ตอนที่ 4:
เมจิคัลเกิร์ลในชุดธรรมดา
☆ จอห์น เชพเพิร์ดพาย
ในทุกยุคทุกสมัย จอมเวทนั้นมักจะไม่ให้ความสำคัญเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จนบางคนคิดว่าการสนุกสนานกับเรื่องเช่นนั้นมันคือบาป แถมหลายๆคนเองก็พูดจาไม่ดีอย่าง “ยึดติดกับการเอาสารอาหารเข้าร่างกายไปทำไม!” “ทั้งการทำอาหารทั้งการกินมันเสียเวลาเปล่า!” “เอาเวลาไปใช้เรียนกับทำวิจัยดีกว่า!” “มีแต้ไอ้พวกขี้เกียจเท่านั้นแหละที่เอาคำว่า ‘วัฒนธรรม’ มาเป็นข้ออ้างแล้วคิดว่ามันน่าเชื่อถือ” ออกมา น้อยคนนักที่จะเพลิดเพลินไปกับรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจอมเวทจะแสดงความสนใจออกมาหรือไม่ มันก็จะจบลงด้วยอะไรอย่าง “มาสร้างอาหารด้วยเวทมนตร์ดีกว่า ถ้าพวกเราจะทำล่ะก็มันคงออกมาดีแน่” แต่การสร้างอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาด้วยเวทมนตร์มันก็เทียบเท่ากับเป็นกระบวนการสร้างแบบอัติโนมัติ รสสัมผัสส่วนบุคคลคือสิ่งจำเป็นต่อการไปให้ถึงความสมดุลและปฎิวัตินวัตกรรม
ตัวเลือกของเชพเพิร์ดพายนั้นง่ายๆและตรงไปตรงมาอย่าง “ไม่มีอะไรเอาชนะอาหารอร่อยๆได้”
คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในใจของเชพเพิร์ดพาย จากนั้นไม่นานดวงตาของเขาที่เบิกกว้างก็หรี่ลงเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาผ่านผ้าม่าน
ใช่แล้ว มันไม่มีอะไรเอาชนะอาหารอร่อยๆได้เลย และในการที่จะได้มันมานั้น เขาก็ต้องลงมือทำ เขาจะอยู่บนเตียงไปตลอดไม่ได้ เชพเพิร์ดพายที่อยู่บนเตียงพยายามดันตัวขึ้นด้วยข้อศอก เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เขาคิดว่ามันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่ารอยฟกช้ำในตอนที่ร่วงลงมาจากพื้นด้านบนอีกแล้ว โชคดีที่กระดูกไม่ได้หัก บางทีนี่อาจไม่ได้เป็นอันตรายกับร่างกายแต่อันตรายกับตัวตนของเขาเอง
การที่เขาเจอประสบการณ์กระทบกระเทือนทางจิตใจคือเรื่องจริง แต่เขาจะนอนอยู่นอนอยู่บนเตียงไปตลอดไม่ได้ เขามีงานที่ต้องทำ จากนั้นเขาจึงดึงผ้าห่มออก
เชพเพิร์ดพายเตรียมการมาเพื่อวันนี้ การเตรียมการนั้นไม่ใช่งานยาก เขาไม่เคยใส่ความพยายามทั้งหมดลงไปในงาน การเรียน เวทมนตร์ ศิลปะ หรืออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่มีสิ่งเดียวที่เขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปซึ่งก็คือการทำอาหาร จากนั้นเขาก็ยกตัวเองขึ้นมา
เขาวิจัยสุดยอดวัตถุดิบทั้งหมดด้วยความละเอียดรอบคอบมากที่สุด นอกผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างผัก หมูและกระดูกหมู ไก่ฟ้าเขียว และปลา เขาก็ยังใช้เนื้อวัว กระดูกวัว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม บูแกการ์นี่* และส่วนผสมอื่นๆอีกหลายอย่าง ทุกอย่างมันล้วนดูน่าอร่อย และมันก็อร่อยเหมือนกับหน้าตาด้วย อาหารที่แท้จริงมัน
งดงามตั้งแต่ยังเป็นวัตถุดิบแล้ว
*สมุนไพรหลายชนิดที่มัดรวมกันเป็นช่อเพื่อใช้เป็นเครื่องเทศ
อ่าาา ช่างงดงามจริงๆ!
เฉือนแล้วก็หั่นเนื้อสัตว์ หักและบดกระดูก บางครั้งก็ทำอย่างเบามือ บางครั้งก็ใส่แรงลงไป เหมือนกับงานฝีมือ —ไม่สิ นี่คือศิลปะ— ที่ไม่สามารถทำได้ด้วยการใช้เวทมนตร์อย่างสะดวกสบาย เขาตั้งใจตักไขมันออกจากซุปให้แม่นยำที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำได้ ซุปเนื้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสีทองราวกับเป็นอำพันใสมันคือผลงานชิ้นเอก ซุปและซอส —บางคนอาจพูดว่ามันคือแก่นแท้ของอาหาร— ย่อมสร้างปัญหาในการปรุงเพราะความละเอียดอ่อนมันคงอยู่ได้ไม่นานในตู้เย็น แต่การเอามันมาใส่ในที่เก็บของที่นี่จะทำให้มันสดใหม่ไปได้ตลอดกาล เชพเพิร์ดพายใช้เวทมนตร์กับพื้นที่เฉพาะอย่างแม่นยำเพื่อแสวงหาจุดสุดยอดของอาหาร เป็นบางอย่างที่อยู่เหนือกว่าความก้าวหน้าของมือใหม่ เขาไม่ใช่แค่สร้างความบรรเทิงในฐานะผู้จัด แต่เขาจะทำให้แขกสนุกสนานในฐานะเชฟด้วย
ชั้นจะใช้เทคนิคที่เรียนรู้มาทั้งหมด…!
ความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เขาลุกขึ้นมาบนเตียง
เขาคิดเมนูเผื่อเอาไว้ในทุกสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
เขาเลี่ยงอาหารอะไรก็ตามที่มีมันเยิ้ม อาหารที่แข็งเกินสำหรับผู้สูงอายุ พร้อมกับมีอาหารที่เด็กๆชอบเช่นพุดดิ้ง ไอศครีม และขนมขนาดพอดีคำ นอกจากนี้แขกบางคนก็เป็นคนธรรมดา แทนที่จะจัดเป็นคอร์สอาหารตามมารยาท บางทีทางนั้นอาจอยากกินแบบบุฟเฟต์พร้อมกับคนอื่นๆแบบปกติมากกว่า เขาทำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ เลือกบรั่นดีแอปเปิ้ลชื่อดังมากกว่าใช้ไวน์โบราณราวกับอวดรู้ สำหรับเด็กแล้ว มันก็มีน้ำผลไม้สดๆอยู่มากมาย เขายังอยากให้ทุกคนมีชีวิตชีวาในการกินโดยที่เขาไม่ได้พยายามโอ้อวดหรือเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไป บุคลิกและรสนิยมชองเชฟมันจะแสดงออกมาในการเลือกอาหารเรียกน้ำย่อยเช่นกัน
ใช่แล้ว… ยังมีคนที่รอชั้น… ยังมีคนที่รออาหารของชั้นอยู่!
เชพเพิร์ดพายเอามือวางลงบนเข่าพร้อมกัดฟัน เขาฝืนตัวเองให้ลุกขึ้น
การไม่ทำเป็นอาหารค่ำหลายคอร์สตามมาตราฐานก็จะทำให้เมนูมีอิสระมากขึ้นเช่นกัน อาหารจานที่เชพเพิร์ดพายชื่นชอบมากที่สุดคืออาหารที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อของเขา เชพเพิร์ดพาย มันมากเกินไปสำหรับอาหารที่เป็นโฮมคุ๊กกิ้งที่จะเสิร์ฟให้กับจอมเวท แต่มันเหมาะมากสำหรับการทำเป็นบุฟเฟ่ต์ ต้องใช้มันบดจำนวนมาก จากนั้นก็เนื้อบด —โดยส่วนตัวแล้วเชพเพิร์ดพายชอบเนื้อแกะ แต่เขาจะระวังว่าไม่ควรคิดอะไรเกี่ยวกับเมรี่ในเรื่องนี้— เอปัวส์ชีส เนยหมัก เบคอนที่รมควันด้วยเศษไม้ซากุระ น้ำมันมะกอกเล็กน้อย และครีมที่เป็นส่วนผสมลับ
หึหึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!
แค่จินตนาการก็ทำเอาน้ำลายไหลไม่หยุด แน่นอนว่ามันอร่อยมาก เขาจะเดิมพันโชคทั้งหมดลงไปกับเรื่องนี้ เชพเพิร์ดพายมั่นใจมากในระดับนั้น ใครก็ตามที่ได้กินมันเข้าไปต้องยกย่องเยินยอเขา มันไม่ใช่ว่าเชพเพิร์ดพายรักหรือเคารพแขกของตัวเอง เขาไม่ได้ชื่นชอบชายหรือหญิงที่ทำงานหลังขดหลังแข็งเพื่อความพอใจ แต่เขาต้องการคำชมจากอีกฝ่าย เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเชพเพิร์ดพายมีความเชี่ยวชาญอันล้ำเลิศในด้านอาหาร เขาอยากได้เสียงปรบมือ เสียงเชียร์ คำยกยอ เสียงร้องในความทึ่งและตกใจอะไรเช่นนั้น
เขาโยนหมวกที่สวมไว้ในเวลานอนออก สวมเสื้อคลุมทับชุดนอน ฝืนลากขาของตัวเองขึ้นและลงไปยังประตู เมื่อเขาหมุนลูกบิดและเปิดประตูออก แสงมันก็สาดส่องเข้ามาด้านในจนทำให้มองไม่เห็น เชพเพิร์ดพายหรี่ตาพร้อมเอามือขวาขึ้นมาบังแสง ความงดงามของแสงจากดวงอาทิตย์ราวกับจะบ่งบอกถึงอนาคตอันงดงาม—
“…หือ?” เขาพูดออกมา
ไม่แปลกเลยที่แสงมันจ้ามากจนทำให้มองไม่เห็นเพราะมันไม่มีกำแพงอยู่ หรืออีกอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่มีกำแพงเลย มันยังคงอยู่ที่นี่ แต่มันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่แค่แสงอย่างเดียวที่ผ่านเข้ามาจากภายนอกผ่านทางร่องรอยการถูกทำลายที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกเศร้าใจ แต่ลมเองก็พัดเข้ามาเช่นกัน มันไม่ใช่แค่พื้นของชั้นหนึ่ง เพราะเมื่อมองขึ้นไปแล้ว —ชั้นสองและสาม แถมชั้นที่เหนือกว่านั้นเองก็หายไปจนหมด ตัวของเชพเพิร์ดพายโอนเอน เขาพยายามเอื้อมมือไปยังผนัง แต่ก่อนที่จะถึง เขาก็หยุดลง ซากปรักหักพังมันดูพร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อหากเข้าไปสัมผัส
เชพเพิร์ดพายปิดประตูด้านหลังอย่างเบามือ หัวใจของเขาอยู่ด้านตรงข้ามของคำว่าสงบนิ่ง แต่ถ้าเขาปล่อยให้ตัวเองปิดประตูตามความรู้สึก แรงกระแทกก็จะทำให้มันพังลงมา เขากวาดตามองจากขวาไปซ้าย แต่ในจุดนี้มันแทบไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ก้อนหินที่ดูเหมือนเดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงก็ถูกกองรวมกันเอาไว้ แสดงว่าคงมีการทำความสะอาดไปแล้ว เชพเพิร์ดพายเอามือมาแตะศีรษะตัวเอง นี่เขาหลับไปนานแค่ไหนกันนะ? ในตอนนี้เขาหลับไปมันเกิดอะไรขึ้นจนกลายเป็นแบบนี้?
เชพเพิร์ดพายมุ่งหน้าไปห้องครัว ด่าทอร่างกายและจิตใจตัวเองที่ไม่ได้ดั่งใจคิด ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเอนตัวพิงกับกำแพง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันอันตรายเกินไป
ต้นไม้รอบบริเวณล้มระเนระนาด ทางเข้าอาคารเองก็พังจนเละเทะ เพดานของทางเดินที่ไปยังสวนหย่อมก็ถล่มลงมา นี่มันมีการดวลระหว่างจอมเวทสองคนที่เกลียดขี้หน้ากันขึ้นรึไงนะ? มีอะไรระเบิดเพราะอุบัติเหตุรึเปล่า? หรือว่ามีฝูงกระทิงป่าพุ่งเข้ามา?
จริงสิ แล้วแขกล่ะ
แขกที่ถูกเชิญมายังเกาะแห่งนี้ปลอดภัยดีรึเปล่า? ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน เชพเพิร์ดพายมีหน้าที่ปกป้องพวกเขา จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องเมจิคัลเกิร์ลสองคน เชลซีกับเมรี่ปลอดภัยดีรึเปล่า? ตัวของเขาสั่นจนหน้าท้องไปโดนกับต้นขา ความคิดที่คิดว่าบางทีการเป็นห่วงเชลซีกับเมรี่ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นผ่านเข้ามาในใจ แทนที่จะกังวลโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ดูไม่เหมือนว่าทั้งสองคนจะเป็นต้นเหตุของการทำลายล้างนี้เลย —เชพเพิร์ดพายส่ายหัว ลูบเส้นผมยุ่งๆของตัวเองด้วยมือขวา และเริ่มเดินตรงไปอีกครั้ง จริงอยู่ที่เชลซีเป็นคนที่ทำพื้นเป็นรู และเมรี่ก็ผลักเชพเพิร์ดพายล้มลงไป แต่พวกเธอไม่ได้ทำอะไรที่มันร้ายแรง หรือการทำลายนี้เกิดขึ้นโดยเจตนาอย่างชัดเจน
แม้ว่าเขาจะปฎิเสธ แต่ความสงสัยที่อยู่ภายในใจก็ไม่ได้หายไป มันเหมือนกับรอยไหม้ที่ก้นหม้อที่ดูแลรักษาไม่ดี มันไม่มีวันหายไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
“อ๊าาา! คุณเชพเพิร์ดพาย! ในที่สุดก็ตื่นจนได้!” เธอพูดพร้อมกับขว้างกล่องไม้ที่ถืออยู่ออกไป เธอวิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางที่ดูตกใจ นั่นคือมนุษย์ผู้หญิง ไอ้เสื้อชั้นในที่มีความยาวประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายแล้วมองเห็นข้อเท้านี่มันเรียกว่าอะไรแล้วนะ? เขาคิดว่ามันเคยถูกใช้เป็นชื่อของภาพยนตร์ แต่เขาก็จำมันไม่ได้ เสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอไม่ใช่แค่เปื้อน แขนเสื้อเองก็ขาดด้วย เส้นผมสีน้ำตาลที่ดูยุ่งเหยิงถูกมัดเอาไว้ด้านหลัง เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของเส้นผมที่ยาวประมาณนึงจะม้วนเข้าด้านใน อายุของเธออยู่ที่ราวๆยี่สิบปี นิ้วของเธอนั้เรียวยาว เล็บเองก็ตัดสั้นเสมอกัน แต่ตรงนิ้วชี้มันมีผิวหนังด้านที่บวมออกมาเหมือนกับเป็นติ่งอยู่ด้วย
เชพเพิร์ดพายหรี่ตา เขารู้สึกละอายใจที่ต้องยอมรับว่าแม้แต่ในเวลาแบบนี้ก็ยังจะมามองสำรวจอีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิงอีก แต่ภาพของผู้หญิงรวมถึงเมจิคัลเกิร์ลด้วย มันคือศิลปะอย่างแบบไม่มีข้อยกเว้นแน่นอน ซึ่งนั่นจะสะท้อนอยู่ในอาหารที่เชพเพิร์ดพายชื่นชอบด้วย
ในตอนที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่นั้น หญิงสาวก็วิ่งเข้ามาหาเขาแล้วก็หยุดลง ดูเหมือนว่าเธอพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอกำลังหอบจนพูดไม่ได้ มือของเธอยันเข่าเอาไว้ แถมไหล่เองก็ยังสั่น
เชพเพิร์ดพายใช้เวลาสั้นๆถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ใช้เวลานานกว่าเดิมราวสิบเท่าก่อนที่จะหายใจกลับเข้าไปอีกครั้ง “เมรี่?”
“หือ? ระ-รู้ —รู้ได้ยังไงน่ะ?!” หญิงสาวล้มลงไปกับพื้นพร้อมท่าทีตกใจ เชพเพิร์ดพายคิดว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ร่างกายของเขาไม่ได้รู้สึกดีมากพอที่จะทำแบบนั้น หญิงสาวยืนขึ้น จากนั้นก็ใช้นิ้วเท้าดึงเอาโคลนที่ติดอยู่ในรองเท้าออกมา โคลนมันแห้งไปเรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่รู้ตัวว่ามีโคลนติดอยู่จนกระทั่งตัวเองล้มลงจนรองเท้าหลุด
“เธอคือ… พาสเทล เมรี่สินะ?” เชพเพิร์ดพายพูด
“ใช่… แต่ตอนนี้เราไม่ได้แปลงร่างอยู่ใช่ไหม? คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย?”
“เอ่อ ก็” ก่อนอื่นเลย ท่าทางของเธอนั้นดูเหมือนกันมาก และเขาก็ยังคิดว่าการที่เธอผิวหนังด้านตรงนิ้วชี้ การสวมชุดที่เหมือนกับนักเรียนศิลปะ เธอคงทำงานหรือมีงานอดิเรกเกี่ยวกับศิลปะ อีกอย่าง เมื่อเธอเรียกเขาว่าคุณเชพเพิร์ดพาย เขาก็เกือบแน่ใจเรื่องตัวตนของเธอแล้ว
แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนั้น เพราะเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนว่าหากพูดเรื่องแบบนี้ออกไปก็จะรับการตอบสนองแบบที่ไม่ชอบใจกลับมา เขาไม่อยากพูดออกมาว่ารู้ได้ยังไงแลละหลีกเลี่ยงไปอย่างเหมาะสมแทน “ชั้นเดาเก่งน่ะ”
“อ่าาา”
“ความประทับใจแรกคือสิ่งที่ชื่อถือได้มากที่สุดสำหรับเรื่องแบบนี้น่ะ”
“จริงเหรอ?”
“โดยปกติแล้ว เมื่อจ้างคนมันก็มีสายตาในการมองคนน่ะนะ”
“งั้นเหรอ”
“แล้วพอเธอล้มลง ชั้นก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นเธอแน่ๆ”
“เรื่องที่เด่นสุดของเรามันคือไอ้นั่นเหรอเนี่ย? อย่าพูดแบบนี้สิ!”
“เรื่องนี้เธอโทษใครไม่ได้หรอกนอกจากโทษตัวเอง เพราะเธอบอกว่าตัวเองต่างออกไปในตอนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ล…” เชพเพิร์ดพายมองลงมาที่เธอ “แต่จริงๆแล้วเธอไม่ได้แตกต่างอะไรเลย”
“เราต่างไป นิดหน่อย นะ”
“เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่มีความแตกต่างมากกว่านี้ก็ไม่ได้ทำอะไรพลาดนะ”
“เรื่องความแตกต่างมันละเอียดอ่อนนะ ดูจากรูปร่างอย่างเดียวไม่ได้หรอก”
คนที่แก้ตัวมักจะเป็นเช่นนี้ ตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน เขาคิดพร้อมกับพยักหน้า และคงดูน่าขายหน้ามากทีเดียว แต่ไม่ว่าอายุจะมากแค่ไหน มันก็จำเป็นจะต้องมีคนที่มาคอยสั่งสอนอยู่ดี
เชพเพิร์ดพายถอนหายใจออกมา เขาแปลกใจที่ตัวเองยังมีแรงมากพอที่จะคุยอยู่ด้วย หรืออีกอย่างคือ เขาไม่มีเวลาพอที่จะมาเสียใจ เพราะมันใช้ความพยายามมากเกินไป —และเป็นความพยายามที่เสียเปล่าด้วย “ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก”
“อ๊ะ! จริงด้วย! เกิดเรื่องแล้ว!” หญิงสาวร้อง
“แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่อง”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ เรื่องมันใหญ่มากเลยด้วย!”
เชพเพิร์ดพายแทบจะหมดสติ มันเกิดเรื่องที่ใหญ่มากพอที่จะทำลายอาคารหลักของคฤหาสน์ไปกว่าครึ่งขึ้นมา แล้วยังมีเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นเกิดขึ้นอีกเหรอ? เขาไม่อยากคิดถึงมันก็จริงแต่ก็จำเป็นต้องถาม “เกิดอะไรขึ้น…?”
“เมื่อคืนก่อน จอมเวททุกคนหมดสติ แถมเมจิคัลเกิร์ลทุกคนก็คลายการแปลงร่างด้วย”
ในตอนนี้เมื่อเธอพูดออกมา แสงอาทิตย์ตอนนี้มันมาจากทางตะวันออก มันคือแสงอาทิตย์ยามเช้า แม้ว่าอาการบาดจะทำให้เขาสลบไป แต่สำหรับเขามันเป็นการนอนที่กินเวลานานเกินไป มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้จอมเวทหมดสติรึเปล่า? อาการเจ็บป่วย แก๊ส หรือจะเป็นอะไรอย่างอื่น? เชพเพิร์ดพายเรียนรู้ระบบในอาคารหลักมาพอสมควรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้
“เกิดเรื่องขึ้นจริงๆสินะ” เชพเพิร์ดพายพูด
“เราถึงบอกอยู่นี่ไงล่ะว่าเกิดเรื่อง”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”
“คุณเชพเพิร์ดพาย มีความคิดอะไร… กับเรื่องนี้บ้างไหม?”
“ไม่ล่ะไม่มีเลย”
“มันมีเวทมนตร์แปลกๆร่ายเอาไว้เหนือคฤหาสน์ด้วย ไม่ใช่ว่ามันควบคุมไม่ได้แล้วหรอกเหรอ?”
“ตอนที่พลังเวทอยู่นอกเหนือการควบคุม มันก็จะยิ่งเห็นได้ชัด… อย่างเช่นมีแรงระเบิดหรือไฟ…”
“แล้วถ้าเป็นเรื่องอะไรอย่างงานวิจัยของเขาหลุดออกไปล่ะ?”
“ชั้นไม่คิดแบบนั้น…” เชพเพิร์ดพายรวบรวมอุปกรณ์เวทมนตร์ทุกชิ้นไปเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของภายในอาคารหลักเพราะมันจะถูกแบ่งให้เป็นมรดกด้วย เขาจัดเก็บมันเป็นแคตตาล็อก แต่เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เขาจึงไม่เข้าใจคุณสมบัติทั้งหมดที่แต่ละไอเท็มมี ยิ่งไอเท็มมันพิเศษมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่มั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
“พื้นที่ที่ถล่มมีแค่ตรงนี้รึเปล่า?” เชพเพิร์ดพายถาม
“อื้อ เท่าที่เห็นรอบๆนี้แหละ” หญิงสาวตอบ
แบบนี้ก็หมายถึงว่าห้องเก็บของยังคงปลอดภัย ดูไม่เหมือนจำเป็นต้องทำอะไรกับอุปกรณืเวทมนตร์ —แต่เวทมนตร์มันก็คือเวทมนตร์ ดังนั้นจึงพูดอย่างมั่นใจไม่ได้
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากถามความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหน่อย” เชพเพิร์ดพายพูด
“ทุกคนนอนกองกันหมดแล้วอย่างที่เราพูด”
“แย่แค่ไหนล่ะ?”
“นอกจากเด็กผู้ชายหนึ่งคน จอมเวททุกคนก็เอาแต่ร้องครางออกมา แล้วก็มีเมจิคัลเกิร์ลที่ออกไปที่ประตูเพื่อขอความช่วยเหลือ… จริงๆแล้ว เรารู้สึกประทับใจมากเลยที่คุณยังเดินได้นะ คุณเชพเพิร์ดพาย ทั้งๆที่คุณเองก็เป็นจอมเวทเหมือนกัน”
เขาเองก็รู้สึกเฉื่อยชา แต่ไม่ได้แย่จนเคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องขอบคุณความอ้วนของเขา หรือว่าความหลงไหลในการทำอาหารดีนะ?
พอคำว่า “ทำอาหาร” ลอยขึ้นมาในใจ เขาก็เงยหน้าขึ้น
“ทำอาหาร… ใช่แล้ว ทำอาหาร”
“ตอนนี้ไม่มีจอมเวทคนไหนที่พร้อมจะกินอะไรได้หรอก” หญิงสาวพูด “แต่พอเมจิคัลเกิร์ลแปลงร่างไม่ได้ พวกเธอก็จะหิวใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจว่าต้องกินอาหารก่อนที่จะออกสำรวจเกาะแห่งนี้ พวกเราเลยกินอาหารอยู่ในครัวไป แต่ว่า… แบบนี้มันโอเครึเปล่า?”
ตัวของเชพเพิร์ดพายโอนเอนจนเกือบจะล้มลง แต่เขาก็พยุงตัวเองเอาไว้ด้วยความพยายามที่มากที่สุด เขารู้สึกวิงเวียน หญิงสาวคนนี้พูดว่าพวกเธอกินอาหารที่อยู่ในครัวไป ซึ่งนั่นมันหมายถึง —เชพเพิร์ดพายวิ่งออกไป หรือถ้าจะให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือจิตใจของเขากำลังรีบเร่ง ร่างกายและจิตใจเคลื่อนไหวแบบไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้นเขาจึงได้แค่เดินเร็ว แต่ก็ยังคงรีบเร่งอยู่
เสียงของหญิงสาวดังตามมาจากด้านหลัง “แล้วทุกคนเองก็สงสัย! ถ้าหากคุณรู้อะไรล่ะก็! พวกนั้นก็อยากให้คุณบอกในเรื่องที่ตัวเองรู้! ได้ยินรึเปล่า? คุณเชพเพิร์ —อ๊าาาาา!” หญิงสาวที่ตามหลังเขามาส่งเสียงร้อง จากนั้นก็มีเสียงกระแทกพื้นดังตามมา เธอคงสะดุดอะไรแล้วหกล้มอีกตามเคย
เชพเพิร์ดพายไม่ได้หันหลังกลับไปมอง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะยื่นมือเข้าไปเพื่อพยายามช่วยอีกเช่นกัน เขากัดฟัน วัตถุดิบยังไงก็ตามก็เป็นได้แค่วัตถุดิบ —มันไม่ใช่อาหาร ความรักและน้ำซุบมันต้องใช้เวลา มันไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆแบบนั้น มันต้องใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาหารที่แท้จริงเพื่อเสิร์ฟให้กับแขก แล้วแผนการก็พังทลายลงไปเพราะเมจิคัลเกิร์ล
เชพเพิร์ดพายรักอาหาร เขาเคารพผู้คนที่สร้างมันขึ้นมา แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาเคารพมนุษย์ทุกคนที่ไม่ใช่จอมเวท เขาไม่ใช่คนใจบุญหรือคนที่มีเมตตาอะไร เขาเกลียดชังคนโง่และผู้คนที่ไร้ค่า —คนประเภทที่ปฎิบัติกับอาหารอย่างหยาบคายและคนที่หัวเราะเยาะเรื่องการกิน ในเรื่องนั้น เขาเองก็ไม่ชอบเมจิคัลเกิร์ลเช่นกันเพราะพวกเธอไม่จำเป็นต้องกินอาหาร แต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอเลือกที่จะไม่ดื่มกิน คนที่ออกแบบพวกเธอมาเช่นนั้นก็สมควรจะถูกรังเกียจ การบ่นกับเมจิคัลเกิร์ลไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกตัวนัก แต่การยกโทษให้พวกที่ดูหมิ่นอาหารมันคือคนละเรื่อง
เข้าได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง บางครั้งก็มีเสียงสะดุด เชพเพิร์ดพายยังคงเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับ เขาเปิดประตูห้องครัว มองไปที่หม้อบนเตา ครางออกมา “อ่าาา” แล้วก็ทรุดเข่าลงกับพื้น น้ำซุปเนื้อทั้งหม้อหายไปจนเกลี้ยง แถมยังมีถุงใส่เศษผักอยู่ด้วย พวกเธอใช้มันด้วยงั้นเหรอ? จานที่วางกองอยู่บนโต๊ะเลอะไปด้วยซอส เขาเอนตัวเพื่อเข้าไปดมแล้วก็พบว่ามันคือซอสมะเขือเทศกระป๋อง พวกเธอใช้มันกับวัตถุดิบที่เขาคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดยไม่ตรวจสอบแม้แต่รสชาติ ไม่ปรุงแต่ หรือใส่ซอสที่ซื้อมาจากร้านเพิ่มลงไปเลย แค่ เพราะว่ามันอยู่ที่นี่ จากนั้นเสียงร้อง “อ๊าาา!” ก็ดังออกมาจากตัวเขา
“อ๊าาา! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังอยู่ที่นี่อีก!”
เมื่อเสียงฝีเท้าตามเขามาจนถึงห้องครัว น้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจก็พรั่งพรูออกมา มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เชพเพิร์ดพายจะถูกตำหนิ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความขุ่นเคือง หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าเมรี่ก็มองไปที่ไหนซักแห่งด้วยท่าทีหงุดหงิดไม่ก็กำลังโกรธ ด้วยจานที่กองอยู่กันเป็นภูเขาที่ขวางอยู่ เชพเพิร์ดพายจึงมองอะไรไม่เห็น เขาวางมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วยกตัวขึ้นอย่างช้าๆ ด้านหลังจานคือหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังตักซุปที่อยู่ในถ้วย เขารู้จักหญิงสาวคนนนี้ เธอคือดรีมมี่✰เชลซีก่อนการแปลงร่าง
หญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำที่จับช้อนอยู่ในมือขวา ส่วนมือซ้ายจับถ้วยซุปเอาไว้ทำหน้าบึ้งตึง “เข้าใจผิดแล้วนะ ดูสิ ไม่ใช่ความผิดของฉันซักหน่อย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องความผิดหรือไม่ผิดนะ” เมรี่ตอบ “พวกเราจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่พวกเดียวไม่ได้ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับหลายๆเรื่อง แต่พอมีโอกาสทีไร เธอก็เอาแต่กลับมาที่ห้องครัวเพื่อกินซุปทุกที ทั้งๆที่พวกเราเพิ่งกินมื้อเช้าเสร็จไปเองนะ”
“ก็ฉันจำเป็นต้องเติมสารอาหารนี่นา”
“แค่มื้อเย็นกับมื้อเช้าทุกคนก็พอใจแล้วนะ”
“ก็ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของฉันมันแย่อ่า”
“ไร้สาระที่สุดเลย… อ๊ะ! ซุปไม่เหลือแล้ว! นี่กินคนเดียวจนหมดเลยสินะ!”
“ช่วยไม่ได้นี่นา! ก็ซุปนี้มันอร่อยมากเลย… อ๊ะ คุณพาย!” เธอเงยหน้าขึ้นจากถ้วยซุปที่ถูกกินจนเรียบ ใบหน้าของหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำกำลังเปล่าประกาย มันคือท่าทางแห่งความสุข เหมือนกับคนที่หลงทางอยู่ในทะเลทราบที่ได้เจอกับโอเอซิส “ซุปนี่ยอดเลย! เยี่ยมสุดๆ! ฉันไม่เคยกินอะไรที่อร่อยมากขนาดนี้มาก่อนเลย! อร่อยมากๆเลย! นี่ ช่วยบอกสูตรทีสิ! ฉันจะเอาไปให้แม่ทำตอนที่กลับไปบ้านแล้ว”
“อย่างน้อยก็พูดว่าทำเองเถอะ…” เมรี่พึมพำ
“แม่ทำอาหารอร่อยกว่าฉันน่ะ”
“เอ่อ ก็ ถ้าเป็นแบบนั้น… ”
หญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำยังคงพูดต่อ —เธอพูดว่าซุปนี้มันอร่อยขนาดไหน พูดว่าไม่รู้จะมีชีวิตไปทำไมหากไม่ได้กินมัน พูดว่าหากเธอได้กินล่ะก็ มันก็จะทำให้แรงในตัวของเธอเพิ่มมากขึ้นอีก “ถ้ามีแรงแล้ว แบบนั้นก็ไปทำงานสิ” เมรี่บ่นพึมพำ
แต่ละครั้งที่หญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำชื่นชมซุปของเขา แก้มที่อวบอิ่มของเชพเพิร์ดพายก็รู้สึกผ่อนคลาย และก่อนที่เขาจะรู้ตัว มันก็มีรอยยิ้มจางๆอยู่บนใบหน้า ความรู้สึกพึงพอใจมันเติมเต็มหัวใจของเขา เขาดึงเอาเก้าอี้ออกมา นั่งลงไป ก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ภาพใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในบานกระจกของตู้เก็บจาน มันดูอ่อนโยนกว่าทุกสิ่งของตัวเองที่เคยได้เห็นมา เขารู้สึกพึงพอใจมากพอจนรู้สึกว่าตายไปตอนนี้เลยก็ได้ แต่จากนั้นเขาก็คิดว่า ชั้นยังตายไม่ได้ แล้วก็ส่ายหัว
☆ โคโทริ นานายะ
เธอทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว ช่วงนี้เธออยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลทั้งในตอนทำงานและชีวิตส่วนตัว หากเธอไม่คลายการแปลงร่าง ชุดของเธอก่อนการแปลงร่างก็จะไม่สกปรก แถมยังเลิกแต่งหน้าและทำผมไปแล้วด้วย กระทั่งรองเท้าก็ไม่ได้สวม ด้วยข้ออ้างต่างๆที่บอกว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเมจิคัลเกิร์ล โคโทริจึงดูมักง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่องมันนำพามาสู่ตัวของเธอในตอนนี้ เธอไม่ได้วางแผนจะคลายการแปลงร่าง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วย เธอเอาชุดว่ายน้ำมาเพราะได้ยินว่าจะมายังเกาะ แต่เธอจะใส่ตอนนี้ได้ยังไงกันล่ะ? มันเป็นไซซ์ของ 7753 ดังนั้นขนาดมันก็เลยเล็กเกินไป
คนอื่นล้วนแต่อยู่ในชุดนักเรียนและชุดสุภาพ พวกเธอสวมใส่มันมาที่นี่ บางคนก็อยู่ในชุดธรรมดา แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นก็ยังสามารถออกไปข้างนอกได้ คนนึงอยู่ในชุดเมดที่ไม่ได้ดูเหมือนสวมใส่เพื่อความสนุกสนาน ดังนั้นมันคงเป็นชุดทำงานของเธอที่ทำให้มีบรรยากาศสง่างาม
คนเดียวที่อยู่ในชุดนอนและไม่ได้แต่งหน้าก็คือ 7753 —โคโทริ นานายะ ทุกคนคงคิดว่าเธอเป็น “ผู้หญิงพิลึกที่ใส่ชุดนอน” ไม่ก็ “เด็กสาวชุดนอน” อยู่แน่ๆ แต่หากเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว มันก็มากพอที่จะทำให้ความขายหน้าของโคโทริดูเล็กน้อยไป
มีบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนเกิดขึ้นซึ่งมันทำให้จอมเวทหมดสติและเมจิคัลเกิร์ลคลายการแปลงร่าง เหตุการณ์ที่ไม่ชัดเจนนี้สามารถอธิบายได้ว่า บางสิ่ง แม้ว่าจะมีเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสบการณ์หลายคนที่ดูเหมือนเชื่อถือได้มากกว่าโคโทริมากก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าพวกเธออยากจะลองถามรากิ จอมเวทที่ดูเหมือนรอบรู้มากที่สุดตามด้วยนาวี่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สติ โยลพยายามจะลืมตา ในขณะที่อากิกับมานาพยายามจะพูดอะไรออกมา แม้ว่าอาการของแต่ละคนจะต่างกัน แต่ทุกคนก็ล้วนไม่สามารถทำอะไรได้ มีเพียงโทตะที่เดินไปมารอบๆได้โดยไม่มีอาการอะไรผิดปกติ แต่เขาเองก็เป็นแค่เด็กธรรมดา ใช่ว่าเขาจะช่วยเหลือหรือมีความรู้อะไร
จอมเวททุกคน —แม้ว่าจะไม่ได้ดูอันตรายถึงชีวิต— อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างร้ายแรง ถึงเมจิคัลเกิร์ลจะอยู่ในสภาพที่ดีกว่า พวกเธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงของตัวเองเช่นกัน พวกเธอจำเป็นต้องใช้ความสามารถทางกายภาพและเวทมนตร์ที่มีของตัวเอง แต่ในตอนนี้กลับอยู่ในสถานกาณร์ไม่สามารถใช้มันได้ พวกเธอกลายเป็นหญิงสาวที่ไร้การป้องกันที่ติดอยู่ในเกาะอันโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร ที่ๆมีสัตว์ป่าวิ่งพล่านไปทั่ว
แม้ว่าพวกเธอจะเจอกับเมจิคัลเกิร์ลสองคนที่ทำงานให้กับทางคฤหาสน์ แต่มันก็ไม่ได้มีเบาะแสอะไร เพราะพวกเธอเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้เช่นกัน พวกเธอบอกว่านายจ้างควรจะรู้ แต่เขาก็ยังหลับอยู่และไม่ตื่นขึ้นมา ดังนั้นพวกเธอจึงตัดสินใจกินเพื่อเอาแรงก่อนเป็นอย่างแรง แต่โคโทริไม่สามารถรู้รสชาติของอาหารว่ามันดีหรือแย่ได้เลลย เธอแค่กลืนลงไปเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมายในตอนที่พวกเธอเดินไปรอบๆท่ามกลางความสับสนจนกระทั่งมืด พวกเธอที่ไม่สามารถเดินไปมาในความมืดได้จึงตัดสินใจหยุดพักเอาตอนนี้ แต่การที่รุ่งสางมาเยือนไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะถูกแก้ไข จอมเวทยังคงไม่ได้สติ เท็ปเซเคเมย์เองยังคงไม่กลับมาเช่นกัน
โคโทริเป็นห่วงมานา และก็เป็นห่วงเท็ปเซเคเมย์ด้วย แรกเริ่มเมจิคัลเกิร์ลทุกคนคือมนุษย์ ดังนั้นพวกเธอจึงรวมตัวอยู่ด้วยกันได้ —เดิมทีเท็ปเซเคเมย์คือเต่าซึ่งมันยากที่จะเข้าหาพวกเธอ ขนาดของเกาะนี้เองก็ใหญ่ มันคงยากที่จะค้นหาเต่าเพียงแค่ตัวเดียว หากการแปลงร่างของเธอคลายลงในตอนที่บินอยู่ในอากาศ แบบนั้นกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็ —พอคิดมาถึงเรื่องนี้ โคโทริก็ส่ายหัว
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก เมย์น่ะแข็งแกร่ง เธอเองก็โชคดีด้วย ดังนั้นคงไม่…
เนฟิเรีย เลิฟมีเร็นเร็น ราเรโกะ และไมยะ ใช้เหล็กเขี่ยไฟ ขวาน พลั่ว และชะแลงในการป้องกันตัวเอง จากนั้นก็มุ่งหน้าออกไปยังประตูเป็นอย่างแรกในตอนเช้า พวกเธอคงเอาไปใช้เพื่อออกไปยังโลกภายนอกและขอความช่วยเหลือ ส่วนดรีมมี่✰เชลซีและพาสเทล เมรี่จะสำรวจภายในคฤหาสน์ ในขณะที่โคโทริคอยเฝ้าดูจอมเวทอยู่ด้านในและคอยป้องกันเอาไว้ที่นั่น แม้ว่าแคลนเทลกับคลาริสซ่า ทูธเอจจะอยู่ด้วย แต่พวกเธอก็ตัวเล็กเกินไปที่จะปกป้องอะไรได้ คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ก็คือมิสมาร์เกอริตและตัวของเธอเอง
สายตาของโคโทริมองลงมายังวัตถุที่อยู่ในมือ ค้อนที่ส่องประกายอยู่ภายใต้แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง มันรู้สึกหนักกว่าน้ำหนักจริงๆที่ควรจะเป็น มือซ้ายของเธอจับฝาหม้อเอาไว้ เธอจับวัตถุทั้งสองเอาไว้ตรงด้ามจับที่เป็นไม้ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นอะไร เธอถือมันเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์ป่า แต่มันจะมีประโยชน์มากแค่ไหนกันนะ? แม้จะอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล เธอก็ไม่ได้เก่งเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เธอจะเอาของพวกนี้ไปใช้นอกเหนือจากงานไม้หรือทำอาหารได้รึเปล่านะ? แค่คิดมันก็ทำให้หัวใจและท้องรู้สึกหนักอึ้งมากขึ้นกว่าเดิม หากได้แปลงร่างอย่างน้อยเธอก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้
ตั้งแต่เหตุการณ์ในเมือง B เธอก็ใช้เวลาอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นนอกเวลางานก็ตาม เธอสูญเสียนิสัยเดิมที่คลายการแปลงร่างเพื่อไปช็อปปิ้งหรือไปทำผมที่ร้านชื่อดังไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอจำใบหน้าของเมจิคัลเกิร์ลที่พบในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ มันก็เจ็บปวดราวกับถูกคว้าน ตราบใดที่เธออยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล เธอก็จะลบความเจ็บปวดนั้นออกไปได้
บางทีอาจจะเป็นแค่การหนี โคโทริไม่ได้ปฎิเสธเรื่องนี้ การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเท็ปเซเคเมย์ที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลจากเมือง B มันเป็นการบังคับให้เธอต้องจดจำอยู่ตลอดเวลา ไม่สิ —เธอแน่ใจว่านี่เองก็เป็นข้ออ้างเหมือนกัน เหตุการณ์นั้นมันจะคงอยู่ในใจของเธอ ไม่ว่าเท็ปเซเคเมย์จะอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม
เกาะแห่งนี้มันไม่มีทางหนี โคโทริที่เป็นมนุษย์ยังคงหวาดกลัว กังวลเรื่องเท็ปเซเคเมย์ที่หายไป มานาที่ยังไม่ลุกขึ้นมา และทุกสิ่งที่เธอทำได้คือการยืนอยู่อย่างใจเย็นตรงทางเข้าอาคาร
“เอ่อ”
โคโทริหันไปรอบๆและเห็นเด็กสาวสวมแว่นถักเปียยืนอยู่ตรงนั้น เธอบอกไม่ได้จริงๆว่าเด็กสาวกำลังแสดงท่าทีอะไรออกมารึเปล่า ส่วนสูงของเธอเทียบได้กับเด็กมัธยมต้นหรือน้อยกว่านั้น ส่วนใบหน้าดูเหมือนกับเด็กมัธยมต้นหรือมากที่สุดก็คือมัธยมปลายปีหนึ่ง แต่เธอดูใจเย็นกว่าโคโทริมาก
“เอ่อ… เธอคือแคลนเทล สินะ?” โคโทริรู้สึกว่ามันแปลกที่เรียกมนุษย์ด้วยชื่อเมจิคัลเกิร์ล แต่โคโทริก็ไม่ได้รู้ชื่อมนุษย์ของแคลนเทล หากมาถามเอาตอนนี้ก็คงแปลก เพราะแบบนั้นก็เลยทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเรียกด้วยชื่อนี้ “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
“เรียก”
“หือ…? อ๊ะ”
ไม่ใช่ว่าเด็กสาวพูดเพียงไม่กี่คำ — คำพูดมันไม่เพียงพอ มันไม่มีทั้งประธานและคำกิริยา แต่โคโทริก็รู้ได้ทันที เพราะมีคนไม่กี่คนที่จะเรียกโคโทริเป็นการเฉพาะ
“ขอโทษนะ —ช่วยจัดการแทนหน่อยได้ไหม?” โคโทริก้นศีรษะให้แคลนเทลที่พยักหน้า จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินเพื่อเปิดประตูไปยังทางเดินใหญ่ โซฟาหลายตัวที่วางอยู่ที่นี่มีจอมเวทกำลังนอนอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรง บางทีการนอนบนเตียงในห้องแยกของแต่ละคนอาจจะดีกว่า แต่พวกเธอไม่มีคนมากพอที่จะเฝ้าจอมเวทสี่คนหากแยกกันออกไป พวกเธอจึงลากเอาจอมเวททุกคนมารวมกันบนโซฟาในห้องโถง และเอาผ้าห่มมาห่มทุกคนไว้
เด็กสาวสวมกระโปรงที่มีสายเอี๊ยมมองมาที่เธอพร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้นเพื่อบอกทิศทางให้ไปด้านหลัง มันเป็นท่าทางไม่เหมาะกับเด็กนักเรียนประถมเลย แต่เมื่อคิดถึงร่างเดิมของเธอแล้ว มันก็ไม่ได้แปลกอะไรนัก หญิงสาวในเสื้อยืดแขนยาวที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียบๆติดอยู่มองมาที่เธอ จากนั้นก็หันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการพัดให้ชายแก่ต่อในทันที ถึงเธอจะไม่ได้อายุมากกว่าโคโทริเท่าไหร่นัก แต่ก็ดูดีกว่ามาก
โคโทริเดินผ่านโทตะ คนที่กำลังเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากของนาวี่ (ซึ่งมันบอกได้ยากว่าตรงไหนคือหน้าผาก) และตรงไปหาเด็กสาวที่นอนอยู่บนโซฟาด้านหลัง “มานา?”
“มีเรื่องจะขอ…” มานาพูดอย่างตะกุกตะกัก แค่มองดูมันก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว โคโทริอยากบอกมานาว่า “ตอนนี้พักผ่อนก่อนนะ อย่าฝืนเลย” แต่ในดวงตาของมานามันมีความแน่วแน่ส่องประกายอยู่ เธอไม่ได้เรียกโคโทริมาเพราะว่าตัวเองรู้สึกเจ็บหรือกำลังทรมาณ นี่คือใบหน้าของคนที่มีเป้าหมายอยู่ในใจ
“พาชั้น… ไปที่ห้อง” มานาพูดพร้อมกับหายใจเสียงดัง แค่คำพูดแหบแพร่ที่ออกมาได้แค่ไม่กี่คำ มันคงมากที่สุดเท่าที่มานาสามารถทำได้แล้ว โคโทริจึงเอาหูเข้าไปใกล้กับริมฝีปากของมานา
“พาชั้น… ไปที่ห้อง” มานาพูดซ้ำ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” โคโทริถามมานา
“ชั้น… ถนัด… เรื่องยา… ในกระเป๋า…”
“อ๊ะ งั้นเดี๋ยวฉันเอากระเป๋าของเธอมาที่นี่ —”
“ไม่” มานาปฎิเสธอย่างชัดเจน เสียงที่พูดออกมาก็ดังขึ้นด้วย
โคโทริเอาหูออกห่างจากริมฝีปากมานาแล้วก็มองดู ท่าทางของมานาดูแน่วแน่ ราวกับจะบอกว่าไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ
โคโทริกระแอมออกมา จับแขนของมานาแล้วก็เอามาพาดไว้ที่ด้านหลังศีรษะ เอาแขนของตัวเองโอบไหล่ของมานาไว้ โคโทริลุกขึ้นได้ก็จริง แต่มานาแทบจะพยุงตัวเองไว้ไม่ได้ ดังนั้นโคโทริจึงเอาแขนอีกข้างไปที่ใต้ต้นขา จากนั้นก็ยกตัวของมานาขึ้น โคโทริไม่ได้แข็งแรงก็จริง แต่มานาก็ตัวเบาเหมือนกับที่เธอเห็นและสามารถอุ้มเธอกลับไปที่ห้องได้
“เดี๋ยวก่อน นี่เธอจะไปไหนน่ะ?” มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
โคโทริตอบโดยไม่ได้หันกลับไป “มานาบอกว่าเธออยากกลับไปตรวจดูถ้ามีอะไรที่ใช้การได้อยู่ในกระเป๋า”
เธอสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจากทิศที่มิสมาร์เกอริตอยู่ “แทนที่จะฝืนให้เคลื่อนไหว เอากระเป๋าของเธอมาที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”
“เธอบอกว่าไม่อยากให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับของๆตัวเอง… ฉันแน่ใจนะว่ายาพวกนั้นมันคงอันตรายหากปนกันแบบมั่วๆ”
เธอสัมผัสได้ถึงตัวตนอยู่ในจุดที่เธอเห็นโทตะก่อนหน้านี้ “เอ่อ ถ้าไม่ว่าอะไร… ผมขอช่วยนะฮะ”
โทตะนั่นเอง โคโทริรู้สึกดีใจกับความใจดีของเขา แต่ในตอนนี้เธอไม่อยากให้เขาตามมา “โอเค ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ตาเห็นอีก” โคโทริพูดอย่างหนักแน่นเพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่คนที่อยู่ด้านหลังเธอก็ลุกขึ้นยืนและเข้ามาหา โคโทริได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็ก “อ่า อีกอย่างนึง มานาไม่ชอบให้คนอื่นมาโดนตัวน่ะ” เธอพูด จากนั้นก็ตามด้วย “นานๆทีเธอจะยอมให้ฉันโดนตัวซักครั้ง”
ตัวตนที่อยู่ด้านหลังเธอหยุดลง จากนั้นก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมและนั่งลง โคโทริได้แต่ขอโทษอย่างเงียบๆเรื่องที่ปฎิเสธเขา เธอโกหกเก่งมากกว่าที่เคยเป็นแล้ว เมื่อเท็ปเซเคเมย์ถามคำถามที่ยากเกินจะตอบได้ เธอก็จะหลีกเลี่ยงไปด้วยคำตอบแบบขอไปที แม้จะรู้ว่ามานากำลังสืบเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง B โคโทริก็ยังคงปิดปากเงียบเรื่องที่ติดต่อกับไพตี้ เฟรเดริก้าสำหรับภารกิจของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล มันทั้งสกปรกและน่าสังเวช
โคโทริทำตัวเหมือนว่าเธอใจเย็นในตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่เมื่อเธอออกมายังลานข้างนอกแล้ว เธอก็หอบเหนื่อยในตอนที่กำลังอุ้มมานาอยู่ แม้ว่ามานาจะไม่ได้ตัวหนัก แต่ตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์ โคโทริก็แทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย ดังนั้นร่างกายของเธอจึงรับภาระไม่ไหว เธอหอบอย่างรุนแรงในตอนที่เปิดประตูห้องของมานา แต่เธอไม่ได้โยนตัวของมานาลง เธอวางมานาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง กระเป๋าของมานาไม่ได้ดูเหมือนของที่เด็กผู้หญิงใช้กันเลย กระเป๋าบอสตันสีดำและกระเป๋าเดินทางสีขาวนวล แต่มันก็ปฎิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าแบบนี้ก็สมกับเป็นมานา
“อันนี้เหรอ? หรืออันนี้?” โคโทริชี้ไปที่กระเป๋าตามทิศทางของมานา —ที่เธอพยักหน้า— และเปิดออก โคโทริตรวจดูไอเท็มที่อยู่ภายในทีละชิ้น จนกระทั่งดึงเอากล่องพลาสติกสีน้ำตาลเข้มออกมาจากกระเป๋าบอสตัน เธอใช้เล็บกดเข้าไปที่ตัวล็อคเพื่อพยายามแงะมันออก เธอไม่ได้เคยชินกับการใช้อุปกรณ์แบบนี้ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกกังวลแบบแปลกๆ ปาดเหงื่อที่ไหลมาที่แก้มด้วยนิ้วโป้ง กล่องเล็กๆนี้มีขนาดสี่คูณหกนิ้ว มีหลอดแก้วเล็กๆเรียงกันเป็นแถวอยู่ด้านใน มานายังคงบอกคำแนะนำออกมาเพิ่มเติม นอกจากหลอดแก้ว เธอยังคงเอาเข็มและท่อยางบางๆสีดำมาด้วย พอมานาพยายามใช้แขนดันตัวขึ้น โคโทริก็รีบเข้าไปช่วยเธอทันที
โคโทริสวมแว่นให้มานาและทำตามคำแนะนำของเธอ —เสียงของมานาเองก็เบามาก— เธอม้วนแขนเสื้อคลุมของมานาขึ้นไปถึงไหล่ จากนั้นก็มัดเอาไว้กับแขนซ้ายของตัวเองด้วยท่อยาง แม้จะมีคำแนะนำโคโทริก็ไม่สามารถทำส่วนที่เหลือได้ มานาที่หายใจอย่างหอบเหนื่อยเปิดหลอดแก้ว สอดเข็มลงไป และดูดสิ่งที่อยู่ด้านในขึ้นมา เธอดึงเอาเข็มมาที่แขนด้วยมือที่สั่นเทา แม้ว่าจะลังเลอยู่หลายครั้ง เธอก็ฉีดมันเข้าไปในเส้นเลือดที่โผล่ขึ้นมาจากการใช้ยางรัดแขนเอาไว้ ลูกยางดันของเหลวสีใสเข้าไป ปริมาณลดลงเรื่อยๆจนหมด โคโทริที่ห้ามอะไรไม่ได้ก็ได้แต่มองดู เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี ก่อนหน้านี้ มานาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นด้วยยาเพื่อสู้กับเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงพลังมากมาแล้ว หลังจากนั้นเธอก็หมดสติไปและส่งตรงไปโรงพยาบาล แน่นอนว่าเธอไม่ได้ใช้ยาตัวเดียวกับในตอนนั้น อย่างน้อยโคโทริก็คิดเช่นนั้นแต่เธอก็ไม่ได้แน่ใจ
มานาค่อยๆเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเพดาน เธอขยับริมผีปากและพ่นลมหายใจออกมาจนกลายเป็นการถอนหายใจในตอนที่โคโทริกำลังมองดูพร้อมกับเหงื่อตก มานาถอนหายใจออกมายาวๆจากนั้นเมื่อเธอหันมาหาโคโทริ เธอก็ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อยและมีแรงมากขึ้น ที่แก้มเองก็มีสีชมพูแล้ว
โคโทริปล่อยลมหายใจยาวๆออกมาเช่นกัน จากนั้นก็จับไหล่ของมานาเอาไว้ “เป็นอะไรรึเปล่า? ไม่ได้เกิดอะไรแปลกๆขึ้นสินะ? ไม่ได้ใช้ยาแปลกๆใช่ไหม?”
ท่าทางที่สดใสของมานากลายเป็นบูดบึ้งในทันทีตอนที่ปัดมือของโคโทริออก “เลิกกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว!”
“แน่นอนสิว่าต้องเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เองก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ยามันคนละประเภทกัน แล้วยาที่ชั้นใช้ตอนนี้ก็เป็นแค่อาหารเสริมด้วย”
“แค่อาหารเสริม… ทุกคนใช้ยาอันตรายก็จะชอบพูดแบบนี้ไม่ใช่รึไง?”
“โกหกเรื่องนี้ไปแล้วมันจะได้อะไรล่ะ? มันเป็นแค่อาหารเสริมจริงๆ แต่ไม่ใช่สำหรับร่างกาย มันเอาไว้เติมพลังเวทของชั้น”
“พลังเวทของเธอ?”
“นี่คงเป็นเหตุผลที่จอมเวททุกคนหมดสติ และเมจิคัลเกิร์ลเองก็คลายการแปลงร่างเพราะพลังในร่างเมจิคัลเกิร์ลมันเหือดแห้ง ชั้นอยากจะลองทดสอบดูอีกซักหน่อย” มานาดึงเอาเข็มอันที่สองออกมา ดูดเอายาเหลวออกจากหลอดแก้ว มานาพยายามจะจับแขนของโคโทริ แต่โคโทริตกใจและปัดมือของมานาออก
“จะทำอะไรเนี่ย? อย่านะ!”
“มันไม่ใช่ยาพิษซักหน่อย! ใจเย็นก่อนสิ ถ้านี่ทำให้เธอกลับไปเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ล่ะก็ แบบนั้นพวกเราก็รู้สาเหตุแล้ว” มานาจับข้อมือของเธอแรงพอจนทำให้รู้สึกเจ็บและก็ดึงตัวเข้ามาใกล้
โคโทริจำไม่ได้เลยซักครั้งเดียวว่าตัวเองเคยชอบเข็ม แต่เธอก็ไม่สามารถปฎิเสธเรื่องนี้ได้เลย เธอหันหน้าหนีในตอนที่เป็นยังเป็นเด็กและพูดออกมาตรงๆได้ว่าเธอเกลียดเข็ม
“เอ่อ แล้วยาฆ่าเชื้อล่ะ?” โคโทริถาม
“กับไซริงค์นี่ไม่จำเป็นหรอก”
“แล้วสายยางที่เธอใช้ก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“เส้นเลือดของเธอน่ะใหญ่มันก็เลยมองเห็นง่าย”
โคโทริยอมแพ้แล้ว เธอก้มหน้าและหลับตาลง เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกแทง และความรู้สึกของวัตถุประหลาดที่เข้ามาที่แขน มันเย็น มันน่าขยะแขยง มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และยังมีความรู้สึกด้านลบอื่นๆอีกมาก พอเธอรู้สึกได้ว่าเข็มมันออกมาแล้ว เธอก็ลืมตาขึ้น แขนซ้ายของเธอยังคงรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย เมื่อเธอมองลงไปที่แขน มันก็มีจุดเล็กๆสีแดงอยู่ บางทีมานาอาจจะฉีดยาเก่งกว่าหมอที่โคโทริไปหาเป็นประจำก็ได้
โคโทริขยับแขนไปรอบๆ เธอไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเช่นกัน หากเป็นไปตามที่มานาพูด แบบนั้นพลังเวทของเธอก็ควรจะฟื้นคืนมาเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าเธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนอ้า เมื่อเธอไม่สามารถแปลงร่างได้ตั้งแต่แรก —การแปลงร่างมันคลายลงด้วยตัวเอง และเธอก็ไม่สามารถแปลงร่างกลับไปได้อีก โคโทริพยายามแปลงร่างเพื่อให้พูดได้ว่า “ดูไม่เหมือนจะแก้ไขได้ด้วยยาแค่เข็มเดียวนะ” แต่มันกลับได้ผล เหมือนกับตอนที่คลายการแปลงร่าง โคโทริสามารถแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล 7753 ได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว
เธอรู้สึกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อเห็นแขน ขา ชุด เส้นผมยาวๆ และแว่นกันลมของตัวเอง เห็นสิ่งที่เรียกได้ว่าคือชีวิตของตัวเอง เธอก็ร้องออกมา และมานาก็กระโจนเข้ามาหาและปิดปากของเธอเอาไว้
“อย่าส่งเสียง เงียบก่อน”
“ไม่ แต่ว่า ฉัน—”
“จะตกใจหรือดีใจก็ได้ แต่อย่าส่งเสียงดัง เข้าใจไหม?” หลังจากพูดเตือนแล้ว มานาก็เอามือออก 7753 หันไปรอบๆ แต่เมื่อเธอกำลังจะจับลูกบิดประตู ในคราวนี้มานาก็จับข้อมือของเธอเอาไว้ “ฟังชั้นนะ อย่าเอะอะ อยู่ที่นี่ซะ”
“แต่พวกเราต้องบอกทุกคน”
“พวกเราจะบอกก็ต่อเมื่อรู้ว่าควรบอกใคร”
7753 กำลังจะแย้ง “ตอนนี้มันใช่เวลาจะมาทำแบบนี้เหรอ?” แต่ก็ปิดปากเอาไว้ ท่าทางของมานาดูจริงจังมากและไม่อยากฟังคำโต้แย้งอะไรด้วย มานาคนที่ห่างไกลจากคำว่าคนที่อ่อนแอที่สุดดึงตัวของ 7753 เข้ามา และ 7753 ก็นั่งลงไปข้างๆเธอบนผ้าปู
มานาเอนตัวเข้ามาใกล้และลดเสียงลง “ชั้นจะให้เธอตรวจสอบพวกนั้น”
“ตรวจสอบ?” 7753 ไม่เข้าใจว่ามานาพยายามจะพูดอะไร จอมเวทที่นอนอยู่บนโซฟากำลังร้องครวญคราง และพวกเธอต้องช่วยให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเมจิคัลเกิร์ลที่ออกไปจากคฤหาสน์อาจจะเจอเรื่องอันตรายที่อยู่ข้างนอก ดังนั้นการที่พวกเธอแปลงร่างได้มันจึงดีกว่า การให้ 7753 ออกไปช่วยเหลือจะเป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด และช่วยเท็ปเซเคเมย์ด้วย—
มานาตบต้นขาตัวเองเพื่อรบกวนความคิดของ 7753 “อย่ารีบ ให้ความสำคัญเรื่องการใช้แว่นของเธอตรวจทุกอย่างก่อนเป็นอย่างแรก”
“แล้วจะให้ฉันตรวจอะไรล่ะ?”
“ตรวจว่าใครเป็นคนสร้างความวุ่นวายนี้ เรื่องสาเหตุและการแก้ไขพวกเราสามารถบอกทีหลังได้จากที่แน่ใจแล้วว่าพวกนั้นไม่ได้ทำ พวกเราควรจะแสร้งทำเป็นว่าหมดหนทางจนกว่าจะถึงตอนนั้น”
7753 กำลังคิดถึงความหมายเรื่องคำพูดของมานา เมื่อเวลาผ่านไปจนเธอเข้าใจความหมาย ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง “เดี๋ยวนะ เธอหมายถึงมีใครบางคนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเหรอ?”
“อย่าตะโกน”
“อ๊ะ ขอโทษ”
“บางทีใครบางคนอาจจะทำ หรืออาจจะไม่ใช่ เพราะแบบนี้พวกเราถึงต้องตรวจดู หากใครซักคนทำมันขึ้นมา ชั้นจะไม่ปล่อยให้หนีไปแน่”
จอมเวทสาวที่นอนนิ่งและร้องครางอย่างทรมาณหายไปแล้ว ในตอนนี้เธอคือผู้ตรวจการณ์ คนที่เป็นสมาชิกของหน่วยสืบสวนที่จะไม่ยอมปล่อยให้วายร้ายทำตามใจชอบ 7753 กัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ที่ผ้าปูสีขาวมันมีรอยยับอยู่
7753 เองก็เป็นหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่ต่อสู้ภายในเมือง B แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เธอก็ละทิ้งความปลอดภัยของตัวเองเพื่อสู้กับศัตรูอันแสนน่ากลัวเพื่อการปกป้องเมือง ปกป้องเด็กสาวที่ปกป้องเมือง เธอหนีจากความทรงจำเหล่านี้เพราะมันเจ็บปวด และในคราวนี้ เธอต้องทำให้ตัวเองคิดว่านี่คือการมาพักผ่อนไม่ก็ท่องเที่ยวอย่างสนุกสนาน และมาที่นี่ในฐานะหนึ่งในเพื่อนร่วมทางของมานา เธอสับสนอยู่ตลอด
มานานั้นต่างออกไป เธอไม่ได้หนีและไม่ได้พยายามที่จะลืม เธอพยายามจะเป็นผู้ตรวจการณ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น —แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่ในระดับที่ฮานะ เกโคคุโจไม่ได้รู้สึกละอายใจ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะทำ ฉันจะไปเอง” 7753 พยายามจะลุกขึ้น และในคราวนี้ มานาก็จับชุดของเธอเอาไว้
“แล้วจะอธิบายยังไงถ้าไปในร่างเมจิคัลเกิร์ลน่ะ?”
“อ๊ะ จริงด้วย… แต่ฉันควรทำยังไงล่ะ?”
“ถอดแว่นกันลมออกแล้วคลายการแปลงร่าง แยกแว่นกันลมออกมาเป็นไอเท็ม”
“งั้นเหรอ… เอ่อ… แบบนั้นก็… ฉันต้องปรับค่าแว่นก่อน แล้วก็ต้องตรวจดูคนอื่นผ่านแว่นในตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้มอง?”
“ก็เข้าใจแล้วนี่”
“แล้วจะให้ปรับดูค่าแบบไหนกันล่ะ?”
“ปรับให้ตรวจสอบเรื่องระดับความเข้าใจสถานการณ์นี้ได้รึเปล่า?”
“ฉันคิดว่าตรวจดูผ่านจำนวนหัวใจที่แสดงได้นะ”
“งั้นก็เอาแบบนั้น ถ้าพวกนั้นคือคนร้าย ระดับความเข้าใจก็จะสูง และถ้าไม่ใช่คนร้าย… นี่ก็อาจเป็นสถานการณ์ที่บังเอิญเกิดขึ้นเพราะอะไรบางอย่าง ถ้าพวกนั้นรู้และไม่ได้พูดอะไรออกมา ก็บอกได้ว่ามีความผิดกึ่งหนึ่ง”
ก่อนอื่น 7753 จะมองดูคนที่ยังอยู่ในอาคารรอง หากไม่มีปัญหา มานาก็จะแบ่งยาของเธอให้มากเท่าที่ทำได้ จากนั้น 7753 ก็จะออกไปข้างนอก ตามหลังกลุ่มที่มุ่งหน้าไปยังประตูและตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า
“แล้วต้องเร็วด้วย” มานาพูด “ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่”
“อื้อ แน่นอน”
“ไม่งั้น ตาแก่ก็จะตาย”
“แต่…” 7753 พูดไม่ได้ว่าเรื่องที่เธอได้ยินมาก็คือ ถึงเขาจะอยู่ในวัยชราแต่ก็ดูสดใสกว่าจอมเวทอายุน้อยที่ไม่เคยออกกำลังกายเสียอีก หลังจากที่ลังเล เธอก็ตัดสินใจว่าจะพูดให้ต่างออกไปเล็กน้อย “…ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นคนแก่สุขภาพดีแถมยังกระฉับกระเฉงนี่นา”
“เร็วๆนี้ สุขภาพเขามันมีเรื่องน่ากังวล”
“อ่า อย่างงั้นเหรอ?”
“หลายปีก่อนพวกเราตรวจสุขภาพกัน และพอเขาได้ผลตรวจ เขาก็พูดออกมาประมาณว่า ‘นี่มันผิดพลาดแน่ๆ อย่าเอาอะไรไร้สาระแบบนี้มาให้สิ…’ เรื่องนี้ชั้นได้ยินมาจากพ่ออีกทีนึง”
เธอคิดว่าเขาไม่เป็นแบบนั้นเพราะสุขภาพของตัวเองหรอก แต่เขาก็ดูหัวเสียเหมือนกัน
“งั้นฉันก็ต้องรีบลงมือ” 7753 พูด “แล้วยามันอยู่ได้นานแค่ไหนเหรอ?”
“ชั้นเองก็ไม่รู้ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรกด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าทำให้มันเสียเปล่าล่ะ… แต่พวกเราก็ควรจะบอกคนที่อยู่ฝั่งเดียวกันว่าพวกเรานั้นอยู่ข้างเดียวกันด้วย ชั้นไม่เรียกการแบ่งปันโดยมีจุดประสงค์เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์หรอกนะ”
7753 เปลี่ยนการตั้งค่าของแว่นกันลม ถอดมันออกแล้ววางไว้บนเตียง จากนั้นก็คลายการแปลงร่าง และทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือแว่นกันลม
โคโทริยืนขึ้นพร้อมกับแว่นกันลมในมือ และมานาก็จับแขนเสื้อชุดนอนของเธอเอาไว้ “ชุดแบบนั้นมันไม่มีที่ให้ซ่อนแว่นกันลมหรอก”
สุดท้ายโคโทริก็ยืมเสื้อคลุมของมานา มันไม่ใช่ไซซ์ของเธอก็จริง แต่ด้วยการที่ออกแบบมาให้หลวมอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจะมองเห็นได้
โคโทริสวมเสื้อคลุมและออกไปจากห้อง เมื่อเธอบอกเรื่องตามที่มานาแนะนำออกไปว่า —“มานาให้ฉันยืมเจ้านี่มาเพราะฉันบ่นว่าไม่อยากสวมชุดที่ดูน่าอายอยู่ตลอดเวลา”— แคลนเทลกับคลาริสซ่าเข้าใจอย่างง่ายดาย ส่วนโทตะก็พยักหน้าหลายครั้ง
เรื่องที่ทุกคนรู้ว่าชุดที่น่าอายของเธอมันน่าขายหน้า เรื่องนี้เธอรู้ตัวเองดี แต่เธอก็ทำงานของตัวเองไป ไม่ปล่อยให้มันมาทำให้รู้สึกท้อ รากิ นาวี่ อากิ โยล โทตะ จากนั้นก็คลาริสซ่า แคลนเทล และมิสมาร์เกอริต ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง และมันก็ทำให้โคโทริรู้สึกโล่งอก
☆ เรย์ โคอิมิซุ
ในตอนนี้เรย์อยู่ในร่างมนุษย์ เธอกลับมาเป็นตัวเองก่อนที่จะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล แม้ว่าสถานที่และทางเดินจะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่ทุกอย่างก็ดูแตกต่าง สายลมพัดพาเอาสิ่งสกปรกและฝุ่นลอยขึ้นมา แสงอาทิตย์เองก็ค่อยๆร้อนแรงยิ่งขึ้น ใบไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่ออกมาจากกิ่งไม้ดูแหลมคม ราวกับว่าหากไปสัมผัสก็จะถูกตัดขาด ทางเดินที่ไม่ได้ปูพื้นเอาไว้ เธอรู้สึกว่าตัวเองจะสะดุดก้อนหินไม่ก็จุดบนพื้นที่ไม่เรียบ แล้วก็ยังมีสัตว์ป่าอีก เธอเห็นนกบินอยู่บนท้องฟ้า เห็นปลาว่ายอยู่ในบ่อน้ำ แต่สัตว์ใหญ่ชนิดเดียวที่เธอเห็นก็คือแกะ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นสัตว์ใหญ่ชนิดอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้มีอยู่ แขกนั้นถูกบอกว่าให้พาเมจิคัลเกิร์ลมาด้วย ดังนั้นมันจึงคิดได้ว่าอาจจะมีอะไรบางอย่าง ทุกคนเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
การเดินไปตามทางนี้มันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเมจิคัลเกิร์ล แต่มันไม่ใช่สำหรับมนุษย์ กลุ่มของพวกเธอคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า ไมยะที่ถือชะแลงกำลังเดินนำหน้า ในขณะเนฟิเรียที่ถือพลั่วคอยป้องกันด้านหลัง เรย์เป็นคนที่สองนับจากท้าย ในขณะที่ราเรโกะเดินนำหน้าเรย์อยู่ เธอได้ยินเสียงพร่ำบ่นอย่าง “แบบนี้ไม่เป็นอะไรเหรอ?” ไม่ก็ “ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยนะ?” จากด้านหน้าอยู่บ่อยๆ แล้วหนึ่งในทุกๆห้าครั้งก็จะมีเสียงดุดังมาจากด้านหน้า “เงียบหน่อย ราเรโกะ”
แค่ทำอะไรในร่างมนุษย์มันก็เครียดพออยู่แล้ว สายลมกับแสงอาทิตย์นั้นใจดีกับเมจิคัลเกิร์ลแต่โหดร้ายกับมนุษย์ ที่นี่จะมีคนซักกี่คนกันนะที่เตรียมอะไรป้องกันผิวไหม้มาด้วย? ส่วนใหญ่ก็แต่งหน้ากันตามธรรมดาหรือไม่ได้แต่งเลย แต่มันก็มีสิ่งที่เป็นภัยมากพอถึงชีวิตตัวเองอยู่จนทำให้เรื่องเหล่านั้นดูไม่สำคัญไป พวกเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเธอก็ต้องมุ่งหน้าไปยังประตูอยู่ดี แบบนี้มันก็คือหน่วยกล้าตายดีๆนี่เอง
เรย์ยังคงมองดูว่าทุกคนคุยกันและทำตัวยังไง พวกเธอแตกต่างจากตอนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ล หากเธอเข้าไปยุ่งก็อาจเจ็บตัวเอาได้
เจ็บตัว?
แล้วความเจ็บคือแบบไหนกันล่ะ? นี่เธอคิดออกมาได้ยังไงนะ? เธอมีคำตอบของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่เธอควรแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้ อากิต้องการอะไรในสถานการณ์แบบนี้กันนะ? มันโอเครึเปล่านะสำหรับเธอที่จะทำในสิ่งที่อากิต้องการ?
มีอะไรบางอย่างมาสะกิดที่หลังของเธอ เรย์ที่ยังคงเดินอยู่หันกลับไปมองเด็กสาวผมสีน้ำตาล —เนฟิเรีย— ที่กำลังจ้องมองเธออย่างสงสัย เรย์หันไปข้างหน้าอีกครั้งพร้อมกับสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันนะ จากนั้นมันก็มีบางอยู่ลูบไล้ตามกระดูกสันหลังของเธอ ในคราวนี้เธอแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เรย์หันกลับและมองไปที่ดวงตาของเนฟิเรีย เธอไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย แค่เอียงศีรษะตัวเองเท่านั้น
“มีอะไรรึเปล่า?” เรย์ถามเธอ
“อะไรนี่… หมายความว่าอะไรเหรอ?” เธอพูดจาฉะฉานกว่าตอนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่เรย์ก็ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรเหมือนกัน
“ก็เมื่อกี๊แตะหลังฉันนี่คะ?”
“เปล่านะ”
เรย์หันไปข้างหน้าอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะทันได้สงสัยว่านี่มันยังไงกันนะ ปลายนิ้วก็แตะเข้ามาที่หลังของเธออย่างต่อเนื่อง เรย์จึงหันมาอีกครั้ง “อะไรล่ะ?”
เนฟิเรียพึมพำออกมาว่า “จะว่าไป” โดยที่ท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไป ซึ่งมันคือการบ่งบอกว่าเธอจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เรย์จึงทำหน้าบึ้งตึง “ชุดนักเรียนน่ารักจัง เธออยู่มัธยมต้นเหรอ?”
“ไม่ค่ะ อยู่มัธยมปลาย” เรย์ตอบ
“หืมมม ผิวเองก็ดีมากด้วย ชั้นเลยคิดว่าเธออยู่มัธยมต้นซะอีก”
“เอ่อ… ขอบคุณค่ะ”
“ปีหนึ่งเหรอ?”
“ปีสองค่ะ”
“งั้นพวกเราก็อายุเท่ากันน่ะสิ ยอดเลย เธอนี่หน้าเด็กมากเลยนะ”
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดนี่จะเป็นคำชม เรย์ยิ้มตอบกลับไปแบบบางๆ เธอลังเล สงสัยว่าตัวเองควรจะหันกลับไปข้างหน้าอีกครั้งดีรึเปล่า แล้วเธอก็มองกลับมายังที่เด็กสาว แม้ว่าเนฟิเรียจะพูดกับเธออย่างเป็นมิตร แต่ท่าทางของเธอก็ดูไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง ตัวของเธอดูสุภาพเรียบร้อย กระโปรงเองก็จับจีบอย่างสวยงาม เส้นผมที่ย้อมขึ้นมาตั้งแต่โคนไม่มีสีดำแซมอยู่ คิ้วก็ดูหนา —ซึ่งปกติแล้วจะดูแลอย่างไม่ค่อยเรียบร้อย ทำให้ดูเลือดร้อนและเจ้าอารมณ์ แต่สำหรับเธอแล้ว มันให้ความรู้สึกสง่างามราวกับขุนนางสมัยเฮอัน พอมองดูภาพรวมทั้งหมด มันกลับทำให้เธอดูลึกลับกว่าเมจิคัลเกิร์ลเนฟิเรียซะอีก
“นี่ ขอไลน์หน่อยสิ” เนฟิเรียพูด
“หือ?”
“หรือว่าใช้โซเชียลของเมจิคัลเกิร์ลล่ะ? มากิตเตอร์? ไมน์? หรือไลท์นิ่งแกรม? อันไหนก็ได้นะ”
“ฉันไม่…”
“เธอไม่มีเหรอ?”
“ไม่ใช่ ตอนนี้แค่ไม่ใช่เวลา”
“แต่เหมือนว่าหลังจากนี้ก็จะยิ่งยุ่งขึ้นอีกนะ”
การที่พวกเธอกระซิบคุยกันคงทำให้คนอื่นได้ยิน เพราะมันมีเสียง “พวกเธอ เลิกเล่นกันได้แล้ว” ดังมาจากด้านหน้า จากนั้นเรย์ก็หันกลับไปด้านหน้าอีกครั้ง เธอได้ยินเสียงพึมพำ ชิชิ จากด้านหลัง เธอคิดว่า อ๊ะ เนฟิเรียนี่นา แล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น
กลุ่มของพวกเธอยังคงเดินหน้าต่อพร้อมกับระวังสิ่งรอบข้าง การหยุดเดินเพราะเสียงเบาๆอย่างเสียงของแม่น้ำหรือเสียงใบไม้สั่นไหวมันทำให้พวกเธอรู้สึกโล่งอก พวกเธอมุ่งหน้าไปยังประตูพร้อมกับหงุดหงิดดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสงอยู่ด้านบน กว่าจะมาถึงที่นี่พวกเธอก็ต้องใช้เวลามากขึ้นสามเท่า ต้องผ่านพื้นที่ราบที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ขึ้นไปบนเนินเขา และเมื่อมองลงมาจากยอด พวกเธอก็เห็นวัตถุสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลที่มองเห็นได้อยู่เหนือต้นไม้ บางคนส่งเสียว ฟู่ว ออกมาเบาๆ วัตถุนั้นก็คือประตู คนอื่นนอกจากคนที่ส่งเสียงต่างก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
พวกเธอยับยั้งฝีเท้าที่จะรีบเร่ง หักห้ามหัวใจไม่ให้เต้นรัว และค่อยๆเดินหน้าไปอย่างช้าๆ แม้ว่าความตั้งใจจะคลายลงไปเล็กน้อย แต่เป้าหมายมันก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ห่างเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น
จนในที่สุดพวกเธอก็มาถึงประตู แต่ว่ามันไม่ทำงาน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร?!” ไมยะโกรธเกรี้ยวพร้อมกับเหวี่ยงชะแลง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างไร
ราเรโกะบอกว่า การได้รู้เรื่องนี้ “ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย” พร้อมกับพยายามสัมผัสและเคาะลงไปที่ส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ จากนั้นก็วางกล่องเครื่องมือลงบนพื้นข้างๆตัว จับตรงนั้นตรงนี้จนเกิดเสียงดังกึกกักราวกับว่าเป็นช่างซ่อมรถ แต่เมื่อเธอยืนขึ้น ท่าทางก็ยังดูเคร่งขรึม จากนั้นก็ส่ายหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตามการอธิบายของเธอบอกว่า มันไม่มีชิ้นส่วนไหนที่พังเสียหาย เธอคิดว่าแค่มันไม่มีพลังงานและบอกอีกว่าตัวของเธอไม่สามารถซ่อมมันได้ ไมยะโมโหอีกครั้ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่สามารถซ่อมได้อยู่แล้ว
บนเกาะแห่งนี้มีประตูสองบาน : บานหนึ่งที่กลุ่มของเร็นเร็นใช้มาและอีกบานหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้าม —ทางทิศใต้ กลุ่มของเธอตัดสินใจว่าหากบานนี้ใช้การไม่ได้ พวกเธอก็จะพยายามไปอีกฝั่ง เพราะแบบนั้นพวกเธอจึงมุ่งหน้าไปยังทิศตรงกันข้าม การก้าวเท้าของทุกคนหนักอึ้งกว่าก่อนหน้า ถึงเรย์จะคิดว่าทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เธอก็ทำตามไปโดยที่ไม่ได้ค้าน เพราะใช่ว่าเธอจะมีแผนการอื่นอยู่
ดูจากสถานการณ์แล้ว มันก็สมเหตุสมผลที่ไม่มีพลังงานป้อนให้กับประตู เมจิคัลเกิร์ลแปลงร่างไม่ได้ แถมจอมเวทก็ร้องครวญครางและลุกขึ้นไม่ได้ การที่ประตูทางใต้จะไม่โดนผลกระทบไปด้วยนั้นมันยาก แต่พวกเธอก็ต้องไปตรวจสอบอยู่ดี
เนฟิเรียทำตัวซุกซนเหมือนกับเด็กผู้ชายวัยประถามไม่มีผิด —ลูบไล้เส้นผมของเรย์ เปิดกระโปรงเธอ หาจุดและพยายามทำอะไรใหม่ๆอยู่ตลอด แต่เรย์ก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าในตอนนี้เธอมีเรื่องอื่นที่ต้องคิด และเพราะเธอไม่อยากโดนไมยะดุอีกแล้ว
โดยปกติแล้วความเชื่อมโยงระหว่างร่างมนุษย์และร่างเมจิคัลเกิร์ลสามารถมองเห็นได้ พวกเธอคือคนๆเดียวกัน ดังนั้นบุคลิกจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เรื่องมันจะต่างออกไปหากเป็นเคสหายากอย่างการเป็นสัตว์หรือผู้ชายที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่เร็นเร็นไม่เคยเจอเมจิคัลเกิร์ลแบบนั้นมาก่อน โดยพื้นฐานแล้วเคสหายากไม่ควรเอามานับรวมในการพิจารณาเรื่องใดๆ
ไมยะเข้มงวดกับตัวเองและคนอื่น กล้ามเนื้อของเธอดูแน่นและยิดหยุ่นมากสำหรับหญิงสาวในวัยของเธอ มันสามารถมองเห็นได้ผ่านชุดอีกด้วย กล้ามเนื้อที่ขาเองก็แน่น ซึ่งนั่นหมายถึง เธอไม่ใช่แค่ฝึกฝนในฐานะเมจิคัลเกิร์ล แต่ในฐานะมนุษย์ก็ด้วย วิธีการเหวี่ยงชะแลงเองก็ไม่ใช่มือใหม่เช่นกัน อารมณ์ของเธออาจจะแปรปรวน แต่ร่างกายของเธอผ่านการฝึกฝนมาแล้ว และถึงจะอารมณ์แปรปรวน เรย์ก็คิดได้ว่าสาเหตุมาจากสถานการณ์ของโยล —ซึ่งถือว่ามีความเป็นมืออาชีพ
สำหรับราเรโกะ —มันน่าตกใจที่ว่าเธอสามารถใช้อาวุธได้ด้วย เธอถือมันเอาไว้ราวกับรู้ว่าต้องจัดการกับศัตรูยังไงซึ่งต่างจากเนฟิเรียและเรย์ ถ้าพูดให้ถูก พวกเธอก็อยากให้ราเรโกะอยู่กับโยล แต่ถ้าเธอสามารถจัดการระบบของประตูได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่พาเธอมาด้วย หากเป็นในอีกกรณีหนึ่งก็หมายความว่าพวกเธอต้องเชื่อใจมิสมาร์เกอริต คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนเก่าของไมยะ ในตอนที่เธอคุยกับมิสมาร์เกอริตก่อนที่จะออกมาเพื่อบอกว่าให้ปกป้องโยลด้วย —หรือทำอะไรบางอย่างให้เกิดผลเช่นนั้น เรย์คิดย้อนกลับไปว่าในตอนนั้นมิสมาร์เกอริตนั้นดูเฉียบคมและระวังตัวมากขนาดไหน แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา
พวกเธอกลับไปตามทางที่มา เมื่อพวกเธอมาถึงเนินเขาที่มองเห็นอาคารรองและอาคารหลัก ทั้งสองคนที่เดินนำอยู่ก็หยุดลง เรย์มองไปด้านหน้าด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้างหน้ามันก็มีแค่ทางเดินและไม่ได้มีอะไรอยู่เป็นพิเศษ เมื่อมองไปที่ไมยะ ศีรษะของเธอนั้นเงยขึ้นไปด้านบน ด้วยการที่เรย์อยู่ด้านหลังจึงทำให้มองไม่เห็นใบหน้า ทุกสิ่งที่เธอบอกได้ก็คือ “ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองขึ้นไปด้านบน” เรย์มองตามสายตามองไมยะไป ที่นั่นมันมีรูปร่างอะไรบางอย่างอยู่และเธอก็รู้จักด้วย เหมือนว่าเคยอยู่ในอาคารหลักแต่หายตัวไปก่อนที่จะแนะนำตัว เธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่แต่งกายด้วยชุดนักเต้นสาว
“ทำอะไรกันเหรอ?” เด็กสาวถาม
“นั่นคำพูดของฉันต่างหาก” ไมยะตะโกนกลับพร้อมเตรียมอาวุธ
แต่ถึงเธอจะเตรียมอาวุธไป ก็ใช่ว่าจะทำอะไรกับเมจิคัลเกิร์ลได้อยู่ดี มันดูงี่เง่า แต่เรย์ก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่างเช่นกัน ทุกคนยกอาวุธของตัวเองขึ้นแล้วชี้มันไปที่เมจิคัลเกิร์ล —เรย์คิดว่าอีกฝ่ายชื่อเมย์ มันแปลกที่เธอสามารถอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลได้ตั้งแต่แรกในสถานการณ์แบบนี้ เรย์ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมากที่จะคิดว่าเธอคงรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถแปลงร่างได้ใขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้
เมย์ลงมาที่พื้นอย่างใจเย็น กลุ่มที่อยู่ด้านล่างก็ถอยกลับและล้อมเธอเอาไว้เป็นวงกลม เรย์มองสำรวจเธอ เมย์ไม่ได้แสดงความไม่น่าไว้วางใจหรือรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมาเลย —เธอยังคงเคี้ยวอะไรบางอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปากของเธอขยับไปมาแล้วก็กลืนสิ่งที่เคี้ยวลงไป “เมย์เพิ่งมีคนที่สนิทด้วย”
“ทำไมเธอถึงยังแปลงร่างอยู่ได้เนี่ย?!” ไมยะถาม
“นี่เป็นอาหารที่มีคุณค่า”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ? ชั้นถามอยู่นะว่าทำไมถึงแปลงร่างได้!”
“เมย์ใจดี เว็ดดิ้นพูดแบบนั้น ดังนั้นเมย์เองก็เลยช่วยมดด้วย แล้วก็แมงมุม คราวนี้เมย์ตัดสินใจว่าจะช่วยนกเหมือนกัน หากเมย์เจอโทชิชุน* เมย์ก็จะช่วยเหมือนกัน”
*เรื่องสั้นของอาคุตางาวะ ริวโนะสุเกะ กล่าวถึงโทชิชุนลูกเศรษฐีผู้ตกอับที่ได้เงินทองมามากมายจากชายชรา แต่สุดท้ายก็กลับมาตกอับอีกครั้ง
ไมยะเลิกพยายามพูดกับเธอแล้ว ทุกเรื่องที่เธอพูดออกมาคือเรื่องไร้สาระกับเรื่องราวบางอย่างจากงานของอาคุตางาวะ ไมยะสงสัยคนๆนี้ว่าในหัวมีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเห็นได้ชัด มันดูน่าสิ้นหวังอย่างรุนแรงสำหรับคนที่สามารถฆ่าทุกคนได้อย่างง่ายๆหากเธออยากจะทำขึ้นมา เนฟิเรียปิดปากตัวเอง ไหล่ของเธอสั่น ท่าทางแบบนี้เองก็ดูน่ากลัวแม้ว่าเธอจะทำเพื่อกลั้นหัวเราะก็ตาม
ใบหน้าของเมย์อ่านได้ยากมาก เธอไม่ได้พยายามสื่อสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเลย เธอต่างจากมนุษย์ทุกคนที่เรย์รู้จัก และยังต่างจากเมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่เรย์รู้จักด้วย ไม่ต้องพูดถึงการจัดประเภทเลย เพราะคนที่เหมือนกับเธอ เรย์ก็ไม่เคยเจอมาก่อน
“นั่นหมายถึง” นี่ไม่ใช่เสียงของไมยะ แต่เป็นเนฟิเรียคนที่ไหล่กำลังสั่นเปิดปากพูด น้ำเสียงของเธอนิ่งเงียบและฟังดูสงบ “เธอใจดี ก็เลยจะมาช่วยพวกเรา?”
เมย์พยักหน้า การสื่อสารกับเธอได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็เหมือนกับปาฎิหาริย์ เธอลอยเข้ามาหาพวกเธอ ในคราวนี้ไม่มีใครที่พยายามถอยกลับ พวกเธอค่อยๆเข้าไปใกล้และมองไปที่กล่องเหล็กที่เมย์ยื่นออกมาราวกับว่าอยากให้พวกเธอเห็น —มันคือกระป๋องคุ๊กกี๊ —ที่ด้านในเต็มไปด้วยผลไม้สีเทา—
“เมย์!”
เรย์คิดว่าคนที่อยู่ด้านบนเนินก็คือจอมเวท แต่มันกลายเป็นว่าไม่ใช่ นั่นคือ 7753 คนที่อยู่ในอาคารหลัก ก่อนหน้านี้เธออยู่ในชุดนอน แต่ในตอนนี้เธอสวมเสื้อคลุมจอมเวทกับผ้าคลุมอยู่ เธอคงต้องขอยืมมาเพราะไม่อยากรู้สึกที่ต้องอยู่ในชุดนั้นไปตลอด บางทีเธอคงยืมมาจากมานา
“ไม่เป็นอะไรสินะ! ดีจังเลย!” เธอพูดดังจนเกือบจะเป็นการตะโกน วิ่งลงมาตามทางลาดจนแทบจะเป็นการกลิ้งลงมาพร้อมกับกางแขนออกกว้างเพื่อที่จะกอดเมย์เอาไว้ แต่มันก็ทะลุผ่านตัวของเมย์ไป 7753 ตะโกนออกมาอย่างตกใจ มันม่มีใครเลยที่จะจับตัว 7753 เอาไว้เพราะว่าไมยะกับราเรโกะเองก็ก้าวออกไปด้านข้างแล้ว จนตัวของ 7753 ล้มลงและกลิ้งไปตามเนินเขาจนฝุ่นตลบ
ในคราวนี้ เนฟิเรียไม่ได้ปิดปากในตอนที่ส่งเสียง ชิชิ ออกมา
☆ มิสมาร์เกอริต
ปัญหาที่เกิดขึ้นกำลังอยู่ระหว่างการหาทางแก้ แม้จะมีจำนวนคนที่ต้องกินเยอะ แต่พวกเธอก็มี “ผลไม้สีเทา” ที่เด็ดมาจาก “ต้นไม้สีเทา” ที่ขึ้นอยู่ทั่วเกาะมากพอ จอมเวทมีเรี่ยวแรงขึ้น เมจิคัลเกิร์ลเองก็สามารถแปลงร่างได้อีกครั้ง การที่พวกรู้วิธีรับมือมันก็ทำให้เรื่องต่างจากเดิมมากขึ้น ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ตาม
“นี่ มิสมาร์เกอริตฮะ?” โทตะพูด
“อะไรล่ะ?”
“ทำไมผมถึงเป็นคนเดียวที่เดินไปเดินมาและพูดได้ปกติล่ะฮะ?”
“คิดว่าเพราะยังไม่ได้ถูกปฎิบัติในฐานะจอมเวทน่ะ”
“อ๋า จริงเหรอเนี่ย…?”
แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้่หนึ่งคนรู้สึกผิดหวัง แต่แทนที่จะรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ คนที่รู้สึกแย่ก็ดีใจที่จอมเวทคนอื่นอาการดีขึ้นและดูเหมือนจะสนุกสนานในการคุยกับโยลที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ ทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องการ์ดเกม มิสมาร์เกอริตรู้สึกผิดเล็กน้อยที่สั่งไม่ให้เขาเอาการ์ดมาด้วยเพราะว่าไม่จำเป็น แต่ถ้ามองจากอีกมุมแล้ว มันก็สามารถพูดได้ว่าทั้งคู่สามารถเล่นกันในวันหลังได้ มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมในการช่วยโทตะสร้างเส้นสาย
แม้ว่าการใช้ประตูไม่ได้จะเป็นปัญหาที่พวกเธอยังคงเผชิญอยู่ จอห์น เชพเพิร์ดพาย คนที่ดูแลเกาะนี้ก็บอกพวกเธอว่า “มีแบตเตอร์รี่สำรองอยู่ ถ้าใส่เข้าไป มันก็อาจกลับมาใช้งานได้” ดังนั้นไมยะและราเรโกะจึงดึงเอากล่องลูกบาศก์สีดำขนาดหกนิ้วออกมาเช่นเดียวกับสายไฟและของอย่างอื่นที่เอามาจากห้องเก็บของ แล้วก็มุ่งหน้าไปยังประตู
อากิ เนฟิเรีย และเลิฟมีเร็นเร็นอยู่ด้านในเพื่อคุยอะไรบางอย่าง การประชุมเพื่อสืบทอดมรดก ณ จุดนี้พูดไม่ได้ว่าเป็นไปตามแผนและอาจจะถูกยกเลิก พวกเธออาจจะต้องมาอีกในภายหลังและมิสมาร์เกอริตคิดว่าคงต้องรอไปจนถึงตอนนั้น ทั้งสามคนคุยกันเรื่องระยะเวลาของสัญญาใหม่ หรือว่าคุยเรื่องอื่นกันนะ? ในความเห็นของมิสมาร์เกอริต เห็นได้ชัดว่าจอมเวทที่ชื่ออากินั้นน่าสงสัยอย่างชัดเจน แม้ว่าพวกเธอเพิ่งจะเคยพบกัน มิสมาร์เกอริตก็ไม่เชื่อใจเธอ มิสมาร์เกอริตบอกให้มานาและ 7753 ประจำตำแหน่งอยู่ที่โถงใหญ่ของอาคารรอง ทางออกทางเดียวของอาคารรองก็คือผ่านโถงใหญ่ ดังนั้นการให้พวกเธออยู่ที่นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดี
เมื่อนาวี่เห็นร่องรอยของอาคารหลักที่ถูกทำลาย เขาก็ช็อคและส่งเสียงครวญครางออกมา ทำไมเขาถึงดูไม่ชอบใจล่ะ นี่ไม่ใช่ของเขาซักหน่อย…? มิสมาร์เกอริตสงสัย แต่เธอก็นึกได้ว่าที่แห่งนี้อาจจะกลายเป็นของนาวี่ได้เช่นกัน บางทีเขาอาจจะเล็งเอาไว้ก็ได้ เขาสั่งคลาริสซ่าให้สำรวจพื้นที่ แต่ไหล่เขาลู่ลงเพราะดูเหมือนว่าผลจะไม่ออกมาตามที่เขาหวังไว้
อีกด้านหนึ่งรากิกลายเป็นกระฉับกระเฉงขึ้น หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ เขาดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าที่จะกระฉับกระเฉง เขาตะโกนใส่เชพเพิร์ดพายเพราะล้มเหลวในการจัดการเกาะแห่งนี้ให้ถูกต้อง ส่วนชายร่างใหญ่ก็ห่อตัวลงและออกไปด้วยความอับอาย พวกเธอยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง หนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่เชพเพิร์ดพายจ้าง ดรีมมี่✰เชลซีเถียงกลับไปอย่างรุนแรงแบบตรงกันข้ามกับนายจ้างของตัวเอง เธอต่อต้านรากิอย่างดื้อรั้นด้วยข้อโต้แย้งที่ทำความเข้าใจได้ยาก —อย่างเช่นจะโทษเจ้าของที่รึเปล่าหางดาวเทียมหล่นลงมาใส่หัวตัวเอง? —จนความขัดแย้งมันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พาสเทล เมรี่พยายามห้ามด้วยการสร้างแกะขึ้นมา แต่เธอสร้างขึ้นมามากเกินไปจนตัวเองไม่สามารถควบคุมทั้งหมดได้ สุดท้ายก็กลายเป็นความโกลาหล แม้ว่าทุกคนจะสามารถหลบหรือหลีกเลี่ยงได้ แต่นาวี่ก็เป็นคนเดียวที่ถูกฝูงแกะกลืนไป
แคลนเทลเปลี่ยนร่างกายครึ่งล่างของตัวเองเป็นแพะเพื่อต้อนฝูงแกะเข้าด้วยกัน แม้ว่ารากิจะยังคงโกรธ เขาก็ถูกพาไปยัง “ห้องบริหารจัดการ” เพื่อสืบหาสาเหตุของเหตุการณ์นี้ เชพเพิร์ดพายขอโทษเขาในตอนที่นำทางไป ในขณะที่นาวี่ —คนที่โดนกระแทกแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า —มีคลาริสซ่ากำลังคอยดูแลอยู่ เมื่อเท็ปเซเคเมย์บินลงมา เชลซีก็ชี้ไปที่เธอแล้วก็ตะโกนเข้าใส่ พอเมรี่จะพยายามเข้าไปห้าม เธอก็ล้มลงจนศีรษะจมลงไปในโคลน โทตะและโยลก็หัวเราะออกมาในตอนที่เข้าไปช่วยเมรี่
มิสมาร์เกอริตเป็นคนเดียวที่มองดูอยู่ห่างจากคนอื่น เรื่องต่างๆมันวุ่นวาย แต่มันก็เป็นความวุ่นวายในความสงบสุข เรื่องราวกำลังมุ่งหน้าไปสู่การแก้ไข ทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกเธอโล่งอกเพราะไม่ได้มุ่งหน้าเข้าหาหายนะ แบบนี้คงไม่เป็นอะไร ไม่มีปัญหา
มิสมาร์เกอริตเอามือไปแตะปีกหมวกและดึงลงมา เธอเป็นคนเดียวที่คอยกังวลว่าเรื่องราวต่างๆจะเป็นไปได้ดีรึเปล่าอยู่ตลอด —สำหรับเธอแล้วมันจำเป็นต้องกังวล เพราะมันมีเหตุผลมากกว่ายิ้มให้ทุกคนอย่างมองโลกในแง่ดี แต่เธอก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่านิสัยเช่นนี้มันทำให้ตัวเองรู้สึกทรมาณ
มิสมาร์เกอริตหันหน้าออกจากอาคารก่อนที่จะมองไปด้านหลัง ที่นั่นคือป่า ต้นไม้จำนวนมากเรียงรายกันจนทำให้เธอมองทะลุผ่านไม่ได้ มิสมาร์เกอริตตั้งใจฟังเสียงของป่า มันมีบางอย่างกำลังมาทางนี้ เร็วมาก เร็วเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะเคลื่อนไหวได้ เธอเอามือจับไว้ที่ดาบ แม้ว่าจะอยู่ในฝัก แต่เธอก็สามารถชักออกมาได้ในทันที
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าอย่างชัดเจน และเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังหอบ เสื้อคลุมสไตล์จอมเวทแบบนั้น —ราเรโกะนั่นเอง ท่าทางของเธอดูตื่นตระหนกในตอนที่กำลังวิ่ง พอสายตาของเธอสบเข้ากับมิสมาร์เกอริต มันดูเหมือนว่าใบหน้าของเธอกำลังอ้อนวอนอยู่ มิสมาร์เกอริตวิ่งหลบต้นไม้และรากไม้ในป่าเพื่อเข้าไปหาราเรโกะ
“แย่แล้ว… แย่แล้ว… แย่สุดๆเลย” ราเรโกะพูด “ประตู… ประตูมันพังแล้ว”
มิสมาร์เกอริตหน้านิ่ว ความรู้สึกไม่ดีของเธอเพิ่มสุงขึ้น “แบตเตอร์รี่ใช้ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“งั้นก็มีอุบัติเหตุ? หรือว่าของมันเก่าจนพังไปแล้ว?”
“มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นค่ะ ประตูมันถูกหั่นออกเป็นสองซีก”
เธอพูดว่ามันพังได้ในทางที่โดนทำลายโดยเจตนาเท่านั้น คิ้วของมิสมาร์เกอริตย่นเข้าหากัน เธอทำท่าทางให้ดูว่างเปล่า ลดเสียงลงตำและถามว่า “แล้วไมยะอยู่ไหน?”
“เธอวิ่งออกไปยังประตูทางทิศเหนือเพื่อป้องกันเอาไว้ค่ะ เธอบอกว่าให้ดิฉันกลับมาที่นี่เพื่อบอกคุณแค่คนเดียว…”
ไม่ใช่การตัดสินใจที่แย่ หรือเหมือนว่ามิสมาร์เกอริตจะคิดแบบนั้น แล้วทีนี้เธอควรจะทำยังไงต่อล่ะ? เธอไม่ได้มีเวลามากพอที่จะคิดเรื่องนี้อย่างเต็มที่ “เรื่องที่ประตูพังแล้วอย่าเพิ่งบอกใคร”
“หือ? อ๊ะ ค่ะ”
“แล้วก็คอยจับตาดูทุกคนเอาไว้ถ้ามีใครทำอะไรแปลกๆ”
“ได้ค่ะ เข้า—”
มิสมาร์เกอริตวิ่งออกไปโดยไม่ได้รออีกฝ่ายพูดจบ
มานาซุบบอกเธอซิบข้างหูว่า “ชั้นให้ 7753 ตรวจดูแล้วว่ามีใครรู้เรื่องสถานการณ์นี้รึเปล่า” มิสมาร์เกอริตรู้สึกประทับใจ เธอคิดว่ามานาจัดการงานได้ดีแม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย —แต่มานาก็บอกว่าเธอแค่คิดมากเกินไป เพราะผลการสืบสวนมันบอกว่า ไม่ใช่พวกเธอ ไม่มีใครจงใจทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดังนั้นมันมีใครบางคนพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่ออะไรบางอย่างรึเปล่า? ฝั่งอากิสามคนอยู่ในห้องของเธอ มานากับ 7753 อยู่ในโถงใหญ่ เชพเพิร์ดพายและรากิอยู่ที่ห้องบริหารจัดการ ไมยะและราเรโกะมุ่งหน้าไปที่ประตู ส่วนจอมเวทที่เหลือและเมจิคัลเกิร์ลอยู่ในสายตาของมิสมาร์เกอริต
บางครั้งจอมเวทก็จะมีปีศาจคอยรับใช้ ปีศาจพวกนั้นมีความสามารถมากพอในการทำลายประตูได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องออกจากอาคารหลัก เมจิคัลเกิร์ลเองก็มีเวทมนตร์ พวกเธอสามารถใช้ทำลายอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลออกไปได้ ทุกคนล้วนน่าสงสัยอย่างเท่าเทียมกัน
ประตูพวกนี้ไม่สามารถถูกทำลายได้อยากอิสระ มันคือประตูเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทนแดดและฝน หากเรื่องที่ราเรโกะพูดถูกต้อง แบบนั้นก็มีใครบางคนทำลายมันอย่างจงใจ มิสมาร์เกอริตกระโดดขึ้นจากพื้น พุ่งทะลุผ่านระหว่างต้นไม้ การที่ราเรโกะรายงานผิดพลาดตั้งแต่แรกมันมีความเป็นไปได้แค่ไหนกันนะ —ไม่สิ ไม่ใช่แบบนั้น มิสมาร์เกอริตเชื่อใจไมยะ ซึ่งนี่ก็ทำให้เธอเชื่อใจราเรโกะไปด้วย แถมไมยะก็ยังเชื่อใจในตัวเธออีก มิสมาร์เกอริตถอนหายใจออกมา ราเรโกะเลือกเหล็กเขี่ยไฟเป็นอาวุธของตัวเอง เธอรู้ว่าควรจะใช้มันยังไง ท่าทางที่เธอถือเอาไว้ การขยับเท้าและท่ายืนล้วนเหมือนกับไมยะ การคิดว่าไมยะเป็นคนสอนเธอเรื่องการใช้คฑาคงไม่ใช่เรื่องผิด การที่ไมยะสอนทักษะของตัวเองมันหมายถึงเธอยอมรับราเรโกะเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง เธอไม่สามารถสอนคนที่ตัวเองไม่เชื่อใจในเรื่องการต่อสู้ได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วมันคือการบอกจุดอ่อนของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้
มิสมาร์เกอริตกระโดดข้ามผ่านรากไม้ขนาดใหญ่ แล้วก็กระโดดออกไปจากหน้าหิน
เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในที่แห่งนี้ตั้งแต่แรก เธอเข้าใจบางอย่างแค่คร่าวๆ —โดยไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนดิน คอนกรีต ยางมะตอย หรือบางทีอาจจะยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เธอยืนอยู่ที่นี่เพราะมันสามารถรับน้ำหนักของตัวเองไว้ได้ชั่วครู่ เมื่อสถานการณ์มันเป็นไปในทางที่เธอสามารถเชื่อใจใครบางคนได้ “เพราะบางคนที่ควรค่าในการเชื่อ” มันก็ทำให้แย่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กลิ่นเกลือทะเลลอยมาแตะจมูกของเธอแรงขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ป่าสิ้นสุดลง และมิสมาร์เกอริตก็เข้ามาในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิน เธอมองเห็นประตูในทันที —พร้อมกับกัดริมฝีปาก ร่องรอยของความรุนแรงและเหี้ยมโหดยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนตรงซากที่เหลืออยู่ ราวกับว่ามันถูกฉีกจนขาดอย่างบ้าคลั่ง แผงวงจรที่ใช้สัมผัสถูกบดขยี้ ด้านบนและล่างของประตูถูกแยกออกเป็นส่วนๆ แม้ว่าจะสัมผัสถึงตัวตนของใครไม่ได้ มิสมาร์เกอริตก็ชักดาบออกมาด้วยความระวังตัว
เธอเลื่อนเท้าไปตามพื้นเพื่อเข้าหาประตู จากนั้นเธอก็เห็นว่าที่ด้านหลังมันมีของเหลวสีแดงกระจายอยู่เป็นแอ่ง สีมันคล้ำ เธอรู้ดีว่าของเหลวนี้คืออะไร แต่คำถามคือมันเป็นเลือดของใคร —และเธอก็รู้คำตอบอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีหญิงสาวในชุดสูทนอนคว่ำหน้าอยู่ คฑาอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร และมันก็เปียกไปด้วยน้ำทะเล
ลวดลายสีขาวชมพูที่ดูเด่นชัดเหมือนกับลูกกวาด ไม่ผิดแน่ มันคือคฑาเวทมนตร์ที่ไมยะใช้
มิสมาร์เกอริตจับร่างและพลิกกลับ ท่าทางนั้นดูบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด เธอคือไมยะจริงๆ
หากคฑาเวทมนตร์ของเธอกลิ้งอยู่ แบบนั้นมันก็หมายความว่าเธอต้องแปลงร่าง เธอตายในตอนที่กำลังแปลงร่างและคฑามันก็หล่นลงมา
คลื่นซัดเข้ามากระแทกกับก้อนหินและกระจายออกเป็นละออง น้ำทะเลเข้ามาปนเข้ากับบ่อเลือดขนาดใหญ่
ไมยะคือคนที่เชี่ยวชาญการใช้คฑาตัวจริง ผู้คนพูดกันว่าหากเผชิญหน้ากับเธอ เธอก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหลงไหลไปกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย การขยับเท้า และวิธีการที่เธอถือคฑา เธอต่อสู้อย่างเท่าเทียมที่สุดกับผู้ที่อยู่อันดับต้นๆที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ ชื่อของเธอเองก็อยู่ในอันดับบนๆของงานอีเวนท์ตลอดด้วย
ใครกันที่สามารถฆ่าไมยะได้? นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ปีศาจหรือโฮมุนครูสจะทำได้อีกด้วย
และอีกอย่างหนึ่ง….
หากมองดูบาดแผลที่ใบหน้า มันก็หมายความว่าเธอถูกฆ่าตายด้วยการฟันตรงหน้า การฆ่าไมยะด้วยการโจมตีตรงหน้ามันค่อนข้างยาก แม้ว่าจะเป็นมิสมาร์เกอริตเองก็ตาม
มิสมาร์เกอริตขอโทษไมยะอยู่ในใจ จากนั้นก็หยิบคฑาของเธอขึ้นมาและวิ่งไปยังอาคารหลัก มันสามารถบอกได้ว่าเธอขอโทษที่ทิ้งร่างของไมยะเอาไว้ และยังพูดได้อีกว่าเธอขอโทษที่เอาคฑาของไมยะไปด้วย แต่สุดท้ายแล้ว การพูดว่าเธอขอโทษเพราะว่าอยากทำแบบนั้นจะเป็นเรื่องที่ถูกที่สุดแล้ว
MANGA DISCUSSION