่เป็นนายจ้าง พวกนั้นเห็นเขาเป็นวัตถุที่ต้องปกป้องงั้นเหรอ? หากเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ทำเกินไปมาก เขารู้ว่านาวี่ไม่ใช่คนที่จะรักหรือเคารพผู้อาวุโส หากเขาวางแผนที่จะใช้รากิตามที่คลาริสซ่าพูดเอาไว้ แบบนั้นมันก็คงมีวิธีการที่ดีกว่าที่จะทำเช่นนั้น นาวี่ ลูคือวายร้ายที่สนใจแค่เรื่องประโยชน์ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเพียงเท่านั้น
รากิไม่ได้พยายามบอกคลาริสซ่าถึงเรื่องที่เขาคิดเกี่ยวกับผลไม้สีเทา เขาจะไม่พูดว่าไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจนาวี่ ลูอยู่เลยจากความแค้นส่วนตัว แต่ทั้งหมดมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น ถึงแม้แว่นกันลมของ 7753 จะบอกว่านาวี่ ลูไม่ใช่คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการทำลายประตูหรือการฆ่าไมยะ มันก็พูดอย่างมั่นใจไม่ได้ว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องผลไม้สีเทา อีกอย่าง ในจุดนี้ รากิไม่รู้ว่าตัวเองควรเชื่อ 7753 หรือแว่นกันลมมากแค่ไหน และเมื่อเป็นเรื่องของนาวี่ ลู การสงสัยทุกอย่างของเขาคือเรื่องที่ถูกต้อง คลาริสซ่าเองก็เช่นกัน
การทำลายประตูจากด้านในคงเป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่ใครก็ตามที่ทำแบบนั้นก็จะติดอยู่ภายในเกาะด้วย เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ภายในเกาะนี้คลายการแปลงร่าง จอมเวทเองก็อ่อนแอลง หากคนร้ายไม่ใช่ทั้งจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ล เป็นอะไรอย่างอื่น แต่มันก็ไม่มีทางที่ใครบางคนจะแอบเข้ามายังเกาะแห่งนี้ —รากิพึมพำคำสาปแช่งและเลิกคิดเพียงเท่านั้น เขาสงสัยว่าตัวเองจะได้ข้อสรุปอะไรมาจากการคิดต่อไปเรื่อยๆในตอนนี้ การพยายามที่จะออกจากเกาะแห่งนี้มันต้องมาเป็นอย่างแรก
ชั้นสามารถสร้างประตูใหม่ได้
หากคุณสมบัติของผลไม้สีเทาเป็นอย่างที่รากิคิด แบบนั้นการสร้างประตูขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว เขาจำเป็นต้องได้ความร่วมมือจากจอมเวทคนอื่น และถ้าคนที่ฆ่าไมยะ คนที่ทำลายประตูพยายามเข้ามาขวาง เขาก็จำเป็นต้องมีเมจิคัลเกิร์ลคอยปกป้อง
น่าตลกซะจริง
ไม่มีใครเลยที่เขาเชื่อใจได้ แต่เขาจำเป็นต้องมีคนที่ร่วมมือด้วย
มันทำให้เขานึกถึงพินัยกรรมของซาตาบอร์นที่มีเงื่อนไขแปลกๆอย่างการจำเป็นต้องมีเมจิคัลเกิร์ลร่วมทางมาด้วย ในจุดนี้ มันดูเหมือนว่าจำเป็นต้องมีเมจิคัลเกิร์ลอยู่ แต่สถานการณ์แบบนี้มันสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ด้วยงั้นเหรอ? รากิอยากจะปฎิเสธความคิดนั้น อยากจะพูดว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้งกับเรื่องดังกล่าวได้เลย
หากเป็นซาตาบอร์นล่ะก็…
รากิย่นคิ้ว เขาไม่ได้มีความทรงจำเรื่องซาตาบอร์นมากพอที่จะนึกถึง รากิได้ยินว่ามีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมและตัวตนของเขา เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และไม่ใช่แค่โด่งดังในฐานะนักวิจัยผู้ยอดเยี่ยมแต่ยังคงดังในเรื่องประหลาดด้วย
แต่ข่าวลือนั้นก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ รากิไม่สามารถยอมรับเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ได้ยินมาโดยที่ไม่ตั้งคำถามได้ แต่กระนั้น แม้หนึ่งในสิบของเรื่องราวจะเป็นความจริง เขาก็ยังคงประหลาดอยู่ดี
คิ้วของเขาย่นลึกขึ้น เขาไม่มีความทรงจำของชายคนนั้นอย่างที่ควร มันเหมือนกับว่าเห็นซาตาบอร์นยืนอยู่ตรงนั้น หรือนั่งหลบมุมในการไต่สวนแบบสาธารณะ หรือว่าเห็นเขาถูกบังคับให้มางานปาร์ตี้อย่างไม่สบอารมณ์ —รากิจำได้แค่เห็นเขาในทางแบบนั้น
ในตอนที่รากิอายุยังน้อย ทั้งสองคนได้แลกเปลี่ยนการสนทนากันที่สถานศึกษา แต่ซาตาบอร์นก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายนักในสถานการณ์เช่นนั้นแล้วก็ออกไป ครั้งหนึ่ง ซาตาบอร์นได้มาถามถึงความเห็นของจอมเวทที่รากิเคยเรียนอยู่ใต้สังกัด แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่าความทรงจำได้
หนึ่งสิ่งที่รากิจำได้คร่าวๆคืองานปาร์ตี้บุฟเฟต์ มันควรจะเป็นงานที่รวมคนมาเพื่อประกาศรูปแบบใหม่ของบาเรีย แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากจอมเวทที่คุยกันในเรื่องกลอุบายทางการเมืองกันจนรากิรู้สึกค่อนข้างโกรธ เขาจึงดื่มไวน์ลงไปด้วยความโกรธ และด้วยความโกรธนั้น เขาจึงยื่นมือออกไปหากุ้งมังกรต้ม ในตอนนั้นเองมันก็มีอีกมือหนึ่งที่ยื่นเข้ามาจับกุ้งมังกรในเวลาเดียวกัน
เขามองไปที่คนๆนั้นอย่างอัติโนมัติ มันเป็นใบหน้าที่มีรอยย่นลึกของชายชรา ซาตาบอร์นนั่นเอง เขาเองก็มองดูกุ้งมังกรด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ชายชราสองคนในงานปาร์ตี้ที่ไม่ได้พยายามซ่อนความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้มองหน้ากันและกัน และจากนั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างแปลกๆในเวลาเดียวกัน รากิดึงมือออกห่างจากกุ้งมังกรแล้วก็ใช้ฝ่ามือทำท่าทางพร้อมพูดว่า “เชิญเลย” ซาตาบอร์นพูดว่า “ขอบคุณ” แล้วก็หยิบกุ้งมังกรไป
รอยย่นที่คิ้วของรากิย่นลึกลงไปกว่าก่อนหน้า อย่าบอกนะว่าที่ซาตาบอร์นเชิญเขามายังสถานที่ชุมนุมของผู้สืบทอดก็เพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่เขายกกุ้งมังกรต้มให้? เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเขาเป็นคนประหลาดตามที่คนอื่นพูด รากิก็คิดว่าอะไรมันก็เป็นไปได้
เมื่อคิดถึงความประหลาดมันก็จะวนเวียนอยู่ไม่รู้จบ ทุกสิ่งที่ควรรู้ก็คือเขาเป็นคนประหลาด รากิทุบเข้าไปที่หน้าผากของตัวเอง
ไม่ว่าจะยังไง อย่างแรกเลยคือเขาต้องออกไปจากถ้ำนี้
ปัญหาในตอนนี้ก็คือคลาริสซ่าพร้อมที่จะใช้กำลังเพื่อมัดเขาเอาไว้ในทันที นี่มันเหนือกว่าเรื่องที่สามารถยอมรับได้ และจากนั้นเมื่อรากิหลุดออกไปจากถ้ำ เธอก็จะเข้ามาจับตัวเขาในทันที
มันยากที่จะจินตนาการว่าเธอคอยจับตามองอยู่ใกล้ๆ คลาริสซ่าและนาวี่ไม่ได้มีเวลามากมายนัก นี่เธอจับรากิที่ออกไปได้เพราะเวทมนตร์รึเปล่า? ดูเหมือนมันจะมีเหตุผล
ตอนนี้รากิได้ข้อสรุปแล้ว เขาต้องเห็นในสิ่งที่ต้องเห็น เขาลังเลก็จริง แต่ก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องลงมือ เขายืนขึ้นด้วยขาที่ยังคงรู้สึกอ่อนล้าและยกข้อมือขึ้นไปยังเพดาน เขาเอาหลังมือไปถูกับก้อนหินเพื่อทำให้เลือดออก จากนั้นก็ใช้มันเป็นตัวเร่งในการร่ายคาถาคลายเชือกพันธนาการ เชือกนั้นหลุดออกจากข้อมือและร่วงลงสู่พื้น เขาเอาข้อเท้าถูเข้าหากันแล้วเชือกมันก็ไหลลงมาเช่นกัน จากนั้นก็เอานิ้วเท้าเกี่ยวเชือกแล้วเหวี่ยงออกไปด้านข้าง เขายืดคอไปทางขวา จากนั้นก็มาทางซ้าย แล้วก็หมุนไหล่
“เอาล่ะ” เขาดึงเอาผลไม้สีเทาออกมาแล้วกัดลงไป แต่ก็แทบจะไม่ได้เคี้ยวเลย ร่ายเวทมนตร์ตรวจจับ เขายืนยันแล้วว่ามันมีเวทมนตร์อยู่ที่เถาวัลย์ตรงทางออก เพราะแบบนี้เองคลาริสซ่าถึงสัมผัสเขาได้ก่อนที่จะออกไป รากิร่ายเวทมนตร์ล่องหนอีกครั้ง จากนั้นก็คลานไปตามพื้นโดยที่ไม่ไปสัมผัสกับเถาวัลย์ เขามองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าคลาริสซ่าไม่ได้อยู่ที่นี่ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างช้าๆแต่ก็เร็วกว่าครั้งก่อนหน้า
☆ พาสเทล เมรี่
หากเธอยื่นมือออกไป เร็นเร็นก็อยู่ใกล้พาสเทล เมรี่มากพอที่จะสัมผัสตัวได้ ท่าทางจริงจังของเธอในตอนที่คุยอะไรบางอย่างกับอากิและเนฟิเรียเองก็ดูสง่าผ่าเผยและงดงาม แค่มองดูเธอมันก็มากพอที่จะลืมหายใจแล้ว แต่ยิ่งอยู่ห่างกันมากแค่ไหน พาสเทล เมรี่ก็รู้สึกว่าหัวใจเองก็ห่างกันตามไปด้วย แม้ว่าระหว่างพวกเธอจะมีแค่หินก้อนใหญ่ก้อนเดียวคั่นเอาไว้ บวกกับเศษหินที่เชลซีทำเอาไว้กระจายอยู่ทั่ว มันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
มันมีทฤษฎีโรแมนติกบางอย่างที่พูดเอาไว้ว่า ยิ่งมีอุปสรรค ความรักก็จะยิ่งมากตามไปด้วย พาสเทล เมนี่คิดว่ามีเพียงบางคนที่มองเข้ามาจากภายนอกที่จะพูดแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็น โรมิโอกับจูเลียต หรือ โกลเดนเดม่อน* ของโอซากิ มันก็สามารถรู้สึกสนุกสนานได้เพราะว่าตัวเองเป็นคนที่มองดูโดยไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราว บางคนที่อยู่ในเรื่องราวโรแมนติกแสนวุ่นวายจะไม่คิดว่า ยิ่งมีอุปสรรคมากมันก็ยิ่งทำให้ความโรแมนติกสนุกขึ้นมากเท่านั้น
*Konjiki Yasha นิยายโรแมนติกของโคโยะ โอซากิ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โยมิอุริปี 1897-1902 https://en.wikipedia.org/wiki/Ozaki_Koyo
ตอนนี้พาสเทล เมรี่กำลังจัดการกับอุปสรรคจำนวนมากมาย และก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย และดรีมมี่✰เชลซี คนที่เอาแต่อ้างโน้นอ้างนี่เพื่ออยากตัวติดกับเธอคือเป้าหมายอันดับบนสุด
เธอไม่ใช่คนเลว ไม่ได้มีความประสงค์ร้ายด้วยเช่นกัน เธอแค่เอาแต่สร้างปัญหาโดยที่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วตั้งแต่ที่เธอมายังเกาะแห่งนี้
เร็นเร็นบอกกับพาสเทล เมรี่ว่ามันอาจจะมีเวลาที่พวกเธอต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้ของดรีมมี่✰เชลซี ในตอนนี้มันคือ “เวลาในการรอ” และถึงแม้พวกเธอจะไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถของดรีมมี่✰เชลซี การมีไว้ก็ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หากเร็นเร็นยกเลิกเวทมนตร์ของเธอในตอนนี้ เชลซีก็จะกลายเป็นศัตรูกับพวกเธอ และพวกเธอก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้น เร็นเร็น ตามด้วยอากิและเนฟิเรียกำลังพยายามแก้ไขปัญหาบนเกาะแห่งนี้ เมื่อเร็นเร็นบอกเธอว่าวางแผนที่จะทำอะไร พาสเทล เมรี่ก็ตัดสินใจที่จะร่วมมือ และเธอก็ทำสิ่งที่เร็นเร็นร้องขอไปหลายเรื่อง เธอสร้างแกะออกมาเพื่อให้แบกผลไม้สีเทา หากทำให้เชลซีต้องมาเผชิญหน้ากับพวกเธอ แบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ คำขอร้องของเร็นเร็นก็จะกลายเป็นเรื่องไร้ความหมาย หากพวกเธอล้มเหลวที่นี่ แบบนั้นพวกเธอก็จะแก้ไขในสิ่งที่ต้องแก้ไม่ได้
แค่การจับตัวเชลซีเอาไว้มันก็วุ่นวายมากแล้ว การพยายามทำเรื่องเดียวกันอีกครั้งมันคงไม่ได้ผล เชลซีจะเรียนรู้และระวังตัว ดังนั้นการทำให้เธอเป็นพวกเดียวกันมันจึงดีกว่า เธอก็จะได้ไม่ต้องทำเรื่องเดิมอีกครั้ง และความพยายามของพาสเทล เมรี่ก็สำคัญต่อการเก็บเชลซีเอาไว้
เร็นเร็นวางมือลงบนหมัดของเมรี่ที่เค้นอยู่อย่างแผ่วเบาแล้วก็พูดว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณรักฉันนะคะ ฉันเองก็รักคุณเหมือนกัน… คุณเองก็เข้าใจสินะคะ? เชลซีน่ะชอบคุณจนแทบบ้า เธอจะทำทุกอย่างตามที่คุณพูด ถ้าคุณสามารถควบคุมเธอได้ดีล่ะก็ เธอจะมีประโยชน์มากเลยค่ะ”
มือของเร็นเร็นที่รู้สึกเย็นเหมือนว่ามันซึมเข้ามาในผิวหนังของพาสเทล เมรี่ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังขึ้นสวรรค์ในตอนที่กำลังฟังเร็นเร็นพูด จากนั้นเมรี่ก็รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร เธอต้องทำตัวเหมือนกับว่าสนใจในตัวของเชลซีแล้วก็มอบคำสั่งให้ นั่นคือบทบาทที่เมรี่ต้องเติมเต็ม เธอจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเธอกับเร็นเร็นกำลังตกหลุมรักกันและกัน อีกแง่หนึ่ง ในตอนที่เชลซีมองอยู่ เมรี่ก็ต้องพูดคุยกับเร็นเร็นให้น้อยที่สุด
แม้ว่าเร็นเร็นจะอยู่ตรงนี้ เมรี่ก็เข้าไปหาเธอไม่ได้ มันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่เมื่อเทียบกับทรยศการคาดหวังของเร็นเร็นผู้เป็นที่รักแล้วมันก็เจ็บปวดยิ่งกว่า เมรี่หักห้ามใบหน้าตัวเองไม่ให้มองไปยังเร็นเร็น ยั้งขาตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปหาเร็นเร็น อย่างน้อยที่สุดก็คือการส่งแกะเข้าไปหาเร็นเร็น เมื่อเชลซีไม่อยู่รอบๆจึงจะเข้าไปหาเร็นเร็น เอาตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบเรื่องความรัก แบบนี้มันเรียกว่ารักสามเศร้ารึเปล่านะ? มันแตกต่างกับที่เธอได้ดูในทีวีกับภาพยนตร์คนละเรื่องเลย
นี่ไม่ใช่เรื่องรักสามเศร้า มันแตกต่างกัน
มันไม่สำคัญว่าเนฟิเรียจะหัวเราะออกมาอย่างไร้มารยาทแค่ไหน หรืออากิจะมองดูเธอราวกับอยากจะขอโทษเช่นไร สำหรับเมรี่ในตอนนี้ ต่อให้จะสถานที่ที่เจอกันชั่วคราวจะเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่ขาดซึ่งความโรแมนติก ราวกับว่าความโรแมนติกที่คู่รักจะได้จากการนัดพบนั้นมันจะหายไปก็ตาม
ตัวตนของเลิฟมีเร็นเร็นนั้นเสมือนเป็นนางฟ้าและปีศาจ เธอดูมีเสน่ห์เหมือนกับปีศาจและบริสุทธิ์เสมือนกับนางฟ้า แกะที่พาสเทล เมรี่สร้างขึ้นนั้นเป็นการถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าที่ปีศาจและนางฟ้าคอยรับใช้ ส่วนตัวของพาสเทล เมรี่นั้นคือลูกแกะบูชายัญที่ถวายแด่เร็นเร็น
อ่า ความรู้สึกนี้มันช่างมากมายเหลือเกิน…
ภาพของเธอที่ตกหลุมรักมาก่อนหน้านี้กลายเป็นสิ่งที่พร่ามัว คนรักที่ไร้ซึ่งความหลงไหลจะมอดดับไปจนไม่ใช่คนรักกันอีก เด็กๆอาจจะเรียกว่าเป็นบางสิ่งที่คือความรักหรือความโรแมนติก แต่นั่นคือความเข้าใจผิดของตัวเอง ความรักที่แท้จริงนั้นถูกย้อมไปด้วยความหลงไหล ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง เมื่อเมรี่ได้ยินตัวเอกในละครทีวีพูดเรื่องความรักออกมาอย่างเกินจริง เธอก็คิดว่า “ฟังดูงี่เง่าจัง” แต่นั้นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด ความรักที่แท้จริงคือสิ่งอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะพูดออกมามากแค่ไหนมันก็ไม่เพียงพอ ในที่สุดเมรี่ก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว
เธออยากสัมผัสเขาของเร็นเร็น อยากลูบไล้ปีกของเธอ อยากจะแตะรูปดาวหกแฉกที่อยู่ตรงหน้าผาก อยากจะกอดเธอเอาไว้แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยกัน แล้วในการขอบคุณ เมรี่จะจัดเตรียมเตียงแกะให้กับเธอ เมื่อถูกห่อหุ้มด้วยเตียงอันนุ่มนิ่ม ทั้งสองคนก็จะสอดนิ้วประสานเข้าด้วยกัน จากนั้น—
ในตอนที่จินตนาการของพาสเทล เมรี่กำลังโลดแล่น เชลซีก็กลับมาดึงเธอกลับสู่ความเป็นจริง
เมรี่ถูกบังคับให้ร่วมมือกับเชลซีอย่างไม่เต็มใจ
เมรี่ยั้งความปรารถนาในหัวใจตัวเองที่อยากจะวิ่งเข้าไปหาเร็นเร็นในตอนนี้เอาไว้ หยุดเอาไว้ด้วยความคิดที่ว่าหากทำแบบนั้นอาจทำให้เร็นเร็นเกลียดเธอได้ นั่นคงเป็นเรื่องอันแสนเจ็บปวดราวกับไม่สามารถหายใจได้อย่างเป็นจังหวะ เธอจะไม่ทำแบบนั้น เธอต้องทำตามความคาดหวังของเร็นเร็นให้ได้
เมรี่หันไปเชลซีอย่างระมัดระวัง แต่เชลซีก็มองลงไปด้านล่าง ตัวของเธออยู่ไม่นิ่งพร้อมกับใช้นิ้วเท้าแทงเข้าไปที่พื้น จากนั้นก็หันออกไป “ฉันจะไปดูตรงนั้นหน่อยนะ” แล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้พูดว่าตัวเองจะทำอะไร
โชคดีจัง! หัวใจของเมรี่ร้องออกมาอย่างดีใจ เธอกำลังจะเข้าไปหาเร็นเร็นในทันที แต่จากนั้นก็หยุด
แกะนั้นกัดแขนเสื้อของเธอเอาไว้และกำลังดึง
“หือ? อะไรล่ะ? ตอนนี้ฉันอยากเข้าไปหาเร็นเร็นนะ” เม่รี่บอก
แกะนั้นส่ายหัวและชี้ไปยังทิศทางที่เชลซีหายไป
“จะบอกว่าเชลซีทำตัวแปลกๆงั้นเหรอ?”
แกะพยักหน้า
“หืมมม… มีอะไรนะ”
พาสเทล เมรี่คือเมจิคัลที่ไร้ซึ่งความกังวลและชอบฝันกลางวัน เมื่อเทียบกันแล้วแกะของเธอก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ขลาดและขี้กังวล พวกเธอไวต่อความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่ทำให้เมรี่วอกแวกได้ง่าย เธอใช้จังหวะนั้นสะท้อนเรื่องเชลซีว่าก่อนหน้านี้ทำตัวแบบไหน ในตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว เธอก็ทำตัวแปลกไปจริงๆ
เชลซีจะหาข้ออ้างทุกอย่างเพื่อเข้าหาเมรี่และตามเธอไปมารอบๆ เธอจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปโดยออกไปอย่างสมัครใจ ทั้งเธอและเมรี่เองก็ถูกเชพเพิร์ดพายจ้างมา เธอมักจะขี้เกียจหรือกินของว่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเธอเคยทำตัวขยันขันแข็งอย่างการอาสาไปลาดตระเวณซักครั้งเดียวด้วยเหรอ?
ถ้าเธอมีจุดประสงค์อย่างอื่น… มันจะเป็นอะไรกันนะ? อืมม… อย่างเช่นเล่นเกมด้วยการพูดอะไรโรแมนติก?
นั่นเป็นแค่ความคิดคร่าวๆ แต่มันก็อาจเป็นแบบนั้นจริงๆ
ซ่อนตัวเองชั่วคราวเพื่อดึงดูดความสนใจของเมรี่ ทำให้รู้ว่าเชลซีนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงคุณค่าขนาดไหน มันเป็นแผนการตื้นๆ แต่เมื่อคิดดูในตอนนี้ เชลซีก็ไม่เคยทำอะไรสิ้นคิดเลยซักครั้งตั้งแต่ที่เจอกัน
และเมื่อไหร่ที่เชลซีทำอะไรโดยไม่คิด มันก็จะกลายเป็นหายนะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการได้แผลจากถูกไฟเผา ถูก หรือกำแพงที่พังลงมา —เมรี่ลูบต้นแขนตัวเอง เมรี่เองก็รู้สึกผิดที่สร้างปัญหาให้กับเชพเพิร์ดพายที่เป็นนายจ้าง แต่เธอก็ทำอะไรได้ดีกว่าเชลซี เรื่องที่เมรี่ทำพลาดนั้นมันไม่ร้ายแรง หากเธอขอโทษออกไปก็จะได้รับการยกโทษให้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจที่จะขอโทษในภายหลัง สุดท้ายแล้วสิ่งที่เธอทำในตอนนี้ก็จะเป็นการช่วยเชพเพิร์ดพายเช่นกัน ส่วนการกระทำของเชลซีมันเกินกว่าที่จะถูกตำหนิแล้ว
หากเชลซีทำอะไรบางอย่างที่รุนแรง มันอาจทำให้เร็นเร็นมีปัญหาด้วยเช่นกัน
เมื่อมองไปที่เร็นเร็นที่กำลังคุยกับอากิและเนฟิเรียแล้ว พาสเทล เมรี่ก็กดความไม่เต็มใจที่จะต้องแยกจากกันเอาไว้ หันหน้าออกไปอีกครั้งเพื่อเข้าไปในป่าตรงจุดที่เชลซีหายไป พุ่มไม้หนาที่สูงขึ้นมาถึงเอวตรงชายป่ากำลังสั่นไหว แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีลม
เมรี่สั่งให้แกะอยู่ประจำจุดในตอนที่เธอก้าวออกไปอย่างระมัดระวัง หลังจากที่ก้าวเข้าไปหาโดยใช้ปลายเท้าอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียง เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างราวกับว่ากำลังสัมผัสวัตถุเชิงกลอยู่ เธอมองลงมาที่พุ่มไม้ เชลซีกำลังนอนอยู่ที่นั่นและง่วงอยู่กับอะไรบางอย่าง
“…เชลซี?”
เชลซีส่งเสียงออกมาเหมือนกับว่ามีโมจิติดอยู่ในลำคอและเกือบจะทำสิ่งที่อยู่ในมือร่วงลงมา วัตถุนั้นเมรี่เองก็เคยเห็นมันมาก่อน
“เชลซี แว่นกันลมนั่น” เมรี่พูด
เขลซียกตัวขึ้นและยิ้มให้เมรี่เหมือนกับว่ากำลังกลบเกลื่อน แว่นกันลมในมือขวาของเธอเป็นของเมจิคัลเกิร์ลที่มีชื่ออะไรอย่าง 5 หรือ 7 ไม่ก็ 8 หรืออะไรบางอย่างสวมอยู่
“ทำไมถึงมีเจ้านี่อยู่ล่ะ?” เมรี่ถาม
“อ๊ะ มันก็ เอ่อ…” เชลซีพูดอย่างติดๆขัดๆ “อ๊ะ ใช่ อันนี้น่ะ รู้ไหม มันเป็นของขวัญ ฉันขโมยมันมาจากศัตรูให้เธอน่ะ”
“เอ่อ… ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ขอบคุณนะ” พาสเทล เมรี่พูดขอบคุณออกไปเท่าที่จำเป็นในตอนที่รับแว่นกันลมมา
เมื่อเห็นว่าเชลซีดูดีใจมันทำให้เธอหงุดหงิดด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่เธอต้องทำเป็นเอาใจเขามาใส่ใจเรากับเชลซี เธอต้องแสร้งว่าตัวเองดีใจแม้จริงๆจะไม่ก็ตาม
หัวใจของพาสเทล เมรี่ออกห่างจากเชลซีและมุ่งหน้าไปหาเร็นเร็นเรียบร้อยแล้ว สำหรับแว่นกันลมเวทมนตร์นี้ —เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะใช้มันยังไง แต่บางทีจอมเวทอย่างอากิอาจจะช่วยดูได้ หากมันมีประโยชน์ มันก็คงทำให้เร็นเร็นดีใจได้แน่ และเธอก็ได้รู้ถึงความพยายามของเมรี่ด้วย
เธอแกล้งทำเป็นแปลกใจ “หือ? มีอะไรบางอย่างขยับอยู่ที่อีกฝั่งของก้อนหินรึเปล่า?”
“หือ? จริงเหรอ? ฉันจะไปดูนะ” เชลซีบินออกไป
เมรี่ใช้โอกาสนั้นกวักมือเรียกแกะเข้ามาหา ในขณะที่ยังคงหันหน้าเข้าหาเชลซี เธอเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อส่งแว่นกันลมให้กับแกะ มันไม่จำเป็นที่ต้องบอกว่าต้องเอาแว่นกันลมไปให้ใคร แกะทุกตัวของเมรี่นั้นรักเร็นเร็น พวกแกะคงเข้าใจแน่ แม้เธอจะไม่ได้บอกว่าต้องเอาแว่นกันลมไปให้ใครก็ตาม
ในจังหวะที่เชลซีออกไป เมรี่ก็แสร้งทำเป็นบิดขี้เกียจเพื่อมองดูเร็นเร็นที่อยู่อีกฝั่งของก้อนหิน เร็นเร็นหยิบแว่นกันลมขึ้นมา มองดูมันอย่างจริงจังในตอนที่คุยกับเนฟิเรียและอากิ เธอไม่ใช่เพียงแค่มีรอยยิ้มที่น่ารักมาก ท่าทางจริงจังเองก็ดูเท่และสง่างามด้วย พาสเทล เมรี่ตกหลุมรักเร็นเร็นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าเติมเต็มมาตรวัดความรักเรื่องเร็นเร็นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกพอใจ
“เหมือนว่าจะไม่มีอะไรอยู่เลยนะ”
พอจู่ๆมีเสียงพูดดังขึ้น เมรี่ก็สะดุ้งและไปรอบๆแล้วก็เห็นเชลซีกำลังมองเธออยู่ มันใกล้พอที่เธอจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ใกล้มาก แถมเธอก็กลับมาเร็วมากด้วย เมรี่วางแผนให้เชลซีใช้เวลามากกว่านี้อีกซักพักก่อนที่จะกลับมา ในขณะที่เมรี่ก็จะหันความสนใจออกมาจากเร็นเร็น แต่มันก็พังไปเรียบร้อยแล้ว
“อ๊ะ ฉันว่าคราวนี้อาจอยู่หลังก้อนหินก้อนนั้นนะ!” พาสเทล เมรี่อุทานออกมา
“ฉันจะไปดูนะ!” เชลซีตอบกลับ
พาสเทล เมรี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และเมื่อเธอหันกลับไปมองเร็นเร็นอีกครั้ง เร็นเร็นก็กำลังถือแว่นกันลมเอาไว้พร้อมกับคุยอะไรบางอย่าง ในตอนนี้เธอทำให้แว่นกันลมไปอยู่ในมือของเร็นเร็นได้แล้ว ที่เหลืออก็แค่—
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เชลซีพูดกับเธอ
“เร็วจัง!” พาสเทล เมรี่ร้อง
“เร็ว? อะไรเหรอ?”
“อ่า โทษที ไม่มีอะไรหรอก”
แต่สายตาของเชลซีมองผ่านเหนือไหล่ของเมรี่ —ไปที่เร็นเร็น เมรี่เอนตัวเข้าหาเชลซี พยายามบังเอาไว้ไม่ให้เธอทำแบบนั้น แต่เชลซีก็ไม่สนใจพร้อมกับผลักตัวเธอไปด้านข้างและพูดออกมา “อ๊าาา! นั่น! ทำไมพวกนั้นถึงมีได้ล่ะ?! ฉันให้เป็นของขวัญเมเมแท้ๆ!”
เมรี่ลุกขึ้นและจับแขนของเชลซีเอาไว้
เชลซีส่งเสียงเหมือนกับคำรามออกมาอย่างน่ากลัวในตอนที่เหวี่ยงแขนที่มีเมรี่จับเอาไว้ เธอกระทืบลงไปที่พื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เตะก้อนหินออกไป มันแตกแล้วก็ร่วงลงมาเหมือนห่ากระสุนที่ทำลายหินก้อนอื่นที่อยู่รอบๆไม่ก็ทำให้ต้นไม้ล้มลงมา ก้อนหินบางก้อนกระเด็นออกไปไกลเหนือต้นไม้ที่สูงที่สุด บินออกไปยังท้องฟ้าที่ห่างไกลจนสุดสายตา ก่อนที่จะเริ่มร่วงลงมาเป็นแนวโค้ง
“ไม่ค่ะ! เข้าใจผิดแล้ว!” เร็นเร็นร้องออกมาในตอนที่ชูสองมือมาตรงหน้า แว่นกันลมนั้นห้อยอยู่ที่นิ้วก้อยมือขวา “ฉันแค่ถือมันเอาไว้แค่ไม่นานเองค่ะ!”
เชลซีหยุดการทำลายลง หอบเหนื่อยพร้อมกับจ้องมองมาที่เร็นเร็น เมรี่ที่ยังคงห้อยอยู่ที่แขนของเชลซีมองสลับไปมาระหว่างเมจิคัลเกิร์ลสองคน หากเชลซีจะใช้ความรุนแรงไปมากกว่านี้ แบบนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของเมรี่ที่จะต้องหยุดเธอ
เร็นเร็นมองกลับไป และเห็นอากิกำลังนั่งอยู่ที่พื้นเพื่อมองดูว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ส่วนเนฟิเรียก็ถือเคียวเตรียมพร้อมเอาไว้ตรงหน้าอากิ เร็นเร็นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็พูดต่อ “เพราะ… ฉันเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์… ฉันก็เลยคุ้นเคยกับมันมากกว่าคนอื่นค่ะ พาสเทล เมรี่ถามฉันว่าช่วยดูแว่นกันลมนี้ให้หน่อย ดังนั้นเธอเลยเอามาให้ชั้นตรวจดู… เท่านั้นเองค่ะ”
การพูดชื่อเต็มของ “พาสเทล เมรี่” ออกมามันทำให้รู้สึกเหินห่าง เมรี่เข้าใจว่าเร็นเร็นพูดแบบนั้นอย่างตั้งใจ แต่มันก็ยังคงทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวด
เชลซีพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “แบบนั้นก็ควรจะบอกตั้งแต่แรก”
“ขอโทษค่ะ” เร็นเร็นขอโทษ “มันน่าเข้าใจผิดใช่ไหมล่ะคะ? คราวหลังฉันจะระวังมากกว่านี้ค่ะ”
“นี่ตรวจดูเสร็จแล้ว? จะตรวจหรืออะไรก็ช่างเถอะ”
“ค่ะ เสร็จแล้ว ดูเหมือนว่านอกจาก 7753 ที่เป็นเจ้าของแล้วจะใช้ได้ยาก โชคไม่ดีเลย…” เร็นเร็นยกแว่นกันลมขึ้นเหนือศีรษะอย่างสุภาพและก้มศีรษะลงเข้าหาพาสเทล เมรี่ราวกับว่าเป็นข้ารับใช้ในตอนที่คืนของมาให้ การได้ใกล้ชิดแม้เพียงชั่วครู่ในตอนที่รับของมามันทำให้หัวใจของพาสเทล เมรี่เต้นแรงขึ้นชั่วครู่ แต่จากนั้นเร็นเร็นก็หันกลับไปทันที ทิ้งให้เธอได้แต่รู้สึกผิดหวัง
เศษฝุ่นและไม้ยังคงลอยอยู่รอบๆพวกเธอเช่นเดียวกับเชลซีที่ยิ้มออกมา เธอวางพาสเทล เมรี่ลงไปบนก้อนหินที่ถูกทำลาย จากนั้นก็นั่งลงมาข้างๆและเริ่มพูดเรื่องเมจิคัลเกิร์ลและเรื่องของตัวเอง
พาสเทล เมรี่มองไปที่เร็นเร็น เธอหวังว่าตัวเองจะเข้าไปร่วมการพูดคุยกันกับอากิและเนฟิเรียได้ แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยเชลซีไปได้ ดังนั้น แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกสลดใจ เธอก็ฟังเรื่องที่เชลซีพูดออกมา
☆ โทตะ มากาโอกะ
มันมีเสียงแตกของต้นไม้ เสียงกิ่งก้านที่หักโค่น เสียงสะเทือนของอะไรบางอย่างที่ถูกทำลาย จากนั้นก็มีเสียงแหลมสูงในอากาศและการสั่นสะเทือน มันทำให้เขาสงสัยเกิดระเบิดอะไรขึ้นรึเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นการระเบิดจริงๆก็ได้ ภายในถ้ำนั้นมันมือสลัวเพราะมีแค่แสงจากดวงจันทร์ แต่โทตะก็บอกได้ว่าราเรโกะนั้นหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
“นั่นมัน… ก้อนหิน! ก้อนหินถูกยิงออกมาเหมือนกระสุนเลย!” ราเรโกะร้อง
มันไม่จบแค่ชุดแรก มันยังมีชุดที่สองและสามของการยิง “หิน” ตามมาด้วย ถ้ำหินมันไม่ได้มั่นคง มันส่งเสียงดังและมีเศษหินเล็กๆร่วงลงมา
ราเรโกะลุกขึ้นมาเป็นท่าก้มต่ำแล้วมองไปยังด้านนอก ด้านนอกนั้นมันอันตรายด้วยเหตุผลอย่างอื่น แต่การอยู่ที่นี่เองก็อันตรายเช่นกัน โทตะเข้าใจเรื่องนั้น กระสุนหินชุดที่สามคือชุดสุดท้าย แต่ที่ผนังถ้ำมันมีรอยแตกขนาดใหญ่อยู่ และมันก็ยังคงส่งเสียงออกมา
โทตะกำมือขวาขอองโยลไว้แน่น และเธอเองก็บีบตอบกลับมา
ราเรโกะลุกขึ้นยืนและก้มตัวลง ในขณะที่โยลกับโทตะยังคงนั่งอยู่ รออย่างใจเย็นและหายใจอย่างเงียบๆ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการโจมตีตามมาและไม่มีใครมาด้วย ห้าหรือสิบนาที ไม่ก็อาจจะนานกว่านั้นที่รอเวลาผ่านไป แต่มันก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสัญญาณออะไร พวกเธอต่างก็ถอนหายใจออกมาตามๆกัน
“จบแล้วเหรอ…?” โทตะสงสัย
“ฉันเองก็สงสัยว่าคุณลุงกับทุกคนจะปลอดภัยรึเปล่านะ?” โยลพูด
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ…?” ราเรโกะพึมพำ
มันมีเสียงประหลาด มีหินร่วงลงมา มีรอยแตกแล่นไปบนเพดานด้วย รอยแตกมันกว้างออกพร้อมกับส่งเสียงจนทำให้โทตะต้องกลืนน้ำลาย
“เงียบก่อนนะ…” โยลกระซิบ ใบหน้าของเธอซีด เสียงของเธอเองก็สั่น “เหมือนว่าขยับพลาดแค่ครั้งเดียวก็จะพังลงมาแล้ว… ราเรโกะซ่อมได้รึเปล่า?”
“จะพยายามค่ะ” ราเรโกะยืนขึ้นพร้อมกับความกังวลแล้วเอื้อมมือขึ้นไปหาเพดาน เมื่อมือของเธออยู่ห่างจากเพดานราวสองนิ้ว ก้อนหินขนาดเท่าศีรษะของผู้ใหญ่ก็ร่วงลงมา ราเรโกะทุบมันไปด้านข้าง แต่มันก็ยิ่งร่วงลงมาก้อนแล้วก้อนเล่าราวกับเพดานกำลังยุบตัวลงมา และราเรโกะก็ปกป้องโทตะและโยลเอาไว้ด้วยร่างกายของเธอ
โทตะกลั้นเสียงร้องเอาไว้ และด้วยการที่ราเรโกะใช้ตัวของเธอปกป้องเขา เขาก็ปกป้องโยลด้วยร่างกายตามไปด้วย โยลที่นอนอยู่สะบัดผ้าคลุมเพื่อดึงเอาการ์ดสามใบจากเด็คที่ใส่เอาไว้ออกมาอย่างไม่พลาด การ์ดนั้นเป็นสีดำล้วนและมีลวดลายมากมายวาดเอาไว้ มันไม่ใช่แบทเลอร์การ์ดที่โทตะรู้จัก โยล ทุบ ทุบ แล้วก็ทุบ การ์ดทั้งสามใบลงพื้นโดยเว้นระยะเท่าๆกัน ตามด้วยเสียง ตึก ตึก ตึก จากการใช้หมุดโลหะสี่นิ้วตรึงการ์ดเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นการปาออกไปด้วยมือของเด็ก หมุดก็ปักลึกลงไปในครึ่งหนึ่งเพื่อตรึงการ์ดเอาไว้ราวกับใช้ค้อนทุบมันลงไป เมื่อได้ยินเสียงการถล่ม โยลก็สำลักฝุ่นควันแล้วก็งอนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์อีกครั้งและอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเธอนั้นเชื่องช้า ใบหน้าเองก็ดูซีดเซียว ลมหายใจติดขัด ไหล่เองก็สั่นอีกด้วย
ราเรโกะใช้มือและเท้ายันตัวเองเอาไว้ด้านบนโยลและโทตะเพื่อปกป้อง เธออดทนต่อก้อนหินจำนวนมากที่ร่วงลงมากระแทกเข้ากับไหล่และด้านหลังศีรษะ เธอโยกตัวไปมาราวกับว่ากำลังเจ็บปวด และจากนั้นก็ผลไม้สีเทาหล่นลงมาจากตรงหน้าอกของเธอ “เอาไป… ให้คุณหนู…!”
มือของโทตะจับผลไม้เอาไว้ทันที จากนั้นก็ใส่มันเข้าไปในปากของโยลอย่างระมัดระวัง
ดวงตาของโยลเบิกกว้าง เธอขยับแค่ศีรษะเพื่อกัดเข้าไปที่ผลไม้และมันก็หมดภายในสามคำ ท่าทางนั้นดูหยาบไม่สมกับตัวตนที่เป็นเด็กสาวผู้ร่ำรวย แต่นี่ก็คงพูดเกินจริงไปหน่อย ดวงตาของเธอกลับมามีพลังชีวิต และมือเองก็กลับมาทำท่าสัญลักษณ์ต่อ ในท่าทางที่ลื่นไหลนั้น เธอเอามือมาประสานเข้าด้วยกันเป็นอันดับสุดท้ายแล้วก็ชี้เข้าไปหาการ์ดและหมุดที่ปักไว้ จากนั้นการ์ดมันก็ติดไฟในทันทีราวกับเป็นทริคเวทมนตร์
แม้โทตะจะคิดว่า “เหมือนทริคเวทมนตร์” แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่ามันคือเวทมนตร์ของจริงมากกว่า
โทตะรู้สึกว่าเสียงมันหยุดลงแล้ว ราเรโกะดันตัวเองขึ้น ก้อนหินที่ร่วงลงมาใส่เธอจากด้านบนก็กลิ้งลงมาที่พื้น
ฝุ่นค่อยๆหายไปทีละเล็กทีละน้อย ดวงตาของโทตะเบิกกว้างด้วยความตกใจ มันมีเส้นเรืองแสงปะเข้าอยู่ในรอยแตกและจุดที่หายไปของเพดานและผนังถ้ำ คอยค้ำยันเอาไว้ราวกับแผ่กิ่งก้าน มันดูเหมือนกับเป็นตาข่ายที่ค้ำยันพื้นที่เอาไว้โดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องหินหรืออะไรบางอย่างที่จะร่วงลงมาเลย
“คะ-คุณหนูคะ แบบนี้มันเกินไป…” ราเรโกะพูดอย่างติดๆขัดๆ “วู่วามแบบนี้มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะคะ”
“ฉันคิดว่าควรจะถามราเรโกะก่อนนะว่าเป็นอะไรรึเปล่า” โยลพูด
“เมจิคัลเกิร์ลน่ะฟื้นตัวได้เร็วอยู่แล้วค่ะ” ราเรโกะปัดหมวกและผ้าคลุมของโยลอย่างเบาๆ จากนั้นก็ปัดศีรษะและไหล่ของตัวเอง ถอดแว่นที่สวมอยู่ออกแล้วก็สำรวจดูจากหลายๆมุม เหมือนกับว่าเธอกังวลเรื่องแว่นมากกว่าตัวของเธอเอง เมื่อเห็นแบบนั้น โทตะก็นึกได้ว่าตัวเองก็เปื้อนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงปัดฝุ่นที่ติดอยู่ที่ตัวออก
“ผลไม้สีเทาที่เอาให้ฉัน นั่นคือลูกที่ฉันให้ไปใช่ไหม?” โยลถาม “ไม่ใช่ว่ามันเป็นลูกสุดท้ายแล้วเหรอ? ถ้าราเรโกะแปลงร่างไม่ได้พวกเราจะมีปัญหาเอานะ”
“ดิฉันคิดว่าคงมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่การแปลงร่างจะคลาย อีกไม่นานก็จะรุ่งสางแล้ว พอมีแสงสว่างก็รีบไปรวบรวมผลไม้ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น เอ่อ อ๊ะ แม้ดิฉันจะรู้สึกแบบนั้น เอ่อ ลึกๆแล้วดิฉันให้อภัยตัวเองไม่ได้ที่ต้องพึ่งพาเวทมนตร์ของคุณหนู ทั้งๆที่ดิฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนที่ปกป้องคุณหนู”
“จะปกป้องฉันรึเปล่ามันไม่สำคัญหรอก” โยลเอามือขวาวางลงไปบนมือของโทตะที่อยู่ตรงไหล่ของเธอ จากนั้นยกนิ้วโป้งซ้ายขึ้นมา ชูเอาไว้ในตอนที่หันกลับไปมองด้านหลัง เธอยิ้มออกมาอย่างกล้าหาญราวกับเป็นดูเอลลิสต์ในอนิเม “ฉันนั่งอยู่เฉยๆเพื่อให้ถูกปกป้องไม่ได้หรอกนะ ฉันเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน”
ตาของเธอมีสีแดงก่ำ รอยน้ำตายังคงมีอยู่บนแก้ม โทตะกัดฟัน แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะรู้สึกร่าเริง แต่เธอก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อโทตะและราเรโกะ
ทุกสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการทำให้บรรยากาศดีขึ้นโดยการทำตัวสดใสร่าเริง แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงเรื่องที่เขาสามารถทำได้ ซึ่งมันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย โทตะที่จับมือของโยลเอาไว้เดินวนมาด้านหน้าเธอแล้วก็คุกเข่าลงไป
“อ่า จริงสิ เธอเป็นจอมเวทนี่นา”
“อ่า จริงสิ นี่อะไรอ่ะ? ลืมไปแล้วเหรอเนี่ย?” โยลแก้มป่อง
“ก็ผมไม่เคยเห็นเธอใช้เวทมนตร์มาก่อนเลยนี่นา”
“พูดแบบนั้นใจร้ายจัง ทั้งๆที่ฉันคิดว่าการพยายามเป็นความคิดที่ดีแท้ๆ”
“ใช่ฮะ มันเยี่ยมมากเลย ตอนดึงการ์ดออกมาก็เท่”
“แหะแหะ” โยลหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันเอาเครื่องรางเวทมนตร์มาด้วยเพราะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้ ฉันต้องใช้เวลาฝึกวาดตั้งนานกว่าจะออกมาดูดี นานกว่าที่เรียนรู้เรื่องเวทมนตร์ซะอีกนะ”
โทตะยิ้มออกมา โยลเองก็ยิ้มตอบ พวกเธอคุยกันอย่างเบาๆเพราะต้องระวังไม่ให้ภายนอกได้ยินเสียงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่กระนั้น พวกเธอก็สามารถหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานได้เป็นครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนาน
“คุณหนู” เสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาขัดจังหวะ โยลและโทตะต่างก็หันกลับไปมอง ตรงจุดที่ราเรโกะอยู่กลายเป็นมีมนุษย์ผู้หญิงในชุดเมดอยู่แทน เธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลแต่เป็นหญิงสาววัยผู้ใหญ่ เธอดูแย่ยิ่งกว่าราเรโกะก่อนหน้านี้เสียอีก ใบหน้าของเธอซีดเซียว หญิงสาวแตะใบหน้าของตัวเอง และมันก็มีเสียง “อ๊ะ อ๊ะ!” ดังขึ้นราวกับว่ากำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง
โยลชี้ไปที่เธอพร้อมกับมือที่สั่นเทา “ราเรโกะ เธอ…” เสียงของเธอสั่นยิ่งกว่ามือ และผู้หญิงคนนั้น —ราเรโกะ— ก็สั่นยิ่งกว่าโยล หากตัวขอองโยลกำลังสั่น แบบนั้นราเรโกะก็กำลังสั่นอย่างรุนแรง
“ทำไมกัน…? ทำไมมันถึงเร็วกว่าก่อนหน้านี้อีกล่ะ” ราเรโกะพูด
“แล้วผลไม้ที่ราเรโกะเก็บเอาไว้ล่ะ?” โยลถาม
“ลูกที่ดิฉันให้คุณหนูไปเป็นลูกสุดท้ายแล้วค่ะ…”
โยลมองตรงไปที่ทางเข้า เธอจับไม้เท้าของตัวเองและยืนขึ้น โทตะจับต้นแขนของเธอเอาไว้จากด้านหลัง ในขณะที่ราเรโกะจับข้อมือเอาไว้จากด้านหน้าเพื่อหยุดเธอเอาไว้
“มันเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้พวกเราไม่มีผลไม้เหลืออยู่อีก” โยลพูดออกมา “ฉันจะเป็นคนไปหาผลไม้เอง”
“ไม่นะฮะ ออย่าทำแบบนั้น!” โทตะพูด “ถ้าเธอไม่ใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แบบนั้นพวกเราก็โดนฝังทั้งเป็นไปแล้ว!”
“แล้วแบบนั้นฉันควรทำยังไงล่ะ…? เอาขึ้นมาเหรอ?”
“เอาขึ้นมา?”
“จากในท้อง”
“คุณหนู!” ราเรโกะตวาด
“ไม่นะ —โยลอย่าทำแบบนั้นเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก” โทตะพยายามโน้มน้าวเธอและยังคงจับแขนของเธอเอาไว้แน่น
แขนของโยลหยุดกระชากและคลายลงแล้ว โทตะปล่อยเธออย่างลังเล โยลล้มตัวลงพร้อมกับเอามือแตะพื้น ราเรโกะดูเหมือนว่าจะรู้สึกโล่งอกพร้อมกับปาดเหงื่อที่หน้าผาก
โยลที่ยังคงมองลงไปที่พื้นพึมพำออกมาออย่างเบาๆจนแทบจะไม่ได้ยิน “แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ…?”
โทตะที่ลังเลก็ก้มหน้าลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและทำท่าทางให้สดใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เมื่อด้านนอกสว่างแล้ว ออกไปหาผลไม้กันเถอะอะ คุณนาวี่เองก็คงมาด้วย”
ราเรโกะพยักหน้าอย่างอ่อนแรง โยลนั้นพึมพำว่า “อื้อ” ออกมา
☆ จอห์น เชพเพิร์ดพาย
มานานั้นอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอด แค่เดินเธออยู่ก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้พยายามปกปิดความหงุดหงิดของตัวเองเลย มันเลยทำให้เชพเพิร์ดพาย คนที่ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากทำให้เธออารมณ์เสียรู้สึกอึดอัด
ไหล่ของ 7753 ลู่ลงราวกับหมดสิ้นกำลัง เธอเอาแต่โทษตัวเอง บอกว่ามันเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่มีประโยชน์เลยซักนิดเพราะแว่นกันลมหายไป
แต่ยิ่งไปกว่าที่เชพเพิร์ดพายเห็น 7753 ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้มานาอารมณ์ไม่ดี บางที 7753 อาจจะเป็นลำดับที่สาม เพราะมานานั้นโกรธเรื่องมิสมาร์เกอริตมากกว่า มานายกเรื่องที่มิสมาร์เกอริตปล่อยให้เชลซีหนีไปได้ขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง คิดว่ามิสมาร์เกอริตจะสามารถเอาชนะได้หากต่อสู้กันแบบจริงๆ และเมื่อมิสมาร์เกอริตตอบกลับอย่างเบาๆ มานาก็โกรธแล้วพูดออกไปว่า “เลิกแก้ตัวได้แล้ว” มิสมาร์เกอริตจึงพูดว่า “ชั้นสู้กับเธอได้หากได้รับอนุญาตให้ฆ่านะ” แต่ถึงจะเป็นในกรณีนั้น พวกเธอก็คงปล่อยให้มิสมาร์เกอริตไปสู้ไม่ได้อยู่ดี
เท็ปเซเคเมย์นั้นกำลังวุ่นอยู่กับการดมกลิ่นที่ด้านหน้าของกลุ่มโดยไม่มีท่าทางที่สนใจเรื่องที่คุยกัน แม้จะดูเหมือนว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ค่อยพูดมาตั้งแต่แรก หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้พยายามเข้ามาร่วมทั้งๆที่สามารถทำได้ก็เป็นได้
7753 นั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เพราะแบบนั้นเธอก็เลยไม่พูดอะไรออกมา
เรื่องนี้มันบังคับให้เชพเพิร์ดพายต้องเป็นคนที่คอยประคับประคองเรื่องต่างๆ เมื่อมานาพยายามยกมันขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จะเปลี่ยนหัวข้อ พยายามเบี่ยงเบนความโกรธของเธอมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าจะรู้สึกหิวมาตั้งแต่แรก —ซึ่งความหิวนั้นเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด— เขาก็ถูกบังคับให้ต้องพยายาม เมื่อมานาเริ่มจะพูดว่า “ย้อนไป—” เขาก็พูดตัดด้วยการพูดออกมาว่า “อ๋อ จริงสิ มัน…”
เสียงเบาๆจากด้านหลังบอกให้เขาพูดต่อ “เชิญ” เขภายในใจของเขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และเมื่อตอบกลับไปว่า “ขออนุญาตนะ” เชพเพิร์ดพายก็พูดต่อ “ดวงอาทิตย์มันลับขอบฟ้าไปนานพอสมควรแล้ว”
“ก็จริง” มานาตอบกลับอย่างไม่พอใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้น มิสมาร์เกอริตก็พูดต่อ “อีกไม่นานก็คงจะรุ่งสาง”
เชพเพิร์ดพายพยักหน้า “ชั้นมองไม่เห็นในความมืดต่างจากเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นการที่ช่วงช้ามาเยือนมันเลยเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แบบนั้นชั้นเองก็จะสามารถช่วยหาผลไม้ได้ด้วย… แต่ก็ไม่รู้ว่าความพยายามของชั้นมันจะได้ซักแค่ไหนนะ”
เขาเดินตามหลังมิสมาร์เกอริตและก้าวเท้าตามจังหวะของเธอเพื่อไม่ให้ตัวเองสะดุด แต่มันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะมองไปรอบๆเพื่อค้นหาผลไม้สีเทาในขณะที่กำลังเดินอยู่
“ขอบคุณมากนะ” มิสมาร์เกอริตตอบ
การที่เธอขอบคุณมันทำให้เชพเพิร์ดพายรู้สึกประหลาด เพราะว่าเขาพูดออกมาโดยที่ไม่ได้จริงใจตั้งแต่แรก ภายในใจของเขามีเรื่องอยู่มากมาย หิวชะมัด ให้พวกเราพักได้แล้ว อยากกลับบ้าน อยากนอน หวังว่าทุกอย่างมันจะเป็นแค่ความฝัน อยากตาย ทำให้ชั้นรู้สึกปลอดภัยหน่อยสิ ทุกเรื่องมันคือการเป็นห่วงตัวเองและไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขาสามารถพูดมันออกมาดังๆเพื่อให้คนอื่นได้ยิน
“ก็นะ อืมม จริงๆแล้ว คงไม่ได้มากอะไรนัก…” เชพเพิร์ดพายพูด
“ถ้าแบบนั้นชั้นก็จะพูดว่า” มานาพูดขัด ในขณะที่เชพเพิร์ดพายรู้สึกที่ค่อยพอใจก็คิดว่า ถ้าเธอจะพูดมันออกมาล่ะก็… เขาคงไม่พูดตัดเธอเป็นครั้งที่สอง
“ก่อนอื่นเลย” มานาพูดต่อ “สมมติพวกเรารวบรวมผลไม้สีเทาได้แล้ว หลังจากนั้นจะทำอะไรต่อ? ชั้นไม่คิดว่าทุกคนจะมารวมตัวกันหรอกนะ”
“หืม?”
“เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเชลซีแปลกไป เหมือนว่าเธอกำลังถูกใครบางคนควบคุมอยู่ คนอื่นจะถูกควบคุมอยู่ด้วยรึเปล่านั้นมันก็ยืนยันไม่ได้ —และมันก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าพวกนั้นจะไม่ทำการควบคุมด้วย อย่างน้อยหากจับตัวเชลซีได้ พวกเราก็จะได้รู้อะไรมากขึ้น”
สุดท้ายแล้วเธอวกก็กลับมาพุดเรื่องเดิมอีก มันทำให้เชพเพิร์ดพายอยากจะถอนหายใจออกมา แต่เขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้กลางคัน การถอนหายใจออกมาจะทำให้มานาไม่พอใจ และมันก็จะทำให้เชพเพิร์ดพายรู้สึกหิวโดยไม่จำเป็น มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย หากพวกเธอกลับไปที่อาคารหลักได้ แบบนั้นเชพเพิร์ดพายก็สามารถใช้ทักษะในการทำอาหารของตัวเอง —ที่เป็นสิ่งเล็กที่เขาภูมิใจ— และเติมเต็มกระเพาะ นั่นก็คงทำให้หัวใจของมานาสงบลงเช่นกัน แต่ถ้าเขาจะเสนอเรื่องแบบนั้นออกมา มันก็คงไม่พ้นการที่จะถูกมานาด่าแน่นอน
“นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่ชั้นจะ—” มิสมาร์เกอริตหยุดพูดกลางคันและหยุดนิ่ง เชพเพิร์ดพายสังเกตเห็นว่ามือขวาของเธอจับที่เรเปียเรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเธอจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตื่นตัว
ที่ด้านหน้าของพวกเธอห่างออกไปราวสิบก้าวถัดจากพุ่มไม้เตี้ยๆที่ขึ้นหนาก็คือบ่อน้ำ กลิ่นของน้ำโชยเข้ามาหาพวกเธอตามด้วยเสียงของน้ำ —เสียงกระเพื่อมบนผิวน้ำ เสียงของอะไรบางอย่างที่จมลงไป และเสียงของน้ำที่สาดลงมา เนื่องจากว่ามันมืด เขาจึงพยายามใช้หูแทนดวงตา แต่เขาก็บอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นผิวน้ำก็แยกออก ดวงตาของเชพเพิร์ดพายเบิกกว้าง มันเป็นภาพเงาที่มีรูปร่างของมนุษย์
ที่บ่อน้ำ? ทำไม? ใครกัน?
ภาพนั้นค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลราวกับว่าไม่มีแรงของน้ำที่ต้านอยู่เลย ร่างกายส่วนบนค่อยๆขึ้นมาจากบ่อน้ำ
มือแต่ละข้างถือวัตถุที่ส่องประกายอยู่ เชพเพิร์ดพายหรี่ตา วัตถุที่ส่องสว่างภายใต้แสงจันทร์ก็คือขวานแบบที่คนตัดไม้ใช้กัน
ขวานที่ส่องสว่างทำให้มองเห็นใบหน้าของรูปร่างนั้น นั่นคืออเด็กสาว —ไม่สิ คือเทพธิดาต่างหาก คำพูดอย่าง “ภายในหัวนั้นว่างเปล่า” หรือ “นัยน์ตาชวนฝัน” เหมาะกับการอธิบายท่าทางที่เรียบเฉยของใบหน้าอันไร้ที่ติได้เป็นอย่างดี มันไม่ชัดเจนว่าเธอเพ่งมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารึเปล่า เสื้อคลุมเรียบๆที่มีสีขาวล้วนมันลอยอยู่เล็กน้อย ในขณะที่เส้นผมสีทองราวกับไหมพริ้วไหวไปกับลม เส้นผมดูเหมือนจะมีน้ำหนักเบา แม้ว่าจะเพิ่งขึ้นมาจากน้ำแต่เธอก็ไม่ได้เปียกเลย
ขวานด้ามหนึ่งส่องประกายเป็นสีทอง ส่วนอีกด้ามหนึ่งเป็นสีเงิน เธอเป็นคนที่ดูเหมือนกับ “เทพธิดาในฤดูใบไม้ผลิ” ที่อยู่ในนิทาน เมื่อเชพเพิร์ดพายยังเป็นเด็ก เขาอ่านเทพนิยายที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของคนตัดไม้ที่ได้รับขวานทองมาในหอสมุดของดินแดนเวทมนตร์ มันมีหนังสือภาพของเด็กและนิทานอีสปมากมาย มันมีภาพของเทพธิดาที่สดงามถือขวานอันแสนจะมีเสน่ห์ มันทำให้เขาในวัยเด็กรู้สึกประทับใจมาก ตัวเรื่องราวนั้นไม่ได้สร้างความประทับใจเหมือนกับภาพประกอบ เขาแค่รู้สึกอิจฉาคนตัดไม้ที่ได้ของมาฟรีๆ แทนที่จะได้บทเรียนว่าการซื่อสัตย์คือความถูกต้อง
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?” จู่ๆเทพธิดาก็ถามอออกมา เสียงของเธอดังไปทั่วป่าที่มืดสลัว เสียงของเธอไม่ใช่แค่ได้ยินอย่างชัดเจน แต่ยังคงอ่อนหวานและนุ่มนวลมากด้วย
เทพธิดาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงมาที่พวกเธอและพูดว่า “รึว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?”
ภาพในดวงตาของเธอยังคงว่างเปล่า ราวกับบอกไม่ได้ว่าเธอกำลังมองไปที่ไหน แต่มันก็ชัดเจนว่าเธอกำลังพูดอยู่กับใคร และหัวใจของเขาก็เต้นรัว
เชพเพิร์ดพายไม่ได้ละสายตาออกไปจากเทพธิดา เขาไม่ได้กระพริบตาด้วยซ้ำ แต่มือซ้ายของเทพธิดาขยับเล็กน้อย จากนั้นมันก็มีเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างถูกสะท้อน และจากนั้นร่างกายท่อนบนของเท็ปเซเคเมย์ก็หายไปก่อนที่เขาจะทันได้คิด
บ่อน้ำระเบิดออกจนน้ำกระจายไปทั่ว แขนสองข้างของเทพธิดาขยับ จากนั้นร่างกายท่อนล่างของเท็ปเซเคเมย์ก็หายไปในทันที มิสมาร์เกอริตก็หายไปด้วย ตามด้วยพื้นที่แตกออก ต้นไม้หลายต้นที่โค่นลงมาในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว เชพเพิร์ดพายทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้น พูดอะไรไม่ออก จะหมดสติหรือล้มตัวลงกับพื้นก็ไม่ได้
บางสิ่งถูกสะท้อนออก ขวานสีเงินกลายเป็นสีฟ้า และขวานสีทองก็กลายเป็นสีแดง มันกำลังเคลื่อนไหวพร้อมกับเสียงที่เหมือนกับการคายประจุไฟฟ้า เสียงดังขึ้นอีกครั้ง มีบางอย่างขยับจากทางขวาไปทางซ้าย และต้นไม้ทั้งหมดก็โค่นลงไปพร้อมกันในคราวเดียว ใบไม้แห้งฉีกขาดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีพายุพัดดินและทรายขึ้นไปพร้อมกับคว้านพื้นดินลึกลงไป มีละอองน้ำเทลงมา ในตอนที่ต้นไม้ร่วงหล่นลงมาจากด้านบน ทุกสิ่งมันก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าด้วยเหตุผลบางอย่าง เทพธิดาป้องกันเรเปียเอาไว้ด้วยขวานในมือซ้ายพร้อมกับเหวี่ยงขวานในมือขวาขึ้นด้านบน เสียงกรีดร้องของ 7753 และเสียงตะโกนของมานาที่ดังขึ้นก็ค่อยๆห่างออกไป
เชพเพิร์ดพายกางแขนทั้งสองออก เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างกับสถานการณ์ในตอนนี้ ชั่วพริบตาให้หลัง เขาก็รู้สึกกลัวการกระทำของตัวเอง แต่มันก็สมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด เทพธิดาที่ยังคงมีท่าทีว่างเปล่าเช่นเดิมเอียงศีรษะแล้วก็เหวี่ยงขวานลงมา
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
การรักษาสมดุลระหว่างเชลซีและเมรี่มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าที่เร็นเร็นคิดเอาไว้ อากิพูดกับเธออย่างไม่ได้จริงจังว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็อีกหนึ่งหรือสองคนนะ” แต่ยิ่งมากคนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอยู่เหนือการควบคุมของเร็นเร็น ไม่ใช่ว่าเธออาจจะไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้อีกต่อไป แต่มันชัดเจนว่าเธอไม่มีการควบคุมเหนืออีกฝ่ายแล้วต่างหาก พฤติกรรมของเชลซีนั้นหุนหันพลันแล่นและแปลกประหลาด เธอเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้มาตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้น เธอใช้พลังที่รุนแรงจนไม่น่าเชือ แม้ว่าจะมีการช่วยเหลือจากเมจิคัลเกิร์ลทุกคน พวกเธอก็ไม่อาจยับยั้งเชลซีได้หากสูญเสียไป
“ก็นะ เธอทำเรื่องที่ทำได้แล้ว” อากิพูด “ฉันอยากได้จำนวนมากกว่านี้อีกหน่อย แต่ถ้าพวกเราไม่มี นั่นก็หมายความว่าพวกเราต้องลงมือโดยที่ไม่มีนั่นแหละ”
“ขอโทษค่ะ” เร็นเร็นพูด
“ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องขอโทษหรอกนะ ใช่ว่ามันเป็นความผิดของเธอซักหน่อย แค่เชลซีคนเดียวก็มากพอสำหรับสองหรือสามคนแล้วใช่ไหมล่ะ? เธอทำแม้กระทั่ง…” อากิยกแว่นกันลมเอาไว้ตรงใบหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา “… เอาเจ้านี่มาให้พวกเรา”
“ทางนั้นคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไรใช่ไหมคะ?”
“ถ้ามี แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอก”
เร็นเร็นสามารถจินตนาการถึง 7753 คนที่ถูกขโมยแว่นกันลมเช่นเดียวกับจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่กับเธอ แต่ทุกสิ่งที่เธอทำได้ก็คือการขอโทษอยู่ในใจ
“รู้ไหม เธอไม่จำเป็นต้องจริงจังกับมันนักก็ได้” อากิตบเข้ามาที่หลังของเธอเบาๆ เร็นเร็นมองกลับไปที่เธอ อากินั้นดูสนุกสนานเพียงแค่ไม่กี่ครั้งตั้งแต่มายังเกาะแห่งนี้ แต่เธอไม่เคยยิ้มออกมาด้วยความสนุกสนานเหมือนกับในตอนนี้เลย เนฟิเรียที่อยู่ด้านหลังเธอห่างไปหนึ่งก้าวครึ่งเองก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เร็นเร็นเป็นเพียงคนเดียวที่จริงจังอย่างที่อากิพูด
“แต่มันเป็นอาชญากรรมนะคะ” เร็นเร็นแย้ง
“นี่มันเป็นธุรกิจนะ โอเค ได้เวลารวยกันแล้ว”
“แต่นี่มัน —เดี๋ยวก่อนค่ะ” เธอเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่หางตา เร็นเร็นใช้ธนูง้างลูกศรแล้วก็ก้าวไปข้างหน้าอากิ แผ่นกระดาษสีขาวลอยออกมาจากความมืดภายในป่าด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับการเดินของเด็ก บางทีมันอาจจะไม่ได้บินอยู่ แต่พูดว่ามันลอยอย่างผิดธรรมชาติออาจจะถูกต้องกว่า
เร็นเร็นที่ยืนอยู่ด้าหน้าอากิปัดมันไปด้านข้างอย่าเบามือ แต่อากิก็หยิบกระดาษนั้นมาไว้ในมือ
“อันตรายนะคะ” เร็นเร็นเตือน “มันอาจจะเป็นพิษหรืออาจจะระเบิดก็ได้”
“ไม่หรอก แค่จดหมายน่ะ” อากิเปิดแผ่นกระดาษที่พับเป็นสี่ทบออกและอ่านเนื้อหา เธอยิ้มออกมาเพียงแค่มุมปาก “คำเชิญน่ะ ฉันจะออกไปซักหน่อย ฝากเธอดูอย่างอื่นด้วย”
อากิวิ่งออกไป เร็นเร็นที่มองแผ่นหลังของเธอก็ตื่นตระหนก เมรี่ดูเหมือนว่าจะกังวลเรื่องของพวกเธอ ส่วนเชลซีนั้นไม่ได้สนใจและยังคงพูดเรื่องของตัวเองต่อ เร็นเร็นมองเมรี่ด้วยท่าทีปฎิเสธเพื่อไม่ให้เธอเข้ามา ในขณะที่เธอพูดกับเนฟิเรียว่า “ฝากหน่อยนะคะ” ก่อนที่จะตามอากิไปโดยที่ไม่ได้รอให้เนฟิเรียพยักหน้าตอบ
“จะไปไหนเหรอคะ?” เร็นเร็นถาม
“เธอเองก็มาด้วย?” อากิพูด “จดหมายนั่นบอกว่าอยากให้ฉันมาคนเดียวน่ะ”
“คนเดียว? ไม่ค่ะ มันอันตรายเกินไป”
“ฉันไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรหรอก… แต่ว่า… ฉันคิดว่าบางทีการให้เธอรู้เอาไว้ด้วยอาจจะดีกว่า ฉันสงสัยว่าเขาต้องการอะไร แต่นั่นมันคงทำให้เรื่องต่างๆง่ายสำหรับฉันไปด้วย” อากิพยักหน้าหลายครั้งราวกับว่าสำหรับเธอแล้วมันสมเหตุสมผล จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จดหมายมา
เร็นเร็นยังคงพยายามพูดให้เธอหยุดหลายต่อหลายครั้ง “มันอันตรายเกินไป” แล้วก็ “คุยกันก่อนดีกว่าค่ะ” แต่อากิก็ไม่ได้ทำออะไรอย่างอื่นนอกจากหัวเราะ ไม่ได้ฟังเธอ หรือหยุดแต่อย่างใด
พวกเธอเดินอยู่ภายในป่าที่มืดมิด เมื่ออากิสะดุดรากไม้หนาและจะล้มลงกับพื้น เร็นเร็นก็เข้ามาข้างๆเพื่อช่วยพยุงเอาไว้ “หวา ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ที่สำคัญคือ—”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก บางทีฉันคงเดินไม่ดูทางในความมืดเอง แต่ดูเหมือนพวกเราคงไม่ต้องเดินไปไกลกว่านี้แล้วล่ะ”
มันมีเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงบนพื้นดังออกมาจากในป่าลึก ตามด้วยเสียงการเตะต้นไม้ และเสียงของใครบางคนที่สบถออกมา จากนั้นภาพของจอมเวทที่เร็นเร็นรู้จัก —นาวี่ ลู— ก็ปรากฏออกมา บางทีอาจเป็นเพราะทิศทางที่เขาออกมาไม่ได้มีทางเดินอยู่ เพราะแบบนั้นหนามแหลมจึงติดอยู่ที่ฮู๊ดของเสื้อคลุม
เขาดูเหมือนอย่างเคย ไม่ได้ดูเหนื่อยเลย เขาเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง ดูเหมือนว่าตังเองมีพลังเต็มเปี่ยม มีเพียงเหงื่อและเคราที่ไม่ได้โกนอยู่บนใบหน้า บวกกับรอยเลือดแห้งที่บ่งบอกว่าเวลาผ่านมาพอสมควรแล้ว อากิและนาวี่ยืนกันแต่ละข้างของทางเดินสัตว์เอาไว้ในตอนที่เผชิญหน้ากัน
“นายส่งจดหมายนี่มาใช่ไหม?” อากิถามเขา
“อื้อ ใช่แล้ว” นาวี่มองเร็นเร็นด้วยท่าทางนี่ยากจะบ่งบอกว่าเป็นมิตร และอากิก็โบกมือปัด
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเร็นเร็นหรอก เธอก็เหมือนอีกครึ่งหนึ่งของฉันน่ะ”
“ชั้นแน่ใจว่าเธอคงเห็นเป็นแบบนั้นสินะ”
“มันคงคุยกันยากขึ้นหากนายไม่ยอมรับเธอ”
ในคราวนี้ ท่าทางของเขากลายเป็นขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยท่าทางที่กำลังกอดอกและมองลงมาที่อากิ เขาดูไม่เหมือนอย่างอื่นนอกจากเป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมเลย บางทีเขาอาจใช้ท่าทางแบบนี้เพื่อกดดันคนอื่นด้วย
แต่มันก็ไม่ได้ผลกับอากิ เธอเมินท่าทางของนาวี่ไปด้วยรอยยิ้มที่ดูตลก “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรน่า ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก โอเคไหม”
นาวี่เป็นคนที่หันออกไปก่อน เขาพึมพำออกมาว่า “ให้ตายเหอะ” ตอนที่ก้มหน้าลงราวกับพูดกับตัวเอง จากนั้นก็ดึงม้วนผ้าออกมาจากแขนเสื้อและเปิดออก ผ้านั้นลอยขึ้นไปเหนือพื้นดินราวห้าสิบเซ็นติเมตร จากนั้นนาวี่ก็นั่งลงไปที่ด้านหนึ่ง มันคือพรมที่มีหน้ากว้างหนึ่งเมตรและยาวสองเมตรครึ่ง “ก็ได้ งั้นก็ได้เวลาคุยแล้ว”
“ฉันคิดว่านายจะมาเร็วกว่านี้ซะอีก พอนายไม่ค่อยร่วมมือมันก็สร้างปัญหาให้ฉันนะ”
“นี่เธอรอให้ชั้นมาหาเรอะ?”
“ฉันรู้ว่านายมีเรื่องอยากจะพูด มันไม่มีทางที่นายจะไม่มาหรอก ส่วนหนึ่งก็เพราะนายไม่อยากให้พวกเราสร้างปัญหา และก็ยังเป็นเพราะว่าถ้าเป็นไปได้นายก็อยากให้พวกเราร่วมมือด้วย”
“หืม ฟังดูเหมือนว่าเธอจะคิดเรื่องนี้มาเยอะ แต่ก็ถูก ชั้นจะหามาเธอจริงนั่นแหละ เธอนี่คิดอะไรเรื่องชั้นมากไปหน่อยนะ”
“เพราะมันเกือบจะถึงจุดที่ฉันรอต่อไปอีกไม่ได้แล้วไงล่ะ ฉันคิดว่าบางทีนายคงหาพวกเราไม่เจอ ฉันก็เลยแค่คิดว่าพวกเราควรจะช่วยด้วยการเป็นฝ่ายไปหา”
“อย่างนั้นเหรอ? เอาเถอะ นั่งสิ” นาวี่ตบลงไปที่ข้างตัว และอากิก็กระโดดขึ้นไป เร็นเร็นยังคงจับตามองจอมเวททั้งสองตรงหน้าโดยที่ไม่ได้ลดธนูลง แม้ว่าอากิจะไม่ได้มีโอกาสจัดผมหรือเสื้อผ้า เธอก็ดูไม่ต่างไปจากตอนเช้าเลย
“เหมือนว่าเธอจะไปรวบรวมผลไม้สีเทามาสินะ” นาวี่พูด
“ใช่ พวกเราทำแบบนั้น” อากิตอบ
“แล้วก็ทำให้เมรี่เป็นคนติดตาม?”
“เชลซีก็ด้วย”
“บอกชั้นหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงพยายามทำให้เรื่องมันแย่ลงด้วย?”
อากิบุ้ยปากราวกับว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจแล้วก็ยักไหล่ให้เขา “ทำเรื่องให้แย่ลง? ฉันขอค้านนะ ฉันพยายามจะช่วยนายต่างหาก ฉันพูดแล้วว่าฉันจะเก็บความลับของกันและกันเอาไว้ และเรื่องอื่นๆอย่างการพยายามไม่ให้สิ่งที่มีปัญหาถูกเปิดเผยไปยังคนอื่น ใช่ไหมล่ะ? พวกเราพาเนฟิเรียมาด้วยตั้งแต่แรกที่เจอกันเพื่อทำสัญญาตามที่พูด สัญญานั่นผูกทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน นายเองก็เข้าใจใช่ไหม?”
“อื้อ ชั้นเข้าใจ”
“และมันไม่ใช่แค่ฉันกับนายนะ มันนับถึงคนที่อยู่ใต้การควบคุมเช่นเดียวกับเพื่อนของฉันด้วย ดังนั้นเร็นเร็นกับเนฟี่จะไม่ถูกโจมตีโดยอะไรก็ตาม”
นาวี่ใช้ปลายนิ้วชี้ของมือขวาและนิ้วโป้งลูบไปตามกรามและดึงหนวด มันดูเจ็บแต่ตัวของเขาเหมือนจะไม่รู้สึกแบบนั้น ความสนใจของเขานั้นเพ่งอยู่ที่เรื่องอื่น เขาจ้องมองไปที่ต้นไม้ด้วยท่าทางที่ไม่เคยทำมาก่อน ราวกับว่ากำลังมองไกลออกไปที่ไหนซักที่ “นี่คุณผู้หญิงพยายามจะทำอะไรเรอะ? อย่าทำอะไรที่มันอันตรายเกินไปดีกว่านะ คู่หูเก่าของชั้นอยู่ที่เกาะนี้ด้วย เช่นเดียวกับเพื่อนใหม่”
“ฉันเองก็ไม่อยากทำอะไรบ้าๆเหมือนกัน เธอเองก็คิดแบบเดียวกันใช่ไหม เร็นเร็น?”
เร็นเร็นรีบพยักหน้าจากการที่บทสนทนาจู่ๆก็หันมาหาเธอ ท่าทางของเธอดูรีบร้อนแต่ก็จริงใจ เธอไม่อยากให้อากิทำอะไรบ้าบิ่นเลย
อากิยิ้มกลับมาเหมือนกับเนฟิเรียแล้วก็พยักหน้า “ฉันคิดว่าจะยกผลไม้สีเทาให้กับใครก็ตามที่พูดว่าตัวเองต้องการ บนเกาะนี้มันคือไอเท็มที่ทรงคุณค่า และไม่ใช่เท่านั้น มันก็ยังมีหลายคนที่เป็นแบบนั้นด้วยใช่ไหมล่ะ? แน่นอนว่าฉันจะได้รับคำขอบคุณด้วย ฉันสามารถสร้างสัญญาได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่จำเป็นต้องตอบแทนตอนที่อยู่บนเกาะนี้ พอพวกเราออกไปแล้วฉันก็จะได้มันมา”
“เงิน?”
“ดูทำหน้าเข้าสิ”
นาวี่ลูบใบหน้าของตัวเอง เลือดแห้งๆที่ติดอยู่บนหน้าผากหลุดออกและร่วงลงมา “หน้าอะไรเรอะ?”
“ใบหน้าที่บอกว่า ‘นี่เธอยอมเอาทุกอย่างไปเสี่ยงเพื่อเรื่องเล็กๆอย่างเงินเนี่ยนะ?’ ” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของอากิในทันที เธอมีท่าทางเหมือนกับว่ากำลังจ้องมองอะไรบางที่ตัวเองไม่อาจมี แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางได้มา เธอก็ไม่ยอมถอย ความอิจฉา ความระแวง ความขมขื่น และความคับข้องใจล้วนผสมรวมเข้าด้วยกัน และสิ่งที่อยู่ด้านบนสุดก็คือการตัดสินใจว่าเธอต้องมี ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม
“ติดหนี้อะไรอยู่รึไง?” นาวี่ถามเธอ
“ไม่ ฉันกำลังจะรวยต่างหาก” เธอพูดออกมาเหมือนกับเด็กที่ตัดสินใจที่แน่วแน่
นาวี่เอามือไปแตะที่หน้าผาก เขานวดรอยย่นระหว่างคิ้วแล้วก็ส่ายหน้า “สิ่งที่เธอไล่ตามมันไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เลย ต่อให้ทาสจะเก็บหอมรอมริบทีละเล็กที่ละน้อยเพื่อซื้อสิทธิในการเป็นพลเมือง พวกนั้นก็จะไม่มีวันได้เป็นพลเมืองจริงๆ เป็นแค่ทาสที่ถูกเลี้ยงเท่านั้น พลเมืองทุกคนก็จะซุบซิบกันว่า ‘ฉันได้ยินมาว่าเดิมทีแล้วคนๆนั้นเป็นทาสล่ะ’ พวกนั้นไม่คิดว่าเรื่องที่ซุบซิบเป็นการลอบกัดที่มีจุดประสงค์ร้ายเลย แค่คิดว่าใครบางคนที่แตกต่างจากตัวเองคือความแตกต่างเพียงเท่านั้น วิธีการคิดของคนพวกนั้นเป็นแบบนี้”
“แล้ว?”
“ชั้นจะบอกว่าต่อให้เธอรวบรวมเงินมาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรวยขึ้น เธอก็เป็นเพียงแค่คนเดียวที่คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น เธอคิดว่าตัวเองจะสนุกกับการที่โดนพูดลับหลังว่า ‘ยัยนั่นเป็นคนที่รวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรเลยนะ เป็นแค่ลูกสาวของเมียน้อยแท้ๆไม่ใช่รึไง?’ ชั้นทนเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ มันมีวิธีที่ดีกว่านี้ที่จะถูกยอมรับผ่านความสำเร็จที่ชัดเจนไม่ใช่รึไง?” นาวี่ทำท่าทางในตอนที่พูด จากที่เขาพูดออกมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องอากิจากใจจริง แต่อย่างน้อยที่สุดมันเหมือนว่าเขาอยากให้เธอเปลี่ยนใจ หลังจากที่พูดจบแล้ว นาวี่ก็ดูท่าทางของอากิ
เธอยิ้มออกมา “ไว้ฉันจะคิดทีหลังนะว่าจะสนุกรึเปล่าหลังจากที่ได้มาแล้ว”
แม้เร็นเร็นจะคิดว่าเสียงหัวเราะ ชิชิ หมายถึงเนฟิเรียกำลังทำอะไรที่เกินไป แต่มันก็เข้ากับเธอดี
“เธอนี่จะเยอะไปหน่อยแล้วนา” นาวี่พูด ท่าทางของเขาสื่อความหมายมากกว่าคำพูดเสียอีก “ทำธุรกิจกันในตอนที่ฆาตกรยังเดินไปเดินมาอยู่เนี่ย สติยังดีอยู่รึเปล่า”
“ฆาตกร?” อากิตอบ “ไม่เอาน่า —นั่นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นซะหน่อย คนที่ฆ่าไมยะคือเมจิคัลเกิร์ลของนายไม่ใช่รึไง?”
MANGA DISCUSSION