จากการทดลองที่ผิดพลาด มันได้พรากจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ไปจากโลกใบนี้ ชายที่แสนยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ได้สรรสร้างเวทมนตร์และไอเท็มขึ้นมานับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงทำให้ผู้คนมากมายในดินแดนเวทมนตร์เศร้าโศกต่อการจากไป
หลังจากที่ความตายผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่เดือน ตัวแทนของเขาได้เริ่มส่งคำเชิญไปหาคนที่เกี่ยวข้อง คำเชิญนั้นบอกไว้ว่าให้มาที่เกาะร้างแห่งหนึ่งอันไร้ผู้คนที่จอมเวทผู้ล่วงลับใช้เป็นห้องทดลอง และมันก็ยังมีเงื่อนไขบางประการที่เขียนเอาไว้ด้วย
คำเชิญบอกไว้ว่า :
จดหมายฉบับนี้ได้ถูกส่งไปหาผู้ที่มีสิทธิสืบทอดอย่างถูกต้อง ผู้ใดที่จะได้รับสืบทอดมรดกของผู้ล่วงลับนั้นจะถูกตัดสิน ณ สถานที่ที่ได้กำหนดไว้ คนที่เพิกเฉย คนไม่ตอบสนองต่อคำเชิญนี้จะสูญเสียสิทธิในการสืบทอดอย่างถูกต้องไป และผู้สืบทอดแต่ละคนสามารถพาเมจิคัลเกิร์ลร่วมทางมาได้สูงสุดสองคนเท่านั้น
มานาที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดที่ได้รับจดหมายฉบับนี้คิดว่าเนื้อหามันน่าสงสัย แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ติดต่อเมจิคัลเกิร์ลสองคนที่สนิทกันให้ร่วมทางไปด้วย…
บทนำ
หากจะพูดเรื่องชื่อทางการของสถานที่แห่งนั้น มันก็จะมีชื่อของผู้ก่อตั้งรวมอยู่ด้วย —“ห้องทดลองการจัดการภัยพิบัติแบบอเนกประสงค์ พอส ราพู เดียม” จอมเวทบางคนเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน แต่ถ้าพูดเพียงสั้นๆแค่ “ห้องทดลอง” เหล่าจอมเวทก็จะพยักหน้า แล้วพูดว่า อ๊ะ ที่นั่นเองเหรอ บางคนอาจจะตกใจ บางคนอาจจะเมินเฉย และบางคนก็อาจจะยิ้มออกมาเช่นกัน
นับตั้งแต่ยุคสมัยแห่งตำนานของปฐมจอมเวทที่ได้สร้างดินแดนเวทมนตร์ขึ้น มันก็มีหลากหลายองค์กรที่เป็นดาวเด่นได้ถูกก่อตั้งเพื่อค้นคว้าเวทมนตร์อันเป็นรากฐานของประเทศขึ้นมาด้วย และในหมู่องค์กรเหล่านี้ ห้องทดลองคือสถานที่่ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ที่สุด
มันมีข่าวลือว่าทางห้องทดลองได้ทำการทดลองมนุษย์อันแสนโหดเหี้ยมอำมหิตที่เพิกเฉยต่อกฏหมายและจริยธรรม บางทีข่าวลือนี้อาจจะเป็นการพูดกันแบบเกินจริง สถานที่เองก็ไม่ได้ดูเลวร้าย ความหวาดกลัวอาจทำให้จินตนาการอยู่เหนือความเป็นจริง แต่บุคคลากรในห้องทดลองก็ไม่ได้ปฎิเสธข่าวลือแต่อย่างใด —ความจริงแล้วพวกเขาใช้ประโยชน์จากมันเพื่อภาพลักษณ์ของตัวเองด้วยซ้ำ สำหรับพวกเขาแล้วมันมีประโยชน์ ทำให้ได้เปรียบในการต่อรองอีกด้วย
“พวกเรารู้ดีถึงเรื่องข่าวลือที่ว่าพวกเรานั้นโหดร้ายป่าเถื่อนแบบผิดมนุษย์ แต่คนจำพวกที่ก่นด่าพวกเราอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์นั้นเข้าใจรึเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พวกเราแค่ทำงานแบบมีความยืดหยุ่นสูง สร้างตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ต้องการ” พวกคนตำแหน่งสูงในห้องทดลองมักพูดอะไรแบบนี้ คุยโวโอ้อวดเรื่องของตัวเอง
ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่ว่า คนเหล่านั้นสามารถทำในสิ่งที่องค์กรอื่นๆไม่สามารถทำได้ เพราะความภาคภูมิใจที่มีเป็นสิ่งที่ขวางกั้นเอาไว้ หากดูเหมือนว่าไม่สามารถจัดการอะไรบางอย่างได้ด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะมองไปรอบๆตัว ก้มหัวลงไปยังที่ไหนซักที่เพื่อขอความช่วยเหลือ ต่อให้จะเป็นโปรเจคใหญ่ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมระหว่างฝ่ายได้ พวกเขาก็จะไม่เอาแต่สร้างโปรเจคนั้นอยู่ภายในเพียงอย่างเดียว และนั่นก็คือวิธีการของทางห้องทดลอง
สำหรับโปรเจคที่มันวนเวียนอยู่กับความล้มเหลวที่ซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะเปลี่ยนวิธีการหรืออุปกรณ์อย่างไร ทุกคนก็เห็นได้ชัดว่ามันห่างไกลจากความสำเร็จ —นี่คือจุดที่ห้องทดลองแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น หากพวกเขาไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง พวกเขาก็แค่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น
จอมเวทไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์นได้เลือกแคนดิเดทไว้เป็นจำนวนมาก เขาอยู่ในวัยที่ยังคงมองจอมเวทมากประสบการณ์จากห้องทดลองเป็นเด็กหน้าใหม่ แต่เขาเองก็ยิ้มแย้มและเต็มไปด้วยพลังของวัยเยาว์ในแบบของเขา มีแรงขับเคลื่อนของตัวเอง
ซาตาบอร์นใช้ทรัพย์สินที่ตนได้รับสืบทอดมาจากครอบครัวหมดไปกับงานทดลองที่เป็นงานอดิเรก แต่ถึงเขาจะมีส่วนร่วมกับการทดลองและทำการค้นคว้าจากจุดที่ไม่ต้องประสบกับปัญหา เขาก็เปิดเผยจุดสำคัญออกมาด้วยตัวเอง มันคือสิ่งที่ปกติแล้วไม่มีทางเข้าถึงได้จากสังคมภายนอก ถ้าไม่ได้มีความเชี่ยวชาญก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สิ่งที่คิดออกมาได้เป็นส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องที่อาจารย์จะดุด่าว่าหากทำอะไรแบบนั้นมันจะจบไม่สวยแน่
แต่ซาตาบอร์นไม่ได้มีอาจารย์ที่จะมาโกรธเขา แถมตัวเขาเองก็น่าเกรงขามมากพอ ความสามารถเองก็เป็นที่รู้กันโดยทั่ว เขาถูกยกย่องว่าเป็นจอมเวทที่สามารถทำได้ทุกสิ่งมาตั้งแต่เด็ก —เป็นอัจฉริยะประเภทที่ไม่ได้มีมาตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของดินแดนเวทมนตร์— และเมื่อเป็นเรื่องความสามารถในการพัฒนาเวทมนตร์แขนงใหม่แล้ว การจะพูดว่าทักษะของเขานั้นไร้ที่ติก็ไม่ได้เกินจริงเลย ทักษะเหล่านี้เองก็ไม่ได้ด้อยลงเมื่อเขาอายุมากขึ้น ซาตาบอร์นยังคงพัฒนาเวทมนตร์แขนงใหม่อย่างขยันขันแข็ง
เรื่องความสามารถของซาตาบอร์นมันไม่จำเป็นต้องถามถึง แต่การพูดว่ามันไม่มีปัญหาเลยก็ไม่ถูกต้อง คนอื่นๆต่างก็พูดกันว่าเขานั้นประหลาดแถมยังหัวรั้น หากเขาออกนอกลู่นอกทางมากจนเกินไปจนควบคุมอะไรไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์แล้วที่จะให้เขาทำงานอีก หน่วยสืบราชการลับที่อยู่ภายใต้อำนาจของห้องทดลองจึงถูกส่งออกไปทำการสืบสวนเรื่องบุคลิกของซาตาบอร์น
ซาตาบอร์นนั้นรู้สึกพึงพอใจตราบใดที่เขาทำการวิจัย เขาไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาแม้กระทั่งในตอนที่ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นตามที่คิด เขาขยับไปสู่โปรเจคถัดไปจนทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกประหลาดใจ
ครั้งหนึ่งเขาเคยมีคนรัก แต่เขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามความต้องการของอีกฝ่าย อีกทั้งฝ่ายหญิงเป็นคนที่เข้ามาหาเขาก่อนที่จะหายตัวไปไม่นานหลังจากมีลูก นี่เธอรู้สึกเบื่อหรือเพราะกังวลว่าลูกของตัวเองจะถูกซาตาบอร์นใช้เป็นตัวอย่างทดลองกันนะ?
ซาตาบอร์นไม่เคยหัวเราะกับมุขตลกของใคร แต่บางครั้งเขาก็ยิ้มออกมาราวกับว่าไม่มีอะไร
บางคนอาจจะได้อยู่ที่นี่ แต่ถ้าซาตาบอร์นไม่ได้สนใจในตัวคนเหล่านั้น ซาตาบอร์นก็จะไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่เลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจคนอื่น แต่เขาไม่รู้ว่ามีคนอยู่ที่นั่นจริงๆต่างหาก
หากมีใครที่สามารถคุยกับเขาได้ มันก็คือสิ่งที่บ่งบอกว่าคนๆนั้นคือนักวิจัยอันแสนฉลาดเฉลียว ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ บทสนทนาก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย
ครั้งหนึ่งซาตาบอร์นหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยมากจนลืมทานอาหารทำให้เกือบเสียชีวิต จากนั้นเขาก็พัฒนาเวทมนตร์สำหรับเติมเต็มสารอาหารออกมา กำจัดอันตรายจากความหิวทิ้งไป
เหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้คุณค่าชีวิตของตัวเอง เขาทำการทดลองแสนอันตรายกับตัวเอง เมื่อคนอื่นพยายามจะหยุดเขา เขาก็มองกลับไปอย่างสงสัยว่าทำไม
หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้าพี่น้องของตัวเองมาอย่างยาวนาน ซาตาบอร์นยังลืมแม้กระทั่งหน้าตาของเขาไป จนต้องพูดออกมาว่า “นี่นายเป็นใครน่ะ?”
เขาไม่ได้อาบน้ำมานานมากจนกลิ่นมันตลบอบอวลไปทั่วห้อง ครั้งหนึ่ง เมดสาวที่ไม่ได้ระมัดระวังได้เปิดประตูห้องทดลองออก และโดนกลิ่นภายในห้องตีเข้าหน้าจนถึงขั้นสลบไป
การที่เขาหันหลังให้เรื่องจริยธรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามซื้อไอเท็มเวทมนตร์ผิดกฏหมายจากโรงรับจำนำที่น่าสงสัย และผลได้กลับมาคือมีเจ้าหน้าที่มาคอยจับตามองดูเขาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งมองลึกลงไปในตัวของเขามากเท่าไหร่ ก็จะพบเรื่องแย่ๆมากขึ้นเท่านั้น ทุกคนที่พูดถึงเขาล้วนโมโหและกระตือรืนร้นที่จะพูดถึงความประหลาดของซาตาบอร์นไปพร้อมๆกัน
เขาไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่าย —แต่เขาเองก็ทรงพลังเกินไปที่จะปล่อยไปเฉยๆโดยไม่เอามาใช้งาน บางที คนที่ต้องการใช้นักวิจัยคนนี้ก็เพื่อที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆอาจไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนั้น ตราบใดที่มีงานวิจัยให้ทำสำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ได้แย่ มันดีกว่ามากที่จะปล่อยให้จอมเวทผู้ทะเยอทะยานเข้ามายุ่งด้วยแบบไม่ฉลาดนัก
บ่อยครั้งที่ห้องทดลองมักใช้ความจริงที่ว่าพวกเขานั้นกลัวในการขอความร่วมมือจากภายนอกที่เปรียบเสมือนเป็นการโดนข่มขู่หรือแบล็คเมล แต่วิธีการเช่นนี้บางทีอาจไม่ได้ผลกับซาตาบอร์น มันคงเป็นหายนะหากพวกเขาทำให้ซาตาบอร์นไม่พอใจโดยไม่ระวัง ส่วนการก้มหัวให้พร้อมเสนอเงินก้อนโตนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะมันอาจไม่ได้ทำให้เขารับฟังเช่นกัน
ทางฝ่ายได้พบปะกันหลายครั้งถึงปัญหานี้แต่ก็ไม่เคยได้ข้อสรุป มันเป็นการก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วก็ถอยหลังสองก้าวอย่างไร้ประโยชน์ จนสุดท้ายพวกเขาก็เบื่อการพบปะ และเมื่อหัวหน้าพูดขึ้นมาในจุดนี้ว่า ทำไมถึงไม่โยนทุกอย่างให้หมอนั่นไปเลยซะล่ะ? ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความคิดนี้และตัดสินใจว่าในตอนนี้กันว่าอาจจะลองถามเงื่อนไขของซาตาบอร์นดู
เงื่อนไขนั้นกลับออกมาเป็นอะไรที่ง่ายๆและตรงไปตรงมา : จัดตั้งฝ่ายวิจัยตามที่ซาตาบอร์นต้องการ เขาจะทำทุกอย่างเพียงคนเดียว ห้ามบ่นและเข้ามารบกวน
มีเพียงจอมเวทไม่กี่คนที่สามารถยื่นข้อเสนอขนาดนี้ต่อห้องทดลองได้ แต่คนๆนี้คือ ไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์น คนประหลาดที่อาจพูดอะไรออกมาก็ได้ ดังนั้นมันจึงสามารถพูดได้อย่างน่ายินดีว่า ดีแล้วที่ยื่นข้อเสนอแบบธรรมดาออกมา
เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่ปล่อยทุกอย่างให้ซาตาบอร์นจัดการ เอาเขามาอยู่ในสายตาเพื่อจับตาดู และมอบงานให้ทำได้แล้ว ซาตาบอร์นก็ได้รับเกาะแห่งหนึ่งมาในฐานะสิ่งอำนวยความสะดวกในงานวิจัย
ตอนที่ 1:
เหล่าคนที่มารวมตัว
นอกจากก้อนหินตรงแหลมที่ยื่นออกมาด้านเหนือสุด ชายหาดที่ทอดยาวออกไปทางใต้ และที่พักในสไตล์ของปราสาทหินที่ตั้งอยู่ตรงใจกลาง เกาะแห่งนี้ก็ถูกย้อมไปด้วยสีเขียว ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด ชายคนหนึ่งถอนหายใจออกมาในตอนที่เบือนหน้าออกภาพวาดมุมสูงของเกาะ รูปร่างของเขานั้นดูไม่เหมือนกับชายวัยกลางคน แต่ด้วยรูปร่างที่อ้วนแล้วก็เป็นสิ่งที่คาดหวังได้จากช่วงวัย หน้าท้องนั้นใหญ่พอที่จะทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างเชื่องช้า แต่สาเหตุที่เขาถอนหายใจออกมามันไม่ใช่เรื่องของน้ำหนัก แต่เป็นเรื่องที่ห้องนี้มันรกจนทำให้อยากเบือนหน้าหนีต่างหาก
เขาพับชายผ้าคลุมขึ้นแล้วยื่นมือขวาออกไปนอกห้อง ขยับนิ้วโป้งราวกับว่ากำลังลูบตรงระหว่างข้อกับปลายของนิ้วชี้ ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ เก้าอี้ก็เลื่อนไปด้านข้าง เตียงนอนก็ตะแคง และขวดเปล่า ชิ้นส่วนโลหะ กระดาษม้วนที่กองกันอยู่ด้านบนก็ร่วงลงมาบนพื้น พรมเองก็ม้วนแล้วก็ลงไปในถังขยะพร้อมกับฝุ่น มันยังคงมีฝุ่นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศก็จริง แต่ตอนนี้ห้องก็สะอาดมากพอแล้ว
ห้องนี้มีขนาดเล็กที่แต่ละด้านมีขนาดราวสามเมตร —ราวกับว่าเป็นตู้เก็บของไม่มีผิด ผนังหินสีเทานั้นเปลือยเปล่า ภาพวาดที่แขวนอยู่ก็เป็นภาพที่มองเห็นตัวเกาะทั้งหมด บานหน้าต่างใหญ่และหนักที่ปิดเอาไว้มีแสงจันทร์และดวงดาวลอดผ่านเข้ามาในห้อง โต๊ะและเก้าอี้ไม้ก็ไม่ได้เรียบ นอกจากนั้นก็มีปากกาขนนก เครื่องเขียน หมึก กระดาษซับมัน เทียนกลิ่นหอมสมุนไพรที่อยู่ตรงเชิงเทียน และอุปกรณ์การเขียนอย่างอื่นที่จำเป็น
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมสูดลมหายใจเข้าไปเล็กน้อย แต่ยังคงได้กลิ่นฝุ่นอยู่
เขาดึงเอาพวงกุญแจออกมาในตอนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง และใช้กุญแจสามดอกเพื่อไขล็อคหน้าต่างบานเก่า พร้อมบ่นกับตัวเองว่าเจ้านี่มันควรใส่น้ำมันได้แล้ว จากนั้นเขาก็เอามือจับหน้าต่างแล้วเปิดออกด้วยมือทั้งสองข้าง ด้านล่างคือป่าสีเขียวที่มองเห็นได้จนสุดเกาะ ถัดจากนั้นคือท้องทะเลสีน้ำเงินดำทอดยาวออกไปจนสุดขอบฟ้า เสียงและกลิ่นของคลื่นพัดเข้ามาในห้อง พัดเอากลิ่นอับที่อยู่ภายในออกไป จนในตอนนี้ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นของทะเล กลิ่นของลมยามค่ำคืนมันมีความขมกว่าปกติแถมยังทำให้ผิวหนังรู้สึกเย็น แม้ว่าเกาะแห่งนี้ในตอนกลางวันจะรู้สึกร้อน แต่ตอนเย็นจะรู้สึกหนาวอย่างน่าประหลาด ร่างกายเขาเองก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้ปิดหน้าต่าง
ครั้งหนึ่ง ห้องนี้เคยเป็นของนักวิจัยที่แปลกประหลาด คนที่คิดถึงเรื่องกลิ่นของทะเลอันสดใส เสียงคลื่นที่กระทบหาด ความเย็นของสายลม และทุกๆอย่างที่เป็นสิ่งรบกวนอย่างไม่จำเป็น เขาอยู่ภายในห้องนี้อย่างโดดเดี่ยวด้วยเวทมนตร์ ในฐานะที่เป็นสถานที่ที่สบายใจที่สุดในการใช้เวลาของตัวเองให้จมไปกับงานวิจัยโดยไม่จำเป็นต้องมีอาหาร การนอนหลับ หรือผ่อนคลายใดๆ เพราะสำหรับเขาแล้วการทดลองมันคือความสุข ใครก็ตามที่รู้จักชายคนนี้ก็จะเห็นด้วยอย่างมั่นใจและบอกว่าถูกต้องแล้ว
ชายตัวกลมที่ยังคงยืนอยู่ในห้องคือหลานของนักวิจัยที่ว่า ตัวของเขาไม่ใช่นักวิจัย ไม่ใช่คนที่ทำวิจัยแบบอิสระเหมือนกับลุงของตัวเอง หรือเป็นคนที่มีการงานมั่นคง เขาเป็นคนที่มีเวลาว่างส่วนตัวสูง ใช้ชีวิตเพื่อค้นหาความสุขและของอร่อย ไม่ใช่ว่าจอมเวททุกคนจะเป็นคนที่ทุ่มเททั้งร่างกายและวิญญาณลงไปเพื่อพัฒนาเวทมนตร์ หากลองถามคุณลุงของเขา คนที่สนใจงานวิจัยของตัวเอง ลูกหลานของเขาก็จะ “เป็นเรื่องธรรมดาที่จะใช้ความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษของตัวเองแบบง่ายๆโดยไม่ได้พยายามไปให้เหนือกว่านั้น” แต่หลานชายคนดังกล่าวก็ประกาศออกมาอย่างแข็งกร้าวว่าคนที่ใช้ชีวิตอย่างสูงส่งด้วยความพอใจนั้นมักโดนวิจารณ์แบบเสียๆหายๆตลอดอยู่แล้ว
ชายคนนี้ไม่ใช่นักปฎิบัติ ในฐานะจอมเวทมันไม่ใช่แบบนั้น ห้องเล็กๆ กลิ่นของทะเล เสียงของคลื่น ความเหน็บหนาวของสายลม ความหิว และความเหนื่อยล้า —ความไม่สะดวกสบายที่ไม่จำเป็นทุกอย่างที่ลุงของเขาได้กำจัดไปในฐานะสิ่งไม่พึงประสงค์ ชายคนนี้คิดว่ามันสง่างามมาก มันไม่ใช่เรื่องแย่ก็จริงที่ถูกบังคับให้เจอกับความลำบาก การจุดไฟด้วยอุปกรณ์จากยุคหินมันคงสนุกกว่าการสร้างไฟด้วยการใช้คำสั่งแค่คำสั่งเดียวอยู่แล้ว
ลุงของเขาบอกว่าการสนุกไปกับความลำบากมันคือความเย่อหยิ่งของชนชั้นสูง —เหล่าคนที่อยู่ท่ามกลางความโชคร้ายจะชอบจอมเวทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประสิทธิภาพ เปลี่ยนโลกใบนี้ให้มีอนาคตที่ดีขึ้น เรื่องนี้มันก็มีความจริงอยู่บ้าง แต่ถ้านี่คือความหยิ่งยโสแล้วล่ะก็ ชายคนนี้ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันทำให้เขารู้สึกยังไงมากกว่า เมื่อเป็นสถานที่ของลุงแล้ว เขาก็จะสามารถทำในสิ่งต่างๆได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดการวิธีการของลุงของเขา เพราะในตอนนี้เจ้าตัวไม่ได้อยู่อีกแล้ว
แต่ถึงอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ต้องเติมเต็มความปรารถนาของผู้เป็นลุง เขานั่งลงไปบนเก้าอี้และกำลังจะหยิบปากกา ในตอนนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี เขาเงยขึ้นและพูดว่า “เข้ามาสิ”
ประตูเปิดออกด้วยเสียงเอี๊ยด นี่เองก็ต้องหยอดน้ำมันเหมือนกัน
เมจิคัลเกิร์ลที่เขาจ้างมาเมื่อวันก่อนก้มหัวลงอย่างนอบน้อม “อาคารรอง… เดี๋ยวสิ นี่เรียกว่าอาคารรองใช่ไหม?”
“ใช่ อาคารรอง”
“งั้นเหรอ งั้นเราทำความสะอาดอาคารรองเสร็จแล้วล่ะ”
ชุดเดรสและหมวกที่ทำจากผ้าขนสัตว์ดูนุ่มฟู แขนเสื้อยาวจนปิดแขนไว้ทั้งหมด ที่รอบข้อมือเองก็มีขนสัตว์อยู่จำนวนมาก ถุงน่องที่สวมเอาไว้ทำให้ดูเป็นชุดที่สุภาพเรียบร้อย ชายผู้นี้มีอคติที่เกือบจะเชื่อว่า “โดยทั่วไปเมจิคัลเกิร์ลจะสวมชุดที่เปิดเผยเนื้อหนัง” แต่เขาเองก็คิดว่าเพราะส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน เมจิคัลเกิร์ลที่สวมชุดสุภาพเรียบร้อยจะมีค่ามากเป็นพิเศษ มันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด —ว่าสิ่งพวกนั้นมีไว้แค่เพื่อความงดงาม มันไม่จำเป็นต้องอธิบายทั้งหมดออกมาเป็นคำพูด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถบอกได้ว่า “เป็นคนที่มีรสนิยมยังไง” ก็ได้
“ขอบคุณ” เขาตอบกลับพร้อมกับยิ้มออกมาและมองดูเด็กสาว แน่นอนว่าใบหน้าของเธอนั้นงดงาม เส้นผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ตัดสั้นเสมอกันโดยไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่น พอรวมกับชุดที่เรียบร้อยแล้ว ทรงผมที่ตัดเสมอกันมันเลยทำให้เธอดูภูมิฐาน นี่เองก็เป็นเรื่องดี เป็นเมจิคัลเกิร์ลประเภทที่ต้องมีไว้เป็นลูกจ้าง
แกะที่อยู่ด้านหลังเธอร้องออกมาว่า แบะะะ และเธอก็รีบจับตัวแกะเอาไว้ไม่ให้หนี ความงดงามของเด็กสาวที่ผสมผสานกับความน่ารักของสัตว์มันช่างน่าหลงไหล เรื่องกลิ่นของสัตว์และรอยเท้าบนพรมเขาจึงไม่ได้คิดมาก ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
แกะมันร้องออกมาเสียงดัง สะบัดตัวออกจากเด็กสาวแล้ววิ่งออกไปตามทางเดิน จากนั้นตัวของเด็กสาวก็ลอยขึ้นไปในอากาศจากแรงของแกะ ร่วงลงมาที่ทางเดินหินก่อนที่จะกระแทกเข้ากับผนัง แต่จากการที่เธอพยายามป้องกันตัวเองแบบแย่ๆเลยทำให้ด้านหลีงศีรษะกระแทกเข้ากับพื้น เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วยื่นมือเข้าไปหาเด็กสาว คนที่นอนตัวสั่นอยู่ที่พื้นที่สองมือกำลังกุมท้ายทอย
“วุ่นวายจังนะ ว่าแต่เป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถาม
เมจิคัลเกิร์ลยกตัวขึ้นด้วยเข่า จากนั้นก็ยืนและโบกมือพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรจริงๆนะ” เสียงมันฟังดูน่าเชื่อ แต่ดวงตาของเธอยังหมุนอยู่เลย
“ไม่เห็นว่าเธอจะดูไม่เป็นไรตรงไหนเลยนะ”
“รู้ไหมว่าเราชอบวาดภาพ”
“หืมมม เรื่องนี้ชั้นไม่เคยได้ยินนะ” เมื่อเขามองไปตามทางเดิน มันก็มีรอยแตกขนาดใหญ่ที่คิดว่าตรงนี้มันไม่เคยมีอยู่มาก่อน
หัวของเด็กสาวส่ายไปมาราวกับลูกตุ้มนาฬิกา แต่เธอก็พูดออกมาได้อย่างแน่วแน่ “แต่ แต่—! แค่นั้นเรามีชีวิตอยู่ไม่ได้หรอก มันน่าเศร้านะ รู้ไหม? ”
“ทำไมถึงพูดเรื่องนี้กับชั้นล่ะ?”
“ไม่เป็นไรนะ เราไม่ได้คิดว่านี่เป็นงานพาร์ทไทม์ตอนเวลาว่างหรอก เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย โอเคนะ งานนี้เราจะพยายามมากๆ พยายามสุดๆ…. อ่าา พยายามให้ดีที่สุดเลยล่ะ”
“นี่เธอไม่เป็นอะไรแน่เหรอ? ชั้นรู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลเป็นพวกคนที่ฟื้นสภาพเร็วนะ แต่นี่—”
“เราจะพยายามสุดๆเลย พยายาม พยามยาม พยายามทำมากๆ เมรี่พยายามมากดังนั้นสำเร็จแน่นอน” เด็กสาวก้มหน้าลงพร้อมปิดประตู เสียงฝีเท้าของเธอไกลออกไปแล้ว
เขาอยากให้เธอพยายามก็จริง แต่ทุกสิ่งที่สัมผัสได้จากเธอมันไม่โอเคเอาซะเลย เขารู้สึกลังเลเล็กหน่อยแต่ก็ตัดสินใจว่าจะเชื่อใจเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามในวิธีของเธอเอง แถมยังมีเสน่ห์ด้วย นอกจากนี้เมจิคัลเองก็แข็งแกร่ง
เอาล่ะ เขียนจดหมายถึงผู้ที่มีสิทธิสืบทอดพร้อมสนุกไปกับเรื่องนี้เลยแล้วกัน เขาคิดพร้อมกับปรับท่านั่งบนเก้าอี้ หันหน้าเข้าหาโต๊ะและหยิบปากกาขึ้นมา แต่ก่อนที่จะจรดปากกาลงไปที่กระดาษ เขาก็รู้ว่ามีปัญหา การมีแค่แสงจากดวงจันทร์และดวงดาวมันทำให้ยากเกินไปที่จะเขียนอะไรลงไป เขามองเห็นอะไรได้ไม่มากพอ เขาจึงดีดนิ้วชี้ จุดไฟเวทมนตร์ขึ้นในมือเพื่อขับไล่ความมืด แสงจากไฟเวทมนตร์ที่เปล่งออกมามีแค่เล็กน้อย แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้มีทางเลือกอื่น สำหรับตัวเลือกอื่นมันจำเป็นต้องรอ เชิงเทียนเงินที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษไปช่างเหมาะกับเรื่องในตอนนี้เสียจริง เขาอยากจะเปลี่ยนการตกแต่งภายใน ภายนอก และสิ่งของต่างๆในบ้านตามรสนิยมของตัวเองไปทีละเล็กละน้อย
ในตอนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับเงื่อนไขแปลกๆ —ให้เอาเมจิคัลเกิร์ลร่วมทางมาด้วย— ที่ผู้ตายใส่เข้ามานั้น ปากกาของเขาก็ขีดเขียนต่ออย่างไม่ได้หยุด
☆ มิสมาร์เกอริต
ฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ลมหนาวกำลังพัดพาอย่างบ้าคลั่ง เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่ชื่อแอนนามารีก็ได้จากโลกใบนี้ไป มันไม่ใช่ความตายอันทรงเกียรติจากหน้าที่ ไม่ใช่การจากไปอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุ แต่เธอไปท้าสู้กับคนของฝ่ายอื่นและถูกจัดการจนหมดสภาพ ในฐานะนักสู้ ในฐานะมืออาชีพและเมจิคัลเกิร์ลแล้ว นี่มันไม่ใช่การตายอย่างมีศักดิ์ศรีเลย หน่วยสืบสวนที่เป็นนายจ้างของเธอได้พยายามจัดการเรื่องนี้
ในตอนที่แอนนามารีทำงานในฐานะผู้ตรวจการณ์ฝึกหัด เธอก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของมิสมาร์เกอริต คนที่เป็นผู้ฝึกสอนการต่อสู้ของตัวเอง เมจิคัลเกิร์ลจำนวนมากได้ฝึกฝนคาราเต้ ยูโด เค็นโด้ และศิลปะการต่อสู้อื่นๆในฐานะมนุษย์ แต่สำหรับหน่วยสืบสวน การต่อสู้มันไม่ใช่ทั้งกีฬาหรือการท้าสู้ ตัวเองก็ไม่ใช่นักกีฬาอีกด้วย —แม้จะเป็นคนที่เคยฆ่าคนมาก่อน บางครั้งก็จะคิดว่าการต่อสู้ของเมจิคัลเกิร์ลเป็นส่วนเพิ่มความรุนแรงในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ให้บาดเจ็บมากยิ่งขึ้น คนอย่างมาร์เกอริตที่สามารถฝึกสอนพื้นฐานการต่อสู้ให้เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นได้จะถูกมองว่ามีศักยภาพสูง และในหน่วนสืบสวนเอง เธอก็มีบทบาทสำคัญ
ลูกศิษย์หลายคนเสียชีวิตไปก่อนมาร์เกอริต บางคนถูกเรียกว่ามือหนึ่ง บางคนก็ทำตามคำแนะนำของเธอที่ให้ย้ายไปทำงานนั่งโต๊ะ บางคนก็ต่อสู้กับเหล่าร้ายจนตายในหน้าที่ บางคนก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองจนหายตัวไปอย่างลึกลับ แอนนามารีเป็นคนเดียวที่โง่พอที่จะโจมตีเมจิคัลเกิร์ลจากฝ่ายอื่นและถูกจัดการจนเสียชีวิตไปซะเอง
มาร์เกอริตถูกสอบสวนแค่เพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น เรื่องความรับผิดชอบนั้นไม่เคยถูกถามถึงเลย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเขียนจดหมายลาออกด้วยตัวเอง หากเธอยังคงเป็นผู้ฝึกสอนต่อไป มันก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจดจำ มาร์เกอริตไม่ได้ฟังเสียงคัดค้านของผู้ที่มีตำแหน่งสูงหรือลูกศิษย์ของตัวเองที่ขอร้องให้เธอเปลี่ยนใจ เธอทิ้งทุกอย่างให้คนรับช่วงต่อแล้วก็ออกจากหน่วยสืบสวนไป
นับตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ได้แต่ใช้เงินเก็บที่มีหมดไปกับการใช้ชีวิต
ตั้งแต่ที่ออกจากหน่วยสืบสวน มาร์เกอริตก็ไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะออกไปทานอาหารข้างนอก เธอเลยหยุดไปยังสถานที่ที่เรียกว่าภัตตาคารชั้นสูงไปด้วย มันไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์หากไม่ได้ไปทานมื้อเย็นกับคนสำคัญของทางฝ่าย แต่โอกาสพิเศษในครั้งนี้ อาจนับได้ว่าเป็นการทานมื้อเย็นกับคนสำคัญเช่นกัน
มาร์เกอริตมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนที่ตกปรอยๆทำให้พื้นกรวดของสนามเด็กเล่นด้านนอกเปียกชื้น สายฝนเบาๆเช่นนี้หากจะกางร่มก็คงน่ารำคาญน่าดู แค่มองออกไปมันก็ทำให้เธอรู้สึกแย่แถมยังเบื่อหน่าย เธอจึงกวาดสายตากลับมาในห้อง หาเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เธออายุประมาณสิบห้า สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันบอกไม่ได้ว่าเป็นเด็กหรือคนแก่ เธอแต่งตัวเรียบง่าย ผมตรงเรียบๆสีดำ กระโปรงยาวสีเทา แต่ชุดเดรสสีขาวที่สวมอยู่มันเล็กไปหนึ่งไซซ์ บวกกับการที่ปลดกระดุมออกสองเม็ด มันจึงทำให้หน้าอกของเธอดูเหมือนจะระเบิดออกมา ย้อนกลับไปในครั้งแรกที่มาร์เกอริตพบกับเธอที่หน่วยสืบสวน เช่นเดียวกับในตอนที่มาร์เกอริตลาออกจากตำแหน่ง พวกเธอต่างก็เสียใจที่ต้องแยกจากกัน เธอมักใส่เสื้อผ้าผิดไซซ์อยู่เสมอ แถมยังม้วนแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาถึงข้อศอกอีก
เธอกำลังกวาดเนื้อไม่กี่ชิ้นด้วยตะเกียบหนึ่งข้างเพื่อเอาขึ้นมาแล้วโปะลงไปที่ไข่ การเอาก้อนเนื้อใส่ปากอย่างตะกละมันดูตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนหวานและบอบบาง เธอเคี้ยวมันช้าๆแล้วก็กลืนลงไป
มาร์เกอริตมองออกไปอีกครั้ง สายตามองไปยังบานเลื่อน มันมีภาพวาดของกระต่ายและกบจำนวนมากที่กำลังทำท่ามวยปล้ำใส่กันในสไตล์อุคิโยเอะอยู่ งานที่เกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ลมักมีอะไรแปลกๆเช่นนี้เสมอ
มาร์เกอริตหันตรงมาด้านหน้า เด็กสาวที่กำลังกินสุกี้ยานี้นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ มาร์เกอริตไม่ชอบจำเรื่องในอดีต เพราะมันมักมาพร้อมกับความเจ็บปวด เด็กสาวคนนี้เคยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของเธอตอนที่อยู่ในหน่วยสืบสวน แค่มองเธอมันก็ทำให้มาร์เกอริตนึกถึงเรื่องในอดีตจนทำให้ในหัวใจของเธอหวั่นไหว การจดจำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจำมันคือความเจ็บปวดทรมาณ แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย —มาร์เกอริตเองก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนเลว— มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องความทรงจำที่มันทำร้ายเธอไปแต่อย่างใด
“ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ? อร่อยนะ” เด็กสาวพูด
“ขอผ่านแล้วกัน” มาร์เกอริตตอบ
คนที่ทำให้เธอนึกเรื่องร้ายๆออกมานั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อไม่รู้ว่าจะมองไปที่ไหน มาร์เกอริตก็มองลงมาที่หมวกที่วางเอาไว้บนตัก ขนนกยูงที่ประดับตกแต่งและผ้าคลุมหน้าที่ทำจากเส้นไหมมันดูแฟนซีเกินไปกว่าที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นเรเปียที่วางเอาไว้ทางด้านขวา มันคือสิ่งที่เธอเอาไว้ใกล้ตัวเสมอ
“อาหารอร่อยนะ นุ่มด้วย” เด็กสาวบอกเธอ
“ถึงจะเป็นคุณยายก็อร่อยเหรอ?”
“ไม่พูดถึงอายุสิ”
“สายไปแล้วล่ะ”
“แล้วจะไม่กินอะไรเลยเหรอ?”
ในตอนนี้มาร์เกอริตไม่มีความรู้สึกอยากเอาอาหารเข้าปากเพื่อความสุข เธอพยักหน้าแบบง่ายๆแล้วยกฝ่ามือขึ้นมาในท่าทางที่บ่งบอกว่าให้เด็กสาวพูดเข้าเรื่องได้แล้ว
เด็กสาวหลับตาลง พยักหน้าสองสามครั้ง แล้วก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างจงใจ “อ่าาา ฉันนี่ดูเป็นตัวเกะกะแบบนี้ตลอดเลย ทั้งตอนอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน ตอนอยู่กับเธอก็เหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งนาน”
“นั่นไม่จริงหรอก”
“พวกเราเคยเป็นคู่หูกันนะ พูดจาสนิทกันกว่านี้ก็ได้ รู้ไหม?”
เธอจะพูดยังไงนะหากมาร์เกอริตตอบกลับไปว่า นี่เธอว่าที่ชั้นอยู่ที่นี่ก็เพื่อทำตามข้อเสนอรึไง? “ชั้นไม่ใช่พวกเป็นมิตรกับทุกคนซักหน่อย”
“ฉันรู้ ฉันรู้ ก็นะ ไม่เป็นไร คนพูดน้อยแบบเธอฉันไม่คิดอะไรมากหรอก”
“โดนพูดแบบนี้ใส่บ่อยนะ”
“แล้วถ้าเป็นคำว่าหน้าไม่อายล่ะ”
“แบบนี้เองก็เหมือนกัน”
“อ่า ก็นะ ฉันมีเรื่องจะขอ มีค่าจ้างให้ด้วย ปกติแล้วมันเป็นเรื่องที่เธอจะคิดว่าไม่ได้อันตรายอะไร แต่ฉันเองก็สัญญาไม่ได้ว่ามันจะปลอดภัยไปตลอดรึเปล่า นั่นหมายถึง งานนี้ควรให้ผู้มีประสบการณ์ที่ไม่ประมาทหรือแสดงจุดอ่อนออกมาเป็นคนทำ แล้วมันก็โชคร้ายหน่อยสำหรับคนที่มีแต่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวจะสบประมาทงานนี้และคิดว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก น่าเบื่อชะมัด”
“ชั้นไม่รับงานหรอก”
“แล้วนี่เธอวางแผนจำศีลเป็นฤาษีไปตลอดยันตายเลยรึไง?”
“ชั้นคิดว่าพอเงินที่เก็บไว้หมดแล้ว ตัวของชั้นจะถูกบังคับให้ทำงานเพราะต้องการเงินไปเอง”
“อะไรล่ะนั่น ฟังดูแล้วหยั่งกับความตั้งใจจะก่ออาชญากรรมเลย!” เด็กสาวพ่นลมออกมา จากนั้นเมื่อเธอเอาไข่ใส่ลงไปเยอะแล้ว เธอก็ใส่ชิราทากิ*ลงไปตาม “ได้ยินว่าเธอยังฝึกฝนเพื่อไม่ให้ฝีมือตัวเองขึ้นสนิมอยู่เลย”
*บุกเส้นขาวที่ทำมาจากข้าวโพดและคอนยัค https://en.wikipedia.org/wiki/Shirataki_noodles
“ไม่รู้นะว่าเธอเอาความคิดนั้นมาจากไหน แต่ต่อให้เป็นฤาษีก็ต้องออกกำลังกายอยู่ดี”
“ก็นะ บางทีเมจิคัลเกิร์ลคงทำแบบนั้น”
“ใช่ เมจิคัลเกิร์ลคงทำแบบนั้น”
“และถ้าเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันก็ต้องช่วยเหลือผู้คนด้วย”
คิ้วของมาร์เกอริตขมวดเข้าหากัน
ดูเหมือนว่าเด็กสาวที่กำลังหั่นเต้าหู้เป็นสี่ส่วนเท่าๆกันแล้วก็กำลังเคี้ยวอยู่อย่างเงี่ยบๆจะไม่ได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย “ไม่เอาน่า อย่าสงสัยเลยนักสิ ใช่ว่าฉันจะขอให้ไปกำจัดอาชญากรด้วยวิธีสุดขั้ว หรือไปแก้ไขข้อพิพาทที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ซักหน่อย ฉันแค่อยากให้เธอช่วยเด็กผู้ชายที่น่าสงสารคนนึงที่ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครเท่านั้นเอง เห็นไหม นี่เป็นงานของเมจิคัลเกิร์ลเลยนะ”
“นี่เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“น้ำเสียงฟังดูกระตือรืนร้นจัง”
“เปล่าซักหน่อย”
“ถ้าเธออยากรู้ล่ะก็ ฉันจะอธิบายให้ฟังแล้วกัน จอมเวทคนนึงที่ไม่ได้มาจากฝ่ายบริหารตายไปเพราะความผิดพลาดในการทดลอง ดังนั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้ที่ตายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนก็เลยมารวมตัวเพื่อคุยกันเรื่องมรดก หนึ่งในผู้สืบทอดก็คือเด็กผู้ชายคนนี้ —ซึ่งเป็นญาตห่างๆนี้แหละ โดยปกติแล้วเขาใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดา ห่างไกลจากเวทมนตร์และทุกๆอย่าง ดังนั้นมันก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะจ้างเมจิคัลเกิร์ลมาเป็นคนคุ้มกัน แถมเขาจะไปแบบไม่มีใครเลยก็ไม่ได้ด้วย”
“อยากให้ชั้นเป็นคนคุ้มกันให้เขาเหรอ?”
“เมจิคัลเกิร์ลทุกคนของห้องเรียน ในตอนนี้ยุ่งกันมากเลย ฉันเองก็ด้วย ทุกคนวิ่งวุ่นกันไปทั่วเพื่อจัดการเรื่องการฝึกของคนที่จ้างมาใหม่แบบที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผล ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่อู้งานล่ะก็ ได้โดนแทงตายจริงๆแน่”
“ห้องเรียน” มันคือชื่อเล่นที่ใช้กันภายในหน่วยสืบสวนที่เราไว้เรียกทีมสืบสวน มาร์เกอริตเองก็สงสัยว่ามันมีเหตุผลอะไรที่รับคนใหม่เข้ามาเอาตอนนี้ เธอวางมือขวาลงบนตัก นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะไปคิด
“…มีคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียนตั้งเยอะที่อยากตอบแทนคุณอาจารย์คนเก่า ” มาร์เกอริตพูด
“ฉันไม่คิดว่าตัวเองควรส่งเมจิคัลเกิร์ลออกไปในที่สาธารณะเพื่องานส่วนตัวหรอกนะ” เด็กสาวตอบกลับ “อีกอย่าง การปล่อยให้ความสามารถของคนๆนึงเสียเปล่าไปมันทำให้ฉันรู้สึกแย่ด้วย”
“คำว่า ‘คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน’ นี่ เธอเข้าใจรึเปล่าว่ามันหมายความว่ายังไง?”
“รู้สิ บางทีเธอก็น่าจะพบเขานะ จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง”
เด็กสาวยกมือขวาขึ้นมาป้องปากแล้วก็ส่งเสียงเรียกดังๆเข้าหาบานเลื่อนตรงหน้าก่อนที่มาร์เกอริตจะทันได้พูดอะไรออกมา “เข้ามาได้เลย!” เมื่อมาร์เกอริตหันไปหา บานเลื่อนก็เปิดออก
เธอสัมผัสตัวตนของเขาที่หายใจอยู่ด้านหลังบานเลื่อนได้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่ามีคนอยู่ที่นี่ เด็กผู้ชายอายุสิบขวบกำลังก้มหน้าลงอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักฮะ!”
คำพูดที่พูดออกมาอย่างสุภาพทำให้มาร์เกอริตตอบกลับไปอย่างสุภาพเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” กลับไปพร้อมมองไปที่เด็กสาว
เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างหน้าไม่อาย “นี่ เข้ามากินสุกี้ยากี้ด้วยกันสิ”
“ได้เหรอฮะ? ดีจัง ผมได้กลิ่นอยู่ตลออออออดเวลาเลย โหดร้ายสุดๆเลยที่ได้กลิ่นแบบนี้ตอนหิว” เด็กชายนั่งคุกเข่าลงไปบนเสื่อทาทามิ สายตาของเขาจับจ้องมาที่คอเสื้อของเด็กสาว จากนั้นก็เป็นสุกี้ยากี้ แล้วก็มาร์เกอริต
“ผู้หญิงคนนี้คือคนที่จะไปด้วยนะ” เด็กสาวพูด
“หวา เท่จัง ดาบนี่ของจริงเหรอฮะ? คุณคือ… เมจิคัลเกิร์ล… ใช่ไหมฮะ?” เขามองที่ดาบของมาร์เกอริตก่อนที่จะอ้าปากออกกว้างพร้อมเสียง โหหหห ที่ดังออกมา
“แล้วนายคือ…?” มาร์เกอริตถามกลับ
“อ๊ะ ผมชื่อโทตะ โทตะ มากาโอกะ ฮะ” เด็กชายตอบพร้อมเชิดอกขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทางเป็นการเอนตัวมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาหยิบชาม แล้วก็ข้าวพูนๆที่ถูกส่งมาให้ไว้ในมือ แล้วก็เนื้อ ต้นหอม และผักกาดขาวที่ยื่นมาให้ด้วย “พวกคุณนี่เหมือนกับฮีโร่ที่ออกจัดการเหล่าร้ายใช่ไหมฮะ เท่จังเลย”
“ก็นะ…”
“ช่าย ช่าย คุณผู้หญิงคนนี้เก่งเรื่องจัดการคนไม่ดีนะ” เด็กสาวบอกเขา
“โห สุดยอดเลย!” โทตะชม “แล้วเรนเจอร์กับไรเดอร์เองก็มีตัวตนอยู่จริงรึเปล่าฮะ? อ๊ะ ถ้าไม่ว่าอะไรช่วยบอกหน่อยได้รึเปล่าฮะ?”
แอนนามารีเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ขยันขันแข็งมาก ไม่ว่าหนทางจะลำบากหรือจะมีอะไรมาขวางมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยสูญเสียตัวตนของตัวเองไปเลย เมื่อเธอกลายเป็นสมาชิกของทีมสืบสวนภายในหน่วยสืบสวน เธอก็เริ่มสืบสวนเหตุการณ์ของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ และค้นพบเรื่องความตายของเพื่อนที่มีสาเหตุมาจากการทดสอบของแครนเบอร์รี่ หลังจากที่ใช้อำนาจการสืบสวนเพื่อตามหาว่าใครคือเมจิคัลเกิร์ลที่ฆ่าเพื่อนของเธอในการทดสอบ เธอก็เข้าไปท้าสู้จนตัวตาย เหตุการณ์นั้นถูกจัดอยู่ในเรื่องราวของความพยายามที่ล้มเหลวในการแก้แค้นให้กับเพื่อน มาร์เกอริตเองก็เบื่อที่จะจำเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงออกจากหน่วยมา
เหล่าคนที่ผ่านบททดสอบอันโหดร้ายจะถูกเรียกว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” และตัวของแครนเบอร์รี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเมจิคัลเกิร์ลหัวรุนแรงที่มีชื่อว่าโรงเรียนกวดวิชามาโอ มาร์เกอริตคิดว่ามันมีวิธีการที่จะสู้กับแครนเบอร์รี่อยู่ แต่มันไม่มีใครฟังเธอพูดเรื่องนั้นเลย ใช่ว่าเธออยากจะบอกเรื่องนั้นกับใครซะที่ไหน การคิดถึงเรื่องโง่ๆที่พวกนักเรียนทำมันก็เหลืออดมากพอแล้ว
เด็กชายดูตื่นเต้น เขายิ้มกว้างออกมาจบแทบถึงใบหูในตอนที่แข่งกันแย่งเนื้อกับเด็กสาว พอคิดว่าครั้งหนึ่งนักเรียนของเธอก็เคยกระตือรือร้นแบบเดียวกับเด็กชายชั้นประถมคนนี้ มาร์เกอริตก็ยิ้มออกมาแบบไม่ให้ใครเห็น
☆ รากิ สเว เน็นโต
การที่รากิเข้ามาในฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลได้ก็ต้องขอบคุณร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ รากิต่อต้านการสร้างเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นร่างเกิดใหม่แถมยังวิจารณ์ความคิดนั้นออกมาดังๆด้วยซ้ำ
เมจิคัลเกิร์ลความมีไว้เพื่อรับใช้มิใช่สั่งการ ตัวตนที่มีอยู่ด้วยพลังของกล้ามเนื้อและพลังของเวทมนตร์เป็นการดูหมิ่นและไร้ซึ่งศรัทธา สิ่งที่ทำให้จอมเวทเป็นจอมเวทได้คือความเคารพในปัญญาและคุณธรรมเหนือสิ่งอื่นใดที่จะแสดงออกมาได้เป็นตัวเลข
สหายไม่กี่คนที่เห็นพ้องกับเขาได้รับเงินใต้โต๊ะไม่ก็เกรงกลัวโทษ ไม่คัดค้านอีกต่อไปคนแล้วคนเล่า เมื่อรากิรู้ว่าเพื่อนที่สาบานด้วยกันกับเขาที่ต่อสู้เรื่องนี้จนถึงท้ายที่สุดได้เปลี่ยนข้าง รากิก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเขาคนเดียวมันทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงยอมแพ้
เขาถูกถอนหน้าที่จากงานหลักและออกห่างจากงานวิจัย พวกนั้นเริ่มมอบงานของข้าราชการแทนที่จะเป็นงานของนักวิจัยให้ ตามด้วยการที่เขาได้รับแจ้งเตือนการเปลี่ยนหน้าที่ พวกนั้นพูดว่า “นายทำงานได้ดีนะ พวกเราตัดสินใจว่าให้นายรับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการไปเลย” คำพูดมันฟังดูดีจนทำให้เขาปฎิเสธไม่ได้ นี่คือการที่เขาถูกย้ายมายังตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล งานที่วันๆไม่ต้องทำอะไร แล้วก็ตายไปอย่างช้าๆ
การลดตำแหน่งนี้คือการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่ว่ารากิไม่ได้คิดที่จะออกจากงาน ถึงการจะได้งานจากฝ่ายพัคจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขารู้ว่าการเปลี่ยนไปสังกัดฝ่ายแคสปาร์และใช้ชีวิตอย่างอิสระ —หรือไม่ก็ออกจากดินแดนเวทมนตร์เพื่อรีไทร์มันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน แต่ทั้งสองตัวเลือกก็น่ารำคาญในแบบของมัน โดยเฉพาะเรื่องการยอมรับความสูญเสียของตัวเอง บางทีการที่เขาสูญเสียทั้งวัตถุประสงค์และความเป็นตัวเองไปก็คือความจริง แต่นั่นก็เป็นคนละปัญหา
เหนืออื่นใด แม้ตอนนี้จะไร้ซึ่งเกียรติ รากิก็ยังคงเทิดทูนปราชญ์ เชน โอส บัล เมล ในตอนที่เห็นโอสสมัยที่ตัวเองยังเป็นจอมเวทรุ่นเยาว์ ปราชญ์เป็นลูกบอลแสงขนาดใหญ่ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นและดึงดูดวิญญาณให้เข้าหา และหัวหน้าจอมเวทในเวลานั้นได้อัญเชิญโอสมาโดยการใช้เลือดเนื้อของตนเป็นตัวเร่ง เธอก็กลายเป็นจอมเวทในนามแห่งความสงบสุข หญิงชราสูงศักดิ์ที่นำทางจอมเวทผู้หลงทางอย่างอ่อนน้อมและพูดจาอย่างอบอุ่นต่อโลกใบนี้ แต่เธอก็ไม่สามารถทนรับวิญญาณอันยิ่งใหญ่และทรงพลังเอาไว้ได้ —เมื่อร่างกายของเธอใกล้ลาลับ เธอก็ยิ้มออกมาพร้อมกับจากไป
มันเป็นแค่ความทรงจำที่แสนซึ้ง และยังทำให้น่ารำคาญด้วย พระเจ้าที่เป็นตัวตนแห่งความเคารพและหวั่นเกรง ในตอนนี้กลายเป็นของเล่นของเหล่าคนโง่ไปเสียแล้ว คนพวกนั้นจะพูดว่า “ไม่จริงซักหน่อย พวกเราพยายามแสดงให้เห็นว่ามาสเตอร์โอสทรงพลังขึ้นแค่ไหนต่างหาก” แต่ถ้าถามรากิล่ะก็ มันก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำแบบนั้น
รากิที่รักและเคารพโอสนั้นเสียใจกับเรื่องของปราชญ์พร้อมกับโกรธแค้นตัวเอง ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ทำให้เขายังคงยืนอยู่ได้ และในออฟฟิสของฝ่ายจัดการ ไฟแห่งความโกรธของเขาก็พวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาจัดการเรื่องชื่อของเมจิคัลเกิร์ลที่เปลี่ยนกันได้อยู่ทุกวี่ทุกวัน บางครั้งเมื่อจอมเวทหรือเมจิคัลเกิร์ลมาเยี่ยม เขาก็จะถามอีกฝ่ายว่ามีการอนุญาตอย่างเป็นทางทางการหรือไม่ ถ้าไม่มีเขาก็จะไล่ออกไป ครั้งหนึ่ง มีเมจิคัลเกิร์ลคนนึงที่จริงๆแล้วเป็นโจรเข้ามาเพื่อที่จะขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เขาก็รายงานเรื่องเธอไปที่หน่วยสืบสวนทันที แต่เรื่องมันยังไม่ทันจะกระจ่าง ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่าเรื่องมัน “คลี่คลายแล้ว”
ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ไม่ใช่ว่าคนที่แหกกฎต้องได้รับโทษรึไง? แต่ทางนั้นบอกว่าคนที่เป็นขโมยรู้จักกันในชื่อนักล่าเมจิคัลเกิร์ล ยังคงแหกกฎเพื่อเปิดโปงพวกอาชญากรต่อไป ความจริงข้อนี้มันทำให้ความโกรธในตัวของรากิลุกโชนขึ้น
การบันทึกชื่อกลายเป็นเรื่องที่ต้องละเอียดมากกว่าเดิมหลังจากที่ทางฝ่ายไอทีบอกว่าต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก เแถมต้องเก็บบันทึกเวทมนตร์พิเศษและทักษะของเมจิคัลเกิร์ลแต่ละครเอาไว้ด้วย มันมีวิธีการหลายอย่างที่จะใช้ข้อมูลไปอย่างผิดๆ ในเวลานั้นรากิจะคิดขึ้นมาสิบไม่ก็ยี่สิบอย่าง ข้อมูลพวกนี้ไม่ควรถูกใช้อย่างอิสระหรือปล่อยให้ถูกขโมยไป
ผลก็คือ เขาเพิ่มความรักษาความปลอดภัยในออฟฟิสที่ฝ่ายจัดการขึ้น เขาสร้างเวทมนตร์ต่อต้านขึ้นมาทุกอย่าง ทั้งเทเลพอร์ท อ่านใจ ควบคุมจิตใจ ล้วงข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล บิดงอพื้นที่ ควบคุมพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด ข้ามมิติ ควบคุมพื้นที่แบบจำกัด —เขาขับไล่พวกหน้าโง่ทุกคนที่เสนอหน้าเข้ามาคนแล้วคนเล่า แม้ว่าจะถูกนักล่าเมจิคัลเกิร์ลเข้ามาขโมย เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปแม้แต่นิด แรงขับเคลื่อนดั้งเดิมของเขาคือความโกรธ และตราบใดที่เขายังเป็นหัวหน้าของฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล มันก็จะไม่มีวันหมดไป
รากิใช้ชีวิตทุกวันอยู่ในที่ทำงานของฝ่ายจัดการ ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นพื้นที่อิสระที่แยกตัวออกมาเป็นเกาะเดี่ยวๆ รายล้อมไปด้วยสัญลักษณ์เวทมนตร์ที่ลอยอยู่ในอากาศ เขาพยายามจะทำให้ที่นี่กลายเป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันแตกพ่าย มีทั้งแนวป้องกันขั้นสูงสุด และก็ยังคงพัฒนาเรื่องความปลอดภัยทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำแบบไม่หยุด จนกระทั่งวันหนึ่ง จดหมายก็มาถึง
รากิหยิบซองสีขาวขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่มีทั้งด้านบนหรือด้านล่าง มันถูกรายล้อมไปสัญลักษณ์เวทมนตร์ห้ารูปแบบ บรรกาศมันดูหนักอึ้งกว่าจะเป็น “โลกใบนี้” ที่จอมเวทใช้เพื่ออะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรน่ะ?” เขาถาม
“เราถูกบอกมาว่า… มันคือบัตรเชิญน่ะ” คนที่เอาจดหมายมาให้เป็นเมจิคัลเกิร์ลก็น่ารำคาญมากพออยู่แล้ว ชุดที่ดูนุ่มนิ่มของเธอนั้นทำให้รู้สึกกังวลด้วยเหตุผลบางอย่าง ภายในใจของเขาจึงตั้งชื่อเล่นให้เธอว่าแกะ
รากิพ่นลมหายใจออกมาเป็นการตอบรับและหยิบซองสีขาวที่ปิดผนึกด้วยขึ้ผึ้งมา
แค่สัมผัส ข้อมูลก็หลั่งไหลเข้ามาหา ใบหน้าของรากิบึ้งตึงจนเกิดรอยย่นลึก มันทำให้ทั่วร่างกายแข็งเกร็ง เขาฝืนให้ท่าทางของตัวเองกลับเป็นปกติ แม้ว่าการเปลี่ยนท่าทีจะติดขัดเมื่อเทียบกับตัวเองสมัยยังเด็ก แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องใช้เวทมนตร์ทำเรื่องนี้แต่อย่างใด
คนที่ส่งจดหมายฉบับนี้ —ไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์น— คือจอมเวทที่ใช้ชีวิตไปกับงานอดิเรกของตัวเอง ลึกลงไปแล้ว ตัวของเขามันไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากการทดลองที่เป็นงานอดิเรก ให้ความสำคัญกับการทดลองเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าสิ่งอื่นจนทำให้ผู้คนที่รายล้อมไม่พอใจ เขาเองไม่ได้มีครอบครัว หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ด้วยเรื่องเหล่านั้นแล้วมันทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่คล้างคลึงกันกับรากิ แต่ซาตาบอร์นสืบทอดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมา มันเลยทำให้เขาใช้ไปกับงานวิจัยและทำอะไรได้มากตามต้องการ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษโดยไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์กรหรือฝ่ายใดๆเหมือนกับรากิ แต่พอลองย้อนกลับไปดูแผนผังครอบครัวมันก็จะพบว่าครอบครัวของเขานั้นมีหน้ามีตา หากให้พูดแล้วครอบครัวของเขานั้นเกี่ยวข้องกับฝ่ายโอส แต่รากิไม่เคยได้ยินเลยว่าซาตาบอร์นทำงานให้คนพวกนั้น ชีวิตที่ไม่มีความรับผิดชอบของซาตาบอร์นแบบไม่มีพันธะอะไรทำให้รากิรู้สึกหงุดหงิด แต่รากิเองก็อิจฉาเขา แม้ความอิจฉาที่เกิดขึ้นไม่ได้ต่างอะไรกับความหงุดหงิดนักก็ตาม
“งั้นเหรอ… หมอนั่นตายแล้วสินะ” รากิพึมพำ
เห็นได้ชัด ว่าเขาตายด้วยอุบัติเหตุ รากิหลับตาลงและขอให้ซาตาบอร์นมีชีวิตหลังความตายอย่างสงบสุข
“แต่ทำไมเขาต้องทิ้งอะไรให้ชั้นด้วยล่ะ?” รากิสงสัย
“ขะ-ขอโทษ” แกะพูดออกมาแบบติดอ่าง “ทุกเรื่องที่เราถูกบอกมาคือเรื่องความต้องการของ…”
นี่ซาตาบอร์นรู้สึกสงสารรากิ คิดว่าเขาเป็นคู่แข่งรึไง? การที่ซาตาบอร์นนับถือเขาเป็นการส่วนตัวมันเชื่อได้ยาก แต่มันก็มีความเป็นไปได้รึเปล่า? ทุกเรื่องที่รากิคืดออกก็คือเขาไม่เข้าใจนักวิจัยสุดประหลาดคนนี้เอาเสียเลย
“แต่เรื่องนี้มันเข้าใจไม่ได้” รากิพูด
“หือ?” แกะตอบกลับอย่างอายๆ
“ทำไมเงื่อนไขข้อหนึ่งคือชั้นต้องพอเมจิคัลเกิร์ลไปด้วย?”
“เอ่อ ก็… เรื่องนั้นเราเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน บางที… สงสัยว่า อาจจะเป็นการช่วยเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ในฐานะคนคุ้มกัน… ก็ได้?”
ใบหน้าของรากิบึ้งตึงอีกครั้ง แล้วก็พยายามผ่อนคลายอารมณ์อีกรอบ แต่มันก็แข็งค้างอยู่ในท่าทางที่ดูไม่พอใจเล็กน้อย “แค่โฮมุนครูสหรือโกเล็มมันไม่พอรึไง?”
“คือผู้มีสิทธิสืบทอดมีกันหลายคนและเหมือนว่าคนจะพาเมจิคัลเกิร์ลไปด้วย… ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนไหนจะไม่พาไปบ้าง…”
ถ้าหากมีเพียงแต่รากิ คนที่มีความเกี่ยวข้องเพียงผิวเผินพาโฮมุนครูสไป ในขณะที่ผู้สืบทอดคนอื่นพาเมจิคัลเกิร์ลไปล่ะ? แค่คิดมันก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว รากิเอาไม้เท้ากระทุ้งเข้ากับพื้น ส่วนเด็กสาวแกะก็ตัวสั่น เธอก้มตัวลงพร้อมกับจับปลายแขนเสื้อที่ฟูๆของตัวเอง
ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา รากิก็กัดฟัน เรื่องนี้มันน่ารำคาญ —ชวนโมโหนัก “มันคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลเป็นอะไรกัน? ไอเท็มส่วนตัวรึเครื่องประดับรึไง? ไร้สาระ —ซาตาบอร์นนี่สั่งอะไรงี่เง่าชะมัด…”
รากิคิดว่าถึงในตอนนี้เขาจะรู้สึกโกรธ แต่เขาก็คิดว่าถ้าสร้างร่างกายแบบชีวภาพขึ้นมา ใส่ความรู้สึกเข้าไปพอควรที่จะสร้างจิตสำนึก แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการสร้างอะไรที่ใกล้เคียงมากพอแล้วรึไง? และถ้าเขาบอกว่ามันคือเมจิคัลเกิร์ล เขาก็จะผ่านเรื่องนี้ไปได้…
“เอ่อ บางทีคุณก็ไม่ควรทำอะไรแปลกๆนะ…” แกะพูด
“อะไรกัน?!” รากิสบถ “นี่แก! อ่านใจชั้นงั้นเรอะ? ไม่อยากจะเชื่อ แบบนี้ต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยขึ้นอีกซะแล้ว”
“คือ เราไม่ได้อ่านใจอะไรหรอก… ก็คุณพูดออกมาเสียงดังเองนี่นา”
เขากัดฟันเสียงดังขึ้นอีก ไม่ว่ายังไงดูเหมือนว่าอย่างน้อยก็ต้องพาไปหนึ่งคน
“เราเองก็กลัวเกินไปที่จะอ่านใจคุณตอนนี้ด้วย…” แกะพึมพำ
“หมายความว่ายังไง?”
“เอ่อ ก็ คือเราได้ยินเรื่องนี้มาอีกทีน่ะ”
“พูดมา”
แกะมุดหน้าหนีราวกับว่ามันยากจะพูด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปด้านข้าง ราวกับว่าเธอกำลังมองหาใครซักคนมาช่วยเธอ แต่ในที่นี้มันไม่มีใครเลยนอกจากรากิ แกะ แล้วก็สัญลักษณ์เวทมนตร์ “เอ่อ… ตอนนี้คนพูดกันว่าฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลได้รับความนิยมน่าดู”
“ได้รับความนิยม? หมายความว่ายังไง?”
“หลายคนพูดกันว่า การพยายามขโมยข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลกลายเป็นแฟชั่นกับเมจิคัลเกิร์ลที่เก่งเรื่องแบบนี้… มีการแข่งขันที่เรียกว่า ‘สุดยอดการโจรกรรมข้อมูล’ อยู่ด้วย แถมตื่นเต้นกันมากด้วยเพราะว่ามีแค่นักล่าเมจิเกิร์ลเพียงคนเดียวที่สามารถทำสำเร็จได้… ”
อุณหภูมิบริเวณเหนือลำคอขึ้นไปของรากิเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวแกะบิดไปมาจนดูน่าสงสารกว่าเดิม จากนั้นเด็กสาวก็วิ่งออกไปก่อนที่รากิจะทันได้ดุเธอเพียงเสี้ยววิ หน้าผากของเด็กสาวที่วิ่งออกไปกระแทกเข้ากับส่วนหนึ่งของบาเรีย จนตัวของเธอล้มคว่ำและสีรษะกระแทกเข้ากับพื้น แต่เธอก็คลานต่อไปทั้งๆที่ยังรู้สึกเจ็บ
สิ่งมีชีวิตที่นิสัยดื้นรั้นเหล่านี้รู้จักกันในชื่อของเมจิคัลเกิร์ล หลังจากที่ไล่แกะออกไปแล้ว รากิก็เริ่มใช้เวทมนตร์ค้นหา เขาไม่ได้คิดบ้าๆว่าจะเอาเมจิคัลเกิร์ลไปด้วยเพราะเรื่องส่วนตัวอีก เพราะมันเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดการที่จะสั่งให้ใครซักคนไปด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงเขาจำเป็นต้องการฟรีแลนซ์ แต่รากิก็ไม่ได้มีเส้นสายมากนัก มีฟรีแลนซ์แค่คนเดียวที่ติดหนี้เขาอยู่ —เธอชื่อว่าท็อตป๊อป— แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไปเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านจนทำให้เกิดเหตุการณ์แหกคุกขึ้นมา ซึ่งนั่นก็กลายเป็นที่ตายของเธอ
ความคิดของรากิเริ่มออกนอกลู่นอกทาง เขาสงสัยว่าทำไมเธอถึงทำอะไรโง่ๆแบบนั้นด้วย จากนั้นเขาก็กระแอมออกมาเสียงดัง
มีเมจิคัลเกิร์ลบางคนที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัว เมื่อไม่นานมานี้จำนวนมันยังเป็นศูนย์ แต่จากเหตุการณ์ในงานอีเวนท์วันก่อนที่มีชื่อว่า “งานพบปะสุดยอดเมจิคัลเกิร์ลนักกีฬา : มีข้าวปั้นรสซุปเนื้อด้วยนะ” ทำให้เขาได้รู้จักกับเมจิคัลเกิร์ลจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่สามารถร่วมมือด้วยกันได้ หากจะเรียกว่าเป็นคนรู้จักก็ดูอวดดีเกินไป แต่มันก็ดีกว่าไปร้องขอคนอื่นที่เขาไม่รู้จักเลย
สิ่งที่สัมผัสได้จากการใช้เวทมนตร์เมื่อผ่านไปสิบห้าวินาที เขาก็ค้นพบว่าในตอนนี้เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่สัมผัสได้จากเวทมนตร์ค้นหานั้นอยู่ที่ไหน หนึ่งคนกำลังมองหาคู่หูเพื่อแข่งขันในงานแข่งราเม็ง หนึ่งคนกำลังขี่รถไถท่องเที่ยงในโลกคู่ขนาน และอีกคนที่ดูเหมือนกำลังยุ่งกับงานหรือภารกิจอยู่ แต่คนสุดท้ายดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีธุระอะไร แถมตารางงานของเธอก็ว่าง เมื่อคิดย้อนกลับไป เธอนั้นเป็นคนพูดน้อยและใจเย็นกว่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น แถมตัวของเธอก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกรำคาญนักด้วย หากเธอจะร่วมเดินทางด้วยกันกับเขาก็สามารถยอมรับได้
รากิใช้เวทมนตร์ค้นหาเพื่อสืบเสาะหาช่องทางติดต่อของเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่าแคลนเทล การที่เขาทำแบบนี้มันเป็นการใช้ตำแหน่งของตัวเองในทางที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ไล่ความคิดนั้นออกไปและบอกตัวเองว่าอย่ากังวลเรื่องเล็กๆน้อยๆ
☆ ดรีมมี่✰เชลซี
จิเอะ ยูเมโนะ —ดรีมมี่✰เชลซี— เองก็เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลอีกหลายๆคนที่เป็นแฟนของอนิเมเมจิคัลเกิร์ล ฟูจิโกะแม่ของจิเอะที่บอกว่าตัวเองเป็นเมจิคัลเกิร์ลมาก่อนจะแต่งงานนั้น ในตอนแรกก็รู้สึกประทับใจที่เห็นลูกสาวของตัวเองดูอนิเมเมจิคัลเกิร์ล แต่พอผ่านไปได้ไม่นาน ความหลงไหลของจิเอะก็ก้าวข้ามเรื่องที่ฟูจิโกะสามารถยอมรับได้ในฐานะแม่ จิเอะดูอนิเมเมจิคัลเกิร์ลจนกระทั่งดวงตาของเธอคั่งไปด้วยเลือด เธอไม่ยอมออกจากหน้าทีวี จดจ่ออยู่กับเทป VHS จนถึงขั้นหมดเรี่ยวแรง สุดท้ายผู้เป็นแม่ก็ต้องมาดุด่า —”พอได้แล้ว!” และลากตัวออกมา
แต่มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดจิเอะ คนที่ตื่นมากลางดึกและเอาผ้าห่มคลุมรอบทีวีเพื่อไม่ให้แสงลอดออกมาได้ เมื่อฟูจิโกะรู้ว่าจิเอะทำแบบนี้ เธอก็รู้สึกทึ่งมากกว่าจะโกรธ
การจดจ่ออยู่กับอะไรอย่างมากคือความสามารถพิเศษ ว่ากันว่าศักยภาพในการที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลมักจะแสดงออกมาแบบแปลกๆในตอนที่เป็นมนุษย์ บางครั้งก็เป็นทักษะด้านกีฬาที่น่าเหลือเชื่อ ความจำ รูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนปกติ หรืออายุไขที่ยืนยาวจนเกือบถึงขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิต
ฟูจิโกะไม่ได้ทำงานในฐานะเมจิคัลเกิร์ลก็จริง แต่ไม่ว่าเธอจะใช้เวลาไปกับการทำงานบ้านหรือเลี้ยงลูก —หากเธอไม่มีเวลา เธอก็จะใช้ความสามารถเมจิคัลเกิร์ลของตัวเองสร้างขึ้นมา— เธอก็จะเข้าร่วมชมรมและอีเวนท์ของเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นเธอจึงมีเพื่อนมากมาย นั่นคือตอนที่เธอได้เจอกับแมวมองเมจิคัลเกิร์ลที่รู้จักเพื่อมาดูลูกสาวและได้รับอนุญาต “ลูกสาวของเธอนี่มีความสามารถในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ” แมวมองคนนั้นพูด และฟูจิโกะก็รู้สึกว่าไม่สามารถฝืนสายเลือดของตัวเองได้
นั่นคือการที่จิเอะ ยูเมโนะได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลดรีมมี่✰เชลซี การที่ได้รู้ว่าโลกแห่งความฝันและเวทมนตร์มีอยู่จริงมันทำให้ตัวเองเต็มไปด้วยความสุข เธอได้ออกเดินก้าวแรกในเส้นทางของเมจิคัลเกิร์ลแล้ว
จากนั้นฤดูกาลก็เปลี่ยนผ่าน วันเวลาก็ผ่านพ้น…
“นี่ พอได้แล้วนะ”
“แม่… โกรธหนูอยู่เหรอ?”
“แน่นอนว่าโกรธสิ! นี่กล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าไม่อยากทำงาน!”
“ก็มัน… แปลกนี่นาที่เมจิคัลเกิร์ลต้องทำงาน”
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ตัวละครทุกตัวจากอนิเมที่ลูกชอบก็มีงานทำนะ อย่างคิวตี้ฮีลเลอร์กับสตาร์ควีนก็เหมือนกัน ทุกคนนั้นมีรายได้ แม่ยังได้ยินมาว่าขนาดเมจิคัลเดซี่เองก็ไปมหาลัยพร้อมกับทำงานพาร์ทไทม์เพื่อช่วยเหลือตัวเองไปด้วย”
จิเอะลุกขึ้นพร้อมหันหน้าเข้าหาแม่พร้อมกับเชิดอกขึ้น “หนูบอกแม่ไม่รู้กี่รอบแล้วไงว่าพวกนั้นไม่ใช่แบบที่หนูชอบ! คนพวกนั้นมันเหมือนกับ… พวกที่เอาแต่ต่อสู้! ไม่ได้ต่างอะไรกับโชเน็นมังงะหรืออนิเมหุ่นยนต์เลย! หนูชอบเมจิคัลเกิร์ล! ชอบเรื่องราวของเด็กสาวน่ารักๆที่ช่วยเหลือคนที่มีปัญหาต่างหาก!”
จิเอะจะไม่พูดว่าสมัยนี้มันดีกว่าแต่ก่อน นั่นเป็นเพราะว่าเมจิคัลเกิร์ลที่จิเอะรักมากตั้งแต่ยังเด็กคืออนิเมเรโทรยุคเก่า หนึ่งในสมัยโชควะยุค 80 และก่อนหน้านั้น แต่กระนั้นมันก็เหมือนกับงานเลี้ยงที่ต้องมีวันเลิกรา ยุคสมัยเช่นนั้นมันจบสิ้นไปนานแล้ว หากไม่มีฉายรีรันหรือวีดีโอให้เช่า เธอก็ไม่มีทางที่จะดูอนิเมพวกนั้นได้เลย
และในตอนนี้มันก็แย่ยิ่งกว่าเดิม ยิ่งนานวันเข้าเมจิคัลเกิร์ลที่จิเอะรักก็ยิ่งออกห่างไปในอดีตมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมี “คนที่ถูกจัดเป็นเมจิคัลเกิร์ล” มากน้อยแค่ไหนมันก็น่าโมโห เพราะหากลองถามจิเอะดูแล้ว เธอก็จะตอบว่าพวกนั้นมันไม่ใช่ของจริง
“ความฝันของหนูคือการเป็นเมจิคัลเกิร์ลในแบบที่ตัวเองรัก ตั้งแต่วันแรกที่หนูกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล หนูก็ช่วยเหลือผู้คนอยู่ตลอดทุกวัน และจะไม่หยุดด้วย ถ้าหนูมีงานล่ะก็ มันก็จะเข้ามาขัดขวางงานของเมจิคัลเกิร์ลพอดี” เธอเค้นหมัดพร้อมกับพูดออกมาอย่างเร่าร้อน ความรู้สึกนี้ภายในตัวของเธอมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
แต่กระนั้น ใบหน้าของแม่ก็เปลี่ยนไปทันทีราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นแบบนี้ จิเอะกำลังจะถอยหนี แต่ที่อยู่ด้านหลังของเธอมันคือกำแพงและหน้าต่าง มันไม่มีที่ให้เธอหนีแล้ว แม่ของเธอที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธกำลังก้าวเข้ามาหาจิเอะและมองลงมา เมื่อแม่เปลี่ยนร่าง แม่ก็จะกลายเป็นปีศาจตัวน้อยที่ใครเห็นแล้วต่างก็หลงไหล แต่ในตอนนี้ แม่ดูเหมือนเป็นปีศาจร้ายตัวใหญ่ยักษ์ไม่มีผิด
จิเอะเปลี่ยนท่าเป็นการคุกเข่าอย่างถูกต้องและนั่งหลังตรง วางมือลงบนเข่าและมองตรงไปข้างหน้า “เอ่อ”
“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรง—”
“ปีนี้อายุเท่าไหร่?”
“สามสิบ…สี่”
“อยากรู้ไหมว่าเพื่อนบ้านพูดถึงจิเอะของบ้านยูเมโนะยังไง?”
“ไม่ค่ะ…”
“แต่งตัวแล้วไปที่สำนักจัดหางานตอนนี้เลยนะ”
“ค่ะ…”
“ไม่เป็นไรหรอก —เดี๋ยวก็ชินแล้วก็สนุกไปเองแหละ เหมือนกับที่ลูกเป็นมาตลอด”
“แต่เมื่อกี๊แม่เพิ่งพูดว่า…”
“อะไร?”
“เปล่าค่ะ…”
จิเอะไม่อยากทำงาน เธอคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลควรจะทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลเพียงแค่อย่างเดียว หากเธอต้องการเงิน เธอก็ต้องทำงาน หากเธอทำงาน มันก็หมายความว่าต้องมีความรับผิดชอบ เธอก็จะเริ่มให้ความสำคัญกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบมากกว่าหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายรับ และตัวตนของเธอในฐานะเมจิคัลเกิร์ลก็จะจางหายไป
ด้วยความปรารถนาอันแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง จิเอะได้ใช้ทริคทุกอย่างที่มีในหนังสือจนมาไกลได้จนถึงจุดนี้ แต่ความอดทนของแม่ก็มาถึงขีดสุดแล้ว
เธอไม่สามารถซื้อเวลาต่อไปได้อีก ถ้าหากเธอทำอะไรไปมากกว่านี้ แม่ของเธอก็จะใช้กำลัง แม่นั้นรู้จักผู้คนมากมายจากการอยู่ในชมรมเมจิคัลเกิร์ล บางอย่างก็เป็นอะไรที่ผิดยุคอย่างการถูกส่งไปทำประมงปลาทูน่า ทำโรงงานปูที่ต้องผ่านนายหน้าที่น่าสงสัย ร่อนทอง ค่ายใช้แรงงาน หรือไม่ก็โรงงานฝ้ายในสถานที่อันไกลโพ้นที่อาจจะมีอยู่จริง แถมเธอยังจินตนาการได้อีกว่าอาจจะถูกพาไปดูตัวกับชายแก่วัยห้าสิบที่มีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวจิเอะพร้อมกับถูกบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชายคนนี้ก็คือสามีของลูก”
มันไม่มีทางออกเลย จิเอะมุ่งหน้าไปที่สำนักจัดหางานพร้อมกับลากขาอันแสนหนักอึ้ง เธออยากจะหยุดอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ ร้านหนังสือเองก็ด้วย อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็อ่าน เธออยากจะฆ่าเวลา แต่ในตอนนี้มันไม่มีที่ให้หนีแล้ว ตั้งแต่เรียนจบจากมหาลัยจนถึงตอนนี้ เธอสูญเสียสถานที่ให้หนีของตัวเองไปแล้ว
สำหรับผู้หญิงแก่ๆที่อายุสามสิบสี่ปีที่ออกกำลังกายไม่มากพอ ประตูของสำนักจัดหางานมันหนักมาก ในตอนที่ลากเท้าของตัวเองไปยังทางเข้า ชายวัยกลางคนในชุดสูทก็เปิดประตูให้เธอ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ราวกับอยากจะบอกว่า “อ่าาา พวกเรานี่ลำบากจังนะว่าไหม?” เธอเข้ามาด้านในตามทางจนมาถึงโต๊ะด้านหน้าที่ต้องเขียนแบบบันทึก เธอปล่อยมันว่างเอาไว้หลายช่องอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ไม่ผิด “ช่องว่างตั้งเยอะแบบนี้คงลำบากน่าดูเลย” เธอเปลี่ยนความคิดที่ดูถูกตัวเองให้กลายเป็นอารมณ์ขันในตอนที่คุยกับผู้หญิงที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่เป็นคนแนะนำ “โปรแกรมสนับสนุนทักษะที่มีประโยชน์สำหรับการจ้างงาน” ให้กับเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงตัดสินใจเข้าร่วม
ในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องประชุม จิเอะนั่งฟังการบรรยายอยู่ด้วยกันกับคนที่อายุน้อยกว่าที่เหมือนจะเป็นเด็กมหาลัย แม่บ้านที่ดูเหมือนหญิงวัยกลางคน ชายที่ดูเหมือนเป็นคนไร้บ้านพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ และคนอื่นๆอีกหลายคน ชายไว้หนวดที่นั่งอยู่ข้างๆชมเสื้อที่ดูน่าสนใจของเธอ —เสื้อเชิ้ตมิโกะจัง พร้อมสวมเสื้อที่มีอักษรคันจิสี่ตัวที่เขียนผิด เป็นอะไรแบบที่ชาวต่างชาติจะใส่กัน— แล้วก็ให้คุ๊กกี๊เธอมา คนอื่นๆดึงเอาสมุดโน๊ตออกมาและกำลังเขียนลงไป ซึ่งมันทำให้เธอตื่นตระหนก ดังนั้นเธอจึงกลับไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อยืมสมุดจดกับปากกาลูกลื่นมา ตอนมหาลัยเองก็เป็นแบบนี้ใช่ไหมนะ? เธอคิดพร้อมกับจดอะไรที่ดูสำคัญลงไป ดูเหมือนว่าการทำบัญชีได้จะเป็นคุณสมบัติที่ดีเหมือนกัน
พอคุยกับชายแก่เรื่อง “มีคนมาหางานเยอะจัง” เสร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องค้นหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ พวกเธอได้หญิงสาวที่โต๊ะประชาสัมพันธ์มาสอนให้ ชายแก่นั้นดูลำบาก แต่สำหรับจิเอะแล้วมันไม่ได้ยาก ที่บ้านนั้นเธออยู่กับคอมพิวเตอร์ตลอด ทั้งในร่างเมจิคัลเกิร์ลและตอนใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อเล่น ดูอนิเม กินและนอน หรืออ่านมังงะ เธอมีประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์มานานกว่ายี่สิบห้าปี —จะพูดว่าเป็นกูรูคอมพิวเตอร์ก็ได้ ครั้งหนึ่ง เมื่อเธอรู้ว่าต้องเปิดเครื่องใหม่ยังไงแล้ว เธอก็สามารถทำอะไรกับมันก็ได้
เงินเดือน ผู้สนับสนุน เงื่อนไข คนที่สามารถใช้คีย์ลัดได้ คนที่สามารถใช้โปรแกรมได้ คนที่มีใบขับขี่ —ข้อมูลมันมีเยอะมาก แต่มันไม่มีอันไหนเลยที่เธอกำลังมองหา ไม่ใช่ว่าเธอมีคุณสมบัติหรือประสบการณ์ที่สามารถโอ้อวดได้ ดังนั้นเงื่อนไขจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น การค้นหาเงื่อนไขที่เป็นไปได้ที่เรื่องที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้มีคนจ้างเธอ แต่มันก็ทำให้มีความรู้สึกว่าอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องน่ารังเกียจได้ จิเอะนั้นขาดประสบการณ์ทางสังคม เมื่อมองไปข้างๆ เธอก็เห็นชายแก่ที่ดูเหมือนว่าคิดอะไรออกและพูดว่า “งั้นเหรอ งั้นเหรอ” ออกมาอย่างซ้ำๆ พร้อมกับกำลังดับเบิ้ลคลิก เยี่ยมเลย
สายตาของเธอมองไปที่เมาส์ตรงมือขวา เล็บสีดำชมพูของเธอกำลังสะท้อนแสงของหลอดฟลูออเรสเซนต์ เธอถอนหายใจออกมาและเลื่อนเมาส์ลงด้านล่าง จ้องไปที่จอพร้อมกับเหม่อลอย เธอคิดว่าหลังจากนี้ควรจะทำอะไรดี ควรไปร้านสะดวกซื้อเพื่อดูว่ามีขนมอะไรใหม่ๆหรือไอศครีมลดราคาดีรึเปล่า แม่คงไม่บ่นอะไรหากจิเอะจะแวะไปไหนระหว่างทางกลับบ้านเพื่อหารางวัลให้ตัวเอง แต่ถ้าจิเอะจะหาข้ออ้างแบบนั้นเธอก็จำเป็นต้องมีผลลัพธ์บางอย่าง สามวันก่อนรึเปล่านะตอนที่แม่พูดว่าเธอเริ่มอ้วนแล้ว? ตอนนั้นจิเอะก็ได้แต่โกหกแบบแย่ๆ และแม่เองก็รู้ทัน พอแม่โมโห เธอก็เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก หากจะลองดูก็คงไม่มีประโยชน์
พอคิดเรื่องแม่มันก็ได้แต่ทำให้จิเอะรู้สึกแย่ เธอควรจะคิดเรื่องอื่น จริงสิ ถ้าเธอไปดูขนมที่ร้านสะดวกซื้อ แบบนั้นเธอก็อยากยื่นอยู่ในร้านและอ่านนิตยสารมังงะด้วย มังงะเรื่องที่หยุดเขียนบ่อยๆจะลงรึเปล่านะ? ถ้าลงล่ะก็ มันจะมอบพลังงานในการมีชีวิตอยู่ให้กับเธอ ในตอนที่คิดเรื่องเช่นนี้อย่างจริงๆจัง เธอก็เลื่อนหน้าจอลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งนิ้วที่อยู่ตรงเมาส์หยุดลง
จิเอะหรี่ตาขวา มันมีตัวอักษรสีส้มขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดอย่างน่าประหลาด และการที่มีคำว่า “เมจิคัลเกิร์ล” อยู่ด้วยก็ทำให้ดูประหลาดยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งเธอเลื่อนลงมา ตัวอักษรมันก็ปรากฏมากขึ้นอีก
รับสมัครเมจิคัลเกิร์ล
มีเพียงเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถเท่านั้นที่สามารถมองเห็นตัวอักษรนี้ได้
หือ…นี่มัน?
จิเอะเอานิ้วชี้มาแตะเปลือกตาด้านขวาและพยายามดันเปลือกตาที่หรี่อยู่ขึ้น “นี่ คุณลุงคะ”
“หือ? อะไรเหรอ?” ชายที่อยู่ข้างๆตอบกลับมา
“เห็นตัวอักษรบางอย่างที่เขียนอยู่ตรงนี้รึเปล่าคะ?”
“หืม… ดูไม่เหมือนว่าจะมีอะไรอยู่เลยนะ”
“จริงเหรอคะ?”
“ชั้นเพิ่งไปตัดแว่นใหม่มาน่ะ ดังนั้นต่อให้เป็นตัวอักษรเล็กๆก็มองเห็น”
“อ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ”
นี่คือของจริง มีคนกำลังรับสมัครเมจิคัลเกิร์ลอยู่
แม่ของจิเอะบอกเธอว่าประตูที่เปิดสู่หนทางของเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันแคบมาก มีเพียงผู้ถูกเลือกที่เต็มไปด้วยความสามารถไม่กี่คนเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้ แถมหนทางเองก็เต็มไปด้วยขวากหนาม จิเอะคิดว่าแม่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยม แต่แม่ก็ไม่ได้เลือกเดินในหนทางของเมจิคัลเกิร์ล แม่เลือกที่จะสร้างครอบครัวแทน
ดรีมมี่✰เชลซีนั้นมากล้นไปด้วยความสามารถ —ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ การที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลมาเกือบสามสิบปีทำให้สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ จิเอะไม่ได้ทิ้งความเชื่อมั่นในงานของเมจิคัลเกิร์ลที่ว่าไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ด้วยกำลัง ความเร็ว หรืออาวุธเลเซอร์ไป แต่นอกเหนือจากเรื่องเหล่านั้นแล้ว เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่ดีไปกว่านี้ ซึ่งคนๆเดียวที่เธอสามารถเปรียบเทียบได้ก็คือแม่ คนที่ยอมแพ้ในหนทางของเมจิคัลเกิร์ลไปแล้ว แต่เชลซีเองก็ไม่ได้เก่งเท่าที่แม่เคยเป็น —ทั้งในเรื่องประสบการณ์ สายตาในการมองคน ความคิด ความแข็งแกร่งของจิตใจ หรือแม้แต่ทักษะการทำอาหาร
แต่ใช่ว่าเธอจะแย่ไปซะทุกอย่าง เธอยังมีเวทมนตร์ของตัวเองอยู่ การคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลจะสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการใช้เวทมนตร์ของตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เวทมนตร์ของเชลซีคือความสามารถในการควบคุมดวงดาว มันฟังดูเหมือนกับว่าเธอสามารถควบคุมสิ่งหนักๆได้ แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเธออธิบายว่าสามารถเล่นกับวัตถุรูปดวงดาวเล็กๆที่สร้างขึ้นให้บินไปมารอบๆได้ คนส่วนใหญ่ก็จะยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่บางคนก็อาจพูดให้กำลังใจ
แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสารเลย เชลซีมองว่ามันมีเสน่ห์มากและเป็นเวทมนตร์ที่เหมาะสมกับเมจิคัลเกิร์ลด้วย เป็นสิ่งอันทรงคุณค่าที่เธอรู้สึกพึงพอใจ เธอใช้ดวงดาวของตัวเองทำให้ก้อนหินลอยขึ้นไปในอากาศ ให้ก้อนหินไปโดนเป้าหมายที่อยู่ไกลออกไปซ้ำๆเหมือนกับการตีเทนนิสเข้ากับกำแพง ยิ่งเธอทำมากครั้งเท่าไหร่ คะแนนที่ได้ก็ยิ่งสูงขึ้น เธอเล่น “เกมยิงดวงดาว” มาตั้งแต่เด็ก และในตอนนี้เองบางครั้งก็ทำสถิติใหม่ได้ด้วย หากนี่เป็นกีฬาอาชีพ เธอก็จะใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ แต่ช่างโชคร้ายที่เชลซีเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียว
เมจิคัลเกิร์ลประเภทที่เชลซีจินตนาการถึงจำเป็นต้องมีเวทมนตร์แบบเมจิคัลเกิร์ล และอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือโชค โชคที่จะหางานของเมจิคัลเกิร์ลที่เหมาะสมกับตัวเองในตอนที่มีความต้องการตัวเมจิคัลเกิร์ล จิเอะยกนิ้วขึ้นจากลูกเลื่อนเมาส์ เธอกวาดสายไปที่บรรทัดใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็อีกครั้ง และอีกครั้งหนึ่ง
ยินดีรับผู้ไม่มีประสบการณ์ รับคนที่สามารถแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ ตามหาเมจิคัลเกิร์ลที่มีจิตใจดีงาม ความสามารถด้านเวทมนตร์และทักษะด้านกีฬาไม่จำเป็น หากมีทักษะก่ารทำความสะอาด ทำอาหาร และอื่นจะถูกพิจารณาเป็นพิเศษ งานผิดกฎหมายหรือหลบเลี่ยงกฏหมายเป็นสิ่งต้องห้าม ร่าเริงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
มุมปากข้างหนึ่งของจิเอะยิ้มออกมา โลกใบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด
ชายที่นั่งอยู่ข้างๆเธอสะดุ้งเพราะมีเสียงแปลงๆดังออกมาจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ จากนั้นเขาส่งเสียงดังเพื่อเรียกพนักงาน
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคร้ายมีไม่รู้จักจบจักสิ้น นั่นคือเรื่องที่ผู้คุมการทดสอบของเรย์บอกมา ในใจของเรย์ต่อต้านความคิดนั้น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เรย์ โคอิมิซุไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย การได้ยินเรื่องครอบครัวของเพื่อนหรือเจอหน้าแม่ของเพื่อนในสมัยอนุบาลหรือในโรงเรียน —ที่ทุกคนล้วนแต่ใจดี— พอเธอออกไปเล่น เธอก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครดีไปกว่าแม่ของเธอเอง เธอคิดเพียงแค่ว่าคนพวกนั้นแค่แตกต่างจากแม่ ไม่ใช่เธอรู้สึกว่าแม่ของเธอสำคัญกว่าคนอื่นหรือเอาใครมาแทนไม่ได้ แม่ของเธอก็คือแม่ของเธอ มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น ความจริงแล้วการที่แม่เป็นแม่ของเธอนั้น มันสำคัญกับเรย์มาก
ในช่วงเวลาที่เธอเข้าอนุบาล —ไม่สิ ก่อนหน้านั้นอีก ในตอนที่เรย์เพิ่งเกิด— เธอคงมีพ่อ แต่เธอจำภาพของพ่อได้เพียงแค่ลางๆ เธอคิดว่าเธอควรจะจำเรื่องอย่างแผ่นหลังของพ่อหรือการที่พ่อหัวเราะเสียงดังได้ แต่บางทีสิ่งที่เป็นความประทับใจอาจนึกขึ้นได้ในภายหลัง ในเวลาที่เธอรู้เรื่องพ่อมากขึ้น
ซึ่งนั่นหมายถึง เธอจำเรื่องพ่อของตัวเองไม่ได้เลย ในความทรงจำของเรย์มีเพียงแม่คนเดียวเท่านั้น
เธอจะเอาเก้าอี้ไปด้วยตอนที่ไปยังซิงค์ล้างจาน ใส่น้ำหนักลงไปที่มีดเวลาหั่นผัก เวลาซาวข้าวก็จะขยับนิ้วเล็กๆไปมารอบๆ แถมยังล้างหม้อของหม้อหุงข้าวเป็นประจำด้วย เธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นอะไรที่ยุ่งยากหรือไม่จำเป็น แม่จะกลับมาตอนดึกดื่นและออกไปทำงานตอนที่เรย์ไม่อยู่บ้าน เรย์เจอหน้าแม่เพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งที่เห็น แม่ก็จะก้มหน้ามองพื้นอย่างเซื่องซึม เรย์คิดว่าแม่คงง่วงแน่ๆ มันไม่มีทางที่แม่จะไม่เหนื่อยหรอก
เรย์ยังทำความสะอาดห้องน้ำและเก็บกวาดทางเดิน จัดระเบียบสิ่งต่างๆมากเท่าที่ทำได้ เธอไม่ทำแกงกะหรี่แบบหวาน —เธอทำแบบเผ็ดปานกลางซึ่งเป็นรสที่แม่ชอบ แม้ว่าตัวของเรย์จะรู้สึกทรมาณเล็กน้อยเพราะรสเผ็ด เธอซักผ้าทุกวัน ดังนั้นมันเลยไม่มีเสื้อผ้าที่กองทิ้งไว้ แถมเธอยังใช้น้ำร้อนที่เหลืออยู่จากการอาบน้ำเอามาซักผ้าตลอดด้วย
เรย์คิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันเพียงพอแล้ว แต่แม่ของเธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรู้เรื่องดังกล่าวเมื่อแม่โทรมาบอกว่า “จะไม่กลับไปอีกแล้ว” คำพูดนั้นมันทำร้ายเธออย่างรุนแรง
มันทั้งเศร้าและเจ็บปวด เป็นครั้งแรกที่เรย์รู้ว่าแม่นั้นสำคัญกับเธอมากขนาดไหน ภาพของแม่ที่กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ดูทีวี ปล่อยมุขตลกบ่อยๆ และคอยยิ้มให้ —ในตอนนี้มันหายไปแล้ว
เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไม่กลับมาอีก และนั่นมันก็ทำให้เธอรู้สึกเศร้า แม่นั้นต่างจากเรย์ แม่ต้องการเวลาของตัวเอง มีหลายสิ่งที่แม่อยากทำ อาจจะมีใครซักคนที่แม่ตกหลุมรัก แม่คงคิดว่าหากเรย์ไม่อยู่ด้วย แม่ก็อาจมีทุกสิ่งที่ไม่สามารถมีได้ เรย์ไม่รู้ว่ามันจริงรึเปล่า แต่ว่าตั้งแต่ที่แม่บอกลา แม่ก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย
ตอนที่เรย์อยู่ชั้นประถม เธอรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นทั่วโลก มันน่าเศร้า น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แต่เธอไม่เคยคิดจะตามหาแม่หรือพยายามทำให้แม่กลับมา ไม่เลย —บางทีเธออาจจะเคยคิด แต่เธอก็กัดริมฝีปากเพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ เธอไม่อยากพาแม่กลับมา หากเธอทำแบบนั้น คนอื่นๆก็จะรู้ว่าแม่ของเธอนั้นหนีไป สำหรับผู้หญิงก็จะมีแต่ปัญหา
แต่นั่นก็ไม่เกิดขึ้น
เรย์ถูกทาบทามจากผู้คุมการทดสอบ และได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเลิฟมีเร็นเร็น เธอรู้ว่าสามารถใช้ชีวิตได้หากมีใครบางคนใช้เงินจ้างเธอ และเธอก็สามารถหาคนๆนั้นเจอและรับบทเป็นคนคุ้มกันได้ แต่ละวันของเธอกลายเป็นยุ่งมากผิดกับแต่ก่อน แต่เรย์ก็สามารถจ่ายค่าเช่าอพาร์ทเมนท์และไปโรงเรียนได้ เธอไม่ได้ละเว้นการทำความสะอาดและซักล้างอีกด้วย เธอเก็บทุกสิ่งทุกอย่างของแม่เอาไว้เบื้องหลังโดยที่ไม่แตะต้อง แต่เธอก็ยังดูแลทุกอย่างโดยไม่ทิ้งเอาไว้ให้ฝุ่นจับ เพราะแม่ของเธออาจจะกลับมาตอนไหนก็ได้ และทั้งสองคนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบวันเก่าๆได้อีกครั้งในทันที
ผู้คุมการทดสอบที่ช่วยเร็นเร็นเอาไว้หลายอย่างได้บอกกับเธอว่า “เธอนี่น่าสนใจดีนะ มองหาสถานที่ที่น่าดึงดูดใจ… ตัวตนของเธอเองก็สามารถเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ฉันขอให้มันเป็นอย่างที่ฉันหวังไว้แล้วกัน”
เลิฟมีเร็นเร็นสามารถเรียกความรักออกมาได้ด้วยธนูและลูกศร ด้วยลูกศรของเธอแล้ว เธอสามารถสร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นขึ้นมาได้
เลิฟมีเร็นเร็นยึดมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน เรย์ตัดสินใจว่าจะทำแบบนั้น เรย์เหนื่อย เลิฟมีเร็นเร็นก็เหนื่อย เพราะพ่อของเธอรักแม่ของเธอ และแม่เองก็รักพ่อ หากมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นเพราะเลิฟมีเร็นเร็นล่ะก็ มันคงจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ เธอจึงยิ้มออกมามากขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็น สุดท้ายแล้วความรักและสายสัมพันธ์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ดังนั้นเร็นเร็นจึงเริ่มทำงานที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน : เธอฟื้นฟูความสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกแยกเพราะเรื่องงาน เปลี่ยนความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องมรดก ทำให้คู่รักที่อยากคืนดีกันแต่ไม่สามารถก้าวไปสู่การเริ่มต้นได้ บางครั้งเธอทำแม้กระทั่งทิ้งจุดยืนหรือประโยชน์ของตัวเอง จนชื่อเสียงในความเอาจริงเอาจังของเธอก็กระจายไปทั่ว ในตอนนี้เธอคือคนที่ถูกผู้คุมการทดสอบเรียกว่า “ฟรีแลนซ์ผู้โชคดี” และมีงานเข้ามาหาเอง แม้ว่าเธอจะไม่ได้โปรโมทตัวเองก็ตาม
การที่ลูกค้าจะพาเร็นเร็นมาที่บ้านมันเป็นเรื่องยาก คนที่จ้างเร็นเร็น ไม่ว่าจะมีสถานะหรือร่ำรวยแบบไหน ล้วนแล้วแต่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ลูกค้าคนนี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นคนที่เปิดกว้าง แต่เร็นเร็นไม่ได้จะรู้สึกดีใจแบบเด็กๆเพราะเรื่องนั้น
จอมเวทจะไปที่ไหนซักแห่งเพื่อรับสืบทอดสมบัติและต้องมีเมจิคัลเกิร์ลร่วมทางไปด้วย ทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น แต่เร็นเร็นก็ต้องมาที่บ้านของเธอ ด้วยที่อยู่อาศัยของเธอแล้วมันบอกได้เลยว่าสถานะทางการเงินนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความจริงพวกนี้รวมเข้าด้วยกันเพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวที่น่าเชื่อภายในหัวของเร็นเร็น
บ้านหลังนี้มีอายุมากกว่าสามสิบปี แม้ว่าเธอจะไม่ได้มองในฐานะมนุษย์ แต่ตัวบ้านมันเอียงมากพอจนแทบจะสัมผัสอะไรในแบบของเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้ ภาพที่ผนังซีดจาง บางทีมันอาจจะมีสีเหลืองดำมาตั้งแต่แรกจนในตอนนี้กลายเป็นสีครีมซีดๆ บางอย่างที่ดูเหมือนขี้เถ้าสีดำรวมกันอยู่เป็นจุดกลมๆในหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดาน มันเหมือนกับอพาร์ทเมนท์ที่เรย์ใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งถูกทุบทิ้งเลย
แต่การที่มันเหมือนกับบ้านของครอบครัวที่เธออาศัยอยู่มานานหลายปี ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้รู้สึกสบายใจเหมือนกัน พื้นห้องครัวก็เป็นคราบสกปรก ขาโต๊ะของโต๊ะกินข้าวเองก็สูงเกินไป
เมจิคัลเกิร์ลที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ —มันไม่ได้มีจานรอง— พร้อมกับพึมพำบางอย่าง คำพูดของเธอมันไม่ชัด เร็นเร็นก็เลยไม่รู้ว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือว่าคาถา อีกอย่างมันทั้งเบาและคลุมเครือ เร็นเร็นเลยจับใจความไม่ได้ว่าเธอพูดอะไร
“เอ่อ… เมื่อกี๊พูดอะไรรึเปล่าคะ?” เร็นเร็นถาม
สายตาของเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นยังคงมองลงด้านล่างพร้อมกับพึมพำต่อ เร็นเร็นเองก็ยังคงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรออกมา ชุดของเธอส่วนใหญ่เป็นสีดำ รอบตัวก็มีบรรยากาศเศร้าๆ ดวงตาก็ดูหมองคล้ำ ท่าทางที่เหม่อลอยก็ดูเหมือนเป็นการที่บ่งบอกว่าไม่อยากให้เข้ามายุ่ง
เร็นเร็นทำงานในฐานะฟรีแลนซ์มาหลายปี แต่งานของเธอมักเป็นงานแค่ประเภทเดียว เธอทำแต่งานที่เกี่ยวข้องกับสายสัมพันธ์ของมนุษย์และความสัมพันธ์ทางสังคม และเธอก็ทำมันได้ดี จนถึงในตอนนี้เธอก็เคยทำแต่งานประเภทที่เข้ามาหา งานนี้เองไม่ใช่งานประเภทที่จำเป็นต้องใช้เมจิคัลเกิร์ลมากกว่าหนึ่งคนจัดการ ดังนั้นเธอจึงมีโอกาสที่จะทำงานคนเดียวมากขึ้น มันนานมากแล้วที่เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น แถมเธอไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถทำงานได้ดีเมื่อต้องทำงานกับคนอื่นรึเปล่าอีกด้วย
เร็นเร็นยิ้มอย่างอึกอักไปด้านหลัง เมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่าเนฟิเรียก็ยังคงส่งเสียง ชิชิชิ ออกมาด้วยการขบฟัน —บางทีอาจจะหัวเราะอยู่
“ละ-ละ-เลิฟ มี… เร็น… เร็น… เหรอ…” แม้คำพูดจะออกมาแบบติดอ่างอย่างลังเล แต่ก็ไม่ใช่ว่าเร็นเร็นจะจับใจความไม่ได้
“เรียกว่าเร็นเร็นก็ได้นะ เนฟิเรีย” เร็นเร็นบอกเธอ
“เนฟิ…”
เมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อเนฟิเรียดูเหมือนกับยมฑูตแบกเคียวน่ากลัวขนาดยักษ์ เร็นเร็นรู้ว่าเดิมทีเคียวมันเป็นอุปกรณ์ของชาวสวน แต่อาวุธขนาดใหญ่กับสีโลหะคล้ำๆที่ส่องประกายออกมาเล็กน้อยโดยไม่ปิดบังยังคงมีผลกับเธอมาก แต่ท่าทางของเนฟิเรียไม่ได้ดูเป็นเช่นนั้น —บรรยากาศรอบตัวของเธอมันดูเศร้าหมอง ซึ่งดูห่างไกลจากความรุนแรง
“นี่ ทั้งสองคน”
เมจิคัลเกิร์ลสองคนละสายตาที่มองกันและกัน เนฟิเรียมองไปทางขวามือ ส่วนเร็นเร็นมองไปทางซ้ายไปทางต้นเสียง
“ถ้าจะคุยกันล่ะก็ รวมฉันเข้าไปด้วยสิ” หญิงสาวที่อายุยี่สิบกลางๆพูดออกมา เส้นผมสีเกาลัดยาวลงมาถึงไหล่ เธอแทบไม่ได้แต่งหน้าเลย มากที่สุดคือลิปสติกสีแดงเข้ม ตอนนี้เธอกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ ด้านล่างหน้าอกเป็นต้นไปเร็นเร็นจึงมองไม่เห็น แต่มันบอกได้ว่าเธอต้องงอเข่าเล็กน้อยเพื่อที่จะพับขาไว้บนเก้าอี้ สายบราข้างซ้ายพาดอยู่ตรงกระดูกไหปลาร้า ส่วนข้างขวาที่พาดอยู่ตรงไหล่ก็กำลังจะไหลลงมา เร็นเร็นรู้สึกว่าความไม่สมดุลนี้เสมือนเป็นตัวตนของเธอ
เนฟิเรียพยักหน้าอย่างเงียบๆ ใบหน้าที่ว่างเปล่าเงยขึ้นมา มองไปยังหญิงสาวคนนั้น “พะ-พูด… มะ-ไม่เก่ง…”
“อ่าาา เธอพูดไม่เก่งสินะ ช่วง” หญิงสาวตอบ
“มร…ดก… สำนักงาน…กฏหมาย”
“งั้นเหรอ เธอจะบอกว่าตัวเองพูดไม่เก่งเพราะนอกจากงานที่ตัวเองเชี่ยวชาญแล้ว ก็แทบทำอย่างอื่นไม่ได้เลยสินะ”
เนฟิเรียยิ้มแปลกๆออกมาตอนที่เงยหน้าขึ้น เหมือนว่าเธอจะเห็นด้วย
ท่าทีของเร็นเร็นเองก็นุ่มนวลเป็นพิเศษ “ค่ะ ค่ะ” เธอพยักหน้า “ฉันเองก็เหมือนกัน เคยทำแต่งานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาครอบครัว ดังนั้นเลยแทบไม่ได้ทำงานกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นเลย”
เนฟิเรียเอามือแตะหน้าผาก จากนั้นก็ขบฟัน “อยู่ด้วยกัน… ที่นี่… ประหม่า…”
“ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกันนั่นแหละ เพราะงานนี้อาจเป็นงานสกปรกก็ได้” หญิงสาวที่เป็นผู้ว่าจ้างพูด
คิ้วของเนฟิเรียข้างหนึ่งเลิกขึ้น “โอ๋…?”
“ก็นะ ฉันหมายความอย่างนั้นแหละ เมื่อลูกสาวของเมียน้อยได้รับข้อความจากคนตายเพื่อให้เข้าร่วมอีเวนท์หน้าไม่อายอย่างการสืบทอดมรดก มันก็ต้องสกปรกและเต็มไปด้วยปัญหาใช่ไหมล่ะ?” เมื่อดูจากท่าทีแล้วมันดูเหมือนว่าเธอพูดออกมาอย่างปกติธรรมดา แต่นิ้วที่จับถ้วยชาไว้นั้นแน่น จนปลายเล็บกลายเป็นสีขาว
เร็นเร็นรวบรวมคำพูดเข้าด้วยกันโดยเน้นเรื่องความสุภาพ “งานของพวกเราคือการแก้ไขความวุ่นวายแบบนั้นแหละค่ะ คุณอากริเอลเร็มเวดส์ ควาคีย์”
“อากิก็ได้ ชื่อนั่นมันยาวไปนะ… แต่เอาจริงๆแล้ว ฉันทึ่งมากเลยที่เธอจำได้หมด” ทั้งสองคนหัวเราะออกมา จากนั้นเนฟี่ก็พูดตามออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆของเธอ
“อะ…อา…” เนฟิเรียพูดติดอ่าง
“อ๊ะ เรียกว่า ‘อา’ เฉยๆก็ได้เหมือนกันนะ แต่เอาจริงๆแล้ว ฉันคุ้นกับการถูกเรียกว่าอากิมากกว่า”
“กิ…”
“อ๋าาา ขอโทษนะ นึกว่าเธอพูดจบแล้วซะอีก” อากิกับเนฟิเรียหัวเราะ และในคราวนี้เร็นเร็นก็หัวเราะตามไปด้วย
อากิยืนขึ้นและบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เร็นเร็นถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เนฟิเรียขยับแค่ดวงตาหันมามองเร็นเร็น คนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแต่ทำเป็นไม่รู้ว่าถูกมองอยู่
“เรื่องทรัพย์สินกับมรดกนี่ เนฟี่เชี่ยวชาญงั้นเหรอ?” เร็นเร็นถาม
“กะ-เกลียด… ร่าง… คนตาย…”
“ฉันเองก็…ไม่ชอบเหมือนกัน”
“สู้… ไม่เก่ง…”
“ฉันเองก็สงสัยนะว่าจะมีการต่อสู้ด้วยเหรอ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน” เร็นเร็นยกถ้วยชาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ แต่น้ำชาก็หมดไปเรียบร้อยแล้ว
เนฟิเรียเอามือขวามาป้องปากและพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “คิด… หัวหน้า… ยังไง?”
ท่าทางบนใบหน้าของเร็นเร็นดูจริงจังมากขึ้น “ฉัน… อยากช่วยอากิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เพราะ…เรื่อง…เงิน…?”
เร็นเร็นเอามือที่กุมอยู่วางลงบนโต๊ะ เธอคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมา เธอรู้ว่าถ้าพูดออกมาอย่างจริงใจมันก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ แต่เธอก็จะพูดออกมาแบบนั้นอยู่ดี
“อากิมีความรู้สึกในแง่ลบกับพ่อที่ตายไปแล้ว” เธอพูดพร้อมกับพยักหน้า “เรื่องสถานการณ์ต่างๆของจอมเวทฉันไม่ได้รู้อะไรมากก็จริง แต่เหมือนมันมีเรื่องที่เรียกว่าลูกสาวของเมียน้อยอยู่ด้วย”
“อะ-อ่า”
“ฉัน…อยากช่วยให้อากิรักพ่อมากขึ้นซักนิดก็ยังดี”
คิ้วของเนฟิเรียย่นเข้าหากันจากนั้นก็เลิกขึ้น แล้วก็ค่อยๆกลับมาเหมือนเดิมอย่างช้าๆ “หือ…”
“การที่ลูกสาวเกลียดพ่อตัวเองมันน่าเศร้าไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากที่เงียบไปราวสามวินาที ไหล่ของเนฟิเรียก็สั่น เสียงเองก็ขาดๆหายๆ เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่กำลังเอามือกุมท้องและหัวเราะออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน
เร็นเร็นไม่ได้โกรธอะไร เธอมักโดนหัวเราะเมื่อพูดเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่อยากโดนเข้าใจผิด “เนฟี่ ฉันไม่ได้โกหกนะ”
“ชะ—ชั้น เข้าใ… ไม่… โกหก” เนฟี่หยุดหัวเราะแล้ว จากนั้นก็เอนตัวขึ้นมาบนโต๊ะ ยกคางขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนท่าทางที่มองเร็นเร็น แม้ว่าจะลืมตาอยู่แค่ครึ่งเดียวแต่ดวงตาของเธอไม่ได้ว่างเปล่า
เร็นเร็นรู้สึกไม่ดีแต่เธอไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า จากนั้นเธอก็มองกลับไป “มัน… ตลกเหรอคะ?”
“มะ-ไม่… ขอโ…”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก… ฉันชินกับการถูกหัวเราะแล้วล่ะ”
“เท่… อีโก้… เมจิคัล… เกิร์ล… ชอบ…”
เร็นเร็นไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำชมรึเปล่า แต่เธอก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางที่เห็นได้ว่าเป็นรอยยิ้ม
เนฟิเรียยื่นมือออกมาข้างหนึ่งแล้ววางลงบนตัวเร็นเร็น มือของเธอมันรู้สึกเย็น “ตรงๆ… น่ารังเกียจ… ชั้นชอบ…” เธอยิ้ม
บางทีอาจจะไม่ได้ชมเร็นเร็นอยู่ก็ได้
☆ 7753
เมื่อมานาบอกเธอเรื่องคำเชิญ ถึงจะเป็น 7753 คนที่มั่นใจว่าตัวเองไม่เก่งเรื่องการทำความเข้าใจคำใบ้ ก็เข้าใจได้ว่ามานาต้องการอะไร ไม่ใช่ว่า 7753 เข้าใจเรื่องราวได้เร็วขึ้น แต่เป็นเพราะมานาเป็นคนที่สามารถเข้าใจได้ง่ายมากต่างหาก มานาไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่เธอสามารถร้องขอเป็นการส่วนตัวได้ แต่เธอก็อายเกินกว่าที่จะพูดว่า “ชั้นไม่มีคนอื่นแล้ว” ออกมา เธอจึงถาม 7753 ตรงๆเพื่อให้ร่วมทางที่ไปเกาะด้วย มานาไม่อยากพูดว่าตัวเองอับจนหนทางและหันมาหาความเห็นใจจาก 7753 แต่จริงๆแล้วมานาก็อยากให้ 7753 ไปด้วย
7753 เข้าใจดีว่ามานากำลังมีปัญหา และเธอเองก็อยากช่วย ครั้งหนึ่งมันมีเมจิคัลเกิร์ลที่มานาสามารถขอความช่วยเหลือได้ เมื่อใดก็ตามที่ 7753 นึกถึงเรื่องราวของเมจิคัลเกิร์ลคนนั้น ฮานะ เกโคคุโจ ตัวของเธอก็จะถูกความรู้สึกอยากกรีดแทงหน้าอกเข้าโจมตี ฮานะนั้นเปรียบเสมือนพี่สาวของมานา สำหรับมานาแล้วมันจึงเป็นเรื่องที่แย่มาก การคิดถึงเรื่องนี้มันทำให้ 7753 อยากจะช่วย ต่อให้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พลังของเธอสามารถทำได้ก็ตาม
แต่ 7753 มีงานที่ต้องทำ เธอนั้นพยายามเขียนใบลา แต่จู่ๆตารางงานของเธอกลับว่างจนน่าตกใจ ปรินเซสดีลูจ เมจิคัลเกิร์ลที่ 7753 ต้องดูแลถูกย้ายไปยัง “ที่ที่เธอควรอยู่” โดยไม่ทันได้บอกลา
และในตอนนี้ 7753 ก็ได้มายังเกาะแห่งนี้
อากาศร้อนอบอ้าว ชายหาดถูกแผดเผาด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ ก้อนหินขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ในทรายทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินด้วยเท้าเปล่าในร่างมนุษย์ แต่ 7753 คือเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นเธอจึงสามารถรับมือความไม่สบายตัวในร่างเมจิคัลเกิร์ลได้ แต่เธอก็ไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนั้น ส่วนใหญ่ที่เธอทำคือการเอาตัวเองเข้าใกล้ผืนน้ำมากที่สุดโดยไม่ให้ตัวเองโดนละอองน้ำพร้อมกับมองออกไปยังเส้นขอบฟ้า หากไม่ระวังตัวจนเกินไปมันก็จะทำให้เธอดูแย่ต่อหน้าเท็ปเซเคเมย์ แม้ว่าเท็ปเซเคเมย์จะจำไม่ได้ว่าถูกพามาด้วยเพราะสัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำอะไรเอะอะ ไม่ทำอะไรเสียหาย หรือทำอะไรที่มันอันตราย แต่ 7753 ก็จำได้ดี
พอพูดถึงเท็ปเซเคเมย์แล้ว ตอนนี้เธอลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า ถูกพัดพาไปกับลม พอมานาเตือนเธอว่าอย่าขึ้นสูงเกินไปเดี๋ยวจะโดนบาเรียเอาได้ เท็ปเซเคเมย์ก็ตอบกลับมาว่า “เมย์โดนไปแล้ว” —นี่มันเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ดีกันนะ?
“ดูเหมือนเท็ปเซเคเมย์กำลังสนุกอยู่นะ” 7753 หันมาหามานาที่มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย เธอจับผ้าคลุมที่พริ้วไปมาไว้ด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายก็จับหมวกเอาไว้เพราะแรงลม ชุดของ 7753 ที่ดูเหมือนกับชุดนักเรียนมันไม่ได้พริ้วไปมาเพราะแรงลม แต่ก็ไม่เท่เอาซะเลย
“ร้อนจัง” 7753 พูด
“สุดๆเลยล่ะ” มานาเห็นด้วย
“แล้ว… ทำไมไม่ถอดผ้าคลุมออกล่ะ?”
“เวลาชั้นไปเคาะประตูบ้านใคร อย่างน้อยมันก็ต้องแต่งตัวแบบเป็นทางการล่ะนะ” มานาถอนหายใจ ฟู่วว ออกมาดังๆพร้อมวางมือเอาไว้บนเข่าเพื่อพยุงตัว “รู้ไหม ชั้นไม่ได้ช้าเพราะมันร้อนเกินหรอกนะ”
“หือ? จริงเหรอ?”
“ประตูที่มาที่นี่สร้างโดยพวกมือใหม่บางคน แน่นอนการใช้อะไรแบบนั้นมันทำให้ชั้นคลื่นไส้”
7753 —บางทีเท็ปเซเคเมย์ก็ด้วย— ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แค่คิดว่า เทเลพอร์ทด้วยอุปกรณ์แบบนี้ได้นี่มันยอดสุดๆเลย ทำให้เธอรู้สึกผิดที่ไม่ได้มีผลกระทบอะไรไปด้วย เพราะแบบนั้น 7753 จึงแสดงออกมาทางสีหน้าแทน
“แล้วเธอล่ะ?” มานาถาม
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ใช่พวกที่เมารถมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ไม่ใช่ ชั้นหมายถึงความร้อน”
“อ๋อ เรื่องนั้น” ชุดของ 7753 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดนักเรียนชาย กาคุรัน ดูเหมือนจะร้อนมาก มันดูไม่เข้ากับเกาะทางใต้แบบนี้เลย แต่จะเป็นชุดสำหรับอากาศหนาวหรือชุดชั้นใน สำหรับเมจิคัลเกิร์ลมันก็เหมือนกันหมด อากาศที่นี่แห้งกว่าที่ญี่ปุ่น ดังนั้นในแง่ของความชื้นแล้ว เรียกได้ว่าสบายตัวกว่า “พวกเราไม่มีปัญหาอะไรหรอก เดิมทีเท็ปเซเคเมย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในอากาศหนาวไม่ได้ เธอก็ยังผ่านฤดูหนาวมาได้ด้วยชุดแบบนั้นเลย”
“ชั้นล่ะอิจฉาจริงๆ… เมจิคัลเกิร์ลนี่ถึกชะมัด…” มานาพึมพำ บางทีอาจจะเป็นการชมหรือด่าเพราะขาดความอ่อนไหว จากนั้นพวกเธอเดินถอยห่างออกจากคลื่นที่ซัดเข้ามาหา
“เท็ปเซเคเมย์ พวกเราจะไปแล้วนะ” 7753 ตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงดัง จากนั้นก็เดินออกไป
7753 พยายามจับแขนของมานาเอาไว้ แต่มานาก็สะบัดออกพร้อมพูดว่า “อย่ามาทำเหมือนชั้นเป็นภาระนะ!” 7753 จึงต้องเดินตามหลังครึ่งก้าว พร้อมที่จะเข้าไปช่วยตลอดเวลาอย่างไม่มีทางเลือก
“เว็ดดิ้น” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
7753 พูดแก้โดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง “ฉันไม่ใช่เว็ดดิ้นนะ ว่าแต่มีอะไรเหรอ?”
เท็ปเซเคเมย์ไม่ได้ตอบ พอ 7753 หันหลังกลับไป เท็ปเซเคเมย์ก็กำลังมองไปรอบๆด้วยท่าทางที่ดูสับสน
“มีอะไรรึเปล่า?” 7753 พูดซ้ำ
“เมย์ไม่รู้” สำหรับเท็ปเซเคเมย์แล้วมันดูคลุมเครือ เธอลอยขึ้นไปในอากาศด้วยท่าทางจริงจัง
7753 รู้ว่าเท็ปเซเคเมย์ไม่ใช่พวกที่คิดว่า ต้องไม่ประมาท แต่ด้วยการที่อีกสองคนเป็นแบบนี้ บางทีเธออาจจะตั้งใจจริงๆก็ได้
บนเกาะแห่งนี้มีเมจิคัลเกิร์ลและจอมเวทที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย สำหรับพวกเธอสามคนที่เพิ่งมาถึงและไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับจอมเวทที่เจอมาไม่มาก 7753 นั้นเคยพบกับเมจิคัลเกิร์ลมามากมาย และเธอก็รู้ว่าส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่อย่างไร เธอก็ยังรู้ว่าคนเลวเพียงแค่คนเดียวมันก็มากพอที่จะเป็นภัยอันตรายถึงชีวิตได้
ในตอนนี้ เมื่อมานาสูญเสียความเยือกเย็นไปหรือเมื่อความไร้เดียงสาของเท็ปเซเคเมย์ไปทำอะไรไม่ดีเข้า 7753 ก็ต้องเป็นคนที่คอยปกป้องทั้งสองคน
เธอถอดแว่นกันลมที่สวมเอาไว้ ห้อยเอาไว้ที่คอเพื่อหลีกเลี่ยงการทำตัวไม่ดีไปก่อนในตอนนี้
MANGA DISCUSSION