ตอนที่ 3:
วิ่ง วิ่งไป วิ่งเข้าไป นักเรียนแลกเปลี่ยน
☆ คุมิคุมิ
มื้อกลางวันของโรงเรียนมันมีกฏอยู่จำนวนหนึ่ง
ซึ่งกฎก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก มันเหมือนกับกฏในโรงเรียนประถมที่คุมิคุมิอยู่จนถึงชั้นประถมปีที่สาม เป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น “หลีกเลี่ยงการเหลืออาหารไว้บนจานมากที่สุดเท่าที่ทำได้” “ทานอาหารให้หมดก่อนหมดช่วงเวลาพัก” “หากมีอาการแพ้ให้ยื่นแบบฟอร์มล่วงหน้า” “หน้าที่เสิร์ฟให้เวียนกันเป็นกลุ่ม” “หากมีอาหารยอดนิยมอย่างพุดดิ้งอยู่ ก็ต้องเป่ายิ้งฉุบกันว่าใครจะเป็นคนได้ไป” และหนึ่งในกฏก็คือ “ทานอาหารกับกลุ่มของตัวเอง”
เด็กสาวเดินไปรอบโต๊ะและเก้าอี้ พวกเธอนั่งเรียงกันเป็นแถวและหันหน้าเข้าหากันเพื่อทานอาหาร คุยกันตามสมควรเพื่อไม่ให้รบกวนการกินมากนัก แม้พวกเธอจะเพิ่งพบกันในวันนี้ แต่มันก็หมายถึงต้องช่วยเหลือกันในฐานะเพื่อน มีบางเรื่องที่คุมิคุมิอยากจะพูดกับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ซึ่งก็คือสมาชิกใหม่ของกลุ่มสอง ในตอนที่คิดแบบนั้น เธอก็มีคำพูดที่อยากจะพูดเตือนเมฟิสซักเรื่องสองเรื่อง
เธอตั้งใจแบบนั้น แต่คานะก็ทานอาหารของตัวเองหมดอย่างรวดเร็วแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องเรียนก่อนที่คุมิคุมิจะทันได้พูด เมจิคัลเกิร์ลนั้นรวดเร็วกว่ามนุษย์และยังกินเร็วกว่าด้วย
แม้คุมิคุมิแทบจะไม่ได้พูดกับคานะเลย แต่เธอก็ต้องเตือนเมฟิส ซึ่งมันก็ยากที่จะพูดว่าเป็นไปได้ด้วยดีเช่นกัน คุมิคุมิพูดเตือนเมฟิสมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วตั้งแต่ได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่เธอก็นึกไม่ออกเลยว่ามันมีซักครั้งเดียวที่ได้ผล
“ทำไม… เอ่อ ทำไมต้องทำอะไรรุนแรง… กับคานะด้วยล่ะ?” คุมิคุมิถาม
“หืม นี่ชั้นทำอะไรผิดรึไง? ไม่ใช่ใช่ไหมล่ะ?” เมฟิสสวนกลับ อาเดลไฮลด์ยักไหล่พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแสร้งทำ ในขณะที่ลิเลี่ยนทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรและซดน้ำซุปของตัวเองต่อ
คำพูดของเมฟิสพุ่งตรงมาที่คุมิคุมิ “ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย เพราะชั้นทำแบบนี้พวกเราถึงได้รู้หลายๆอย่างใช่ไหม? อย่างเรื่องยัยนั่นเก่งแค่ไหน เป็นพวกที่ไม่ทำอะไรเลย แพ้ในพริบตา เป็นพวกที่มีความกล้า หรือขู่ให้กลัวได้รึเปล่า มันมีปัญหาตรงไหนกันล่ะ? ไม่มีสินะ ถ้าชั้นไม่ลงมือเธอจะรู้รึไง? เธอนี่เอาแต่บ่นก่อนตลอด แต่เมื่อถึงเวลาชมก็ต้องชมด้วย”
ไร้สาระชะมัด เมฟิสพูดใส่คานะแบบนั้นเพราะว่าตัวเองอารมณ์ไม่ดี เธอใช้เหตุผลเข้าข้างตัวเองเป็นเกราะป้องกันเพื่อไม่ให้คุมิคุมิบ่น แต่อย่างไร หากคุมิคุมิพยายามจี้ให้ตรงจุด เมฟิสก็จะแพ้แน่นอน การพูดเรื่องสีของกางเกงในขึ้นมานี่คงทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกแน่
เมฟิสพ่นลมหายใจออกมาแล้วถอดแว่น จากนั้นเธอก็ถือเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวเพื่อเช็ดด้วยผ้าเล็กๆ เหมือนว่าแว่นมันจะหมองเพราะการพูดมากของเธอ
อาเดลไฮลด์และลิเลี่ยนดูไม่อยากจะเข้ามาเอี่ยวกับบทสนทนาของเมฟิสและคุมิคุมิ แม้ว่าพวกเธอจะได้ยินชัดเจนแต่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่ง พวกเธอคุยกันเรื่องเกมเบสบอลที่ออกอากาศไปในวันก่อน พวกเธอรู้ดีว่าการทำให้เมฟิสโกรธมันไม่ได้ทำให้เกิดอะไรดีๆขึ้นมา ตราบใดที่เธอไม่ได้โกรธ เธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ตัวของเธอมันมีสิ่งที่สามารถนับถือได้อย่างความกล้าหรือจิตวิญญาณของการแข่งขันอยู่ ที่นี่เมฟิสไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหาเรื่องบุคลิก ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีความใจกว้าง อย่างเช่น “เธอเป็นพวกเดียวกับเรานะ ดังนั้นจะทำอะไรให้เธอได้บ้างล่ะ?”
เห็นได้ชัดเลยว่าหลังจากพูดเรื่องของตัวเองจบ เมฟิสก็เริ่มอธิบายทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับมือตีหมายเลขสี่ที่ออกมาเมื่อมีโอกาสพลิกเกมราวกับหลงตัวเอง ลิเลี่ยนเข้าใจกฏของเบสบอลแค่คร่าวๆ ส่วนเมฟิสไม่ได้รู้กฎเลย แต่อาเดลไฮลด์ชอบดูเบสบอลมืออาชีพผ่านทางวีดีโอเกม ดังนั้นพวกเธอจึงเริ่มดูไปพร้อมๆกัน เมฟิสเคยร่วมมือกับเรื่องแบบนั้น แต่เมฟิสไม่เคยฟังเลยเมื่อมีคนพยายามดุหรือพูดด้วย มันมีเคล็ดลับในการบอกอะไรกับเธออยู่รึเปล่านะ?
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วพวกเธอก็ทำความสะอาด และหลังจากที่แปรงฟันเสร็จแล้วก็เป็นช่วงพัก แต่มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอสามารถไปที่สนาม ห้องสมุด หรือห้องคอมพิวเตอร์ที่มี PC อยู่ได้อย่างอิสระ ทั้งหมดนั้นอยู่ที่อาคารเรียนหลังใหม่ ดังนั้นมันจึงอยู่นอกพื้นที่ที่พวกเธอจะไปได้เนื่องจากว่าเมจิคัลเกิร์ลไม่ถูกอนุญาตให้ออกจากอาคารเรียนหลังเก่า สถานที่เดียวที่พวกเธอถูกอนุญาตให้ไปได้ก็คือ —โรงยิมในอาคารเรียนเก่า— ที่สามารถใช้ได้สัปดาห์ละสามวัน : วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัสบดีในชั่วโมงพละ ในวันจันทร์มันจะถูกล็อคเอาไว้ด้วยโซ่และแม่กุญแจ พวกเธอไม่ถูกอนุญาตให้ออกไปยังสนาม ประตูขึ้นดาดฟ้าเองก็ถูกล็อกเอาไว้ แถมตั้งแต่ที่ทะเลาะกันจากตอนสามโพดำและโจ๊กเกอร์ เกมการ์ด ซึ่งเป็นหนึ่งความสุขไม่กี่อย่างของพวกเธอก็ถูกริบเอาไป และเกมอย่างโชงิและโอเทลโล่ก็ถูกแบนตามกันไปด้วย ในตอนนี้มันไม่มีอะไรที่เด็กสาวจะสนุกกันได้อีกแล้ว
พวกเธอสามารถคุยกันในห้องเรียนไม่ก็ทางเดินได้เท่านั้น คุมิคุมิไม่ได้เก่งเรื่องคุยเล่นกันแบบนี้อยู่แล้ว เมื่อเธอพูดมากเกินไป อาเดลไฮลด์ก็จะหัวเราะและพูดว่า “จะคุยกันนี่มันต้องเก่งหรือไม่เก่งด้วยเหรอ?” แต่มันก็คือการโอ้อวดจากคนที่เก่งอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าเธออยากจะอยู่คนเดียว ดังนั้นเธอจึงเงียบและฟังเรื่องที่คนอื่นในกลุ่มคุยกัน
พวกเธอคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นในมังงะตลกที่ตีพิมพ์ออนไลน์ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเป็นมังงะดังที่ลงตีพิมพ์แบบสั้นๆและโดนตัดจบไปอย่างน่าเสียดาย พอถึงตอนนั้นคุมิคุมิก็พูดว่า “ห้องน้ำ” แล้วก็ออกไป ในกลุ่มสองไม่มีใครเลยที่มีนิสัยชอบไปห้องน้ำด้วยกัน
“คุมิคุมิ”
จังหวะที่คุมิคุมิออกจากห้องก็มีใครบางคนเรียกเธอ เมื่อเหลือบไปมองก็เห็นคานะ คนที่วิ่งออกไปจากห้องเรียนก่อนหน้านี้
คุมิคุมิขมวดคิ้ว สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ผ่อนคลายใบหน้า แล้วก็หันมาหาคานะ แม้เธอคิดว่าจะไม่ถามอะไรอีกฝ่าย แต่สิ่งแรกที่ออกมาจากปากของเธอก็คือคำถามเรื่องการกระทำของคานะ “ที่ไหน… เอ่อ เธอไปที่ไหนมาเหรอ?”
“เราไปดูอาคารเรียนใหม่มา” คานะพูดโดยที่ไม่ประหม่าแต่ก็ไม่ได้ดูภูมิใจเหมือนกับพวกนักเลงที่แหกกฎ เธอพูดอย่างไร้อารมณ์เหมือนกับกำลังพูดความจริงอยู่จนทำให้คุมิคุมิสงสัย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้เรื่องกฎ แต่เธอก็ต้องเข้าใจจากการมองดูว่าไม่มีใครที่เข้าหรือออกอาคารเรียนใหม่เลย
“เข้าไปที่อาคารเรียนใหม่มัน… ไม่ได้นะ… มันห้ามเข้า”
“อ่า จริงเหรอ? เราไม่รู้เลย”
“ฉันอยากให้เธอไป… ดูกฎอีกซักครั้ง… ไม่สิ หลายครั้งอาจจะดีก็ได้… แค่ดู เอ่อ อย่างน้อยน่ะ… อ๊ะ สมาชิกของกลุ่มสองต้องทำตามกฎนะ การที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งไปทำอะไรบางอย่าง… ที่สะเพร่ามันจะส่งผลกับทั้งกลุ่ม—” หลังจากที่พูดมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของเมฟิสก็ลอยขึ้นมาในใจของคุมิคุมิ และเธอก็กลืนสิ่งที่กำลังจะพูดลงไป ตัวหัวหน้าของกลุ่มสองเองก็แหกกฏ ดังนั้นการบอกคานะเพียงคนเดียวว่าควรทำตามกฏมันคือเรื่องสองมาตราฐาน ความคิดเหล่านี้ทำให้คำพูดของเธอไม่ปะติดปะต่อจนออกมาแบบสั้นๆ
แต่คานะไม่ได้ดูกังวลเลย เธอก้มหัว “งั้นเหรอ ขอโทษนะ” จนเส้นผมสีเงินเป็นประกายของเธอเหวี่ยงลงมาด้านล่างเบาๆ จากนั้นก็เหวี่ยงกลับไปอีกด้านพร้อมกับการเคลื่อนไหวของศีรษะ
ไม่ว่าจะมองยังไง เธอก็คือเมจิคัลเกิร์ล
เธอไม่คลายการแปลงร่างของตัวเอง เธอออกไปยังอาคารเรียนใหม่ เธอไม่สนกฏและอย่างน้อยก็ไม่รู้สึกละอายใจ และเธอก็เพิ่งออกมาจากคุกด้วย เรื่องนี้มันดูแปลกเกินไปสำหรับชนชั้นสูง ค่อนข้างสุดโต่งเกินไปสำหรับคนธรรมดา นี่เธอตั้งใจจะดึงความสนใจมาที่ตัวเองหรือว่าเป็นแค่คนหัวทึบที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันนะ? บางคนที่มีอำนาจมากพอคงแนะนำเธอกับทางโรงเรียนและส่งตัวของเธอมาที่นี่ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เธอจะเป็นพวกงี่เง่าไปได้ แต่การกระทำแต่ละอย่างมันดูไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสิ่งที่คนงี่เง่าทำกันเลย
ไม่ว่าเธอจะรู้หรือไม่รู้ว่าคุมิคุมิกำลังคิดอะไรอยู่ คานะก็เอานิ้วจิ้มไปที่คาง ก้าวไปทางขวา และมองไปยังห้องเรียนผ่านไหล่ของคุมิคุมิ “ตอนที่เรามาที่นี่ เราเห็นกลุ่มสามคุยกันอยู่ตรงทางเดินด้วย”
“…งั้นเหรอ?”
“แล้วกลุ่มสองอยู่ในห้องเหรอ? เหมือนว่ากลุ่มสองก็อยู่กับกลุ่มตัวเองช่วงพักเหมือนกัน”
“ใช่แล้ว” ตั้งแต่เหตุการณ์เกมเศรษฐี เมฟิสก็หลีกเลี่ยงกลุ่มหนึ่งมากเท่าที่ทำได้ และเหมือนว่ากลุ่มหนึ่งเองก็รักษาระยะห่างจากเมฟิสเช่นกัน ส่วนกลุ่มสามนั้นชอบที่จะอยู่กันเองตั้งแต่แรก
“ถ้ามีกฎที่บอกว่าต้องอยู่กับกลุ่มของตัวเองตอนช่วงพัก เราก็อยากให้เธอบอกเราด้วย”
คุมิคุมิเลิกคิ้วขวาขึ้น ระหว่างการเป็นอดีตนักโทษ การที่เธอสวมชุดเครื่องแบบ เป็นคนเดียวที่แปลงร่างอยู่ การที่ปฎิเสธจะคุยและกินอาหารของตัวเองอย่างรวดเร็ว คุมิคุมิคิดว่าเธอเป็นตัวละครนอกกฎหมายที่ตั้งใจไม่คบเพื่อนหรือไม่ยึดติดกับกฎซะอีก แต่ดูเหมือนว่าคานะกังวลเรื่องนี้จริงๆ
เธอเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เธอคิดว่าเด็กสาวคนนี้จริงๆแล้วอาจจะดีกว่าเมฟิสก็ได้ “มันไม่ใช่ว่า เอ่อ จริงๆแล้ว… เธอรู้ไหม… กฎ… ว่าออกไปกับ… กลุ่มอื่นไม่ได้ แต่ฉันจะพูดยังไงดี…? บางทีก็… เป็นแบบว่า… เข้าใจกันโดยปริยายน่ะ ก็นะ… เพราะว่า ก่อนหน้านี้ เอ่อ แบบว่า… มีอะไร… หลายเรื่องน่ะ” แน่นอนว่าเธอพูดว่า “เพราะหัวหน้ากลุ่มพวกเราเล่นเกมการ์ดแพ้แล้วก็ใช้ความรุนแรง ดังนั้นอะไรๆก็น่าอึดอัดไปหมดน่ะสิ” ไม่ได้ การพูดแบบคลุมเครือจึงดีกว่าการประกาศความอับอายของกลุ่มตัวเองออกมา
ไม่ว่าคานะจะคิดเรื่องนี้ยังไง เธอก็กอดอกและพยักหน้า “งั้นเหรอ หมายความว่ามีบางเรื่องที่พูดไม่ได้อยู่สินะ?”
“เอ่อ ก็… ใช่ ฉันไม่ปฎิเสธหรอก”
“แล้วใครรู้เรื่องนี้ที่พูดออกมาไม่ได้มากที่สุดเหรอ?”
การที่ใครบางคนจากกลุ่มสองพูดถึงเรื่องนี้ก็รังแต่จะเป็นการประจานความอับอายของตัวเอง หากคานะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับกลุ่มหนึ่งและพวกนั้นรู้ว่าคุมิคุมิเป็นคนบอกเธอ มันก็จะดูเหมือนว่าคุมิคุมิเป็นคนที่ส่งคานะไปหา และเธอก็เดาได้ว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองแย่ลงไปอีก
ดังนั้นคำตอบก็คือคัลโคโระ เธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจแบบนั้นและมาตราฐานการตัดสินของเธอมันคืออะไร แถมยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่รู้จักด้วย
คุมิคุมิกำลังจะพูดว่า “เธอควรให้อาจารย์เป็นคนบอกนะ” แต่เธอก็คิดใหม่ หากเธอพูดออกไปว่า “ฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะรู้นะ” มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย แถมยังเป็นการโยนปัญหาไปให้อีก จากนั้นอาจารย์ก็จะคิดว่าคุมิคุมิใช้มือใหม่ของกลุ่มสองเพื่อพยายามดึงอะไรบางอย่างให้ออกมา เธอยังคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าการจบการศึกษาของเธอจะตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งกลุ่มสองเองก็ไม่ได้ถูกประเมินว่าดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
พอถึงจังหวะที่คุมิคุมิจะบอกว่า “เธอไม่ควรถามอะไรแบบนั้นนะ” คานะก็หายไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อนึกได้ว่าเวทมนตร์ของคานะคือการทำให้เธอรู้ถึงคำตอบของคำถาม คุมิคุมิก็ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน เรื่องนี้มันมีแต่ความยุ่งยาก จากนั้นเธอก็เดินไปยังห้องน้ำ
☆ คัลโคโระ
คานะทานมื้อกลางวันของตัวเองหมดอย่างรวดเร็วแล้วก็วิ่งออกไป คัลโคโระไม่รู้ว่าเธอกำลังจะไปที่ไหนหรือวางแผนจะทำอะไร เธอคิดว่าจิตวิญญาณเสรีนั่นจะมารายงานเธอแบบตรงไปตรงมาทีหลังเช่นกัน
แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าต้องไปรายงานฮัลน่า คัลโคโระก็ต้องรีบทานข้าวของตัวเอง เธอวางตะเกียบลงและตั้งจานและถาดไว้บนโต๊ะยาวสำหรับทานอาหารกลางวัน คัลโคโระพยายามรีบทาน แต่เด็กส่วนมากก็ทานเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว คนที่ยังทานอาหารอยู่ก็คืออาร์ลี่กับโดรี่ที่ผลัดกันเอานิ้วจิ้มสีข้างอีกฝ่ายในตอนที่คนอื่นๆกำลังพูดคุยกัน
เด็กๆทุกคนล้วนไม่มีความกังวล ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกอิจฉา คัลโคโระมีเรื่องที่ต้องทำกองเป็นภูเขา เธอออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วก่อนที่ความเศร้าโศกจะถาโถมเข้าใส่จนขยับตัวไม่ได้ ตอนที่เดินอยู่นั้น เธอขยับนิ้วและร่ายคาถาบางอย่าง ก่อนอื่น เธอต้องทำให้ภายในปากสะอาด จากนั้นก็ร่ายคาถาที่ทำให้อวัยวะย่อยอาหารและดูดซึมแข็งแรง แม้เธอจะเดินอย่างรวดเร็วหลังจากเพิ่งทานอาหารเสร็จ ด้วยการทำแบบนี้มันก็จะทำให้เธอไม่ทรมานด้วยอาการปวดท้อง
“คุณคัลโคโระ”
ในตอนที่เธอกำลังจะรีบเดินออกไป มันก็มีเสียงเรียกให้เธอหยุด และเมื่อหันกลับมา สีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่ชอบใจอย่างอัติโนมัติ แต่ถึงจะเป็นนักเรียนคนนี้เธอก็จะทำแบบนั้นไม่ได้ หลังจากพักหายใจครู่หนึ่ง คัลโคโระก็ฝืนให้สีหน้าของตัวเองดูมีเกียรติสมกับเป็นอาจารย์พร้อมกับยิ้มออกมาและตอบไปว่า “มีอะไรเหรอ?”
คานะนั่นเอง ด้วยเหตุผลบางอย่างชุดเครื่องแบบที่ขาดวิ่นหลายที่เหมือนจะเข้ากับเธอดี ปกติแล้วมันเป็นเรื่องประเภทที่จะทำให้ดูแย่ ดูสกปรก แต่ก็กลับกลายเป็นเซ็กซี่ การทำให้เกิดสมดุลย์ได้เป็นการเพิ่มเสน่ห์ของเธอมากกว่าที่จะเป็นการทำร้าย คัลโคโระรู้สึกว่าบางอย่างของเธอไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าคือเมจิคัลเกิร์ล แต่เธอก็บอกไม่ได้ว่า “บางอย่าง” นั้นมันคืออะไร
คานะก้าวเข้ามาสามก้าวเพื่อเข้าหาคัลโคโระ เธออยู่ใกล้มากพอที่คัลโคโระจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจ เธอเค้นหมัดที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ความกังวลเองก็เพิ่มสูงขึ้น
คัลโคโระไม่รู้ว่าคานะคิดอะไรอยู่ เธอเป็นอาชญากร แต่เธอก็ไม่ได้พยายามซ่อนสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอย่างการสำรวจโรงเรียนเลย
“มีเรื่องที่อยากให้บอกเราหน่อย” คานะพูด ลมหายใจที่เธอปล่อยออกมามันสัมผัสเข้ากับกรามและไหลไปตามลำคอคัลโคโระ แม้แต่การหายใจออกมาเพียงครั้งเดียวมันก็ยังมีเสน่ห์มาก
“เรื่องอะไรล่ะ?” คัลโคโระถาม
“เราได้ยินว่ามีเหตุผลที่ทุกคนบอกเราไม่ได้ว่าทำไมทุกกลุ่มถึงต้องตัวติดกันตลอด”
คานะไม่ได้ลังเลหรือใช้เวลาคิด คำถามของเธอไม่สนเรื่องทางสังคมของชนชั้นสูง คนที่ซ่อนเป้าหมายเอาไว้ในใจด้วยรอยยิ้ม —คำถามของเธอเหมือนกับการเงื้ออาวุธขึ้นมาแล้วพุ่งออกไปด้านหน้า แม้คัลโคโระจะปัดมันออกไปได้ แต่คานะก็ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก คัลโคโระไม่ใช่แค่สัมผัสลมหายใจของเธอได้ แม้แต่ในตอนนี้ผิวหนังเองก็สัมผัสกัน
คัลโคโระมองออกไป “ใครบอกเธอเรื่องนั้นน่ะ?”
“เราได้ยินว่าคุณคัลโคโระรู้เรื่องสถานการณ์ที่พูดออกมาดังๆไม่ได้อยู่เยอะ”
เธอพลาดจังหวะที่ตัวเองพยายามจะปฎิเสธ เธอคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของเธอก็ไม่ยอมออกมา คานะสัมผัสแขนของคัลโคโระเบาๆด้วยมือขวา พอคิดเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้ว นี่เธอไม่คิดเรื่องนี้เลยรึไงนะ? เสียงของเธอก็ยังไม่ออกมาอยู่ดี
“สถานการณ์ที่พูดออกมาดังๆไม่ได้…” ปัญหาของฝ่ายลอยขึ้นมาในใจ โรงเรียนนี้เป็นส่วนขยายในความขัดแย้งของแต่ละฝ่าย กลุ่มเลยถูกแบ่งกันตามฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่คัลโคโระก็ไม่เคยพูดกับนักเรียนเรื่องนั้น —และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเมจิคัลเกิร์ลน่าสงสัยนี้ด้วย “ก็… ดิฉัน… บอกไม่ได้หรอก… นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่ดิฉันจะเปิดเผยให้นักเรียนทราบ” เธอพูดออกมาแม้ว่าจะสะดุดเป็นช่วงๆ
การที่คัลโคโระปฎิเสธมันก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีของคานะ คานะบิดตัวไปรอบๆและโน้มใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้เรื่อยๆจากด้านล่าง
เหงื่อไหลหยดลงมาจากหน้าผากของคัลโคโระจนหยุดอยู่ที่คิ้ว แผ่นหลังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อจนทำให้กระโปรงติดกับผิวหนัง ในขณะที่เหงื่อจากใต้วงแขนไหลเข้าไปในบราจนชุ่ม
“เราอยากรู้” คานะพูด “ถ้าเป็นไปได้เราไม่อยากใช้เวทมนตร์ของตัวเอง ก่อนหน้านี้เราสะเพร่าจนใช้ออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่เราก็อยากเลี่ยงที่จะใช้”
“ดะ… ดิฉันจะไม่พูดหรอก… เพราะเธอไม่ควรรู้เรื่องนั้น”
“แบบนั้นคือ รู้แต่ไม่บอกเราไม่ได้?”
“ก็…”
“ถ้างั้น มีใครรู้บ้างเหรอ?” คานะหรี่ตาลงพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย การที่เธอขยับตัวเล็กน้อยมันทำให้เส้นผมของเธอส่ายมาด้านหน้าจนโดนเข้ากับเสื้อคลุมของคัลโคโระ
คัลโคโระกลืนน้ำลายจนส่งเสียงออกมา “นี่…”
“เราเข้าใจ ตอนนี้อาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหนเหรอ?” ก่อนที่จะทันได้ฟังคำตอบของคัลโคโระ ท่าทางของคานะก็ดูไม่สบายใจ “ขอโทษนะ เราเข้าใจดีว่าไม่ควรถาม แต่มันแค่หลุดออกมาจากปาก”
คานะไถลตัวออกไปเหมือนกับงูที่รัดรอบตัวเหยื่อเอาไว้ทุกส่วนของร่างกายได้ปล่อยเหยื่อไป นิ้วมือสองข้างเหยียดตรงอยู่ที่ต้นขาแล้วก็ก้มศีรษะ “ขอบคุณนะ เราดีใจมากเลย”
ก่อนที่คัลโคโระจะทันได้รู้สึกประหลาดใจ เด็กสาวก็หายไปเรียบร้อยแล้ว
คัลโคโระหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยออกมา เธอวางมือลงบนเข่าเพื่อพยุงตัวในตอนที่มองไปรอบๆ มันไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย ไม่เหมือนกับว่าเธอกำลังถูกจ้องมองอยู่ นี่เป็นอะไรที่น่าขายหน้า มันยากที่จะอธิบายว่าน่าขายหน้ายังไงก็จริง แต่เธอก็เข้าใจว่านี่คือเรื่องที่น่าอดสูอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั่วทั้งตัวของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเองก็เต้นแรงอยู่ในหน้าอก เธอเข้าใจว่าตัวเองจำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นคืนสภาพจิตใจเพื่อจะคิดอะไรซักอย่าง ดังนั้นในตอนนี้มีสิ่งเดียวที่เธอต้องทำ
คัลโคโระแปลงเป็นร่างเมจิคัลเกิร์ล ความรู้สึกเหนียวเหนอะที่ผิวหนังหายไป หัวใจกลับมาสงบอีกครั้ง เธอหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะหายใจเข้าแบบลึกๆหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เอานิ้วปรับแว่น
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เธอก็เริ่มคิด เมื่อกี๊มันเกิดอะไรขึ้นนะ? การเผชิญหน้ากับเมจิคัลเกิร์ลในตอนที่ไม่ได้แปลงร่างมันจะทำให้ใครก็ตามรู้สึกกังวล ส่วนเรื่องเงื่อนไขอื่น —อย่างการที่เข้ามาใกล้มากพอที่จะสัมผัสตัว หรือการที่คานะเพิ่งออกมาจากคุก แม้จะไม่นับความจริงที่ว่าพวกเธอไม่รู้เลยว่าคานะเป็นคนยังไงกันแน่— ทุกสิ่งมันล้วนแต่ทำให้ความกังวลของเธอพุ่งสูงขึ้น แต่ทั้งหมดมันมีเท่านั้นจริงๆเหรอ?
เธอเอานิ้วมือที่ใช้ปรับแว่นมาจับลูกคิดที่อยู่ข้างตัวแล้วก็ดีด
เวทมนตร์ของคัลโคโระคือ “มีลูกคิดที่ความสามารถคำนวนได้อย่างยอดเยี่ยม” แต่เธอไม่ได้จะพยายามคำนวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ในเวลาที่เธอพยายามสงบสติอารมณ์ เพื่อให้หัวใจสงบนิ่งราวกับทะเล มือของเธอก็จะเอื้อมไปหาลูกคิดอย่างธรรมชาติ และมันก็ได้ผล ในตอนนี้หัวของเธอเย็นลงบ้างแล้ว และสุดท้ายเธอก็สรุปนี่คือเรื่องอะไรแปลกๆ
เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แม้เด็กสาวคนที่มีท่าทางแข็งกร้าวจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อตัวคัลโคโระจนถึงขั้นที่พูดอะไรอย่าง “นึกว่าตัวเองจะตายซะแล้ว” ออกมาได้ แม้ว่าจะไม่ได้ไปถึงระดับนั้น เธอก็ทำให้รู้สึกได้ถึงการต่อต้านอย่างชัดเจน เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตัวตนของคานะเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เธอรู้สึกผวาได้แล้ว
สิ่งที่เธอไม่เคยรู้สึกก่อน คัลโคโระไม่มีเงื่อนงำเลยว่าคืออะไร นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ของคานะ และมันก็แตกต่างจากความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ล มันคืออะไรกันนะ? คำตอบมันไม่ออกมาเลย คัลโคโระเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แถมข้อสรุปที่เธอไม่รู้ก็ไม่ทำให้เธอได้อะไรขึ้นมาเลย
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านหลัง เธอก็หันกลับไป คุมิคุมิคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำมองมาอย่างสับสน —หรืออาจจะสงสัย “อาจารย์คัลโคโระ… เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
จริงสิ เธอจำได้ว่าตัวเองแปลงร่างอยู่ คัลโคโระเอามือที่จับลูกคิดมาไว้ที่ปาก เธอไอออกมาแบบแรงๆในการที่พยายามทำให้ตัวเองดูมีเกียรติเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร” ราวกับว่าพยายามพูดกับตัวเอง แล้วก็ตามด้วย “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”
คุมิคุมิคือนักเรียนที่ฟังในสิ่งที่อาจารย์พูด พอสิ้นสงสัยแล้ว เธอก้มศีรษะแล้วกลับไปยังห้องเรียน
คัลโคโระคิดว่า ตอนนี้ต้องรีบไปที่ห้องอาจารย์ใหญ่แล้ว แต่ถ้าเธอเข้าไปในร่างเมจิคัลเกิร์ล ฮัลน่าก็จะถามว่าทำไมต้องแปลงร่างด้วย แต่ถ้าเธอคลายการแปลงร่าง ตัวของเธอจะเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำ หลังจากที่เสร็จแล้วก็จะไปยังห้องอาจารย์ใหญ่ เธอตัดสินใจว่าจะแก้ตัวที่มาช้าโดยการบอกว่า “คานะเดินเร็วเกินไป”
☆ ฮัลน่า มิดิ เมเร็น
ในฐานะผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล สุดท้ายแล้วฮัลน่าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเป็นผู้จัดการ และเธอก็ไม่ได้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อาจารย์ใหญ่” แม้จะประกาศภายนอกว่าเป็นปฎิบัติการอย่างเป็นทางการ เธอก็แค่จัดการดูแลห้องเรียนเพียงห้องเดียว และไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนอย่างเป็นทางการด้วย
แต่เพราะเป็นหน้าที่ของเธอ คนอื่นก็เลยเรียกฮัลน่าว่าอาจารย์ใหญ่ เธอไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายเรียกให้ถูกต้องแต่อย่างใด เธอวางท่าว่าตัวเองคืออาจารย์ใหญ่ไม่มากก็น้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นก็ตาม แถมยังไม่มีป้ายชื่อหน้าห้องที่เขียนว่า ห้องอาจารย์ใหญ่ เพราะมันไม่ใช่ห้องที่อาจารย์ใหญ่อยู่
การเรียกว่า “ห้องทำงาน” คงจะถูกต้อง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องมาติดป้ายเพื่อบอกทาง เมื่อเทียบกับหน้าที่ของเธอในฝ่ายข้อมูลแล้ว ความรับผิดชอบและปริมาณงานที่เกี่ยวข้องมันน้อยมากจนแค่เป่าก็ปลิวหายไปหมดได้ ฮัลน่าเองก็ไม่อยู่มากกว่าจะอยู่ที่นี่ นักเรียนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็น ห้องแปลกๆห้องหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าคือห้องอะไร
หน้าที่หลักของห้องคือการเป็นพื้นที่ต้อนรับ ดังนั้นมันจึงถูกตกแต่งให้ดูเหมือนเป็นห้องอาจารย์ใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นความอับอายแก่คนภายนอก พรมนั้นหรูหรามากจนถึงขั้นที่เมื่อเท้าจมเข้าไปก็จะทำให้เดินได้ยาก เชิงเทียนเงินและเทียนขี้ผึ้งไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสงที่เหมาะสม ที่นี่เป็นสถานที่แห่งเดียวในอาคารเรียนเก่าที่ถูกออกแบบมาให้มองไม่ให้มองเห็นกริ่งเตือนไฟไหม้และสปริงเกอร์ สไตล์การโอ้อวดเบาปัญญาราวเผด็จการนี้มันห่างไกลจากรสนิยมของฮัลน่า แต่เมื่อคิดว่าเธอไม่ได้ใช้ห้องนี้เป็นประจำอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าเธอจะทนไม่ได้
ฝ่ายพัคเป็นคนที่ออกแบบพื้นที่ แม้เธออยากจะบ่นก็ทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่อยู่ให้บ่นแล้ว หากบ่นเอาตอนนี้คงเป็นการไม่รู้จักบุญคุญ เพราะหลังจากสร้างสถานที่แห่งนี้และระบบสำหรับปั้นเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยมขึ้นมา ทางเราก็หาข้ออ้างเพื่อยึดมาจากอีกฝ่าย
ในตอนที่ปากกาของฮัลน่าขีดเขียนอยู่ใต้แสงสว่างแบบที่พอประมาณ ก็มีบางคนมาเคาะประตู ฮัลน่าเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังประตู ไม่มีการเคลื่อนไหวด้านหลังประตูไม้หนาหลังจากที่เกิดเสียงดังขึ้น คนที่อยู่อีกฝั่งคงรอการอนุญาตของฮัลน่าอยู่
จอมเวทบางคนถือว่าการเลือกปฎิบัติต่อบุคคลเป็นเรื่องน่าละอาย แต่อย่างไร ฮัลน่าก็ไม่ได้คิดแบบนั้น นั่นเป็นแค่ข้ออ้างของพวกที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ และคอยพร่ำบ่นว่า “ฉันไม่ค่อยชอบที่เธอเลือกปฎิบัติเท่าไหร่เลย”
เธอพูดว่า “เข้ามาสิ” เพื่อเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาด้วยการเปลี่ยนโทนเสียง มันไม่ได้หยาบคายมากพอที่จะดูถูกผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่า และไม่ได้เย็นชามากพอที่จะถูกเกลียดจากคนที่ไม่อยากให้ถูกเกลียด
คนที่เข้ามาในห้องคือนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เข้ามาใหม่ ฮัลน่ารู้สึกเสียใจที่กังวลเรื่องโทนเสียงของตัวเอง เธอเดาะลิ้นก่อนที่จะพูดว่า “ต้องการอะไรมิทราบ?”
“เสื้อผ้าของคุณมันต่างจากที่เจอกันตอนเช้านี้” คานะตอบ “ดูเหมือนจะขยับตัวง่ายกว่า”
“ชุดทางการมันทำให้ไหล่ตึง ไม่ได้เข้ากับการทำงานนั่งโต๊ะ ทำให้มีประสิทธิภาพลดลงด้วย แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ? ถ้ามาคุยเรื่องไร้สาระ…”
“เรามีอะไรอยากถาม”
“ชั้นไม่คิดจะตอบคำถามอะไรของอาชญากรหรอกนะ”
“นักโทษกับอาชญากรเป็นอะไรที่ต่างกันนะ”
“ถ้าเธอมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องไร้สาระอย่างการหาเหตุผลให้ตัวเองแบบนี้—”
“ไม่ใช่ เรามีอะไรบางเรื่องที่อยากให้บอกเราหน่อย”
คนที่ขึ้นมายังตำแหน่งสำคัญในตอนที่อายุยังน้อยจนมากพอที่จะเรียกได้ว่าคือข้อยกเว้นย่อมมีอคติและความลำเอียงตามมา เมื่อต้องรับมือกับคนน่ารังเกียจแบบนี้ ก่อนอื่น ฮัลน่าจะจ้องมอง สำหรับฮัลน่าแล้ว วิธีนี้มากพอที่จะแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้
แต่กระนั้น นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพกับเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อคานะ เธอไม่ได้สะดุ้งจากสิ่งที่ผู้คนซุบซิบกันว่าคือการจ้องมองของกอร์กอน ปฎิกิริยาของเธอในตอนนี้เองก็ไม่ได้ยินดียินร้ายเลยแม้แต่น้อย มันเป็นไปได้ว่าเธอไม่เข้าใจความหมายเรื่องการกระทำของฮัลน่าเลย
ความตึงเครียดที่คิ้วของฮัลน่าคลายลง การจ้องมองคานะก็รังแต่จะเพิ่มรอยเหี่ยวย่นให้มีมากขึ้น “…แล้วอยากได้ยินอะไรจากชั้นล่ะ? บอกมาสิ”
“มีเหตุผลบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ว่าทำไมนักเรียนต้องอยู่กับกลุ่มของตัวเองแม้กระทั่งตอนพัก เราอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นและทำไมถึงไม่มีใครพูด”
เรื่องฝ่ายสนับสนุนงั้นเหรอ?
ฮัลน่าเข้าใจในทันที แต่กระนั้น เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คานะพูดหมายความว่ายังไง
เธอมองกลับไปที่ใบหน้าของคานะ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ให้อ่านได้เลย มันยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่คำถามคือเธอจะชอบเมจิคัลเกิร์ลคนนี้ได้รึเปล่าคืออีกเรื่อง คงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าคำตอบมันถูกผลักไปในเชิงลบเสมอ
ฮัลน่ากลืนคำดูหมิ่นที่เกือบจะหลุดออกมาลงไปแล้วสำรวจตัวคานะอีกครั้ง ท่าทางของเธอดูเยือกเย็น เหมือนว่าปัญหาของเธอจะไม่ได้อยู่ที่ความเด็ดเดี่ยวหรือการอ่านบรรยากาศไม่ออก ความคิดที่ผ่านเข้ามาในใจของฮัลน่าว่าการที่เธอทำอะไรแบบนี้ซ้ำๆอาจเป็นเหตุผลให้เธอถูกจองจำก็ได้
“ทำไมเธอถึงต้องรู้ด้วยล่ะ?” ฮัลน่าถาม
“ความทรงจำของเราถูกปิดผนึกเอาไว้”
“เรื่องนั้นชั้นรู้อยู่แล้ว”
“แต่มันก็ไม่ทั้งหมด เรายังพูดและยังคิดได้ เหมือนว่าเรายังมีความรู้ระดับนึงด้วย เราจะจำเรื่องต่างๆได้ก็ต่อเมื่อนึกถึงเท่านั้น แต่เราเชื่อว่าตัวเองมีความรู้มากกว่าที่คิดเอาไว้อีก” คานะพูดพร้อมก้าวมาด้านหน้า เธอเดินหลบโต๊ะด้วยการพยายามเดินวนจากด้านข้าง
ฮัลน่าลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ” แบบไม่ได้ดังมากแต่รุนแรงเพียงพอ “ทำไมต้องเข้ามาหาชั้นด้วย?”
“บางคนบอกว่าการมีปฎิสัมพันธ์กันระหว่างนักเรียนกับอาจารย์เป็นเรื่องสำคัญ”
“เป็นแค่นักโทษอย่าพยายามทำตัวฉลาดนัก ถ้าเข้ามาใกล้อีกชั้นจะถือว่าเป็นการโจมตี”
“อย่าเข้าใจเราผิด เราคิดแล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไรแล้วจึงลงมือ เราไม่ได้มีเจตนาร้าย” คานะยกมือสองข้างขึ้นด้วยท่าทางจริงจังและกลับไปยังตำแหน่งเดิม “ถ้าจะให้พูด มันก็คือเรื่องนั้น ฮัลน่า… คุณฮัลน่า เราต้องทำยังไงถึงจะเป็นเพื่อนได้?”
“ชั้นไม่เข้าใจว่าเธอจะสื่ออะไร”
“เราอยากเป็นเพื่อนกับคนอื่นในห้อง แต่มันไม่ดีเลยสำหรับคนที่ไม่ได้รู้ถึงเรื่องที่เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดใช่ไหม? เราเหมือนเป็นคนนอก ถ้าเรารู้ว่ามันคืออะไร เราก็จะไม่ได้แปลกแยกในห้องอีกแล้ว หรืออย่างน้อย มันก็มีเหตุผลอื่นที่ทำให้เราดูแปลกแยก”
ฮัลน่าจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของคานะ เด็กสาวคนนี้จริงจังมากเกินไป ดูไม่เหมือนว่าเธอกำลังล้อเล่นอยู่ และยังไม่ได้ดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวด้วย หากเธอพูดออกมาอย่างจริงจัง ฮัลน่าก็จะถูกบังคับให้สงสัยในสติปัญญาของเธอ แต่กระนั้น ฮัลน่าก็รู้ถึงความตั้งใจของเธอ
“คือเธออยากจะรู้เรื่องที่เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดว่าคืออะไร แบบนั้นเธอจะได้เป็นเพื่อนกับคนอื่นได้ใช่ไหม?” ฮัลน่าพูดพร้อมกับเว้นจังหวะเพื่อยืนยันความถูกต้องของคำพูดตัวเอง
“ใช่แล้ว” คานะเห็นด้วยอย่างง่ายๆ เส้นผมสีเงินของเธอไหวไปมาในจังหวะเดียวกับเปลวเทียนที่วูบวาบ
ฮัลน่ายังคงเชื่อว่าคานะคือผู้บุกรุกที่ส่งมาโดยฝ่ายแคสปาร์ การแสดงเจตจำนงของผู้สนับสนุนออกมาไม่ใช่เป็นแค่เรื่องที่สำคัญที่สุดของเมจิคัลเกิร์ล —มันเป็นไปได้สูงว่าผู้บุกรุกจะสวมหน้ากากของเมจิคัลเกิร์ลที่ดีงามในการเข้ามายังโรงเรียน แล้วคานะล่ะ? เธอสวมหน้ากากเพื่อซ่อนเป้าหมายของตัวเองไว้รึเปล่า? จุดยืนของเธอในฐานะนักโทษย่อมทำให้ตัวของเธอโดดเด่น และการมาที่โรงเรียนแห่งนี้ เธอก็ไม่ได้พยายามซ่อนว่าตัวเองกำลังสืบอะไรบางอย่างอยู่เลย เป็นผู้บุกรุกที่แย่จนเกินไป
ในฐานะรองหัวหน้าของฝ่ายข้อมูลแล้ว ฮัลน่าจึงรู้เรื่องอะไรหลายอย่าง เช่นเรื่องที่เมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่า ไพคี้ เฟรเดริก้าได้เข้าหารัทสึมุคานะ-โฮโนเมะ-โนะ-คามิเพื่อควบคุมฝ่ายแคสปาร์ แม้จะบอกว่าฝ่ายแคสปาร์ขาดทั้งแรงขับเคลื่อนและความสามารถ มันก็น่าเหลือเชื่อที่สามารถควบคุมได้ในเวลาอันสั้น เฟรเดริก้าคนนี้ที่เธอได้ยินมาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมาก
ถ้าคนๆนั้นคือคนที่ไปไกลจนกระทั่งเอาคานะออกมาจากคุก แบบนั้นก็เป็นไปได้รึเปล่าว่าคานะเป็นเพียงแค่คนโง่? บันทึกก่อนการคุมขังของคานะถูกปกปิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับอาชญากรรมที่ก่อขึ้น ฮัลน่าคิดว่าเรื่องนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นเรื่องปกติของสถานจองจำ แต่เธอควรปล่อยไว้แบบนั้นเหรอ? ความพยายามของคานะในการสืบสวนมันชัดเจนโจ่งแจ้งเกินไป
ไม่ใช่ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันมีอะไรบางอย่างถูกปิดบังเอาไว้
ที่จริงแล้ว บางที… ชั้นก็ควรดูว่าตอนนี้เธอทำตัวยังไงและใช้ประโยชน์จากเธอ
“เอาล่ะ” ฮัลน่ากระแทกต้นขาแล้วเอาสมุดบันทึกออกมาจากโต๊ะพร้อมกับฉีกกระดาษออก เธอขีดเขียนลงบนกระดาษด้วยปากกาและขยับนิ้วไปพร้อมกับร่ายคาถา
คานะเอียงหัว “นี่มันเทคนิคแบบเดียวกับก่อนหน้านี้นี่นา สัญญาเหรอ?”
ฮัลน่าชะงักเล็กน้อย คานะไม่ได้พูดผิดอะไร มันเป็นคาถาสัญญาแบบเรียบง่าย มันถูกใช้กับคนที่มีความสามารถด้านจอมเวทที่น้อยกว่าตัวเอง บ่อยครั้งจอมเวทระดับสูงจะใช้มันเพื่อปิดปากลูกน้อง การใช้งานมันมีจำกัด แต่มันไม่ได้กินพลังเยอะและง่ายต่อการร่าย
เรื่องที่คานะสามารถเดาได้จากการร่ายและผนึก นั่นหมายความว่าเธอได้รับการศึกษาในฐานะจอมเวทมาหรือเธออาจเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เกี่ยวข้องกับจอมเวท ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็คือข้อมูลที่สำคัญ แต่ฮัลน่ามองไม่เห็นจุดที่คานะบอกเธอในเรื่องนี้ นี่คานะพยายามทำให้เธอสับสน เป็นอุบายบางอย่าง? หรือไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกงี่เง่ากันแน่?
“เรื่องที่รู้จากที่นี่อย่าเอาไปบอกใคร” ฮัลน่าเตือน “หรือห้ามบอกว่าใครที่เป็นคนบอกให้รู้”
“เข้าใจแล้ว งั้นก็ตกลงตามนี้”
“กลุ่มในห้องเรียนถูกแบ่งออกตามฝ่ายที่สนับสนุนและร่วมมือด้วย เมจิคัลเกิร์ลจากฝ่ายอื่นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคู่แข่ง แล้วเมื่อรวมความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลและอื่นๆ มันจึงไม่จำเป็นที่ต้องสนิทกัน”
“งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง”
ฮัลน่าวางกระดาษที่พับสองทบเอาไว้บนโต๊ะจากนั้นก็สะบัดไปหาคานะ ก่อนที่จะร่วงลงจากโต๊ะ นิ้วอันเรียวสวยของเมจิคัลเกิร์ลก็จับเอาไว้ได้แล้วคลี่ออกด้วยมือข้างเดียว มันบอกเอาไว้ว่ากลุ่มหนึ่งคือฝ่ายโอส กลุ่มสองคือฝ่ายแคสปาร์ และกลุ่มสามคือการผสมกันระหว่างเหล่าขุนนางและฝ่ายพัค
คานะมองกระดาษไปมาสองครั้ง จากนั้นเธอก็โยนกระดาษกลับไป กระดาษสองทบมันหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างโต๊ะในตำแหน่งที่บอกไม่ได้ว่าอยู่ใกล้กับฝ่ายไหน “เราจำได้แล้ว ทิ้งไปเถอะ”
ฮัลน่าขยำกระดาษในมือแล้วโยนไปที่ถังขยะที่อยู่บนพื้น เธอหันกลับมาที่คานะด้วยท่าทางที่ดูซีเรียส “เท่านี้พอแล้วใช่ไหม?”
“คิดว่านะ”
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว นักเรียนไม่ควรมาเถลไถลแถวนี้”
คานะถอยหลัง นิ้วมือของเธอสองข้างอยู่แนบกับต้นขาในตอนที่โค้งตัวลง “ขอบคุณมากเลย” เธอพูดออกมาแล้วก็พูดต่อว่า “งั้นก็ขอตัวก่อน” หลังจากที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ตัวของเธอก็หายไป
ฮัลน่าวางศอกลงบนโต๊ะแล้วเอามือเท้าคางไว้ แม้เธอจะยังไม่รู้ว่าคานะวางแผนอะไรอยู่ แต่ฮัลน่ามองว่าถ้าคานะดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอยู่ แบบนั้นก็เรียกได้ว่าไม่เป็นอะไร หากคานะยังคงทำตัวหน้าด้านหน้าทนต่อไป ฮัลน่าก็จะรู้เป้าหมายของเธออย่างรวดเร็ว และถ้าคานะลงมือโดยไม่ให้เป้าหมายของเธอถูกล่วงรู้ แบบนั้นฮัลน่าก็จะสามารถจัดการอะไรบางอย่างได้เช่นกัน
ไม่ว่าฝ่ายแคสปาร์จะเป็นยังไง นี่ก็คือขอบข่ายหน้าที่ของฝ่ายข้อมูล ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือสถานที่สำหรับให้เมจิคัลเกิร์ลไว้ศึกษาเล่าเรียนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความปรารถนาอันยาวนานของฮัลน่า เธอไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้คานะมาทำอะไรวุ่นวายที่นี่
ฮัลน่านวดแขนขวาเล็กน้อย จากนั้นก็เอามือมานวดตรงไหล่แล้วก็ลูบคลำ ความเครียดมันทำให้ไหล่ของเธอแข็งเกร็ง ในตอนนี้มันเรียกไม่ได้ว่า “รับฟังซึ่งกันและกัน” เธอสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาความเป็นศัตรู ด้วยตำแหน่งของฮัลน่า เธอจึงคุ้นเคยกับการรับมือเมจิคัลเกิร์ล แต่มันก็ยังทำให้เธอเกร็งอยู่ดี เธอสลับไปผ่อนคลายต้นแขนซ้ายและไหล่ จากนั้นก็นวดใบหูยาวๆของตัวเอง
เหมือนว่าเมจิคัลเกิร์ลคนนี้มีความสามารถที่ทำให้รองหัวหน้าฝ่ายข้อมูล —ตำแหน่งที่ไม่สามารถรับมือได้โดยที่ไม่ต้องทนต่อความเครียด รู้สึกกดดันได้ แม้ว่าเด็กสาวคนนี้ดูไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกงี่เง่า หากฮัลน่าตีค่าจากใบหน้าแล้ว เธอก็แน่ใจว่าเด็กสาวคนนี้จะถูกปฎิบัติด้วยแบบคนโง่เป็นแน่
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
เมื่ออยู่มัธยมต้นมันก็ต้องระวังเรื่องที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดในบทสนทนา หากยกหัวข้อ “คิวตี้ฮีลเลอร์ตอนที่ฉายเมื่อวานคิดว่าไง?” ขึ้นมาพูดก็จะโดนหัวเราะเยาะอย่าง”อยู่มัธยมต้นแล้วยังดูอนิเมที่ฉายวันอาทิตย์ตอนเช้าอีกเหรอ?” ไม่ก็ “อ่าา เธอนี่เป็นพวกโอตาคุสินะ” ใส่หน้า
หากเทียบกันแล้ว ห้องเรียนเมจิคัลนี้มันยอดเยี่ยมมาก ที่นี่มันไม่มีใครหัวเราะเยาะหรือเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นเด็ก ไม่ก็บอกว่าการดูอนิเมเมจิคัลเกิร์ลอย่างคิวตี้ฮีลเลอร์นี่มันไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย การตื่นเต้นกับฉากแปลงร่างหรือตอนที่ได้สมาชิกคนใหม่ก็จะไม่มีใครถูกปฎิบัติราวกับว่าเป็นโอตาคุที่น่าขยะแขยง อาจได้รับคำชมจากการสร้างแรงบันดาลใจเสียด้วยซ้ำ
วันจันทร์ตอนมื้อกลางวัน กลุ่มหนึ่งนั้นคุยกันอย่างตื่นเต้นเรื่องคิวตี้ฮีลเลอร์ตอนที่ฉายไปวันก่อน มิส ริลพูดเรื่องอะไรบางอย่างที่แม่ของตัวเอกทำไปซึ่งเหมือนกับการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ในขณะที่แรปปี้พูดว่าการทำให้มาสค็อตแปลงร่างเป็นเด็กผู้ชายน่ารักๆได้เป็นความคิดที่ดี ส่วนอาร์ลี่กับโดรี่ก็พูดขึ้นด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบเพี้ยนๆ บางทีทั้งคู่ก็พูดเหมือนกับเสียงนกร้องที่ดูเหมือนเป็นภาษาหลัก บางครั้งก็กลายเป็นการทะเลาะกันเอง เมื่อทั้งคู่ทะเลาะกันอีกสามคนก็ต้องแยกพวกเธอออกหรือไม่ก็เข้าไปขวาง
เมื่อถึงจุดหนึ่ง โดรี่ก็ดึงชายกระโปรงด้านหน้าแล้วก็กระโดดไปมารอบๆ พอนึกได้ว่าเธออยากจะไปห้องน้ำ เท็ตตี้ก็พูดว่า “ไปด้วยกันนะ” และจากนั้นก็ตามมาด้วย “งั้นฉันไปด้วย” จนทุกคนไปห้องน้ำแบบพร้อมหน้ากัน บางคนเข้าไปทำธุระของตัวเอง ส่วนคนที่รออยู่ก็พูดคุยกันต่อ บางคนก็หันหน้าเข้าหากระจกเพื่อจัดทรงผม เมื่อทุกคนทำเรื่องของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็พูดว่า “เอาล่ะ กลับกันเถอะ” และออกเดินอีกครั้ง
ตอนที่เดินอยู่ตามทางเดิน พวกเธอไม่ได้เดินนำหน้าไปไกลนักก่อนที่เท็ตตี้จะหยุด มีบางคนกำลังรอพวกเธออยู่ อีกฝ่ายยืนเอามือแตะไว้ที่เอวอย่างผ่าเผย เมจิคัลเกิร์ลที่ฉีกชุดเครื่องแบบของตัวเองจนขาดยืนอยู่ตรงนั้น
คานะเพิ่งทะเลาะกับเมฟิสมา เท็ตตี้คิดว่าพวกเธอคืนดีกันแล้วตอนมื้อกลางวันแต่มันก็ไม่ใช่ เท็ตตี้เคยเห็นอกเห็นใจสมาชิกคนอื่นในกลุ่มของคานะ คิดว่ามันคงยากที่จะรับมือกับคนที่มาใหม่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าคานะจะสร้างปัญหาปัญหาให้กลุ่มของเท็ตตี้เช่นกัน และเธอก็ปกปิดความสับสนของตัวเองไม่ได้
มิส ริลยิ้มออกมาราวกับไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อาร์ลี่กับโดรี่ออกมาด้านหน้าโดยไม่สนทุกคน จนกระทั่งแรปปี้จับคอเสื้อของพวกเธอเอาไว้ให้หยุด
เท็ตตี้นั้นยังคงสับสนแต่เธอก็ก้าวออกมาด้านหน้าของทุกคน “…มีอะไรเหรอคะ?”
“เหมือนเราจะได้ข้อมูลเรื่องฝ่ายข้อมูลมานิดหน่อย” คานะพูด
“ขอโทษนะคะ?”
“หัวหน้าชื่อว่า… ใช่แล้ว เราคิดว่าชื่อ อัล เว เลนซ์”
คานะมองมาที่เท็ตตี้ ซึ่งมันหมายถึงเธอกำลังพูดกับเท็ตตี้อยู่นั่นเอง แต่เท็ตตี้ไม่รู้ว่าคานะพยายามจะพูดอะไร อัล-อะไรซักอย่างทีฟังดูเหมือนภาษาต่างประเทศที่เข้าใจยาก และเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายข้อมูลหรือหัวหน้าด้วย
เธอภาวนาว่าอย่าเข้าใจเรื่องนี้ผิดเลย จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างสุภาพแล้วก็เอียงหัว “ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้เลยว่าที่พูดนี่มันหมายถึงอะไร”
คานะหรี่ตาแล้วก็เอามือเท้าคาง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า “งั้นเหรอ ไม่มีสมาชิกของฝ่ายข้อมูลคนไหนจะยอมรับว่าตัวเองเป็นสมาชิกสินะ”
“หือ? หมายความว่ายังไงคะ?”
“เราควรเอาเรื่องนิสัยของทางฝ่ายข้อมูลมาคิดด้วย แสดงว่าเรายังคิดไม่มากพอจริงๆ นี่คงเป็นผลข้างเคียงจากการที่ความทรงจำของเราถูกพรากออกไป แต่เรากลับจำเรื่องแปลกๆได้อย่างน่าประหลาด” คานะเบนสายตาที่มองเท็ตตี้มายังมิส ริล “หัวหน้าฝ่ายจัดการชื่อ รากิ สเว เน็นโต เราเชื่อว่าชื่อนี้คงไม่ผิด ชายแก่ใจแคบที่เกลียดเมจิคัลเกิร์ล แต่เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาแล้ว เหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนใจ”
มิส ริลเอียงหัวน้อยกว่าเท็ตตี้เล็กน้อยพร้อมกับมีสีหน้าที่ไม่สบายใจ “เอ่อออ… ฝ่าย… จัดการ? มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอคะ?”
ดวงตาของคานะเบิกกว้าง เธอเอามือขวามาปิดใบหน้า ขยับไปมาจนทำให้เส้นผมของตัวเองยุ่ง “ฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ลแนะนำให้เข้ามาเรียนในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลนี้ อีกแง่หนึ่งคือพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับรากิ สเว เน็นโตไม่ได้หรอก”
“อ่าา หมายความแบบนั้นเองสินะคะ” มิส ริลพูด “ขอโทษค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องคนที่แนะนำมาเหมือนกัน ควรขอบคุณอีกฝ่ายก็จริงแต่มันไม่มีโอกาสรู้เลยว่าคือใคร”
แรปปี้คนที่จับตัวอาร์ลี่กับโดรี่เอาไว้พูดขึ้นมาว่า “อ๊ะ!” แล้วก็ยกมือ “ฉันรู้ ฉันรู้ล่ะ! ตาลุงที่ชื่อรากิอะไรซักอย่างนั่นน่ะ! ตานั่นเป็นหัวหน้าของฝ่ายจัดการเมจิคัลเกิร์ล!”
คานะเอียงหัวพร้อมกับท่าทางที่ยังซีเรียส เท็ตตี้คิดว่า คนที่อยู่ตรงนี้เอาแต่เอียงหัวกันหมดเลย
“แรปปี้รู้จักรากิ สเว เน็นโตด้วยเหรอ?” คานะถาม “ไม่ใช่ว่าการที่ถูกแนะนำจากฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันก็ไม่ได้มีเกี่ยวข้องอะไรกับรากิ สเว เน็นโตจากฝ่ายจัดการนี่นา?”
“ไม่หรอก ไม่ใช่อะไรแบบนั้น! เมื่อก่อนมันมีกระแสการขโมยข้อมูลจากฝ่ายจัดการแบบสุดโต่งอยู่ด้วยนะ! มันเหมือนเป็นการแข่งกันเลย หลายๆคนจะลอบผ่านสุดยอดการรักษาความปลอดภัยเพื่อพยายามฉกฉวยข้อมูลอะไรก็ได้! และเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อสโนไวท์ก็ทำมันได้สำเร็จ! จากนั้นชื่อเสียงของเธอก็ดังสุดๆเลยล่ะ! จนเด็กสาวหลายๆคนพยายามทำแบบเดียวกันกับเธอด้วย! แต่ฉันไม่เคยหรอกนะ อ๊ะ จริงสิ ฉันไม่เคยทำอะไรที่จะเกิดปัญหาหากถูกขุดขึ้นมาเลยนะ โอเค๊? ที่ฉันรู้เพราะมันเป็นเรื่องดังเท่านั้นเอง”
คานะหันไปหาโดรี่และไม่ได้ฟังที่แรปปี้พูดจนจบ “เรื่องห้องทดลอง… เราจำไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะ”
“ม่ายยต้องงขออโทษษ”
ต่อมาคานะก็หันไปหาอาร์ลี่ “สำหรับหน่วยสืบสวน… เราเชื่อว่าตัวเองมีความทรงจำบางอย่างในตอนที่ถูกจับ แต่เพราะความทรงจำมันถูกลบไปแล้ว เราก็เลยจำไม่ได้ ขอโทษด้วย”
อาร์ลี่ส่ายหัว เธอส่งเสียงออกมาเหมือนกับนกแต่เท็ตตี้ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร เหมือนกับโดรี่ที่เธอพูดประมาณว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก”
มิส ริลเอียงหัวกลับมาเป็นปกติและแก้มของเธอก็สั่น “คานะ… เอ่อ นี่มันเรื่องอะไรเหรอ?”
“เรารู้ว่าใครเป็นคนที่แนะนำทุกคนในห้องมา แต่เราบอกเรื่องแหล่งข้อมูลไม่ได้”
“โอเค”
“เพราะแบบนั้นเราเลยคิดว่าหากยกหัวข้อเรื่องผู้สนับสนุนขึ้นมาพูด เราอาจจะหาเพื่อนได้”
“อ่า… เรื่องนั้นฉันเองก็…” เท็ตตี้เหลือบมองแรปปี้เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกมา
แรปปี้มองขึ้นไปบนเพดานครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วก็หัวเราะ “เธอไม่ต้องทำแบบนั้นเพื่อที่จะมีเพื่อนหรอก!” มิส ริลพูดเสริมว่า “มาเป็นเพื่อนกันเถอะค่ะ” พร้อมกับจับมือของคานะอย่างแนบแน่น ส่วนอาร์ลี่และโดรี่กำลังคุยกัน พวกเธอแตะไหล่และหลังของคานะ
เท็ตตี้ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็รู้สึกว่าต้องทำตามทุกๆคน ดังนั้นเธอจึงเอาแขนไปคล้องไหล่ของคานะและพูดว่า “ใช่ค่ะ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ” พร้อมตบแผ่นหลัง คำพูดของเธอมันว่างเปล่า ไหลไปตามกระแสโดยไม่เข้าใจอะไรเลย แต่คานะก็ยังคงพูดว่า “ขอบคุณนะ” ด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นก็โค้งตัวพร้อมพูดว่า “ดีจังที่ได้เป็นเพื่อนกัน” จนมันทำให้เท็ตตี้รู้สึกเศร้าแทน
เท็ตตี้ยิ้มพร้อมสงสัยว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ท่าทางของมิส ริลนั้นดูดีใจ แรปปี้ดูตื่นเต้น ส่วนอาร์ลี่และโดรี่กำลังกระโดดไปรอบๆ
MANGA DISCUSSION