ตอนที่ 5:
ปัญหาแล้วปัญหาเล่า
☆ รากิ สเว เน็นโต
มันมีเก้าอี้พับ โต๊ะเหล็กเรียบๆ และเทอร์มินัลข้อมูลลรูปทรงเพชรที่มีสายกระจายออกไปตามพื้น รากิสำรวจผนังหินของห้องอีกครั้ง มันดูแย่เอามากๆ เพราะกระทั่งหน้าต่างเองก็ไม่มี
เวทมนตร์ถูกร่ายเอาไว้ที่อาคารหลักและอาคารรอง สภาพแวดล้อมของเกาะ และอีกหลายอย่างที่สามารถควบคุมและสั่งการได้จากห้องบริหารจัดการบนชั้นสี่ของอาคารหลัก การควบคุมสภาพแวดล้อมมันรวมถึงการทำให้แดดออก ฝนตก และการเจริญเติบโตที่ดีของพืชบนเกาะ ดังนั้นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็จะส่งผลกับจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลไปด้วย อีกแง่หนึ่งคือ ที่นี่คือจุดที่น่าสงสัยที่สุดของเหตุการณ์นี้
จากเหตุการณ์ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา —เมจิคัลเกิร์ลคลายการแปลงร่างและจอมเวทเองก็หมดสติ— ได้ถูกแก้ไขโดยการใช้ผลไม้สีเทาที่โตขึ้นบนเกาะนี้ ทุกคนตัดสินใจว่าให้แบ่งกันคนละสองสามลูกไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้เพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่สาเหตุสำคัญของปัญหาก็ไม่ได้ถูกแก้ไขไปแต่อย่างใด
ก่อนที่จะทำงานของตัวเอง รากิดึงเอาผลไม้สีคล้ำหนึ่งผลออกมาจากแขนเสื้อ เขารู้สึกดีขึ้นในตอนที่กินผลไม้ แต่จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆแย่ลง —เรื่องนี้มันบ่งบอกว่าปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขในการกินแค่ครั้งเดียว การกินผลไม้จำเป็นต้องจัดการปัญหาด้านร่างกายของเขาไปด้วย ซึ่งมันมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่เขาก็ไม่อยากกลับไปเป็นสภาพแบบนั้นอีกแล้ว
รากิเอาไม้เท้าพิงเข้ากับโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับส่งเสียงออกมา เขาอ้าปากออกกว้างและกัดเข้าไปที่ผลไม้อย่างเต็มคำเหมือนชายหนุ่ม ฟันกัดชิ้นผลไม้ น้ำผลไม้ไหลลงไปในลำคอ ลิ้มรสชาติหวานและกลิ่นที่ทำให้ปากแห้งๆกลับมาชุ่มชื่น มันเติมเต็มไปที่ทุกส่วนราวกับว่าร่างกายสั่นสะเทือน ความอ่อนแรงก่อนหน้านี้ของเขาหายไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขากินผลไม้สีเทาหมดเป็นลูกที่สองของวัน เขาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเข้าที่ปากและใช้กระจกในมือตรวจดูว่ามีน้ำผลไม้เลอะหนวดอยู่บ้างรึเปล่า ซาตาบอร์นนั้นได้พัฒนาและปรับปรุงผลผลิตหลากหลายอย่าง ตั้งแต่มือหนึ่งจนถึงขยะ แต่รากิคิดว่าเจ้านี่นับได้เป็นอย่างแรกไม่ใช่อย่างหลัง
เมื่อในใจว่าไม่มีอะไรติดอยู่ที่หนวดแล้ว ความกังวลก็หายไป จากนั้นรากิก็เริ่มงาน
เขาเริ่มจากการร่ายรหัสผ่านและแตะเข้าไปที่จอสัมผัสของเทอร์มินัลเพื่อเปิดการทำงานของอุปกรณ์ จากนั้นก็พิมพ์รหัสผ่านที่สองลงไป ภายในห้องมืดขึ้นทันที ขอบเขตของพื้นที่อันคับแคบก็หายไป จอมเวทชราคือสิ่งเดียวที่ยังคงนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่มีสีดำล้วน —แม้ว่าเขาจะยื่นมือออกไปและขยับไปมารอบๆ มันก็ไม่มีสิ่งใดให้สัมผัส ต่อให้พยายามเดินหรือวิ่งไปรอบๆ เขาก็ไปไหนไม่ได้เช่นกัน
รากิเลือกใช้เวทมนตร์รูปแบบพื้นฐานเพื่อแยกข้อมูลออกมาในการทำความเข้าใจระบบ รูปร่างเวทมนตร์ของสีแต่ละสีอันแล้วอันเล่าลอยขึ้นไปเป็นสามมิติ จากจุดนี้ เขาควรที่จะสามารถเข้าไปด้านในได้ แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น
สำหรับระบบจัดการสภาพแวดล้อมแล้ว มันถูกสร้างขึ้นอย่างซับซ้อนแบบผิดปกติ ผู้สร้าง —ซาตาบอร์น— คงไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาใช้หลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว แม้ว่าจะเขียนพินัยกรรมเตรียมเอาไว้สำหรับการจากไปของตัวเอง เขาก็ได้ทิ้งเรื่องนี้ไปหมดแล้ว
ซาตาบอร์นใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ทุกอย่างแทบทุกตารางนิ้วกับเกาะแห่งนี้ แถมนี่ยังเป็นการติดตั้งแบบเฉพาะ ยิ่งมากสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามามากเท่าไหร่ มันก็เริ่มกลายเป็นกล่องดำมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคงตื่นเต้นมากในตอนที่สร้างมันขึ้นมา ในเวลาที่รวมองค์ประกอบใหม่ๆเพื่อสร้างอะไรบางอย่างมันคือเรื่องสนุก —เป็นสิ่งที่รากิเข้าใจเป็นอย่างดี ณ จุดๆหนึ่ง รากิก็ยังรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการเสริมระบบรักษาความปลอดภัยของห้องทำงานตัวเอง ใช้เวลาทั้งหมดไปกับวิทยานิพนธ์ชิ้นล่าสุดเช่นเดียวกับการสรรค์สร้างเทคนิคป้องกันในการที่จะสร้างป้อมปราการเวทมนตร์ที่ไม่มีวันแตกพ่าย รากิไม่ได้คิดถึงเรื่องผู้สืบทอดของตัวเองในตอนที่เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้วเช่นกัน
แต่สำหรับรากิกับซาตาบอร์น มันมีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไป
รากิยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่เขาให้ใครซักคนมาใช้ห้องทำงาน เขาก็จะอธิบายเรื่องต่างๆให้อีกฝ่ายฟัง
แต่ซาตาบอร์นตายแล้ว เขาก็เลยอธิบายระบบนี่ไม่ได้
จอมเวทหมดสติ ส่วนเมจิคัลเกิร์ลก็คลายการแปลงร่าง ไม่มีใครรู้สาเหตุ แม้ว่ารากิอยากจะสืบสวนเรื่องนี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับข้อมูลที่มากพอตั้งแต่แรกรึเปล่า เวทมนตร์ที่เขาไม่เคยคิดไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินกำลังแสดงผลอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ข้อมูลในรูปร่างเวทมนตร์กำลังเปลี่ยนไปในหน่วยเสี้ยววินาที
ถึงจะทำเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ รากิยกเลิกเวทมนตร์รูปแบบพื้นฐานที่ร่ายเอาไว้ รูปร่างเวทมนตร์เองก็ค่อยๆหายไป พื้นที่ทั้งหมดสั่นไหว ความมืดลดลงเหลือแค่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งอีกครั้ง รากิปิดหน้าต่างที่เด้งขึ้นมาบนเทอร์มินัลที่วางเอาไว้บนโต๊ะเหล็ก สุดท้ายแล้วเทอร์มินัลก็กลับไปส่องแสงอยู่ในโหมดแสตนบาย รากิถอนหายใจออกมาและลุกขึ้นจากเก้าอี้
การจัดการกับระบบนั้นมันยาก เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้เกิดเรื่องขึ้น มันไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีการถอดรหัสวิเคราะห์อยู่เลย แต่เขาไม่มีกำลังคน เครื่องมือ วัสดุ พลังเวท เวลา และทุกๆอย่าง มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาควรจะทำในตอนนี้ หากเขาจะสืบสวนสาเหตุอย่างจริงจัง ก็ควรจะส่งทุกคนตรงมายังเกาะแห่งนี้ จากนั้นเมื่อพร้อมแล้วก็พาผู้เชี่ยวชาญมา แล้วนายไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญรึไง? เสียงที่ดังอยู่ภายในตัวเขานั้นน่าหงุดหงิด แต่เขาก็ยั้งความโกรธเอาไว้ด้วยแผนการง่ายๆที่วางเอาไว้ : เขาควรจะพาผู้เชี่ยวชาญมาที่เกาะแห่งนี้เมื่อเตรียมการต่างๆไว้เรียบร้อย แล้วเขาก็จะลงมือเพื่อเปิดเผยสาเหตุ
รากิพยักหน้า แบบนี้คงจะดีที่สุด
เมื่อเขาออกมาจากห้อง เชพเพิร์ดพายและมานาก็ยืนอยู่ตรงทางเดิน พูดคุยกันเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งสองคนหยุดคุยกันและมองมาที่รากิ
รากิไม่ได้พยายามจะซ่อนท่าทีที่ไม่พอใจของตัวเอง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว “ลืมเรื่องแก้ไขการทำงานที่ผิดพลาดไปได้เลย ขนาดสาเหตุชั้นยังเดาไม่ออกด้วยซ้ำ” การเห็นทั้งคู่มีท่าทางผิดหวังก็ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นการส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม แต่ความจริงก็ไม่ได้เปลี่ยนไป “ไอ้เจ้าซาตาบอร์นมันใช้เทคนิคแบบใหม่ทุกอย่างของตัวเอง อันแล้วอันเล่า การเรียนรู้มันจำเป็นต้องเตรียมการหลายอย่าง ตอนนี้ช่วยหาอัญมณีเวทมนตร์มาซักสิบโหลได้ไหม?” เขามองมาที่มานาและเชพเพิร์ดพาย
แม้ว่ามานาจะดูตกใจ เธอก็ไม่ได้เบือนหน้าหนี ในขณะที่เชพเพิร์ดพายมองลงไปที่พื้นอย่างลนลาน มานานั้นยังเป็นเด็ก แต่การเป็นผู้ตรวจการณ์ในหน่วยสืบสวนย่อมทำให้เธอมีความกล้าหาญ ส่วนเชพเพิร์ดพายไม่ควรค่าแก่การเก็บเอามาคิดด้วยซ้ำ ซาตาบอร์นควรจะใช้ความหลงไหลซักหนึ่งในสิบของการวิจัยเอามาสอนลูกหลานตัวเองซักหน่อย
“ถ้าพวกเราไม่จัดการเกาะนี้ด้วยการปิดผนึก แบบนั้นก็ต้องสืบสวนหาสาเหตุแล้วก็จัดการ ถึงตอนนั้นชั้นจะเสนอความช่วยเหลือเอง” รากิกำลังจะพูดว่า “สำหรับเรื่องที่อาจคุ้มค่าพอ” ออกมาต่อ แต่ก็กลายเป็นว่าเขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่อยากทำตัวเด่นเกินไปจนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เขาเม้มริมฝีปากแน่นและเดินผ่านทั้งสองคนไป แต่หนึ่งในนั้นเดินวนมาด้านหน้าเขา มานากำลังยืนอยู่ตรงหน้ารากิ “แบบนั้น…” เธอพูดราวกับว่าตัวเองเลือกคำพูดแต่ละคำอย่างระมัดระวัง “แบบนั้นแล้วต้นเหตุ… หรือเหตุผลที่… อยู่เบื้องหลังที่ทำให้จอมเวททุกคนหมดสติ และเมจิคัลเกิร์ลคลายการแปลงร่างคืออะไรล่ะ?”
คิ้วของรากิผ่อนคลายลงเล็กน้อย รอยย่นเองก็ดูตื้นขึ้นเรื่อยๆ “สมมติฐานที่มีเหตุผลที่สุดคือพลังเวทในร่างกายของพวกเราหายไป”
ในหมู่ของจอมเวทอาการเองก็ต่างกันด้วย รากิรู้สึกแย่ก่อนที่จะหมดสติไป เขาไม่ได้สติจนกระทั่งฟื้นตัว เขาได้ยินมาว่านาวี่ ลูเป็นปกติดีจนกระทั่งหมดสติแต่หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม โยลยังคงมีสติอยู่บ้างแต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ในขณะที่มานากับอากิสามารถพูดคำบางคำออกมาได้ เชพเพิร์ดพายรู้สึกไม่ดีแต่ก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ในขณะที่โทตะสามารถพูดคุยและเคลื่อนไหวไปรอบๆได้ตามปกติ
พูดได้ว่าอาการของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไป และมีความรุนแรงตามสัดส่วนพลังเวทของคนๆนั้น สำหรับโทตะ แค่มองก็บอกได้เลยว่าไม่มีทักษะทางเวทมนตร์ และยังเข้าใจได้ว่าเชพเพิร์ดพายไม่มีความสามารถจากการใช้เวทมนตร์ของตัวเองแบบซุ่มซ่าม อากิและมานาอยู่ในค่าเฉลี่ย ในขณะที่โยลอยู่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย สำหรับนาวี่ ลู รากิรู้จักเขาตั้งแต่ที่เขายังเป็นมือใหม่ นอกเหนือจากเรื่องมารยาทแล้ว เขาก็มีพรสวรรค์ในฐานะจอมเวท แค่การเยินยอกับการทำให้อีกฝ่ายชอบมันไม่สามารถทำให้เข้าใจฝ่ายโอสได้อยู่แล้ว
ตรงกันข้าม อาการของเมจิคัลเกิร์ลนั้นเหมือนกันทั้งหมด ความสามารถด้านเวทมนตร์ระหว่างจอมเวทกับเมจิคัลเกิร์ลเหมือนว่าจะดูคล้ายกันก็จริงแต่มันก็ไม่ใช่ เมจิคัลเกิร์ลไม่จำเป็นต้องมีเวทมนตร์เพื่อใช้ชีวิต และการที่เวทมนตร์หายไปไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตตัวเอง การมีเวทมนตร์มันทำให้พวกเธอแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ หากพลังเวทนั้นหายไป พวกเธอก็จะไม่สามารถแปลงร่างได้เพียงเท่านั้น
มานารับฟังรากิพร้อมกับพยักหน้า เธอไม่ได้ทำท่าทางแบบนี้เพราะว่ารู้สึกประหลาดใจกับการที่ได้ข้อมูลใหม่มา แต่มันเป็นการยืนยันสิ่งที่เธอคิดออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นฐานคือ เธอเปรียบเทียบความคิดของตัวเองกับเรื่องที่รากิพูดออกมา รากิเริ่มรู้สึกโกรธ แต่การเห็นท่าทางจริงจังของมานา เขาก็ไม่สามารถปล่อยความโกรธนั้นออกมาได้ เขาเดินออกไปโดยทิ้งทั้งสองคนไว้เบื้องหลัง ในคราวนี้มานาไม่ได้ขวางทางหรือเรียกเขาให้หยุด เมื่อเชพเพิร์ดพายพูดไล่หลังออกมาว่า “ขอบคุณมากครับ” รากิก็เดินต่อไปโดยไม่ได้ตอบ
นี่มานาจริงจังเพราะความเป็นมืออาชีพงั้นหรือ? ดูไม่เหมือนว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น —รากิส่ายหัว นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ แน่นอนว่ามีบางอย่างที่มานาอยากจะทำ เขาก็ควรจะปล่อยให้เธอทำไป
รากิมีความคิดของตัวเองที่แก้ไม่ตก —อย่างหนึ่งคือเรื่องที่ไม่สำคัญ เขาไม่คิดว่าจะนับเป็นเรื่องที่น่ากังวลจริงๆได้ ในตอนนี้เขาทำงานที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว —แม้ว่าปัญหาเรื่องผู้สืบทอดจะยังไม่เสร็จสิ้น —แต่ในตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าง จนความคิดเล็กๆน้อยๆโผล่ขึ้นมาในใจอีกครั้ง แถมมันก็ไม่ได้หายไปอีกด้วย
รากิรู้สึกไม่ดีตั้งแต่มาถึงเกาะแห่งนี้ งานของเขาก็ล้นมือไปหมดจนทำให้ไม่สามารถคิดเรื่องอะไรต่างๆรอบตัวได้ แต่พอลองคิดย้อนกลับไป แคลนเทลก็ไม่ได้พูดกลับใครเลยนอกจากรากิ
มันไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นแบบนี้ ไมยะกับมิสมาร์เกอริตคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน มานาแนะนำ 7753 และเท็ปเซเคเมย์ให้คนอื่นรู้จัก นาวี่ ลูยิ้มออกมาพร้อมกับตบหลังอากิ ส่วนโยลก็พาโทตะเข้าไปที่ห้องของตัวเอง สำหรับเชพเพิร์ดพาย… รากิช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาสนิทกับเมจิคัลเกิร์ลที่ตัวเองจ้างมาอย่างไม่จำเป็น ดรีมมี่✰เชลซี คนที่เถียงรากิอย่างรุนแรงคือหญิงสาววัยออกเรือนในชุดคลุมอาบน้ำก่อนการแปลงร่างที่มีความดึงดูดทางเพศและบรรยากาศที่มีเสน่ห์ —รากิยังได้ยินอากิกับนาวี่คุยกันอย่างสบายๆในโถงใหญ่ของอาคารรองจนรู้สึกหงุดหงิดเป็นการส่วนตัว เขาคิดว่า เวลาซุบซิบกันช่วยส่งเสียงเบาๆหน่อยไม่ได้รึไง? ในตอนที่นั่งลงบนโซฟาในห้องเดียวกัน รากิยังคิดอีกว่าเชลซีอาจจะเป็นชู้ของเชพเพิร์ดพายก็ได้ มันช่างไม่เหมาะสมเสียจริง
นอกเหนือจากพฤติกรรมที่น่าอับอายของเชพเพิร์ดพาย เด็กสาวเหล่านั้นก็มีปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น พวกเธอดูเหมือนจะสนุกสนานกับการคุยกันในหมู่เมจิคัลเกิร์ล กับจอมเวท หรือระหว่างจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ล แคลนเทลไม่ได้มีอะไรแบบนั้น คิ้วของรากิย่นเข้าหากันในตอนที่กำลังเดินอยู่ แสงจากดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง จนทำให้มองเห็นฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศตรงโถงทางเดิน
รากิดึงหมวกลลงมา กลั้นหายใจ แลล้วก็ปัดฝุ่นนั้นออกไป
แคลนเทลคือเด็กสาวที่เงียบขรึม เธอจะไม่เป็นคนเริ่มการสนทนาก่อน
แต่…
หากหลังจากนี้พวกเธอตรงกลับไปที่บ้าน แบบนั้นก็มีแต่แคลนเทลที่ไม่ได้มีคนรู้จักใหม่ๆเพิ่มขึ้น งานของเธอเองก็จะจบลงไป แถมคนอื่นๆเองก็กลายเป็นเพื่อนกันหมดแล้ว
แบบนั้นคำว่า “แล้วทำไม” ก็คือคำถาม ไม่ใช่ว่ามันคือเรื่องที่สลักสำคัญ —แต่มันเรื่องที่กวนใจเขา มันยากที่จะพูดออกมาว่าทำไม ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นไปอีก เขาไม่ควรจะกังวลเรื่องของแคลนเทล —พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์มากมายอะไรแบบนั้น แค่คนที่เขาจ้างมาไม่มีใครคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง แล้วมันมีปัญหาอะไรกันล่ะ?
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ รากิติดอยู่ในส่วนลึกและหมุนวนอยู่กับของความคิดตัวเอง มันไม่ใช่ว่าเขากังวลเรื่องของแคลนเทล ปัญหามันก็คือ “มีแค่เมจิคัลเกิร์ลที่รากิพามาด้วยกลับออกไปโดยที่ไม่ได้คุยกับใครเลย” เขาพยักหน้ากับตัวเองเหมือนกับว่า “ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ” แล้วก็เดินต่อไป แม้ว่ามันจะตรงข้ามกับความต้องการของตัวเอง เขาก็เป็นหัวหน้าของฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลอยู่ดี และยังคงขับไล่ผู้ที่มาท้าทายอำนาจของตัวเองอยู่ในทุกๆวัน หากคนพวกนั้นรู้ว่า “มีแค่เมจิคัลเกิร์ลที่รากิพามากลับไปโดยที่ไม่ได้คุยกับใครเลย” ล่ะก็ มันก็จะกลายเป็นคำถามเรื่องความเหมาะสมที่เขาจะเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า?
ใช่ เป็นแบบนั้นแน่
เขาคงถูกล้อเลียนในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล คนที่ได้แต่เอาเมจิคัลเกิร์ลที่มีทักษะด้านการสื่อสารเป็นศูนย์ไปด้วยแน่ และเรื่องนี้มันก็จะทำให้มีผู้ที่มาท้าทายมากขึ้นแน่
การพูดว่าเขาเข้าใจปัญหาที่มาจากแคลนเทลถูกกีดกันออกจากวงสนทนาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วแบบนั้นเขาควรทำยังไงเพื่อแก้ไขมันล่ะ?
รากิควรจะพูดเรื่องดีๆของเธอกับคนอื่นรึเปล่า? หรืออย่างน้อยก็ควรแนะนำเธอให้รู้จัก? แต่การแนะนำจากหัวหน้าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลก็จะทำให้คนอื่นระวังตัวแน่ และถึงเขาจะแนะนำเธอกับใครซักคน แล้วคนๆนั้นที่สามารถแนะนำได้คือใครตั้งแต่แรกล่ะ? จอมเวทคนเดียวที่รากิรู้จักคือนาวี่ ลู และเขาก็เป็นพวกเหลือขอ รากิไม่ได้รู้จักคนอื่น มีเมจิคัลเกิร์ลแค่คนเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือ 7753 ที่ร่วมทางมากับมานา เมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวเลขนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่คน และการที่ชื่อมีแต่ตัวเลขก็น้อยลงไปยิ่งกว่านั้นอีก สำหรับรากิแล้วมันดูโดดเด่นทุกครั้งที่ทำงานเรื่องบันทึกชื่อ เป็นชื่อที่แปลกดี จัดเรียงเองก็ง่าย เขาคิด หลังจากนั้นเขาก็พบว่าเธอคือผู้มากความสามารถที่ทำงานให้กับฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล
รากิก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง กระแทกเท้าลงบนพื้นตรงทางเดิน แล้วมันยังไงล่ะ? เธอไม่ใช่ลูกน้องของเขาซักหน่อย เขารู้จักเธอ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ประเภทที่เขาสามารถแนะนำเธอกับใครได้อยู่แล้ว
แม้จะรู้จากประสบการณ์ว่าถึงจะกังวลแบบนี้ไปมันก็ไม่มีวันได้คำตอบออกมา รากิก็ยังคงครุ่นคิด เขาดึงเสื้อคลุมขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ชายผ้าลากไปกับพื้น เขาเดินไปตามทางเดินและลงบันได เมื่อเขามองออกไปนอกหน้าต่างตรงที่เขาลงมา แคลนเทลก็อยู่ที่นั่น และไม่ได้อยู่คนเดียว
เนฟิเรียยืนอยู่ข้างๆและลูบหลังเธอ แคลนเทลกำลังมองไปข้างหน้า ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรตามใจ เธอไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เนฟิเรียต่างหากที่กำลังส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุกออกมา เธอดูเหมือนกำลังสนุกอยู่
รากิสงสัยว่าแบบนี้หมายถึงทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วงั้นเหรอ
หลังจากที่คิดมาหลายตลบแล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าแบบนี้ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
☆ แคลนเทล
แคลนเทลอยู่ในสวน เธอตัดสินใจว่าหากมีใครมาถาม เธอก็จะตอบอีกฝ่ายว่าเธอกำลังรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการอาบแดด แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
จากจุดนี้ที่อยู่ในสวน เธอสามารถมองเห็นได้หากมีใครบางคนพยายามเข้าไปในห้องบริหารจัดการที่ชั้นสี่ ที่ๆรากิอยู่ เธอสามารถกระโดดตรงเข้าไปหาเขาได้ในก้าวเดียวหากเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึง เธอกำลังยืนป้องกันอยู่ในตอนนี้
หากก่อนนี้เธอพยายามจะป้องกันรากิ การตามเขาไปแล้วยืนอยู่หน้าห้องจะดีที่สุด แต่เมื่อคิดถึงบุคลิกของชายแก่แล้ว การตามไปอาจจะทำให้เขาระเบิดความโกรธออกมาได้ มันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนเขาเองเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แต่มันก้ยังคงมีงานที่เขาคนเดียวสามารถทำได้รออยู่ พวกเธอก็เลยจำต้องให้เขาจัดการ
เกาะแห่งนี้ไม่ได้อ่อนโยนกับผู้สูงวัย ตราบใดที่ยังคงอยู่ที่นี่ เธอก็จะหลีกเหลี่ยงไม่ทำให้เขาโกรธโดยที่ไม่จำเป็น มีบางสิ่งที่น่าสับสนเกิดขึ้น และก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ในเวลาแบบนี้ กล้ามเนื้อคือสิ่งที่ใช้การได้มากที่สุด
ใครก็ตามที่เห็นแคลนเทลก็จะคิดว่าเธอกำลังเหม่ออยู่อย่างแน่นอน —ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะเธอตั้งใจให้ดูเป็นแบบนั้น ปากของเธออ้าออกเล็กน้อย ดวงตาของเธอมองตรงไปอย่างไร้จุดหมายที่ชั้นสี่
สายลมพัดผ่านมาปะทะเข้ากับลำคอ เธอหันไปมองทางที่สายลมพัดมา และไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามมา คนๆนี้ดูไม่เหมือนว่าพยายามจะปิดบังตัวตนของตัวเองเลย ค่อนข้างจะเปิดเผยอีกด้วย
“ชิชิ…” เมจิคัลเกิร์ลที่ปิดปากตัวเองอยู่มีเสียงหัวเราะลอดออกมา อีกฝ่ายคือเด็กสาวที่มีรูปร่างเหมือนยมฑูต มีเคียวขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง —เนฟิเรียนั่นเอง
แคลนเทลก้มหน้าลงเล็กน้อยและไม่ได้ยิ้มตอบกลับไป เธอไม่ได้มีเหตุผลเฉพาะเจาะจงในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าจะเข้ากันได้ดีกับเนฟิเรีย มันยากสำหรับแคลนเทลที่จะรู้สึกว่าเธอจะเข้ากันได้ดีกับใครบางคน การต่อสู้มันคืออีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่มันคือการเข้าสังคม
“สะ…วั…” เนฟิเรียพึมพำ
“สวัสดี”
“ชั้น..ขอ…?.”
“…เชิญ” แคลนเทลนั้นยืนเฝ้าระวังอยู่ภายใต้ข้ออ้างของการอาบแดด ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องปฎิเสธ บางทีเธออาจจะโกหกออกมาเพื่อที่จะปฏิเสธ แต่เธอไม่ได้เก่งเรื่องอะไรแบบนั้น
“อยาก…คุย…”
“ได้” หลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น แคลนเทลก็คิดว่า “ได้” มันเป็นคำแปลกๆที่จะพูดออกมาในสถานการณ์แบบนี้ แต่เมื่อคำพูดมันหลุดออกมาจากปากของเธอแล้ว เธอก็กลืนมันกลับลงไปไม่ได้ เธอจึงได้แต่ใช้หางตบเข้าไปที่ครึ่งล่างของตัวเอง
“เวท…มนตร์…ได้ยินเสียงของคนตาย…”
เนฟิเรียพูดว่าเธอสามารถได้ยินเสียงของคนตายด้วยเวทมนตร์ของเธอ หางของแคลนเทลสะบัดไปมามากขึ้น หัวใจของเธอรู้สึกสั่นไหว ได้ยินเสียงของคนตาย —มันหมายความว่ายังไงกันนะ? นี่เธอทำสัญญากับอะไรที่เรียกว่า “อีกฝั่งหนึ่ง” งั้นเหรอ? แบบนี้แคลนเทลก็สามารถพูดกับเพื่อนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้วได้อีกครั้งรึเปล่า?
มีหลายเรื่องที่เธออยากจะถาม แต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา ไม่ว่าเธอจะคิดแล้วคิดอีกแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องที่ตัวเองอยากถามได้อยู่ดี
เนฟิเรียมองขึ้นมาที่ใบหน้าของแคลนเทลแล้วก็ยิ้ม “ชั้น…ลูบได้…รึเปล่า?”
“ได้” นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาลูบ แต่ถ้าแคลนเทลบอกว่าไม่ การที่เธอจะถามคำถามอะไรออกไปมันก็จะทำให้ยากขึ้น เนฟิเรียวางมือขวาลงบนหลังของแคลนเทลแล้วก็ลูบอย่างช้าๆ
“แล้ว…” แคลนเทลเริ่มที่จะถาม จากนั้นก็ปิดปากลง เธอกระแอมอย่างเงียบๆ “แล้ว เอ่อ เวทมนตร์ที่ได้ยินเสียงของคนตาย…”
“ทำได้แค่… เล่นเสียง… ในตอนที่มีชีวิตอยู่… เท่านั้น…”
อ่าาา แคลนเทลคิด มันไม่ใช่ว่าสามารถพูดคุยกับคนที่อยู่อีกฝั่งได้ แคลนเทลปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้แสดงความผิดหวังออกมาแล้วก็พยักหน้า เนฟิเรียไม่ได้มองดูหน้าของเธอแต่มองลงไปที่ครึ่งล่าง สายตาของเธอมองไปหางที่ห้อยลงมาของแคลนเทล
เนฟิเรียพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางจริงจัง “หวังสูง… แล้วก็ผิดหวัง… บ่อยๆ…”
“อ่า ไม่”
“ขอโทษ…”
“ไม่หรอก ชั้นต่างหากที่ขอโทษ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เนฟิเรียก็เปิดปากออกช้าๆ ราวกับว่าเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก “เรียกว่า… เก็บกวาด… งาน… ของคี๊ค”
แคลนเทลรู้สึกเจ็บปวดกว่าก่อนหน้านี้ ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมเนฟิเรียถึงเข้ามาคุยกับเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าเนฟิเรียต้องการอะไร เธอคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่ยิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่ ภายในหัวของเธอก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น
“นั่น…” แคลเทลเริ่มพูดออกมา จากนั้นเธอก็ปิดปาก มีเสียงฝีเท้าลงมาจากบันไดตรงหน้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็มองเห็นภาพที่หน้าต่าง รากินั่นเอง เขากำลังมองพวกเธอด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างผิดปกติ
“คุยกัน… ทีหลัง…” เนฟิเรียซุบซิบ ลมหายใจเองก็สั่นไหวเล็กน้อย
☆ จอห์น เชพเพิร์ดพาย
รากิออกไปอย่างโกรธเคือง เขาบอกว่าสุดท้ายแล้วตัวเองก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลัง แต่เชพเพิร์ดพายรู้สึกโล่งอก การอยู่รอบๆชายแก่มันทำให้เขารู้สึกกังวล สำหรับคนขี้เกียจจนตัวเป็นขนอย่างเชพเพิร์ดพาย ชายแก่ที่อารมณ์ฉุนเฉียวถือได้ว่าคือศัตรูตามธรรมชาติเลยทีเดียว
ภาพแผ่นหลังของชายแก่ที่อยู่บนทางเดินค่อยๆห่างออกไป และเมื่อเชพเพิร์ดพายมองลงมา สายตาของเขาก็สบเข้ากับเด็กสาว เธอมีสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของมืออาชีพ แม้ว่าจะอายุยังน้อยสำหรับงานที่เป็นแนวหน้า มันก็อาจเรียกได้ว่าเธอคือศัตรูตามธรรมชาติของคนขี้เกียจตัวเป็นขนเช่นกัน คนขี้เกียจตัวเป็นขนนี่มีศัตรูมากมายดีแท้
“ขอยืนยันอีกรอบนะ” มานาพูด “คุณไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุใช่ไหม?”
“พูดด้วยความสัตย์จริงเลยว่าไม่เลยซักนิด”
“แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นบนเกาะมาก่อนด้วย”
“ชั้นเองไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่นานอะไร นี่เองก็เป็นครั้งแรกเลยด้วยที่ชั้นเจออะไรแบบนี้”
“งั้นเหรอ…” หลังจากที่ถามออกมาพอสมควร จู่ๆท่าทางของมานาก็ดูผ่อนคลาย “ก็นะ… ตอนนี้้มันเลยเวลาที่พวกเราจะจัดการเรื่องมรดกและพินัยกรรมแล้วด้วย”
อ๊ะ เชพเพิร์ดพายคิด เขาเครียดเพราะนึกว่านี่คือการสืบสวน แต่ความจริงก็คือเขาเข้าใจผิด เชพเพิร์ดพายเองก็ไม่ใช่คนที่พูดไม่เก่งอะไร “ชั้นไม่รู้เลยจริงๆว่าควรจะทำอะไร แล้วพวกเราเองก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นด้วย”
“มาสเตอร์รากิเองก็ดูลำบากเหมือนกัน”
“ก็ลุงของชั้นสร้างเรื่องยุ่งๆไว้นี่นะ”
“แม้แต่ทางหน่วยสืบสวนก็พิจารณาที่จะปรับใช้รูปแบบบาเรียของซาตาบอร์นอย่างเป็นทางการ”
“โชคร้ายหน่อยนะ ที่ความสามารถเป็นสิ่งหนึ่งที่เขามีในระดับที่สูงมาก”
“เขาเป็นคนแปลกๆเหรอ?”
“แปลกขั้นสุดเลยแหละ”
มันมีความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่ง พอเชพเพิร์ดพายมองกลับไปที่มานา ท่าทางของเธอเหมือนว่ากำลังจริงจัง “ไม่ว่าจะแปลกขนาดไหน คุณไม่คิดว่าการที่ให้พวกเราพาเมจิคัลเกิร์ลหนึ่งหรือสองคนมาด้วยมันน่าสงสัยบ้างเหรอ?” บรรยากาศของเธอในตอนนี้ดูเปลี่ยนไป แม้จะเป็นเชพเพิร์ดพาย คนที่เฉื่อยชาในทุกๆด้านก็ยังรู้สึกได้ สุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นการสืบสวนเข้าจนได้ การกลับไปกลับมาระหว่างท่าทีปกติกับท่าทีที่รุนแรงมันไม่ดีกับหัวใจของเขา แต่การสนทนานี้ไม่ได้เป็นไปในทางที่ทำให้เขาพูดกลับไปอย่างเย็นชาว่าเธอเป็นคนไร้มารยาทได้เลย
“หือ? น่าสงสัย? อะไรล่ะ?” เสียงของเขาแตกพร่า
“ชั้นไม่เห็นว่าการพูดคุยกันเรื่องมรดกมันจะเกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ลตรงไหน”
“มัน…ก็จริง” เชพเพิร์ดพายทราบดี “ชั้นคิดว่าตัวเองถูกบังคับให้ยอมรับว่ามันน่าสงสัยนะ แต่เธอรู้ไหม —หรือบางทีเธออาจจะไม่รู้ก็ได้ —ว่าซาตาบอร์น ลุงของชั้นน่ะเป็นคนแปลกเอามากๆ เขาอาจจะเขียนบทความสั่งให้ทุกคนที่มาเกาะแห่งใช้มือเดินแทนเท้าก็ได้ แล้วชั้นก็จะคิดว่า ก็สมเป็นเขาดี ที่ทำแบบนั้นอีกด้วย เขาเป็นคนประเภทแบบนั้นแหละ
“แต่มัน…”
“ฟังนะ —ถ้ามันมีอะไรน่าสงสัยล่ะก็ เธอก็ควรจะทำการสืบสวนอย่างละเอียดหลังจากที่กลับไปแล้ว ชั้นจะขอบคุณมากเลยถ้าเธอจัดการได้อย่างมืออาชีพ พวกเราไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่ แล้วก็ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ได้อีกด้วย”
“ก็จริง”
“มันแย่มากนะที่ต้องติดอยู่บนเกาะที่เกิดเรื่องประหลาดๆขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ” เชพเพิร์ดพายกลืนคำพูดที่จะพูดออกมาว่า “หวังว่าไมยะกับราเรโกะจะจัดการได้” ลงไป แล้วก็พยักหน้า
มานายังคงเอียงศีรษะอย่างไม่พึงพอใจ แต่เชพเพิร์ดพายก็คิดไปว่ามันคือธรรมชาติของมืออาชีพอย่างเธอ งานของเธอมันต้องคอยจัดการพวกคนที่สร้างภัยอันตราย ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่แปลกอะไรสำหรับเธอที่มองดูคนอื่นด้วยความสงสัย
“นี่พวกเราคุยเสร็จแล้วรึเปล่า?” เชพเพิร์ดพายถาม
“ค่ะ ขอบคุณมาก”
“เพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเราก็เลยไม่มีเวลามากพอ แต่ถ้าเธอใช้เวลาไปในทางที่เหมาะกับตัวเองได้ล่ะก็ เอ่อ ในฐานะเจ้าบ้านแล้ว —ชั้นก็รู้สึกดีใจนะ”
“แน่นอนค่ะ”
“ชั้นคิดว่าเธอคงอยากไปลงไปเล่นน้ำในทะเล แต่อย่างน้อยก็ให้ตัวเองเพลิดเพลินในสวนได้นะ ที่เกาะนี้มีพืชอยู่เยอะ ดอกไม้เองก็สวยเหมือนกัน”
“ค่ะ”
เขารู้สึกพึงพอใจเล็กน้อยที่พูดออกมาอย่างเหมาะสมในฐานะผู้ใหญ่ เชพเพิร์ดพายพยักหน้า และไม่ได้พูดเสริมว่า “ชั้นยังมีงานต้องทำอยู่ ดังนั้นนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาขี้เกียจ” การพูดคุยกับคนที่อายุน้อยกว่ามันต้องใช้ดุลพินิจมากกว่าคุยกับคนที่อายุมากกว่าซะอีก
“เอาล่ะ ขอตัวก่อนนะ” เชพเพิร์ดพายพูดในตอนที่เดินผ่านมานา แต่หลังจากที่เดินไปได้ห้าก้าว เธอก็เรียกเขาให้หยุดจากด้านหลัง เขาระมัดระวังมากในตอนที่หันกลับไปหาโดยที่ยังรักษาทท่าทาง “ต้องการอะไรจากชั้นเหรอ?” ไว้บนใบหน้า “มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารมากค่ะ ชั้นไม่เคยทานซุปที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
ในคราวนี้ เขาระวังไม่ให้ตัวเองแสดงความดีใจออกมา พยักหน้ากับเธอในแบบที่ผู้ใหญ่ควรจะทำ เชพเพิร์ดพายหันหน้าออกไป และเมื่อเดินออกไปอีกครั้ง แก้มของเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ —บางคนอาจจะคิดว่าเขาเป็นคุณลุงผู้ใจดีที่จะดีใจจากการที่อาหารของตัวเองได้รับคำชม— มันก็อดไม่ได้ที่เขาจะยิ้มออกมา
☆ มานา
เมื่อมานาพยายามพูดคุยกับรากิ เขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนที่เลวร้ายอะไร —เชพเพิร์ดพายเองก็เช่นกัน ทั้งคู่เป็นจอมเวทที่แปลก แต่มานาก็ไม่สามารถวิจารณ์เรื่องบุคลิกของคนอื่นได้
การเป็นเจ้าบ้านและมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้ตาย เชพเพิร์ดพายคือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในการควบคุมเกาะแห่งนี้ แต่เขาไม่ได้มีบรรยากาศของคนที่ทำอะไรแบบนั้นเลย เขาไม่ได้ดูเหมือนกับคนที่รู้เห็นเป็นใจที่พยายามหลอกลวงใครด้วยการแสดงอันน่าทึ่งเช่นกัน
แต่กระนั้น สถานการณ์ก็ยังคงน่าสงสัย ซึ่งมันกวนใจมานา
หลังจากที่มองดูเชพเพิร์ดพายจนตัวเขาหายไปที่มุมทางเดิน เธอก็เปิดประตูห้องบริหารจัดการที่รากิได้ทำการสืบสวนเอาไว้ บานพับมันไม่ได้ถูกหยอดน้ำมันอย่างที่ควร มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมาอย่างน่ารำคาญ เมื่อมองเข้าไปในห้องเล็กๆที่มีขนาดประมาณสามเมตร ภายในห้องมันก็มีแต่โต๊ะ เก้าอี้ และเทอร์มินัลที่มีสายไฟโยงออกมา มันไม่มีหน้าต่างและเต็มไปด้วยฝุ่น เมื่อเธอยื่นมือเข้าไปหาเทอร์มินัล เข็มและหนามก็วิ่งทะลุผ่านนิ้วของเธอไปในชั่วพริบตา นี่คือ “การเตือน” แบบปกติ หากเธอไม่สนใจรหัสผ่านและพยายามยื่นมือออกไปอีกครั้ง ในคราวนี้มันจะไม่จบแค่การเตือนแล้ว
เธอถอนหายใจออกมา นี่มันไม่ใช่เรื่องประเภทที่มือสมัครเล่นควรจะเข้าไปยุ่งด้วย
เธอปิดประตูที่อยู่ด้านหลังและถอนหายใจออกมาอีกครั้งทางจมูก เธอไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
เธอเริ่มเดินออกไปพร้อมกับรวบรวมความคิดที่อยู่ในหัว เธอมีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องคิด
จดหมายที่สั่งให้พาเมจิคัลเกิร์ลมาด้วย มันกวนใจเธอเหมือนกับก้างปลาชิ้นเล็กๆที่ติดอยู่ในลำคอ โดยพื้นฐานแล้วเธอคิดว่าที่เขียนไว้แบบนั้นก็เพื่อปกป้องผู้สืบทอดจากสัตว์ป่า แต่ในตอนนี้เรื่องราวมันต่างออกไป พวกเธอไม่ได้พบเจอกับสัตว์ป่าชนิดไหนเลยตั้งแต่มาถึงเกาะแห่งนี้ และเธอก็ได้แต่สงสัยว่าเมจิคัลเกิร์ลเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆงั้นเหรอ จากนั้นความคิดของเธอก็กลายเป็นคิดว่าผู้สืบทอดแต่ละคนปฎิบัติกับเมจิคัลเกิร์ลยังไง เพราะทุกคนต่างก็แปลกกันทั้งนั้น
นาวี่และอากิคุยกันว่าเชพเพิร์ดพายมีเมจิคัลเกิร์ลไว้เป็นชู้ และพอพวกเธอพูดแบบนั้น เชลซีก็ทำตัวเหมือนกับเป็นชู้มากจริงๆ ทั้งเรื่องการแต่งตัวที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำอย่างหน้าไม่อายในสถานการณ์แบบนี้ การที่เธอเรียกนายจ้างของตัวเองว่าคุณพายก็น่าสงสัย —แล้วการที่เธอเถียงกับรากิ บอกเขาว่าอย่ามาพูดไม่ดีกับเชพเพิร์ดพาย มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอมันมากกว่าเรื่องเงินและสัญญา ในฐานะเจ้าบ้าน เชพเพิร์ดพายก็รับรู้ตัวตนของเมจิคัลเกิร์ล พยายามอย่างมากในการต้อนรับ แถมฝีมือการทำอาหารของเขาก็อร่อยด้วย
โยลเอาการ์ดเกมบางอย่างออกมาและคุยกับโทตะอย่างกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าเธอหลงรักเสน่ห์ของวัฒนธรรมต่างประเทศ มานาเองก็ผ่านช่วงอายุแบบนั้นมาเช่นกัน ในตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูสดใหม่และน่าสนุกไปหมด โยลไม่ได้ทำตัวไม่ดีใส่โทตะที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว และไมยะ เมจิคัลเกิร์ลประจำตระกูลของเธอก็รับใช้เธอด้วยความภักดีเป็นอย่างยิ่ง ครอบครัวของเธอคงรับรู้และเห็นค่าของเมจิคัลเกิร์ลเป็นแน่
อากิเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน เธอบอกตัวเองจ้างทั้งคู่ให้มาด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอมันดูไม่เหมือนเป็นแบบนั้น เธอเป็นคนง่ายๆและใจกว้างกับอีกฝ่าย ลูกสาวของชู้โดยทั่วไปแล้วคงใช้ชีวิตอย่างลำบาก ดังนั้นบางทีที่เธอใจกว้างกับคนที่อยู่ใต้สั่งการอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้
ในตอนแรกรากิดูเป็นจอมเวทที่น่ารังเกียจ แต่ดูเหมือนว่าความโกรธของเขาจะออกมาจากจุดที่เคารพเมจิคัลเกิร์ลอย่างเท่าเทียม พอเมื่อเมจิคัลเกิร์ลกล้าที่จะขโมยข้อมูล เขาก็จะรับมือพวกเธอด้วยวิธีการที่เหมาะสม —บันทึกพฤติกรรมและรายงานไปยังหน่วยงาน การที่เขาตัดสินใจจัดการพวกเธอเป็นการส่วนตัวมันดูเสมือนเป็นเด็ก แต่ในเวลาเดียวกัน การจดจำเมจิคัลเกิร์ลเหล่านั้นในฐานะผู้ท้าทายก็ดูใจกว้างอีกด้วย นี่เขาเป็นแบบนี้มาตลอด หรือว่ากลายเป็นแบบนี้เพราะว่าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าของฝ่ายจัดการกันนะ?
สำหรับนาวี่ —ในเรื่องประวัติของเขานั้น เขาเป็นคนที่อยู่ในระดับสูงของจริงที่คนอย่างมานาไม่เคยหวังว่าจะเอื้อมไปถึง แต่เขาก็ไม่ได้ดูอวดดีอะไร แม้ในตอนที่คลาริสซ่าที่เป็นลูกน้องล้อเลียนเขา เขาก็แค่หัวเราะออกมา ไม่ได้มอบหมายให้เธอทำหน้าที่อะไร และกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นก็เช่นกัน —ถึงเขาจะดูค่อนข้างหยาบคายไปบ้าง— เขาก็พูด ยิ้ม และตบไปที่ไหล่ของพวกเธอเสมือนเป็นคุณลุงที่อยู่ข้างบ้าน มานาได้ยินมาว่าฝ่ายโอสปฎิบัติกับเมจิคัลเกิร์ลอย่างรุนแรง —แต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้น หรือว่าเขาเป็นคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันนะ?
โทตะไม่ได้เป็นจอมเวทมาตั้งแต่แรก แต่กระนั้น การที่ได้เห็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถอย่างมิสมาร์เกอริตคอยคุ้มกันเขาอยู่ แม้ว่าจะยังเด็กอยู่ มานาคิดว่าเขาก็คงเป็นคนที่ดีเช่นกัน มิสมาร์เกอริตคงไม่จริงจังเพียงเพราะเขาเกี่ยวข้องกับเดธ เพรเยอร์หรอก
เธอคิดว่าตัวเองคิดเรื่องนี้มากเกินไป เชพเพิร์ดพายบอกว่าอีกไม่นานพวกเธอก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว ใช่แล้ว เขาพูดถูก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่มานายังคงคิดเรื่องนี้ คนปกติจะเห็นว่ามันไม่จำเป็น แต่พอเธอคิด มันก็มีความเย็นยะเยือกแล่นผ่านกระดูกสันหลังขึ้นมา การที่ไม่รู้สาเหตุมันทำให้เธอเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น
เธอเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มานาได้แต่รู้สึกกังวลอยู่ตลอดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธออย่างไม่มีเหตุผล
เธอรู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้ —มันเป็นเพราะเหตุการณ์ในเมือง B
มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น แต่เธอก็ยังไม่สามารถจัดการมันได้ ย้อนกลับไปในที่พวกเธอติดอยู่ในบาเรีย หากเธอสามารถเข้าใกล้บางสิ่งบางอย่างเช่นความจริงได้อีกซักครึ่งก้าว เรื่องราวมันจะต่างออกไปรึเปล่านะ? มานานอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงคืนแล้วคืนเล่าด้วยความคิดเช่นนี้ก่อนที่จะหลับไป เธอแก้ไขปัญหาในเมือง B ได้ในฝันหลายครั้ง พร้อมกับมีฮานะที่คอยยืนอยู่เคียงข้างและพูดว่า “ลำบากหน่อยนะ” —จากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมา
แค่คิดถึงเรื่องแบบนี้มันก็ทำให้กัดฟันแน่นในการพยายามที่จะอดทนกับความเสียใจและความผิดหวังของตัวเอง แต่มานาก็ยังมีชีวิตอยู่ ความเสียใจและความผิดหวังของคนตายมันจึงเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ความตายของทุกคนที่เธอแบกรับเอาไว้มันหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ และในการที่จะยืนหยัดอยู่ได้ เธอจำเป็นต้องกัดฟันแล้วเดินต่อไป
เสียงที่ดังมากจากด้านนอกทำให้มานากลับสู่ความเป็นจริง พวกเธอกำลังตะโกนและร้องไห้
เธอเห็นคนกำลังรวมตัวกันอยู่จากการมองลงมาจากทางหน้าต่างของทางเดิน ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังยืนล้อมใครบางคนไว้ มันไม่ได้มีแค่คนหนึ่งคนที่รู้สึกโกรธ เธอยังได้ยินเสียงร้องไห้อีกด้วย
เธอวิ่งไปตามทางเดินหิน กระโดดออกไปแปดก้าว แต่ก็ลงน้ำหนักตอนที่กระแทกกับพื้นพลาดจนตัวเซ เธอเอาตัวพิงกับราวบันได้ไว้ได้แต่ก็แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น เธอจะยอมแพ้ความเจ็บปวดเอาตอนนี้ไม่ได้ มานาด่าขาของตัวเองแล้วก็วิ่งออกไปอีกครั้ง
เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอออกมาด้านนอกได้โดยที่ระวังไม่ไปแตะต้องกำแพงที่พังลงมา รากิและเชพเพิร์ดพายอยู่ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของรากิดูเหมือนกับกลืนบางสิ่งที่รสชาติขมลงไปพร้อมกับจับไม้เท้าของตัวเองแน่น เชพเพิร์ดพายมีทางลังเลจนมานารู้สึกแย่แทน
เชพเพิร์ดพายหันมาหาเพราะคงได้ยินเสียงว่าเธอกำลังมา ในตอนที่เขาเห็นใบหน้าของมานา เขาก็พูดออกมา “อ่าาา แย่สุดๆ เกิดเรื่องแย่ๆขึ้นแล้ว” พร้อมกับเสียงแตกๆ
มานาลดเสียงลง พยายามทำให้เขาใจเย็นขึ้นเช่นเดียวกับตัวเอง “เกิดอะไรขึ้น?”
สายตาของเชพเพิร์ดพายอยู่ไม่นิ่ง เขามองไปทางขวา แล้วก็ทางซ้าย จากนั้นก็หันกลับมา มานามองผ่านร่างท้วมๆของเขาไปยังจุดที่เขามอง —ตรงกลุ่มคน อากิ เนฟิเรีย นาวี่ คลาริสซ่า แคลนเทล และ 7753 ล้วนแต่หันหน้าไปคนละทางจากพวกเขา เร็นเร็นกำลังยืนนิ่งอยู่ที่รูตรงกำแพงของอาคารหลัก คนที่นั่งอยู่ตรงกลาง —คือราเรโกะงั้นเหรอ? มิสมาร์เกอริตยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าลำบากใจ โยลกำลังกอดราเรโกะเอาไว้และร้องไห้ ในขณะที่โทตะกำลังลูบหลังของโยล
“นั่น…” มานาพูด
“ไมยะ เธอ เอ่อ ชั้นจะพูดยังไงดี —เธอตายแล้ว” คำพูดของเชพเพิร์ดพายมันทำให้สีหน้าของมานาแข็งทื่อ แล้วเธอก็มองกลับไปที่เชพเพิร์ดพาย ตัวของเขาเซไปด้านหลัง สายตามองออกไปทั่วอย่างไร้จุดหมายก่อนที่จะมองลงมาที่พื้นอีกครั้ง “เอ่อ ตามที่ราเรโกะกับมิสมาร์เกอริตบอก ประตูเองก็ถูกทำลายไปด้วย… อ่าาา ให้ตายสิ ทำไมนะ —ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กัน?”
“ประตู? ทั้งสองบาน?”
“ไม่ เอ่อ… ใช่แล้วล่ะ ทั้งทางเหนือและใต้ ทั้งสองบานถูกทำลายไปแล้ว”
ดรีมมี่✰เชลซีชะโงกหน้าออกมาจากอาคารหลักเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เธอพยายามคุยกับคนอื่น แต่ไม่มีใครที่จะอธิบายเลย เร็นเร็นอยู่ใกล้กับเธอที่สุด ดังนั้นเธอจึงไปถามเร็นเร็นเรื่องข้อมูล จนรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มานาหายใจเข้าลึกๆ เธอดึงปีกหมวกลงมาเพื่อปิดบังใบหน้า จากนั้นก็หายใจออกมานานกว่าที่หายใจเข้าไป เมื่อเธอแน่นใจหัวใจเต้นช้าลงบ้างแลล้ว เธอก็ยกปีกหมวกขึ้นเพื่อให้มองเห็นใบหน้า “คุณบอกว่าไมยะตายแล้ว?”
เชพเพิร์ดพายใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะรู้ว่ามานากำลังพูดกับเขาอยู่ สายตาของเขามองออกไปทั่วอีกครั้ง จากนั้นก็มีท่าทางตกใจเหมือนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนที่กำลังคุยกับมานาอยู่ แล้วเขาก็พยักหน้า มานากัดริมฝีปากด้านล่างเล็กน้อยในตอนที่กำลังรออย่างใจเย็น
ไม่กี่วินาทีก่อนที่มานาจะหมดความอดทนเชพเพิร์ดพายก็เริ่มพูดออกมา “อ่า ใช่ พวกนั้นพูดว่าไมยะ เอ่อ… ถูกฆ่า”
“ฆาตกรรมงั้นเหรอ?”
มันทำให้เชพเพิร์ดพายใช้เวลาอีกหลายวินาทีก่อนที่จะตอบกลับ บางทีไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้อยากจะไม่ตอบหรือเขาระวังการใช้คำพูด แต่เป็นว่าเขากำลังสับสนมากกว่า “อ่าาา ใช่ เพราะชั้นถูกบอกมาว่าเธอมีเลือดไหลจากการถูกฟันเข้าที่ใบหน้า…”
“ไม่ใช่ว่าเธอถูกระบบรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งเอาไว้บนเกาะหรืออะไรที่เป็นแบบนั้นเหรอ?”
“อ่า ใช่… ไม่สิ ไม่ใช่ มันไม่มีอะไรที่สามารถแทงคนได้หรอก ไม่ต้องคิดถึงเรื่องฆ่าคนอื่นเลย เพราะมันไม่ได้มีอะไรที่เป็นอันตรายต่อบุคคลอยู่เลย”
คนที่ดูแลเกาะแห่งนี้พูดออกมาว่ามันไม่ใช่ระบบรักษาความปลอดภัย ดังนั้นตัวเลือกเดียวที่มานาสามารถคิดได้ก็คือสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่บนเกาะ แต่มันก็ไม่มีสัตว์ป่าที่สามารถฆ่าเมจิคัลเกิร์ลได้อยู่เลย ซึ่งมันหมายถึง มันเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากการฆาตกรรม
แม้ความรู้สึกที่ไม่ดีของเธอจะบอกว่ามันถูกต้อง มานาก็ไม่ได้คิดอะไรอย่าง ดูสิ ชั้นบอกแล้วไง ทุกสิ่งที่เธอคิดก็คือ ทำไมถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น? เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ และหน่วยสืบสวนก็มีตัวตนอยู่เพื่อการนี้
มานามองกลับไปที่เมจิคัลเกิร์ลและจอมเวทที่อยู่กันเป็นกลุ่ม 7753 นั้นกำลังสับสนเหมือนกับเชพเพิร์ดพาย สายตาของเธอกำลังมองไปทั่วทุกที่ นาวี่ ลูเอามือขวาแตะที่ด้านบนของใบหน้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นและมองไปบนฟ้า ในขณะที่คลาริสซ่ามองดูเขาด้วยท่าทางที่เหมือนกลืนตะกั่วลงไป อากิที่หน้าซีดเข้าไปถามอะไรบางอย่างกับราเรโกะ ส่วนเร็นเร็นที่อธิบายเรื่องราวกับเชลซีเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พยายามปลอบโยนเธออยู่ โยลไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากร้องไห้ โทตะที่กำลังลูบหลังของโยลเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ รากินั่งลงไปบนพื้นหินอย่างหมดเรี่ยวแรงพร้อมกับแคลนเทลที่อยู่ข้างๆ คนเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมตลอดก็คือเท็ปเซเคเมย์ คนที่กำลังลอยตัวของในอากาศและโดนดรีมมี่✰เชลซีตะโกนใส่ “หยุดลอยไปลอยมารอบๆได้แล้ว!”
มานาแตะใบหน้าตัวเอง บางทีเธออาจจะมีท่าทางแย่ๆด้วยเหมือนกัน
เนฟิเรียกำลังคุยอยู่กับมิสมาร์เกอริต คนที่ตอบกลับมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เหมือนว่ามิสมาร์เกอริตกำลังลำบากในการได้ยินเรื่องที่เนฟิเรียพูด เธอเอาหูเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็พูดคุยอะไรกันไม่กี่คำ เมื่อเธอมองขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเธอก็สบเข้ากับมานา ทั้งสองคนมองหน้ากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง มานาคือคนที่หันสายตาไปทางอื่นแล้วหมุนตัวมองกลับไปด้านหลัง ทิ้งกลุ่มเอาไว้ด้านหลัง เดินออกไปไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะหันกลับเข้าหาทุกคนอีกครั้ง
เนฟิเรียกำลังพูดอยู่กับอากิ มิสมาร์เกอริตที่อยู่ข้างๆเธอก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
มานาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อจับหินก้อนเล็กๆเอาไว้ในฝ่ามือ ทุกคนยังดูสับสนและวุ่นวายโดยที่ไม่มีใครมอบข้อมูลที่ถูกต้องได้เลย แต่การทำให้แน่ใจเอาไว้ก่อนคือเรื่องที่ดีเสมอ มันไม่สามารถบอกได้ว่าจะใครที่คอยเงี่ยอยู่ฟังอยู่
มานาใช้นิ้วกลางเคาะลงไปที่ตรงกลางของหินที่มีส่วนเว้าสามครั้ง ความเอะอะวุ่นวานของกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเสียงอู้อี้ในทันที ราวกับว่าเธอกำลังได้ยินเสียงจากระยะที่ห่างออกไป เพราะในตอนนี้เธอไม่สามารถได้ยินอะไรเช่นกัน
ว่ากันว่าหินพวกนี้เดิมทีจะใช้กันในหมู่ขุนนาง พวกนั้นจะใช้เพื่อความสะดวกในการคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวภายในงานเต้นรำไม่ก็งานปาร์ตี้ ในทุกวันนี้มีการใช้งานอยู่ทั่วไป และทางหน่วยสืบสวนเองก็ใช้มันบ่อยครั้งในฐานะไอเท็มเวทมนตร์ มันจะทำการเปลี่ยนการไหลเวียนของอากาศและทำให้เสียงไม่เล็ดลอดออกมา
“ไมยะถูกฆ่าตายจากด้านหน้า” เสียงของมิสมาร์เกอริตดังมาจากด้านหลังและด้านข้างของมานา ในเวลาแบบนี้ การที่ทั้งคู่มาจากหน่วยสืบสวนจะใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เธอรู้ว่ามานามีเรื่องที่อยากจะถาม
“ไมยะแข็งแกร่งรึเปล่า?” มานาถาม
“ชั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาชนะเธอในการต่อสู้ได้รึเปล่า” มิสมาร์เกอริตตอบ
“นั่นเรื่องสำคัญนะ มีใครที่นี่สามารถจัดการไมยะในการต่อสู้ที่เท่าเทียมกันได้รึเปล่า?”
“มันไม่มีทางรู้หรอกว่าการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ลจะกลายเป็นแบบไหน”
“เป็นไปได้รึเปล่าที่ราเรโกะจะฆ่าเธอ?”
“บางทีไมยะอาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนการต่อสู้ให้ราเรโกะ สำหรับชั้นแล้วดูเหมือนว่าเธอยังก้าวข้ามอาจารย์ไม่ได้ แต่…”
“มันไม่มีทางรู้หรอกว่าการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ลจะกลายเป็นแบบไหนสินะ”
“ถูกต้อง”
มานาถอนหายใจ เรื่องการต่อสู้มันเป็นข้อมุลที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงเริ่มใหม่และถามเรื่องของประตู “พวกเราซ่อมประตูไม่ได้เหรอ? มันพังขนาดไหนกันแน่?”
“ถูกทำลายทางกายภาพ ชิ้นส่วนบางชิ้นเองก็ถูกเอาไปด้วย”
“ชิ้นส่วน? หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“จริงๆแล้วราเรโกะพยายามจะซ่อมประตู เวทมนตร์ของเธอที่สามารถซ่อมสิ่งที่พังไปแล้วได้มีประโยชน์มากในสถานการณ์แบบนี้ แต่เธอบอกว่าตัวเองไม่สามารถซ่อมประตูได้เพราะชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานมันหายไป เวทมนตร์ของเธอไม่สามารถสร้างอุปกรณ์ขึ้นมาจากจุดที่ไม่มีอะไรได้”
“ถ้าหากคนร้ายอยากได้ชิ้นส่วน…? ไม่สิ ไม่มีทาง ไม่มีคนร้ายคนไหนที่พยายามตัดทางหนีของตัวเองแน่ นี่หมายความว่าบางคนรู้เรื่องเวทมนตร์ของราเรโกะแล้วก็ทำลายมันทิ้งเพื่อให้ไม่สามารถซ่อมได้?”
“หรือราเรโกะนั่นแหละที่ทำซะเอง”
“คนนอกทำเรื่องนี้รึเปล่า? หรือว่าเป็นหนึ่งในพวกเรา? คุณคิดยังไงล่ะ มิสมาร์เกอริต?”
“ถ้าเป็นหนึ่งในพวกเรา มันก็คงเป็นการทำอะไรที่แปลกน่าดู ทุกคนอยู่ที่นี่ตอนที่ไมยะถูกฆ่า ราเรโกะคือคนเดียวที่ออกไปยังประตูพร้อมกับไมยะ”
“แบบนั้นก็อาจจะเป็นบางคนที่พวกเราไม่รู้?”
“พวกเราเองก็มั่นใจไม่ได้ มันถูกเรียกว่าเวทมนตร์เพราะมันเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ”
มานาเผยอมุมปากขึ้น ปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ถึงการถอนหายใจของเธอ แต่มิสมาร์เกอริตเองก็หยุดพูด บางทีเธออาจจะรู้ก็ได้
คำถามที่ออกมาจากปากของมานาในตอนที่ถอนหายใจออกมาหมดแล้วก็คือ “แบบนั้นพวกเราก็พิสูจน์อะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
“เมื่อเป็นเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลไม่ก็จอมเวท มันก็ได้แต่ยอมรับและพูดว่า ‘อย่างนั้นเองเหรอ’ เธอเองก็ควรจะรู้เอาไว้นะ”
“อื้อ อื้อ รู้แล้วล่ะ รู้แล้ว” หลักจากหยุดครู่หนึ่ง มานาก็พูดต่อ “ให้ 7753 จัดการดีกว่า”
“ด้วยแว่นกันลมของเธอ? จะทำแบบเดียวกับก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?”
“แน่นอน พวกเราเปลี่ยนการตั้งค่าได้ สำหรับคนที่ฆ่าไมยะกับทำลายประตู แล้วก็…” ริมฝีปากของมานาหยุดนิ่ง สายตาของเธอมองไปที่จอมเวทชราที่กำลังมองมาที่พวกเธอ มานาขยับนิ้วภายในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนการไหลเวียนของอากาศกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้นี้ได้ยินเสียงของรากิแล้ว ชายแก่กำลังพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง
“..นั่น แบบนั้นพวกเราก็ควรให้ 7753 ใช้เวทมนตร์ของตัวเอง หากพวกเราจะสืบสวนเรื่องพวกนี้ ก่อนอื่นก็ต้องแน่ใจก่อนว่าในหมู่พวกเราไม่ได้มีใครวางแผนอะไรอยู่”
มานานึกได้ว่าชายแก่คือหัวหน้าของฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่เขารู้ว่าเวทมนตร์ของ 7753 คืออะไร มานาเลื่อนสายตามองไปยังคนอื่น ทุกคนกำลังมองมาที่พวกเธอ 7753 เองก็กำลังมองเธอด้วยท่าทางอ้อนวอนเช่นกัน มานาอยากจะถอนหายใจออก แต่เมื่อทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เธอ เธอจึงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้
☆ 7753
ไม่ว่าแว่นกันลมของ 7753 จะจำเป็นหรือไม่ มันก็ถูกใช้เพื่อตรวจสอบเรื่องแย่ๆมาโดยตลอด การพูดว่าเธอไม่มีโอกาสใช้มันในทางที่ดี เป็นมิตร และทุกคนก็เดินออกไปอย่างมีความสุขคือเรื่องที่ปกติ การตระหนักถึงความจริงข้อนี้มันทำให้ 7753 รู้สึกไม่ดีกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เธอไม่รู้สึกอะไรกับความจริงที่มีบางคนถูกฆ่าตายเช่นกัน มันแค่มีความรู้สึกแย่อยู่ตลอด
7753 แอบมองคนอื่นด้วยแว่นกันลมของเธอมาก่อน แต่ในเวลานี้ ทุกคนกำลังมองมาที่เธอ เธอจึงไม่สามารถแอบมองอะไรได้อีก และไม่ใช่แค่นั้น…
“เฮ้ ไม่ ไม่ ไม่” นาวี่แย้ง “ไม่ได้ นี่มันละเมิดความเป็นส่วนตัว”
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องฉุกเฉินหรือเหตุการณ์นองเลือดขึ้น มันก็จะมีบางคนที่ยกคำพูดสุดสะดวกอย่าง ละเมิดความเป็นส่วนตัว ออกมาอยู่ตลอด ต่อให้พวกเธอจะผ่านเรื่องนี้ไปได้และกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เขาก็อาจถูกสังคมลงทัณฑ์หากเรื่องชั่วที่ทำถูกเปิดโปงผ่านเวทมนตร์ของ 7753
นาวี่ยังคงพูดซ้ำๆว่า “แบบนั้นไม่ได้ ไม่ ไม่เกิดขึ้นแน่”
รากิพ่นลมหายใจออกมา ทำให้หนวดสีขาวขยับไปมาในตอนที่เอาปลายไม้เท้าชี้เข้าไปที่นาวี่ “เพราะแกมันเลวไง ไม่เห็นจะต้องสงสัยเลย ยอมรับซะว่าเรื่องเลวๆของตัวเองที่จะถูกเปิดโปงถัดจากนี้มันทำอะไรไม่ได้แล้วก็พอ ถ้ายอมจำนนแล้วมอบตัวซะ โทษมันก็ได้จะเบาลง”
“เดี๋ยวก่อนสิ ตาแก่” นาวี่ตะโกนกลับ “ชั้นแค่คิดว่ามันจะเป็นแค่เรื่องของชั้น แต่มันก็พูดไม่ได้นี่หว่าว่าจะไม่สร้างปัญหาให้ทั้งฝ่าย ชั้นพูดได้ว่า ‘ตัวเองแค่ทำตามคำสั่ง มาสเตอร์โอสบอกให้ชั้นทำ’ — ชั้นไม่รู้ว่าตัวเองจะไปเจอเข้ากับฝ่ายอื่นรึเปล่า แล้วชั้นก็ไม่ได้คิดจะให้เป็นแบบนั้นด้วย”
ใบหน้าของรากิกลายเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มเหวี่ยงไม้เท้าของตัวเองแต่ก็หยุดลงเพราะแคลนเทลจับตัวเขาเอาไว้ แต่ถึงจะถูกแคลนเทลจับเอา รากิก็ยังคงเหวี่ยงไม้เท้าไปรอบๆอยู่ดี “แกพูดเหมือนว่ามาสเตอร์โอสเป็นหัวหน้าแก็งค์อาชญากรได้ยังไง! ไอ้ขยะเอ๊ย! ไม่มีความเคารพมั่งเลยรึไง! ใช่แล้ว —เพราะแกมันสวะ! ไอ้ขยะอย่างแกกล้าดียังไงถึงทำให้ชื่อของมาสเตอร์โอสแปดเปื้อนกัน!”
“นั่นเกินไปแล้วนา ชั้นก็เป็นแค่สมาชิกของฝ่ายคนนึงที่พูดชื่อหัวหน้าออกมาเอง”
“งั้นก็ออกจากฝ่ายซะ! เพราะความน่าสังเวชของแกนี่แหละที่ทำให้เกียรติของมาสเตอร์โอสเสื่อมเสีย!!”
มานาก้าวมาข้างหน้า เหมือนว่า 7753 จะไม่ใช่คนเดียวที่กังวลว่าห่างปล่อยให้ทั้งสองคนเป็นแบบนี้ต่อไปมันก็จะไม่มีวันจบ —เชพเพิร์ดพายดูโล่งอกเล็กน้อย ท่าทีของอากิก็ดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
“7753 เธอเปลี่ยนการตั้งค่าให้แว่นกันลมแสดงผลไอเท็มต่างกันได้ใช่ไหม?” มานาถาม
เหมือนว่า 7753 จะรู้สึกลนลานเมื่อเป้าการสนทนาหันมาที่เธอ แต่เธอก็พยักหน้า “อื้อ ได้สิ ได้ ใช่แล้ว ฉันมองทุกอย่างในคราวเดียวไม่ได้หรอก”
“เธอพูดแบบนั้นน่ะ ดังนั้นก็ตั้งค่าให้แสดงผลแค่เรื่องคนที่ฆ่าไมยะกับทำลายประตูได้รึเปล่า?”
นาวี่ที่ก้มหน้าส่งเสียงครางออกมาด้วยท่าทางลำบากใจ อากิยกมือขึ้นและพูดว่า “ถ้าแบบนั้นมันได้ผล ฉันก็จะยอมให้เธอดูนะ” แล้วเชพเพิร์ดพายก็พยักหน้าอีกครั้ง
เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่คัดค้าน สุดท้ายนาวี่ก็พยักหน้าออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ถ้าทั้งหมดมีแค่นั้น งั้นก็ได้ คงยุ่งยากน่าดูถ้าทุกคนสงสัยชั้นขึ้นมา” เขาพูดเสริมออกมาเหมือนกับแก้ตัว
7753 ตั้งค่าแว่นกันลมของเธอและให้ทุกคนเห็นว่าเธอทำอะไรอยู่ เธอเอาแว่นกันลมให้นาวี่ดูว่าเธอจะมองอะไรอย่างอื่นไม่เห็นนอกจากสิ่งที่ตั้งค่าเอาไว้ จากนั้นก็ให้เขาใช้มองมายังมานาและ 7753
“ก็นะ แบบนี้คงไม่เป็นอะไร” นาวี่พูด
การสืบสวนเพื่อหาตัวคนที่ทำลายประตูหรือใครก็ตามที่เป็นคนที่ฆ่าไมยะ แต่ละครั้งเธอก็เปลี่ยนการตั้งค่า และจะให้ทุกคนตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง และผลมันก็คือ : ไม่มีใครเลย 7753 หายใจเข้าลึกๆแล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แม้ว่าความรู้สึกหมู่ของพวกเธอจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่พวกเธอก็เริ่มคุยกันด้วยบรรยากาศที่ดีกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย พวกเธอไม่ได้ดูผ่อนคลายหรือใจเย็น มันมีใครบางคนที่ลอบเข้ามาในเกาะนี้ คนที่ฆ่าไมยะและทำลายประตูอยู่
“ไม่สิ เดี๋ยวก่อน” ดรีมมี่✰เชลซียกมือขึ้น “ยังไม่ได้ตรวจดูทุกคนเลยนี่นา?”
“หือ? ยังเหรอ?” 7753 นับพร้อมกับลดนิ้วของตัวเอง นาวี่กับคลาริสซ่า รากิกับแคลนเทล โทตะกับมิสมาร์เกอริต โยลกับราเรโกะ อากิ เร็นเร็น แล้วก็เนฟิเรีย เชพเพิร์ดพายกับเชลซี
“เด็กสาวแกะไม่ได้อยู่ที่นี่” มานาที่ยืนอยู่ข้างๆพูดเสริม
“อ๊ะ พอพูดแล้วก็ใช่” 7753 นึกถึงเหตุการณ์ที่นาวี่ถูกฝูงแกะกลืนเข้าไป เธอมองเห็นแต่ภาพของแกะที่พุ่งเข้ามาจนลืมไปแล้วว่ามันเกิดขึ้นเพราะเมจิคัลเกิร์ล
เชลซีพูดว่า “หึ หึ!” ออกมาเสียงดังพร้อมกับชี้เข้าไปที่หัวใจของตัวเอง “เชลซีจะโกรธนะถ้าเธอลืมเมเม”
“อ่าาา ไม่สิ ขอโทษนะ” 7753 ขอโทษ “ไม่ได้จะลืมหรอก… ว่าแต่เธออยู่ที่อาคารหลักเหรอ?”
“อื้อ คุณพายบอกให้เธอไปทำความสะอาดห้องครัวน่ะ”
เชพเพิร์ดพายพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ชั้นคิดว่าบอกเธอเหมือนกันนะ” แต่ดรีมมี่✰เชลซีพูดขัดหัวหน้าตัวเองก่อนที่เขาจะพูดจบ
“เมเมไม่ใช่เด็กไม่ดีหรอก ดังนั้นเธอคงไม่ได้ฆ่าใครหรือทำอะไรพังแน่!” เธอพูดออกมาอย่างมั่นใจพร้อมกับเอามือแตะไว้ที่เอว จากนั้นเธอก็พูดต่อ “เพราะไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่เป็นเด็กไม่ดีไงล่ะ”
“คิดว่าคนที่ใช้แกะนั่นเป็นคนร้ายรึเปล่า?” 7753 ซุบซิบกับมานาที่อยู่ข้างๆ “เธอดูไม่เหมือนคนที่จะเป็นแบบนั้นเลย”
“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฉากหน้าหรอก… มิสมาร์เกอริต คิดว่าพาสเทล เมรี่จะฆ่าไมยะได้ไหม?”
มิสมาร์เกอริตเอียงหัวไปทางขวา จากนั้นก็ทางซ้าย แล้วก็กลับมาที่ตำแหน่งเดิม ท่าทางเรียบเฉยบนใบหน้ามันดูน่าตลกแบบเกินจริงไปหน่อย “เด็กคนนั้นแค่การวิ่งธรรมดาก็เสียสมดุลย์แล้ว ชั้นไม่คิดว่าเธอจะจัดการไมยะด้วยการใช้ศิลปะการต่อสู้ได้หรอก”
“แล้วเวทมนตร์ล่ะ?”
“หากเธอสั่งการแกะของตัวเอง บางที… เธอก็สามารถฆ่าใครซักคนที่อยู่ห่างออกไปได้ แต่ไมยะคงไม่โดนแกะฆ่าตายหรอก”
“ดูไม่เหมือนว่าเธอจัดการแกะของตัวเองได้ดีด้วย” 7753 พูด
“แล้วถ้านั่นเป็นการแสดงเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ล่ะ…?” มานาพูด
มิสมาร์เกอริตก้มหน้าลงเล็กน้อยซึ่งมันอาจเป็นการพยักหน้าหรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ “แม้จะดูเหมือนไม่ใช่ แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
มานาและมิสมาร์เกอริตมองมาที่ 7753 ในเวลาเดียวกัน เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนจากท่าทางของทั้งสองคน แต่เธอก็พยักหน้า “งั้นฉันจะไปตรวจคนที่ใช้แกะ… เมรี่นะ”
มานาหันไปพูดกับเชพเพิร์ดพาย จากนั้นเขาก็สั่งให้เชลซีไปเรียกเธอมา เชลซีก็ยังบ่นออกมาว่า “เมเมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” แต่เธอก็กลับเข้าไปในอาคารหลัก
การได้รู้ว่าคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการทำลายประตู เช่นเดียวกันกับฆาตกรที่ฆ่าไมยะไม่ได้อยู่ในหมู่ของพวกเธอได้ทำให้อุปสรรคในการร่วมมือกันหายไปแล้ว —เช่นเดียวกับความสงสัย
มานาเอานิ้วชี้และนิ้วโป้งของมือขวามาแตะที่คาง ดูเหมือนเธอกำลังใช้ความคิดอยู่ “หากพวกเราร่วมมือกัน แบบนั้นพวกเราก็ต้องทำให้รอบคอบ…”
“อื้อ คงแบบนั้นแหละ” 7753 เห็นด้วย
“พวกเราต้องร่วมมือกันต้านภัยจากภายนอก ไม่งั้นได้มีคนตายมากกว่านี้แน่”
“พวกเราไม่มีใครอยากให้มีมากกว่านั้นหรอก”
มานามองขึ้นมา 7753 จึงมองขึ้นไปด้วยเช่นกัน ท้องฟ้ามันเป็นสีแดง ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เมจิคัลเกิร์ลสามารถมองเห็นได้ในความมืด แต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าสิ่งที่พวกเธอต้องรับมือด้วยคือเมจิคัลเกิร์ลหรืออะไรก็ตาม มันก็คิดได้ว่าเรื่องต่างๆจะกลายเป็นอันตรายมากขึ้น มานากำลังจะพูดต่อในตอนที่อากิยกมือขึ้น
“นี่?” เมื่อไม่เห็นว่ามีใครห้าม อากิก็พูดต่อ “เนฟี่ของฉันบอกว่าเธอสามารถได้ยินเสียงของคนตายได้ หากพวกเราได้ยินเสียงของไมยะ บางทีอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้นะ”
เหมือนว่าหลังจากนั้นเนฟิเรียจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ 7753 ไม่ได้ยิน เนฟิเรียดึงแขนเสื้อของอากิ ริมฝีปากของเธอห้อยลงมาพร้อมกับส่ายหน้า คลาริสซ่าเห็นแบบนั้นแล้วจึงพูดว่า “แต่ ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากทำนี่?”
“เนฟี่เกลียดการใช้เวทมนตร์ของตัวเอง” อากิอธิบาย “เธอไม่อยากจะสัมผัสร่างคนตาย แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดแบบนั้น ฉันคิดว่าพวกเราควรต้องให้เธอทำ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบก็ตาม”
เนฟิเรียพยักหน้าหลายครั้งและพูดอะไรบางอย่าง แต่มันเบามากจน 7753 ไม่ได้ยิน
มานาลดเสียงตามไปด้วยราวกับถูกกระตุ้น “เสียงของคนตาย? หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“อย่างที่พูดเลย” อากิพูด “มันคือเวทมนตร์ของเนฟี่ เธอสามารถได้ยินเสียงของคนตายได้”
หัวใจของ 7753 แทบตะหลุดออกมาจากร่าง —หรือเธอรู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้น คำพูดที่บอกว่า “เสียงของคนตาย” เข้ามาภายในหูของเธอ ก่อนที่หัวของเธอจะซึมซับคำพูด เธอก็เอาแขนมากอดตัวเอง หากคนตายพูดได้ แบบนั้นพวกเธอจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายล่ะ? พวกเธออยากจะพูดอะไรกัน? เรื่องนี้มันไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่เรื่องของความเสียใจเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ภายในตัวและไม่ยอมหายไป
มานาที่ดูหงุดหงิดและไม่พอใจปิดปากเงียบ มิสมาร์เกอริตก้าวออกมาจากด้านข้างเพื่อยืนอยู่ข้างมานาและเอนตัวเข้าหาอากิ “หมายถึงการสื่อสารกับวิญญาณงั้นเหรอ?”
“ไม่ เธอบอกว่าเธอไม่ได้ถามคำถามกับผีหรืออะไรแบบนั้น” อากิบอกเธอ
“ฟังดูน่าสังสัย” รากิพูดออกมาเบาๆ แต่อากิก็แค่เหลือมองไปที่เขาอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็หันกลับมาที่มิสมาร์เกอริต “เอ่อ ก็ ด้วยการ… สัมผัสร่างคนตายใช่ไหม? เธอจะได้ยินเสียงของคนที่ตายพูด โดยรวมแล้วก็เหมือนกับ เธอแค่เล่นสียงที่บันทึกเอาไว้น่ะ”
7753 ถอนหายใจออกมา เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังกลั้นหายใจเอาไว้ เธอหันไปหามานาเพราะสงสัยว่าเธอคิดเรื่องนี้ยังไง และก็เห็นว่ามานากำลังกัดริมฝีปากด้านล่างอยู่ ท่าทางของมานาดูเคร่งเครียดกว่าก่อนหน้าที่จะฟังซะอีก
นาวี่เกาศีรษะและพูดตัดขึ้นมา “แบบนั้นเธอก็ถามอะไรกับคนตายไม่ได้ และคนตายก็ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้ ทำได้แค่เล่นเสียงที่คนตายพูดออกมาเท่านั้นเหรอ?”
“ใช่ แบบนั้นแหละ” อากิตอบ
“บางทีนี่อาจจะฟังดูแย่นะ แต่มันอาจจะไม่ได้ผลด้วยใช่ไหม? เพราะเธออาจจะพูดอะไรอย่าง อ๊ากกก ไม่ก็ ว๊ากกก ออกมา และคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร”
เนฟิเรียที่ก้มหน้าอยู่พูดอะไรบางอย่างออกมา และอากิที่เอาหูเข้าไปใกล้ๆก็พยักหน้าพร้อมส่งเสียง “หืม หืมมม” จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “เธอบอกว่าถ้าสัมผัสร่างนานขึ้น เธอก็จะสามารถได้ยินเสียงที่พูดก่อนหน้าด้วย”
นาวี่ทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมส่งเสียงครางออกมา —7753 รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเห็นเขาทำหน้าแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว— เมื่อเห็นแบบนั้น อากิก็หลับตาลงหนึ่งข้าง “แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ? ในการที่เนฟิเรียจะใช้เวทมนตร์ เธอจำเป็นต้อง เอ่อ มีร่างของไมยะ” ท่าทีลังเลเล็กน้อยนั้นอาจจะเพราะกังวลเรื่องของโยล คนที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยและกำลังสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของราเรโกะ
มิสมาร์เกอริตตอบสนองออกมาทันที “มันอันตรายเกินไป”
“ฉันรู้ แน่นอนว่ามันอันตราย ฉันไม่ปล่อยให้เนฟี่ไปคนเดียวอยู่แล้วล่ะ” อากิพูด
มานาเอียงหัว “แล้วพวกเราจะไปยังจุดที่ไมยะอยู่ด้วยกัน?”
รากิใช้ไม้เท้าทิ่มลงไปที่พื้น “ถ้าไม่มีคนคอยระวังอยู่ที่นี่ก็เป็นความคิดที่ไม่ดี หากปล่อยให้เทอร์มินัลถูกทำลายด้วยมือคนชั่ว แบบนั้นหายนะแน่”
“แบบนั้นก็ส่งคนไปซักจำนวนนึง?” มานาแนะ
“ตะ-แต่ —ฟังนะ” เชพเพิร์ดพายพูดติดๆขัดๆ “การแยกกันออกจะไม่ อะ-อันตรายกว่าเดิมเหรอ?”
“ถ้าพวกเรารีบลงมือ… เวทมนตร์ของเนฟิเรียนี่ใช่เวลานานรึเปล่า?” มานาถามอากิ
“เธอบอกว่าไม่นานน่ะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ มันคุ้มเหรอที่จะทำทุกอย่างเพื่อฟังเสียงของไมยะน่ะ?” นาวี่บ่น
“พวกเราไม่รู้จนกว่าจะได้ยินนั่นแหละ หยุดค้านพวกเราทุกเรื่องทุกเรื่องได้แล้ว” อากิตอกกลับ
“ชั้นแค่พูดถึงเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลเองนะ”
แม้ว่าพวกเธอจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อ สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็ตัดสินใจให้เนฟิเรียและเมจิคัลเกิร์ลอีกไม่กี่คนไปยังสถานที่ที่ไมยะอยู่ เห็นพ้องต้องกันว่าหากเกิดอะไรขึ้นก็ให้รีบกลับมา เนฟิเรีย มิสมาร์เกอริต เท็ปเซเคเมย์ และคลาริสซ่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ออกไป ในขณะที่ 7753 จะอยู่ด้านหลังกับคนที่เหลือ ภาวนาออกมาจากในหัวใจว่า ขอให้เรื่องราวต่างๆดีขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
☆ โทตะ มากาโอกะ
บางทีเขารู้สึกมันเหมือนกับไม่ใช่เรื่องจริง ไมยะที่ก่อนหน้านี้ยังคงสบายดี แต่ในตอนนี้ทุกคนบอกว่าเธอโดนฆ่าตายไปแล้ว ประตูเองก็ถูกทำลายไปด้วย เพราะแบบนั้นทุกคนจึงกลับไปไม่ได้ แน่นอนว่าโทตะรู้สึกกลัว รู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง การปลอบโยนคนอื่นทำให้หันเหความสนใจออกไปได้บ้างเล็กน้อย แต่ในตอนนี้จิตใจของเขากำลังสับสน เรื่องราวอย่างการฆาตกรรมและประตูที่ถูกทำลายมันช่างดูห่างไกลจากความเป็นจริง —แม้จะเป็นเกาะทางใต้อันแสนอบอุ่น มีแสงอาทิตย์คอยส่องสว่าง เป็นที่ที่ดูเหมือนจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ตาม
ภายในหัวและจิตใจของเขากำลังสับสน แต่ความรู้สึกประหลาดใจในเรื่องนี้ก็มากพอที่พัดพาเอาเรื่องอื่นออกไป เขาได้ยินว่าเวทมนตร์ของเมจิคัลเกิร์ลเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ แถมการได้เห็นพวกเธอใช้มันจริงๆก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจและคิดว่า เคยเห็นอะไรแบบนี้ในอนิเมด้วย! เมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อ 7753 ดึงเอาแว่นกันลมเวทมนตร์ออกมาแล้วบอกว่าหากเธอมองผ่านเจ้านี่ก็ไม่มีใครที่สามารถปิดบังอะไรได้
ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่บางคนไม่อยากให้ความร่วมมือ ในขณะที่เสียงของคนอื่นก็ฟังดูโกรธเกรี้ยว 7753 ดูอึดอัดและลนลาน —เหมือนกับมีช่วงเวลาที่แย่ๆแบบนั้น
การได้เห็น 7753 คนที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ก้มหัวไปรอบๆให้กับทุกคนทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมารู้สึกอะไรแบบนั้น โยลยังคงร้องไห้ เธอบอกว่าไมยะอยู่กับเธอมาด้วยกันตลอดแล้วก็มักจะเข้มงวดอยู่เสมอ —พวกเธออยู่ด้วยกันเสมือนกับเป็นครอบครัว สำหรับโทตะแล้วก็คงจะเป็นคุณยาย หากโทตะได้ยินว่าคุณยายตาย แน่นอนว่าเขาก็คงจะร้องไห้ เขาไม่ได้รู้จักไมยะมากพอเพราะเพิ่งจะพบหน้ากัน แต่การเห็นโยลร้องไห้มันก็ทำให้โทตะรู้สึกเศร้าไปด้วย แม้ว่าเธอเพิ่งจะยืนตัวตรงและพูดออกมาว่า “เผชิญหน้ากับเมต้าคือส่วนหนึ่งของแผนนะ” แต่ในตอนนี้เธอกำลังขดตัวอยู่
นี่คือเหตุผลว่าทำไมโทตะถึงอยู่ข้างเธอ มิสมาร์เกอริตบอกเขาว่าคอยให้กำลังใจเธอด้วย แต่โทตะก็เข้าใจได้โดยที่ไม่ต้องบอก
เมื่อเขามองไปที่โยล เขาก็คิดว่า อยากจะปลอบโยนเธอแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร อยากจะปกป้องเธอแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้ และเพราะว่าเขาไม่รู้ก็เลยได้แต่ลูบแผ่นหลังของเธอ เขาเองก็คิดว่ามันคงจะดีกว่านี้หากเขาสามารถจัดการอะไรบางอย่างได้
7753 ขอโทษและคนอื่นๆก็รู้สึกโกรธ แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องราวมันก็กลายเป็นว่าทุกคนตัดสินใจที่จะร่วมมือกันแทนที่จะรู้สึกกลัว หากเรื่องราวแบบนี้อยู่ในมังงะสืบสวน มันก็จะเป็นอะไรอย่าง “คนร้ายอยู่ในหมู่พวกเรา!” แต่แว่นกันลมของ 7753 ไม่ได้ทำให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น พวกเธอสามารถร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ฝ่ามันไปได้ โทตะคิดว่า เมจิคัลเกิร์ลนี่ยอดเลย
พวกผู้ใหญ่กำลังคุยกัน และพูดอะไรอย่าง “ทำแบบนี้” ไม่ก็ “ทำแบบนั้น” พวกเขาตัดสินใจกันก่อน ให้เนฟิเรียใช้เวทมนตร์ของตัวเองที่ทำให้ได้ยินเสียงของคนตาย มิสมาร์เกอริตดูจริงจังในตอนที่พูดกับเขา “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ให้พึ่งพาผู้ใหญ่นะ แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็จับมือโยลแล้วก็วิ่งหนีไปด้วยกัน” โทตะพยักหน้ารับพร้อมกับท่าทางจริงจัง มิสมาร์เกอริตยังบอกเขาอีกเรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วลำบากใจ “จงทำตัวหน้าไม่อายเหมือนกับเดธ เพรเยอร์… เหมือนกับน้า มีสายเลือดเดียวกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” แต่โทตะเองก็พยักหน้ารับ ใบหน้าของมิสมาร์เกอริตยังคงเรียบเฉยในตอนที่โทตะมองกลับไปครั้งหนึ่ง และเมื่อเขามองไปที่ด้านหน้าอีกครั้ง เธอก็ออกไปพร้อมกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นเรียบร้อยแล้ว
โทตะหยุดตัวนิ่งและปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นซึมซับเข้ามา จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมจะไปตรงนั้นเดี๋ยวนึงนะฮะ” แล้วก็ออกห่างจากโยลและราเรโกะไป เขาเข้าไปหา 7753 คนที่อยู่ด้านหลังมานา “เอ่อ ขอคุยด้วยนิดนึงได้ไหมฮะ?”
“หือ?” 7753 ดึงเอาแว่นกันลมเวทมนตร์ขึ้นไปบนบนหมวกโรงเรียน เธอไม่ได้มองดูทุกอย่างผ่านแว่นกันลม ตลอดเวลา
“ช่วยตรวจดูผม… หน่อยได้ไหมฮะ?”
“ฉันทำแล้วล่ะ ไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ไม่ฮะ ผมหมายถึงเรื่องศักยภาพสำหรับเวทมนตร์”
คิ้วของ 7753 ขยับขึ้นลงเป็นรูปตัว V เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกแปลกใจ เธอมองไปที่มานา คนที่กำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่คนอื่น รูปร่างของมานานั้นดูเหมือนกับเด็ก แต่วิธีการที่เธอพูดมันมีบรรยากาศของความเป็นผู้ใหญ่อยู่ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นจอมเวท
“เอาล่ะ งั้นก็มาดูกัน” 7753 เอาแว่นกันลมลงมาที่โทตะ
โทตะยืนอยู่อย่างตั้งใจและมองกลับไปที่เธอพร้อมกับนิ้วที่แนบอยุ่ข้างลำตัว
“เอ่อ… ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีนะ” 7753 บอกเขา
เขารู้สึกผิดหวังที่ได้ยินแบบนั้น เหมือบกับโดนซ้ำเติมที่ตัวเองที่ไม่ได้คิดถึงความหมายของคำว่า “ยังไม่มี” ที่หมายถึงมันอาจเติบโตขึ้นในอนาคตได้
“แล้วศักยภาพในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลล่ะฮะ?” เขาถาม
“หือ?”
“ผมได้ยินว่าศักยภาพในการเป็นจอมเวทกับศักยภาพในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันต่างกันนิดหน่อย เอ่อ ผมถูกบอกมาด้วยว่าผู้ชายก็มีโอกาสเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้”
7753 ลดแว่นกันลมลง จากนั้นก็ยกขึ้นอีกครั้งเร็วกว่าก่อนหน้า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะ”
“…ดูดีแล้วเหรอฮะ?”
“อื้อ… อ๊ะ คงไม่มั่นใจเพราะฉันทำเร็วไปสินะ? ถ้าเป็นเรื่องของใครบางคนที่มีศักยภาพในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า ฉันตรวจดูมาเยอะแล้วล่ะ เพราะแบบนั้นถึงทำได้เร็ว”
โทตะรู้สึกผิดหวัง เขาโค้งตัวพร้อมพูดว่า “ขอบคุณฮะ” จากนั้นเมื่อเขากลับไปหาราเรโกะกับโยล โยลก็หยุดร้องไห้แล้ว แต่เมื่อเขาเห็นว่าท่าทางของเธอดูเศร้า พอใบหน้าที่เศร้าและดวงตาของทั้งคู่ที่สบกัน เขาก็คิดว่า อ่าาา บางทีคงทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิมแล้วสิ ท่าทางของเธอบ่งบอกว่าเป็นแบบนั้น โทตะรู้สึกเสียใจที่ทิ้งเธอเอาไว้ “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร” โยลตอบ “ไปถามเรื่องอะไรเหรอ?”
“เอ่อ…” มันยากที่จะยอมรับได้ว่าเขามีศักยภาพที่จะเป็นจอมเวท โยลและคนอื่นๆต่างถูกยอมรับว่าเป็นจอมเวท แต่ความหวังของโทตะมันหนีห่างออกไป —อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างละอายใจ
“ผมไปถามว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่าน่ะ” สุดท้ายแล้วเขาก็บอกเธอ
“เมจิคัลเกิร์ล? ทำไมล่ะ?”
“ถ้าผมกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้…” มันน่าอายเกินไปที่จะพูดอะไรอย่าง “ผมก็จะปกป้องเธอได้” ออกมา เขาจะไม่พูดแบบนั้น ส่วนเหตุผลอื่นอย่างการที่เขาจะสามารถปลอบโยนหรือให้กำลังใจเธอนั้น มันก็ไม่ได้เช่นกัน เขาพูดอะไรแบบนั้นออกมาไม่ได้ มิสมาร์เกอริตบอกให้เขาทำตัวหน้าไม่อายเหมือนกับคุณน้า แต่บางทีมิสมาร์เกอริตก็ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น
“…ผมคิดว่าบางทีมันคงสะดวกและปลอดภัยกว่าน่ะ” โทตะตอบ
“มันยากที่จะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนะ รู้ไหม โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชาย”
“อื้อ แต่ผมได้ยินว่าบางครั้งมันเกิดขึ้นเหมือนกัน”
“ฉันเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้เหมือนกัน”
“เธอเองก็ด้วยเหรอ?”
“ถ้าถามแบบนั้น นายก็ให้พวกนั้นทดสอบนายก็ได้นะ มีคนเยอะแยะเลยที่จะจัดการเรื่องการให้ ไม่ว่านายจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ฉันเองก็ได้ยาบางอย่างมา แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…”
เมื่อเธอเริ่มพูดถึงเรื่องในอดีต โยลก็ดูร่าเริงกว่าตอนที่ร้องไห้ไม่หยุดเล็กน้อย เมื่อโทตะเงยหน้ามองขึ้นไป เขาก็เห็นราเรโกะที่ในตอนนี้เป็นคนที่กำลังน้ำตาคลอเบ้าอยู่
☆ ราเรโกะ
ไมยะตายแล้ว ซึ่งมันหมายความว่าชีวิตของราเรโกะจะเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่ในทางที่ดี เรื่องนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นอยู่แล้ว ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปในทางแย่ๆเสมอ หากเธอยืนร้องไห้เหมือนกับโยล มันก็จะไม่มีใครมาปลอบโยนเธอ และต่อให้เธอมีคนๆนั้น น้ำตามันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี ในตอนนี้ สิ่งที่เธอต้องทำก็คือมองไปยังเรื่องราวหลังจากที่ไมยะได้ตายไปแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ยากก็คือความคิดแย่ๆที่จะทำอะไรแบบโจ่งแจ้งเกินไป หากเธอไม่ได้ยืนอยู่ข้างโยลพร้อมทำหน้าเศร้าหรืออะไรแบบนั้น ผู้คนก็จะคิดว่าเธอเป็นคนเนรคุณที่ไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าต่อความตายของอาจารย์ตัวเอง บางทีราเรโกะอาจจะไม่ได้รู้สึกเศร้าจริงๆ แต่มันก็เป็นความผิดของไมยะ ด้วยวิธีการที่ไมยะจัดการเรื่องต่างๆ ราเรโกะคิดว่าตัวเองไม่เคยติดหนี้อีกฝ่ายแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถึงราเรโกะจะพูดแย้งไป มันก็ไม่มีใครที่ฟังเธออยู่ดี
ดังนั้นการแสร้งว่าเสียใจเรื่องความตายกับคนที่สั่งสอนจึงมีประโยชน์กว่า การทำตัวเป็นคนเนรคุณไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ท่าทีที่เสียใจต่อความตายของไมยะมันไม่ได้ทำร้ายเธออยู่แล้ว
ราเรโกะยังคงคิดถึงเรื่องของตัวเอง สิ่งที่เธอควรทำในตอนนี้คือการคิด ปล่อยให้โยลและเจ้าโง่โทตะคุยเรื่องน่าเบื่อกันไป เธอจะได้คิดพิจารณาอะไรให้รอบคอบได้
ไมยะเคยเป็นอาจารย์และผู้สนับสนุนราเรโกะ แม้ว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ล ไมยะก็ทำตัวเหมือนกับเป็นจอมเวท เธอไม่ได้วิจารณ์อะไรเรื่องนั้น ไมยะเป็นผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในการรับใช้ตระกูลของโยล ไมยะถูกปฎิบัติเสมือนกับเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งมากเท่าที่จะเป็นได้
ด้วยตำแหน่งในครอบครัวที่สูงของไมยะมันยินยอมให้ทำอะไรที่เห็นแก่ตัว หากข้ารับใช้ธรรมดาพาพวกหนูสกปรกที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาและพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป ชั้นจะให้เธอเป็นลูกศิษย์ของชั้น” คนๆนั้นก็จะถูกไล่ออกไปในทันที
ราเรโกะถูกอนุญาตให้อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้นเพราะเธอคือลูกศิษย์ของไมยะ พอไมยะหายไปแล้ว เธอก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้เหมือนกับก่อนหน้านี้ บางทีเธอคงจะถูกไล่ออกมา ไมยะพาเธอเข้ามาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กที่แทบจะจำความอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้ มีชีวิตอยู่เพื่อการฝึกฝน ทำงานบ้าน แล้วก็คำขอต่างๆ แม้ว่าในตอนที่เธอจะออกมาที่ไหนซักที่ เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร
ราเรโกะเป็นเด็กกำพร้าโดยที่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ —ไม่มีพ่อแม่ เด็ก พี่ชาย พี่สาว ญาติ หรือคนรัก มันไม่มีบ้านให้เธอกลับไป เธอรู้ดีกว่าใครว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะใช้ชีวิตในฐานะเมจิคัลเกิร์ลได้ เธอไม่ได้เก่งกาจเหมือนกับไมยะในการใช้คฑาต่อสู้ เวทมนตร์ของเธอนั้นมีประโยชน์ แต่เธอกลับถูกห้ามให้ใช้มันอย่างอิสระ และเธอก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะคิดว่าควรจะใช้มันยังไงให้มีประโยชน์ด้วยเช่นกัน แม้ว่าในตอนนี้เธอจะพยายามใช้ชีวิตอยู่ด้วยเวทมนตร์ของตัวเอง เธอก็ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้มากขนาดไหน
ไมยะนั้นเข้มงวดอยู่เสมอ ท่าทางของเธอเป็นแบบนั้นตั้งแต่ที่เจอหน้ากันครั้งแรก ช่วงเวลาในตอนนั้นราเรโกะสามารถตายได้ง่ายๆได้ตลอดเวลา —เธอถูกโยนไปมาและถูกปฎิบัติด้วยอย่างโหดร้าย โยนไปตรงนั้นตรงนี้และให้ทำงานจนหลังขดหลังแข็ง— ใครๆอาจจะคิดว่าราเรโกะมองไมยะเป็นผู้มาโปรด แต่ราเรโกะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยในตอนที่ตัวเองถูกช่วยเหลือ
ไมยะควบคุมราเรโกะด้วยการตะโกน การทุบตี แล้วก็เตะ ขั้นตอนการให้การศึกษามันหลงยุคมากเกินไป —ประมาณสองไม่ก็สามชั่วอายุคนได้ ไมยะไม่เคยสงสัยเรื่องวิธีการเหล่านี้ เธอเชื่อว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีเพราะเธอเองก็โตมาด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเธอพูดมันออกมา แต่ราเรโกะคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น
ไมยะจะใช้คฑาเมื่อเป็นปัญหาเรื่องของการทำความสะอาดหรืองานครัว ซึ่งมันไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเรื่องศิลปะการต่อสู้เองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน ไมยะมีคฑาอยู่โดยตลอด ในขณะที่ราเรโกะเป็นคนที่ถูกคฑากระทำ ดังนั้นทั้งสองเริ่มต้นกันที่คนละจุด —แต่ไมยะก็ไม่ได้สนใจ เธอเอาวิธีการป่าเถื่อนมาใช้ “เธอทำได้อยู่แล้ว ก็แค่ขี้เกียจเท่านั้น”
ถ้าฝึกฝนมันก็จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ใช่ว่ามันจะได้ผลสำหรับทุกคน ราเรโกะไม่เคยก้าวข้ามไมยะแม้ว่าจะผ่านการฝึกฝนที่โหดร้ายตลอดเวลามาแล้ว —และต่อให้ใช้เวลาเป็นร้อยปีราเรโกะก็ไม่มีวันชนะ ทุกคนเข้าใจเรื่องนั้นแม้แต่ตัวของราเรโกะเองก็ด้วย แต่ไมยะคือคนเดียวที่ไม่เข้าใจ ดังนั้นราเรโกะจึงต้องใช้เวลาทุกวันไปกับการฝึกฝนที่ไม่รู้จบ
เธอรู้ว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ แต่การที่จะตายไปตอนไหนก็ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย ราเรโกะรู้เรื่ององค์กรของพวกเมจิคัลเกิร์ลที่บ้าคลั่ง ที่จะฝึกซ้อมจนแทบสิ้นชีวิต แต่พวกเธอทำแบบนั้นเพราะความชอบของตัวเอง พวกเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำมัน
ราเรโกะไม่ใช่คนที่มาจากยุคราวสามชั่วอายุคนในสมัยก่อน เธอมีชีวิตอยู่ที่นี่ในตอนนี้ การถูกทุบ ถูกเตะไม่ใช่เรื่องที่ไม่เป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว และการถูกทุบตีแต่ละครั้งมันก็ยิ่งทำให้ความไม่พอใจ ความโกรธของเธอเพิ่มมากยิ่งขึ้น มันเป็นเพราะว่าไมยะกังวลเรื่องที่คนอื่นคิด มันเป็นเพราะว่าไมยะกลายเป็นคนสองหน้า การพูดว่าเธอรอดมาได้เพราะทุกอย่างเป็นความผิดของไมยะก็ไม่แปลกนัก
ความโกรธพวกนี้ไม่แสดงออกมาให้ภายนอกเห็น —มันเป็นสิ่งที่เธอไม่กล้าแสดงออกมา— การที่เก็บเอาไว้ก็ได้แต่สร้างความเครียด แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่ความโกรธทำให้เธอไม่ได้รู้สึกเศร้าจากการที่ไมยะตาย เธอคิดอย่างชัดเจนว่าต้องขอบคุณเรื่องนี้
เธอจัดลำดับความสำคัญขึ้นในใจ อย่างแรกคือชีวิตของเธอเอง เธอต้องมีชีวิตรอด ไม่งั้นทุกอย่างก็จะไม่มีความหมาย อย่างที่สองคือต้องออกจากเกาะนี้ไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่คือเรื่องสำคัญ ไมยะไม่ได้เป็นอาจารย์ที่เก่งหรือควรถูกยกย่องในฐานะบุคคล แต่เธอนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่ราเรโกะ —แต่มันก็หาเมจิคัลเกิร์ลที่จะมาเปรียบเทียบได้ยาก หากไมยะแพ้ มันก็หมายถึงคู่ต่อสู้เก่งผิดธรรมดา ราเรโกะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ด้วยทุกวิถีทางที่สามารถทำได้
มันไม่ใช่ว่าไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนเลยที่ดูแข็งแกร่ง โดยเฉพาะมิสมาร์เกอริตที่เป็นเพื่อนเก่าของไมยะ ราเรโกะได้ยินมาว่าทั้งสองคนปะทะเข้าหากันนับครั้งไม่ถ้วนในงานอีเวนท์ของโรงเรียนกวดวิชามาโอ เมจิคัลเกิร์ลที่เข้าร่วมงานอีเวนท์ของโรงเรียนกวดวิชามาโอนั้นไม่ใช่คนที่อ่อนแอ —ซึ่งนั่นหมายถึง มิสมาร์เกอริตคือคนที่แข็งแกร่ง ไมยะคงไม่ตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนของเมจิคัลเกิร์ลที่อ่อนแอ แต่เธอพูดกับมิสมาร์เกอริตด้วยความเคารพ ต่อให้เธอไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับไมยะ เธอก็คงอยู่ในระดับเดียวกันเป็นแน่
แม้ว่าการที่มิสมาร์เกอริตจะจัดการด้วยตัวเองจะเป็นไปไม่ได้ แต่เธอก็คงสามารถจัดการศัตรูได้หากมีกำลังเสริม แน่นอนว่าราเรโกะไม่ได้คิดจะไปเป็นกำลังเสริมให้ เธอจะรับบทเป็นเมจิคัลเกิร์ลผู้น่าสงสารที่ถูกบดขยี้ด้วยความตายของไมยะและภาวนาให้มิสมาร์เกอริตสามารถจัดการศัตรูได้ หากคนที่มีความสามารถระดับเธอไม่สามารถชนะได้ แบบนั้นราเรโกะก็จะยื้อเวลาไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง
คนที่ตายคือคนที่อ่อนแอ คนที่รอดคือคนที่แข็งแกร่ง มันเป็นสิ่งเดียวที่ไมยะสอนเธอแล้วเธอก็รู้สึกชอบ
ดวงตาของราเรโกะมองลงมาที่เด็กทั้งสองคน โทตะคงจะพูดอะไรบางอย่าง เพราะริมฝีปากของโยลเผยอขึ้นเล็กน้อย ด้วยการสันนิษฐานว่าเธอออกจากเกาะไปได้ในแบบที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไป เธอก็ต้องคิดถึงอนาคตหลังจากที่หนีออกไปได้แล้ว หากเธอสามารถประจบประแจงโยลได้ เธอก็อาจทำหน้าที่ของตัวเองต่อได้ แบบนั้นแล้วเธอควรจะทำอะไรให้โยลรู้สึกดีกันล่ะ? โยลไม่ได้คุ้นเคยกับการประจบสอพลอ ดังนั้นเธอควรจะลืมมันไปและหาทางรอดอื่นดีกว่ารึเปล่า?
ราเรโกะทิ้งตัวเองลงไปในห้วงแห่งความคิดอีกครั้งหนึ่ง
☆ มิสมาร์เกอริต
โชคดีที่ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ด้วยการนำทางของมิสมาร์เกอริต พวกเธอจึงมาถึงสถานที่ที่ไมยะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน ร่างของไมยะยังคงนอนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
การมองเธอครั้งที่สองก็ยังรู้สึกน่าเวทนาไม่ต่างกับครั้งแรก มิสมาร์เกอริตอยากจะหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่เธอก็ให้ตัวเองทำแบบนั้นไม่ได้ เธอจึงชำเลืองมองด้วยหางตาเพื่อดูว่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นเคลื่อนไหวกันยังไง เท็ปเซเคเมย์ยังคงลอยตัวอยู่บนฟ้า ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่ามิสมาร์เกอริตยังจำเป็นต้องจับตามองเธอ แต่คลาริสซ่านั้นเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว มิสมาร์เกอริตคิดว่าเธอมีประสบการณ์มากกว่าที่เห็นได้จากอายุของร่างมนุษย์ ส่วนเนฟิเรีย เธอค่อนข้างเคลื่อนไหวช้าเล็กน้อย แต่นั่นมันคือการเทียบกับคนอื่นที่อยู่ที่นี่ เธอก็เคลื่อนไหวได้เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของเมจิคัลเกิร์ล
ก่อนที่กลุ่มของพวกเธอจะมาที่นี่ มานาดูเหมือนว่าจะเป็นกังวลหลายๆเรื่อง มิสมาร์เกอริตพูดไม่ได้เช่นกันว่าความกังวลของเธอมันไม่มีความหมาย เพราะพวกเธอหวังพึ่งเวทมนตร์ของเนฟิเรียมากเกินไป โดยหวังว่ามันจะมีเบาะแสบางอย่างอยู่ มิสมาร์เกอริตคุกเข่าลงและภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กวักมือเรียกเนฟิเรีย เนฟิเรียถอยกลับไปครึ่งก้าวพร้อมดึงคางกลับ เธอดูเหมือนไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้เลย —ความจริงแล้วเธอไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ แถมยังพึมพำกับตัวเองอยู่ด้วย
มิสมาร์เกอริตเอนตัวเข้าไปใกล้ๆเพื่อฟังว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่ “หือ? …โหดร้าย…ไปนะ…ก็เลยไม่อยากแตะ…?”
คลาริสซ่าส่งเสียงโห่ออกมา มิสมาร์เกอริตเอามือขวาแตะไว้ที่เอวแล้วมองลงมาที่เนฟิเรีย เห็นได้ชัดว่าพวกเธอจะปล่อยให้เนฟิเรียกลับไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรไม่ได้
เนฟิเรียยังคงไม่อยากทำ แต่เธอก็คงสัมผัสได้ว่าตัวเองจะไม่ถูกอนุญาตให้กลับคำ ดังนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นแล้วก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอค่อยๆคุกเข่าลงไปอย่างสุภาพใกล้กับร่างคนตายและเอื้อมมือไปสัมผัสกับศีรษะของไมยะอย่างกล้าๆกลัวๆ —เธอดึงมือกลับมาครั้งหนึ่ง และเมื่อเธอยื่นมือออกไปอีกครั้ง มันก็ใช้เวลากว่าที่จะสัมผัสและลูบได้ เมื่อเนฟิเรียเริ่มทำการลูบ อารมณ์ด้านลบก็หายไปจากท่าทางของเนฟิเรีย เธอลูบศีรษะอย่างเร็วขึ้น ในตอนนี้เลือดมันหยุดไหลแล้ว แต่ที่พื้นก็ยังคงสกปรก เข่าของเนฟิเรียชุ่มไปด้วยเลือด แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร
มิสมาร์เกอริตมองดูเนฟิเรียแต่ก็ยังคงเพ่งความสนใจไปที่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นเช่นกัน แม้จะอยู่ต่อหน้าร่างของคนตาย เท็ปเซเคเมย์ก็ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของเนฟิเรีย เนื่องจากว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมทางของมานา ดังนั้นบางทีเธออาจจะไม่ใช่คนเลว แต่เป็นคนที่แปลกอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนคลาริสซ่าอาจเรียกได้ว่ากำลัง “รู้สึกไม่ดี” เพราะหูแมวของเธอลู่ลงเช่นเดียวกับท่าทางที่มองอย่างขยะแขยง ไม่ว่าการตอบสนองของเธอจะดีหรือไม่ก็ตาม มันก็ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย
จากนั้นเนฟิเรียก็ส่งเสียงร้องออกมา มันคือเสียงร้องของคนที่กำลังจะตาย มิสมาร์เกอริตเอามือจับที่ด้ามดาบโดยอัติโนมัติทันที แต่มันไม่ใช่เสียงร้องของเนฟิเรีย มันเป็นเสียงของไมยะ เท็ปเซเคเมย์หมุนตัวรอบหนึ่งในอากาศ คลาริสซ่าร้องออกมาอย่างประหลาดใจ เนฟิเรียไม่ได้สนใจการตอบสนองของคนอื่นและยังคงลูบต่อไป ท่าทางของเธอดูผิดปกติ ด้วยเสียงของไมยะที่ดังขึ้น มันเหมือนกับว่าเธอกำลังเรียกวิญญาณอยู่ไม่มีผิด แม้ว่ามิสมาร์เกอริตจะรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม
“เอาล่ะ ถ้าขัดขืน ชั้นก็จะไม่ปราณี” นั่นคือเสียงของไมยะ มันดังออกมาอย่างชัดเจน ไม่ใช่เสียงพึมพำของเนฟิเรียที่ยากจะเข้าใจ
“แกพูดอะไร? ไม่เห็นจะเข้าใจ”
เวลามันย้อนกลับไป
“แกเป็นใครกันแน่? แล้วมาทำอะไรบนเกาะแห่งนี้?”
มันยังคงย้อนกลับไป
“แก…”
เนฟิเรียหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของเธอกลับมาโฟกัสอีกครั้ง มิสมาร์เกอริตมีความรู้สึกว่าสีมันเข้มขึ้นเช่นกัน “หลังจากนี้…คุย…ราเรโกะ…”
“เธอหมายถึงหลังจากนี้คือบทสนทนากับราเรโกะ?”
เนฟิเรียพยักหน้า เหมือนว่าเธอกลับมาเป็นตัวเอง กลับมาเป็นเนฟิเรียที่มิสมาร์เกอริตรู้จักแล้ว —คนที่ดูง่วงนอน ไม่ได้ดูเหมือนถูกสิงอยู่อีกต่อไป
มิสมาร์เกอริตเล่น “คำพูดจากไมยะ” ที่เนฟิเรียพูดออกมาภายในใจ
ไมยะพูดว่า “แก…” เมื่อเธอได้เจอกับใครบางคน การคิดว่า “แกพูดอะไร? ไม่เห็นจะเข้าใจ” เป็นการตอบอะไรบางอย่างกับคนอื่นที่พูดออกมาก็ไม่แปลก และก่อนหน้านั้นเธอพูดว่า “แกเป็นใคร?” ซึ่งหมายถึงอีกฝ่ายเป็นคนที่ไมยะไม่รู้จักและมีแค่คนเดียว และจากการที่เธอถามคำถาม อีกฝ่ายคืออะไรบางอย่างหรือเป็นใครบางคนที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ดูเป็นใครบางคนที่ดูเหมือนว่าสามารถพูดคุยได้ และ… มิสมาร์เกอริตกำลังจะคิดต่อไปอีก แต่ก่อนที่เธอจะทำแบบนั้น มันก็มีเสียงมาจากด้านหลัง คลาริสซ่านั่นเอง
“ฉันก็เข้าใจนะว่าไม่อยากคิด แต่ว่า…” มิสมาร์เกอริตหันกลับเพื่อมองไปที่คลาริสซ่าพร้อมรอยยิ้มที่ดูแปลกและเอานิ้วโป้งแตะหลัง “กลับกันก่อนไหม? ยืนอยู่แถวนี้มันทั้งอันตรายแล้วก็ยังน่ากลัวด้วย แถมฉันก็ต้องอยู่ห่างจากหัวหน้าของตัวเองอีก”
มิสมาร์เกอริตไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเพราะคลาริสซ่านั้นพูดถูก
มิสมาร์เกอริตพยักหน้าพร้อมกับรู้สึกเสียใจที่จมอยู่ในความคิดของตัวเอง จากนั้นเธอก็ยื่นมือเข้าไปหาเนฟิเรียเพื่อช่วยยกตัวของเธอขึ้นมา เมจิคัลเกิร์ลสี่คนมุ่งหน้ากลับไปยังทางที่ตัวเองมา ในขณะที่ภายในใจของมิสมาร์เกอริตก็ขอโทษไมยะที่จำเป็นต้องใช้ร่างกายของเธอ
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
บรรยากาศที่อึดอัดได้หายไปแล้ว มันรู้สึกโล่งอกจริงๆ เร็นเร็นนั้นไม่เก่งเลยกับการรับมือความตึงเครียดแบบนี้ ประเภทที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลาหากมีการกระตุ้น แม้ว่าจะมีการโกหกอะไรกันบ้าง เธอก็อยากให้ทุกคนเข้ากันได้ดี เธอรู้บางคนคงไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นแค่ตัวเลือกของเธอเอง ใช่ว่าเธอจะไปบังคับมันใส่คนอื่นซะที่ไหน
การได้รู้ว่าคนร้ายไม่ได้อยู่ในหมู่ของพวกเธอมันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก และเธอก็เข้าใจจริงๆว่าเวทมนตร์ของ 7753 มันแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมขนาดไหน
อากิเองก็เริ่มพูดคุยอย่างร่าเริงได้บ้างแล้ว เธอคือคนที่เร็นเร็นรู้สึกเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ เร็นเร็นได้รับเงินมา การที่ถูกจ้างมากมาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแรงผลักดัน อากิบอกว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้สึกดีเรื่องครอบครัว และเร็นเร็นก็อยากให้ปล่อยเรื่องนั้นเป็นเรื่องในอดีตไป ตั้งแต่ที่มาที่นี่ สายตาของอากิก็คอยจับจ้องแผ่นหลังของจอมเวทคนอื่นอยู่ตลอด คอยจับจ้องชายเสื้อและแขนเสื้อ เร็นเร็นคิดว่า เหมือนกับอากิกำลังมองดูเสื้อคลุมอยู่เลย เสื้อคลุมของทุกคนต่างก็ดูสวยและตัดมาอย่างงดงาม ในขณะที่เสื้อคลุมของอากิมันดูเก่าและยังมีขุย เธอสวมมันด้วยท่าทางที่ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้นก็จริง แต่มันก็คงทำให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรมาคอยกวนใจ
เร็นเร็นคิดว่าการคิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย จากนี้ไปเธออยากให้อากิมีความสุขไปตลอด นั่นคือความปรารถนาของเร็นเร็น
อากิมองไปที่นาวี่อยู่บ่อยครั้ง เขาขยับหัวไปมาจนมีเสียงดังออกมาจากตรงคอในตอนที่มองไปยังทางที่คลาริสซ่าและคนอื่นออกไป เร็นเร็นคิดว่าเขาเองก็คงรู้สึกกังวล เร็นเร็นเองก็รู้สึกกังวลเรื่องเนฟิเรียเช่นกัน พวกเธอรู้ว่ามีใครบางคนที่น่ากลัวอยู่ข้างนอก แต่พวกเธอจะไปไหนไม่ได้เลยหากเนฟิเรียไม่ได้ออกไป —แม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักสู้ก็ตาม
ในตอนนี้โยลสามารถพูดได้แล้ว การที่ใครบางคนที่เป็นคนสำคัญกับตัวเองถูกฆ่าตาย แน่นอนว่าหัวใจของเธอคงรู้สึกเจ็บปวด แต่กระนั้น เรื่องที่สำคัญก็คือเธอหยุดร้องไห้และสามารถพูดออกมาได้แล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่ได้เป็นอะไร และสิ่งสำคัญที่สุดอย่างที่สองก็คือคนอื่นนั้นรู้สึกยังไง เร็นเร็นไม่ได้พูดคุยกับโยลมากนัก แต่แค่มองดูก็รู้สึกได้ว่าเธอนั้นน่ารักมากขนาดไหน รอยยิ้มมันย่อมเหมาะสมกับเด็กสาวที่น่ารักมากกว่าการร้องไห้ การได้เห็นรอยยิ้มน่ารักเช่นนั้นก็จะทำให้คนอื่นมีความสุขตามไปด้วย
ด้วยเวทมนตร์ของ 7753 พวกเธอจึงรู้ได้ว่าอย่างน้อยในหมู่ของพวกเธอก็ไม่มีคนร้ายปะปนอยู่ และมันก็ทำให้พวกเธอร่วมแรงร่วมกันกันต่อต้านศัตรูจากภายนอก นี่คือเรื่องที่สำคัญ อากิเองก็พูดข้อเสนอออกมาด้วย “มาทำให้อาคารหลักกลายเป็นฐานของพวกเราดีกว่า… พวกเรามาลองทำสัญญาเตือนภัยซักอย่างกันดีไหม?” ทุกคนเองก็กำลังระดมความคิดเข้าด้วยกัน
แต่ยังมีเมจิคัลเกิร์ลอีกหนึ่งคนที่พวกเธอยังไม่ได้ทำการตรวจสอบ
เร็นเร็นมองไปที่เชพเพิร์ดพาย เขาเป็นคนเดียวที่ดูหม่นหมอง แถมยังเอานิ้วเท้าของตัวเองกดลงไปที่พื้น ดูเหมือนเขาจะคิดว่าเชลซีใช้เวลานานเกินไป
มีเพียงพาสเทล เมรี่ คนที่สร้างแกะขึ้นมาและควบคุมด้วยการวาดภาพจากสีพาสเทลของตัวเองที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ดรีมมี่✰เชลซี คนที่ไปตามเองก็ยังไม่ได้กลับมาด้วย
จอมเวทคุยกันเรื่องการใช้เวทมนตร์มาป้องกัน ในขณะที่เมจิคัลเกิร์ลนั้นคุยกันเรื่องสับเปลี่ยนเวรยาม ในการที่จะออกไปจากเกาะแห่งนี้ ก่อนอื่นพวกเธอก็ต้องปกป้องตัวเอง พวกเธอตัดสินใจว่าจะซ่อมประตูและติดต่อออกไปยังภายนอกหลังจากที่ทำการเสริมการป้องกันเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่ พวกเธอก็ได้ยินเสียงไอออกมาอย่างรุนแรงแบบต่อเนื่องไม่หยุด แคลนเทลรีบเข้าไปหานายจ้างของตัวเอง ยื่นมือเข้าไปหาเพื่อช่วยให้เขานั่งลงบนขั้นบันได ดูเหมือนว่ารากิจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
เดิมทีรากิเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการป้องกันด้วยการใช้เวทมนตร์ และหากพวกเธอปล่อยเขาไปแบบนี้จนกระทั่งหมดสติไป เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก —ถ้าให้พูดแล้วนั่นมันก็จะเป็นปัญหาเชิงจริยธรรมด้วย เร็นเร็นคิดว่าทุกคนเองก็ควรจะทราบเช่นกัน
เชพเพิร์ดพายกลับเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อไปเอาผลไม้สีเทาที่เก็บเอาไว้ และในตอนที่เขากลับมา เชลซีก็อยู่กับเขาด้วย เขาดูตกตะลึงจนพูดไม่ออก ส่วนเชลซีก็ดูอึกอัก
เชลซีพึมพำว่า “เมรี่ไม่อยู่ เธอไม่อยู่ที่ไหนเลย”
เชพเพิร์ดพายส่งเสียงคราง “หายไปแล้ว ผลไม้สีเทาที่พวกเราเก็บเอาไว้หายไปแล้ว”
ท่าทางของเร็นเร็นดูตกใจ เธออ้าปากออกกว้างและมองกลับไปหาทั้งคู่
MANGA DISCUSSION