ตอนที่ 6:
กับดักแสนหวาน
☆ คานะ
คานะสงสัยว่าเมฟิสจะตอบสนองกับเรื่องนี้ยังไง —จะปฎิเสธเธออีกครั้ง จะทิ้งเธอไว้ข้างหลัง หรือจะหลบเลี่ยงเธอระหว่างทางกลับ? แต่ในตอนนี้ไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องอยู่ใกล้เมฟิสให้มากที่สุด แต่เมฟิสก็เดินออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ดังนั้นในตอนนี้ คานะจึงตามเธอไป
พวกเธอเดินผ่านประตูที่อยู่ภายในห้องเก็บของของโรงยิม จากนั้นเมฟิสก็แปลงเป็นร่างเมจิคัลเกิร์ล เธอวิ่งขึ้นไปบนอาคาร กระโดดออกจากเสาเหล็ก และวิ่งไปตามสายไฟ คานะจึงทำแบบเดียวกันในตอนที่ตามเธอไป พอมองย้อนกลับไปในวันนี้ว่าเธอใช้ชีวิตกับคนที่อยู่โดยรอบยังไง และเพราะว่าเธอคงไม่มีคนที่ให้เลียนแบบ เธอจึงตัดสินใจอย่างเงียบๆว่าต้องจำว่าต้องทำงานของตัวเองยังไงเช่นเดียวกับเรื่องทางกลับบ้าน พอประเมินตัวเองแล้ว เธอก็คิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีมาก เธอจึงยกยอตัวเองอย่างเงียบๆ เธอเติบโตขึ้นในฐานะเมจิคัลแล้ว
พวกเธอวิ่งผ่านย่านการค้า จากแสงจ้ามุ่งหน้าเข้าสู่ความมืด ไม่ใช่ว่าคานะไม่อยากรู้เรื่องย่านใจกลางเมือง แต่เธอรู้จากประสบการณ์ว่ามันอันตรายถ้าสายตาไม่ได้มองไปด้านหน้าในขณะวิ่งอย่างเต็มกำลังตอนเป็นเมจิคัลเกิร์ล แถมด้วยความเร็วแล้ว แค่สะดุดมันก็อาจทำลายอพาร์ทเมนท์หรืออาคารทั้งหลังไปเลยก็ได้
ดังนั้นเธอจึงมองไปทางอื่นไม่ได้ และเธอยังรู้จากประสบการณ์อีกว่า การปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านและปล่อยให้เท้าขยับไปเองในตอนที่วิ่งตามใครบางคนมันอันตราย ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหยุดฟุ้งซ่านในตอนที่กำลังวิ่ง (แม้จะเป็นเรื่องการประเมินตนเองหรือคิดย้อนกลับไปในโรงเรียนก็ตาม) และตั้งใจตามแผ่นหลังของเมฟิสไป เมื่อเท้าหยุด เธอก็พบว่าตัวเองอยู่บนดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างทรงสูงรูปสี่เหลี่ยมที่สร้างมาจากคอนกรีต ทั่วบริเวณเองก็เต็มไปด้วยวัตถุสี่เหลี่ยมจำนวนมาก —จากที่คานะมอง พวกนั้นไม่ได้ดูมีรูปทรงที่คล้ายกันแต่เป็นรูปทรงเดียวกันทั้งหมด
“นี่มัน… อ๊ะ เรารู้จัก พื้นที่ตึกสูง” คานะพูด
“อพาร์ทเมนท์” เมฟิสบอกเธอ
“อพาร์ทเมนท์เหรอ? เราจะจำไว้นะ”
เมฟิสบ่น “ทำไมต้องจำด้วยเนี่ย?” แล้วดึงเอาวัตถุโลหะขนาดเล็กออกมาและยื่นมาตรงหน้าให้คานะเห็น คานะรู้จักรูปทรงนี้ มันคือกุญแจ
“ชั้นขโมยเจ้านี่มาจากผู้จัดการอาคาร ทำสำรองไว้แล้วเลยจะเอามาคืน” เมฟิสพูดเหมือนกับว่ากำลังอวด เธอใช้กุญแจเปิดประตูที่มีหลังคายื่นออกมา จากนั้นก็กวักมือให้คานะเข้ามาและปิดอีกครั้ง ด้านในได้กลิ่นเชื้อรา เพดานและผนังเองก็สกปรกจนเป็นสีดำราวกับเต็มไปด้วยคราบ ทั้งสองคนลงบันไดมาหนึ่งชั้นและยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ต่างออกไป ประตูบานนี้ดูเหมือนเหล็กราคาถูกแต่มันดูหนาและแข็งแรงกว่าประตูที่อยู่บนดาดฟ้า เมฟิสเปิดประตูด้วยกุญแจคนละดอกกับก่อนหน้า ส่วนคานะก็ตามเมฟิสเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ
เมื่อเมฟิสปิดประตู กลิ่นของเชื้อราก็หายไป ทางเข้าที่นี่เหมือนจะมีเอาไว้วางรองเท้า เพราะเมฟิสถอดรองเท้าของเธอออกแล้วเข้าไปด้านใน คานะเองก็ตามหลังไป
มันเป็นทางเดินที่สั้นและแคบ มีห้องอยู่ตรงสุดทางตามทางเดินเองก็มีเสื้อผ้าแขวนเอาไว้ ที่เสื้อผ้านั้นมันมีลวดลายอยู่แต่คานะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร เสื้อผ้าพวกนี้เก่าและโทรมเกินไปกว่าจะเป็นของประดับ และมันก็ยังสั้นเกินไปเพื่อจะซ่อนสิ่งที่อยู่ภายในห้องด้วย บางทีมันอาจมีความหมายทางศาสนาบางอย่าง
คานะลอดผ่านใต้เสื้อผ้าเข้าไปในห้อง ภายในมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูไม่คุ้นเคย แม้คานะจะจำจอมอนิเตอร์ เตียง ชั้นหนังสือกับหนังสือได้ แต่มันยังมีบางสิ่งที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไรอยู่ด้วย กระเป๋าที่มีประกายแววาวของโลหะจนแทบจะล้นออกมา มีวัตถุทรงกระบอกโลหะขนาดเล็กที่ดูเก่าแก่ กล่องสี่เหลี่ยมพลาสติก จานเหล็กที่ติดอยู่กับเสาเหล็ก แต่ไม่นานหลังจากที่เธอสงสัยว่าวัตถุปริศนาที่จะมองเห็นชิ้นถัดไปคืออะไรนั้น สมองของเธอก็ตามไม่ทันเสียแล้ว
“จะมองข้าวของของชั้นทำไมเนี่ย?”
“ขอโทษ ทุกอย่างมันใหม่สำหรับเรา มันเลยช่วยไม่ได้”
“นี่เป็นหัวขโมยรึไงน่ะ?”
“เราเองก็ปฎิเสธไม่ได้เหมือนกัน”
“…อ่า ใช่ อยู่ในคุกมางั้นสิ?”
เจ้าของบ้านกดสวิทช์ที่ผนังเพื่อเปิดไฟ เธอนั่งลงบนเตียงหันหน้ามายังคานะแล้วก็โยนหมอนมาให้ พอคิดว่าสิ่งที่เมฟิสบอกคือให้นั่งลงบนพื้น คานะจึงวางหมอนไว้ที่ก้น นั่งลงไป ชันเข่ามาไว้ที่หน้าอก เมฟิสมองเธอแปลกๆ แต่เมื่อไม่ได้พูดอะไรคานะก็คิดว่าแบบนี้คงโอเค
ห้องมีขนาดประมาณสามเท่าของส่วนสูงคานะ มันเล็กก็จริงแต่มันก็ไม่ถึงขนาดไม่มีที่ให้นั่ง แต่กระนั้น การที่เธอประทับใจกับ “สิ่งของต่างๆ” เหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ที่นี่หนังสือจำนวนมากจนล้นออกมาจากชั้นหนังสือและกองกันอยู่บนพื้น ด้านบนสุดของกองหนังสือมันสูงกว่าตัวคานะที่นั่งอยู่ซะอีก แม้เมฟิสจะมีภาพลักษณ์แบบนี้ แต่จริงๆแล้วเธอเป็นนักอ่านงั้นเหรอ? แต่เธอก็ไม่ได้ดูแลหนังสือดีมากพอ เพราะบางเล่มมีหน้าที่พับเอาไว้อยู่ด้วย
“เอาล่ะ แทนที่จะจ่ายค่าเช่าให้ชั้น มาคุยกันดีกว่า” เมฟิสพูด
“เราทำไม่ได้หรอก” คานะตอบ “เราบอกได้แค่ในเรื่องที่ทำได้ อย่างเช่น วิธีคืนดีกับเท็ตตี้—”
“ชั้นไม่ได้ถามเรื่องนั้นว้อย! ทำไมชั้นต้องไปคืนดีกับยัยนั่นด้วยเล่า?”
“ทั้งสองคนมีเรื่องอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่า?”
“ก็…นะ หลายๆเรื่อง”
“งั้นบอกเราหน่อย”
“พวกเราเข้าโรงเรียนประถมที่เดียวกัน… เฮ้ย เดี๋ยว! เธอต่างหากที่ต้องเป็นคนบอกชั้น!”
“เราชื่อคานะ”
“ไม่ตลกแล้วนะ โอเค?” เมฟิสทุบเตียงด้วยมือขวา ใช้เท้าเด้งตัวขึ้นมา มันเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติราวกับขนนกที่ปลิวไปตามลม เธอนั่งลงข้างคานะพร้อมเอาแขนมาโอบไหล่ นิ้วแต่ละนิ้วที่ยาวและเรียวสวยลูบคางของคานะเป็นจังหวะ ในขณะที่เล็บสีเทาอันแหลมคมถูรอบคอของคานะจนเกือบรู้สึกเจ็บ เส้นผมสีดำของเธอม้วนไปมาอยู่รอบๆ มันเคลื่อนไหวราวกับเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีแรงบันดาลใจมาจากเมดูซ่า เธอเอนตัวมาใกล้มากพอที่คานะจะสัมผัสลมหายใจและมองเห็นการขยับของริมฝีปากอมชมพูได้ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ริมฝีปากของเธอมันขยับอย่างลามกอนาจาร ซึ่งนั่นก็เหมาะกับการที่เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลสไตล์ปีศาจดี
“เธอรู้จักอาจารย์ใหญ่ด้วยสินะ หืม?” เมฟิสถาม
“เราเพิ่งเจอกันเมื่อเช้า”
“แล้วเมื่อกี๊คุยอะไรกัน?”
“เราไม่มีที่ไป เพราะงั้นเลยลองเจรจาดูว่าจะไปอยู่ที่บ้านเธอได้รึเปล่า”
เมฟิสดันตัวเองออกห่างจากคานะเพื่อกลับมานั่งบนเตียง สายตาที่เธอมองคานะไม่ใช่ความโกรธหรือความเกลียด คานะคิดว่าบางทีอาจจะเป็นความไม่เชื่อใจมากกว่า
“แปลก” เมฟิสพูด “ทำไมถึงไปถามคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อเช้าว่าขอไปอยู่ที่บ้านด้วยได้ไหมกันล่ะ? แล้วยิ่งกว่านั้น ในตอนพิธีเปิดพูดกันว่าเธอเป็นรองหัวหน้าฝ่ายข้อมูลด้วย ดังนั้นเธอจะยุ่งเกินกว่าจะมาที่นี่ได้ เรื่องนี้ชั้นได้ยินมาจากอาเดลไฮลด์ แต่ฝ่ายข้อมูลนี่เป็นที่อันตรายของแท้เลยใช่ไหม? รองหัวหน้ายังอันตรายขนาดนั้น หมายถึงมีออร่ารุนแรงน่ะ”
“ถ้าไม่ได้บอก เราก็ไม่รู้เรื่องตำแหน่งของเธอหรอก แล้วก็ เธอไม่ใช่เอลฟ์นะ เป็นจอมเวท แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับการคิดว่าเอลฟ์—”
“ชั้นพูดถึงเรื่องนิยามคำว่าเอลฟ์ซะที่ไหนกันเล่า!”
“จริงด้วย”
“เธอเองก็เห็นเรื่องที่ยัยนั่นทำใช่ไหมล่ะ? เหมือนกับจะบอกว่า ‘แค่นิ้วเดียวชั้นก็จัดการเมจิคัลเกิร์ลหน้าโง่อย่างแกได้แล้ว’ ยัยนั่นน่ะเห็นพวกเราเป็นขยะมาตั้งแต่แรก แล้วทำไมจอมเวทชั้นสูงแบบนั้นถึงต้องตั้งใจฟังเรื่องที่เธอพูดอย่างจริงจังด้วยล่ะ? ทำไมคนที่แทบไม่เห็นหน้าต้องมาช่วยหาที่พักให้เธอด้วย? บอกชั้นสิ” ดวงตาสีแดงเข้มขนาดใหญ่ของเมฟิสกำลังกดดันเธอราวกับจะพูดว่า “บอกชั้นมาสิ” และคานะก็รู้สึกว่าตัวเองจนมุมแล้ว คำพูดของเมฟิสมันทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวด และบางทีนี่อาจจะเป็นเวทมนตร์ของเมฟิส คานะอยากตอบสนองความต้องการของเมฟิส เธออยากพูดออกมามากๆ แต่คานะก็ไม่ได้มีข้อมูลที่เมฟิสตามหาอยู่เลย
“งั้นเหรอ” คานะพูด
“งั้นเหรอ? หมายความว่าไงน่ะ”
คานะเข้าใจเหตุผลที่เมฟิสไม่ได้โมโหอะไรนักในตอนที่พาคานะมาบ้านแล้ว เธอสงสัยความมีน้ำใจของฮัลน่าและตั้งใจพาคานะมาที่บ้านเพื่อล้วงเอาคำตอบ ด้วยเวทมนตร์ของเธอแล้วมันคงเป็นกุญแจสำคัญ นี่เธอพยายามลบสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามารบกวนความสงบสุขในห้องเรียน หรือว่าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์และใช้มันเพื่อทำให้ช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียนสบายขึ้นกันนะ? คานะที่เพิ่งเรียนรู้ทักษะการต่อรองบอกไม่ได้ว่าเป็นแบบไหน สิ่งที่เธอเข้าใจก็คือเมฟิสมั่นใจว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ต่อให้คานะพยายามปฎิเสธหรือหลบเลี่ยง เมฟิสก็ไม่น่าจะยอมรับ
คานะเหมือนจะจำเรื่องที่ใครบางคน —บางทีอาจจะเป็นอาชญากรแสนเลวร้าย— บอกว่าเมื่อพูดโกหกออกไปครั้งหนึ่งแล้ว สิ่งที่โง่เขลาที่สุดคือต้องปิดบังทุกอย่างด้วยความเท็จ แต่กระนั้นเธอก็ควรพูดกับเมฟิสตรงๆไปว่า “เราถูกผู้หญิงบางคนที่เราไม่เข้าใจส่งมาที่นี่ แถมยังบอกว่าต้องเป็นนักเรียนที่ดีและจบการศึกษาด้วย” รึเปล่านะ?
แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่คานะก็รู้สึกทรมาณ จนมันทำให้จำอะไรบางอย่างที่สำคัญได้ “เราเคยอยู่ในคุก”
“ชั้นรู้แล้ว” ตาขวาของเมฟิสหรี่ลงอย่างสงสัย นั่นคงไปกระตุ้นความอยากรู้ของเธอเข้า ความจริงที่เธอสนใจเรื่องคุกมากกว่าจะโจมตีคานะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
“คุกสมัยใหม่ให้ความสำคัญเรื่องการปรับปรุงตัวและเรียนรู้มากกว่าการลงโทษและปฎิบัติตามระเบียบวินัย ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะใช้นักโทษที่มีความสามารถในฐานะทรัพย์สิน”
“เธอมีความสามารถงั้นเรอะ?”
“เราคิดว่าเรื่องนั้นมีความเห็นที่ต่างกันอยู่นะ”
เมฟิสเอาเท้าขวามาวางบนเข่าซ้าย เอามือขวาวางไว้ใต้คาง จากนั้นก็พยักหน้า เหมือนว่าเธอกำลังคิดอยู่ เธอหลับตาลงอย่างช้าๆ จากนั้นก็เปิดออกในทันใด “เดี๋ยวนะ อย่ามาเลี่ยงประเด็น นักโทษมันไม่เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ใหญ่ซักหน่อย”
“อย่างที่เราบอกไง การจัดสรรบุคลากรจากคุกเองก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของทางโรงเรียน และแน่นอนว่าต่อให้นักโทษจะมีความสามารถแค่ไหน อาจารย์ใหญ่คงไม่สบายใจแน่หากมีนักโทษมาอยู่ร่วมกับนักเรียนที่มีอนาคตสดใสอยู่ดี ดังนั้นจึงต้องมีการสัมภาษณ์ก่อน นั่นคือตอนที่เราได้พบฮัลน่า”
“เธอนี่เอาแต่พูดออกมาเรื่อยๆ แล้วมันก็ฟังดูมีเหตุผลซะด้วยแหะ”
“เราแค่อธิบายสถานการณ์ของตัวเองอย่างละเอียด การถูกแนะนำมาจากฝ่ายกฏหมาย เธอคงรู้ว่าคำพูดที่ถูกต้องมันสำคัญแค่ไหน”
“…หืม? เฮ้ เดี๋ยวนะ ทำไมถึงรู้เรื่องคนที่แนะนำชั้นมาได้เนี่ย?”
สถานการณ์เปลี่ยนไปในทางแย่ซะแล้ว เมฟิสหรี่ตา ท่าทางของเธอดูอันตรายในตอนที่มองมายังคานะ มันเป็นการผสมกันระหว่างความสงสัยและความโกรธ นี่ไม่ใช่ท่าทางที่จะมองคนที่อยู่ในห้องเดียวกันและกลุ่มเดียวกันเลย
“ไปได้ยินมาจากใคร? บอกชั้นมา” เมฟิสสั่ง
ฮัลน่าห้ามคานะอย่าบอกใครว่าได้ข้อมูลมาจากไหน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น —หากเธอบอกเมฟิสไปตรงๆในตอนนี้เรื่องที่เธอรู้มาจากฮัลน่า แบบนั้นตัวของคานะก็จะน่าดูน่าสงสัยมากขึ้น เพราะว่าเมฟิสสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคานะและฮัลน่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมฟิสก้าวเท้าขวาออกมาและวางมันลงบนเข่าของคานะ เอนตัวมาด้านหน้า เอาใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้คานะ เมื่อใกล้พอจนคานะสามาถสัมผัสลมหายใจของเธอได้ เธอก็พูดซ้ำว่า “บอกชั้นมา”
หัวใจของคานะเริ่มเจ็บปวด เธออยากจะพูดมันออกมา แต่เมื่อปากของเธอเปิดออก เธอก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงกลืนคำพูดลงไป เธอแทบจะห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้ในตอนที่หลังชนฝา พอเมื่อเธอพยายามยั้งคำพูดเอาไว้ เมฟิสก็พึมพำเบาๆว่า “ใครเป็นคนบอก? และคานะก็หลับตาลง
การพูดอย่างตรงไปตรงมาจะเป็นเรื่องที่ดีต่อเมฟิส ในขณะที่การไม่เปิดเผยแหล่งข้อมูลออกมาจะเป็นเรื่องที่ดีต่อฮัลน่า ในตอนนี้ ตัวของคานะติดอยู่ระหว่างสองสิ่งที่แสนลำบาก หากเธอแสดงเรื่องที่ดีต่อใครคนหนึ่ง มันก็จะเป็นการทรยศใครอีกคนไปโดยปริยาย
หากเธอสามารถซื่อสัตย์ที่สุดมากเท่าที่ทำได้ ในขณะที่ยังคงปกปิดเรื่องแหล่งข้อมูลไว้… มันจะเป็นไปได้ไหมนะ? แต่คานะคิดว่า —การทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้คือสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลควรทำ บางทีนี่อาจจะเป็นบททดสอบของเมจิคัลเกิร์ลก็ได้ หากถามว่า “การทำดีต่อทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทุกคนพอใจมันสมกับการเป็นเมจิคัลเกิร์ลด้วยเหรอ?” มันก็ยากที่จะตอบออกมาในทันที แต่มันก็ไม่ใช่คำถามที่เธอควรจะตอบในตอนนี้
“เราบอกเรื่องแหล่งข้อมูลไม่ได้” คานะพูด “เราสาบานเลยว่าบอกไม่ได้จริงๆ”
“ถ้าชั้นบอกว่าไม่ต้องสนเรื่องนั้น และบอกชั้นมาล่ะ?”
“แรงจูงใจเดิมของเราคือพยายามค้นหาผู้สนับสนุนของทุกคนเพื่อที่จะใช้มันในการเป็นเพื่อนกับทุกคน แต่ถ้าเราบอกไปว่าได้ข้อมูลมาจากไหนตอนนี้ เราคงเป็นเพื่อนกับทุกคนไม่ได้ ลำดับความสำคัญของเรามันจะหายไป ดังนั้นเราจึงบอกแหล่งข้อมูลไม่ได้”
“งั้นเหรอ… อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
เมฟิสปรบมือสามครั้งพร้อมกับยิ้มออกมา “ว้าว”
“เราไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รับคำชม”
“ใครมันชมแกวะ! ที่ชั้นพูดว่า ว้าว เพราะแกดันคิดว่าการแก้ตัวปัญญาอ่อนแบบนั้นมันได้ผลด้วยต่างหาก อีโง่เอ๊ย!”
“เราไม่ได้แก้ตัวนะ เราอยากเป็นเพื่อนกับเธอจริงๆ เราอยากเป็นเพื่อนกับเท็ตตี้ด้วย และเราคิดว่ามันคงดีถ้าทั้งสองคนเข้ากันได้ดีด้วย แล้วเรื่องที่เธอกับเท็ตตี้ทะเลาะกันตอนการจำลองการ—”
“ไปตายซะ!”
เมฟิสเตะเข้ามาที่คานะจนตัวของเธอกลิ้งไปกระแทกกับกำแพง แรงกระแทกมันทำให้ชั้นหนังสือล้มลงมากระแทกเข้ากับตู้ลิ้นชักจนเอียงค้างอยู่แบบนั้น ตัวของคานะก็จมอยู่ใต้หนังสือที่ร่วงลงมาจากชั้นราวกับน้ำตก
☆ ลาพิส ลาซูไลน์
กำแพงและพื้นสีขาวล้วนดูขุ่นมัว —มันดูเป็นแบบนั้นเพราะแสงสลัว พื้นเรซิ่นเองก็ไม่ทำให้เกิดเสียง มันจึงทำให้การเดินของเธอเงียบกริบ นักวิจัยบางคนบ่นเรื่องวิ่งชนคนอื่นเวลาเลี้ยวโค้ง แต่ลาซูไลน์ไม่เคยได้ยินว่ามีการคุยเรื่องวิธีแก้ไขเลย
เธอมุ่งตรงผ่านทางแยก จากนั้นก็เลี้ยวขวาถัดมาและผ่านประตูไม่กี่บาน โค้งคำนับอย่างงุ่มง่าม ยิ้มอย่างประหม่าออกมาให้จอมเวทในชุดกาวน์ที่เดินมาจากด้านหน้า
มันไม่ใช่รอยยิ้มของลาพิส ลาซูไลน์ —แต่เป็นรอยยิ้มของบลูเบล แคนดี้
แม้บลูเบล แคนดี้จะมีตำแหน่งในฝ่ายวิจัยและพัฒนา แต่มันก็ไม่มีตำแหน่งให้กับลาพิส ลาซูไลน์ และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเปลี่ยนชื่อตัวเองในตอนนี้เพื่อที่จะได้เป็นคนที่ชื่อลาพิส ลาซูไลน์ นอกจากอารมณ์ที่ขุ่นมัวเล็กน้อยแล้ว การทำตัวเป็นบลูเบล แคนดี้ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ดังนั้นเมื่อเธออยู่ที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ลาพิส ลาซูไลน์ก็ยังคงเป็นบลูเบล แคนดี้ ความทรงจำของลาพิส ลาซูไลน์หรือบุคลิกของเธอในที่แห่งนี้มันไม่มีค่าอะไรเลย
เธอหันไปทางขวาและหยุดก่อนจะถึงประตูบานที่สามที่อยู่สุดทางเดิน มันมีป้ายชื่อห้องเขียนว่า ห้องหนังสืออ้างอิง แปะเอาไว้ เธอเคาะประตูสองครั้ง รอชั่วอึดใจหนึ่งและเคาะไปอีกครั้ง ประตูเลื่อนไปทางขวา เมื่อลาซูไลน์เข้าไปด้านใน ประตูก็ปิดในทันที
“อาจารย์ ดูเหมือนว่าเฟรเดริก้าจะลงมือแล้ว” ลาซูไลน์พูด
“ดูเหมือนว่า นี่หมายความว่ายังไงน่ะ?” หญิงชราที่อายุล่วงเลยวัยกลางคนไปแล้ววางปากกาลงบนโต๊ะ ตัวตนของเธอส่วนใหญ่คงอธิบายได้ว่า ‘ซับซ้อน’
ลาซูไลน์นั่งลงไปบนเก้าอี้สำหรับแขกโดยไม่ลังเลและนั่งไขว่ห้าง จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งข้ามโต๊ะ “ฉันหมายถึง นี่คือเฟรเดริก้าใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นคงเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก”
“นั่นเธอเดาเอาเองสินะ?” หญิงสาวยิ้มออกมาแบบสบายๆ เธอพูดจาอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่คนที่รู้จักเธอก็จะมีท่าทีเคร่งขรึมเมื่อพบหน้ากันเพราะรู้ว่าจะทำอะไรผิดพลาดไม่ได้ มีเพียงลาซูไลน์คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในท่าทางผ่อนคลาย เธอไม่ได้สืบทอดชื่อของลาซูไลน์โดยเปล่าประโยชน์ ไม่ใช่บลูเบล แคนดี้แต่เป็นลาพิส ลาซูไลน์ที่รู้ว่ารุ่นที่หนึ่งต้องการอะไรจากเธอ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด
“ตัวแทนฝ่ายแคสปาร์เข้าหาคนที่มีเส้นสายกับโรงเรียนกวดวิชามาโอ” ลาซูไลน์อธิบาย “นั่นแหละที่ฉันบอกว่า ดูเหมือน เฟรเดริก้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรตรงไปตรงมาอยู่แล้ว แต่มันก็คงเป็นคำขอของเธอสินะ? มีอะไรบางอย่างใหญ่โตเกิดขึ้นจนพวกนั้นต้องหาคนจำนวนมาก ดูไม่ปกติเอาซะเลย”
“แบบนั้นคงต้องใช้งบเยอะน่าดู”
“อื้อ แน่นอนว่าคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอก็ด้วย ต่อให้เป็นพวกที่ออกกลางคันก็ยังมีอิทธิพลมากอยู่ดี แต่ถ้าพวกนั้นใช้องค์กรต่อต้านที่อยู่ใต้การควบคุมของตัวเอง หรือเด็กสาวฝ่ายแคสปาร์ มันก็จะไม่ต้องเสียอะไรมาก —แบบนี้มันหมายถึง พวกนั้นจำเป็นต้องใช้อะไรบางอย่างจากการว่าจ้างภายนอก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่” ลาซูไลน์สลับขาที่นั่งไขว่ห้าง ลาซูไลน์รุ่นที่หนึ่งก็วางศอกลงบนที่พักแขนและหมุนเก้าอี้ตัวเองมาทางขวา
ลาซูไลน์หรี่ตาข้างขวาพร้อมเม้มปากเล็กน้อย “แทนที่จะทำให้โรงเรียนกวดวิชามาโอเป็นศัตรู ทำให้ทางนั้นมาเป็นฝ่ายเราจะไม่ดีกว่าเหรอ? ฉันคิดว่าต่อให้เริ่มตอนนี้และหาคนดีๆมาจำนวนนึง พวกเราคงทำได้แน่ และแน่นอนคงมีอีกพวกหนึ่งที่จะเปลี่ยนข้างเพราะเงินด้วย”
“หากเด็กสาวของโรงเรียนกวดวิชามาโอเปรียบเทียบสิ่งที่ฉันพยายามทำกับสิ่งที่เฟรเดริก้าพยายามทำ แล้วต้องเลือกข้างล่ะก็ เด็กพวกนั้นจะเลือกอยู่ฝ่ายเฟรเดริก้า”
เฟรเดริก้าพยายามเพิ่มจำนวนเมจิคัลเกิร์ลให้มากขึ้น ส่วนรุ่นที่หนึ่งคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลไม่ควรมีตัวตนอยู่อีกต่อไป แม้ทั้งคู่ต้องการกำลังที่จะต่อต้านดินแดนเวทมนตร์ เป้าหมายของพวกเธอก็เข้ากันไม่ได้ ทั้งคู่รู้ดีในตอนที่ร่วมมือกัน แต่ในตอนนี้เฟรเดริก้ายึดฝ่ายแคสปาร์เอาไว้แล้ว สมดุลระหว่างพวกเธอจึงพังทลาย แต่พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ลาซูไลน์คิดว่าพวกเธอควรทำให้โรงเรียนกวดวิชามาโออยู่ฝ่ายเดียวกันจะดีกว่า
แต่ยังไงรุ่นที่หนึ่งก็ไม่ยอมรับความคิดนั้น “ถ้าจะเอาชนะคนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอที่ทำงานกับเฟรเดริก้าไปแล้ว มันต้องใช้ทั้งเวลาและเงินมาก พวกนั้นผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น ฉันไม่เห็นว่ามีประโยชน์อะไรที่จะทำนะ”
ว่าแล้ว ลาซูไลน์คิด รุ่นที่หนึ่งจะไม่พูดออกมาดังๆว่าตัวเองรังเกียจโรงเรียนกวดวิชามาโอ และยิ่งกว่าตัวโรงเรียน สิ่งที่เธอรังเกียจ —แบบมากที่สุด— คือทุกสิ่งที่เกี่ยวโยงกับนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ เธอจะไม่ร่วมมือกับองค์กรที่แครนเบอร์รี่เคยเป็นสมาชิกอยู่
“งั้นจะปล่อยให้โรงเรียนกวดวิชามาโอกลายเป็นศัตรูในตอนที่พวกเราไม่มีแผนอะไรเหรอ?” ลาซูไลน์พูด “แบบนั้นมันไม่ประมาทไปหน่อยรึไง?”
“ไม่มีแผน? ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นเลย” รุ่นที่หนึ่งเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ล้อของเก้าอี้ส่งเสียงครืดคราดออกมาเล็กน้อย “พวกเรามีกำลังมากพอแล้ว สิ่งที่ต้องการน่ะคืออย่างอื่น ก่อนอื่นเลย พวกเราจำเป็นต้องมีแผนที่ของทั้งโรงเรียน พวกเราต้องหาสถานที่ที่เฟรเดริก้าเล็งเอาไว้ให้เจอ”
ห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลคือสิ่งที่ถูกริเริ่มโดยฝ่ายพัค หลังจากที่พัคพั๊คยึดครองสถานโบราณได้แล้ว ฝ่ายโอสก็ได้ทำการฉกฉวยเอามันไป ฝั่งลาซูไลน์นั้นทำการปลุกปั้นเมจิคัลเกิร์ลอย่างอิสระ พวกเธอจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่เฟรเดริก้ากลับเริ่มส่งนักเรียนเข้าไป ดังนั้นรุ่นที่หนึ่งจึงทำการตอบโต้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะตามให้ทัน เธอจึงทำการแนะนำคนเกี่ยวข้องเข้าไปหรือไม่ก็ให้พวกเธอถูกแนะนำ
“เหมือนว่าที่นั่นจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น” ลาซูไลน์พูด “แน่ใจได้เลยว่าเฟรเดริก้าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง เพราะดิโกะถูกใส่เข้าไปในกลุ่มสาม”
เพราะตัวเองชักช้าเกินไป รุ่นที่หนึ่งจึงใช้เส้นสายทั้งหมดที่ตัวเองมีและใช้มันปกปิดการกระทำของตัวเอง มีเพียงคนที่เกี่ยวข้องเพียงคนเดียวของเธอที่ได้รับการแนะนำอย่างเต็มรูปแบบจากทางฝ่ายวิจัยและพัฒนา สำหรับดิโกะ นาระคุโนะอิน เธอมาจากภายนอกและจ่ายเงินให้กับขุนนางมีชื่อของฝ่ายแคสปาร์เพื่อซื้อการแนะนำในการเข้าไปยังห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล ส่วนรันยุยถูกเรียกมาโดยพวกตำแหน่งสูงขององค์กรสาธารณะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแนะนำจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เธอตั้งใจแนะนำทั้งสองคนผ่านเส้นทางที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ที่ดิโกะถูกแนะนำโดยฝ่ายแคสปาร์ เธอก็ควรเข้าไปอยู่ในกลุ่มสองตามการแบ่งฝ่าย แต่ในความจริงแล้วเด็กสาวทั้งสามคนกลับถูกจัดไปอยู่กลุ่มสามแทน ถูกจัดกลับมาอยู่ในกลุ่มที่ควรจะอยู่ซึ่งไม่ได้ประกาศให้สาธารณะทราบ ราวกับเป็นข้อความที่ส่งมาถึงพวกเธอว่า “ชั้นรู้นะว่าพวกแกทำอะไรกันอยู่”
“แล้วสโนไวท์ล่ะ?” รุ่นที่หนึ่งถาม
“เธออยู่กับดีลูจ”
ลาซูไลน์รู้สึกโล่งอกที่ตัวเองสามารถพูดชื่อดีลูจออกมาได้แบบธรรมชาติ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาตามปกติ และเธอก็รู้สึกสมเพชตัวเองที่รู้สึกโล่งอกด้วย แถมพอคิดว่ารุ่นที่หนึ่งสามารถบอกว่าเธอรู้สึกยังไงได้ เธอก็ถอนหายใจออกมา
“ดีแล้ว งั้นก็ให้ไลท์นิ่งลงมือได้เลย” รุ่นที่หนึ่งพูดพร้อมกับขมวดคิ้วขวาเล็กน้อย
ลาซูไลน์รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ่นที่หนึ่งเปลี่ยนสีหน้า —ตั้งแต่ที่ชื่อของไลท์นิ่งถูกพูดขึ้นมา ลาซูไลน์ก็ทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจริงๆแล้วลาซูไลน์เกลียดขี้หน้าเธอนั่นเอง ลาซูไลน์ทำตัวเองให้ชอบไลท์นิ่ง เมจิคัลเกิร์ลที่ถูกแนะนำมาจากฝ่ายวิจัยและพัฒนาไม่ได้
“เป็นอะไรรึเปล่า?” รุ่นที่หนึ่งถาม
“เปล่า”
“ทั้งเธอและฉันไม่สามารถเข้าไปในโรงเรียนที่มีการคุ้มกันหนาแน่นนั้นได้ ดังนั้นแน่นอนว่าเราต้องติดต่อไลท์นิ่งเพราะเธอเป็นนักเรียนที่นั่น”
“ก็นะ” ลาซูไลน์ตอบ “แต่ฉันคิดว่าอย่างน้อยพวกเราก็ควรบอกรันยุยกับดิโกะให้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรากับไลท์นิ่งไว้ พวกเธอติดต่อไลท์นิ่งไม่ได้ใช่ไหม?”
“ข้อมูลเรื่องไลท์นิ่งไม่จำเป็นสำหรับภารกิจของดิโกะและรันยุย”
“ฉันรู้น่า อาจารย์ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ เหมือนว่าพอเวลาผ่านไปแล้วเกิดพูดอะไรออกมา มันก็จะไม่มีเรื่องข้อมูลสำคัญอยู่ ราวกับไม่เชื่อใจพวกนั้น”
“ฉันไม่เอาความชอบส่วนตัวมาใส่ในเรื่องความสัมพันธ์หรอกนะ”
ไม่อยากได้ยินแล้ว ลาซูไลน์คิด และพอแน่ใจว่าอาจารย์สามารถรู้ว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ เธอก็แลบลิ้นออกมาแบบน่ารักที่สุดเท่าที่ทำได้
☆ ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์
โรงเรียนในตอนกลางคืนมันเงียบเหงาและน่าสยดสยอง ความรู้สึกที่สัมผัสได้ในสถานที่นี้ตอนกลางวันอย่างความหยาบกร้าน ความไร้ราคา และความที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ พลิกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง… นี่เป็นความรู้สึกราวกับบทกวีที่เธอใช้ประโลมจิตใจเป็นครั้งที่สอง —หรือเกือบจะเป็นครั้งที่สาม หลังจากมาที่นี่หลายครั้ง เธอก็สรุปว่าตัวอาคารมันเหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน
เธอกระโดดจากหลอดไฟขนาดใหญ่ที่เอาไว้ให้แสงสว่างกับการเล่นกีฬาตอนกลางคืนและวิ่งไปตามตาข่าย เธอวิ่งจากสนามกีฬารูปวงรีไปยังยอดของนาฬิกาขนาดใหญ่ตรงทางเข้า จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนดาดฟ้า วิ่งไปตามราวบันไดจนมาถึงถังเก็บน้ำ เธอปล่อยให้ผ้าคลุมของตัวเองพริ้วไหวไปตามลมอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับจินตนาการอย่างพึงพอใจว่าตัวเองในตอนนี้งดงามขนาดไหน
จากการละเมิดกฎของโรงเรียนตอนกลางคืนหลายครั้ง เธอก็รู้สึกได้ว่าจุดไหนที่ควรติดตั้งสัญญาณเตือนภัยสำหรับจะติดต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สำหรับโรงเรียนมัธยมต้นอุเมะมิซากิแล้ว หากไม่เข้าไปด้านในมันก็ไม่เป็นอะไร ส่วนด้านที่เป็นตึกเก่ามันคืออีกเรื่อง —หรือก็คือด้านที่เป็นห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลนั่นเอง
อาเดลไฮลด์เข้ามาใกล้ทางเข้าอาคารเรียนเก่าจนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว จากนั้นเธอก็หยิบก้อนหินขนาดเท่านิ้วก้อยขึ้นมาและโยนออกไป ก้อนหินมันเด้งอย่างเบาๆและกลิ้งไปจนหยุด อาคารเก่าของโรงเรียนมันเงียบสงบมาตลอดจนกระทั่งเธอขว้างหินก้อนนั้นออกไป มันเกิดเสียงของบางอย่างที่ดิ้นไปมา และมันก็หายไปเมื่อก้อนหินหยุดลง
โฮมุนครูสรักษาความปลอดภัยนั่นเอง แถมจำนวนเองก็ไม่ธรรมดาด้วย อาเดลไฮลด์สัมผัสได้ถึงการตรวจจับโลหะเพื่อป้องกันผู้บุกรุกไม่ให้เข้าไปได้ไม่ว่าในกรณีใดก็ตามของโฮมุนครูสได้ ซึ่งหมายความว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปกป้องเอาไว้
อาเดลไฮลด์แทบจะไม่มีความทรงจำของโรงเรียนประถมเลย เธอแทบจะไม่ได้ไปด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่มีโอกาสจะทำอะไรมากนัก แม่ของเธอจบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ และไม่นานเมื่อรู้ถึงความสามารถของลูกสาว แม่ก็พาเธอออกมาจากการศึกษาภาคบังคับและโยนเธอเข้าไปในโรงเรียนกวดวิชามาโอ อาเดลไฮลด์มีหลายเรื่องมากที่อยากถามแม่ แต่ไม่ว่ายังไง เธอก็รู้สึกขอบคุณที่แม่พาเธอเข้าไปในโรงเรียนกวดวิชามาโอ
ที่นี่อาเดลไฮลด์ได้เรียนรู้ทุกอย่าง มาโอแพมที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลรุ่นพี่และแม่ของเธอได้สอนเธอทุกๆอย่าง จากเรื่องการศึกษาปกติ ระบบของดินแดนเวทมนตร์ ถึงวิธีการต่อสู้ของเมจิคัลเกิร์ล และเรื่องหนึ่งที่เธอถูกสอนมาก็คือการต่อสู้กับโฮมุนครูส
โฮมุนครูสพัฒนาขึ้นทุกวันตามเทคโนโลยี แม้จะจบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ —รวมถึงการเป็นอันดับต้นๆ— ก็ไม่อาจประมาทโฮมุนครูสได้ ที่นี่คือโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ลที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้น มันจึงมีโอกาสสูงที่โฮมุนครูสรุ่นล่าสุดถูกติดตั้งอยู่ที่นี่ มันคงแข็งแกร่งจนเทียบกันไม่ได้กับที่พวกเธอใช้ในการฝึกระหว่างวัน ฟังจากเสียงแล้ว พวกมันก็มีจำนวนมากน่าดู
ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโออย่างอาเดลไฮลด์รู้ว่าเธอสามารถต่อสู้ด้วยตัวของเธอเองได้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่อาจก้าวออกไปอีกก้าวเพื่อจะดูว่าโฮมุนครูสมีหน้าตาแบบไหนได้ ผู้คนยังคงมักหยิบยกเรื่องเก่าๆอย่างผู้จบการศึกษาสิบคนเข้าโจมตีฝ่ายจัดการที่มีโฮมุนครูสป้องกันเอาไว้ หลังจากการต่อสุ้อันดุเดือด เมจิคัลเกิร์ลทั้งหมดล้วนเสียชีวิต อาเดลไฮลด์ไม่คิดเลยซักนิดว่าเธอสามารถรับมือได้ด้วยตัวคนเดียว
“ไม่เกิดหรอกนะ” เธอพึมพำพร้อมกับเอามือซ้ายจับเอว มือขวาจับด้ามของดาบทหารเอาไว้ในตอนที่มองขึ้นไปบนอาคารโรงเรียนเก่า เธอไม่ได้พูดกับตัวเอง “เธอเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?” เธอพูดกับคนที่พยายามเข้ามาจากด้านหลัง
เสียงฝีเท้าที่พยายามย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบหยุดลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวต่อโดยไม่ลังเลจนมาหยุดอยู่ด้านหลังเธอห่างออกไปห้าก้าว “รู้ตัวแล้วเหรอเนี่ย?”
“แน่นอนว่ารู้” อาเดลไฮลด์หันกลับ ผ้าคลุมของเธอโบกสะบัดไปตามการเคลื่อนไหว เธอทำตัวเองให้ดูเหมือนใจเย็นและสงบนิ่ง แต่มือของเธอยังจับด้ามดาบเอาไว้ตลอด เธอดึงหมวกทหารขึ้นเพื่อมองคนที่อยู่ตรงหน้า
กลองที่อยู่ตรงแผ่นหลังกับดาบสายฟ้ายาว เธอคือปรินเซสไลท์นิ่ง เธอยิ้มออกมาเหมือนกับตอนที่อยู่ในโรงเรียนตอนกลางวัน แต่ในตอนนี้มันดูอันตรายมากกว่าเดิม
“ไม่เข้าไปเหรอ?” ไลท์นิ่งถาม
“ไม่มีทาง แต่ถ้าเธอจะเข้าชั้นก็ไม่ห้าม”
ไลท์นิ่งก้าวมาข้างหน้าอย่างสบายๆ และอาเดลไฮลด์ลากเท้าไปด้านหลังจนเห็นเป็นเส้น ตัวของเธอเอนมาด้านหน้าเล็กน้อย มือของเธอยังจับด้ามดาบเอาไว้พร้อมชักออกมาตลอดเวลา
ไลท์นิ่งเอาหลังมือมาแตะริมฝีปากและยิ้มให้อย่างสดใส “คนที่จบมาจากโรงเรียนกวดวิชามาโออย่างเธอเนี่ย จะมากลัวอะไรกันน่ะ?”
“…นี่เธอรู้ด้วย?”
“ทุกคนมีฉายาน่าตลกเหมือนกันหมด มันช่วยไม่ได้หรอกนะที่จะรู้ แล้วก็ ธันเดอร์ เจเนรัลเนี่ย? ไม่คิดว่ามันคล้ายกับปรินเซสไลท์นิ่งไปหน่อยรึไง?” เธอก้าวมาด้านหน้าอีกก้าว ท่าทางของเธอดูง่ายๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาเดลไฮลด์มองดูใบหน้าของเธอแต่ก็เห็นแค่รอยยิ้มบางๆที่ไม่ได้เปิดเผยความคิดอะไรออกมา อาเดลไฮลด์ไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร เธอก้าวเข้ามาใกล้ดาบของอาเดลไฮลด์จนเข้ามาอยู่ในระยะฟัน เธอควรเข้าใจในแบบเดียวกับที่อาเดลไฮลด์เข้าใจว่ามันเป็นความคิดที่แย่มากหากจะสู้กันที่นี่
“ฉันไม่คิดว่าจำเป็นต้องมีสายฟ้าสองคนอยู่ในห้องเดียวกันหรอกนะ” ไลท์นิ่งพูด
“ใช่ แต่ชั้นไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ”
“ถ้าแพ้ก็ได้เปลี่ยนได้ไม่ใช่รึไง?”
“ไม่ได้หรอก”
อาเดลไฮลด์มาที่โรงเรียนเพื่อตรวจดูความปลอดภัยมากกว่าหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง เธอยังเตรียมข้ออ้างอย่างกำลังลาดตระเวณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบุคคลน่าสงสัยเข้ามาใกล้ตอนกลางคืน และไม่พยายามพยายามปกปิดตัวตนเช่นกัน เรื่องนี้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เธอไม่ได้เตรียมทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ไลท์นิ่งก้าวใกล้เข้ามาอีกก้าว
อาเดลไฮลด์ยิ้มให้ไลท์นิ่ง “พอแค่นี้แหละ”
“ทำไมกันล่ะ? ฉันแค่จะสู้กับเธอ แล้วเธอก็แค่ยอมรับมันไม่ใช่รึไง? ถ้าจบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอมาแล้วแต่ไม่สู้เมื่อมีคนมาเสนอ —มาโอแพมได้ยินเข้าคงขำกลิ้งอยู่ในหลุมแน่”
“คนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอไม่รับสู้แบบกระจอกๆกันหรอก”
“อ้างแบบนั้นมันจำเป็นด้วยรึไง? ไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากได้ยินตอนนี้—”
สายฟ้าสว่างวาบตัดผ่านความมืดและสงบนิ่ง อาเดลไฮลด์กระโดดไปทางขวา ชักดาบออกมากลางอากาศ ไลท์นิ่งซ่อนดาบของเธอไว้ด้านซ้ายในท่าหันข้าง เข้ามาใกล้ห้าเมตรในก้าวเดียวเพื่อจะแทง ดาบสายฟ้าสีม่วงของเธอยืดออกเป็นลูกคลื่น แต่ก่อนที่มันจะมาถึงเป้าหมาย อาเดลไฮลด์ก็ตะโกนออกมา “ไคเซอร์ ชลัจน์!”
สายฟ้าแล่นผ่านทั่วร่างอาเดลไฮลด์ มันเป็นพลังงานรุนแรงที่ทิ่มแทงเข้าหาจากทุกทิศทางเพื่อพยายามบดทำลายตัวของเธอ แต่เธอก็กักมันเอาไว้ทั้งหมดภายในตัวแทน จากนั้นก็ส่งมันผ่านมาทางแขนขวาจนถึงดาบเพื่อปลดปล่อยออกมา ไลท์นิ่งดูเหมือนไม่ได้พยายามจะหลบ เธอกางแขนสองข้างรับสายฟ้าเอาไว้ ทั่วทั้งร่างของเธอ ทั้งกลองและดาบเต็มไปด้วยประกายสายฟ้า มันไม่ได้ผล อาเดลไฮลด์คิดเอาไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้ เรื่องที่ไลท์นิ่งดูดซับพลังงานได้จะเกิดขึ้น
เมจิคัลเกิร์ลสองคนกระโดดกลับไปด้านหลังราวกับว่าสะท้อนกันและกัน จากนั้นก็เปลี่ยนที่ อาเดลไฮลด์อยู่ที่ด้านข้างสนามกีฬารูปวงรี เตรียมพร้อมในท่าย่อต่ำ ในขณะที่ไลท์นิ่งหันหลังให้กับอาคารเรียนเก่า
ดาบยาวของไลท์นิ่งกลับไปอยู่ที่เอว จากนั้นเธอก็ปรบมือพร้อมกับเสียงประกายของสายฟ้า “ว้าว ยอดเลย คนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอนี่พูดชื่อท่ากันจริงๆสินะ?”
“นี่เธอคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย?”
“คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ? มีคู่ต่อสู้อยู่ตรงหน้าแถมยังพูดว่า “มาสู้กัน” เนี่ย เธอยังถามว่าฉันคิดอะไรไปทำไมอีกล่ะ? โรงเรียนกวดวิชามาโอทำกันแบบนี้ไม่ใช่รึไง? ขนาดเมจิคัลเกิร์ลธรรมดายังงับเหยื่อมากกว่านี้อีก”
อาเดลไฮลด์พุ่งเข้าไปที่อาคารเรียนเก่า ไลท์นิ่งตามเธอไปพร้อมปล่อยสายฟ้าลงมาใส่ ทำลายพื้นดิน แผดเผาต้นหญ้า ถึงจะเป็นตอนกลางคืน แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานจะกลายเป็นการดึงดูดความสนใจแน่ นี่ไลท์นิ่งไม่รู้? เธอบ้าไปแล้วรึไง? ความคิดมากมายผ่านเข้ามาใจอาเดลไฮลด์ แต่สิ่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดคือคือความปรารถนาที่จะตอกกลับคำพูดดูหมิ่นที่ว่า “ขนาดเมจิคัลเกิร์ลธรรมดายังงับเหยื่อมากกว่านี้อีก” ช่วงเวลาที่อาเดลไฮลด์อยู่ในโรงเรียนกวดวิชามาโอคือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ความโกรธในฐานะผู้จบการศึกษาเริ่มเหนือกว่าความใจเย็นในฐานะลูกจ้างของกรมการต่างประเทศไปแล้ว
อาเดลไฮลด์ทำให้ดูเหมือนว่าเธอกำลังดูดซับสายฟ้าและใช้มันเพื่อสวนกลับ ในตอนที่เธอสะบัดผ้าคลุมของตัวเองเพื่อบดบังการมองเห็นของไลท์นิ่ง เธอก็แทงผ้าคลุมด้วยดาบทหารสามครั้ง และในตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่ไล่ตามไลท์นิ่ง คนที่ถอยหลังไปพร้อมกระอักเลือด อาเดลไฮลด์ใช้ความได้เปรียบของช่องว่างในตอนที่ไลท์นิ่งกำลังร่ายสายฟ้าเพื่อเหวี่ยงดาบเข้าหาและวิ่งออกไป เมื่อไลท์นิ่งเสียสมดุลแล้ว อาเดลไฮลด์ก็ยื่นมือซ้ายออกมา ใช้นิ้วก้อยเกี่ยวเข้าไปที่เหล็กบริเวณกลองเพื่อกระชากไลท์นิ่งเข้ามาหา ไลท์นิ่งปลดกลองออกพร้อมส่งเสียงคราง มันกลิ้งไปด้านหลังเข้าหาอาเดลไฮลด์ อาเดลไฮลด์โยนกลองของไลท์นิ่งทิ้ง จากนั้นก็โจมตีตามเข้าไป ด้านไลท์นิ่งที่ชันเข้าอยู่ก็ยกฝ่ามือข้างขวาเข้าหา
“นักเรียนของโรงเรียนกวดวิชามาโอนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ พอสู้กันแบบธรรมดาแล้วลำบากกว่าเดิมนิดหน่อย” ไหล่ของเธอกำลังสั่น เลือดเองก็ออกเช่นกัน แต่เธอ ไม่ได้หยุดสู้ ท่าทางเองก็ไม่ได้บ่งบอกเช่นนั้นเหมือนกัน
รองเท้าทหารของอาเดลไฮลด์มีเสียงดังขึ้นจากปลายนิ้วเท้าในตอนก้าวไปด้านหน้า ไลท์นิ่งสัมผัสอัญมณีขนาดใหญ่ตรงหน้าผากด้วยมือซ้าย อัญมณีมันแตกและหายไป สีเหลืองราวกับสายฟ้าส่องประกายออกมาจากเทียร่าของเธอ
“ลักซูรี่โหมด : ออน”
ดาบของไลท์นิ่งปะทะเข้ากับการฟันของอาเดลไฮลด์ การโจมตีของเธอมันควรจะเป็นการโจมตีอย่างสิ้นหวัง แต่มันกลับรู้สึกหนักหน่วงอย่างผิดปกติ ดาบของอาเดลไฮลด์แทบจะร่วงลงไปแต่เธอก็จับด้ามเอาไว้ด้วยสองมือและตวัดขึ้นไปด้านบน เฉือนเป็นแนวตั้งขึ้นเข้าหาแกนกลางลำตัว ไลท์นิ่งกันการโจมตีทุกอย่างไว้ด้วยดาบ และเมื่อการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของอาเดลไฮลด์ลงมาจากด้านบน เธอก็ไขว้มีดสั้นกับดาบป้องกับเอาไว้อย่างง่ายๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นการเตะอย่างสบายๆ แต่ก่อนที่ขาจะเตะเข้ามาโดน อาเดลไฮลด์กระโดดไปด้านหลังและม้วนตัว หันหลังให้ศัตรูแล้วยืนขึ้น
“ซิกฟริด ลินีเอ!”
ไลท์นิ่งโจมตีเข้าไปที่หลังอาเดลไฮลด์ หนึ่งครั้ง สองครั้ง แต่อาเดลไฮลด์ก็ยังคงไม่ล้มลง เธอเก็บพลังงานเอาไว้ในตัวและทำให้ดาบทหารของเธอส่องแสง และในทันใดนั้นออร่าความกระหายเลือดก็พวยพุ่งขึ้น ไลท์นิ่งแทงดาบเข้ามาและอาเดลไฮลด์ก็ป้องกันเอาไว้ด้วยการใช้แผ่นหลังสะท้อนกลับ อาเดลไฮลด์กระโดดออกไปและหมุนตัว —สายตาของเธอก็สบเข้ากับไลท์นิ่งที่ห่างออกไปไม่กี่นิ้วที่กำลังมองมาด้วยท่าทางบิดเบี้ยวอย่างตกใจ
อาเดลไฮลด์ปล่อยพลังภายในตัวออกมาเพื่อเร่งการหมุน โจมตีเข้าไปที่ขมับศัตรูด้วยด้ามดาบ พวกเธออยู่ใกล้กันเกินไป เธอเองก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มั่นคงกลางอากาศ โดยปกติแล้วการโจมตีแบบนี้จะไม่รุนแรงนัก แต่อาเดลไฮลด์ก็ใส่เวทมนตร์ของตัวเองเข้าไปด้วย หากการโจมตีด้วยสายฟ้าไม่มีผล แบบนั้นก็ต้องใช้การโจมตีทางกายภาพแทน
ไลท์นิ่งปลิวออกไป ตัวของเธอเด้งไปตามพื้นจนหายไปในพุ่มไม้ตรงขอบสนามสีฬารูปวงรี ทำให้ใบไม้กับกิ่งไม้ปลิวกระจัดกระจายจนตาข่ายสั่นไหว อาเดลไฮลด์วางมือลงบนเข้าและถอยหายใจออกมา
หากไลท์นิ่งรักษาระยะห่างและใช้การโจมตีด้วยสายฟ้า อาเดลไฮลด์ก็จะถึงขีดจำกัดในเวลาไม่นาน อาเดลไฮลด์ชนะเพราะว่าไลท์นิ่งใจร้อนเข้ามาโจมตีอาเดลไฮลด์ที่หันหลังให้โดยตรง
“เดี๋ยวก่อนสิ… นั่นมันคืออะไรกันแน่?” อาเดลไฮลด์พึมพำ
ไลท์นิ่งใช้เทคนิคการต่อสู้ที่ฝึกฝนมา ไม่ใช่แค่พึ่งพาพลังเพียงอย่างเดียว แถมในตอนที่เธอเอามือสัมผัสอัญมณีที่หน้าผาก จู่ๆเธอก็แข็งแกร่งขึ้น —มันเป็นเวทมนตร์เสริมพลังบางอย่างรึเปล่า? อาเดลไฮลด์ไม่เข้าใจว่าทำไมไลท์นิ่งมาสู้กับเธอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกเธอทั้งคู่เลย
เอาล่ะ เธอคิดพร้อมกับตบเข่ายืดตัวตรง คู่ต่อสู้ของเธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่กระนั้น อาเดลไฮลด์โจมตีจุดสำคัญอย่างเต็มกำลัง มันเป็นไปได้มากว่าอาจจะกลายเป็นการฆ่า หรือน้อยที่สุดเธอก็จะหมดสติ
พอคิดว่าควรจะเอาตัวไลท์นิ่งไปให้เร็วที่สุดก่อนที่คนมุงจะเริ่มมา อาเดลไฮลด์ก็วิ่งเข้าไปที่พุ่มไม้ —แต่จากนั้นเพียงแค่สามก้าว เธอก็ตัวแข็งทื่อ
ที่ด้านในพุ่มไม้มีคนยืนอยู่ “เธอดูดซับการโจมตีทางกายภาพได้ด้วยสินะ หืมม?”
ไลท์นิ่งนั่นเอง
อาเดลไฮลด์เกือบจะกระโดดกลับแต่ก็หยุดตัวเอาไว้และเตรียมพร้อมสู้
ไลท์นิ่งกำลังยิ้ม ตรงหลังของเธอมีกลองติดอยู่ เลือดเองก็ไม่ได้ออก ที่ขมับก็ไม่ได้มีรอยอะไร แม้ว่าอาเดลไฮลด์จะยอมรับว่าเธอไม่ได้สลบ แต่แผลของเธอมันหายไปได้ยังไงกัน?
ในตอนที่อาเดลไฮลด์กำลังลังเล ไม่รู้ตัวเองควรจะโจมตีดีรึเปล่านั้น ไลท์นิ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเสาที่ขึงตาข่าย “งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะ”
เธอกระโดดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแบบเดิม ตัวของเธอถูกความมืดกลืนกินจนหายไป อาเดลไฮลด์มองดูเธออย่างงุนงง ตั้งแต่แรกจนจบมันไม่เห็นมันจะมีอะไรสมเหตุสมผลเลย
☆ รันยุย
เธอวิ่งไปตามทางจากกำแพงคอนกรีตไปยังเสาโทรศัพท์ จากด้านบนเสาโทรศัพท์ไปยังดาดฟ้า จากดาดฟ้าที่หนึ่งไปยังดาดฟ้าอีกที่เพื่อมุ่งหน้าไปโรงเรียน การใช้ประตูมันจะเป็นการทิ้งบันทึกใช้งานเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงใช้เท้าของตัวเองแทน ด้วยกำลังขาของเมจิคัลเกิร์ล —โดยเฉพาะรันยุยในฐานะที่เป็นแคนดิเดทของลาพิส ลาซูไลน์— เธอใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการไปยังจุดหมาย
พอเป็นการวิ่งทางไกลแล้ว รันยุยจะเร็วกว่าดิโกะที่วิ่งอยู่ข้างๆเล็กน้อย แต่พวกเธอสองคนจับคู่กันตั้งแต่เข้ามาโรงเรียนนี้ ดังนั้นเธอจะวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่และทิ้งดิโกะไว้ข้างหลังไม่ได้
เธอไม่เคยถามดิโกะว่าคิดยังไงกับเรื่องนี้ หากปล่อยให้ดิโกะอยู่ของเธอแบบนั้น เธอก็จะไม่มีวันเปิดปาก ดังนั้นรันยุยจึงรู้สึกว่าถ้าพูดออกมาก่อนตัวเองจะเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่วิ่งไปพร้อมกับคุยกันด้วย และไม่นานก็มองเห็นภาพของโรงเรียน พวกเธอลอบเข้าไปในโรงเรียนผ่านทางป่าด้านหลังที่เป็นภูเขา เคลื่อนตัวไปตามแนวต้นไม้ ในตอนที่วิ่งไปตามทางที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางของพวกสัตว์ป่า รันยุยก็ค่อยๆลดความเร็วลง เธอวนรอบนอกบริเวณโรงเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาคารเรียนเก่าและตรวจดูทางเข้าด้านหลัง
เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ที่นี่ การตรวจจับตัวตนของสิ่งที่ซ่อนอยู่ได้เป็นทักษะพิเศษของลาซูไลน์ และสิ่งที่อยู่ที่นี่มันไม่ใช่แค่อะไรธรรมดาที่มีจำนวนแค่สิบหรือยี่สิบ การรักษาความปลอดภัยตอนกลางคืนมันเข้มงวดยิ่งกว่าตอนกลางวันซะอีก รันยุยวิ่งไปด้านหน้าโดยเคลื่อนที่ตามเต็มนาฬิกาจากทางเข้าด้านหลัง ตัวตนของโฮมุนครูสมันไม่ได้หายไปเลย
ทุกสิ่งที่เธอได้จากเรื่องนี้คือการยืนยันความคิดที่ว่าการบังคับให้ตัวเองเข้าไปมันเป็นไปไม่ได้ การคิดแผนจากสิ่งที่มองเห็นมันไม่มีความหมาย เธอต้องเข้าไปในสถานที่ที่ตัวเองเข้าไปไม่ได้ แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าต้องทำยังไง
ไม่ ไม่ใช่ เธอคิดพร้อมกับส่ายหน้า มันไม่ใช่ว่าเธอคิดแผนการไม่ได้ แต่เธอแค่ยังคิดอะไรไม่ออกต่างหาก เธอพยายามเรียบเรียงความคิด รีดทุกอย่างที่มีในหัวออกมา หากมันความคิดตีบตัน ก็ต้องพยายามแงะออกมาให้ได้
รันยุยหยุดเพราะมีบางอย่างมาแตะเข้ามาที่หลังมือ ดิโกะมาอยู่ข้างเธอโดยที่ไม่ทันรู้ตัวพร้อมกับกางมือขวาออกเพื่อบังทางด้านหน้า พวกเธอสบตากัน เมจิคัลเกิร์ลสองคนลงมาที่พื้น เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงในเงามืด และเมื่อมาถึงจุดที่มองเห็นสนามกีฬารูปวงรี พวกเธอก็หยุดเคลื่อนไหว
รันยุยและดิโกะมองไปยังสนามกีฬาจากด้านหลังอาคารเรียน ที่นั่นมีเมจิคัลเกิร์ลสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด มันไม่ใช่การจับคู่หรือฝึกซ้อม พวกเธอกำลังพยายามฆ่าอีกฝ่าย
อาเดลไฮลด์กับไลท์นิ่ง —ทำไมพวกเธอถึงมาสู้กันที่นี่ล่ะ? รันยุยไม่เข้าใจเลย ที่นี่มันอยู่ตรงหน้าโรงเรียนด้วยซ้ำ พวกเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่างเมฟิส คนที่ไม่มีความสามารถในการคิดอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเองซักหน่อย นี่เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นรึเปล่าหรือพวกเธอตกลงที่จะดวลกันแน่นะ?
ทั้งคู่แข็งแกร่ง ทั้งคู่ไม่ได้เคลื่อนไหวเหมือนกับมือใหม่ ทั้งคู่ถูกฝึกมาเพื่อการต่อสู้ที่รุนแรง ไลท์นิ่งโจมตีเข้าใส่อาเดลไฮลด์ และรันยุยก็เค้นหมัด
“ซิกฟริด ลินีเอ!”
อาเดลไฮลด์หยุดการโจมตีเอาไว้ด้วยแผ่นหลัง เมื่อรันยุยรู้สึกว่ามีมือมาแตะที่ไหล่ เธอก็นิ่วหน้าและมองไปยังดิโกะ ดิโกะที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยส่ายหน้าออกมา และรันยุยก็รู้ว่าตัวเองกำลังจะวิ่งเข้าไปหาพวกนั้น
สายตาของเธอมองกลับไปยังสนามกีฬารูปวงรี ตัวของไลท์นิ่งกระเด็นไปตามพื้นจนเข้าไปยังพุ่มไม้ มันดูเหมือนการโจมตีนั่นอาจจะฆ่าเธอก็เป็นได้ หากดิโกะไม่ได้รั้งรันยุยเอาไว้ บางทีรันยุยอาจจะหยุดมันได้ แต่เธอก็เข้าใจดีเรื่องเหตุผลที่ดิโกะขวางไม่ให้เธอทำแบบนั้น ในตอนนี้ การเผยตัวเองมันจะเป็นได้แต่การทำร้ายพวกเธอเองเท่านั้น
อาเดลไฮลด์เข้าไปใกล้พุ่มไม้ที่ไลท์นิ่งกระเด็นเข้าไป รันยุยเกร็งกรามด้านขวา แขนของดิโกะที่แข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กคล้องรอบไหล่รันยุยเอาไว้
ทำยังไงดี นี่เธอควรทำยังไงดี? เธอไม่ควรเผยตัวเอง เธอรู้เรื่องนี้ดี แต่ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย ไลท์นิ่งอาจจะตายก็ได้ เหตุผลเดียวที่จะช่วยเธอก็คือ “การเป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกัน” แต่รันยุยก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่จะช่วยเธอได้ ถ้าเป็นลาซูไลน์จะทำยังไง? เธอใช้ชีวิตเพื่อมิตรภาพและหยุดเอาไว้ แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องสูญเสียก็ตาม หรือจะทอดทิ้งชีวิตของเพื่อนไปอย่างเย็นชาและให้ความสำคัญกับภารกิจของตัวเองมากที่สุด?
เธอทำไม่ได้ เธอทอดทิ้งไลท์นิ่งไม่ได้ รันยุยกำลังจะเพิกเฉยความพยายามของดิโกะที่ห้ามเธอเอาไว้และก้าวไปด้านหน้า แต่ในทันใดนั้นไลท์นิ่งก็ลุกขึ้น กิ่งไม้และใบไม้ปลิวว่อนไปรอบตัวไลท์นิ่ง เธอพูดลาอาเดลไฮลด์ด้วยท่าทีที่ใจเย็นแล้ววิ่งออกไปอย่างสง่างาม อาเดลไฮลด์ยืนมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งแล้วก็วิ่งออกไปในทิศทางตรงข้าม
รันยุยและดิโกะวิ่งกลับตามทางที่เธอมาพร้อมทิ้งเสียงของผู้คนที่มารวมตัวกันและเสียงไซเรนของตำรวจไว้ด้านหลัง รันยุยสับสนแต่ก็ตื่นเต้นเช่นกัน เธอสาบานได้ว่าไลท์นิ่งบาดเจ็บรุนแรงจนแทบไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตรึเปล่า แต่จากนั้นเธอกลับยืนขึ้นโดยที่ไม่มีบาดแผลอะไรเลย นี่ไลท์นิ่งใช้ไอเท็มเวทมนตร์รึเปล่า หรือเธอใช้ทริคที่รันยุยคิดไม่ถึงกันนะ?
“เรื่องรายงานฝากด้วยนะ” ดิโกะพูด และรันยุยก็ถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง
ดิโกะจะพูดเมื่อจำเป็นเท่านั้น ใบหน้าเองก็นิ่งเฉยตามปกติ ไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องที่เสมือนกับปาฎิหาริย์ที่เกิดตรงหน้า มันเหมือนกับว่ามองมันเป็นเรื่องธรรมดา รันยุยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองชาราวกับถูกราดด้วยน้ำแข็งไม่มีผิด และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เธอไม่จำเป็นต้องพูด เธอต้องส่งรายงานที่ถูกต้องแม่นยำ ลาซูไลน์จะไม่ตื่นเต้นกับปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นแค่ครั้งหรือสองครั้ง แม้ว่าเธออยากจะถามไลท์นิ่งว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น เธอก็ห้ามใจเอาไว้
แต่เอาจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? รันยุยคิดพร้อมกับเลียริมฝีปากในขณะที่กำลังวิ่ง
MANGA DISCUSSION