ตอนที่ 7:
สารอาหาร สารอาหาร สารอาหาร สารอาหาร สารอาหารไม่เพียงพอ
☆ แคลนเทล
แม้ว่าแผนที่ที่วาดไว้บนภาพแขวนจะไม่ได้ละเอียดนักเมื่อเทียบกับของจริง แคลนเทลก็สามารถเข้าใจภาพรวมของเกาะนี้ได้อย่างคร่าวๆ เธอตรวจดูกิ่งไม้แต่ละกิ่ง เดินผ่านต้นไม้แต่ละต้น หลังจากที่วิ่งมาราวหนึ่งนาที เธอก็ออกมายังเส้นทางเล็กๆที่เลียบเนินเขา จากจุดนี้ไป เธอจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ป่า
เธอไม่ได้ลังเล เธอไม่ได้มีเวลาพอที่จะรู้สึกแบบนั้น ตามภาพแขวนแล้ว เธอวิ่งผ่านเส้นทางที่มีสีเขียวมากที่สุด มองผลไม้สีเทาที่อยู่ตามทาง แต่เธอก็หาไม่พบเลย พอคิดว่ามันอาจจะอยู่ในสถานที่ที่มองไม่เห็นจากด้านล่าง เธอก็วิ่งขึ้นไปบนต้นไม้แต่ก็หาไม่พบเช่นกัน เชพเพิร์ดพายบอกว่ามันมีขึ้นอยู่ทั่วทั้งเกาะและไม่ได้หายากอะไร
นี่เธอตามหาผิดทางรึเปล่านะ? เวลามันไม่ยอมหยุดให้เธอ มันไม่สนความกระวนกระวายของแคลนเทล และค่อยๆเดินต่อไปอย่างมั่นคง ไม่ว่าเธอจะออกไปไกลแค่ไหนในป่า เธอก็หาผลไม้ที่ตามหาไม่เจอเลย เพราะแบบนั้นเธอจึงหยุด หากเธอจะเปลี่ยนวิธีการ เธอก็จำเป็นต้องทำให้เร็ว และเธอก็ขยายขอบข่ายการค้นหารวมไปถึงพาสเทล เมรี่ด้วย
แคลนเทลตรวจดูภาพแขวนอีกครั้งแล้วก็วิ่งเข้าไปในป่า หลังจากออกมาในพื้นที่หินที่เต็มไปด้วยก้อนหินสีส้มเข้ม เธอก็มองไปที่ภาพแขวนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มาผิดทาง
เมื่อมาถึงพื้นที่ที่มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางพื้นที่หิน แคลนเทลก็คลายร่างเสือดาวและเปลี่ยนร่างกายครึ่งล่างของเธอให้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
สีของปีกดูธรรมดามาก มันมีสีซีดและเต็มไปด้วยจุดสีน้ำตาล —จริงๆแล้วร่างหลักของแคลนเทลก็ดูห่างไกลจากคำว่างดงามด้วย หากมองดูแล้ว ขาที่บอบบางกับปีกขนาดใหญ่ที่พัดฝุ่นจนฝุ้งกระจายไปทั่วก็ดูเหมือนกับผีเสื้อ แต่ขนาดของลำตัวและความหนาของขนก็พิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ เธอไม่ได้งดงามเหมือนกับผีเสื้อที่ใครๆต่างก็รัก แต่เป็นแมลงที่ใครเห็นแล้วมักทำหน้าบึ้งตึง —ผีเสื้อกลางคืน ขนาดของแมลงเองก็ขยายใหญ่ให้เข้ากับขนาดของแคลนเทล ลำตัวของเธอใหญ่ราวกับเป็นถังน้ำมันขนาดเล็ก ปีกเองก็ใหญ่กว่าสามเมตร แค่มองดูเพียงอย่างเดียวมันก็ทำให้คนที่เกลียดผีเสื้อกลางคืนสลบได้เลย
แคลนเทลกระพือปีกและขึ้นมาถึงยอดหินเพื่อพักขา เธอไม่ได้แปลงร่างเพื่อกระโดดขึ้นไปในอากาศและมองสำรวจจากด้านบน สิ่งที่มีชิวิตที่บินได้สามารถปรับสมดุลให้อยู่ในอากาศ การเปลี่ยนส่วนหัวให้เป็นลำตัวของแคลเทลเพื่อการบินนั้น มันทำให้ความเร็ว ความมั่นคง และความแข็งแรงด้อยลงไป และมันยังทำให้เธอเสียสมาธิด้วยเช่นกัน
เป้าหมายของเธอไม่ใช่การบิน แคลนเทลเงี่ยหูของตัวเอง เธอสามารถได้ยินเสียง จอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลรวมตัวกันอยู่ในอาคารหลัก มีเสียงกระเพื่อมอยู่ที่บ่อน้ำ สิ่งมีชีวิตสี่ขาที่เคี้ยวหญ้าอยู่คงเป็นแกะ มันมีอย่างอื่นที่เคลื่อนไหวอยู่เช่นกัน แคลนเทลกระโดดขึ้นและกระพือปีก เธอไม่ได้รวดเร็วหรือว่าแข็งแกร่ง สิ่งที่เธอสามารถทำได้มากที่สุดคือการรักษาสมดุลของตัวเอง
มันมีผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่งที่มีความสามารถด้านการได้ยินในระยะที่กว้างมาก ความสามารถนั้นยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับค้างคาวและโลมา สามารถได้ยินคลื่นเสียงที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ สำหรับแคลนเทลแล้วมันสะดวกต่างจากค้างคาวและโลมา ผีเสื้อกลางคืนสามารถสัมผัสเสียงได้ผ่านอวัยวะที่อยู่ตรงลำตัว ไม่ใช่ส่วนหัว —เป็นความสามารถของคนที่สามารถเปลี่ยนร่างกายครึ่งล่างให้เป็นสัตว์ชนิดอื่นได้อย่างแคลนเทล ยากที่จะค้นพบได้
ครั้งหนึ่ง แคลนเทลไม่สามารถหา “ใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่” ได้ เพราะสัตว์ทุกชนิดที่มีประสามสัมผัสที่ดีมักมีอวัยวะอยู่ที่ส่วนหัว —ตา จมูก หู ลิ้น และอื่นๆ— ทำให้แคลนเทลไม่สามารถคัดลอกเรื่องสัมผัสอันแหลมคมได้ และมันก็ทำให้สิ่งที่แคลนเทลอยากจะปกป้อง สิ่งที่สำคัญของเธอ ได้หลุดรอดจากมือของเธอไป —เพราะว่าเธอไม่สามารถหาคนที่ซ่อนตัวอยู่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันก็ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟแผดเผา แม้ว่าเธอจะดิ้นรนทุกวิถีทาง เธอก็ล้มเหลว ไม่ว่ามันจะน่ากลัวหรือเจ็บปวดมากแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองลืมเรื่องนั้นไป
แคลนเทล —เนเนะ โอโนะ— ค้นคว้าเรื่องสัตว์เพราะว่ามันสนุกและเธอก็รู้สนุกกับมันด้วย เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอก็เปลี่ยนวิธีที่คิดและทำ จริงๆแล้วเธอไม่ได้สนใจเรื่องแมลง เธอค้นคว้าพวกมันเช่นเดียวกับการที่จะทำให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ความรู้เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับเธอในการแปลงร่าง ดังนั้นในฤดูหนาวปีนั้น เธอจึงไปยังพิพิธภัณฑ์แมลงในสามจังหวัด แต่มันมีโรคร้ายหรืออะไรบางอย่างเกิดขึ้น แมลงจำนวนมากจึงตายไป ครึ่งนึงของพิพิธภัณฑ์จึงถูกปิด แต่เธอก็ยังสามารถได้เจอกับแมลงหลายประเภท
แคลนเทลไม่อยากจะปล่อยให้ใครบางคนที่เธอควรจะปกป้องหลุดรอดออกไปอีกแล้ว ร่างกายที่อบอุ่นของเธอเริ่มเย็นลงในน้ำ ลมหายใจและฟอองอากาศเองก็ค่อยๆเล็กลง จนในที่สุดก็หายไป —ไม่อีกแล้ว ไม่มีทาง
เธอตั้งสมาธิกับเสียงที่อยู่รอบตัวด้วย “หู” ที่อยู่ตรงปีก
เธอสามารถสร้างเสียงและใช้การสะท้อนเพื่อตรวจจับรูปร่างและตำแหน่งของวัตถุได้ แต่ภายในป่ามันมีสิ่งขีดขวางอยู่จำนวนมากตั้งแต่แรก และเหมือนว่ามันยากที่เธอจะคิดถึงเรื่องการค้นหาผลไม้สีเทา เพราะมันถูกกิ่งไม้และใบไม้ซ่อนอยู่
ใบหน้าของแคลนเทลบึ้งตึง ข้อมูลจากการได้ยินมันมีมากเกินไป เสียงใบไม้ที่สั่นไหว เสียงร้องระงมของแมลง เสียงร้องของนกฮูก เสียงลมและเสียงน้ำ —การได้ฟังแบบนี้มันเลยทำให้รู้สึกดังอย่างน่าประหลาด แม้ว่าจะกำจัดเสียงรอบข้างทั้งหมดออกไปแล้ว เธอก็จะได้ยินเสียงของสัตว์มากขึ้นในไม่กี่สถานที่ เมื่อเธอได้ยินว่าที่เกาะแห่งนี้อาจจะมีสัตว์ป่าอยู่ เธอก็คาดหวังว่าบางทีอาจจะได้เจอกับสิ่งมีชีวิตหายาก แต่ไม่มีสัตว์ชนิดไหนเลยที่ปรากฏตัวออกมาตั้งแต่ที่เธอมาถึง แต่ถึงแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นตัว พวกนั้นก็คงอยู่บนเกาะแห่งนี้ เสียงฝีเท้าที่ไม่ได้มาจากกีบเท้าของแกะ เสียงกัดต้นไม้ เสียงที่ผิวน้ำ —มันมีสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดที่จะสร้างเสียงแบบนี้ขึ้นมา
ผู้คนพูดกันว่านักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่นั้นได้ยินเสียงอย่างแม่นยำมากกว่าที่ตาเห็น แคลนเทลไม่ได้มีเวทมนตร์เฉพาะทางด้านเสียงเหมือนกับแครนเบอร์รี่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ชำนาญเรื่องการฟังมากนัก แต่เธอก็จะพยายาม
เธอกระโดดจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนและกลับเข้าไปในป่าด้วยการบินต่ำ ใบไม้จำนวนมากที่อยู่ในป่าอย่างหนาแน่นมันทำให้การฟังเสียงจากบริเวณพื้นที่หินยากขึ้น มันต้องใช้สมาธิและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น
เธอบินอย่างช้าๆพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังบริเวณโดยรอบ เพ่งความสนใจไปยังข้อมูลที่เข้ามาหา เธอต้องไม่ลืมว่านักฆ่ายังคงอยู่บนเกาะแห่งนี้ มันมีสิ่งที่เธอต้องทำเมื่อค้นพบอะไรที่ดูเป็นแบบนั้น แต่ในตอนนี้ ผลไม้สีเทามันสำคัญกว่า —แน่นอนว่าสำหรับรากิ แต่สำหรับแคลนเทลเองก็เช่นกัน จอมเวททุกคนและเมจิคัลเกิร์ลจำเป็นต้องมีผลไม้สีเทาในการที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จัก แคลนเทลบินผ่านเหนือพุ่มไม้ที่อยู่ระหว่างต้นไม้ บินไปตามเส้นทางเดินของสัตว์จนมาถึงยอดของเนินเขา นี่เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าภาพแขวนไม่ได้ไร้ประโยชน์ในฐานะแผนที่ แต่เธอยังคงหาผลไม้สีเทาหรือเมรี่ไม่เจอ
เธอกระพือปีกเล็กน้อยเพื่อลดความเร็วลงตรงบริเวณชายขอบระหว่างแนวป่ากับพื้นที่เปียกชื้น เธอเปลี่ยนทิศทางไปยังพื้นที่ที่มีสีเขียวอีกที่หนึ่ง ทันใดนั้น ภายที่เธอมองเห็นก็กลายเป็นสีดำมืด กลิ่นของต้นไม้ กลิ่นของดิน ใบไม้ และน้ำค้างยามค่ำคืน และเสียงทุกเสียงก็ห่างออกไปในทันที ผีเสื้อกลางคืนที่เป็นร่างกายครึ่งล่างของเธอหายไป และแน่นอนว่าปีกเองก็หายตามไปด้วย แคลนเทลเอาศีราธลงมาที่พื้นก่อน เธอปกป้องร่างกายท่อนบนของตัวเองด้วยแขนสองข้างในตอนที่กลิ้งไปจนแผ่นหลังกระแทกเท้ากับต้นไม้และหยุดลง เธอร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวดจากนั้นก็พลิกตัวเพื่อเงยหน้าขึ้น แขนของเธอรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อเธอพยายามขยับ มันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นแผ่น บางทีแขนคงหักไปแล้ว
เธอใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะรู้ว่าการแปลงร่างมันคลายไปแล้ว
แค่พยายามลุกขึ้นก็รู้สึกเจ็บปวด เธอยกตัวขึ้นและพยายามลุกขึ้นยืนโดยอดทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้ แต่แขนมันรู้สึกเจ็บจนเธอส่งเสียงร้องออกมา เธอมองไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างเป็นสีดำมืด มีรสชาติของเลือดกระจายอยู่ภายในปาก และตอนที่เธอเอาลิ้นไปแตะที่กระพุ้งแก้มเองก็เจ็บ คงมีแผลอยู่แน่ๆ
แขนขวามันเจ็บยิ่งกว่า แขนซ้ายนั้นรู้สึกชาเล็กน้อยแต่ในตอนนี้เธอขยับมันได้แล้ว เธอเอามือซ้ายมาแตะที่ใบหน้าและศีรษะ มันไม่ได้เปียก ไม่มีก้อนบวม และไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงจุดที่สัมผัส แต่แว่นตาของเธอมันหายไปแล้ว
แม้ว่าเธอจะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกิ่งและใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ แสงจากดวงจันทร์และดวงดาวก็สาดส่องมาถึง สายตาเองก็ค่อยๆคุ้นชิน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรได้มากนักโดยที่ไม่มีแว่นตา
เนเนะมองไปรอบๆ ก่อนหน้านี้รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยข้อมูลของเรื่องต่างๆ แต่ในตอนนี้เธอยืนอยู่ในโลกที่เธอแทบจะมองไม่เห็นหรือได้ยินอะไรเลย เธอไม่แน่ใจว่าด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธอไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในความมืดนั่น เธอบีบผ้าพันคอและกัดฟันเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา ถ้าการแปลงร่างของเธอถูกยกเลิกเพราะผลของผลไม้สีเทาหมดลง นั่นก็หมายความว่าที่อาคารหลักเองก็เป็นเรื่องหายนะด้วย เธอต้องกลับไปเจอกับคนอื่นให้ได้
กิ่งไม้สั่นไหว และนกก็กระพือปีกหายไปในท้องฟ้า เนเนะบีบผ้าพันคอแรงกว่าเดิมและปล่อยลมหายใจออกมาอย่างขาดห้วงพร้อมกับไหล่ที่สั่นเทา เธอรวบรวมความคิดของตัวเองได้ไม่ดีนัก ความคิดเดียวที่อยู่ในใจก็คือการที่เธอต้องกลับไป
เธอค่อยๆก้มตัวลงอย่างระมัดระวังและวางมือซ้ายลงบนพื้น เธอจำเป็นต้องมีแว่นตา เธอต้องหามันให้เจอ ภาพแขวนเองก็หายไปแล้ว ถ้าหามันด้วยก็คงจะดีเช่นกัน
เธอลดเข่าลงและกวาดมืออย่างช้าๆเพื่อค้นหาบริเวณโดยรอบ ทุกครั้งที่นิ้วไปสัมผัสกับอะไรบางอย่าง เธอก็จะชักมือกลับ จากนั้นก็ค่อยๆยื่นมือกลับไปแตะมันอีกครั้ง และเมื่อเธอรู้ว่าสิ่งที่สัมผัสมันคือหิน กิ่งไม้ หรืออะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่แว่นตา เธอก็กลับไปทำต่อ
เธอหามันไม่พบ มันเหมือนไม่มีจุดจบ ลำคอของเธอส่งเสียงครางเบาๆออกมา เธอเอามือตบเข้าไปที่ปาก และในคราวนี้เธอก็ครางออกมาเพราะความเจ็บปวดที่มือขวา เธอต้องหาแว่นตาของตัวเองและจำเป็นต้องมีภาพแขวนด้วย เธอค่อยๆลดลงมือมาที่พื้นอย่างช้าๆแล้วก็ทำการค้นหาต่อ เธอได้ยินเสียง ตึ๋ง ตึ๋ง ของหยดน้ำที่ร่วงลงมายังพื้นดิน เธอไม่รู้อีกแล้วว่ามันคือน้ำตาของเธอ เหงื่อ หรือว่าน้ำมูก —แทนที่เธอจะเอามือปัดออกไป เธอก็ทำการค้นหาต่อเพราะว่ามันต้องมาเป็นอย่างแรก
มีเสียงดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง เนเนะตัวสั่นพร้อมยกเข่าขึ้นมาหนึ่งข้าง จากนั้นก็หมุนไปรอบๆ 180 องศา เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นดังมาจากตัวของเธอเอง เสียงร้องของแมลงหยุดลงแล้ว เสียงของใบไม้ที่สั่นไหวดังขึ้นสามครั้งจากนั้นก็หยุดลง มันเป็นการบอกเนเนะว่าไม่ได้คิดไปเอง
เนเนะขยับนิ้วมือไปรอบๆและค่อยๆยกตัวขึ้น จากท่าที่ชันเข่าอยู่ เธอเปลี่ยนเป็นการโน้มตัวและพร้อมที่จะวิ่ง
เธอได้ยินเสียงดัง —เหมือนกับอะไรบางอย่างระเบิดในระยะที่ห่างออกไป เธอตกใจจนหันหน้าไปหา จากนั้นก็กลับเข้าไปในพุ่มไม้อีกครั้งทันที
เธอไม่ได้ยินเสียงจากพุ่มไม้อีกแล้ว เสียงหัวใจที่เต้นแรงมันกลบทุกอย่างจนหมด เธอไม่ได้หายใจมาพักหนึ่งด้วย เหงื่อเองก็ไหลลงมาจากคิ้วจนถึงขนตา แต่เธอก็ไม่ได้พยายามเช็ดมันออก เธอหลีกเลี่ยงการสร้างเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนที่ถอยห่างออกมา ความคิดเรื่องแว่นตาหรือภาพแขวนหายไปหมดแล้ว
หนึ่งก้าว จากนั้น ก็อีกหนึ่งก้าว —เธอได้ยินเสียงใบไม้สั่นไหวและพุ่มไม้ขยับ จากนั้นมันก็มีบางอย่างกระโจนออกมาจากพุ้มไม้ เนเนะกลืนน้ำลายอีกครั้ง จากเสียงร้อง กลิ่น และภาพเงามันดูเหมือนกับสุนัข แต่ขนาดมันใหญ่กว่าที่เธอคิดมาก มันมีขนาดราวครึ่งหนึ่งของลูกวัว แม้ว่าภาพที่เธอเห็นจะไม่ชัดเจน ดังนั้นนั่นคือทั้งหมดที่เธอสามารถบอกได้ เนเนะพยายามจะถอยกลับอย่างช้าๆ แต่ก็หยุดลงเพราะมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับส้นเท้า มันมีต้นไม้อยู่ข้างหลังเธอ เธอถอยไปอีกไม่ได้แล้ว
แม้จะไม่มีแว่นตา เธอก็สามารถได้กลิ่นของสัตว์และได้ยินเสียงคำราม เสียงกรีดร้องของเธอและเสียงหอนของมันดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
สัตว์ร้ายกระโดดขึ้น เนเนะก้มตัวลงในทันทีและกระโดดออกไปด้านข้าง สัตว์ร้ายกระแทกเข้ากับต้นไม้ที่เธอยืนอยู่ด้านหน้า เสียงร้องที่ดังออกมาฟังแล้วไม่เหมือนกับสัตว์ธรรมดาเลย เนเนะที่เหนื่อยเกินขีดจำกัดของตัวเองแล้วรู้สึกเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจด้วยเสียงนั้น
เธอกำลังจะตาย มันกำลังจะกลืนกินเธอ
เธอไม่ได้มีเวลาพอที่จะคิดว่าควรต้องทำยังไงในเวลาที่โดนสุนัขโจมตีเข้าใส่ จุดอ่อนของสุนัขอยู่ตรงไหน หรืออะไรที่เป็นแบบนั้น สิ่งที่เธอทำได้มากที่สุดก็คือขยับร่างกายของเธอ เธอเหยียบกิ่งไม้แห้งที่เท้าในตอนที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้สองต้น จากนั้นเมื่อสัตว์ร้ายหันหน้ามาที่ระหว่างต้นไม้ด้วยการที่พยายามจะกระโจนเข้าหา มันแสยะเขี้ยวออกมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลเยิ้ม มือของเธอตอบสนองด้วยการยื่นลงไปหาพื้น วิ่งออกไปพร้อมกับแผ่ฝ่ามือออก เธอจับดินเอาไว้เต็มกำมือและปาเข้าใส่ใบหน้าที่พยายามแยกเขี้ยวเข้าหา
เสียงร้องต่อมาที่เกิดขึ้นสามารถเข้าใจได้ มันวิ่งไปรอบๆ ทำให้กิ่งไม้หักและใบไม้กระจายไปทั่ว จนทำให้ตัวของเนเนะเองก็กลิ้งออกไปตามพื้น
ตัวของเธอหยุดลงเมื่อไหล่ซ้ายสัมผัสกับบางสิ่งที่มีความแข็ง เธอยกมือขวาขึ้นพร้อมส่งเสียงร้อง และนั่นเองก็ทำให้เธอส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะส่งเสียงร้องออกมา เธอก็พิงตัวกับต้นไม้เพื่อยืนขึ้น
กลิ่นของสัตว์ร้ายลอยฝุ้งอยู่ในอากาศ มันลอยตัดกลิ่นของดินที่เธอปาเข้าใส่ มันคงโกรธเพราะถูกขัดขวาง ไม่ก็โกรธเพราะถูกสิ่งน่ารังเกียจปาเข้าใส่ หรือบางทีมันอาจจะหิวโหย ทุกสิ่งของมันล้วนพุ่งเป้ามาที่เนเนะ เธอได้ยินเสียงที่แหวกใบหญ้าเข้ามา แม้จะมองไม่เห็นว่ามันเตรียมที่จะกระโจนเข้าใส่ เธอก็สามารถสัมผัสได้
เนเนะยืนขึ้นและหันหน้าออกจากสัตว์ร้าย จับต้นไม้เอาไว้ด้วยสองมือ เปลือกไม้นั้นหยาบ มันรู้สึกเหมือนกับมีหนามแหลมแทงเข้ามาที่ผิวหนัง แต่เนื่องจากว่ามันไม่ได้ลื่นหรือนิ่ม บางทีเธออาจจะปีนมันได้
เธอเก่งเรื่องการปีนต้นไม้ จริงๆแล้วการที่เธอมีรูปร่างเล็กมันทำให้ปีนง่ายขึ้นด้วย เธอมองดูความสูงของต้นไม้ที่สูงขึ้นไป และมันก็ทำให้เธอประหลาดใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอคิดว่า ชั้นอยากเห็นจั๊กจั่นที่ส่งเสียงร้องแบบใกล้ๆ ไม่ก็ มีโพรงขนาดใหญ่อยู่ตรงนี้ด้วย —จะมีรังนกอยู่ข้างในรึเปล่านะ หรืออาจจะเป็นกระรอก ไม่ก็หนูอาศัยอยู่ที่นี่ เธอก็จับกิ่งและวางเท้าลงไปบนส่วนที่ยื่นออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องอยู่ด้านหลัง เนเนะเกร็งกล้ามเนื้อของตัวเอง
ครั้งล่าสุดที่เธอปีนต้นไม้ก็คือตอนที่อยู่ชั้นประถม ตัวของเธอไม่ได้โตขึ้นจากตอนนั้นมากนัก แต่มันก็พักหนึ่งแล้วจากที่เธอปีนครั้งล่าสุด สายตาเองก็แย่กว่าเดิมด้วย เธอจะจับกิ่งไม้ได้ไหมนะ? ทั่วทั้งตัวของเธอเจ็บปวดจากการถูกกระแทกและร่วงลงมา แขนขวาเองแค่ขยับก็รู้สึกเจ็บแล้ว
เธอเกร็งหน้าท้องและตะโกนออกมาสุดเสียง เสียงคำรามของสัตว์ร้ายค่อยๆหายไป เนเนะวางขาข้างหนึ่งบนต้นไม้และกระโดดขึ้นไป เธอเอื้อมมือออกไปเพื่อควานหาอะไรบางอย่างที่ยื่นออกมาและจับกิ่งไม้เอาไว้
เท้าของเธอลื่น แต่เธอก็ทรงตัวเอาไว้ได้และปีนขึ้นไปต่อ เธอคิดว่าฐานที่รองอยู่หายไปแล้ว แต่มันก็ยังคงอยู่ เธอจึงสามารถไปต่อได้ เธอใช้นิ้วจับเอาไว้และดึงตัวขึ้นไปด้วยแขนสองข้าง เธอรู้สึกถึงเสียงและการสั่นสะเทือนของแรงกระแทก นิ้วมือเองก็เริ่มจะรู้สึกลื่น แต่เธอก็ออกแรงจับไว้แน่น ขาขวาของเธอไม่ยอมขยับ สัตว์ร้ายมันกำลังกัดรองเท้าของเธอ เนเนะเตะมันออกไปและปล่อยให้รองเท้าหลุดออก สัตว์ร้ายนั้นล้มไปด้านหลังจนฝุ่นลอยขึ้นมา แขนของเธอรู้สึกเจ็บ แต่เธอก็ไม่สนใจ เนเนะใช้ถุงเท้าแนบกับต้นไม้เพื่อยกตัวเองขึ้น ยกขาทั้งสองข้างขึ้นไปพร้อมกับแขน
มือของเธอจับกิ่งไม้เอาไว้ มันเป็นกิ่งที่ใหญ่ —ใหญ่ยิ่งกว่าแขนของเนเนะซะอีก แขน ขา และศีรษะของเธอต่างกรีดร้องว่าถึงขีดสุดแล้ว มันไปได้เพียงแค่เท่านี้ เธอเอาตัวเองขึ้นไปเหนือกิ่งไม้ จากนั้นก็นั่งลงบนกิ่งไม้และกอดลำต้นเอาไว้ด้วยสองมือ หน้าอกของเธอรู้สึกเจ็บ แม้จะหายใจออกมาแรงขนาดนี้ หัวใจของเธอก็ยังคงเต้นรัวโดยไม่ช้าลงเลย
แม้จะมีเสียงคำรามดังก้องและเสียงของกรงเล็บข่วนต้นไม้ที่ดังไปทั่ว เนเนะก็กัดฟัน คอยพูดย้ำในหัวตัวเองสามครั้งว่าเธอไม่มีทางที่จะมาตายที่นี่ เธอข่มความกลัวและพยายามผลักมันให้ออกไป
☆ โทตะ มากาโอกะ
โทตะไม่ได้อยากแยกจากมิสมาร์เกอริต แต่ราเรโกะดึงตัวของโยล คนที่จับมือของโทตะเอาไว้อยู่ ดังนั้นพวกเธอจึงลงเอยด้วยการหนีไปด้วยกัน ราเรโกะวิ่งไปรอบๆป่า เจอผลไม้สีเทาหนึ่งลูกระหว่างทาง ในขณะที่โทตะจับโยลเอาไว้และพยายามไม่ให้หลุด สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็มาถึงชายหาด และราเรโกะก็เริ่มค้นหาจุดที่ดูไม่โดดเด่น เธอเตะและต่อยเข้าไปที่หน้าผาเพื่อขุดถ้ำ และทั้งสามคนก็เข้าไปด้านในและกอดกันเอาไว้
โทตะไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้สึกกลัว เขาบ่นกับราเรโกะว่า “ทำไมถึงหนีและทิ้งทุกคนไว้ด้านหลังล่ะ?” ไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเองก็อยากจะหนีเช่นกัน เขาแค่ไม่อยากออกห่างจากมิสมาร์เกอริต —การได้อยู่ข้างๆมันมีความรู้สึกมั่นใจกว่าที่แยกจากกัน
แต่แบบนั้นมันก็หมายถึงต้องแยกกับโยลด้วย เธอดูเหมือนว่ากำลังสิ้นหวังกว่าโทตะเสียอีก เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่อยากออกห่างจากเธอด้วยเหตุผลอื่น เขาไม่ได้มีเวลาที่จะพูดอะไรในตอนที่หนี แต่หลังจากสิบไม่ก็ยี่สิบนาทีที่อยู่ในถ้ำที่กว้างราวห้าเมตร เขาก็ใจเย็นลงเล็กน้อย เขาได้สติมากพอที่จะทำการพูดคุยได้
โทตะพูดว่ากลับกันเถอะ เขาพูดว่ามันคงดีกว่าถ้าอยู่กับคนอื่น
ราเรโกะบอกว่ามันอันตรายเกินไป เธอบอกว่าไม่รู้เจ้าสิ่งน่ากลัวนั้นมันจะทำอะไรบ้าง การอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องคุณหนู… เพื่อปกป้องทั้งสองคนคงจะดีกว่า
ก่อนที่โยลจะได้พูดอะไร มันก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน
เมื่อเขาโผล่หัวเข้ามาเพื่อมองดูจากทางเข้า โทตะก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของราเรโกะ
แต่ใช่ว่าโทตะจะสามารถทำให้ตัวเองพูดอะไรได้ เขาอยากกอดโยลที่อยู่ใกล้ๆเพื่อปกป้อง แต่ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เขาตกใจ —ตื่นกลัว และไปกอดเธอโดยอัติโนมัติมากกว่า
แน่นอนว่าเขาตกใจ ทั้งเขาและราเรโกะ ทั้งสองคนต่างก็ตกใจจนกระทั่งโยลพูดออกมาว่า “คุณลุง!” พวกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือนาวี่
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มยกมือขึ้นพร้อมพูดว่า “ไง” เขาดูไม่ค่อยเหนื่อยนักแต่เต็มไปด้วยรอยเปื้อน —นั่นคือนาวี่จริงๆ เสื้อผ้าของเขาเหมือนกับนาวี่ รูปร่างเองก็เหมือนกับนาวี่ ดังนั้นแค่มองก็รู้ได้ว่าคือนาวี่ แต่ในตอนนั้น เขาชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉานตั้งแต่ด้านบนศีรษะจนมาถึงลำคอ ปกคอเสื้อเองก็ยับเพราะว่ามันคงซับเลือดเอาไว้ เพราะแบบนั้นมันจึงทำให้ราเรโกะตกใจกลัว และมันก็พลอยทำให้โทตะกลัวไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!” โยลพูด
“อ่า การหนีออกมามันลำบากหน่อยน่ะนะ” นาวี่ตอบ
“ที่หัว!”
“ไม่เอาน่า ชั้นน่ะหัวล้านมาตั้งแต่แรกแล้วนะ”
“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น!”
นาวี่เอามือตบเข้าไปที่หน้าผากและมองไปที่ฝ่ามือตามสายตาของโยล เมื่อเห็นว่าฝ่ามือเป็นสีแดงใบหน้าของเขาก็บูดบึ้ง จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อเช็ดที่ใบหน้า “พวกของต่างๆมันลอยไปลอยมาแล้วก็กระแทกไปทั่ว คิดว่ามันคงมาโดนชั้นด้วย แต่ชั้นมาได้ขนาดนี้ก็โอเคแล้ว คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ไม่ใช่ นั่นแหละเรื่องใหญ่” โยลตะโกนกลับ โทตะกับราเรโกะเองก็พยักหน้า
พวกเธอพานาวี่มานั่งลงตรงกลางถ้ำ ราเรโกะเช็ดเขาด้วยผ้าขนหนูและมองไปที่แผล นาวี่ถอนหายใจออกมาและพูดว่า “มีแต่เรื่องวุ่นวาย” บางทีเขาอาจจะพูดถึงสถานการณ์ของตัวเอง หรือบางทีอาจจะพูดถึงคนที่เป็นห่วงเขาเมื่อเขาพูดว่าไม่เป็นไร เมื่อโทตะคิดถึงตอนที่เขาถูกบอกให้อยู่บ้านเพียงเพราะว่าเขามีไข้เล็กน้อย ทั้งๆที่มีทัวร์นาเมนท์แบทเลอร์นัดสำคัญออยู่ เขาก็เข้าใจความรู้สึก “มีแต่เรื่องวุ่นวาย” ได้ แต่สิ่งที่นาวี่ทรมาณอยู่มันมากกว่าการเป็นไข้แค่เล็กน้อย
“รู้รึเปล่าว่าคนอื่นไปทางไหน?” นาวี่ถามพวกเธอ
“ไม่เลย… ทุกคนแยกออกไปกันคนละทาง…” โยลตอบ “ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเราก็ไม่เห็นใครเลย”
“สุดท้ายก็เหมือนกันงั้นสินะ ชั้นให้คลาริสซ่าออกไปดูข้างนอกอยู่”
“ไม่อันตรายเหรอ?”
“ถ้ามันมีอะไรบางอย่างที่ขาของเธอยังหนีไม่ได้ แบบนั้นพวกเราทุกคนก็ดวงกุดกันหมดแล้วล่ะ ในตอนนี้ชั้นแค่ทำในเรื่องที่ตัวเองทำได้” เขาตบเข้าไปตรงแขนเสื้อที่พองอยู่ และเมื่อเขาเอนมันมาด้านหน้า มันก็มีบางอย่างกลิ้งออกมา ผลไม้สีเทานั่นเอง มันมีหนึ่ง สอง สาม ทั้งหมดสี่ลูก
“เยอะจัง!” โยลส่งเสียง “พวกเราพยายามตั้งเยอะแต่หาเจอแค่ลูกเดียวเอง” ผลไม้สีเทาหนึ่งลูกที่พวกเธอหาเจอนั้นถูกแบ่งให้โยลและราเรโกะกินไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ชั้นแยกส่วนของตัวเองกับคลาริสซ่าก่อนที่จะแบ่งเอาไว้แล้ว” นาวี่ยกแขนเสื้ออีกข้างให้พวกเธอเห็น นั่นเองก็มีจุดที่พองอยู่ มันคงมีผลไม้สีเทาอยู่ด้านใน
โทตะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่เขารู้ว่ามันคงมีปัญหาแน่หากโยลสลบไปหรือราเรโกะแปลงร่างไม่ได้ หากโทตะทำได้ เขาก็อยากค้นหามันด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้มาจากคนอื่นก็ยังพอช่วยได้ เขาเองก็รู้สึกดีใจ เขายืนขึ้นแล้วก้มศีรษะลงในมุมที่ดูสุภาพ “ขอบคุณมากฮะ” มันเป็นมารยาทพื้นฐานที่จะขอบคุณคนอื่นด้วยการคำนับหลังจากที่ตัวเองได้รับความช่วยเหลือ
โยลกับราเรโกะเองก็คำนับตาม จนนาวี่เกาหัวอย่างอายๆ “เฮั ตอนนี้น่ะ อย่างที่ชั้นพูดนั่นแหละ ชั้นแค่แบ่งให้เล็กน้อยเอง” นาวี่ยิ้ม จากนั้นก็มองลงมาและเห็นว่าโยลกับโทตะกำลังกุมมือกันอยู่ เขาหรี่ตาและยิ้มออกมาพร้อมกับตบไหล่ของโทตะ และมันก็ทำให้โทตะไอออกมา
“อะไรเหรอ คุณลุง?” โยลถาม
“อ่า ไม่มีอะไรหรอก พวกเราแค่ต้องร่วมมือกันสู้กับเรื่องนี้น่ะ”
โทตะคิดว่าเขาแกล้งขยิบตา ในเวลาแบบนี้ โดยปกติแล้วโทตะอาจจะปล่อยมือของเธอออกอย่างอัติโนมัติ แต่ในตอนนี้ เขาบีบมือของเธอจนแน่นแทน และมันทำให้โยลส่งเสียงร้องออกมา เขาจึงขอโทษและผ่อนแรงที่จับอยู่
นาวี่ยิ้มออกมาจนเห็นได้ชัดว่าดีใจกว่าก่อนหน้า และดวงตาของเขาชำเลืองขึ้นไปด้านบนเหมือนกับกำลังมอองขึ้นไป “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ ราเรโกะ?”
“เหมือนว่าเลือดจะหยุดแล้ว”
“ทำไมเลือดมันชอบออกจากที่หัวชั้นนักนะ? แต่ก็เอาเถอะ เอาให้เสร็จแล้วกัน”
“ค่ะ อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”
แน่นอนว่ามันไม่มีกระเป๋าพยาบาลหรือชุดปฐมพยาบาลอยู่ พวกเธอไม่ได้มีแม้กระทั่งชุดปฐมพยาบาลที่เป็นของเล่นด้วย กระนั้น ราเรโกะก็เช็ดเลือดออกไปด้วยผ้าขนหนู จนมันทำให้ศีรษะของนาวี่ดูแวววับขึ้นกว่าตอนแรกที่โทตะเจอเขา มันสะท้อนแสงจากดวงจันทร์และดวงดาว ส่องประกายออกมาจนดูเหมือนเป็นดวงจันทร์ดวงที่สองไม่มีผิด
“เอาล่ะ ชั้นว่าจะไปแล้ว” นาวี่ตบลงไปที่ต้นขาและยืนขึ้นพร้อมกับเสียง ฮึบ
“ไป…? ไปไหนเหรอ?” โยลถาม
“ไม่เอาน่า ถ้าไม่ไปเจอกับคนอื่นมันก็ไปไหนไม่ได้เลยนะ ถ้ามันอันตรายชั้นก็จะซ่อนตัวเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” เขาหัวเราะออกมาเหมือนกับว่ามันน่าตลก เขาดูดีขึ้นกว่าตอนแรกที่มาถึง บางทีการพูดคุยมันคงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย หากเป็นแบบนั้น บางทีโทตะเองก็คงจะมีประโยชน์บ้างเล็กน้อยเหมือนกัน
“ฟังนะ อย่าออกไปจากที่นี่ อยู่ที่นี่เอาไว้ซะ ดูเหมือนว่ามีบางคนกำลังทำเรื่องสกปรกอยู่” จากนั้นเมื่อยกมือข้างหนึ่งขึ้น นาวี่ก็หายตัวไปในความมืด
โทตะที่มองดูเขาไปก็คิดว่า ผู้ใหญ่นี่พึ่งพาได้จัง โทตะคิดว่าดูเหมือนกับเป็นคนที่ขายลูกไก่ ปลาทอง หรือเต่าแก้มแดงในร้านแผงลอยตอนกลางคืนซะอีก แต่บางทีคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนเลวอาจจะพึ่งพาได้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด
ในหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด มันมีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับเด็กที่ใช้ประโยชน์จากผู้ใหญ่จนรู้สึกอับอาย แต่ในตอนนี้ ดูไม่เหมือนว่าโทตะจะสามารถทำอะไรที่ทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกอายได้เลย มันน่าผิดหวัง แต่เหตุผลที่โทตะไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ก็เพราะว่าเขาคือโทตะนั่นเอง
หากมิสมาร์เกอริตอยู่ที่นี่ เธอจะพูดอะไรเพื่อปลอบใจเขากันนะ? โทตะคิดว่าเธอคงไม่สามารถพูดอะไรที่ปลอบใจได้ เธอคงแค่เอามือวางไว้บนศีรษะของเขาอะไรแบบนั้น จากนั้นเขาก็รู้สึกแย่กับความคิดของตัวเอง การที่เขาจินตนาการเรื่องแบบนั้นออกมามันเป็นเรื่องที่หยาบคาย
“จะเป็นอะไรไหมนะ…?” โยลกังวล “ไม่สิ ฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรแน่… แต่คุณลุงก็ไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตัวเองหรือเรื่องอะไรแบบนั้นมากนักด้วย”
“จริงเหรอฮะ?” โทตะถาม
“หลังจากนี้เขาคงจะบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าตลกเท่านั้นเอง ดังนั้นไม่เป็นอะไรหรอก”
“รู้จักเขาดีอย่างนั้นเหรอฮะ? เขาเป็นลุงจริงๆงั้นเหรอฮะ?”
“ไม่หรอก ครอบครัวของฉันจะมอบงานให้เขาบ่อยๆ พูดว่าเรื่องงานเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะพูดกัน เพราะแบบนั้นก็เลยไม่บอกฉันว่าคุยเรื่องอะไรกัน”
“หืมมม…” เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงถามออกไปแบบนั้น แต่ในตอนนี้เขาก็ถามออกไปแล้ว ดังนั้นเขาก็จึงรู้สึกทรมาณเอามากๆ อ๊า ทำไมต้องเปิดปากพูดออกไปด้วยนะ? ในตอนนี้เขาสามารถพูดได้อย่างลื่นไหลแล้ว โทตะพูดต่อโดยเลียริมฝีปากตัวเองอย่างประหม่า “คนแบบนั้น… เอ่อ คนที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากนัก มัน…”
“หืม?”
“คุณน้าของผมบอกว่ามันแค่หมายถึงอีกฝ่ายจะมีน้ำใจและใจกว้างตราบใดที่ตัวเองประสบความสำเร็จ”
โทตะนึกถึงเรื่องของตัวเอง ตอนที่นาวี่เอาผลไม้ออกมามากมาย โทตะไม่ได้รู้สึกดีใจเลย ในตอนแรกขารู้สึกผิดหวังมากกว่าด้วยซ้ำ เขาอยากตะโกนอะไรอย่าง “โธ่เว๊ย!” ออกมา เขาคิดว่าบางทีคงจะเป็นแบบนั้น แม้ว่าโทตะจะรู้สึกแบบนั้นแต่มันก็ดีแล้วสำหรับโยลและราเรโกะที่มีผลไม้อยู่มาก เขาพบว่าตัวเองนั้นคิดว่า หวังว่าตัวเองจะเป็นคนที่เอาผลไม้สีเทามาเยอะๆเพื่อทำให้โยลดีใจมากกว่า เขารู้สึกผิดหวังที่โยลคุยกับนาวี่อย่างสนุกสนานด้วย —แม้ว่าการที่โยลรู้สึกดีขึ้นมันควรจะทำให้เขาดีใจก็ตาม
เขาแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโทตะถึงพูดเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องออกมาเพื่อพยายามจะปกป้องตัวเองและป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเขาพยายามปกป้องตัวเอง เขารู้สึกกลัว ทั้งตัวของเขาสั่นไปหมด และเขาก็รู้ว่ามันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ต่อหน้าโยลแล้วเขาอยากที่จะดูดี เขาอยากให้มิสมาร์เกอริตชมเขา —แม้ว่ามันจะเกิดเรื่องบ้าๆขึ้นจนทำให้เขากลัวก็ตาม —โทตะยังคิดกระทั่งว่าตัวเองนั้นช่างน่าสิ้นหวังเสียจริง
“คุณน้าของนายนี่พูดหลายเรื่องดีนะ” โยลพูด
“เธอบอกว่ามันช่วยไม่ได้ คนบางคนพยายามทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จไปทั้งชีวิต จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด”
โยลถอนหายใจออกมา “หวังว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นนะ”
ราเรโกะที่อยู่ข้างๆก็พยักหน้า
☆ รากิ สเว เน็นโต
ทุกอย่างมันช่างเลือนราง แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวด การที่เขาสูญเสียสัมผัสของตัวเองมันทำให้รู้สึกดีมากกว่าที่จะแย่ แทนที่จะมีสติอย่างชัดเจนและทรมาณด้วยความเจ็บปวด การไปสบายอย่างสงบลุขและเข้าหาความตายอย่างง่ายๆมันก็ดีกว่า เหตุผลและความรอบรู้ที่เขาใช้มาตลอดชีวิตนั้นยกธงขาวให้กับความเจ็บปวด
จู่ๆ รากิก็นึกขึ้นได้ ในตอนนี้เขายังไม่ได้ไปสบาย จิตใจของเขาไม่ได้หยุดคิดถึงเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นเรื่องแล้วเรื่องเล่า แคลนเทลทำอะไรอยู่นะ? แล้วเมจิคัลเกิร์ลกับจอมเวทคนอื่นล่ะ? พวกนั้นเจอทางออกรึยัง?
ความเจ็บปวดยังคงคอยทำให้ร่างกายของเขาทรมาณ ทำให้เขาหมดสติจนกระทั่งถึงตอนนี้ เมื่อเขาลืมตา ภาพที่บิดเบี้ยวและสั่นไหวที่เขาเห็นก็ค่อยๆกลายเป็นรูปเป็นร่าง ความคิดเองก็ชัดเจนขึ้นด้วย เขาไอออกมาสองสามครั้งเพราะสิ่งที่ติดอยู่ในลำคอ เมื่อเอามันออกไปแล้วก็ทำให้อากาศไหลเข้ามาภายในตัวได้ดีขึ้น ภายในปากของของเขามีรสหวาน มีความหอมหวานของผลไม้อยู่ในจมูกไปจนถึงลำคอ รสชาติและกลิ่นมันเหมือนกับผลไม้สีเทา รสชาติมันหวานเกินไปสำหรับรากิ
เขาสูดเอาอากาศที่หอมหวานเข้าไปเต็มปอดเพื่อส่งอ็อกซิเจนไปสู่สมอง
รากิลุกขึ้น แผ่นหลังของเขารู้สึกเจ็บ ผ้าที่คลุมเอาไว้บางทีคงจะเป็นผ้าคลุมของเขาเอง ด้านล่างของเขาคือก้อนหิน มันแข็ง และการนอนลงไปบนที่แบบนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงเจ็บหลัง
เขาเพ่งตามองไปรอบๆ แต่ทุกอย่างที่เขาบอกได้ก็คือตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ดูเหมือนพื้นที่เล็กๆที่ทุกอย่างเป็นหิน —เป็นอะไรที่เหมือนกับถ้ำ เขามองไม่เห็นในความมืด มีลมพัดผ่านเข้ามาจากด้านหนึ่ง ในขณะที่อากาศอีกด้านยังคงอยู่เช่นเดิม นี่หมายความว่ามีทางออกทางเดียว เขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังแต่มือขวาของเขาก็ไปสัมผัสกับกำแพงในทันที มันเป็นก้อนหินที่หยาบและมีมุมเหลี่ยม หลังมือซ้ายของเขาไปโดนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเขาชักมือกลับ จากนั้นเขาก็ค่อยๆยื่นมือออกไปจับวัตถุที่อยู่ตรงนั้นอีกครั้ง เขารู้สึกว่าไม้ที่จับได้มันนุ่มกว่าก้อนหิน นี่คือไม้เท้าของเขาเอง
รากิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาเอามือแตะไปยังบริเวณที่ศีรษะอยู่ตอนที่ตัวเองนอน และสัมผัสได้ถึงม้วนผ้าที่ห่ออยู่เป็นก้อน เขาหยิบมันขึ้นมาและเปิดออก แล้วก็พบว่ามันคือหมวกของเขาเอง นี่ไม่ควรใช้เป็นหมอนเลยนะ เขาคิดพร้อมกับปัดสิ่งที่เปื้อนอยู่ออกไปและสวมไว้ที่ศีรษะ เขารู้สึกว่าหมวกมันยับจนไม่ได้รูปและดูน่าขายหน้า แต่โชคดีที่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันมืดเกินไปที่จะมองเห็น แต่กระนั้น ใครที่เห็นรากิเข้าก็คงจะรู้—
“อ๊ะ! ตื่นแล้วนี่นา!” เขาได้ยินเสียงมาจากทางฝั่งที่มีลมพัด เสียงสูงที่เป็นเรื่องปกติของเมจิคัลเกิร์ลดังก้องอยู่ภายในถ้ำ ทำให้รากิรู้สึกหงุดหงิดมากเกินจำเป็น ท่าเดินที่ดูไร้ยางอายอย่างไม่สนใจคนอื่นนั้นมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า “ยอดเลย คุณปู่”
ชื่อเล่นนั้นมันทำให้รากิหงุดหงิดเกินกว่าที่จะทน แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้บ่นออกมาดังๆ ในตอนนี้ รากิไม่ได้ไม่มีสติหรืออยู่ในสภาพที่ใกล้จะเป็นแบบนั้น เขาไม่ได้แม้กระทั่งเลือกความตายอันแสนสะดวกมากกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความจริงแล้ว เขาหงุดหงิดตัวเองที่ก่อนหน้านี้คิดเรื่องเช่นนั้น เขามีสติอย่างเต็มที่ จากรสชาติและกลิ่นอันหอมหวานภายในปาก มันก็ชัดว่าเขากินผลไม้สีเทาเข้าไป ตั้งแต่ที่รากิไม่ได้สติ เขาจึงไม่มีทางที่จะช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นใครบางคนคงช่วยเขาเอาไว้ และมันก็น่าแปลกที่คนที่ช่วยเหลือเขาคือเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
เขาควรที่จะขอบคุณเธอ แต่เขาก็หงุดหงิดเกินไปที่จะทำแบบนั้น ในเวลาเช่นนี้ ปาก ลิ้น และลำคอของเขาจะไม่ขยับเพื่อพูดว่าขอบคุณออกมา แม้ว่ามันจะตรงข้ามกับความต้องการที่จะขอบคุณเป็นอย่างแรก แต่ด้วยความรู้สึกที่ตามมา เขาก็ไม่ได้ก้มหัวเพื่อขอบคุณแต่ออกคำสั่งออกมาอย่างโอหังแทน “…นี่ชั้นอยู่ที่ไหน?”
“หืมมม?”
“ทุกคนอยู่ที่ไหนน่ะ? ทำไมชั้นถึงมาอยู่ในที่แบบนี้?”
“อ๊ะ อย่างนี้เหรอเนี่ย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองสินะ หืมม” เมจิคัลเกิร์ลคลาริสซ่า ทูธเอจ คนที่มีหูแหลมเหมือนกับแมวป่าปรบมือ รากิหรี่ตาแล้วก็มองไปที่เธอ มันไม่ได้มืดไปเสียทั้งหมด มันมีแสงจันทร์ส่องเข้ามาและแสงดาวที่อยู่ภายนอก คลาริสซ่าก้มตัวแต่ปลายหูของเธอก็ยังคงไปสัมผัสกับเพดานถ้ำ หากรากิพยายามยืนขึ้นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ศีรษะของเขาก็อาจจะไปกระแทกเอาได้
“บางคนที่น่ากลัวเข้ามาโจมตี และทุกคนต่างก็วิ่งหนีออกไป” คลาริสซ่าอธิบาย
“บางคนที่น่ากลัว?”
“คิดว่าคงเป็นคนเดียวกับที่จัดการไมยะนั่นแหละ”
รากิรู้สึกปวดศีรษะ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหมดสติไป เมื่อจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาก็เห็นอะไรบางอย่าง ในตอนที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้อง นั่นมันเป็นความฝัน หรือเป็นความจริงกันนะ?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…? เกิดอะไรขึ้นกัน?” รากิพึมพำ
“อย่างที่ฉันพูดนั่นแหละ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันออกไป”
“มีใครตายไหม?”
“อาจจะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เลวร้ายจริง…” เขายังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลย “แล้วแคลนเทลล่ะ?”
“ใช่เด็กสาวคนที่ครึ่งล่างเป็นม้าหรือเสือดาวนั่นรึเปล่า?”
“นั่นแหละ เธออยู่ไหน?”
“เธอออกไปก่อนที่ทุกคนจะถูกโจมตี”
“ออกไป? แคลนเทลออกไปด้วยตัวเองงั้นเรอะ?”
“อาการคุณปู่น่ะแย่จนเธอทนรอไม่ได้ เธอก็เลยออกไปเก็บผลไม้สีเทา ไม่นานก่อนที่พวกเราจะถูกคนที่น่ากลัวโจมตี”
“ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นด้วย? พวกเราก็มีผลไม้สีเทาที่เก็บเอาไว้อยู่แล้ว”
“พาสเทล เมรี่ขโมยมันแล้วหนีไปน่ะสิ”
ทุกเรื่องมันวุ่นวายไปหมด ไม่มีความเป็นระเบียบเลยซักนิด เมจิคัลเกิร์ลนั้นมีแต่ทำอะไรวุ่นๆ พวกเธอไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อตกลงหรือกฎหมายเลย
รากิเค้นมือขวาที่วางอยู่บนก้อนหิน ทรายที่อยู่ตรงก้อนหินมารวมกันที่ฝ่ามือของเขาด้วยนิ้วมือจนสร้างเสียงที่น่ารำคาญขึ้น เรื่องเล็กๆทุกเรื่องมันน่าหงุดหงิดไปเสียหมด
ท่าทางที่ดูอารมณ์ไม่ดีของเขาคงแสดงออกมา เพราะคลาริสซ่าพูดว่า “ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย” ออกมาอย่างสบายๆ ซึ่งนั่นมันทำให้รากิโกรธยิ่งขึ้นไปอีก
“จะไม่โกรธได้ยังไงกัน?!”
“ก็จริง นั่นก็ถูก แต่ในเวลาแบบนี้มันต้องคิดบวกเข้าไว้”
“คิดบวก? ให้ตายเถอะ บอกชั้นให้คิดบวกในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ”
“แทนที่จะโกรธแล้วเอาแต่บ่นเนี่ย ค่อยๆทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ทีละอย่างดีกว่าไหม?”
บางครั้ง ถึงแม้จะพูดอะไรบางอย่างที่มีเหตุผลออกมา การสื่อออกมาอาจไปทำร้ายใจความเอาได้ และยิ่งกว่านั้น เรื่องสำคัญที่เป็นความจริงเพียงข้อเดียวก็คือเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกพามาที่นี่ด้วยนาวี่ ลู มันก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากพอที่จะเรียกว่าย่ำแย่สุดๆเอาได้ ริมฝีปากของรากิหุบเข้าไปด้านในของหนวด ใช่แล้ว คลาริสซ่าถูกนาวี่ ลูจ้างมา
“เฮ้” รากิพูด
“อะไรล่ะ?”
“แล้วนายจ้างของเธอล่ะ? ไม่ใช่ว่าช่วยผิดคนรึไง?”
“รู้ไหม ที่ฉันช่วยคุณปู่ก็เพราะเป็นคำสั่งของนายหัวล้านนั่นแหละ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรเลย คุณปู่น่ะอาการแย่ หมอนั่นบอกฉันว่า “ชั้นจัดการตัวเองได้ ดังนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ทิ้งชั้นแล้วไปช่วยตาแก่นั่นซะ” หวา โทษที ต้องเป็นมาสเตอร์รากิผู้น่านับถือต่างหากล่ะ”
ริมฝีปากของรากิบิดเข้าไปมากยิ่งขึ้น การติดหนี้นาวี่มันคือเรื่องที่น่าขายหน้า —เป็นเรื่องแห่งความอัปยศ
ในขณะที่รากิกำลังทำให้ไม้เท้าของตัวเองสั่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คลาริสซ่าก็เดินวนอยู่รอบๆตัวเขา วางมือลงมาบนไหล่และนวดเขาเบาๆ “ฉันได้ยินว่าทั้งสองคนไม่ค่อยถูกกัน แต่ว่าจะมาทะเลาะกันในตอนนี้มันก็เท่านั้นแหละ ทั้งเขาและคุณปู่เองก็อยู่ในฝ่ายโอสเหมือนกันแท้ๆ ดังนั้นฉันคิดว่าดีกันไว้มันดูมีเหตุผลกว่านะ”
มันไม่สำคัญว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน รากิไม่มีวันลืมสิ่งที่นาวี่ได้ทำไป ในตอนที่ฝ่ายแตกออกเป็นสองฝั่ง เขาก็แทรกซึ่มเข้าไปในฝ่ายหนึ่งแล้วก็ปล่อยข้อมูลให้หลุดออกไปยังฝ่ายศัตรู เขารู้ถึงความสกปรก ผ่านการข่มขู่และติดสินบน ทำลายฝ่ายที่คัดค้าน รากิรู้ตัวเองดีว่านาวี่ ลูไม่ได้ทำไปเพราะความต้องการของตัวเอง มันมีใครบางคนเป็นคนที่สั่งการ และนาวี่ ลูก็เป็นคนที่ทำตามคำสั่งนั้น แต่คนที่พ่ายแพ้โดยที่แทบจะต่อกรด้วยไม่ได้จะไม่เห็นว่านี่ “เขาแค่ทำตามคำสั่ง” เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล จอมเวทที่เพิกเฉยต่อแนวทางของโลกและรู้จักแต่การใช้ชีวิตอยู่ในหอคอยงาช้างไม่มีวันต่อกรกับเล่ห์เหลี่ยมของนาวี่ ลูได้ และหลังจากที่ใช้ประโยชน์จากความถนัดของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็เหมือนว่ารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ตัวเองชนะ เขาได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมจากเรื่องนั้น —และมันก็นำพามาสู่เรื่องในตอนนี้
กรามของรากิผ่อนคลายมากขึ้นแล้วก็ถามออกมา “…หมอนั่นต้องการอะไร?”
“หือ?”
“ชั้นรู้ดีว่าหมอนั่นไม่ใช่คนที่จะช่วยคนอื่นด้วยจิตใจที่ดีงามของตัวเอง”
หลังจากที่หยุดอยู่ครู่หนึ่ง คลาริสซ่าก็ปรบมือและหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้เธอเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน —เสียงหัวเราะของเธอฟังดูสดใสร่าเริง มันไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะออกมาจากคนที่ติดอยู่ในสถานที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกที่ตัวเองสามารถตายตอนไหนก็ได้ บุคลิกของเมจิคัลเกิร์ลล้วนแต่แปลกแยกจากโลกความจริงไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้ ซึ่งมันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กวนใจรากิ
“ไม่เอาน่า อย่าโกรธขนาดนั้นเลย” คลาริสซ่าหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือข้างหนึ่งให้กับรากิที่ทำใบหน้าบึ้งอยู่อย่างนิ่งเงียบ “ก็ไม่ผิดนะ ใช่ เขาต้องการอะไรบางอย่างจริงๆนั่นแหละ”
“…เธอนี่จริงใจดีนะ”
“อ่า ยังสงสัยอยู่สินะ แต่มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหรอก เขาแค่ประเมินไว้สูงน่ะ เรื่องความสามารถของคุณปู่ในฐานะจอมเวท”
“…โอ๋?” รากิสัมผัสได้ว่าคลาริสซ่ากำลังยิ้มอยู่
“เมื่ออยู่ในจุดที่สำคัญแล้ว เขาก็คิดว่าตัวเองอาจใช้ประโยชน์จากคุณปู่ได้ เขาทำให้คุณปู่ติดหนี้เขาเมื่อเกิดเรื่องขึ้น แม้ว่าชีวิตของตัวเองจะตกอยู่ในอันตรายก็ตาม”
รากิเกือบจะตะโกนกลับไป “พูดหยั่งกับว่าชั้นจะปล่อยให้ไอ้บ้านั่นเอาชั้นใช้ประโยชน์!” แต่คลาริสซ่าก็ยกฝ่ามือขึ้นมาตรงหน้า รากิจึงยังปากเอาไว้
“ฉันคิดว่ามีความสัมพันธ์แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ” เธอยังคงอารมณ์ดี
รากิไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอซักนิด “ความสัมพันธ์อะไร?”
“ต่อให้อยาก ทั้งสองคนก็เข้ากันไม่ได้ ดังนั้นก็แค่คิดว่ามันเหมือนกับการใช้อีกฝ่ายก็พอ เป็นทางที่ดีกว่าจะมาตะโกนใส่กัน แล้วก็มีประโยชน์กับฝ่ายโอสด้วย”
รากิบอกได้ว่าเธอกำลังยืดอก เธอดูเหมือนจะภูมิใจ เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไกล่เกลี่ยเรื่องความขัดแย้ง เธอไม่รู้เลยว่านั่นมันทำให้รากิหงุดหงิดแค่ไหน —หรือว่าเธอทำเพราะมีเป้าหมายแบบนั้นกันนะ ทัศนคติและท่าทางในการพูดของเธอมันดูไม่เหมือนกับกับสิ่งที่ออกมาจากตัวตนที่ตื้นเขิน แต่มันเหมือนเธอจงใจให้ตัวเองดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นมากกว่า
“โอเค งั้นคุณปู่ก็อยู่ที่นี่นะ คุณปู่น่ะอาการไม่ดีมาตั้งแต่แรก ดังนั้นถ้าขยับตัวล่ะก็เรี่ยวแรงได้หมดเร็วแน่ ฉันจะทิ้งผลไม้เอาไว้ให้แล้วกัน” คลาริสซ่ากลิ้งอะไรบางอย่างเข้ามา รากิก้มแล้วพลิกมันด้วยปลายไม้เท้า เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมา กลิ่นอันหอมหวานก็โชยมาแตะจมูก
เสียงฝีเท้าของคลาริสซ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว สองก้าว จากนั้นรากิก็ใช้ไม้เท้ากระแทกเข้าไปที่กำแพง “เดี๋ยว นั่นจะไปไหน?”
“พวกเราต้องไปหาคนอื่น ฉันจะเป็นคนออกไปหาเอง”
“พวกเรายังคุยกันไม่จบ”
“ฉันจะตามหาแคลนเทลเท่าที่ตัวเองทำได้ด้วย”
“เฮ้!” รากิตะโกน คำพูดของเขาสะท้อนกำแพงกลับเข้ามาหาตัวเขาเอง ดังนั้นมันจึงไม่มีใครได้ยินที่เขาพูด
เขาพ่นคำพูดออกมาด้วยความโกรธพร้อมกับใช้ไม้เท้าเข้ากับกำแพง แรงกระแทกที่มือมันทำให้เขารู้สึกชาจนต้องทิ้งไม้เท้าลงไป และเมื่อเขาเค้นหมัดเพื่อที่จะต่อยเข้าไปยังกำแพงหิน แต่ก็หยุดลงก่อนที่จะทำแบบนั้น ต้องขอบคุณที่เขายังคงมีสติมากพอที่จะหยุด รากิหายใจเข้าเฮือกใหญ่และหยิบไม้เท้าขึ้นมา พอเขาได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง เขาก็หันตัวไปมารอบๆ
เมื่อเห็นตะขาบที่มีขนาดเท่าต้นแขนคลานจากใต้ก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อน เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แน่นอนว่าทุกอย่างมันแย่ไปเสียหมด
☆ จอห์น เชพเพิร์ดพาย
เมื่อได้สติกลับมาแล้ว สิ่งแรกที่เชพเพิร์ดพายเห็นก็คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือยอดของต้นไม้ ภาพบริเวณโดยรอบที่มองเห็นและแสงสว่างที่ไหวไปมามันแทบจะทำให้เขาลืมหายใจ นี่เป็นฉากอันงดงามสำหรับการสรรสร้างบทกวี หากในมือของเขามมมีกระดาษและปากกาอยู่ล่ะก็ บางทีเขาอาจจะเขียนมันออกมมาได้เลย เชพเพิร์ดพายส่งเสียง โอออ ออกมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำอยู่รอบๆ
เขาลดเสียงลงต่ำ ใครบางคนแบกเขาอยู่บนหลัง
เด็กสาวบางคนกำลังมองมาที่เขา ใบหน้าอันงดงามที่รายล้อมรอบตัวพร้อมด้วยแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาผ่านกิ่งไม้ที่เป็นฉากหลังทำให้เกิดภาพที่นึกถึงเรื่องราวในอดีต —หากตัดส่วนนั้นออก มันก็อาจจะคิดได้ว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์หรือไม่ก็อะไรบางอย่างที่น่ากลัวในทำนองเดียวกัน
ด้านหลังศีรษะของเชพเพิร์ดพายรู้สึกเจ็บ ท้องเองก็ส่งเสียงดังออกมา แผ่นหลังเองก็เย็นและเปียกชื้น “นี่ชั้นอยู่ที่ไหน…?” เขาครางออกมา
“เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน พวกเราออกจากอาคารหลักมา” มิสมาร์เกอริตตอบอย่างง่ายๆ
“ขยับไหวรึเปล่า?” มานาถามอย่างกังวล
7753 พูดต่อ “เอ่อ… เป็นอะไรรึเปล่า?”
“เมย์อยากได้ผลไม้” เท็ปเซเคเมย์พูด
แค่ถามออกไปเรื่องเดียว เขาก็ได้คำตอบกลับมาจากคนสี่คน ไม่ใช่เพียงแค่เชพเพิร์ดพายตื่นขึ้น เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าที่เกิดมันก็ทำให้จิตใจของเขารู้สึกอ่อนล้า และภายในใจของเขาก็ไม่ได้มีพื้นที่มากพอที่จะคิดเรื่องคำตอบจากคนทั้งสี่อย่างถี่ถ้วน คนที่เขาควรตอบไปบางทีคงจะเป็นมานา เขารู้สึกว่าท่าทางของมิสมาร์เกอริตนั้นเย็นชาเล็กน้อย —เธอดูน่ากลัวเล็กน้อยและยากที่จะเข้าหา เท็ปเซเคเมย์นั้นเป็นพวกที่เขาทำความเข้าใจไม่ได้ ส่วน 7753 ก็ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนที่พึ่งพาได้เลย
เชพเพิร์ดพายยกตัวขึ้นและเช็ดหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้า “ทำไมถึงออกจากอาคารหลักมากันล่ะ?”
“เพราะโดนโจมตี” มานาตอบ
“หือ? อะไรนะ? หือ? โจมตีงั้นเหรอ? ใครกัน?”
“เหมือนว่าจะเป็นคนที่ฆ่าไมยะและทำลายประตูน่ะ”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อนนะ… หือ…? ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลย ขอเวลาเดี๋ยวนะ” เชพเพิร์ดพายหันหน้าจากเด็กสาวคนหนึ่งไปยังอีกคน แต่ทุกคนก็ล้วนมีท่าทีจริงจัง มันดูไม่เหมือนว่านี่คือการโกหกหรือเป็นเรื่องตลกเลย จากนั้นเขาก็ตะหนักว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิด ที่นี่มีคนอยู่น้อยเกินไป รากิ นาวี่ อากิ โยล แล้วก็โทตะนั้นหายไป นอกจากมิสมาร์เกอริตแล้วก็ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่คนพวกนั้นพามาด้วยอยู่เลย “หือ…? ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้… คนอื่น…”
“ไม่ คนอื่นเองก็หนีไป” มิสมาร์เกอริตแก้ความเข้าใจผิดของเขา “พวกนั้นกระจายตัวออกไปทั่วเกาะนี้ แต่พวกเราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันบ้าง”
“อ่า อย่างนั้นหรอกเหรอ แบบนั้นดีแล้ว… แต่มันไม่ดีแน่หากพวกเราไม่รู้ว่าคนอื่นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าปลอดภัย… มันก็คงดีแล้วสินะ?”
“…ก็ดีกว่าบาดเจ็บหรือตายนั่นแหละ”
“อ่าาา ใช่ นั่นก็จริง”
เชพเพิร์ดพายค่อยๆเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นด้วยการถามหาข้อมูลเพิ่มเติมและการอธิบาย พวกเขาโดนคนไม่ดีที่จัดการไมยะโจมตี และเชพเพิร์ดพายก็หมดสติไป คนอื่นที่ไม่ได้อยู่กับพวกเขาต่างก็กระจัดกระจายออกไปคนละทาง คนที่เหลืออยู่นั้นก็แบกเชพเพิร์ดพายที่ไม่ได้สติพร้อมกับค้นหาผลไม้สีเทาไปด้วย เชพเพิร์ดพายรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองโชคดี คิดว่าดีแล้วที่ตัวเองไม่ตาย แต่เขาก็รู้สึกไม่ดีนักเมื่อจำได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่โชคดีแต่เป็นเรื่องเฉียดตายซะมากกว่า และไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไรต่อไป ก่อนอื่นเลยมันก็ต้องหาผลไม้สีเทาก่อน
เชพเพิร์ดพายมองขึ้นไปบนฟ้า การมีกิ่งไม้และเมฆคอยบดบังดวงดาวอยู่มันจึงไม่ใช่จุดที่ดีนักที่เขาจะมองขึ้นไป จะว่าไปพาสเทล เมรี่กับดรีมมี่✰เชลซีปลอดภัยดีรึเปล่านะ?
นี่เมรี่ถูกใครบางคนจับตัวไป หรือว่าเธอหนีไปพร้อมกับผลไม้สีเทากันนะ? หากเป็นแบบนี้อย่างหลังคงจะดีกว่า หากเธอหนีออกไปพร้อมกับผลไม้ แบบนั้นก็คงเป็นเพราะว่าเมรี่รู้สึกกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแน่ ความตื่นกลัวของเธอกลายเป็นสิ่งที่นำไปสู่การกระทำ บางทีเธอคงจะหกล้มหลายครั้งในตอนที่แบกผลไม้อยู่ด้วย ถ้าเป็นไปได้ เชพเพิร์ดพายก็อยากให้เธอพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะหนีออกไป แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเมรี่จะเห็นตัวเองเป็นนายจ้างที่เธอสามารถพึ่งพาได้รึเปล่า ทุกสิ่งที่เชพเพิร์ดพายสามารถทำได้คือการภาวนาให้เชลซีเจอเธอเป็นอย่างน้อย
ในตอนนี้เมื่อเชพเพิร์ดพายได้สติแล้ว เขาก็พูดถึงปัญหาที่มีออกมาในทันที
แทนที่จะอยู่ในอาคารหลักที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งนานกว่านี้ มิสมาร์เกอริตคิดว่าการออกไปหาผลไม้สีเทามาไว้ก่อนจะดีกว่า และมานาก็เห็นด้วย ตามทางกลับหลังจากที่ไปฟังเสียงจากศพของไมยะก็เจอผลไม้อยู่บ้าง ดังนั้นพวกเธอจึงมุ่งหน้าออกไปรวบรวมผลไม้สีเทาที่ยังไม่ได้ถูกเก็บมา พวกเธอลังเลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายตัวเชพเพิร์ดพายที่ไม่ได้สติซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่พวกเธอก็คิดว่าการปล่อยเขาเอาไว้แบบนี้มันจะอันตรายยิ่งกว่า โชคไม่ดีที่พวกเธอไม่พบเจอผลไม้ตามทางเลย ผลไม้สีเทาควรจะอยู่บนต้นไม้กลับถูกใครบางคนเก็บไปจนหมด
ในตอนนี้มานาและคนอื่นกำลังเจอปัญหา พวกเธอไม่รู้ว่าควรจะไปหาผลไม้กันที่ไหน รอบอาคารหลักเองก็ถูกเก็บไปจนหมดแล้ว เชพเพิร์ดพายได้สติอย่างถูกจังหวะในตอนที่พวกเธอกำลังติดอยู่กับสิ่งที่ควรจะทำ ซึ่งมันนำมาถึงพวกเธอในตอนนี้
“เอ่อ… คุณรู้รึเปล่าว่ามีที่ไหนบ้างที่ผลไม้สีเทาขึ้นอยู่เยอะๆ?” 7753 ถามอย่างกลัวๆ
“ก็… ถ้าชั้นรู้ ชั้นคงบอกไปแล้วในตอนที่อยู่ในอาคารหลัก” เชพเพิร์ดพายตอบกลับ
“ก็จริง… ขอโทษที”
แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องของเกาะแห่งนี้อยู่บ้าง แต่มันก็แค่มากกว่าทายาทคนอื่นเล็กน้อย ความรู้ของเขาเทียบไม่ได้กับลุงของเขา ซาตาบอร์นที่เป็นเจ้าของเดิมของเกาะแห่งนี้ รากินั้นมีความรู้เรื่องระบบของเกาะมาก ในขณะที่ราเรโกะรู้เรื่องของประตู หนึ่งสิ่งที่เชพเพิร์ดพายมั่นใจก็คือการทำอาหาร ซึ่งมันเป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นสำหรับเรื่องในตอนนี้เลย
“แต่…” เชพเพิร์ดพายพูดต่อ
“แต่?” 7753 พูดซ้ำ
“ชั้นออกไปดูรอบๆเกาะมาบ้างแล้ว คิดว่าตัวเองเห็นผลไม้สีเทาอยู่บ้าง”
“หืม?”
“แต่ชั้นจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่เลย”
“อ่า แย่หน่อยนะ” 7753 พูด
“แต่” มานาพูดออกมา “ถึงจะเป็นความทรงจำที่เลือนรางมันก็ยังคงเป็นความทรงจำอยู่ดี”
“นั่นสินะ” เชพเพิร์ดพายพูด
“มันน่าเชื่อกว่าพวกเราที่ไม่มีอะไรเลยซะอีก”
มันมีคำพูดที่พูดเอาไว้ว่าคนที่ใกล้จะจมน้ำต่อให้เป็นฟางก็จะคว้ามันเอาไว้ เขารู้สึกว่ามันเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ว่าเชพเพิร์ดพายก็ไม่ได้พูดออกมา เขากอดอก ชักคางกลับและส่งเสียงคราง มันทำให้หนวดของเขาสั่นไปมา “อืมมม… ความทรงจำเองมันก็เลือนรางมากด้วยสิ เอ่อ พวกเราจะลองไปดูก็ได้ แต่ถ้ามันเสียเวลาเปล่าก็คงแย่ไม่ใช่เหรอ?”
“แม้ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ก็คงต้องลอง” มานาพูด “ใช่ว่าพวกเราจะมีทางเลือกอื่น”
เชพเพิร์ดพายพยักหน้าและลุกขึ้น พวกเขาต้องออกไปหาผลไม้สีเทา ไม่งั้นมันก็ไม่มีทางเลือกอื่น อย่างที่มานาพูดไว้ว่าแม้ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็ดีกว่าไม่พยายามลองทำเลย
“งั้นก็ไปกันเถอะ” เชพเพิร์ดพายพูดและขยับมือ แต่มือของเขาก็ไปโดนเข้ากับต้นไม้จนส่งเสียงร้องออกมาขัดเรื่องที่เขากำลังพูด เขากระแอมออกมาอย่างเงียบๆ ในคราวนี้เขาตรวจดูว่าไม่มีอะไรอยู่รอบๆก่อนที่จะพูดจากนั้นก็วาดสี่เหลี่ยมเวทมนตร์และร่ายภาษาโบราณด้วยนิ้ว หลังจากที่รวบรวมพลังแล้ว เขาก็เอานิ้วชี้ของมือขวามาแตะไว้ที่ระหว่างคิ้ว มันไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรมากมายนัก มันเป็นเวทมนตร์ที่เพิ่มพลังให้กับจิตใจ ซึ่งสามารถช่วยให้เขาจดจำได้มากขึ้นเล็กน้อย
จิตใจของเขาตอนนี้ชัดเจนแล้ว หรือเขารู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น
“บางที… คงเป็นทางนี้…” เชพเพิร์ดพายพูด
เดิมทีความทรงจำของเขามันเลือนรางแล้วก็พร่ามัว ราวกับว่ามันดึงตัวเขาออกไปในหลายทิศทาง แต่นี่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
มันเป็นครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนานที่เชพเพิร์ดพายใส่ความพยายามลงไปในอะไรบางอย่างแบบเต็มที่นอกจากเรื่องของการทำอาหาร เขาดึงเอาความทรงจำที่ปกติแล้วจะไม่ได้นึกถึงขึ้นมาเหมือนกับตอนที่ทำการเช่าปีศาจมาเพื่อป้องกันรอบเกาะแห่งนี้ซึ่งมันกวนใจเขาตลอดเวลา หรือในตอนที่เขาพยายามอ่านบันทึกเก่าๆของคุณลุงแล้วก็ยอมแพ้หลังจากที่อ่านเรื่องพืชพรรณบนเกาะนี้ไปได้เพียงไม่กี่หน้า
“ดีจังที่มมีคุณเชพเพิร์ดพายอยู่กับพวกเราด้วย” 7753 พูด คำพูดของเธอมันทำให้เขารู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้นจนรู้สึกได้ว่าปวดท้อง
ตามความทรงจำอันเลือนรางของเขาที่ คิดว่าน่าจะเป็นทางนี้แน่ เมื่อเขาขยับเท้าไปด้านหน้า ท่าทางของเมจิคัลเกิร์ลก็ตึงเครียดและตื่นตัว
จากนั้นเท็ปเซเคเมย์ก็หมุนรอบตัวเองในอากาศ เชิดจมูกขึ้นแล้วก็ดม “กลิ่นนี้” เธอออกมาด้านหน้าเชพเพิร์ดพายและนำทางแทนที่เขาไป
ใครก็ตามที่เป็นจอมเวทต่างก็รู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลมีสัมผัสที่แหลมคม เขาเองยังรู้ว่าคนที่รวบรวมผลไม้สีเทาและกินมันเป็นคนแรกก็คือเท็ปเซเคเมย์ ภายในใจของเชพเพิร์ดพายกำหมัดแน่นพร้อมคิดว่า แบบนี้มีหวังแน่
แต่ความหวังของเชพเพิร์ดพายก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เธอแน่ใจเหรอ?” เขาถาม
“อื้อ” เท็ปเซเคเมย์ตอบ
“อ๊ะ… ดูเหมือนว่ามันจะถูกเก็บไปแล้วนะ ดูจากร่องรอยได้เลย” มานาพูด
“มีเศษผลไม้ทิ้งอยู่ตรงนี้ด้วย” มิสมาร์เกอริตพูดเสริม
“พวกนั้นเอาไปหมดทุกอย่างเลย” เชพเพิร์ดพายครางออกมา
พวกเธอต้องทำสิ่งที่ดูน่าอัปยศอย่างการรวบรวมเศษผลไม้และเลียน้ำผลไม้ที่ยังคงเหลืออยู่ตรงจุดที่ผลไม้ถูกเก็บออกไป แต่มันก็เติมกำลังได้เพียงแค่เล็กน้อย แล้วเชพเพิร์ดพายก็เดินนำออกไปอีกครั้ง
หลังจากที่เดินไปครู่หนึ่ง เท็ปเซเคเมย์ก็หมุนตัวในอากาศ เชิดจมูกขึ้นไปด้านบนและก็ดมกลิ่น “กลิ่นนี้”
เชพเพิร์ดพายรู้สึกขอบคุณว่านี่เป็นโชคดีที่หาได้ยากเป็นการส่วนตัว มันเป็นเรื่องที่โชคดีเอามากๆหากจะเจออะไรบางอย่างจากความทรงจำที่ไม่ชัดเจน และในตอนนี้พวกเราก็ค้นพบผลไม้สีเทาสองครั้งในระยะเวลาอันสั้น นี่คงเป็นเพราะเท็ปเซเคเมย์มีจมูกดี แต่ก็คงเป็นเรื่องที่โชคดีด้วย
เมื่อพวกเธอรีบเร่งไปยังจุดหมายด้วยความมุ่งมั่น และพวกเธอก็พบว่า —ทุกอย่างถูกเก็บออกไปจากต้นไม้จนหมดอีกครั้ง
“อีกแล้วเหรอ…?” มานาบ่น
“เก็บได้มารยาทต่ำกว่าครั้งก่อนหน้าซะอีก” มิสมาร์เกอริตเสริม
“อ๊ะ มีลูกนึงหล่นอยู่ตรงนี้…” 7753 พูด “นี่ เมย์! พวกเราต้องแบ่งกันนะ! อย่ากินโดยที่ไม่ถามสิ!”
ทำไมอะไรแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกันนะ? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้? เชพเพิร์ดพายไม่รู้เลย เขามองขึ้นไปบนฟ้าและหวังว่าเสียงร้องของแมลงจะกลบเสียงถอนหายใจของเขาได้
☆ 7753
ห้าคนในกลุ่มพูดคุยกันหลังจากที่เจอเป็นครั้งที่สาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” เชพเพิร์ดพายสงสัย
“รอยตัดที่ผลไม้เหมือนกับรอยตัดก่อนหน้า” มานาชี้
“ใครบางคนกำลังรวบรวมผลไม้สีเทางั้นเหรอ?”
“เอ่อ…” 7753 พูดตัด “บางทีศัตรูที่โจมตีพวกเราก่อนหน้านี้อาจจะเป็นคนทำก็ได้”
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร หากเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเวทมนตร์มันก็จำเป็นต้องใช้” เชพเพิร์ดพายเห็นด้วย
“เมย์เหนื่อยแล้ว”
“และมันก็มีเหตุผลที่คนอื่นนอกจากศัตรูทำเรื่องนี้ด้วย” มิสมาร์เกอริตพูด
“ใครๆก็ต้องการผลไม้สีเทาทั้งนั้น” มานาเห็นด้วย
“แบบนั้นมันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเราควรจะไปหาคนอื่นไม่ใช่เหรอ?” เชพเพิร์ดพายพูด
“ถ้าหากมีคนอื่นที่พวกเราสามารถหาเจอได้ ก็ใช่ล่ะนะ”
“เลิกพูดอะไรที่มีความหมายเป็นนัยเถอะ มิสมาร์เกอริต” มานาตะโกนใส่เธอ
“มีโอกาสไม่น้อยที่อีกฝ่ายจะปฎิเสธการร่วมมือ”
“ชั้นรู้”
“อ๊ะ ใช่ จริงด้วย รู้ไหม เอ่อ รอยตัดนี่มันดูใหม่กว่าครั้งที่แล้วนะ แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราเข้าใกล้แล้วเหรอ? ถ้าพวกเรารีบขึ้นซักหน่อยก็อาจจับตัวอีกฝ่ายได้ คุณเชพเพิร์ดพายรู้ไหมว่ามีที่ไหนที่มีผลไม้สีเทาที่อยู่ใกล้ๆรึเปล่า?” 7753 ถาม
“ชั้นบอกไปแล้วนะว่าตัวเองจำไม่ค่อยได้”
“อื้อ แต่… ขอโทษค่ะ นำทางต่อได้เลย”
ทั้งกลุ่มออกเดินต่อพร้อมกับการที่มีเชพเพิร์ดพายนำทาง ผ่านไปครู่หนึ่งเมย์ก็หมุนตัวขึ้นไปในอากาศ ดมกลิ่นและพึมพำว่า “มีกลิ่นเยอะแยะเลย” คราวนี้เหมือนกับว่าเธอรู้สึกพอใจ แต่ก็ไม่มีอะไรแสดงออกมาบนใบหน้าอยู่ดี
“โฮ่ กลิ่นเยอะแยะคงหมายถึงมีขึ้นอยู่เยอะสินะ” เชพเพิร์ดพายพูด
“ดูเหมือนว่าจะหวังได้นะ” 7753 พูด
เท็ปเซเคเมย์ออกไปข้างหน้าอีกครั้ง จากนั้นทั้งกลุ่มก็ตามเธอไป เมื่อเชพเพิร์ดพายตบยุงที่บินตามมาในตอนที่ลอดผ่านพุ่มไม้แล้วก็บี้ มานาก็ด่าเขาว่าอย่าสร้างเสียงโดยที่ไม่จำเป็น ในตอนที่เท็ปเซเคเมย์กำลังลอยตัวอยู่ข้างหน้าราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงทะเลาะกันที่อยู่ด้านหลัง แต่จากนั้นเธอก็หยุดลงในทันที
การที่จู่ๆก็หยุดมันทำให้ 7753 กระแทกเข้ากับหลังของมานา จากนั้นเธอก็ต้องขอโทษออกมาอีกครั้ง
มิสมาร์เกอริตเคลื่อนตัวมาด้านหน้าเท็ปเซเคเมย์ “เธอเองสินะ”
แม้จะอยู่ในป่าทึบแต่สีชุดของเธอนั้นโดดเด่น เมจิคัลเกิร์ลที่มิสมาร์เกอริตเรียกทิ้งผลไม้สีเทาในถุงพลาสติกที่อยู่ในมือขวาลงพื้น เธอหันไปรอบๆอย่างเชื่องช้าเพื่อมองมาที่มิสมาร์เกอริต ดวงตาของเธอไม่ได้เพ่งมองไปที่จุดไหน ราวกับว่าเธอกำลังมองไปยังที่อื่น
มีบางอย่างแปลกไป 7753 กำลังจะเอามือไปจับแว่นกันลมเมื่อดรีมมี่✰เชลซีมองมา แต่ 7753 ก็เอามือออกไปอีกครั้ง
เชพเพิร์ดพายพยายามก้าวไปข้างหน้า มิสมาร์เกอริตห้ามเขาเอาไว้แต่เขาก็ตะโกนออกไปอยู่ดี “เชลซี! เธออยู่ที่นี่เองสินะ!”
“เชลซีน่ะ…” เชลซีเริ่มพูด
“หืม?”
“เชลซีคือเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยม นั่นคือสิ่งที่เชลซีคิด”
“เอ่อ นี่เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
มิสมาร์เกอริตใช้มือซ้ายห้ามเชพเพิร์ดพายเอาไว้พร้อมกับเอามือขวาจับที่ด้ามของเรเปีย 7753 กลืนน้ำลายลงไป
เชลซียังคงพูดต่ออย่างแปลกๆ ราวกับว่าเธอไม่ได้มองดูในสิ่งที่มิสมาร์เกอริตทำเลย “แต่นั่นมันผิด… เชลซีต้องเรียนรู้เรื่องของเมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริง… เชลซีไม่รู้จักความรัก”
“เชลซี มีอะไรรึเปล่า?” เชพเพิร์ดพายถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“เชลซีต่างจากคนเมื่อวาน ในตอนนี้เชลซีรู้จักความรักแล้ว”
“ถ้าไม่พูดให้รู้เรื่อง ชั้นก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าเธอพูดอะไร”
“จริงๆแล้วเชลซีไม่อยากอยู่คนเดียวเลย เชลซีอยากอยู่กับคนอื่นไปตลอด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครเลยที่ตามเชลซีทัน ดังนั้นออกมาเองคงเร็วกว่า”
“คนอื่น?” เชพเพิร์ดพายพูดต่อเพื่อพยายามหาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เธอทำได้ เชลซี อย่ายอมแพ้นะ เชลซี ต่อให้อยู่คนเดียว หัวใจของพวกเราก็เป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเมรี่? เธอรู้รึเปล่า?”
ดวงตาของเชลซีที่ใหญ่อยู่แล้วเบิกกว้างมากยิ่งขึ้น ท่าทางของเธอดูบิดไปมา 7753 ถอนหลังกลับไปหนึ่งก้าวเพื่อปกป้องมานาที่อยู่ด้านหลัง
“นี่ กล้าดียังไงน่ะ! ทำไมถึงเรียกเมเมว่า ‘พาสเทล เมรี่’!”
ตัวของเชพเพิร์ดพายโอนเอนในตอนที่เชลซีพูดออกมาอย่างไม่พอใจ —มานาพยายามจับตัวเขาเอาไว้แต่ก็รับน้ำหนักไม่ไหว 7753 จึงวนมาด้านหลังเพื่อช่วยพยุงทั้งสองคน มานาที่ติดอยู่ระหว่างทั้งสองคนก็ร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด
“เท็ปเซเคเมย์ จับตามองรอบๆด้วย” มิสมาร์เกอริตก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าว เธอชักเรเปียออกมา ใบดาบนั้นสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์
ดรีมมี่✰เชลซียกเท้าขึ้นและลอยขึ้นไปในอากาศทั้งแบบนั้น เท้าของเธอลอยอยู่เหนือพื้น ราวกับว่าไม่สนแรงโน้มถ่วงเพื่อลอยอยู่ตรงนั้น
นั่นคือเวทมนตร์ 7753 แค่ไม่รู้ว่ามันเป็นเวทมนตร์ประเภทไหน เชลซีตอบสนองกับชื่อของพาสเทล เมรี่ —นี่พาสเทล เมรี่ควบคุมเชลซีอยู่รึเปล่า? เธอกำลังทำอะไรอยู่? แล้ว “คนอื่น” ที่เชลซีพูดถึงนั่นคือ?
7753 เอื้อมมือไปจับแว่นกันลมอย่างเงียบๆ มันมีข้อมูลมากมายที่เธอจำเป็นต้องรู้ ในตอนที่เธอเอาลงมาจากหมวกมาที่ตา มันก็สะบัดอย่างรุนแรง
แว่นกันลมกลิ้งออกไปจากเธอ จากนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างที่ส่องประกายกระแทกเข้าไปเพื่อให้มันออกห่างไปมากขึ้น
7753 มองไปที่แว่นกันลมด้วยตาของเธอ จากนั้นก็หันมาที่เชลซีทันทีพร้อมกับจ้องเธอเอาไว้ เชลซีนั้นใช้มือทำรูปหัวใจดวงเล็กๆ มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ดูเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากการใช้เวทมนตร์ —มิสมาร์เกอริตโยนใบไม้ขึ้นในตอนที่ย่อต่ำพร้อมกับกระซิบกับ 7753 ว่า “อย่าขยับ”
7753 มองเข้าไปที่พุ่มไม้ ที่ที่แว่นกันลมปลิวเข้าไป จากนั้นก็มองมาที่เชลซีอีกครั้ง ในจุดนี้ มันทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมิสมาร์เกอริต
นี่มัน…อะไรน่ะ…?
เชลซีนั้นเคลื่อนไหวอย่างเฉียบคม แต่มันก็มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นผสมเข้ามาด้วย มันดูไม่มีเหตุผลเลย เมื่อคิดว่าเชลซีใช้เวทมนตร์ของตัวเอง 7753 ก็คอยระวังเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
เมจิคัลเกิร์ลสองคนมองหน้ากันอย่างไร้คำพูด
เชลซีปล่อยปล่อยรูปหัวใจที่ทำแยกออกจากกันและค่อยๆแบมือออก ยื่นนิ้วชี้และนิ้วกลางออกมา งอนิ้วอื่นที่เหลือ ทั้งสองมือของเธอชูสองนิ้วออกมาเป็นท่าดับเบิ้ลพีซพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สายลมพัดผ่านเข้ามาหาเมจิคัลเกิร์ลทั้งสอง แต่ทั้งคู่ก็ยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมโดยไม่ขยับ เชลซียังคงทำท่าดับเบิลพีซเข้าหามิสมาร์เกอริต ในขณะที่มิสมาร์เกอริตจ้องกลับไป 7753 ค่อนข้างที่จะตึงเครียดที่คอยจับจ้องการกระทำนี้
เชลซีเป็นคนที่ลงมือก่อนอีกครั้ง จากท่าดับเบิลพีซ เธอแบมือขวาออก ส่วนมือซ้ายเอาขึ้นไปที่ใบหน้าเพื่อโพสท่าพีซด้านข้าง มิสมาร์เกอริตขยับจุดศูนย์ถ่วงไปทางซ้ายเล็กน้อย
สายลมนั้นพัดผ่านมาแรงขึ้นทำให้ใบหญ้าพริ้วไหว ขนนกยูงที่ประดับออยู่บนหมวกของมิสมาร์เกอริตขยับไปมาราวกับเป็นสปริง เชลซียิ้มออกมาอย่างงดงามเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลในอนิเม มันเหมือนกับเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่ไม่เคยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
7753 เข้าไปยุ่งไม่ได้ ตัวของเชพเพิร์ดพายกระตุก 7753 รู้สึกได้ถึงการกระทำของเขาผ่านทางมานา
7753 เห็นเมจิคัลเกิร์ลมาแล้วนับไม่ถ้วน รวมถึงคนที่เก่งเรื่องการต่อสู้มามากมาย
แต่เธอไม่เคยเห็นท่าทางการต่อสู้แบบนี้มาก่อน
ช่วงเวลาอันหนักอึ้งมันผ่านไปอย่างเชื่องช้า 7753 แทบจะหายใจไม่ออก เชลซียืนนิ่งในท่าโพสหันข้าง มิสมาร์เกอริตเองก็ไม่ขยับเช่นกัน ทั้งคู่ยังคงยืนอยู่โดยไม่ผ่อนท่าทางของตัวเอง ในตอนที่เวลาผ่านไป 7753 ก็นึกได้ว่า ถุงพลาสติกที่เชลซีถืออยู่มีของใส่อยู่จนเต็ม มันคงเป็นผลไม้สีเทาแน่ ส่วนอีกฝั่ง มิสมาร์เกอริตได้แค่เลียน้ำผลไม้กับดูดน้ำจากเปลือกเท่านั้น หากเวลาผ่านไปแบบนี้ การแปลงร่างของมิสมาร์เกอริตก็จะคลายลงก่อน
แค่รออยู่เฉยๆมันคงเป็นความคิดที่แย่ และถ้า 7753 รู้ถึงเรื่องนั้น บางทีมิสมาร์เกอริตเองก็รู้ดี —แต่เธอก็บอกว่าให้เตรียมพร้อมเอาไว้โดยที่ไม่ได้ลังเล แม้จะคิดว่า ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ 7753 ก็ขยับไม่ได้ ความร้อนรนของเธอค่อยๆแพร่ออกไปจนมาถึงจุดที่ยากจะอยู่เฉยๆ คอของเธอรู้สึกเจ็บ หน้าอกของเธอรู้สึกคัน —และในทันใดนั้นก็มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น หัวใจของ 7753 แทบจะหลุดออกจากตัว ตัวของเธอเองก็เกือบที่จะล้มมลง แต่ก็พยุงตัวเองเอาไว้ได้
เธอไม่รู้เลยว่านั่นคือเสียงแจ้งเตือนของเมจิคัลโฟนจนกระทั่งเธอได้ยินเชลซีพูดออกมาว่า “แหม! ได้เวลาเดทแล้ว!”
เชลซีที่ยังคงยืนอยู่ในท่าโพสหันข้างกระโดดกลับหลังขึ้นไปในอากาศ จนกระทั่งเธอหายเข้าไปในต้นไม้ เมื่อเท็ปเซเคเมย์เริ่มบินตามไป มิสมาร์เกอริตก็เรียกเธอ “ไม่เป็นไร! ไม่ต้องตามไป” จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจออกมาและวางมือลงบนปีกหมวก ดาบของเธอกลับเข้าไปในฝักโดยที่ 7753 ไม่ทันรู้
“…แข็งแกร่งนะ” เหมือนว่ามิสมาร์เกอริตจะพึมพำกับตัวเอง
ใบหน้าของมานาบึ้งตึง “จัดการไม่ได้รึไง?”
“ถ้าเธอเป็นคนที่ชั้นจัดการได้แบบง่ายๆ ชั้นก็คงจัดการไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคงเป็นเพราะบางที…” สายตาของมิสมาร์เกอริตมองไปยังจุดที่เชลซีหายไป “นั่นไม่ใช่รูปแบบการต่อสู้ที่ชั้นรู้จัก เธอเองก็ได้สารอาหารจากผลไม้สีเทาไปมากด้วย บางทีเธอคงจะอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลได้นานกว่าชั้น ความสามารถทางกายภาพเองก็เหนือกว่า แม้จะมีเท็ปเซเคเมย์คอยช่วยอยู่ ชั้นเองก็ต้องคุ้มกันจอมเวทสองคนและเมจิคัลเกิร์ลในการต่อสู้ด้วย ชั้นขอย้ำกับตัวเองตรงนี้อีกครั้ง ถ้าเธอเป็นคนที่ชั้นจัดการได้ง่ายๆ ชั้นก็จะไม่ปล่อยให้เธอหนีไป พวกเราเองก็ควรพอใจกับการที่ได้ผลไม้สีเทามาด้วย”
“คุณจัดการเธอแบบง่ายๆ ไม่ได้ งั้นเหรอ?”
“อย่างน้อยก็ต้องได้รับอนุญาตให้ฆ่าทิ้งน่ะ” มิสมาร์เกอริตมองไปที่เชพเพิร์ดพาย คนที่ส่ายหน้าอย่างลุกลน “ไม่ ชั้นให้เธอฆ่าไม่ได้ เอาจริงๆแล้ว เธอดูแปลกไปด้วย นั่นมันอะไรกันนะ?”
“ดูเหมือนว่าเธอจะโดนควบคุมอยู่”
“ควบคุม… โดยใครกัน?”
“ตอนที่เธอไม่พอใจในตอนที่ได้ยินชื่อของพาสเทล เมรี่มันทำให้พาสเทล เมรี่ดูน่าสงสัยที่สุด… แต่ในตอนนี้ชั้นก็พูดอย่างมั่นใจไม่ได้” มิสมาร์เกอริตหรี่ตาลง ขนตาของเธอเองลดลงมาเล็กน้อย
7753 ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และก่อนที่อะไรบางอย่างจะเกิดขึ้นกับเธอ เธอหันกลับไปยังพุ่มไม้ การไม่มีแว่นกันลมอยู่กับตัวมันเหมือนกับร่างกายของเธอหายไปครึ่งหนึ่ง และเธอก็รู้สึกกังวลราวกับว่าตัวเองสูญเสียไปมากกว่านั้น 7753 ก้มตัวลงและมุดเข้าไปในพุ่มไม้ แยกใบไม้ออกด้วยสองมือ เธอหามันไม่พบ ในตอนที่โดนกิ่งไม้กระแทกเข้าใส่ เธอก็เคลื่อนตัวไปข้างใต้พุ่มไม้จนกระทั่งเธอพบกับส่วนสายคาดที่ติดอยู่กับพุ่มไม้และดึงมันขึ้น
ส่วนของสายคาดที่ขาดยังคงอยู่ แต่ตัวแว่นกันลมมันหายไปแล้ว
MANGA DISCUSSION