ตอนที่ 6:
แยกไปทุกแห่งหน
☆ ดรีมมี่✰เชลซี
พืชพรรณต่างๆที่อยู่รอบอาคารหลักและอาคารรองต่างก็ถูกถอนออกไปหมด จนตอนนี้มันกลายเป็นลานโล่ง แขกทุกคนที่ถูกเชิญมายังเกาะแห่งนี้ก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้จะเห็นชัดว่าชายแก่ที่ดูอ่อนแรงไม่ยอมเข้าไปพักผ่อนด้านในตามที่เชิญชวน —บางทีอาจจะเป็นเพราะยังรอเมจิคัลเกิร์ลที่ออกไปฟังเสียงของไมยะอยู่ และยังคงดูเหมือนว่าเขาดูไม่ได้มีประโยชน์อะไรด้วย มันดูเหมือนกับการทำให้แน่ใจว่าจะสามารถหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยหากโดนโจมตีเข้ามา เชลซีคิดว่าเขาเป็นคนที่หัวรั้นเอามากๆ แม้ว่าจะมีเหตุผลมากมาย แต่เชลซีก็ประกาศต่อหน้าทุกคนอยู่ดี
ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดแล้ว แสงของอาคารหลักจากด้านหลังทำให้เธอมองเห็นเงาที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้า เธอไม่ได้ต้องการจะบอกคนอื่นว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร แต่แสงที่อยู่ด้านหลังมันทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
เมรี่หายตัวไป
เชลซีตรวจดูห้องว่างทุกห้อง เปิดกล่องไม้ทุกกล่องที่วางซ้อนกันอยู่ในตู้ ทำแม้กระทั่งเปิดฝาชักโครกแล้วมองเข้าไปด้านใน เธอดูในห้องอาบน้ำเช่นกัน ตรวจดูด้านหลังผ้าม่านอาบน้ำที่ดูไม่ได้มีประโยชน์ เชลซียังเอาหนังสือออกมาจากชั้นหนังสือ แต่มันก็ไม่มีห้องลับปรากฏออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ผลไม้สีเทาที่ทั้งสองคนไปเก็บมาด้วยกันแล้วใส่ไว้ในกล่องก็หายไปด้วย เมื่อพวกเธอรู้ถึงประโยชน์ของผลไม้ พวกเธอก็ถูกสั่งให้ออกไปเก็บจากต้นที่โตอยู่โดยรอบอาคารหลักในทันที —มันเป็นงานแรกตั้งแต่ที่มายังเกาะแห่งนี้ที่้เชลซีไม่ได้อิดออด หากไม่มีผลไม้่สีเทาแล้ว พวกเธอก็ต้องมีปัญหาแน่
ทุกคนต่างดูไม่พอใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เชลซีพูดออกมา เธอไม่เคยอยากมีปัญหากับคนอื่นเช่นกัน แค่ความจริงมันก็คือความจริง การไม่พูดให้อีกฝ่ายรู้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป
เชลซีรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ด้านบนก้อนเมฆ แม้ว่าเธอจะเห็นเหตุการณ์ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน แต่เธอก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไกลออกไป ราวกับว่ามองดูมันผ่านจอทีวีจากที่ไหนซักที่ ไม่ใช่แค่หาตัวเมรี่ไม่เจอ กล่องที่ใส่ผลไม้สีเทาเอาไว้ก็หายไปอีกด้วย —มันรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะแบบนี้เธอก็เลยไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเศร้าอะไร เธอใจเย็นอย่างแปลกประหลาด แต่ภายในใจมันเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกับเชลซี อากินั้นโกรธมากในตอนที่ได้ยินข่าว เธอตะโกนและกรีดร้องออกมาพร้อมกับจับปกคอเสื้่อของเชพเพิรืดพายเอาไว้ “ดูสิ! นี่มันหมายความว่ายังไง?” คำพูดอย่าง “เอาจริงดิ! แม่งเอ๊ย! เวรจริง!” ลอยออกมาจากปากของเธอ ใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวเองก็บิดเบี้ยวจนดูน่ากลัวในตอนที่หันเข้าหาเชพเพิร์ดพาย ท่าทางของเธอที่เต็มไปด้วยความโกรธเหมือนกับจะบอกว่า “เอานี่ไปกินซะ!” ในตอนที่ปล่อยหมัดเข้าใส่ภายในใจ
เชพเพิร์ดพายเองก็แย่ เชลซีเองก็รู้สึกไม่ดีแทน เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไม่ได้แม้กระทั่งจะแก้ตัว นั่น ทำให้เชลซีรู้สึกโกรธ —แต่ไม่ใช่เขา ความรู้สึกโกรธของเธอตรงไปหาจอมเวทที่ตะโกนใส่เขาและกำลังลังผลักความรับผิดชอบทุกอย่างมาให้
ก่อนที่เธอจะได้คิดถึงเรื่องนั้น เธอก็สูญเสียความใจเย็นของตัวเองไปแล้ว “นี่ ทำไมถึงโยนทุกอย่างให้เป็นความผิดของคุณพายล่ะ?!” เชลซีกระโดดออกมาตรงหน้าเชพเพิร์ดพายและกางแขนออกกว้าง
อากิสะดุ้ง จากนั้นเธอก็มองมาที่เชลซีทันที “ฟังนะ ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นแม่บ้าน เป็นเมียน้อย หรือจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลา เลิกทำตัวภักดีและไสหัวออกไปได้แล้ว”
เชลซีไม่เข้าใจว่าส่วนแรกมันหมายความว่าอะไร แต่เธอเข้าใจว่า “ไสหัวออกไป” มันหมายถึงอะไร และมันก็ทำให้ความโกรธของเธอพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น
เชลซีค่อนข้างโกรธเลยทีเดียว
“เชลซีไม่ไสหัวออกไปแน่! เพราะว่าดรีมมี่✰เชลซีคือเพื่อนของทุกคนที่มีปัญหาไงล่ะ!”
เธอจะไม่พูดอะไรแบบนี้ในตอนที่เป็นจิเอะ ยูเมโนะแน่ จิเอะนั้นจะเงียบหากมีใครบางคนโกรธเธอ เธอคิดว่ามันดูไม่ดีที่จะพูดขัดและควรจะรอให้ความโกรธนั้นลดลง เธอจะระบายความรู้สึกของตัวเองไม่ก็รอให้เวลานั้นผ่านไป และเรื่องเล็กๆน้อยๆก็จะทำให้ความโกรธของเธอลดลงไปทีละนิด จนเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เธอก็จะพูดอะไรอย่าง “คราวหน้าระวังหน่อยนะ” ไม่ก็ “ขอโทษนะ ฉันผิดเอง”
แต่ดรีมมี่✰เชลซีนั้นต่างออกไป เมื่อเพื่อนของตัวเองถูกว่าร้ายอย่างไม่เป็นธรรม เธอก็จะปกป้องพวกเขา ไม่งั้นมันจะเรียกตัวเองว่าเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้เหรอ?
อากิพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “โห งั้นเหรอ! ถ้าเธอเป็นเพื่อนกับทุกคนที่มีปัญหาล่ะก็ ทำไมถึงไม่ไปซ่อมประตูหรือจัดการนักฆ่าซะล่ะ?! พวกเรากำลังมีปัญหาอยู่นะ มีอยู่ตอนนี้เลยด้วย!”
“ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ความผิดของคุณพายซักหน่อย! เชลซีน่ะจะบอกว่ามันไม่มีเหตุผลเลยที่จะมาตะโกนใส่เขาต่างหาก!”
“อย่ามาเปลี่ยนหัวข้อสิยะ!”
“เธอนั่นแหละที่เป็นคนเปลี่ยน!”
นาวี่ยืนขึ้นและวางมือลงบนไหล่ของอากิ “เฮ้ พอเถอะน่า ที่สำคัญเลย—”
“นายนี่น่ารำคาญชะมัด หุบปากไปเลย ตาแก่” อากิพูดตัดด้วยคำๆเดียว เขาจึงคอตกและกลับไปยังทางที่มาพร้อมนั่งลงไป
—แคลนเทล— ที่เป็นม้าเข้ามาหาพร้อมกีบเก้าที่ส่งเสียงกุบกับ “โทษที” เธอพูดอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่ได้ฟังเรื่องที่ตะโกนใส่กันเมื่อครู่นี้เลยซักนิด
อากิเอียงหัวและจ้องไปที่เธอโดยไม่ได้พยายามปกปิดความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย —ราวกับว่าแคลนเทลเป็นคนที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ “อะไร?”
“ชั้นจะออกไปเก็บผลไม้สีเทา”
“เดี๋ยวก่อนนะ” มานาแทรกเข้ามาแล้วก็โบกมือตัวเองจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน “มันอันตรายเกินไป อย่างน้อยเธอก็ควรรอให้มิสมาร์เกอริตและคนอื่นๆกลับมาก่อนนะ”
“แต่—”
มีใครบางคนไอออกมา เสียงไอนั้นดังอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะหยุดลง คุณตาของเชลซีเองก็ไอแบบนี้ คุณตาทำให้คนที่มาเยี่ยมยิ้มออกด้วยการพูดว่า “พอออกจากโรงพยาบาลแล้ว อยากกินสเต๊กชิ้นใหญ่ๆจัง” แต่สุดท้ายแล้ว คุณตาก็ไม่เคยได้ออกจากโรงพยาบาลเลย
แคลนเทลรีบเข้าไปหาต้นเสียงที่ไอออกมาแล้วก็ลูบหลัง จอมเวทชรายังคงมีผ้าเช็ดหน้าคอยปิดปากเอาไว้ แต่เมื่อเขาเอามันออก ผ้าเช็ดหน้าสีขาวก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดง แคลนเทลยืนขึ้น โค้งตัวคำนับ จากนั้นก็วิ่งออกไปที่อาคารรองโดยไม่ได้พูดอะไร
อาคารรอง? ทำไมล่ะ?
เมื่อแคลนเทลกลับมา เธอก็ถือม้วนผ้าขนาดใหญ่มาด้วย “ขอยืมหน่อยนะ” เธอพูดกับเชพเพิร์ดพาย และก่อนที่เขาจะบอกว่าได้หรือไม่ได้นั้น เธอก็วิ่งออกไปแล้ว ร่างกายครึ่งล่างของเธอถูกห่อหุ้มด้วยแสง จากนั้นให้หลังก็กลายเป็นเสือดาว กีบเท้าของเธอกลายเป็นดรงเล็บที่แหลมคม หางของเธอก็เด้งด้วยการเคลื่อนไหวที่ดูนุ่มนวล โดยรวมแล้วตัวของเธอนั้นดูเตี้ยกว่าเดิม เวลายืนก็เตี้ยลงไปอีก
การแปลงร่างที่ไม่ได้คาดคิดมันทำให้เชลซีประหลาดใจ คนอื่นเองก็ส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน มานาก้าวออกมาข้างหน้า แน่นอนว่าเพื่อจะหยุดเธอ แต่เธอก็เคลื่อนไหวช้าเกินไป เหมือนกับว่าเธอกำลังลังเลอยู่ บางทีอาจจะไม่แน่ใจว่าควรจะห้ามแคลนเทลเอาไว้จากการที่จะพยายามเข้าไปในป่าเพื่อช่วยรากิที่ไม่สบายดีรึเปล่า เชลซีเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ในขณะที่มานากำลังลังเล แคลนเทลก็เร่งความเร็วขึ้น จนสุดท้ายแม้แต่ปลายหางของเธอก็มองไม่เห็นอีก
“นี่ฉันควรไปพาเธอกลับมารึเปล่า?” 7753 ถามอย่างอายๆ และมานาก็ส่ายหน้า “แต่เธอรู้เหรอว่าผลไม้สีเทามันอยู่ตรงไหนน่ะ?”
“นั่น… ไม่เป็นอะไรหรอก” ทุกคนยกเว้นรากิที่เหมือนกับยืนอยู่ตรงขอบเหวมองมาที่เชพเพิร์ดพาย ไหล่ของเขาสั่น เขาหันมองไปทั่วจากนั้นก็กระแอมออกมา “บนเกาะนี้มันไม่ใช่ผลไม้หายากหรอก ถ้าดูตามแม่น้ำหรือตามทางมันก็หาเจอได้ง่ายๆจนน่าตกใจเลย แต่หนึ่งต้นมันไม่ได้ออกลูกมากนัก การที่จะรวบรวมให้ได้จำนวนนึงต้องใช้เวลา… ใช่แล้วล่ะ การมีแผนที่ของเกาะนี้อยู่ด้วยก็คงจะช่วยได้”
“เดี๋ยวสิ งั้นที่แคลนเทลเอาไปก็…” เสียงของ 7753 เบาลงกว่าเดิม
“คิดว่า… นั่นคงเป็นภาพแขวนน่ะ”
งั้นเหรอ เชลซีคิด ในตอนนี้พอลองคิดดูแล้ว มันมีภาพแขวนที่มีภาพของของเกาะนี้โดยมองจากด้านบนติดอยู่ที่ผนังในห้องๆนึง การใช้มันคงจะดีกว่าการค้นหาแบบส่งเดช
“แค่มองมันก็บอกได้จริงๆเหรอ?” 7753 ถาม
“ถ้าจะให้พูดแล้ว ชั้นคิดว่าการมีภาพที่วาดเอาไว้บนภาพแขวนดีกว่าไม่มีอะไรเลย… เมื่อกี๊เองชั้นก็บอกไปแล้วว่ามันขึ้นอยู่ทั่วเกาะ ดังนั้นคงหาได้ไม่ยากนักหรอก พวกเราแค่เก็บผลไม้ที่ขึ้นอยู่รอบๆอาคารหลักมาหมดแล้ว ดังนั้นเธอคงต้องออกไปไกลซักหน่อย…”
สำหรับคนที่เป็นครึ่งสัตว์แล้วมันฉลาดเลยนะเนี่ย เชลซีคิดอย่างประทับใจ แต่มานานั้นดูโกรธ เธอพูดว่าการวิ่งออกไปในเวลาแบบนี้มันเห็นแก่ตัว อากินั้นโกรธ เธอพูดว่ามันเป็นเพราะหัวขโมย มานาเองก็พูดด้วยอารมณ์โกรธเช่นกัน แต่กระนั้น ในตอนที่อากิพูดอย่างโกรธๆว่าควรให้ความสำคัญกับการปกป้องผลไม้คือสิ่งที่ควรทำในตอนที่ระดมความคิดกัน มันก็ไม่มีจอมเวทหรือเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่พยายามแย้งหรือขัดขวางเลย เมื่อไม่ได้มีความโมโหตรงมาที่ตัวเองแล้ว เชพเพิร์ดพายก็หายใจออกมาอย่างโล่งอก ดีแล้วไม่ใช่เหรอ คุณพาย? เชลซีคิด
หลังจากที่ตะโกนใส่เชพเพิร์ดพายกับเชลซีแล้ว ต่อไป อากิก็เข้าไปหามานา ราวกับว่าเธอไม่เห็นเชลซีอยู่ในสายตาอีกแล้ว บางทีคงจะเป็นใครก็ได้ตราบใดที่เธอได้ตะโกนใส่
เชลซีได้ยินจากแม่ว่าจอมเวทเป็นคนที่ฉลาดเฉลัยว ในตอนนี้เมื่อเธอได้เข้ามายุ่งเกี่ยว มันก็ได้แต่ทำให้เธอเอียงหัวอย่างสงสัย ไม่เห็นมีใครที่ดูฉลาดสุดๆอยู่เลย
สถานการณ์ที่ใครคนหนึ่งถูกใครอีกคนถูกฆ่าตายมันช่างห่างไกลจากความเป็นจริง มันเหมือนกับเป็นเรื่องราวในละครทีวี มังงะ ภาพยนตร์ อนิเม หรือไลท์โนเวล —เหมือนกับเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ และรากิ คนที่มีอาการไม่สู้ดีก็ทำให้เธอคิดว่า อ๋า แย่จัง
หากจะมีอะไรล่ะก็ ความสนใจของเธอเพ่งไปในเรื่องที่แคลนเทลวิ่งออกไป มันเป็นการกระทำที่กล้าหาญและเท่เอามากๆ รากิไม่ใช่คนประเภทที่เชลซีอยากจะมีไว้เป็นเพื่อนบ้าน —โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นชายชราที่หัวรั้น เป็นคนประเภทที่เชลซีไม่ชอบ แต่แคลนเทลเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงในการออกไปในป่าและค้นหาผลไม้สีเทาเพื่อเขา
เธอทำทุกสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้เพื่อเพื่อนและพวกของเธอเอง นั่นคือสิ่งที่สมเป็นเมจิคัลเกิร์ลมาก
แคลนเทลเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่ความงดงามของเธอไม่ใช่สิ่งที่เชลซีชื่นชอบ หากเมจิคัลเกิร์ลอย่างแคลนเทลปรากฏตัวขึ้นในอนิเม เชลซีอาจจะพิมพ์คอมเมนท์ในโซลเชี่ยลมีเดียว่า ฉันไม่คิดว่าการพยายามแบบแปลกๆในการออกแบบใหม่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเมจิคัลเกิร์ลนะ ในช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ สิ่งที่ผู้คนต้องการจากเมจิคัลเกิร์ลคือความคลาสสิค ไม่ใช่การพยายามทำอะไรใหม่ๆ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น สิ่งที่เชลซีชอบก็คือสิ่งที่ตรงกันข้าม เธอคือเมจิคัลเกิร์ล เมื่อนายจ้างของเธอมีปัญหา เธอก็พุ่งเข้าไปในป่าเพื่อหาผลไม้สีเทาทันที แม้ว่าชีวิตของตัวเองจะตกอยู่ในอันตรายก็ตาม
ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลควรจะเป็น
สายลมแรกพัดผ่านเข้ามาหา จากนั้นเมื่อสายลมที่พัดเข้ามาเป็นครั้งที่สอง เชลซีก็ตอบสนองด้วยการกอดตัวเอง เมื่อรู้ว่าการทำแบบนี้มันดูไม่เหมือนกับเป็นเมจิคัลเกิร์ลเลย เธอจึงเลิกเอามือมากอดตัวเองในทันที พอเธอยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดู มันก็สั่นเล็กน้อย
เธอมองไปบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์มันก็กำลังจะลับไปจากแนวป่า
เชลซีมองไปที่อากิกับมานา เธอได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่พูดกันชัดเจนกว่าก่อนหน้า พวกเธอไม่ใช่แค่ “ตะโกนใส่กันและกัน” อากินั้นกำลังตะโกนด้วยความโมโหว่าเมรี่ขโมยผลไม้แล้วก็หายตัวไป พูดซ้ำๆว่านี่คือความรับผิดชอบของเชพเพิร์ดพาย แถมยังพูดอีกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นฝีมือของเมรี่ก็ได้
เชลซีค่อยๆกุมมือที่สั่นเทาของตัวเองอย่างช้าๆแล้วก็บีบ เล็บที่ยาวๆในร่างเมจิคัลเกิร์ลของเธอที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีและมีสีแดงแบบที่เห็นได้ชัดจมลึกเข้าไปในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ มันเจ็บ แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้เชลซีกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง
เชลซีไม่ใช่คนประเภทที่จะเงียบเมื่อมีคนมาว่าร้ายเพื่อนของตัวเอง และเชลซีก็จะไม่ปล่อยให้แคลนเทลได้จังหวะดีๆไปด้วย
“ผิดแล้ว” เธอพูดออกมาเสียงดัง มานา อากิ จอมเวทคนอื่นๆเองก็หันมามองที่เชลซี
เชลซีเชิดอกขึ้นและมองกลับไปที่ทุกคน “ผิดแล้ว! เมเมไม่ได้ขโมยซักหน่อย!”
แม่ของเธอพูดไว้ว่า “ฝันหวานเกินไปแล้วนะเรื่องเมจิคัลเกิร์ล” แม่บอกว่าเมจิคัลเกิร์ลเองก็อาศัยอยู่ในความเป็นจริงเช่นกัน ดังนั้นความเป็นจริงมันจึงทำให้พวกเธอด่างพร้อย แต่ถ้าเชลซีเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แบบนั้นดรีมมี่✰เชลซีก็จะไม่เป็นดรีมมี่✰เชลซีอีกต่อไป แม้ว่ามื้อเย็นของเธอจะถูกพรากเอาไป แม้ว่าเงินเดือนของเธอจะลดลง นี่คือสิ่งเดียวที่เธอจะไม่มีวันยอมเป็นอันขาด
“อย่ามาพูดเหมือนว่าเมเมเป็นขโมยสิ!”
การใส่ลงไปเป็นคำพูดมันทำให้ภายในจิตใจของเธอเกิดความชัดเจน เธอรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ตั้งแต่ที่มายังเกาะแห่งนี้ เมรี่ก็เป็นกันเองกับเธอมากกว่าใครอื่น เมรี่คือเพื่อนของเธอ เธอไม่ใช่หัวขโมยอะไรเลย มันไม่มีทางที่เธอจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทุกเรื่องไปได้ เชลซีคือเมจิคัลเกิร์ล และเมจิคัลเกิร์ลก็ต้องเชื่อในเพื่อนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เธอเชื่อในเรื่องนี้มาโดยตลอด อีกแง่หนึ่ง เมรี่นั้นไม่ได้ทรยศเธอและเธอก็ไม่ได้ขโมยอะไรไป เธอไม่ได้หายตัวไปเพราะจะหนีจากการกระทำของตัวเอง นั่นหมายถึงเมรี่ถูกใครบางคนพาตัวไปหรือเธอถูกบังคับให้ต้องหนี ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเมรี่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
เชลซีชูนิ้วโป้งขึ้นและชี้มันเข้าหาตัวเอง นี่คือการตัดสินใจและแสดงออกถึงความตั้งใจของเธอ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ล
“ฉันจะไปช่วยเมเมเอง”
ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมาย ทุกคนต่างอยู่ด้วยกัน มันไม่ได้มีเรื่องอันตรายที่นี่ สำหรับเมรี่มันต่างออกไป เธออาจจะถูกใครบางคนจับตัวไป เธออาจจะซ่อนตัวและกำลังร้องไห้อยู่ เธออาจจะกำลังถูกฆ่า เชลซีนั้นคือเมจิคัลเกิร์ลและเพื่อนของเธอ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะไปช่วยเมรี่
เมื่อเธอหันกลับไปมองที่ใบหน้าของแต่ละคนที่หันมา เธอก็รู้ว่าแต่ละคนต่างก็จ้องมองด้วยความประหลาดใจ เชลซีรู้สึกได้ถึงพลังของเมจิคัลเกิร์ลที่เอ่อล้นอยู่ภายในตัว เธอกินเอาผลไม้สีเทาเข้าไปเป็นจำนวนมากในตอนที่เชพเพิร์ดพายไม่ได้มองดู —รสชาติเองก็อร่อย— ดังนั้นบางทีเธอจึงมีพลังมากกว่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น
เชพเพิร์ดพายขยับตัวไปรอบๆ ขยับแขนทั้งสองข้างไปมา “ยะ-หยุดเลยนะ!”
“ไม่เอา!”
มานาก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือเข้าหาเชลซี “ชั้นบอกเธอแล้วนะว่ามันอันตราย!”
“ฉันรู้!” เชลซีหลบมือของมานาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เตะเข้าไปที่ลำต้นของต้นไม้ แล้วก็เหยียบลงไปบนรากไม้รากหนึ่งที่โผล่ขึ้นมานับไม่ถ้วนจากพื้นดิน “ดรีมมี่✰เชลซีจะจัดการเอง!”
เธอโพสท่า จากนั้นเมื่อเห็นใบหน้าของทุกคนที่มองเธออย่างตกตะลึง เธอก็วิ่งออกไป
เชลซีตัดสินใจแล้วว่าจะไปช่วยพาสเทล เมรี่อย่างแน่นอน
☆ มิสมาร์เกอริต
มิสมาร์เกอริตมองไปยังอาคารหลัก มันมีแสงไฟนั้นส่องสว่างอยู่ที่ชั้นบนด้วย นี่พวกเธอพยายามทำให้พื้นที่ดูสว่างขึ้นงั้นเหรอ? แต่บรรยากาศมันก็คงยังมืดอยู่ดี
ข้อมูลจากร่างของไมยะทำให้พวกเธอมองอะไรในแง่บวกขึ้นเล็กน้อย ข้อมูลมันบอกว่า “คนร้ายไม่ใช่คนที่ไมยะรู้จัก” แต่การจะบอกว่ามันเป็นแค่ข้อมูลเสริมที่ได้จากแว่นกันลมของ 7753 ก็สมเหตุสมผล มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามีผลอะไรที่ทำให้บรรยากาศนั้นดีขึ้น มีกำลังใจขึ้น หรือทำให้พวกเธอร่วมแรงร่วมใจกัน เมื่อเมจิคัลเกิร์ลทั้งหลายกลับมาแล้ว พวกเธอต่างก็วิ่งกลับเข้าไปยังผูุ้ว่าจ้างของตัวเอง ทิ้งคนอื่นๆเพื่อไปรายงาน
โทตะเองก็ทำได้ดี ส่วนโยลที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้ไม่หยุดนั้นก็ดูร่าเริงขึ้นมากพอที่จะกินผลไม้สีเทาที่เอาไปให้ได้ ดวงตาของเธอยังคงเป็นสีแดงก่ำ แก้มเองก็ยังซีดขาว มันยากที่จะบอกว่าเธอดีขึ้นแล้วรึเปล่า แต่กระนั้น เธอก็สามารถทำให้ตัวเองกินเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
มิสมาร์เกอริตเองก็กำลังจะลูบหัวโทตะแต่เธอก็หยุดมือขวาของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะทำแบบนั้น การปฎิบัติเสมือนกับว่าเขาเป็นเด็กไม่ใช่เรื่องดีในการที่จะแสดงความเคารพ
“…มีอะไรรึเปล่าฮะ?” โทตะถาม
“อ่า แค่ทำได้ดีน่ะ” มิสมาร์เกอริตตบไหล่ของเขาสองครั้ง โทตะมองขึ้นมาอย่างสงสัย —เหมือนว่าเขาจะทำได้ดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ มิสมาร์เกอริตใช้มือนวดไหล่ของเขา และโทตะก็ทำท่าเหมือนกับว่ารู้สึกเจ็บ เพราะแบบนั้นเธอจึงชักมือออก
“ทุกคนเอาแต่ทำตามใจตัวเอง! ให้ตายสิ!” อารมณ์ของมานาดูฉุนเฉียว
อากินั้นเอาแขนโอบเร็นเร็นกับเนฟิเรียเอาไว้ ทั้งสามคนกำลังจับกลุ่มคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ คลาริสซ่าและนาวี่เองก็เช่นกัน มันเห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีด้วย
มิสมาร์เกอริตเอาผลไม้สีเทาผลหนึ่งที่ถือเอาไว้ในมือขวายื่นไปให้มานา “ตอนทางกลับ—”
มานารีบหยิบเอาผลไม้สีเทาไป เธอหันหลังให้มิสมาร์เกอริตแล้วยื่นผลไม้ให้ 7753 จากนั้นก็หันกลับมาหามิสมาร์เกอริตอีกครั้งพร้อมกับท่าทางที่ดูสุภาพกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย
มิสมาร์เกอริตมอง 7753 ข้ามไหล่ของมานา เธอเดินเข้าไปหาชายชราที่หน้าซีดเหมือนกับศพแล้วพูดกับเขาว่า “พวกเธอเอาผลไม้สีเทากลับมาด้วยตอนขากลับ”
มิสมาร์เกอริตยื่นไปให้มานา คนที่กำลังมองดูภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกวาดสายตามองรอบบริเวณเพิ่มอีก บางทีเธออาจจะทำให้แน่ใจว่ามีมากพอสำหรับทุกคน เธอถอนหายใจออกมาจากนั้นก็กัดเข้าไปพร้อมกับใบหน้าที่บูดบึ้ง “อ่า…ขอบคุณนะ… ทั้งหมดนี้ ขอบคุณจริงๆ”
“พวกเราแค่หาเจอนิดหน่อยน่ะ” มิสมาร์เกอริตพูด “ไม่ได้ใช้เวลามากนัก ดังนั้นก็เลยไม่ได้มีเยอะ”
“แม้จะไม่มาก แต่ตอนนี้ก็มีความต้องการสูงเลยล่ะ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? คนอยู่ที่นี่น้อยลงนะ”
“ผลไม้ที่พวกเราเก็บมามันหายไป”
“…มันเกิดเรื่องแบบนั้นได้ยังไงน่ะ?”
“พาสเทล เมรี่หายตัวไปด้วย”
“เธอเอามันไปเหรอ?”
“นั่นคือเรื่องที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ แต่…” ท่าทางของมานาบูดบึ้งมากยิ่งขึ้น มันคงเป็นการตะโกนใส่กันมากกว่าที่จะพูดคุย “จากนั้นดรีมมี่✰เชลซีก็วิ่งออกไป”
“ทำไม?”
“เธอบอกว่าพาสเทล เมรี่ไม่ใช่หัวขโมย และบางคนคงลักพาตัวเธอไป ดังนั้นเธอจึงออกไปช่วย”
มิสมาร์เกอริตเอามือมาแตะที่ระหว่างคิ้ว เธอไม่ได้คิดไปเองแน่ๆว่าตัวเองรู้สึกปวดหัว ใครกันแล้วนะที่บอกว่าในหัวมันต้องมีความบ้าซักเล็กน้อยไม่งั้นก็ทำงานของเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้น่ะ? “ไม่มีใครห้ามเธอเลยเหรอ?”
“ไม่มีเลย”
แต่การที่จะบอกให้จอมเวทไปหยุดเมจิคัลเกิร์ลก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกนัก
“…แล้วแคลนเทล?” มิสมาร์เกอริตถาม
มานามองไปด้านหลัง 7753 นั่งอยู่ใกล้ๆกับจอมเวทชรา กำลังช่วยเขาให้กินผลไม้ ดูเหมือนว่าผลไม้นั้นจะไม่ได้เข้าไปในปากของรากิเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเขากำลังเคี้ยวอยู่จริงๆใครมันจะรู้กันล่ะ? พอหมวกของเขากำลังไหลเลื่อนลงมา แขนของ 7753 ก็ไปหยุดเอาไว้ได้
“เขาไอออกมาเป็นเลือด” มานาพูด “ชั้นยังไม่ได้ตรวจอย่างละเอียดก็จริง แต่คิดว่าคงใกล้ถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ถ้าไม่มีผลไม้สีเทาคงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะแบบนั้นแคลนเทลจึงเข้าไปในป่าพร้อมกับภาพแขวน”
มันดูเป็นเรื่องที่บ้าบิ่นเกินไป แต่อย่างน้อยมันก็มีเหตุผลมากกว่าการกระทำของเชลซี
มิสมาร์เกอริตกัดผลไม้สีเทาเข้าไป เนื้อและน้ำที่ผสมกับน้ำลายของเธอไหลลงไปในลำคอ มันลบความรู้สึกหิวที่หากอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลไม่ควรจะรู้สึกให้หายไป
เธอพูดกับรากิไม่ได้ แต่อาการของชายแก่ในตอนนี้เหมือนกับเป็นตัวชี้วัด ในตอนที่จอมเวทล้มหมดสติและเมจิคัลเกิร์ลเองก็คลายการแปลงร่าง รากินั้นเป็นคนที่ล้มลงไปเป็นคนแรก ซึ่งมันหมายถึง การคลายการแปลงร่างของพวกเธอจะยังไม่เกิดจนกว่ารากิจะล้มลงไป มันเป็นเส้นตายตามตัวอักษร หาก “ศัตรู” โจมตีเข้ามาในตอนที่พวกเธอเป็นมนุษย์ พวกเธอก็ไม่สามารถสู้กลับไปได้ พวกเธอจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนเข้าใจในเรื่องนี้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอากิ นาวี่ และเมจิคัลเกิร์ลทุกคนต่างก็กินผลไม้สีเทา
แต่… นี่มัน…
มิสมาร์เกอริตไม่ได้คำนวนเรื่องเวลาไว้อย่างแม่นยำนัก แต่ไม่ใช่ว่าช่วงเวลามันสั้นลงเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่อาการของรากิแย่ลงและได้ผลไม้สีเทาเพื่อบรรเทาอาการหรอกเหรอ? นี่ผลไม้สีเทามีประสิทธิภาพน้อยลงหรือว่าสถานการณ์มันแย่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมนะ?
7753 ยืนขึ้นและหันหน้าไปหาราเรโกะกับโยล รากิคงจะรู้สึกดีขึ้นบ้างหากได้นั่งอยู่ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะพิงกับไม้เท้าอยู่ก็ตาม ความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา สภาพจิตใจเองก็เหมือนว่ากำลังสับสน
มิสมาร์เกอริตเอาผลไม้สีเทาลูกสุดท้ายในมือเข้าไปในปากและกลืนลงไปโดยที่ไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียด เธอรู้สึกขยะแขยงที่ใช้ชายชราผู้อ่อนแอเป็นตัวเตือนภัยของพวกเธอ และยังหงุดหงิดที่ถูกบังคับให้ต้องทำแบบนั้น แคลนเทลนั้นทนดูไม่ได้จนต้องวิ่งออกไปในป่าอย่างหุนหันพลันแล่น แต่ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลแล้วเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
แม้ว้ามิสมาร์เกอริตจะกล่าวโทษตัวเองอย่างเงียบๆ เธอก็ไม่ได้ทิ้งจุดยืนของตัวเองไป ทุกคนล้วนอยู่กับกลุ่มของตัวเอง คุยกับจอมเวทผู้เป็นนายจ้าง แม้ว่าจะมาด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้เห็นพ้อง
“พักเรื่องที่พาสเทล เมรี่อาจจะเป็นคนร้ายเอาไว้ก่อน พวกเราควรจะเป็นกลุ่มก้อนกันมากกว่านี้” มิสมาร์เกอริตพูด
“เรื่องนั้นน่ะ” เสียงของมานาฟังดูรุนแรงเล็กน้อย “ชั้นคิดว่าพวกเราควรจะรู้เอาไว้ว่าเวทมนตร์ของเมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนคืออะไร เช่นเดียวกับเรื่องขอบข่ายความชำนาญของจอมเวท”
พวกเธอรู้ว่าตอนนี้ไม่มีใครที่เป็นคนฆ่าไมยะหรือเป็นคนที่ทำลายประตู หากเป็นแบบนั้น การได้รู้ว่าคนอื่นสามารถทำอะไรได้เพื่อที่จะทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็จะดีกว่า เรื่องนี้มันควรจะพูดออกมาก่อนหน้านี้ ในตอนที่ 7753 ใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แต่มานาก็ไม่ได้พูดออกมาจนกระทั่งถึงตอนนี้
มิสมาร์เกอริตไม่จำเป็นต้องถามว่าเหตุผลคืออะไร มานาเก็บความสามารถของ 7753 เอาไว้เป็นความลับเพื่อสำรวจความสามารถของคนอื่นเป็นการส่วนตัว แต่อย่างไร แผนการนั้นก็พังลงเมื่อรากิเป็นคนที่ทำให้ทุกคนรู้ความสามารถของ 7753 และในตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่ามานาสามารถสั่งให้ 7753 ทำแบบนั้นได้ มันคงไม่แปลกนักที่บางคนจะคิดว่า นี่เธอพยายามทำอะไรกันนะ—? ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เธอทำอะไรแน่ๆ ใครก็ตามที่มีความฉลาดอยู่เล็กน้อยจะคิดเช่นนี้ออกมา
จากเรื่องที่เธอทำในทางที่ไม่ถูกต้องนัก มันเลยทำให้ยากที่มานาจะเสนอความเห็นนี้ออกมาอย่างไม่น่าแปลกใจ และยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าเธอจะถกเถียงกับใครบางคนในตอนที่มิสมาร์เกอริตไม่อยู่ด้วย สำหรับเธอแล้ว มันทำให้ยากขึ้นที่จะเสนอเรื่องการรู้ถึงความสามารถของแต่ละคนให้มากยิ่งขึ้น
มิสมาร์เกอริตเอานิ้วที่แตะอยู่ระหว่างคิ้วมาแตะที่ปลายคาง
เธอไม่ได้มาในฐานะแขกแต่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ร่วมทางมาด้วย ดังนั้นการที่เธอเสนอความคิดออกมามันจึงดูเป็นการทำตัวอวดดีเล็กน้อย แต่นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการ ในฝ่ายสืบสวน ไม่มีใครเลยที่จะยับยั้งชั่งใจเรื่องความแตกต่างระหว่างเมจิคัลเกิร์ลและจอมเวท แต่ที่นี่มันไม่ใช่หน่วยสืบสวน ที่นี่มีโทตะที่เป็นอะไรไม่มากหรือน้อยไปกว่าแขกที่ถูกเชิญมา ในตอนนี้คนอื่นเองก็รู้ว่าเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ดังนั้นมันคงแปลกหากเขาจะเป็นคนที่ผลักดันเรื่องนี้
บางทีการถามเรื่องของโยลผ่านทางโทตะคงจะเป็นเรื่องดี แม้ว่าเธอจะยังเป็นเด็ก เธอก็มีนิสัยและปูมหลังครอบครัวที่ดี แม้ว่าจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มีตัวตนที่แข็งแกร่ง บางทีมิสมาร์เกอริตก็ไม่ควรบังคับอะไรจากเด็กผู้หญิงที่เสียใจจากการจากไปของไมยะไปมากกว่านี้—
“เอ่อ”
มิสมาร์เกอริตเอานิ้วที่แตะคางอยู่ลงและหันไปรอบๆ จอห์น เชพเพิร์ดพาย ตัวใหญ่ๆของเขาที่พยายามหดตัวเล็กลงให้มากที่สุดกำลังยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นเธอก็จำได้ว่า โอ๊ะ จริงสิ เขาอยู่ที่นี่นี่นา เขาเหมาะกับบทบาทแบบนี้มากกว่าโยลที่ยังเด็กมากซะอีก
“เกิดอะไรขึ้นกับพาสเทล เมรี่งั้นเหรอ?” เชพเพิร์ดพายถาม “เจอร่องรอยของเธอในป่าบ้างไหม ไม่ก็…”
“แย่หน่อยนะ…” มิสมาร์เกอริตตอบกลับ
“งั้นเหรอ…” เขาถอนหายใจออกมา ไม่ได้ทำแม้กระทั่งพยายามจะปกปิด จากนั้นก็กัดเข้าไปที่ผลไม้สีเทา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นกังวลมาก บางทีเขาอาจจะเหมาะกับหน้าที่นี้แล้ว แต่มิสมาร์เกอริตก็สงสัยว่าควรจะบังคับให้เขาแบกรับอะไรไปมากกว่านี้รึเปล่า แต่กระนั้น เขาก็ยังดีกว่าโยล คนที่เอาแต่ร้องไห้เพราะความตายของไมยะ
เชพเพิร์ดพายใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่จะกลืนลงไป “เอ่อ… แล้วเรื่องของไมยะ…”
“ว่า?”
“ฝังเธอไว้ที่ไหนงั้นเหรอ?”
มิสมาร์เกอริตจ้องกลับไปที่เขา เชพเพิร์ดพายสะดุ้งจนยกมือขึ้นมาด้านหน้า “อ่า ชั้นคิดว่าการคืนร่างของเธอให้คุณโยลสุดท้ายแล้วก็คือเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุดน่ะ แต่ถ้าพวกเราจะทำแบบนั้น พวกเราก็ต้องรู้ว่าร่างอยู่ที่ไหน… ไม่ได้หมายถึงอะไรไม่ดีหรอก”
“ไม่… พวกเราปล่อยร่างทิ้งเอาไว้แบบนั้น”
“อะ-อ่าาา งั้นเหรอ… สถานการณ์เป็นแบบนั้นสินะ?” เชพเพิร์ดพายกลับไปพูดเชิงขอโทษอีกครั้ง
มิสมาร์เกอริตลูบใบหน้าตัวเองจากบนลงล่าง กลับไปทำท่าทางที่เธอคิดว่ามันคือท่าทางเดิมของเธอเอง
ฝังศพ โดยปกติแล้วมันคือเรื่องที่ควรจะทำ แต่มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่อยู่ที่นี่เสนอเรื่องการฝังศพออกมาเลย มิสมาร์เกอริตเองก็ไม่ได้คิด สำหรับเรื่องของไมยะแล้วเธอไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้อยู่ในใจของเธอด้วยซ้ำไป เธอจะไม่คิดขุดหลุมฝังศพเพราะมันอาจถูกศัตรูโจมตีเข้ามาได้ตลอดเวลา สิ่งที่มากที่สุดหลังจากที่ใช้ความคิดแล้วก็คือจัดการหยิบเอาเสบียงบางส่วนติดมาด้วย เพราะว่าตามทางกลับมันมีต้นไม้ขึ้นอยู่ด้วย
หากตัดสินว่าเชพเพิร์ดพายยังคงรักษาระดับความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้ แบบนั้นมิสมาร์เกอริตก็อยู่ในด้านที่ผิดปกติ เธอขอโทษอย่างเงียบๆที่จัดให้เขามีความสำคัญต่ำกว่าโยล —แถมไม่ใช่แค่นั้น เพราะเธอลืมไปแล้วว่าเขามีตัวตนอยู่ด้วย— จากนั้นก็มองไปที่มานาที่อยู่ข้างๆ
ดูจากการที่มานาพยักให้แล้ว มานาคงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ก้มศีรษะให้เชพเพิร์ดพาย “ชั้นขออะไรหน่อยได้รึเปล่า?”
“อะไรล่ะ?” เขาตอบพร้อมกับท่าทางที่ดูสับสนมากกว่ารำคาญ แต่ถ้าพวกเธอจะถามใครซักคนแล้ว มันก็คงต้องเป็นเชพเพิร์ดพาย
มิสมาร์เกอริตกำลังจะอธิบายคำขอ แต่จู่ๆมันก็เสียง “เฮ้ นี่” ดังขึ้นจนทำให้เธอมองไปรอบๆ
อากินั่นเอง เธอกินผลไม้สีเทาที่อยู่ในมือขวาไปได้ครึ่งนึง ส่วนนิ้วชี้ของมือซ้ายที่ว่างอยู่ก็ชี้มาที่ผลไม้สีเทาในมือของมิสมาร์เกอริต หลังจากที่แจกจ่ายไปให้กับทุกคนแล้ว มันก็ยังคงมีเหลืออยู่สามลูก— แต่ถ้าพูดอีกแบบก็คือ มันเหลืออยู่ แค่ สามลูกเท่านั้น “ไปเก็บมาเพิ่มไม่ดีกว่าเหรอ? เหมือนมันจะมีไม่พอนะ”
“เธอพูดถูก” นาวี่ตอบกลับด้วยการพยักหน้าพร้อมกับคลาริสซ่าที่ทำท่าล้อเลียนในแบบที่เร็วกว่า “ชั้นคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่จะจัดทีมขึ้นก่อนออกไปเก็บมาเพิ่ม”
“อื้อ ฉันเห็นด้วย แล้วก็…” อากิโยนผลไม้สีเทาในมือขวามาที่มือซ้าย จากนั้นก็โยนกลับไปด้านหลังให้เลิฟมีเร็นเร็นคนที่จับเอาไว้ด้วยสองมือ “ฉันคิดว่าคนที่ออกไปเก็บมาควรจะเป็นคนที่ทำหน้าที่จัดเก็บด้วย ว่ายังไงล่ะ?”
เธอหันหน้าไปรอบๆแล้วไปสบเข้ากับคนที่อยู่ตรงนั้น เธอยืนขึ้นตัวตรงพร้อมกับเอามือขวามาแตะที่หน้าอก “หากพวกเราถูกโจมตีแบบทันทีทันใด พวกเราที่เป็นจอมเวทจะไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเราจะมีปัญหาแน่หากเมจิคัลเกิร์ลแปลงร่างไม่ได้ ดังนั้นพวกเราควรให้ความสำคัญกับเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าจอมเวทในเรื่องการแจกจ่ายผลไม้ ฉันพูดผิดไหม?”
“อ่าา อ่าา” นาวี่ส่ายหัว และคลาริสซ่าเองก็ส่ายตามเช่นกัน หูแมวใหญ่ๆของเธอเองก็สะบัดไปมา “หากจอมเวทรู้ว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ แบบนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ฟังนะ ชั้นน่ะมีประโยชน์แน่ ชั้นคิดว่ามันคงแย่หากทุกคนคิดว่าชั้นทำงานของตัวเองไม่ได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ”
“หือ? อะไรล่ะนั่น?” อากิเอามือเท้าเอว เอนสะโพกเพื่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้นาวี่ นาวี่ไม่ได้ถอยกลับ เขาเชิดอกขึ้น จนทั้งสองคนกำลังจ้องมองกันอยู่ในท่าทางที่ดูแปลก “นายจะบอกว่าให้ปฎิบัติกับตัวเองเป็นพิเศษเพราะมีประโยชน์งั้นสิ?”
“ไม่เอาน่า คุณผู้หญิง เธอเองก็วางแผนให้ตัวเองได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่เพราะจ้างเมจิคัลเกิร์ลมาสองคนเลยไม่ใช่รึไง”
“หา? คิดแบบนั้นนี่แย่ชะมัด เพราะตัวเองมีความคิดแย่ๆ อย่าหลงคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันสิ”
“ก็นะ เธอรู้ไหม…” นาวี่เหลือบมองไปที่อื่น เขามองไปที่รากิที่นั่งทรุดอยู่ “ถ้าพวกเราแค่จะเปลี่ยนเรื่องการแจกจ่าย มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่หรอก แต่ชั้นคิดว่าการที่ใครจะได้อะไรโดยที่ขึ้นอยู่กับว่าตัวเองเป็นจอมเวทหรือเมจิคัลเกิร์ลนั้นเป็นการปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หากมาตราฐานมันอยู่ที่การมีประโยชน์หรือไม่มี นั่นก็ไม่ใช่การปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มันคือการแบ่งแยกต่างหาก”
โยลกับโทตะดูเหมือนว่าจะสับสน ราเรโกะเองก็มองสลับระหว่างจอมเวททั้งสองอย่างอย่างไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง เชพเพิร์ดพายดูลังเล เร็นเร็นดูอยากจะขอโทษด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง เนฟิเรียคือคนเดียวที่ยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน 7753 เหลือบมองมานาจากทางด้านข้างด้วยท่าทางที่เหมือนว่ากำลังกลัว แล้วก็มานา —คนที่ไม่ต้องถามเลยว่ามีอารมณ์แบบไหน รอยย่นระหว่างดวงตาของเธอดูลึก ฟันเองก็มองเห็นได้จากมุมปาก เธอกำลังโกรธที่ทั้งสองคนนี้กำลังทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อยในการพยายามที่จะทำให้ได้เปรียบแม้จะเพียงไม่มาก และดูเหมือนว่ากำลังจะระเบิดในอีกไม่เกินห้าวินาที
มิสมาร์เกอริตใจเย็นอย่างน่าประหลาด เธอถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่มีคำตอบอะไรเลยออกมา ในสถานการณ์ที่จำเป็นก็ยังร่วมมือกันไม่ได้ พวกเธอพยายามตัดคนที่อ่อนแอออกไป พยายามหาประโยชน์ส่วนตนแม้จะเพียงเล็กน้อย นี่คือเรื่องที่แย่ที่สุดที่จะมีได้ ตัวตนที่แท้จริงมักจะถูกเปิดเผยในสถานการณ์วิกฤติ โดยปกติแล้วมิสมาร์เกอริตจะโกรธเหมือนกับมานา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงใจเย็นอยู่ได้ มันยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด มันเป็นอะไรที่แปลก—
มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านบน “อยู่ที่นี่”
เธอมองตามมานาขึ้นไปแล้วก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลที่ลอยอยู่ในอากาศ —เท็ปเซเคเมย์ คนที่มิสมาร์เกอริตไม่เข้าใจเธอเลย มันชัดเจนว่าเป็นเสียงของเธอ แต่ใบหน้าของเธอหันไปทางอื่น ไม่ได้หันไปทางจอมเวทสองคนที่ทะเลาะกันอย่างน่ารังเกียจ —เธอหันตรงไปทางอาคารหลัก จริงๆแล้วเธอไม่ได้มองไปที่อาคารหลัก ใบหน้าของเธอแค่มองไปในทิศทางนั้น ราวกับว่าดวงตาของเธอกำลังมองไปยังที่อื่น
“มีอะไรเหรอ เมย์?” มานาถาม
เท็ปเซเคเมย์พึมพำโดยที่ใบหน้ายังหันไปทางอาคารหลัก “พูคิน”
อารมณ์อันหลากหลายแสดงอยู่บนใบหน้าของมานา ความสับสนสน ความเกลียดชัง ความประหลาดใจ —และสิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือความกลัว
มิสมาร์เกอริตหรี่ตา เธอรู้จักชื่อของพูคิน ชื่อนั้นโผล่ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งในเอกสารของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง B เมจิคัลเกิร์ลที่ทำให้ฮานะ เกโคคุโจถึงแก่ความตาย เธอเป็นนักสู้ที่ทรงพลังมาก ต่อให้จะใช้นิ้วมือและนิ้วเท้า มันก็ไม่มากพอที่จะนับเหยื่อของพูคินภายในเมือง B เพียงที่เดียว
แต่พูคินก็ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ากลับไปอยู่ในคุก แต่เธอตายไปแล้ว
มานาถอนหายใจออกมาสั้นๆแล้วก็หายใจเข้าไปอีกครั้ง เธอรู้สึกกังวล “พูคิน… อะไรงั้นเหรอ?”
“เหมือนกับเธอ” เท็ปเซเคเมย์พูด
“เหมือนกับเธอ?”
“เหมือนกับเธอ อยู่ที่นี่”
มิสมาร์เกอริตอ้าปากเพื่อที่จะถามเท็ปเซเคเมย์ว่ามันหมายความว่ายัไง แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอสัมผัสได้
อยู่ที่นี่ มีบางสิ่งอยู่ที่นี่
หัวใจของเธอเต้นแรง มิสมาร์เกอริตชักดาบออกมา เธอคิดว่ามันอยู่ระหว่างอาคารหลัก ห่างออกไปห้าสิบถึงหนึ่งร้อยเมตร แม้จะเป็นจากระยะนั้น เจตนาร้ายมันก็ทิ่มแทงเธออย่างรุนแรงจนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกโจมตี จากนั้นร่างกายของเธอก็ขยับ พริบตาให้หลังพื้นดินก็สั่นสะเทือน เสียงที่เกิดขึ้นมันทำให้ทุกอย่างสั่นไหว ต้นไม้ลอยสูงขึ้นไปในอากาศตามด้วยก้อนดินขนาดใหญ่ บางส่วนไปกระแทกเข้ากับอาคารหลัก แทงทะลุผนังเข้ามาเพื่อทำลายตัวอาคาร มันมีประกายไฟและไอน้ำพุ่งขึ้นมาเหมือนกับน้ำพุจากด้านหลังอาคารหลักด้วย
“เครื่องปั่นไฟกลับมาใช้งานได้แล้ว!” เชพเพิร์ดพายพูด และหลังจากนั้นเพียงแค่เสี้ยววิ แสงไฟจากอาคารหลักก็หายวับไปทั้งหมด
มิสมาร์เกอริตพยายามเข้าไปหาโทตะ แต่เขาไม่ได้อยู่ในที่เดียวกับที่ตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ ราเรโกะวิ่งเข้าไปในป่า โยลนั้นอยู่ในอ้อมแขนของเธอ และเนื่องจากว่าโทตะเองก็ถูกเธอจับเอาไว้ ดังนั้นเขาก็เลยเข้าไปในป่าด้วยเช่นกัน
มิสมาร์เกอริตเห็นคลาริสซ่าวิ่งออกไปพร้อมกับแบกอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่จากหางตา นั่นคงเป็นนาวี่ เชพเพิร์ดพายล้มอยู่ด้านหลังเธอ ส่วนกลุ่มของอากิหายไปเรียบร้อยแล้ว
อากาศในตอนนี้มันหนักอึ้ง ในพริบตาเดียวก็เกิดความอึดอัดขึ้นมา มันทำให้คนอื่นหนีออกไป แต่เธอไม่แน่ใจว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้นรึเปล่า ความจริงแล้ว บางคนอาจจะเห็นว่านี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองก็ได้ แถมยังเห็นได้ชัดว่าผลไม้สีเทามีไม่เพียงพอสำหรับทุกคน พวกเธอจำเป็นต้องมีมันมากขึ้นและมากขึ้น อีกอย่าง อาคารหลักที่เป็นฐานของพวกเธอก็ถูกทำลายไปแล้ว —พร้อมกับเหตุผลที่ต้องอยู่รวมกันในที่ที่เดียว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นหลักจากที่พวกเธอถกเถียงกันจนเห็นได้ชัดว่า “พวกเธอกำลังสับสน” ใครก็ตามที่มีสามัญสำนึกก็จะสูญเสียความต้องการในการที่จะร่วมมือไป
ทุกคนเองก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน สำหรับราเรโกะ มันคงเป็นความขี้ขลาดหรือความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ต้องทำให้มาสเตอร์ของตัวเองปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะในตอนนี้เองไมยะก็ตายไปแล้ว อากิกับนาวี่ ทั้งสองคนคงจะมีความคิดของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในโอกาสแบบไหนมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับจอมเวทที่อยากยืนอยู่เหนือคนที่มีระดับเดียวกัน แรงจูงใจนั้นจะกลายเป็นความต้องการไม่ให้ผู้อื่นควบคุมสถานการณ์ได้และหักห้ามการกระทำของตัวเอง ไม่ก็เป็นอะไรอย่าง ฉันไม่อยากโดนแว่นนั่นส่องอีกแล้ว —มิสมาร์เกอริตรู้สึกโกรธตัวเอง นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะคิดในสถานการณ์แบบนี้
แม้ว่าจะมีเศษซากของอาคารหลัก ฝุ่นดินที่คละคลุ้ง หรือแม้กระทั่งจะมีต้นไม้ที่ถูกถอนรากถอนโคนและก้อนหินขนาดเท่าตัวคนร่วงหล่นลงมา เท็ปเซเคเมย์ก็ไม่ได้พยายามที่จะหลบเลี่ยงมัน เธอแค่เพียงอยู่ตรงนั้น แต่ทุกอย่างก็ผ่านตัวของเธอไปโดยไม่ทำให้เกิดแผลแม้แต่แผลเดียว
มิสมาร์เกอริตเองก็ไม่ได้ใช้ดาบของตัวเอง เธอใช้เพียงแค่การเคลื่อนไหวของร่างกายเท่าที่จำเป็นเพื่อหลบวัตถุที่พุ่งเข้ามาหา แม้ 7753 จะร้องออกมาว่า โอ๊ย โอ๊ย ตรงด้านหน้ามานาและเชพเพิร์ดพาย เธอก็ก้มตัวลงพร้อมกับกางแขนออกเป็นโล่ ป้องกันร่างกายท่อนบนของตัวเองเอาไว้พร้อมกับยืนอยู่อย่างมั่นคง
“มิสมาร์เกอริต” เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังของม่านฝุ่น “ไม่หนีเหรอ?”
“แล้วเธอล่ะ?” มิสมาร์เกอริตถาม “ไม่หนีรึไง… เท็ปเซเคเมย์?”
“เมย์หนีเก่ง ดังนั้นเมย์จะอยู่จนถึงท้ายที่สุด”
“งั้นเหรอ”
“เมย์หนีจากมาโอแพมได้ด้วย”
“นั่น… เหลือเชื่อเลยนะ”
“เมย์ได้คำชมมาเยอะเลย”
“เธอควรเขียนเรื่องนั้นไว้ในเรซูเม่นะ การที่สามารถหนีจากมาโอแพมได้เพียงแค่เรื่องเดียวมันก็มากพอที่ฝ่ายต่างๆจะต้อนรับเธอเข้าไปแล้ว หน่วยสืบสวนเองก็ไม่เคยมีคนพอด้วย…” มิสมาร์เกอริตปิดปาก ตัวตนที่เธอสัมผัสได้ตลอดเวลาภายในป่าถัดจากอาคารหลัก มันสั่นไหวเล็กน้อย ดูไม่เหมือนว่ามันกำลังจะโจมตีเมจิคัลเกิร์ลหลายคนที่กำลังคุยกันหรือโจมตีคนที่จงใจเปิดช่องว่างเลย มันสั่นไหว จนสุดท้ายแล้วก็จางหายไป มิสมาร์เกอริตยังคงระวังตัว นับเวลาจนรู้ว่าผ่านไปแล้วห้านาทีเต็ม จากนั้นเธอก็เก็บดาบเข้าไปในฝัก เธอจงใจทำเสียงดังเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองเก็บอาวุธแล้ว แต่ตัวตนนั้นก็ไม่ได้กลับมา
เธอมองดูที่มือของตัวเองและพบว่ามันเปียกชื้น เมื่อเธอเอามือไปแตะที่หน้าผาก เส้นผมด้านหน้าของเธอก็ติดอยู่กับผิวหนังเพราะเหงื่อ ที่แผนหลังเองก็มีเหงื่อไหลลงมาจนไปถึงก้น 7753 ถอนหายใจออกมาอย่างกระวนกระวายจนเกือบจะล้มลงตอนที่มานาจับตัวของเธอเอาไว้
เท็ปเซเคเมย์กัดลงไปที่ผลไม้สีเทาในมือขวาเล็กน้อยแล้วก็จ้องมองไปที่ผลไม้ “นี่คือข้าวต้มกับมันหวานเหรอ?”
“ข้าวต้ม?” มิสมาร์เกอริตพูดซ้ำ
“หรือเป็นแซนด์วิชแตงกวานะ?”
มิสมาร์เกอริตไม่เข้าใจว่าเท็ปเซเคเมย์พยายามจะพูดอะไร เธอมองไปที่ 7753 แต่ 7753 ก็แทบจะล้มทั้งยืนพร้อมน้ำตาที่จะไหลออกมา ดูไม่เหมือนว่าจะใจเย็นมากพอที่จะอธิบายอะไรได้ มิสมาร์เกอริตหลับตาลงหนึ่งข้าง เธอรู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลหลายคนจะทำอะไรซ้ำๆหรือไม่ก็ทำอะไรที่มีความหมายอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆแล้วการทำอะไรแบบนี้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
มิสมาร์เกอริตไม่ได้ตอบคำถามของเท็ปเซเคเมย์ เธอถามกลับไปแทนว่า “เธอพูดว่าพูคิน”
“เหมือนกับพูคิน”
“หมายความว่ายังไง?”
“ต่างจากพวกเรา”
“… หมายถึงไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ?”
“ต่างจากพวกเรา”
เรื่องนี้มันดูมีเหตุผลมากกว่าที่เธอพูดถึงข้าวต้มซะอีก —เพราะว่ามิสมาร์เกอริตเคยมีประสบการณ์ในแบบเดียวกัน มิสมาร์เกอริตเคยเห็นเมจิคัลเกิร์ลจำพวกที่เป็น ตัวตนที่เหนือกว่า พวกนั้นไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง —แต่ยังมีบางอย่างที่แตกต่างจากพวกเธอด้วย บางทีการอธิบายพวกนั้นด้วยคำว่า “น่าสยดสยอง” อาจจะเหมาะสมแล้ว เธอไม่ได้เห็นมันเข้าจริงๆ เธอแค่สัมผัสตัวตนของมันได้ แต่นั่นมันก็ทำให้แผ่นหลังของเธอสั่นเทาแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะร่างกายของเธอเคลื่อนไหวก่อนที่คิดและ มัน ก็เป็นฝ่ายที่ทำให้เธอเคลื่อนไหวแทนมากกว่า
นั่นไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ? แต่มันก็ยากที่จะจินตนาการว่าไม่ใช่ มันมีก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ที่ร่วงลงมา และฝุ่นควันที่ฝุ้งกระจายอยู่ทั่ว อาคารหลักเองก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว การพูดว่าอีกด้านหนึ่งของอาคารพังจนย่อยยับไปแล้วคงไม่เกินจริงอะไรนัก มันสามารถทำลายล้างได้สำเร็จและยังปล่อยออร่าน่าขนลุกที่ทำให้มิสมาร์เกอริตยืนตัวแข็งทื่อออกมาด้วย นอกจากเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันมีอะไรที่จะทำแบบนี้ได้ด้วยงั้นเหรอ…?
“พูคิน… ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ?” มิสมาร์เกอริตถาม
“เป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่ว่าต่างออกไป”
มิสมาร์เกอริตได้ยินว่าเมจิคัลเกิร์ลในยุคก่อนนั้นแตกต่างออกไป มันเป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างนีแอนเดอทัลกับโครมันยอง หรือเป็นเรื่องความแตกต่างของนกและสัตว์เลื้อยคลานกันนะ?
“พวกเราจะทำยังไงดี?” มานาถามในตอนที่เอนไหล่ให้ 7753 คนที่ตัวโอนเอนจากการโดนสิ่งที่บินมาในอากาศกระแทกเข้าใส่พิงอยู่ —ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกหนัก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องทำแบบนั้น
“ตามหาคนที่หนีออกไป…” มิสมาร์เกอริตตอบ “แต่ก่อนอื่น…”
“ก่อนอื่น?”
“พวกเราต้องมีผลไม้สีเทา”
“อ่าาา นั่นสินะ”
มิสมาร์เกอริตเอาหมวกของตัวเองสวมกลับเข้าไป ส่วนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นทำให้เย็นจนรู้สึกแย่ แม้จะเป็นเกาะทางใต้ อากาศตอนกลางคืนก็คงเย็นกว่านี้ เธอมองขึ้นไปดูก้อนเมฆสีซีดจางด้านบนและดวงจันทร์ที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลัง
แม้ว่าสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้จะใช้เป็นข้ออ้างได้ คนพวกนี้ก็ไม่ใช่มิตรที่เชื่อใจได้ ต่างคนต่างกระจัดกระจายออกไปแทนที่จะยืนหยัดสู้ กระนั้น พวกเธอก็ยังคงมีจำนวนที่มาก มิเช่นนั้นเรื่องราวมันจะแย่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ศัตรูที่เข้ามาหาพวกเธอแน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ธรรมดา มันคือเมจิคัลเกิร์ล —ไม่สิ เป็นอะไรบางอย่าง— ที่แข็งแกร่งจนมิสมาร์เกอริตเข้าใจได้ว่าไมยะถูกฆ่าตายได้ยังไง แม้จะรู้ว่ามันอยู่ที่นี่ ขาของมิสมาร์เกอริตกลับไม่ขยับ เธอแต่มองดูมัน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีโอกาสชนะอยู่รึเปล่า
เธอกังวลเรื่องของโทตะ แต่ก่อนหน้านั้น เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝากความหวังไว้กับราเรโกะ หากมีจุดใดจุดหนึ่งที่ราเรโกะจะเหนือกว่าไมยะ มันก็คงเป็นการที่เธอหนีได้เร็วกว่าใครโดยที่ไม่มีความลังเล —ซึ่งหมายถึง เธอไม่ได้มีความหยิ่งในแบบที่ไม่จำเป็น มิสมาร์เกอริตภาวนาว่าหากเธอไปเจอศัตรูเข้าที่ไหนซักแห่ง เธอก็จะสามารถหนีไปได้
มิสมาร์เกอริตมองไปรอบบริเวณ แต่รากิก็หายไปแล้ว ใครบางคนกระชากแขนของเขาหรือเขาสามารถหลบหนีจากเรื่องหายนะนี่ได้นะ? มิสมาร์เกอริตยกตัวของเชพเพิร์ดพายที่ล้มลงขึ้นมาแล้วเอาตัวของเขาเข้ามาพิงกับไหล่
เมื่อ 7753 เห็นแบบนั้น เธอก็ถามออกมาแบบกลัวๆว่า “เขา… โอเครึเปล่า?”
“…ดูไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะ” มานาตอบ ตามการตรวจดูแบบคร่าวๆแล้ว เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร ดังนั้นก็คงหมดสติไปจากการช็อค แต่อย่างไร มิสมาร์เกอริตก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่โชคดี
แผนของพวกเธอคือการค้นหาผลไม้สีเทาเป็นอย่างแรก แล้วก็ตัดสินใจว่าจะไปยังสถานที่ที่มิสมาร์เกอริตเจอตอนขากลับ ที่ที่มีต้นผลไม้สีเทาขึ้นอยู่ พวกเธอไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเก็บมันมาทั้งหมด ดังนั้นมันจึงควรจะมีเหลืออยู่บ้าง ด้วยการนำของเท็ปเซเคเมย์แล้ว พวกเธอจึงเริ่มเดินออกไป
มิสมาร์เกอริตที่ตามเท็ปเซเคเมย์อยู่ด้านหลังพูดขึ้นว่า “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เท็ปเซเคเมย์”
“อะไรเหรอ มิสมาร์เกอริต?”
“เธอช่วยเลือกทางที่ชั้นตามไปจริงๆหน่อยได้รึเปล่า”
“บนสระน้ำ?”
“ชั้นเดินบนน้ำไม่ได้นะ”
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้นมิสมาร์เกอริตก็ตามหลังเท็ปเซเคเมย์ไป
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
กระแสน้ำเอื่อยๆที่ไหลอยู่ระหว่างแนวต้นไม้ก็คือลำธารที่มีขนาดเล็กจนเด็กที่อายุห้าขวบก็สามารถเดินข้ามได้ เร็นเร็นเดินทวนกระแสน้ำขึ้นไป เธอเดินไปตามลำธารที่คดเคี้ยว ปีนขึ้นหน้าผา ลอดผ่านท่อระบายน้ำ สุดท้ายแล้วเธอก็มาถึงก้อนหินขนาดใหญ่ และเมื่อยืนยันได้ว่าน้ำที่ไหลออกมาที่เท้าคือต้นกำเนิดลำธาร เธอก็ถอนหายใจออกมา
เธอมาถึงใจกลางของเกาะและมันก็ใกล้กับแนวขอบด้านตะวันออก ท้องฟ้าเองก็มืดมากยิ่งขึ้นด้วย เธอได้ยินเสียงของแมลงที่อยู่ในพุ่มไม้ เสียงที่ร้องจากด้านบนต้นไม้คงจะเป็นนกฮูก
ในหัวใจของเร็นเร็นนั้นมีตู้เก็บของ เธอแบ่งมนุษย์ทุกคน จอมเวท และเมจิคัลเกิร์ลแต่ละประเภทที่เธอได้เจอใส่เข้าไปในลิ้นชักของตู้เพื่อที่จะดึงออกมาในยามจำเป็น ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลสองคนที่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด พวกเธอนั้นจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เธอไม่เคยพบมาก่อน เธอก็จะตอบสนองกับอีกฝ่ายด้วยข้อมูลที่เธอมีอยู่ในตู้ บางสำหรับบางคนอย่างเท็ปเซเคเมย์ คนที่ขาดความตั้งใจที่จะสื่อสารความคิดและความรู้สึกของตัวเองต่อผู้อื่นก็ไม่สามารถแจกแจงประเภทได้ และ นั่น ที่เธอเพิ่งพบเจอก็เช่นกัน —แม้ว่าเร็นเร็นจะไม่ได้พบเจอแบบซึ่งหน้า แต่มันก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอกับบางสิ่งบางอย่าง มันทำให้เธอรู้สึกสั่นไหวจากภายใน และเธอก็รู้สึกแย่มากพอที่จะอาเจียนออกมา หากเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากที่จะจำเรื่องนั้น มันไม่มีใครเลยที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นมาก่อน แม้เธอจะไม่เห็นตัวอีกฝ่ายก็ตาม
เร็นเร็นได้เจอกับคนที่ชอบใช้ความรุนแรง เธอได้เจอกับคนที่เห็นแก่ตัว เจอกับคนที่ชอบดูถูกคนอื่น และยังได้เจอกับคนที่รู้สึกดีเมื่อได้เห็นคนอื่นเจ็บปวด
แต่เธอก็ไม่เคยเจอใครแบบ นั้น เลย
“เร็นเร็น เฮ้ เร็นเร็น” เสียงของอากิดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเธอ
“อ่า ค่ะ มีอะไรเหรอคะ?”
“เธอจับแรงไปแล้วนะ ถ้าจับด้วยแรงของเธอล่ะก็ แขนเล็กๆของฉันได้หักกันพอดี”
“ขอโทษค่ะ”
“อ-อื้ม เธอวางฉันลงได้แล้วล่ะ ขอบคุณนะ”
“อ๊ะ ได้ค่ะ” เร็นเร็นวางอากิที่เธออุ้มเอาไว้ลงอย่างเบามือ ความรู้สึกและความอบอุ่นของต้นขาที่เธอจับเอาไว้ในมือหายไปแล้ว อากิเอนหลังพิงกับต้นไม้และยกตัวขึ้น เมื่อเธอยืนขึ้นได้แล้ว เธอก็เหวี่ยงแขนไปมารอบๆและยืดหลังเหมือนกับการออกกำลังในตอนเช้า
เร็นเร็นถอนหายใจออกมาแล้วมองไปที่เนฟิเรีย เนฟิเรียเองก็กำลังมองกลับมาที่เธอเช่นกัน
“อะ… ไอ้นั่นเมื่อกี๊—” เนฟิเรียห้ามตัวเองด้วยการส่ายหน้า ท่าทางที่ดูจริงจังผิดปกติของเธอบ่งบอกว่าไม่อยากพูดออกมา
เร็นเร็นพยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วหันกลับไปที่อากิ “เอ่อ เรื่องไอ้นั่นเมื่อกี๊”
“หืม?”
“นั่นมัน เอ่อ ไมยะ..”
“ฉันคิดว่านั่นแหละคือสิ่งที่โจมตีเธอ”
“นั่นสินะคะ…”
“จัดการได้รึเปล่า เร็นเร็น?”
เร็นเร็นไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก ถึงแม้จะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เธอก็สงสัยว่าตัวเองสามารถเอาชนะได้รึเปล่า ถึงเธอจะพูดว่ายอมแพ้เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เธอก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหนอีก บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าสิบเท่าหรือว่าร้อยเท่า เร็นเร็นนั้นจัดให้นักเรียนธรรมดาของโรงเรียนกวดวิชามาโอ เช่นเดียวกับผู้ที่จบการศึกษาจากผู้นำอยู่ในหมวดของ “คนที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ” เธอเป็นคนเดียวที่สามารถจำแนกว่าใครในกลุ่มนั้นแข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่าได้
“เป็นไปไม่ได้เหรอ?” อากิถาม
“เอ่อ ก็… จะพยายามค่ะ” เร็นเร็นตอบ
“อื้อ เป็นคำตอบที่ดีนะ แล้วเนฟี่ล่ะ? ทำได้รึเปล่า?”
“…ไม่มีทาง”
“นั่นก็เป็นคำตอบที่ดีเหมือนกันนะ” อากิยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ หญิงสาวที่ชอบตีโพยตีพาย คนที่ด่าคนอื่นทุกอย่างแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆตรงหน้าอาคารหลักหายไปแล้ว
“เอ่อ” เร็นเร็นพูด
“อะไรเหรอ?”
“พวกเราทิ้งสัมภาระเอาไว้น่ะค่ะ…”
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้มากอะไรซักหน่อย อีกอย่าง ฉันไม่อยากให้เธอกลับไปเอาของของฉันด้วย”
“ค่ะ”
“นี่ต่างหากคือสิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้” อากิเอาผลไม้สีเทาที่อยู่ในมือใส่เข้าไปในปาก ในตอนที่เธอกำลังจะกัดลงไปนั้น เธอก็หยุด ขยับแค่ดวงตามองไปที่เร็นเร็น จากนั้นก็สลับไปที่เนฟิเรีย เธอปิดปากโดยที่ไม่ได้กัดลงไป เช็ดผลไม้ด้วยแขนเสื้อแล้วก็ส่งมาให้เร็นเร็น จากนั้นเธอก็เอาออกมาอีกลูกแล้วโยนไปให้เนฟิเรีย “ทั้งสองคนควรกินมันแทนนะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เร็นเร็นพูด
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? เรื่องนั้นฉันพูดอย่างจริงใจเลยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วฉันหมดสติไป มันคงเป็นความผิดพลาดร้ายแรงแน่หากพวกเธอแปลงร่างไม่ได้”
เร็นเร็นมองไปที่เนฟิเรียแล้วก็เห็นว่าเธอกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เร็นเร็นรู้สึกลังเลที่จะเอาผลไม้ใส่เข้าไปในปากแล้วก็เคี้ยว ไม่ว่าเธอจะกินมันกี่ครั้ง เธอก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย รสชาติมันหวานอร่อยมาก
“ที่นี่ใช่ไหม?” อากิยืนยัน
“ฉันคิดว่าใช่ค่ะ” เร็นเร็นตอบ
“ดูไม่เหมือนว่าเธอจะมาเลยนะ”
“ก็…” เมื่อเร็นเร็นกินผลไม้สีเทาของตัวเองเสร็จแล้ว เนฟิเรีย คนที่มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยท่าทางเรียบเฉยบนใบหน้าก็หันมาอย่างรวดเร็วแบบกระทันหันพร้อมกับเอานิ้วชี้แตะเอาไว้ที่ริมฝีปาก จากท่าทางของนิ้วนั้น เร็นเร็นจึงหยุดการสนทนาเอาไว้แล้วก็เงี่ยหูฟัง เธอได้ยินเสียงของใบไม้ แล้วก็เสียงฝีเท้า มันกำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่แค่หนึ่งคน —ไม่สิ แค่ หนึ่งคนต่างหาก เพราะเสียงอย่างอื่นนั้นมันมาจากสัตว์สี่เท้า พวกแมลงเองก็หยุดส่งเสียงร้องแล้ว
“เธอมาแล้ว” เร็นเร็นพูด จากนั้นไม่นาน คนที่พูดถึงก็มา
“ขอโทษที่นานไปหน่อย! เราขอโทษษษษ” พาสเทล เมรี่กระโจนเข้ามาด้านหน้าเธอจนแทบจะเป็นการไถลตัว และเร็นเร็นก็จับตัวของเธอเอาไว้ได้ด้วยท่าทางที่เหมือนกับผู้ชำนาญการต่อสู้รับการเข้าปะทะ ใบหน้าของเมรี่จมลงไปในหน้าอกของเร็นเร็น พอรู้สึกลมหายใจที่อบอุ่นของเธอ เร็นเร็นจึงพยายามเอาตัวเมรี่ออกไปอย่างอัติโนมัติ แต่เมรี่ที่ตัวติดอยู่กับเธอก็ดิ้นไปมาด้วยแรงที่น่าเหลือเชื่อ
“เมรี่ เมรี่ ฟังนะคะ” เร็นเร็นพูด “ช่วยออกไปก่อน”
เมรี่พึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ศัพท์ จากนั้นก็เอาใบหน้าตัวเองจมลงไปในหน้าอกของเร็นเร็น เร็นเร็นหันไปหาเนฟิเรียเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้ว่าเนฟิเรียจะยิ้มเยาะอยู่ตลอดเวลา เธอก็เข้ามาช่วย และด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอก็แยกเมจิคัลเกิร์ลสองคนออกจากกันได้
“เมรี่ ฟังนะ” เร็นเร็นพูด “จะฟังเรื่องที่ฉันพูดรึเปล่าคะ?”
“อ่า เร็นเร็น เราขอโทษนะ แค่แยกจากกันไม่นาน เรารู้สึกเหงามากเลย ดังนั้นเรา…” เมรี่รู้สึกอาย เธอยังคงอยากเข้ามาหาเร็นเร็นอยู่ แต่เธอก็ถอยกลับและสะดุดก้อนหินจนก็ล้มลงไป แล้วตัวของเธอก็จมลงไปในขนแกะ
ความรักที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ของเร็นเร็นนั้นมีหลายประเภทแบบไม่สิ้นสุด มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รูปแบบพาสเทล เมรี่นั้นเทียบได้กับการควบคุม เร็นเร็นตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะความระมัดระวังของเธอ
“เมรี่” เร็นเร็นพูด “ทำไมถึงเอาผลไม้สีเทาที่ทุกคนเก็บมาล่ะคะ”
“ก็เร็นเร็นบอกให้เราไปเก็บผลไม้สีเทานี่นา…” เมรี่ตอบ “นั่นไม่ดีเหรอ?”
“ไม่…”
เมรี่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดพร้อมกับชำเลืองขึ้นมามองดูเร็นเร็น เร็นเร็นนั้นพูดกับเธอไปว่า “ไปเก็บผลไม้สีเทาที่อยู่ใกล้ๆแล้วก็กลับมา” เธอแค่อยากให้เมรี่ไปรวบรวมผลไม้สีเทาจากป่าที่อยู่ใกล้ๆ แต่เมรี่นั้นเข้าใจผิดไปมาก มากจนมันทำให้เธอเป็นหัวขโมย
“เธอต้องพูดคำขอให้เฉพาะเจาะจงกว่านี้นะ” อากิพูดพร้อมกับถอนหายใจ
มันเป็นความผิดของเร็นเร็นเอง อากิไม่ได้รู้รายละเอียดทุกอย่างเรื่องเวทมนตร์ของเร็นเร็น และเร็นเร็นก็เป็นคนเดียวในเกาะแห่งนี้ที่รู้ว่าคนที่โดนลูกศรของเธอจะตกหลุมรักเธอ
ดังนั้นเร็นเร็นจึงต้องเลือกใช้คำด้วยความระมัดระวัง
อากิคิดว่าพวกเธอควรจะไปรวบรวมผลไม้สีเทามา เร็นเร็นเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น อากิบอกว่าพวกเธอต้องเก็บเป็นความลับจากคนอื่น “ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเราควรร่วมมือกับคนอื่นเพื่อเลี่ยงปัญหาเหรอคะ?” เร็นเร็นถาม “มีแค่ฉันกับเนฟิเรียอาจะไม่มากพอที่จะรับมือกับนักฆ่าคนนี้ค่ะ แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนด้วย” แต่ความพยายามของเธอที่จะโน้มน้าวใจอากิก็ได้แต่ทำให้เธอนั้นร้อนรนขึ้น และอากิก็ปฎิเสธไป
ผลไม้สีเทาที่แบ่งปันกันนั้นมันไม่มีค่าอะไร ผลไม้ที่อากิผูกขาดเอาไว้คนเดียวนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าตามไปเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆจนผลไม้ที่มีอยู่หมดลง —หากมีแค่ผลไม้สีเทาที่อากิเก็บซ่อนเอาไว้— พวกเธอก็สามารถหาประโยชน์จากเรื่องนั้นได้ อากิสามารถได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองชอบแต่มันก็ไม่ได้ไปถึงจุดนั้น
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของอากิมันก็ทำให้ความกระตือรือร้นเช่นนั้นหายไป แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอมันดูใจเย็นอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเร็นเร็นจะพยายามโน้มน้าวอากิว่าชีวิตของเธออาจตกอยู่ในอันตรายได้ อากิก็ตอบกลับมาว่า “ฉันไม่คิดว่าจะมีคนตายเพิ่มมากกว่านี้แล้วล่ะ” คำพูดนั้นดูเลื่อนลอยแต่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่น่าเชื่อ คำพูดนั้นมันซึมเข้าไปในหัวใจของเร็นเร็น เมื่ออากิปรบมือแล้วพูดว่าขอร้องล่ะ เร็นเร็นก็คงทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องเห็นด้วย
พวกเธอต้องออกไปรวบรวมผลไม้สีเทาอย่างลับๆ และสุดท้ายแล้ว พาสเทล เมรี่ คนที่สามารถควบคุมแกะจำนวนมากได้คือคนที่เหมาะสม สิ่งที่อากิเสนอนั้นมันขัดกับกฎหมายและจริยธรรม แต่เร็นเร็นเองก็ต้องเห็นด้วย เธอต้องเห็นด้วยกับการให้พาสเทล เมรี่ถูกบังคับให้ออกไปในป่าที่แสนอันตรายเพียงคนเดียว เธอเข้าไปด้านหลังของพาสเทล เมรี่ที่ทำงานอยู่ในอาคารหลัก แอบดึงลูกศรออกมา เล็ง แล้วก็ยิงออกไป ลูกศรของเร็นเร็นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดในทางกายภาพ มันแค่ทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เร็นเร็นบอกคำขอของตัวเองกับพาสเทล เมรี่ไป คอยจับตามองทางเดินเอาไว้เพื่อให้พาสเทล เมรี่สามารถออกไปทางประตูด้านหลังได้ นั่นคือสิ่งที่เร็นเร็นทำ
แต่ถึงจะเป็นการกระทำแค่เล็กน้อย มันก็กลับก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เร็นเร็นทำหน้าที่ของตัวเองผิดพลาดเพราะความตั้งใจของตัวเอง เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดที่ต้องเพิ่มเข้าไปในคำขอที่บอกกับพาสเทล เมรี่ ดังนั้นเมื่อพาสเทล เมรี่พยายามรวบรวมผลไม้สีเทาจำนวนมากอย่างลับๆ เธอก็เริ่มเอาผลไม้สีเทาที่เก็บไว้ในอาคารหลักไป —เพียงเพราะว่าเธอถูกสั่งมา
อากิตกใจ เร็นเร็นเองก็เช่นกัน เธอไม่รู้ว่าเนฟิเรียจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้
อากิเลยรับบทจอมเวทเจ้าอารมณ์ โวยวายและสร้างสถานการณ์ขึ้น บอกทุกคนเรื่องเวทมนตร์ของเนฟิเรียเพื่อทำให้ต้องออกไปหาไมยะ ทำทุกๆอย่างเพื่อชะลอเวลาจนกว่าการกระทำจะถูกเปิดเผย และ “ศัตรู” ก็ปรากฏตัวออกมา เหมือนว่ามันจะเป็นจังหวะที่ลงตัวพอดิบพอดีและมันก็ดี เกินไป อีกด้วย แต่อากิก็พูดว่า “ก็นะ ฉันว่ามันคงเป็นแบบนั้น” และพยักหน้าราวกับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลกับเธอ
แม้ว่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้อย่างสมบูรณ์ สุดท้ายแล้วพวกเธอก็สามารถรวบรวมผลไม้มาได้บ้าง แกะที่มีกระเป๋าและกล่องบนหลังตามมาด้านหลังเมรี่ เป็นจำนวนพอสมควรเลย
“ดีจริงที่คนอื่นไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของเธอคืออะไรนะ เร็นเร็น” อากิพูด “แบบนี้มันก็คุ้มค่าแล้วที่สร้างบรรยากาศที่ทำให้คนอื่นเสนอความคิดที่จะแลกเปลี่ยนความสามารถกันขึ้นไม่ได้”
“ก็จริงค่ะ” เร็นเร็นเห็นด้วย
“แต่มันก็ยังไม่มากพอ” อากิยิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปาก
เร็นเร็นกลืนน้ำลาย “ไม่พองั้นเหรอคะ…? จะไปเก็บเพิ่มอีกเหรอ?”
“อ่าหะ ยิ่งมากมันก็ยิ่งดี แต่บางทีพวกเราก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้แกะอย่างเปิดเผย เพราะทุกคนกระจายตัวออกไปทั่วเกาะแล้ว มันอาจจะถูกพบเห็นได้ คงมีปัญหาแน่หากใครบางคนตามรอยแกะมา”
“นั่นอันตรายเกินไปค่ะ มากกว่านี้เองมันก็คง…”
“ไม่เป็นไรหรอก บางทีมันคงไม่ได้อันตรายอะไร… ฉันไม่คิดว่านักฆ่านั่นจะสร้างปัญหามากกว่านี้แล้ว —อย่างน้อยฉันก็สัมผัสมันไม่ได้หลังจากที่เห็นเรื่องในตอนนั้น” อากิเอียงใบหน้าไปด้านข้าง
เธอพูดเหมือนกับว่าตัวเองรู้อะไรบางอย่าง อย่าบอกนะว่า… อากิเป็นคนที่ฆ่าไมยะ…? เร็นเร็นคิด แต่เธอก็จำเรื่องแว่นของ 7753 ได้ อากิคงไม่ใช่คนร้าย
“เอ่อ คุณรู้… ว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” เร็นเร็นถามเธอ
“อ๋อ ฉันแค่คิดเรื่องนี้มานานแล้วน่ะ อีกอย่าง บางที นี่ อาจจะเกิดขึ้นก็ได้”
หมายความว่ายังไงน่ะ? เร็นเร็นกำลังจะถามเธอแต่มันก็มีนิ้วมาสะกิดจากด้านหลัง ซึ่งมันทำให้เธอตอบสนองด้วยการหันหลังกลับไป เนฟิเรียนั่นเอง ในตอนนี้มันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้เหรอ? เร็นเร็นคิดพร้อมกับหันไปมองเนฟิเรียที่มองขึ้นไปบนฟ้า เร็นเร็นหันหน้ามองตามเนฟิเรียขึ้นไป เธอไม่ได้มองดูท้องฟ้า เธอมองสิ่งที่อยู่ด้านบนก้อนหิน มันมีบางอย่างที่มีรูปร่างของคนยืนอยู่ด้านบนก้อนหินที่มีแสงจันทร์สลัวอยู่ด้านหลัง
“เชลซี! มา! แล้ว! …นี่ ได้ยินรึเปล่า?”
เร็นเร็นรู้จักเจ้าของเสียง และรู้ด้วยว่าเธอมาด้วยจุดประสงค์อะไร
เร็นเร็นใช้นิ้วลูบไปบนกล่องและเคาะลงไปสองครั้ง นิ้วที่สะกิดที่หลังของเธอก็เคาะกลับมาสองครั้งเป็นการตอบกลับ เร็นเร็นพยักหน้า และเธอก็สัมผัสได้ว่าเนฟิเรียเองก็พยักหน้าเช่นกัน
เร็นเร็นบินขึ้นไปด้วยการกระโดดและกระพือปีก บินขขึ้นเหนือก้อนหินและมองลงมายังคนที่ยืนอยู่ด้านบน เนฟิเรียอยู่ตรงหน้าอากิพร้อมกับเอาเคียวออกมาเตรียมพร้อม ทั้งสองคนถอยเข้าไปในแนวป่าอย่างช้าๆ เมรี่เหมือนว่าจะรู้สึกกลัว เธอจับแกะเอาไว้แน่นราวกับว่าพร้อมที่จะหนี
ภายในใจเร็นเร็นคิดอย่างชัดเจนว่าสามารถเธอสามารถจัดการได้ สำหรับเร็นเร็นแล้ว นั่นหมายถึงการทำให้อีกฝ่ายหลงเสน่ห์ด้วยการยิงลูกศร ดรีมมี่✰เชลซีกำลังโพสท่าเหมือนกับตอนก่อนที่จะวิ่งออกไปในป่าและจ้องมาที่เร็นเร็น
แกะที่เชลซีจับเอาตรงต้นคอด้วยมือซ้ายกำลังจะตกลงมา เธอจึงคลายมือออกเพื่อปล่อยมัน แล้วแกะนั้นก็แทบจะร่วงลงมาตามก้อนหินในตอนที่กำลังหนี
เธอตามแกะมานี่เอง…
“เชลซีเจอตัวแล้ว เจ้าวายร้าย! คืนเมเมมานะ!”
เชลซีพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับโพสท่าราวกับแสดงละคร มันเหมือนกับว่าเธอกำลังแสดงโชว์เมจิคัลเกิร์ลอยู่
“พวกเราคืนอะไรไปไม่ได้หรอกค่ะ…” เร็นเร็นกระพือปีกสองครั้งและใช้การเคลื่อนไหวนั้นเพื่อปกปิดว่าเธอดึงลูกศรออกมาจากด้านหลัง เธอดึงเอาลูกศรออกมาหนึ่ง สอง แล้วก็สามดอก “เพราะพวกเราเองก็เพิ่งเจอเมรี่เหมือนกัน”
เชลซีก้มตัวลงแล้วก็ใช้หมัดขวาของเธอต่อยเข้าไปที่ก้อนหินตรงเท้า รอยแตกกระจายออกไปตามหน้าหินพร้อมกับหมัดของเธอที่จมลง รอยแตกกระจายออกไป และเมื่อมือของเธอจมลงไปถึงข้อมือ เชลซีก็ดึงมือออกมา ยืนตัวตรงพร้อมกับหมัดที่ยังคงเค้นอยู่แน่น แล้วก็บีบมันตรงหน้า บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ดรีมมี่✰เชลซี…” เธอแบบมือขวาออก สิ่งที่อยู่ด้านในคือก้อนหินสีน้ำตาลที่มีหลายแฉก ในตอนที่เร็นเร็นรู้ว่าเชลซีจับเอาก้อนหินและบดมันเพื่อให้กลายเป็นรูปดวงดาว เธอก็กระโดดตีลังกาขึ้นไปในอากาศ ดึงลูกศรแล้วก็ปล่อยออกไปในจังหวะเดียว ลูกศรสามดอกเล็งตรงไปที่ในหน้าของเชลซี หัวใจ และหน้าท้อง แต่ไม่มีดอกไหนเลยที่เข้าเป้า เร็นเร็นมองเห็นแสงสว่างวาบ จากนั้นเชลซีก็โพสท่าพร้อมกับลูกศรทั้งหมดที่อยู่ในมือซ้าย ลูกศรแต่ละดอกต่างก็อยู่ที่ระหว่างนิ้วแต่ละนิ้ว “…จะจัดการเอง!”
เร็นเร็นกระพือปีกบินออกไปพร้อมกับยิงลูกศรออกมาอีก ลูกศรดอกแรกยิงตรงออกไป ดอกที่สองซ่อนอยู่ในเงาของดอกแรก และดอกที่สามนั้นเธอยิงออกไปเร็วกว่าสองดอกแรก ดังนั้นมันจึงจะชนกับลูกศรดอกอื่นแล้วก็เปลี่ยนทิศทาง —แต่ลูกศรดอกที่สามก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เชลซียกเท้าขวาขึ้นมาปัดมันไปด้านข้าง ทำให้ลูกศรนั้นหมุนอยู่ในอากาศจนหายไปที่ด้านหลัง
เชลซีก้มตัวลงต่ำ จากนั้นก็เอนตัวไปด้านหลังด้วยท่าทางที่ดูน่ารัก โพสท่าด้วยการเอาสองมือมาป้องปาก “เชลซีไม่ยกโทษให้แน่!”
หินรูปดวงดาวลอยออกมาจากมือขวาของเชลซี เร็นเร็นเตรียมที่จะหลบ แต่ดวงดาวก็ไม่ได้ตรงเข้ามาหาเธอ มันหมุนวนอยู่รอบตัวของเชลซีด้วยการเคลื่อนไหวสลับไปมาที่น่าประหลาดแทน
เชลซีกระโดดขึ้นไปในอากาศ แม้จะเป็นเช่นนั้นเธอก็ยังคงโพสท่าราวกับการแสดง เธอใช้ดวงดาวเป็นแท่นเหยียบและเด้งตัวออกไปพร้อมกับท่าทางน่ารัก แต่เธอก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างนึกไม่ถึง สร้างวงกลมดวงดาวอีกอันขึ้นมาตรงหน้าแล้วก็ใช้มันเพื่อกระโดดไปยังจุดต่อไป ด้วยความเร็วที่น่ากลัวซึ่งตรงกันข้ามกับความน่ารัก เธอตรงเข้ามาที่ใบหน้าของเร็นเร็น
เมื่อเร็นเร็นยิงลูกศรออกไปเป็นการตอบโต้ ดวงดาวก็สะท้อนมันออกไปอีกครั้งในตอนที่เชลซีโพสท่าน่ารักพร้อมกับคฑาที่อยู่ในมือ ลูกศรโค้งของเร็นเร็นเองก็ถูกปัดออกไปด้วย จากนั้นเชลซีก็ยกขาขึ้นด้วยท่าทางเกินจริงและฟาดลงมา
อ๊ะ!
เร็นเร็นหลบได้อย่างหวุดหวิด เธอยกขวาขาขึ้นป้องกันหน้าแข้งของเชลซีที่เข้ามา แต่มันก็เหวี่ยงตัวของเธอกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ตัวของเร็นเร็นพุ่งลงไปหาพื้นดิน
นั่นเรียกกว่าการเตะไม่ได้ด้วยซ้ำ ขาของเชลซีแค่สัมผัสโดนขาของเธอในท่าทางผิดธรรมชาติ แต่ทั้งความเร็วและความรุนแรงมันน่าเหลือเชื่อมาก หน้าแข้งของเร็นเร็นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันรู้สึกเหมือนกับว่ากล้ามเนื้อถูกฉีกออก
เร็นเร็นพยายามหยุดตัวเอง ต่อให้เป็นเมจิคัลเกิร์ล การกระแทกพื้นด้วยความเร็วขนาดนี้มันก็ตายแน่ เธอกลิ้งตัวไปอีกทางกลางอากาศ เธอกระพือปีกอย่างแรงเพื่อทำให้ตัวเองช้าลง แต่มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ที่หลัง ในตอนนี้แน่นอนว่าตัวของเธอจะกระแทกเข้ากับพื้นแน่ เชลซีกำลังโจมตีมาจากด้านบน แม้ว่าเร็นเร็นจะรู้ว่าการโจมตีกำลังเข้ามา เธอก็หลบมันไม่ได้ การม้วนตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกระแทกกับพื้นนั้นมันทำให้ช้าลงเล็กน้อยแต่ตัวของเธอก็กลิ้งไปตามพื้นไม่หยุด
เธอรับมือกับการร่วงลงมาได้ถูกต้อง ลดความเร็วในการกระแทกพื้นลงได้ กลิ้งตัวไปตามพื้น แม้ว่าแทบจะหลบเท้าที่กระทืบเข้ามาหาตอนที่ร่วงลงมาไม่ได้ ลูกเตะที่ตามมาของเชลซีมันทำให้ตัวของเธอลอยขึ้น จากนั้นก็ถูกเตะอีกครั้งจนไปกระแทกกับหิน
เร็นเร็นไอออกมาและกดหน้าอกเอาไว้ เธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนล้มลงกับพื้น มองดูแค่ครั้งเดียวเธอก็เข้าใจสถานการณ์ได้ เชลซีอยู่ห่างจากเธอไปราวสิบเมตร ในขณะที่เมรี่และแกะของเธอออกมองมาจากที่ที่ห่างออกไป ตัวแข็งทื่อและกำลังสั่นเทา เธอมองไม่เห็นอากิกับเนฟิเรียแล้ว เร็นเร็นกำลังอยู่ในสถานการ์ณที่ร้ายแรง พอคิดว่าเชลซีแข็งแกร่งขนาดไหน เธอก็คิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ยังไม่ตาย
เชลซียังคงโพสท่าอยู่ เธอไม่สนเรื่องประสิทธิภาพในการต่อสู้เลย เธอพยายามสุดตัวเพื่อทำท่าทางน่ารักและเคลื่อนไหวเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ล แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้พยายามต่อสู้เหมือนที่ควรจะทำ เธอก็แข็งแกร่งมากเกินกว่าที่เร็นเร็นจะรับมือได้ แม้จะวิ่งไปมาอย่างน่าตลกและให้ความสำคัญกับความน่ารัก เชลซีก็แข็งแกร่งเกินไป
เร็นเร็นรู้ตัวว่าก้อนหินที่ลอยอยู่รอบตัวเชลซีนั้นเคลื่อนไหวเป็นรูปดวงดาว บางทีมันอาจจะไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเช่นกัน มันเพียงแค่ดูดีเท่านั้นเอง
นี่มันบ้าชัดๆ —เร็นเร็นนั้นต่อสู้อย่างไม่มีเหตุผลแบบเอาเป็นเอาตาย ส่วนเชลซีก็โจมตีคู่ต่อสู้อย่างกับว่านี่เป็นการเล่นสนุก ทั้งหมดนี้มันบ้าชัดๆ เร็นเร็นกลืนเลือดภายในปากลงไป
เร็นเร็นคิดว่าเชลซีจะยังคงเข้ามาหา แต่เธอก็หันไปทางเมรี่แทน “เมเม! ไม่ต้องห่วงนะ!”
ดูเหมือนว่าเมรี่จะสับสนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ท่าทางของเธอก็เปลี่ยนเป็นโล่งอกในทันทีในตอนที่กางแขนเข้าหาเชลซี จากนั้น เธอก็ดึงเอาลูกศรของเร็นเร็นออกจากแขนเสื้อ แล้วก็แทง —หรือเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้น แต่หมัดขวาของเชลซีโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรงจากด้านข้าง จนเมรี่สลบไปจากความเจ็บปวด เธอทรุดตัวลงกลางฝูงแกะจนมองไม่เห็นตัวอีก
“อ๊า โธ่เอ๊ย!” เชลซีพูดออกมาด้วยความโกรธ “ให้เมเมทำกระทั่งเรื่องแบบนี้! นี่มัน— ไม่ยกโทษให้แน่!”
เชลซีอ่านทุกการเคลื่อนไหวของพวกเธอออกจนถึงตอนนี้ การลอบโจมตีและลูกเล่นคงใช้ไม่ได้ผลอีก ไม่ว่าการที่เธอเต้นไปมารอบๆมันจะดูพิลึกขนาดไหน หากเธอชนะ มันก็จะทำให้เข้าสู่แนวทางที่ถูกต้อง มันเป็นจริงมากเกินกว่าจะเป็นแค่เมจิคัลเกิร์ล
เร็นเร็นที่เอามือกุมท้องพยายามวนไปทางขวาพร้อมกับเดินลากเท้า แต่เชลซีก็กระโดดมาตรงหน้า ทำให้ฝูงแกะกระจายออกไปด้วยการเตะ —มันดูงดงามเหมือนกับนักเต้นบัลเลต์
“เชลซึน่ะนึกเอาไว้แล้วเชียวว่าพวกเธอพยายามทำอะไรแปลกๆมานานแล้ว หึหึ แล้วเชลซีก็รู้เข้าจนได้”
กล่องที่ซ่อนเอาไว้ในฝูงแกะถูกเผยออกมา มันมีผลไม้สีเทาใส่เอาไว้อยู่แน่นขนัด —มันเยอะจนล้นออกมาด้านข้าง— สิ่งที่ชีวิตของเมจิคัลเกิร์ลในตอนนี้ขึ้นอยู่กับมัน เร็นเร็นมองดูอย่างสิ้นหวัง ของพวกนี้พวกเธอควรจะเอาไว้ใช้เพื่อแค่ให้ได้เปรียบ ด้วยการที่มันถูกเผยออกมาแล้ว —หรืออย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เชลซีคิดในตอนที่เข้าไปหาผลไม้ที่อยู่ที่กล่อง และทันใดนั้นผลไม้ก็ปลิวขึ้นด้านบน
เนฟิเรีย คนที่ซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระโดดขึ้นมาเข้าหา มันเป็นการโจมตีขนาบข้าง เชลซีกางแขนทั้งสองข้างออกกว้าง ยกขาขึ้นหนึ่งข้าง ยกตัวเองขึ้นด้วยการเขย่ง จากนั้นก็หมุนตัวราวกับว่ากำลังเต้นรำอยู่ จากมุมมองที่ตัวของเชลซีเห็น บางทีเธอคงเต้นรำอยู่จริงๆ
เชลซีป้องกันการโจมตีด้วยเคียวของเนฟิเรียไว้ด้วยเข่าและผลักกลับไปด้วยฝ่ามือ เพราะแบบนั้นเนฟิเรียจึงเสียสมดุลย์ เชลซีใช้นิ้วเกี่ยวเข้าไปที่คอเสื้อของคู่ต่อสู้แล้วก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้าหาเร็นเร็น คนที่ก้มตัวลงไปแล้วใช้แผ่นหลังทำให้ตัวของเนฟิเรียเด้งขึ้นมาหาเชลซี เชลซีหยุดลูกศรในมือขวาของเร็นเร็นเอาไว้ด้วยการจับ แล้วก็ตบเข้าไปที่ลูกศรในมือซ้ายจนหลุดจากมือ ด้านหลังของเธอ เร็นเร็นได้ยินเสียงใบมีดฟันผ่าอากาศ นั่นคือเคียวของเนฟิเรีย —เนฟิเรียเหวี่ยงมันลงมาในตอนที่กระเด็นไปด้านหลัง แต่มันก็แค่เฉี่ยวปีกของเร็นเร็นไปและเชลซีก็ยกขาขึ้นมาหนึ่งข้างเพื่อเตะออก ในจังหวะเดียวกัน เร็นเร็นก็โจมตีด้วยลูกศรดอกสุดท้าย หัวลูกศรที่เก็บเอาไว้ในหางของเธอ เธอเหวี่ยงมันขึ้นมาจากด้านล่างต้นขาของเชลซี —และเชลซีก็กระโดดตีลังกาถอยหลังเพื่อหลบ
หลังจากที่หมุนตัวสามรอบในอากาศ เชลซีก็ลงมาตรงขอบของกล่อง จากนั้นเธอก็มองลงมาที่เท้า มันแค่นิดเดียวแต่ก็มีเลือดไหลออกมาจากนิ้วเท้า ลูกศรที่ติดอยู่ด้านข้างของกล่องจะทิ้งรอยแผลที่เรียกไม่ได้ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนเอาไว้ เนฟิเรียเป็นคนที่ทำกับดักเอาไว้ เธอคิดว่าเชลซีคงแตะต้องกล่องอย่างไม่ระวังจนมันโดนมือของเธอเข้า แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าเชลซีจะกระโดดลงมาในท่าที่ไม่มีความหมายแบบนั้น แต่ถึงจะไม่ได้คาดคิดไว้ ในตอนนี้พวกเธอก็ชนะแล้ว
ใบหน้าของเชลซีค่อยๆดูว่างเปล่าและมึนงง แม้ว่าเมรี่จะยังคงส่งเสียงร้องออกมาจากฝูงแกะ เธอก็ยืนขึ้นและส่งเสียงเรียก “พอได้แล้วนะ เชลซี”
“อื้อ จะหยุดแล้วล่ะ” เชลซีตอบกลับในทันที เธอวิ่งไปหาเมรี่และช่วยเธอ “ขอโทษสำหรับทุกอย่างนะ!”
เมรี่บอกเธอว่าไม่เป็นอะไรพร้อมกับดวงตาที่มองมายังเร็นเร็น คนที่พยักหน้าตอบกลับแล้วก็ขยับตัวออกห่างจากทั้งสองคน เชลซียังคงขอโทษเมรี่อย่างอยู่ไม่สุข รูปแบบความรักของเธอเหมือนจะเป็นการว่านอนสอนง่ายซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร
มันเกือบไปแล้ว เชลซีแข็งแกร่งกว่าที่เร็นเร็นคิดเอาไว้ เธอไม่ควรคิดว่าเชลซีจะไม่เป็นอันตรายอะไรเพราะปกติแล้วเธอดูเหมือนคนที่หัวทึบ แต่เธอก็ถูกจ้างมาเพื่องานนี้ เพราะแบบนั้นจึงไม่ควรไปสบประมาท การคิดว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยของนายจ้างอย่างง่ายๆก็เป็นเรื่องอันตรายเช่นกัน
“เป็นอะไรรึเปล่า?” อากิถามเร็นเร็น
“อือ… พอไหวค่ะ” เธอพยายามยิ้มให้อากิ คนที่โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ เนฟิเรียเองก็ยืนขึ้นได้ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดจนทำให้แก้มขวาบิดขึ้นไป
“เป็นอะไรไหม?”
“ยังขยับตัวได้ค่ะ”
“โอเค งั้นก็… แต่ว่า ว้าว เร็นเร็น เวทมนตร์ของเธอนี่ยอดไปเลย”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ยอดเลยก็จริง… แต่ว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นะ”
“มัน… ก็จริง”
เวทมนตร์ของเร็นเร็นจะทำให้ใครก็ตามที่โดนลูกศรตกหลุมรัก แต่มีเพียงคนแรกเท่านั้นที่จะตกหลุกรักเร็นเร็น คนที่สองจะตกหลุมรักกับคนแรก และคนที่สามจะตกหลุมรักกับคนที่สอง ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นวังวนจนเร็นเร็นไม่สามารถควบคุมได้… ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดมาแล้วสองครั้งก่อนหน้านี้
“ถ้าแค่สองคนก็ไม่เป็นไรค่ะ” เร็นเร็นพูด “มันยังได้ผลอยู่”
“อ่าหะ แล้วคนที่สามล่ะ?” อากิถาม
“นั่น…ก็ จะจัดการให้ได้ค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว”
เนฟิเรียหัวเราะออกมา อากิพยักหน้าอย่างพอใจและโบกมือขวาไปด้านหน้า “เอาล่ะ ออกจากที่นี่กันเถอะ พวกเราสร้างเสียงเอะอะมากพอแล้ว อาจจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาก็ได้”
“หมายถึง… ศัตรู…” เร็นเร็นพูด
“ไม่ ไม่ใช่ศัตรูหรอก ฉันไม่รู้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำว่าเป็น… ก็นะ ช่างเถอะ ยังไงก็ไปกันดีกว่า”
เนฟิเรียตามอากิไป และเร็นเร็นก็ส่งสัญญาณให้เมรี่ด้วยสายตา แกะของเมรี่รวมตัวกันอยู่รอบๆเชลซี คนที่ไม่ออกห่างจากเมรี่ จนมันเกือบจะเป็นการอุ้มเธอออกไปด้วยในตอนที่เดินออกไป
เหล่าแมลงที่อยู่โดยรอบคงคิดว่าเรื่องวุ่นวายมันจบลงแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พวกนั้นก็เริ่มส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
MANGA DISCUSSION