ตอนที่ 5 : ของขวัญอันแสนคิดถึง
☆ พีเฟิล
ในตอนที่พีเฟิลเข้าไปหาพร้อมกับยกมือแล้วพูดว่า “เฮ้” จอมเวทสวมแว่น —มานา— ก็ย่นคิ้วเข้าหากันด้วยท่าทางโกรธเคือง ไหล่เองก็ตกในตอนที่ถอนหายใจออกมา
“ถ้าจะหายไปไหนล่ะก็ ช่วยพูดอะไรก่อนบ้างก็ดี” มานาพูด “เธอก็รู้นี่ว่าเรื่องมันเลวร้ายแค่ไหน ใช่ไหมล่ะ?”
“ก็นะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่ฉันน่ะคือหัวหน้าฝ่าย ฉันมีเรื่องมากมายที่จะบอกกับลูกน้อง อีกอย่าง เธอเองก็ดูเหมือนจะยุ่งอยู่ไม่ใช่รึไง ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนอกจากต้องมีเงื่อนไข ฉันคิดว่าการพูดกับเธอคงดีที่สุดแล้ว เท่านั้นแหละ ฉันไม่มีเจตนาให้เธอต้องรับผิดชอบอะไร ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอก”
“ความรับผิดอะไรนั่นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องบ้านี่เลย ชั้นยังไม่ได้เอาเรื่องของเธอไปให้คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าด้วยซ้ำ สำหรับหน่วยสืบสวนแล้ว เธอน่ะคือแขก อีกอย่างนะ ชั้นมาที่นี่ก็เพราะการร้องขอที่ไม่มีเหตุผลของฝ่ายโอส เรื่องทั้งหมดมันคือดุลพินิจของชั้น นั่นคือเหตุผลว่าชั้นถึงไม่ได้พาลูกน้องมาเลย”
“ทำไมล่ะ?”
“ถ้าชั้นส่งปัญหานี้ไปยังที่ที่ควรจะส่ง แบบนั้นมันก็จะเสียเวลาทั้งวันไปกับการประชุมแน่ ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้จบลงภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงชั้นก็จะไม่แปลกใจเลย ดังนั้นการใช้คนให้น้อยที่สุดเพื่อการคล่องตัวจึงดีกว่า แล้วก็…” สายตาที่อยู่ด้านหลังแว่นของเธอหันไปมองอูรูรุที่ยืนอยู่ข้างๆ “ชั้นโดนตัวปัญหามาเกาะติดซะแล้ว”
“เมื่อกี๊เรียกอูรูรุว่าตัวปัญหางั้นเหรอ?”
มานาไม่สนใจอูรูรุ คนที่ทำแก้มป่องเพราะไม่พอใจอยู่ข้างๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พีเฟิลแอบหนีจากพวกเธอ ทั้งคู่ก็ตะโกนเข้าใส่กัน แต่เหมือนว่าจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“เราอยากให้เธอช่วยสโนไวท์ ปอน!” ภาพโฮโลแกรมลอยขึ้นมาจากเมจิคัลโฟนที่อูรูรุดึงออกมาจากกระเป๋า
“แหม” พีเฟิลพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ฉันได้ยินเสียงของนายในรถ แต่ไม่คิดว่าจริงๆแล้วจะอยู่ที่นี่”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พีเฟิล ปอน”
“จริงๆแล้ว… มันนานมากเลยล่ะ ฟาล”
เหมือนว่าฟาลจะไม่ได้สนใจพูดคุยกับพีเฟิลอย่างสนุกสนาน ฟาลพูดต่อโดยไม่ได้พูดถึงตัวของพีเฟิลที่อยู่ตรงนี้เลย “เรื่องสโนไวท์น่ะ ปอน ฟาลสามารถรับรู้สัญญาณชีพของสโนไวท์ได้ ปอน จะคิดว่าฟาลสามารถรู้ว่าตอนนี้สโนไวท์ทำอะไรอยู่ก็ได้ ปอน”
พีเฟิลเคยได้ยินว่าฟาลเป็นไซเบอร์แฟร์รี่ที่ถูกดัดแปลงโดยเวทมนตร์ของคี๊ค ย้อนกลับไปตอนที่พวกเธอตอบโต้กันทุกวันในเกม เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องนั้นเลย แต่ฟาลคงมีฟังก์ชั่นที่ส่วนใหญ่ไม่มี
“มาสเตอร์ของนายคือนักล่าเมจิคัลเกิร์ล สโนไวท์งั้นเหรอ?” พีเฟิลถาม
“เริ่มการสนทนาตรงจุดนั้นเหรอ ปอน? มันก็ใช่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฟาลอยากจะพูดในตอนนี้ ปอน”
“อื้อ” อูรูรุเข้ามาจากทางด้านข้าง เอนตัวมาด้านหน้าเพื่อเอาใบหน้าเข้าใกล้ฟาล “อูรูรุเคยพูดมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม? ตอนที่อูรูรุออกไปเอาของตามที่สโนไวท์บอก พวกนั้นก็ไล่ล่าตามมาเลย ช่วงเวลามันเหมาะเจาะเกินไป คงเป็นสโนไวท์ที่บอกแน่ๆ”
(ฉบับ platfleece ภาพประกอบด้านบนจะหายไป)
“มันไม่มีเหตุผลที่สโนไวท์จะรายงานเลยนะ ปอน”
“อูรูรุก็รู้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่อูรูรุอยากจะพูด โอเคนะ?”
ฟาลตีลังกากลางอากาศแล้วก็หยุด จากนั้นก็หมุนตัวอีกครั้ง ผงสีทองและเขียวกระจายไปรอบๆ อูรูรุไอแล้วก็หันหน้าออกห่าง แม้จะรู้ว่าเป็นโฮโลแกรม เธอก็ยังคงตอบสนองแบบอัติโนมัติอยู่ดี
“ชีพจรของสโนไวท์สงบนิ่ง ปอน ไม่มีปัญหาด้านร่างกายหรือจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องนึงที่ฟาลโล่งอก ปอน”
“แล้วมันทำไมเหรอ?” พีเฟิลถาม
“ฟาลยังพูดไม่จบนะ ปอน มันแปลกที่จิตใจของสโนไวท์ไม่ได้รมีอะไรผิดปกติ ปอน ความจริงแล้ว เธอรู้สึกมีความสุขและกำลังสนุกอยู่ด้วย ปอน มันเป็นไปไม่ได้เลย ปอน เธอคงโดนเวทมนตร์อะไรบางอย่างร่ายใส่แน่ๆ ปอน”
“เห็นไหมล่ะ อย่างที่อูรูรุพูดเลย”
ฟาลไม่สนใจอูรูรุ
“นายจะบอกว่าเธอถูกพัคพั๊คควบคุมอยู่งั้นเหรอ?” พีเฟิลพูด
“นั่นคือเรื่องที่ฟาลพูด ปอน” ฟาลตอบ และคราวนี้ มานาก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“ถ้างั้น… ทำไมถึงไม่บอกกันก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“มันคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดหากจะคุยเรื่องของสโนไวท์ก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์พื้นฐานอย่างการที่ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูน่ะ ปอน สิ่งที่ฟาลสามารถทำได้โดยไม่มีมาสเตอร์มันจำกัด ปอน ถ้าบอกเรื่องนี้กับศัตรูโดยบังเอิญ มันก็จะทำให้ฟาลทำอะไรไม่ถูก ปอน”
มานาไม่ได้ตำหนิฟาลเรื่องนั้น เธอเงียบพร้อมกับมีท่าทางขมขื่นแสดงอยู่บนใบหน้า เธอเองก็มีช่วงเวลายากลำบากที่ต้องตัดสินว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูเหมือนกับฟาล
พีเฟิลเอียงหัวจนบริเวณลำคอส่งเสียงดังแกร๊กออกมา บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศแห้ง เสียงที่ดังออกมาจึงทำให้รู้พอใจมากกว่าปกติ “ฉันได้ยินว่าทางนั้นกำลังจัดพิธีเพื่อเปิดใช้งานอุปกรณ์เวทมนตร์โบราณ… เวทมนตร์ของสโนไวท์มีประโยชน์อะไรกับเรื่องนั้นด้วยงั้นเหรอ? ก็นะ พวกนั้นคงใช้เธอในทางที่ฉันนึกไม่ถึง แต่สำหรับฉันแล้ว พวกนั้นคงเอาเธอไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นที่ดีกว่าแน่”
มานาพยักหน้าด้วยท่าทางหม่นหมอง พีเฟิลเองก็พยักหน้าเช่นกัน “อย่างเช่นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย” พีเฟิลพูดต่อ “ด้วยฉายานักล่าเมจิคัลเกิร์ลแล้ว บางทีการให้เธอทำหน้าที่ฝ่ายรุกแทนที่จะเป็นฝ่ายรับคงดีกว่า… และแน่นอนว่า เธอจะกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก”
ตราบใดที่พัคพั๊คยังคงอยู่ จำนวนของศัตรูก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฉายานักล่าเมจิคัลเกิร์ลของสโนไวท์แล้ว เธอคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน พีเฟิลใช้ลิ้นของเธอเลียริมฝีปากด้านบนเพื่อทำให้ชุ่มชื้นขึ้น เพราะมันแห้งจนถึงจุดที่เริ่มจะแตกแล้ว
“ศัตรูเหรอ ปอน? แบบนั้นถ้าเจอสโนไวท์ก็จะฆ่าทิ้งงั้นเหรอ ปอน?” ฟาลตีลังกากลางอากาศ จนผงกระจายออกมามากพอที่จะบังภาพของตัวเอง จากนั้นเมื่อผงจางลงและหายไปแล้ว พีเฟิลก็มองเห็นภาพมาสค็อทที่สั่นไหวที่ลอยอยู่ตรงนั้น
ในจังหวะเดียวกัน อูรูรุก็โน้มตัวไปข้างหน้า ยื่นหน้าเขาใกล้กับไซเบอร์แฟร์รี่ “งานของอูรูรุกับสโนไวท์ยังไม่จบ พวกเรายังคงมีงานที่ต้องทำอยู่ ดังนั้นอูรูรุอาจจะต่อยเธอก็ได้ แต่อูรูรุไม่ฆ่าเธอหรอก บางทีนะ”
มานาถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะยอมอ่อนข้อแล้ว “โทษนะ แต่ชั้นช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก มันไม่มีเรื่องที่ชั้นสามารถทำได้ในหน่วยของตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับสโนไวท์ล่ะก็ มันก็คือความรับผิดชอบของเธอแล้ว”
คำพูดของมานาทำให้อูรูรุโกรธจนลุกเป็นไฟ เธอพูดว่า “แย่ที่สุด!” ในขณะที่มานาหันหน้าไปทางอื่นและพูดว่า “เรื่องมันก็เท่านี้” มันเป็นเรื่องยากสำหรับมานาในการที่จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ เธอไม่สามารถใช้ความพยายามไปกับการช่วยลูกจ้างเพียงแค่คนเดียวได้
หากไม่ได้รับการปรับแต่งแบบเป็นพิเศษ ไซเบอร์แฟร์รี่ก็จะไม่มีการแสดงความรู้สึกออกมา ด้วยเหตุนั้นการอ่านสภาพจิตใจมันจึงยากกว่ามนุษย์ แต่มันก็มีองค์ประกอบพิเศษอย่างเช่นการมีโทนเสียงสูงต่ำ การขยับปีก ผงที่กระจายออกมาและอื่นๆ ฟาลนั้นเป็นแฟร์รี่ประเภทที่เข้าใจง่าย ความแตกต่างมันเกิดขึ้นเพราะอายุของโปรแกรม เป็นเพราะแต่ละตัวย่อมต่างกัน หรือขึ้นอยู่กับมาสเตอร์กันนะ?
ฟาลนั้นเป็นห่วงสโนไวท์อย่างจริงใจ แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่พีเฟิลต้องโอนอ่อนให้ ความสำคัญอันดับหนึ่งของพีเฟิลคือมาโมริ โทโทยามะ เช่นเดียวกับฟาลที่กังวลเรื่องของสโนไวท์
“เรื่องความพยายามของนายฉันหวังไว้มากเลย” พีเฟิลพูด “ใช่แล้ว…ฉันจะภาวนาให่โสไวท์ปลอดภัยก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อนนะ ปอน ภาวนางั้นเหรอ ปอน?”
ทันใดนั้นเธอก็เห็นว่าฟาล อูรูรุ และมานาต่างก็จ้องมองมาที่เธอ “ต้องการอะไรจากฉันเหรอ? พวกเธอจะพูดว่าการภาวนาอย่างเดียวมันไม่พอรึไง?”
“ขอร้องล่ะ ปอน ฟาลอยากให้เธอบอกเบื้องบนว่าอย่าฆ่าสโนไวท์ ปอน”
“พวกนั้นกังวลกันตั้งแต่ก่อนการฆ่าฟันจะเริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ บางทีฉันอาจทำตัวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ก็ได้ แต่เอาจริงๆแล้ว ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าลูกน้อง ไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถเสนอความคิดเห็นได้หรอก”
พีเฟิลได้ทำการ “ร้องขอ” เรื่องชาโดว์เกลไปแล้ว เธอไม่สามารถเพิ่มการช่วยสโนไวท์เข้าไปได้อีก มันไม่ใช่แค่ทำให้เธออยู่ในจุดที่เสียเปรียบ แต่มันยังคงเป็นการทำให้เธอติดหนี้ศัตรูมากเกินไปด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่สามารถทำได้ ฟาลเองก็คงมีความรู้สึกเช่นนั้น แต่พีเฟิลไม่ได้มีเหตุผลที่ต้องประนีประนอมเพื่อประโยชน์ของมาสค็อท ชาโดว์เกลที่ถือประแจอยู่กับอุปกรณ์คือเรื่องหนึ่ง แต่สโนไวท์นั้นเงื้ออาวุธขึ้นเพื่อต่อต้านฝ่ายโอส ระดับความยากที่จะขอให้ไม่ฆ่านั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เพราะแบบนั้นฉันจะแค่ภาวนาให้เธอปลอดภัย” พีเฟิลพูด “ฉันทำอย่างอื่นนอกจากนั้นไม่ได้หรอก”
ไฟฟ้าสถิตแล่นผ่านภาพโฮโลแกรมของฟาล จนภาพนั้นเบลออยู่ครู่หนึ่ง พีเฟิลหันวีลแชร์ของเธอ 180 องศา เธอหันหลังให้ฟาล อูรูรุ และมานา “ขออภัยนะคุณมานา แต่ฉันต้องขอตัวก่อน ฉันเองก็เข้าใจว่าบางครั้ง การยอมแพ้มันก็จะกลายเป็นแบบนี้ แต่พวกเราอยู่ในสงคราม และฉันก็มีหน้าที่มากมายที่ต้องทำ”
“เดี๋ยวก่อน ปอน”
พีเฟิลขยับวีลแชร์ของเธอไปด้านหน้า เหตุผลที่เธอต้องรอมันมีแค่เล็กน้อย เธอมีเรื่องที่ต้องทำอยู่มากมาย
“เดี๋ยวก่อน ปอน!”
“เดี๋ยวสิ! ฟังเรื่องที่ฟาลจะพูดหน่อย!”
ฟาลกับอูรูรุตะโกนเข้ามาที่เธอพร้อมๆกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างอะไร พีเฟิลยังคงขยับวีลแชร์ของเธอต่อไป
“พวกเราสองคน…คุยกันเป็นการส่วนตัวได้รึเปล่า ปอน?”
พีเฟิลหยุดขยับวีลแชร์และหันกลับมา อูรูรุมองไปที่ฟาล มานาเองก็มองไปที่ฟาลเช่นกัน แน่นอนว่าพีเฟิลก็มองไปที่ฟาลด้วย ฟาลนั้นดูกระวนกระวายเพราะถูกเด็กสาวสามคนจ้องมองอยู่
☆ อูรูรุ
“เมื่อกี๊ใครน่ะ?” อูรูรุถาม
“หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล” มานาตอบ “เป็นคนที่พูดกับเธอผ่านเมจิคัลโฟนในรถก่อนหน้านี้”
“อ่า งั้นเหรอ หือ? พอพูดถึงแล้ว เสียงเหมือนกันเลยนี่นา”
“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องกังวลตั้งแต่แรกซักหน่อย”
“อ๊ะ ถ้าเป็นคนสำคัญล่ะก็ อูรูรุก็ต้องทักทายเธอให้ถูกต้องเหมือนกัน”
“เธอไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำ —เป็นหัวหน้าที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
จอมเวทที่ชื่อมานาคนนี้เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กยิ่งกว่าอูรูรุซะอีก อูรูรุรู้ดีอยู่แล้วว่ารูปลักษณ์ของจอมเวทนั้นหลอกตาพอๆกับเมจิคัลเกิร์ล ในหมู่ผู้รับใช้สามปราชญ์มันก็มีจอมเวทมากพอๆกับเมจิคัลเกิร์ล และอูรูรุยังได้ยินว่าบางคนมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานเป็นร้อยเป็นพันปีอย่างเหลือเชื่อเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ
แต่เธอก็คิดว่ามานาอาจจะไม่ได้แก่กว่าที่ตาเห็นมากนัก การที่เธอด่าบุคคลสำคัญคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเธอเป็นเด็ก อูรูรุยังคิดว่ามานาพยายามดูถูกเธอและว่าตัวเองนั้นเป็นเด็กด้วย
เพราะแบบนั้นอูรูรุจึงถามว่า “แล้วเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ?”
มานาต้องเข้าใจว่าเธอถูกโจมตี เธอหงุดหงิดมาตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่ออูรูรุย้ำเข้าไปอีก มานาก็ทำหน้าเหมือนกับว่าพร้อมที่จะทุบเข้ามาและถ่มน้ำลายใส่ “ชั้นมาที่นี่เพื่อจับคนเลว”
“ไม่ใช่หยุดเรื่องพิธีเหมือนกับที่คนอื่นพูดเหรอ?”
“หากพวกเราจับคนเลวได้ แบบนั้นพิธีก็จะหยุดไปเองเหมือนกัน”
“เหมือนเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย”
“ชั้นคิดมากกว่าเธอก็แล้วกัน”
อูรูรุรู้สึกอยากที่จะด่าเหลือเกิน การที่เธอจะตอกย้ำคนอื่นกลับกลายเป็นการย้อนมาเข้าตัวเอง อูรูรุนั้นไม่ได้พยายามจะหยุดพิธีเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น เมื่อเธอออกห่างจากพัคพั๊คแล้ว เธอก็คิดว่า “บางทีจริงๆแล้วพัคพั๊คอาจจะเป็นคนที่น่ากลัวมากก็ได้” เธอยอมรับอย่างง่ายๆว่าสโนไวท์ถูกควบคุมอยู่ และความจริงนั้นมันก็ทำให้เธอสับสน เธอคิดว่าจริงๆแล้วพัคพั๊คมีความสามารถแบบนั้นอยู่ และบางทีเรื่องพิธีที่พยายามทำให้สำเร็จอาจจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากก็ได้ ในตอนนี้เธอสามารถเข้าใจความปรารถนาของซาจิโกะที่หลบหนีได้แล้ว
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หากคำถามคือว่ามันโอเครึเปล่าที่เธอจะเข้าร่วมกับกองกำลังฝ่ายตรงข้ามเพื่อพยายามหยุดพัคพั๊ค เธอก็ไม่แน่ใจอีกแล้ว แต่มันก็ยังคงมีความจริงที่ว่าพัคพั๊คทำอะไรให้กับอูรูรุและน้องสาวของเธอมากมาย ในจุดนี้ อูรูรุได้กลายเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อน —คนทรยศนั่นเอง
เธอไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น ดังนั้นเธอจึงมุ่งไปยังเป้าหมายที่คิดได้ง่ายกว่า อย่างการพาสโนไวท์กลับมาและจัดการไพตี้ เฟรเดริก้า
อูรูรุเถียงสู้มานาไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำหน้าบูดบึ้ง “เธอนี่เอาแต่ล้ออูรูรุแบบนี้ตลอดเลย”
“ชั้นไม่ได้ล้ออะไรเธอเล่นซักหน่อย มันแปลกที่เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”
อูรูรุพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง เธอมองไปยังมานาพร้อมกับปากที่อ้าออกครึ่งหนึ่งในตอนที่ค้นหาคำที่จะพูด เธอรู้ว่าตัวเองติดอยู่ในนรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร เธออยากจะช่วยสโนไวท์ เธออยากจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เธอไม่อยากให้พวกนั้นใช้สัญญาของซาจิโกะที่ทิ้งเอาไว้ แต่เธอก็ไม่อยากสู้กับพัคพั๊คเช่นกัน แม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยากจะติดตามพัคพั๊คอีกต่อไปแล้ว ปากของอูรูรุจึงหุบลงไปเอง
หลังจากที่ลังเลและกังวลอยู่พักหนึ่ง เธอก็เปิดปากอีกครั้ง เธอคิดว่าแค่ต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา “แน่นอนว่าอูรูรุอยู่ที่นี่ อูรูรุจะล้างแค้น และอูรูรุจำเป็นต้องมีสโนไวท์เพื่อเรื่องนั้นด้วย สโนไวท์ต้องกลับมาเป็นคนเดิม เฟรเดริก้าคือคนเลวใช่ไหม!? ถ้าเธออยู่หน่วยสืบสวนล่ะก็ คงจะรู้เรื่องนี้สินะ?”
ดวงตาของมานาเบิกกว้าง เธอแสดงให้อูรูรุเห็นท่าทางน่ากลัวอย่างการอ้าปากออกและแยกเขี้ยว อูรูรุตกใจ เธอสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรให้รู้สึกโกรธรึเปล่า ดังนั้นเธอจึงทำให้ตัวของเธอดูใหญ่ขึ้นเพื่อปกปิดไม่ให้แสดงความกลัวออกมา “อะไรล่ะ?”
“เธอพูดว่าเฟรเดริก้า?”
“‘แบบนั้นก็รู้เรื่องของยัยนั่นสินะ? ยัยนั่นน่ะเป็นคนเลวของแท้เลย”
“อื้อ…ใช่ ชั้นรู้ รู้ดีเลยล่ะ…” มานาใช้กำปั้นของตัวเองสัมผัสเข้าที่กราม จากนั้นก็ก้มหน้าลงพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง
“เฮ้ อะไรเนี่ย? เป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”
“ชั้นจะช่วยเธอเอง”
“หา?”
“ชั้นจะช่วยเธอจัดการเฟรเดริก้า”
“หือ? …เอ่อ ก็…ขอบคุณ? เอ่อ อธิบายหน่อยสิอูรูรุจะได้เข้าใจ บางทีเธออาจคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่ตัวเองเข้าใจนะ แต่ในโลกจริงมันไม่ได้ผลหรอก เข้าใจรึเปล่า? แม้กระทั่งอูรูรุยังเคยพลาดด้วยเหตุผลแบบนี้มาก่อนเลย พอได้คนอื่นสอน ในที่สุดก็—”
“ได้ยินชั้นไหม? ได้ยินรึเปล่า…? นี่ฮามูเอล”
อูรูรุหันไปมองรอบๆโดยอัติโนมัติ และเธอก็เห็นคนอื่นๆทำอะไรกันตามปกติ เธอมองไม่เห็นใครที่อาจจะเป็นต้นเสียงเลย
“ชั้นส่งเสียงผ่านเวทมนตร์มายังพวกเธอโดยตรง นี่ไม่ใช่อะไรอย่างภาพหลอนหรือการคิดไปเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวล ในตอนนี้ ในที่สุดพวกเราก็จะมุ่งหน้าเข้าไปยังหุบเขาเพื่อเปิดฉากการโจมตีแล้ว พวกเราคาดว่าเรื่องในคราวนี้จะอันตรายกว่าที่เคยเป็นมา ไม่สามารถสังเกตุการณ์จากระยะไกลได้ ชั้นหวังว่าเธอจะคิดเรื่องตำแหน่งใดๆที่ตัวเองอยู่ว่าอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องใครจากการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ โอกาสที่ความพยายามของพวกเราจะไม่เกิดผลและจบลงอย่างไร้ค่านั้นมีน้อยมาก และที่นี่พวกเราจะแยกตัวกับบุคลากรที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้—”
มีเสียงพึมพำเกิดขึ้นโดยรอบ ที่ตรงนั้นและตรงนี้ อูรูรุมองเห็นคนที่เตรียมพร้อมจะไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้อูรูรุไม่ได้มีความตั้งใจที่จะถอย บางทีอะไรก็ตามที่เธอจะทำในตอนนี้อาจจะไปได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น และเธอก็เกลียดตัวเองที่มาที่นี่เพราะไม่มีทางเลือก เธอไม่เหลือสถานที่ให้กลับไปหลังจากถูกไล่ออกจากคฤหาสน์อีกแล้ว แต่กระนั้นเมื่อเธอคิดถึงซาจิโกะ เมื่อภาพของโซรามิโผล่ขึ้นมาในใจ เธอก็ไม่คิดที่จะหนี
มานายังคงคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ การที่เธอตัดสินใจไม่ได้มันสร้างปัญหาให้อูรูรุ ในตอนนี้มันไม่มีทางให้พวกเธอหนีแล้ว —ไม่มีแม้แต่ทางให้กลับด้วยซ้ำ พวกเธอจึงไม่มีทางอื่นนอกจากต้องไปต่อ
อูรูรุกำลังจะตะโกนใส่มานา แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ทำนั้น มานาก็เงยหน้าขึ้นมา “เธอพูดว่าสโนไวท์พยายามจัดการเฟรเดริก้าเหมือนกันใช่ไหม?”
“หือ? อื้อ ใช่แล้วล่ะ”
“ถ้างั้นเธอก็เป็นคนที่สำคัญเช่นกัน พวกเราจะไปช่วยเธอ”
“อื้อ โอเค งั้นก็? หือ?”
มานาเริ่มเดินตรงไปหาเมจิคัลเกิร์ลที่นั่งวีลแชร์ อูรูรุจึงไล่ตามเธอไปอย่างเร่งรีบ
☆ ชาโดว์เกล
เมจิคัลเกิร์ลที่รับใช้พัคพั๊คคือผู้ที่ถูกเลือกเพียงหนึ่งเดียว แต่เนื่องจากคนเพียงคนเดียวไม่สามารถรับใช้เธอได้ มันเลยมีการแข่งขันเกิดขึ้นในหมู่สาวกของเธอ ทุกคนที่ติดตามท่านหญิงพัคพั๊คล้วนอยากจะเป็นคนที่มีประโยชน์สำหรับเธอมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับใช้เธอได้ตามอุดมคติที่ตัวเองต้องการ ทุกคนล้วนคิดอะไรอย่าง หากฉันจะทำล่ะก็ ฉันจะกำจัดคนอื่น แล้วแบบนั้นฉันจะได้กลายป็นผู้รับใช้เพียงผู้เดียว แต่นั่นก็จะทำให้ท่านหญิงพัครู้สึกเศร้า และการเป็นคนเดียวที่ต้องรับใช้ก็คืองานที่หนักเกินไปด้วย แต่ก็นะ ฉันว่าคงไม่เป็นไรถ้าคนอื่นได้สิทธิในการทำงานเคียงข้างเธอด้วยเช่นกัน
แม้แต่ชาโดว์เกล คนที่ไม่ได้รับใช้พัคพั๊คมาอย่างยาวนานก็สัมผัสเรื่องนี้ได้ แม้ว่าเพื่อนร่วมงานของเธอจะเป็นมิตร เป็นพวกเดียวกัน และเป็นคู่แข่ง แต่พวกเธอก็ไม่ใช่เพื่อน
แต่ในยามวิกฤติ พวกเธอก็จะเลิกทะเลาะแล้วหันมาร่วมมือกัน นั่นคือสิ่งที่พัคพั๊คต้องการ และคนที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของพัคพั๊คก็ต้องมีส่วนร่วมกับงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการทำงานร่วมกันจึงกลายเป็นอาวุธในการบุกเบิกเส้นทางใหม่ๆ
ในการที่จะเปิดใช้อุปกรณ์ ก่อนอื่นเลย พวกเธอต้องลอกยันต์ที่ผนึกเอาไว้ออก มันมียันต์กระดาษเวทมนตร์ที่ทำให้ใครก็ตามที่มองดู สัมผัส หรือเข้าใกล้เกิดหลับไหลแปะอยู่ทั่วอุปกรณ์ จะทำยังไงกับอุปสรรคที่สร้างปัญหาแบบนี้ดีนะ? จากขึ้นตอนที่พัคพั๊คเขียนเอาไว้ให้พวกเธอ เมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนต่างก็แยกย้ายไปทำงาน
ก่อนอื่น พวกเธอก็ม้วนกระดาษเป็นทรงกลมและทุบก้อนหินเพื่อทำเป็นขยะ ใส่กาวลงไปในขยะที่สร้างขึ้น จากนั้นก็ขว้างมันเข้าไปจากระยะที่ไกลออกไปจนผลของยันต์ส่งไปไม่ถึง กระดาษขยะและก้อนหินติดอยู่กับอุปกรณ์ ต่อไปก็ใช้ “เวทมนตร์ยิงหมึก” ยิงเข้าไปเพื่อทำให้สิ่งที่โดนทั้งหมดเปื้อนคราบหมึก แล้วพวกเธอก็ใช้ “ฟองน้ำเวทมนตร์ที่สามารถทำความสะอาดอะไรก็ได้” ผูกติดกับปลายแท่งไม้ยาวๆเพื่อล้างคราบหมึกออก ยันต์เองก็โดนผลไปด้วยเพราะเวทมนตร์เข้าใจว่ายันต์เป็นส่วนหนึ่งของขยะ
เพราะแบบนี้อุปกรณ์จึงสะอาดมาก แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่การลอกเอายันต์ออกเท่านั้น แถมมันกินเวลามากอีกด้วย
และมันก็เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้พวกเธอมีความสุขในตอนที่ทำงานกันอยู่
“ทุกคนเหนื่อยกันหน่อยนะ!”
เรื่องนั้นก็คือการที่พัคพั๊คเข้ามาดูว่างานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว แถมเธอก็เอาโหลใส่คุ๊กกี๊มาให้พวกเธอตอนทำงานอยู่อีกด้วย
ใบหน้าของเด็กสาวที่เริ่มซีด ในตอนนี้กลับเป็นประกาย รอยยิ้มคลี่ออกมาราวกับดอกไม้บาน แต่ละคนต่างก็หยิบคุ๊กกี๊ไปและพูดว่า “ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมาก” ในขณะที่เอร็ดอร่อยไปกับมัน เมจิคัลเกิร์ลไม่ได้ต้องการน้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงานให้สมองก็จริง แต่พวกเธอก็รู้สึกผ่อนคลายที่ได้กินคุ๊กกี๊ที่พัคพั๊คเอามาให้ งานของพวกเธอก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานเองก็รวดเร็วขึ้น แถมจังหวะก็ยังแม่นยำมากขึ้นด้วย
แต่อย่างไร มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องของความสุข เรื่องของความเศร้าเองก็มีอยู่เช่นกัน
“ขอโทษนะ ทุกคน ตอนนี้พัคมีงานอื่นที่ต้องทำน่ะ”
เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับบอกว่าจะไม่กลับมาอีกพักหนึ่ง ชาโดว์เกลรู้สึกเศร้า แต่ถ้าเธอปล่อยให้มันแสดงออกมาบนใบหน้า พัคพั๊คเองก็จะเศร้าไปด้วย ถ้าตอนนี้เกิดร้องไห้ขึ้นมา ทุกคนก็จะหัวเราะเยาะ เธอคิดแบบนั้นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง เธอยิ้มออกมาในตอนที่มองดูพัคพั๊คออกไป
หลังจากที่พัคพั๊คออกไปแล้ว มันก็ต้องกลับมาทำงาน งาน งาน แล้วก็งาน
☆ พีเฟิล
ดาร์คคิวตี้และปรินเซสดีลูจนั่งอยู่ในเต็นท์และนั่งหันหน้าไปคนละด้าน ดาร๋คคิวตี้กอดเข่าพร้อมกับมองลงไปที่พื้น ในขณะที่ดีลูจนั่งไขว่ห้างและมองมายังทางเข้า ดูเหมือนว่าพวกเธอจะคุยอะไรบางอย่างกัน พีเฟิลได้ยินเสียงพึมพำจากด้านนอกเต็นท์
“โทษที” พีเฟิลพูด “ฉันจะใช้เต็นท์นี่ซักหน่อย พอดีหาที่ที่มันมีความเป็นส่วนตัวไม่ได้เลย”
ดาร์คคิวตี้ยืนขึ้นและเดินผ่านพีเฟิลไปยังทางเข้า ในตอนที่กำลังจะออกไปพีเฟิลก็เรียกเธอเอาไว้ “ดาร์คคิวตี้ เธอช่วยยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามาด้านในหน่อยได้ไหม?”
มันไม่มีประโยชน์ที่จะคาดว่าดาร์คคิวตี้นั้นคิดที่จะทำอะไร แต่ถ้ามอบคำสั่งแบบตรงไปตรงมา เธอก็จะทำงานนั้น ดาร์คคิวตี้ขยับหัวเล็กน้อยแล้วก็ออกไปจากเต็นท์ ที่หัวเธอขยับบางทีอาจจะเป็นการหยักหน้า เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะมาคิดว่า หากพีเฟิลมองจากด้านหลังจะบอกได้หรือไม่ได้ว่ามันคืออะไรด้วย
“ขอโทษนะ แต่เธอช่วยออกไปด้วยได้ไหม?”
ดีลูจแค่จ้องพีเฟิลกลับและไม่ได้ตอบอะไร ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นและยอมออกจากเต็นท์ไป
พีเฟิลวางเมจิคัลโฟนลงบนตักแล้วก็เปิดมัน ภาพโฮโลแกรมที่ปรากฏขึ้นมองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย แล้วเมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่รอบๆแล้วก็หันไปหาพีเฟิล
“ฟาลสัมผัสได้ว่ามีเมจิคัลเกิร์ลอยู่ด้านนอก ปอน”
“คนเฝ้าน่ะ เธอไม่แอบฟังอะไรหรอก จะว่าไป ไม่ใช่ว่านายมีอะไรจะพูดกับฉันหรอกเหรอ?”
ภาพโฮโลแกรมของมาสค็อทกระพือปีกสองสามครั้งจนลอยขึ้นสูงกว่าเดิม จากนั้นเมื่อหยุดกระพือปีกแล้วก็ลอยต่ำลงมา เหมือนว่าปีกจะเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย
“ขอร้องล่ะ ปอน ฟาลอยากให้เธอช่วยสโนไวท์ ปอน”
“นายพูดก่อนหน้านี้แล้วนี่”
“ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟาลด้วย ปอน”
“นายไม่ต้องพูดแบบนั้นหรอก แต่ฉันก็คิดออกนะ”
ทั้งคู่จ้องตากันอยู่พักหนึ่ง พีเฟิลรู้สึกเห็นใจฟาล ทั้งฟาลและพีเฟิลต่างอยู่ในหมู่เมจิคัลเกิร์ลที่ต่อสู้ด้วยเหตุผลอันชอบธรรมอย่างถูกต้อง แต่ละคนต่างลงมือเพื่อช่วยคนที่ตัวเองต้องการที่จะช่วย เพราะแบบนี้เธอจึงรู้สึกเห็นใจ แต่พีเฟิลจะเหยียบย่ำแม้กระทั่งคนที่ตัวเองเห็นใจเพื่อเป้าหมายของตัวเอง นั่นคือตัวของเธอในตอนนี้
“แบบนั้นก็พูดมาสิ” พีเฟิลพูด “นายมีอะไรจะพูดไม่ใช่รึไง?”
“สโนไวท์มอบอะไรบางอย่างให้ฟาลเก็บไว้ ปอน”
“โฮ่?”
“พูดตามตรง ฟาลโกรธนะ ปอน ฟาลรู้ว่าสโนไวท์เจ็บปวดและคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองตัดสินใจมอบสิ่งนี้ให้ฟาล แต่ฟาลก็คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันยอมรับไม่ได้ ปอน มันเหมือนกับการทำให้ความผิดของตัวเองไม่เคยเกิดขึ้น จากนั้นก็โยนมันไปให้สโนไวท์คนที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย แล้วก็พูดว่า ‘ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ ฉันแค่ใช้ชีวิตตามปกติเอง!’ แต่มันก็ไม่ได้ผล และจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ผลจนเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ด้วย ปอน”
“อย่างที่ฉันถามไปก่อนหน้า เธอฝากอะไรไว้ให้นายกันล่ะ?”
“ความทรงจำของเธอไงล่ะ ปอน”
พีเฟิลคาดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นเรื่องนี้ ในตอนนี้ทุกอย่างเองก็กำลังจะรวมเข้าด้วยกัน เธอรู้สึกพอใจพอสมควรแต่ก็ไม่ได้แสดงมันออกมา เธอยังคงแสดงท่าทีจริงจังออกมาและกระตุ้นให้ฟาลพูดต่อ “แล้ว?”
“แม้ว่าเธอไม่สมควรจะได้มันกลับไป ฟาลก็ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะมอบมันให้เธอ ปอน อย่างที่ฟาลพูด ฟาลไม่ชอบที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ แต่ถึงจะไม่มีเรื่องทั้งหมด การคืนกลับไปมันก็คงดีที่สุดแล้ว ปอน เพราะการที่เธอได้ความทรงจำกลับคืนไปมันคือวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้เรื่องต่างๆออกมาดี ปอน”
“ฉันว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดนะ” พีเฟิลหมายถึงการพูดที่ไม่มีถ้อยคำถากถางปนอยู่ แต่บางทีอาจจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วก็ได้ ฟาลตีลังกากลางอากาศสามรอบจนผงกระจายออกมา เนื่องจากว่าด้านในเต็นท์มันมืดกว่าด้านนอกตามธรรมชาติ แสงจางๆที่ส่องเข้ามาจึงทำให้มองเห็นฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ และมันก็ผสมเข้ากับผงที่ออกมาจากภาพโฮโลแกรมจนทำให้ฝุ่นมันดูฝุ้งมากยิ่งขึ้น
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับความทรงจำของเธอ ฟาลอยากให้เธอสัญญาว่าจะช่วยสโนไวท์ ปอน”
“สัญญาปากเปล่าพอรึเปล่า?”
“ฟาลเชื่อเธอนะ ปอน”
ดวงตาของพีเฟิลเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย และริมฝีปากของเธอก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ทุกวันนี้มันมีใครซักกี่คนกันนะที่จะพูดว่าเชื่อใจพีเฟิล? พอคิดดูแล้ว ย้อนกลับไปในเกมไซเบอร์แฟร์รี่ตัวนี้ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ฟาลนั้นเชื่อใจเมจิคัลเกิร์ล
พีเฟิลพยักหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน “ถ้าแบบนั้นฉันขอสัญญา แต่เรื่องสำคัญที่สุดของฉันเป็นอย่างอื่น อย่าลืมว่าสโนไวท์นั้นสำคัญเป็นอันดับสอง”
“ฟาลรู้ ปอน คนที่เธออยากช่วยคือชาโดว์เกลใช่ไหม ปอน?”
พีเฟิลเอานิ้วกลางของมือขวามาแตะที่ริมฝีปาก พอพ่นลมหายใจออกมา เธอก็รู้สึกว่านิ้วกลางของเธอมันชื้นเล็กน้อย “…อะไรที่ทำให้นายคิดแบบนั้นกันล่ะ?”
“ฟาลเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ตอนที่เธอถูกประแจทุบเข้าที่หน้าน่ะ ปอน”
“อ่า งั้นเหรอ พอพูดถึงแล้วก็ใช่” เธอจำได้ว่าฟาลได้ยินคำสารภาพของเธอที่จะทำทุกอย่างเพื่อชาโดว์เกล มันเป็นเรื่องน่าประหลาดที่ฟาลบอกว่าเชื่อใจเธอหลังจากได้ยินเรื่องนั้น หรือจริงๆแล้วการได้ยินเรื่องแบบนั้นมันทำให้ไซเบอร์แฟร์รี่เชื่อใจเธอรึเปล่านะ?
“ถอดฝาแบตเตอรี่ของเมจิคัลโฟนเครื่องนี้ออก ปอน”
พีเฟิลถอดแบตเตอรี่ออกตามคำแนะนำ แบตเตอรี่ที่ควรจะมีอยู่กลับหายไป และมันก็มีแคนดี้หนึ่งลูกที่เปล่งประกายสีรุ้งกลิ้งลงมาบนฝ่ามือ เธอใช้นิ้วหยิบมันขึ้นมาแล้วยกขึ้นไปส่องกับแสง สีที่สะท้อนกับแสงนั้นมันไม่คงสีเดิมเอาไว้แม้แต่ชั่วพริบตา เฉดสีมันเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปมา มันดูสวยงามแต่ก็น่าขนลุกเช่นกัน
“ดูคุ้นจัง” พีเฟิลพึมพำแล้วหันหน้าไปยังทางเข้าเต็นท์ ถ้าให้ถูกก็คือเธอหันหน้าไปยังจุดที่ดีลูจออกไปจากเต็นท์ แคนดี้นี้ดูเหมือนกับแคนดี้ที่บลูเบลให้ดีลูจเอาไว้ เหมือนกับอันที่ดีลูจใส่ไปในปาก
“มีอะไรเหรอ ปอน?”
“นายไม่ต้องกังวลหรอก นี่สำคัญกว่าคือ เมจิคัลโฟนของนายที่ใช้งานได้โดยไม่มีแบตเตอรี่ด้วยเหรอ?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวลหรอก ปอน แม้แต่ฟาลเองก็ยังไม่เข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของฟาลเลย ปอน”
“ก็นะ ฉันก็ว่างั้น ฉันคิดว่าตัวเองมีความคิดอยู่นะ แต่นายจะให้ฉันทำยังไงกับเจ้านี่ล่ะ?”
“ใส่เข้าไปในปากแล้วปล่อยให้ละลาย ปอน”
พีเฟิลวางแคนดี้ลงบนลิ้น เพราะแคนดี้มันมีขนาดใหญ่เกือบหนึ่งนิ้ว มันจึงทำให้พีเฟิลรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อใส่มันเข้าไปในปาก แต่ก่อนที่น้ำลายของเธอจะทันได้สัมผัสกับแคนดี้จนทั่ว แคนดี้ก็ละลายพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนฟองอากาศแตกตัว และมันก็ละลายไปอย่างรวเร็ว
“งั้นเหรอ ช่างสะดวกจริงๆ” พีเฟิลพึมพำ
“ในตอนนี้เข้าใจแล้วเหรอ ปอน?”
ความทรงจำของเธอกลับมาแล้ว มันไม่ได้มีความรู้สึกไม่สบายใจหรือความสำเร็จอะไรอยู่ มันกลับมาง่ายๆเหมือนกับว่าอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วก็เผยตัวเองออกมา ดวงตาข้างหนึ่งของเธอมองลงมาที่มือขวา จากนั้นเธอก็บีบมันอย่างแน่นๆ เธอเคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกในตอนที่อยู่ในเกมที่ฟาลรับบทเป็นไกด์ ย้อนกลับไปตอนนั้น เธอถูกบังคับให้เช็ดอ้วก เธอยังคงจำมันได้อย่างชัดเจน
พีเฟิลเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฟาล “นายรู้เรื่องความทรงจำพวกนี้ดีใช่ไหม?”
“ฟาลรู้แค่ว่าสโนไวท์รู้อะไรจากการได้ยินเสียงในหัวใจของชาโดว์เกล ปอน”
“งั้นเหรอ… สำหรับฉันแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ก็มากกว่าที่คิดไว้อีก หืมมม?”
ฟาลไม่ได้ตอบ แต่ฟาลนั้นตีลังกาแทน บางทีฟาลอาจจะแสดงความคิดเห็นออกมาแต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไรแบบไม่ทันคิดออกมา
“ฉันจะช่วยชาโดว์เกล” คำพูดนั้นออกมาจากของพีเฟิลราวอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับใบหน้าของเธอที่เงยขึ้นอย่างอัติโนมัติ ฟาลมองดูเธอด้วยท่าทางไร้ความรู้สึกตามปกติ “แน่นอน ฉันจะช่วยสโนไวท์ด้วย”
“แน่นอน ปอน สัญญากันแล้วนี่ ปอน”
“เหมือนว่าพออยู่กับนาย ความซื่อสัตย์มันก็หลุดออกมาทันที แย่จริงๆ”
“ดูไม่เห็นว่าเธอจะซื่อสัตย์กับเราตรงไหนเลย ปอน…”
“ค่อนข้างซื่อสัตย์น่ะนะ”
พีเฟิลเอาฝาแบตเตอร๊่ปิดกลับเข้าไปที่เมจิคัลโฟน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีแบตเตอรี่ การใส่อะไรแบบนี้กลับเข้าที่ไว้จะดีกว่า เหมือนกับความทรงจำของเธอ จากนั้นมันก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นที่ทางเข้าเต็นท์
“ชั้นขอเข้าไปได้รึเปล่า?” ดาร์คคิวตี้ถาม
“หืม เธอเคาะประตูด้วยนี่” พีเฟิลตอบ “มีอะไรล่ะดาร์คคิวตี้? เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“กลาเซียอาเน่บอกว่าเธอมีบางอย่างที่อยากจะพูด”
“พาเข้ามาสิ”
กลาเซียอาเน่เดินเข้ามาในเต็นท์พร้อมกับฝีเท้าอันหนักอึ้ง ท่าทางของเธอบ่งบอกว่าหม่นหมอง นอกจากนั้นแล้วไหล่เองก็ตก หลังก็งอ แขนเองก็ห้อยลงมา ทั่วทั้งร่างของเธอบ่งบอกว่าเหนื่อยล้ากับงานมาก และเธอก็ไม่ได้พยายามปกปิดนายจ้างหรือก็คือพีเฟิลไม่ให้เห็นเลย แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีนิสัยที่ชอบทำงานหนัก เธอก็ไม่เคยดูแย่แบบนี้มาก่อน มันไม่ใช่แค่เรื่องที่งานนี้คืองานใหญ่กว่าปกติ แถมในตอนนี้มิจจังที่คอยแบ่งเบาภาระของกลาเซียอาเน่ก็ไม่อยู่แล้ว
ทั้งสองอย่างมันคงทำให้เธอเหนื่อยมากขึ้น ในตอนนี้แน่นอนว่าเธอเต็มไปด้วยความต้องการที่จะกลับไปยังร้านของเธอแล้วอบเค้กแน่
แต่กระนั้น พีเฟิลยังคงให้เธอไปไม่ได้ ไม่ว่าพีเฟิลจะพาใครเข้ามา มันก็ไม่มีใครแทนที่กลาเซียอาเน่ได้
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” พีเฟิลถามเธอ
“เอ่อ ใครซักคนจากหน่วยสืบสวนกับเด็กผู้หญิงที่มาจากคฤหาสน์พัคพั๊ค… เธอชื่ออะไรนะ? คนที่โกหกเก่งๆน่ะ ใครรู้บ้าง มีทหารไพ่กำลังจับตาดูพวกเธออยู่ เป็นเอซดอกจิกสามคน พวกนั้นกำลังจับตามองดูอยู่แบบไม่ละสายตา”
“ไม่มีใครนอกจากเธอที่เห็นพวกนั้นใช่ไหม?”
“อื้อ ดิฉันคิดว่าแบบนั้น”
“จะว่าไป เธอรู้ไหมว่าดีลูจไปไหน?”
“หือ? ไม่ค่ะ…นี่ดิฉันควรมองหาเธอรึเปล่า?”
“งั้นก็ไม่เป็นไร อีกไม่นานเธอก็คงกลับมา”
เอซดอกจิกสามคนที่ถูกมอบหมายให้จับตามองคือเรื่องใหญ่ มันเป็นเรื่องปกติที่นักสู้หลายๆคนจะทำเรื่องต่างๆเพื่อหันเหความสนใจจนอธิบายไม่ได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่การเลือกที่จะจับตาดูง่ายๆแบบนี้มันคือการเคลื่อนไหวที่ยังคงเปิดช่องให้เจรจา มันเป็นการแสดงถึงระดับสติปัญญาและพิจารณาเรื่องที่ขอไปอย่างชัดเจน :หลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูมากเท่าที่ทำได้ หลีกเลี่ยงการสร้างข้อตกลงสาธารณะในเรื่องต่างๆและบอกให้ทุกคนรู้ และหลีกเลี่ยงการสร้างความรุนแรง
“กลาเซียอาเน่” พีเฟิลพูด
“คะ?”
“ใช้เต็นท์เพื่อพักผ่อนได้ตามสบายนะ อนุญาตให้นอนหลับได้ ฉันคิดว่ามันคงมีเสียงดัง ถ้าเป็นในกรณีที่แย่ที่สุด เธอจะใช้ที่อุดหูก็ได้ มิจจังเหลือทิ้งไว้ให้อันนึงใช่ไหม?”
“ให้ดิฉันนอนนี่มันโอเคเหรอคะ? มันเพิ่งมีประกาศให้พวกเรามุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขานี่นา”
“ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่ได้ไปอยู่ในสนามรบหรอกนะ ดาร์คคิวตี้ช่วยไปหาดีลูจแล้วพามาที่นี่หน่อย ฉันมีธุระกับเธอ”
“รับทราบ”
“ฟาล ฉันรู้ว่านายมีเรื่องอยากจะพูดอีก แต่นายต้องอดทนอีกหน่อยนะ”
“จะไปไหนเหรอ ปอน?”
“ไปหาพวกคนเลว”
☆ CQ เท็นชิฮามูเอล
“ข้าดูเป็นยังไงบ้าง เอ?”
“…หมายถึงอะไรน่ะ?”
เลเธยกมือขวาขึ้นเพื่อบอกให้โพแดงสองคนหยุดพัด ลมนั้นทำให้เครื่องประดับผมของเธอเลื่อนไปด้านข้างเล็กน้อย เธอจึงปรับมันให้เข้าที่ การที่เธออยู่บนเสลี่ยงมันก็หมายความว่าจะมีสายตามากมายจับจ้องมาที่เธอ นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงกังวลเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองมากกว่าก่อนหน้านี้ ฮามูเอลนั้นคิดอย่างวิตกกังวลอยู่ตลอดว่า เล่นเด่นซะแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะโดนโจมตีเมื่อไหร่น่ะ!
“ไม่มีใครเล่นสนุกเลยนะนี่” เลเธพูด
“ใช่ เล่นสนุก” ฮามูเอลเพูด “แต่นายหญิงไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือสถานที่สู้รบแบบจริงจังน่ะ? ไม่มีการเล่นสนุกก็ไม่เป็นจะแปลกอะไรนี่?”
“ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครเล่นสนุก พัคพั๊คก็จะเล่นสนุกและแสดงความสนุกสนานออกมา เอ เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลประเภทนั้นแหละ ซึ่งนั่นหมายถึงพวกเราก็เลือกที่จะไม่ทำการโจมตีอย่างจริงจัง ค่อยๆรวบรวมกองกำลังอย่างเชื่องช้า และการจะส่งกำลังทั้งหมดเข้าไปหาศัตรูในจังหวะก่อนที่พวกนั้นคิดว่า อ่า สายเกินไปเสียแล้วพวกเรา… ก็ไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป”
“อ่า นายหญิงตั้งใจแบบนั้นเหรอ?”
“ถ้าเก้าอี้ของพวกแขก VIP ไม่มีอยู่ ข้าควรอนุญาตให้สร้างไหม?”
ฮามูเอลพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าเธอห่างไกลจากโลกความเป็นจริงแค่ไหน จะมีมุมมองยังไงชั้นก็ไม่รู้เลย “ตอนนี้งานของชั้นเต็มมือไปหมดแล้ว ทำอะไรได้แค่เท่าที่ถูกมอบหมาย เรื่องนั้นชั้นเองก็คงออกความเห็นอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“ความถ่อมตัวของเจ้าดูไม่เหมือนความถ่อมตัวเลย เหมือนการประจบประแจงมากกว่า”
“นายหญิงอย่าพูดล้อเล่นสิ”
“แล้วการประจบประแจงนั่นมันดูบางเบาเหลือเกิน จนข้าคิดว่ามันเป็นถ้อยคำถากถางอยู่บ่อยครั้ง”
“เอ่อ ชั้น—”
“จริงๆแล้วมันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม เอ?”
“ปล่อยชั้นไปจากที่นี่ที”
พวกเธอต้องหยุดพิธีให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่พวกเธอกลับเชื่องช้า แถมการเดินทัพก็ติดขัด ประตูนั้นถูกเปิดออกตลอดทางก็จริง แต่พวกเธอก็ยังคงชะลอการออกเดินทางและรอรายงานจากกองทหารที่ล่วงหน้าไปก่อน ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่มีเหตุผล แต่ถึงจะมีเหตุผลแค่ไหน ฮามูเอลก็สัมผัสได้ว่าเลเธลังเลมากเกินไป เลเธบอกเธอว่าพูดถากถาง พอในตอนนี้เธอมาลองคิดดู บางทีมันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ต่อให้มีคนอยู่ในจุดที่เธอไม่สามารถถากถางได้ มันก็มีเวลาที่เธอต้องพูดอย่างเฉียบคมอยู่ดี
ฮามูเอลสั่งให้ชัฟฟิน II ที่เป็นทัพหน้ามารายงานเธอในทุกรายละเอียด พวกเธอวางกล้องไว้ตรงทุกจุดอับ เพื่อตรวจหากับดักและการซุ่มโจมตีในตอนที่เดินทัพ แม้จะมีทั้งหมดนี้ เลเธก็ยังคงระวังตัว
“เจ้าคิดว่าข้าระวังตัวมากไปใช่ไหม เอ?” เลเธพูด
“ไม่เลย” ฮามูเอลตอบ “แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องกลยุทธ์อย่างชั้นยังเข้าใจว่านี่คือวิธีการทำความรู้จักศัตรูก่อน”
“เจ้าไม่เก่งเรื่องการซ่อนสิ่งที่ตัวเองคิดเลยนะ”
“บางครั้งชั้นเองก็ได้คำชมจากการที่ตัวเองซื่อสัตย์เหมือนกัน”
แม้ว่าความคืบหน้าจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนดูเหมือนว่าไม่ได้ไปที่ไหนเลย นั่นเป็นเพราะว่าเธอใส่ความรู้สึกของตัวเองปนไปกับสิ่งต่างๆด้วย ซึ่งในความจริงแล้ว พวกเธอกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ฮามูเอลรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินรายงานบอกว่ากำลังส่องแสงไปข้างหน้าในหุบเขา แต่หลังจากนั้นการสื่อสารก็ถูกตัดไปในทันที
“หน่วยสอดแนมทำอะไรกันอยู่?” เลเธถาม
“คงเกิดอุบัติเหตุอะไรบางอย่างขึ้น ชั้นคิดว่าอย่างนั้น… เดี๋ยวจะบอกให้ทางนั้นรายงานเข้ามา”
สามนาทีหลังจากที่เธอส่งข้อความผ่านทางอุปกรณ์สื่อสาร กลุ่มของชัฟฟิน II ข้าวหลามตัดก็ชุลมุน พากันกระซิบเรื่อง “สถานการณ์” เข้ามาในหูฮามูเอล จนฮามูเอลขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เลเธถาม
“เอ่อ…พวกนั้นพูดว่าชัฟฟิน II บางคนที่อยู่แนวหน้าไม่กลับมา”
“ทำไมกันล่ะ?”
“คนที่อยู่ด้านหลังบอกว่า มีเมจิคัลเกิร์ลนั่งอยู่ตรงพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้าสถานโบราณ”
“แค่คนเดียว?”
“ใช่ คนเดียว เหมือนว่าพัคพั๊คจะอยู่ที่นั่นคนเดียว เธอวางเก้าอี้ลงตรงพื้นที่โล่งกว้างหน้าสถานโบราณและนั่งอยู่ตรงนั้น และชัฟฟิน II จำนวนหนึ่งที่เห็นเธอจากระยะไกลก็เดินโซซัดโซเซเข้าไปหาเธอ ส่วนคนอื่นๆที่ไปด้วยก็รีบกลับมา”
เลเธปรับองศาของเครื่องประดับผมแล้วก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ
“นี่เธอคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องเล่นๆงั้นเหรอ? หรือจะว่าจะคิดอย่างจริงจัง?”
“เล่น… ชั้นสงสัยว่าจะเป็นแบบนั้น แม้ว่าจะดูไม่เหมือนการตัดสินใจจากคนที่มีพลังในการตัดสินแบบธรรมดาๆก็เถอะ” ฮามูเอลพยายามจินตนาการ เธอผลักไสลูกน้องของเธอทุกคนไปยังสถานโบราณที่พวกเธอควรจะปกป้อง แต่ตัวเองกลับออกมาด้านนอกคนเดียว “ชั้นเชื่อนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ”
“แต่นี่ก็ต่างจากวิธีการของพัคตามปกติ เอ ข้ารู้สึกราวกับว่ามีความคิดอื่นกำลังชี้นำเธอ” เลเธคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมอบคำสั่ง “ให้ทหารช่างและคนที่สามารถทำงานร่วมกันได้ขุดหลุมจากทางเข้าไปจนถึงพื้นที่โล่งกว้าง สร้างพื้นที่ให้ใหญ่พอที่กองกำลังทั้งหมดจะยังคงเตรียมพร้อมอยู่ได้ ห้ามใช้ระเบิด ถ้าเกิดมันไปโดนสถานโบราณเข้า กรณีเลวร้ายที่สุดคือโลกจะถูกทำลาย” ท่าทางของเลเธไม่ได้บ่งบอกว่าเธอพูดเกินจริงหรือเป็นแค่คำเตือน อุปกรณ์นี้ถูกทิ้งเอาไว้โดยปฐมจอมเวทที่เป็นบุคคลในตำนาน เป็นคนที่อยู่เหนือกว่าสามปราชญ์ เรื่องอะไรก็ตามสามารถเกิดขึ้นได้ และมันก็ไม่เหมือนสิ่งที่จะหายไปถ้าพวกเธอตะโกนใส่ว่าน่ารำคาญด้วย
ฮามูเอลพยักหน้าอย่างหนักแน่น “รับทราบ”
“แต่กระนั้น… ยิ่งข้าคิดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่พัคจะทำเลย ข้าสงสัยว่าเธอทำตามคำสั่งของผู้อื่น แล้วคนๆนั้นไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงกัน เอ?”
ฮามูเอลพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ติดต่อกับทุกคนในทันที
เมื่อได้รับการติดต่อจากเอซดอกจิก ฮามูเอลก็ขมวดคิ้ว นั่นคือทีมที่เธอสั่งให้ไปจับตามองคนสองคนจากหน่วยสืบสวน
MANGA DISCUSSION