ตอนที่ 2: สโนไวท์กับเด็กเลี้ยงแกะ
☆ มานา
มานาเคยคัดค้านหน่วยสืบสวนไม่ให้จ้างคนที่มีฉายาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่าง “นักล่าเมจิคัลเกิร์ล”เข้ามาร่วม —แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ทำสัญญาก็ตาม แต่มานาก็ปฎิเสธเรื่องนั้น
สโนไวท์คือผู้อาศัยอันทรงเกียรติของดินแดนเวทมนตร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับมือด้วยยาก แถมเธอยังเปิดเผยตัวเลขเมจิคัลเกิร์ลที่มีปัญหาที่ตัวเองจัดการไปด้วยในอดีตอีกด้วย ความคิดที่สมเหตุสมผลอย่าง “คนที่ไม่มีสิทธิ์ในการจับกุมจะไม่ถูกอนุญาตให้เล่นบทตำรวจ” ถูกกระชากออกจนกลายเป็นสิ่งไร้เหตุผล “งั้นพวกเราก็ให้เธอรับบทเป็นตำรวจซะสิ” และสโนไวท์ก็กลายเป็นสมาชิกที่ถูกจัดจ้างของหน่วยสืบสวน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตัวของสโนไวท์ไม่ได้สนใจเลย แต่ทางหน่วยก็โน้มน้าวเธอให้ตกลงได้ ตั้งแต่ที่มานาศึกษางานอย่างขยันขันแข็งก่อนที่จะเข้าหาฝ่ายสืบสวนและพูดว่า “ชั้นจะเป็นสุดยอดผู้ตรวจการ” เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนี้มันทำให้เธออยากจะถ่มน้ำลายออกมา
เรื่องราวที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มานาไม่ได้มีความคิดดีๆเกี่ยวกับสโนไวท์ เธอมีโอกาสร่วมงานกันเพียงแค่ครั้งเดียว แม้ว่าสโนไวท์จะไม่ได้กลายเป็นปีศาจที่กระหายการต่อสู้ผู้ใฝ่หาเลือดอย่างไร้ที่สิ้นสุดตามข่าวลือ แต่เธอก็รับไม่ได้กับท่าทีหยาบคายเช่นนั้น
แต่กระนั้นมานาก็เป็นผู้ใหญ่ หรือเธอได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว
หากเป็นก่อนหน้านี้ เธอคงจะตะโกนด่าสโนไวท์และตะคอกใส่เพราะท่าทีของเธอ แต่แทนที่ความไม่พอใจจะหายไป มันกลับถูกยับยั้งโดยไม่ได้ปลดปล่อยออกมาแทน ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะมาสค็อทของสโนไวท์ที่เอาจริงเอาจังและคอยพูดอะไรซ้ำๆอย่าง “ไม่ใช่ว่าเธอพยายามทำตัวไม่ดีหรอก” “เธอเป็นคนที่ถูกเข้าใจผิดได้ง่ายนะ” “จริงๆแล้วเธอเป็นเด็กดีล่ะ” “การเข้าร่วมหน่วยสืบสวนนี่เป็นความฝันของเธอเลย” ไม่ก็ “ที่จริงแล้วพวกเราเคารพเธอมากนะ” มันก็สร้างความประหลาดใจให้ความโกรธของเธอ
นอกจากมาสค็อทแล้ว ในฐานะบุคคล มานาก็มีความเห็นเรื่องของสโนไวท์ในทางที่ไม่ดี ย้อนกลับไปในตอนที่ทำงานด้วยกัน พวกเธอก็แลกเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นกันแค่เล็กน้อย พองานเสร็จสิ้น สิ่งที่มานาคิดก็มีแค่ “หวังว่าในอนาคตจะไม่ต้องร่วมงานกันอีก”
แต่โดยปกติแล้วความปรารถนาเช่นนี้จะไม่กลายเป็นจริง
หน่วยสืบสวนมีประตูที่เชื่อมต่อโดยตรงกับหลายภาคส่วน แต่แน่นอนว่ามันไม่มีประตูบานไหนที่จะตรงไปยังคฤหาสน์ร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ได้ แม้ว่าประตูที่ใกล้เมือง W ที่สุด มันก็ต้องไปยังพื้นที่ข้างเคียง และจากจุดนั้นก็ต้องขึ้นรถไปบนทางด่วนเพื่อไปยังคฤหาสน์ของพัคพั๊ค
ชาโดว์เกลถูกลักพาตัวแล้วขังเอาไว้ พีเฟิลยอมจำนนอย่างน่าประหลาด และสโนไวท์ที่ติดต่อไปหาไม่ได้ —พอเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ถ้ามานาเลือกที่จะเมินเฉยเพราะเกรงกลัวสามปราชญ์ แบบนั้นเธอก็ไม่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นสมาชิกของหน่วยสืบสวนได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ บางทีนี่อาจจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง B ก็ได้
จนถึง ณ ตอนนี้ มานาทำการสืบสวนเหตุการณ์ในเมือง B มาโดยตลอด เธอรู้แค่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมคนในที่แห่งนั้นจึงต้องตาย เธอยังคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้หากไม่พบคำตอบ ไม่ว่าเมื่อใดที่จิตใจของเธอคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ครั้งนั้น มันก็ทำให้เธอเจ็บปวดและทรมาณราวกับถูกแผดเผาจากภายใน
กลุ่มของมานาควรจะไล่ล่าเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นนักฆ่า แต่กระนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมจิคัลเกิร์ลวายร้ายหลายคนได้หลบหนีออกจากคุกที่คุมขังเอาไว้และเข้ามาร่วมวงด้วย พนักงานสองคนของหน่วยสืบสวนตายไประหว่างการทำหน้าที่ และเหตุการณ์ที่น่าเศร้าก็ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งคนธรรมดาและเมจิคัลเกิร์ลในพื้นที่ หลังจากนั้นมานาพยายามสืบให้รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่มันก็ซับซ้อนมาก มันมีทั้งเรื่องการลงมืออย่างลับๆ มีทั้งเรื่องผลประโยชน์ของหลากหลายฝ่าย และมันยังคงมีคำสั่งปิดปากจากเบื้องบนที่ทำให้การตรวจสอบทำได้ยากยิ่งขึ้น แถมพวกเธอยังไม่มีความรู้หรือเส้นสายที่จำเป็นในการพยายามสืบสวนเรื่องใต้โต๊ะ ด้วยการร่วมมือจาก 7753 ที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลผู้มีประสบการณ์และเป็นสมาชิกของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล เธออนุมานบางอย่างจากข้อมูลที่ได้มา ในขณะที่เธอได้ยินว่าพีเฟิลที่เป็นหัวหน้าของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลโดนสืบสวนไปเมื่อไม่นานมานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้พบความผิดอะไรแต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่ประกาศว่าไม่ได้มีความผิดเพียงเท่านั้น
มานาเคยพบพีเฟิลเพียงแค่ครั้งเดียวผ่านทางการแนะนำของ 7753 ตัวตนของเธอคือกลุ่มก้อนของความน่าสงสัย มานาไม่รู้สึกแปลกใจอะไรหากเธอจะทำอะไรบางอย่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าพีเฟิลนั้นทำอะไรไปบ้าง
แล้วคนๆนั้นก็เข้ามายังหน่วยสืบสวนพร้อมกับพูดว่า “จับฉันทีสิ” มานาสามารถมองเห็นความจริงและความตั้งใจของเธอที่จะใช้งานหน่วยสืบสวน —แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอยังคงมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของการทำลายตัวเองในตัวอีกฝ่าย หรือบางทีมันอาจจะเป็นความสิ้นหวังก็ได้ เธอตัดสินใจที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ แม้มันจะหมายถึงการละทิ้งสถานะของตัวเอง —หรือแม้กระทั่งทิ้งการเป็นเมจิคัลเกิร์ลไปอย่างสิ้นเชิงก็ตาม นั่นคือสาเหตุว่าทำไมมานาถึงทำเรื่องนี้ บางทีเธออาจจะถูกควบคุมอยู่ แต่เธอก็ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรบางอย่าง ดังนั้นเธอจึงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของพัคพั๊ค
“เยี่ยมจริงๆที่เธอทำงานรวดเร็วแบบนี้”
ตอนนี้พีเฟิลถูกให้ไปรออยู่ในห้องรับรองของหน่วยสืบสวน แต่การที่เธอใช้เมจิคัลโฟนโทรมาก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่ได้อยู่ห่างมากนัก มานาพยายามบอกเธอไปว่าคุยโทรศัพท์ไม่ได้ตอนขับรถอยู่ แต่พีเฟิลก็ไม่ฟังและพูดว่า “ฉันจะพูดของฉันเอง ดังนั้นวางไว้บนที่นั่งข้างคนขับแล้วกันนะ” เพราะยังไม่ได้ตัดสินว่าเป็นผู้ต้องสงสัยง ดังนั้นจึงปฎิบัติกับเธอในฐานะแขกพอเป็นพิธี และพวกเธอก็ยึดเมจิคัลโฟนของพีเฟิลไม่ได้ มานาคิดว่าตัวเองพูดกับเจ้าหน้าที่ที่คอยจับตาดูเธออย่างเข้มงวดแล้ว แต่พีเฟิลก็คงพูดจนหาทางออกได้ สุดท้ายแล้ว ยอดนักพูดก็ยังคงพูดอยู่วันยังค่ำ
“ฉันอยากจะปล่อยเรื่องที่สำคัญของฝ่ายพัคให้ฝ่ายโอสจัดการนะ แต่พวกนั้นก็ยึกยักจนทำอะไรชักช้าไปหมด —หรือบางทีฉันคงพูดได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกที่ทำงานเชิงรุก หวังว่าการตรวจสอบคงจะเอาอะไรมาจากทางนั้นได้”
ทุกครั้งที่พีเฟิลเปิดปาดพูด มานาก็จะรู้สึกหงุดหงิด แถมเธอไม่ใช่ว่าจะเป็นพวกที่รับฟังหากมานาบอกให้เธอหุบปาก และเมื่อมานาพูดว่า “ชั้นไม่มีเหตุผลจะพูดกับเธอ” พีเฟิลก็ตอบกลับมาอย่างสบายๆและมีเหตุผล “หากคนของทางหน่วยสืบสวนเข้าไปเยี่ยมและถามถึงร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ พวกเธอก็จะถูกปฎิบัติในแบบที่แย่ยิ่งกว่าโดนไล่ตะเพิดตรงประตูซะอีก อย่างน้อยแต่ถ้าใช้อำนาจของฉันล่ะก็ ประตูก็จะเปิดให้พวกเธอ แม่จะไม่ได้มีการนัดหมายก่อนก็ตาม”
มานาจะปล่อยให้หัวหน้าฝ่ายอื่นช่วยเรื่องงานตรวจสอบ —ซึ่งไม่ใช่หัวหน้าของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นคนที่แสร้งเข้ามามอบตัวพร้อมพูดว่า “ดูเหมือนฉันจะก่ออาชญากรรมนะ” บวกกับมานาจะปล่อยเรื่องการไปหาร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์เป็นหน้าที่ของผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าว และเธอก็ไม่ได้คิดที่จะรายงานเรื่องแก่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าด้วย
แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งมันก็มากพอที่จะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวจนทำให้มานาต้องออกจากงาน แต่การที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับหัวหน้าของตัวเองก็คงจะเสียเวลาเปล่า อย่างน้อยก็คงต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อให้ได้ข้อสรุป และในกรณีเลวร้ายมันก็จะส่งผลให้หน่วยสืบสวนไม่สามารถเข้ามายุ่งได้อีกเลย เธอจะไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เธอเหม็นเบื่อที่ถูกบังคับให้ปล่อยคนชั่วลอยนวลไปมากพอแล้ว หากฮานะอยู่ที่นี่ บางทีเธออาจจะพยายามห้ามก็ได้ แต่เพื่อนึกถึงเรื่องของฮานะ เธอก็ทนไม่ได้ที่ต้องมาหยุด ผู้ตรวจการที่ยอดเยี่ยมอย่างฮานะต้องไม่เคยบิดงอความเถรตรงในตัวเองแน่
เธอขับรถพร้อมกับกังวลอย่างเจ็บปวดด้วยความคิดที่ว่า ความคิดแบบนี้มันดีจริงๆงั้นเหรอ? อย่างน้อยชั้นก็ควรโทรหาพ่อก่อนดีไหม? ใครมันจะสนกันล่ะหากชั้นต้องโดนลงโทษเพราะการตัดสินใจที่เกินเลยของตัวเอง? พีเฟิลคงไม่รู้ถึงความกังวลของมานาหรืออาจจะรู้แต่ยังคงมุ่งหน้าต่อไป เธอคุยกับมานาราวกับไม่สนใจโลก ไม่ใช่แค่นั้น เธอยังแสดงท่าทีเป็นมิตรมากเกินไปด้วย
“ระบบนำทางของรถบอกฉันว่า จากตรงนี้ถ้าพวกเราไปตามทางหลวง พวกเราก็จะเจอรถติดอยู่นานพอดู ตอนนี้เธอควรออกจากทางหลวงแล้วอ้อมไปดีกว่านะ”
“นี่เธอเห็นระบบนำทางจากตรงนั้นได้ยังไงน่ะ?”
“มันก็เหมือนกับการดูข้อมูลการจราจรจากฝั่งฉันไม่ใช่เหรอ? อ๋อ ใช่ แม้ว่าเธอควรจะรีบ แต่ก็ต้องระวังอย่างขับเร็วเกินไปด้วย ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจทักษะการขับรถของเธอหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเธอใช้เวลามากขึ้นแทนก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”
“ได้”
“แล้วก็ คนธรรมดาจะไม่เห็นเธอเป็นเด็กผู้หญิงมัธยมต้นที่กำลังขับรถอยู่เหรอ? เธอจะไม่ดูเด่นจนหโดนตำรวจเรียกให้หยุดรึไงน่ะ?”
“รถถูกร่ายเวทมนตร์เปลี่ยนแปลงการรับรู้เอาไว้ ดังนั้นถึงจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็ขับได้”
“โฮะโฮ่ หน่วยสืบสวนนี่รอบคอบเสมอเลยนะ อ๊ะ แบบนั้นจะมีการติดเครื่องส่งสัญญาณไม่ก็อะไรซักอย่างไว้กับรถรึเปล่า?”
“ไม่ ไม่มีอะไรแบบนั้น”
“เยี่ยมมาก จริงสิ แล้วใบขับขี่ของเธอล่ะ? หากเจอด่านตรวจไม่ก็อะไรซักอย่างจนต้องเอาใบขับขี่ออกมา แบบนั้นจะไม่เป็นปัญหาเหรอ?”
“ไม่เป็นไร ที่สำคัญนะ ตอนเธอพูดกับชั้น ชั้นก็ไม่มีสมาธิขับรถ”
“อ๊ะ ขออภัย”
เธอพูดออกมาอย่างสนุกปากตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังไม่รู้สึกละอายอะไรเลยด้วย
“จริงสิ เรื่องเวทมนตร์ของพัคพั๊ค”
วิธีการพูดที่ยกหัวข้อสำคัญขึ้นมาพูดแบบนี้ราวกับว่าเพิ่งนึกออกก็น่ารำคาญเหมือนกัน
“ไม่ว่าใครที่เห็นเธอก็จะหลงเสน่ห์ จะปรารถนาด้วยความจริงใจอย่างที่สุดว่าอยากเป็นเพื่อนกับพัคพั๊คเพื่อเป็นประโยชน์ให้เธอ เรื่องนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสืบสวนแน่ ดังนั้นระวังเรื่องการรับมือด้วยล่ะ หากทางนั้นบอกว่า ‘ท่านหญิงพัคอยากพบเธอ’ ฉันก็จะเลี่ยงไม่ตามอีกฝ่ายเข้าไป”
“นี่เธอรู้เวทมนตร์ของร่างเกิดใหม่หนึ่งในสามปราชญ์ได้ยังไงเนี่ย?”
“ก็นะ เพราะฉันคือหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล และอีกอย่าง เธออัพโหลดวีดีโอของตัวเองลงบนโลกออนไลน์ด้วย ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รู้จักกันดีผ่านทางนั้น วีดีโอของเธอถูกพูดถึงว่าวิเศษมาก มันขโมยหัวใจของคนที่ดูไปจนหมด ซึ่งมันทำให้ฝ่ายต่างๆอย่างฝ่ายโอสจับตาดูเรื่องนี้ ทำไมเธอถึงตัดสินใจเผยแพร่เวทมนตร์ของตัวเองสู่สาธารณะแบบนั้น? นั่นเธอต้องการทดสอบพลังของตัวเอง หรือว่าเป็นการทดลองอะไรรึเปล่า? ไม่ก็อาจจะเป็นการทำอะไรสนุกๆก็ได้”
“เธอจะบอกว่าเหตุผลที่ฝ่ายโอสไม่ลงมือเป็นเพราะว่ารู้เรื่องเวทมนตร์ของพัคพั๊คงั้นเหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่เหตุผลนั้น แต่เป็นเพราะว่าไม่มีข้ออ้างให้ลงมือต่างหาก ฝ่ายโอสกำลังคิดว่า ต่อให้รอจนฝ่ายพัคลงมือก่อนแล้วค่อยบดขยี้มันก็ยังคงทันเวลา สำหรับในตอนนี้มาเตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า มันยากที่จะบอกว่าทางนั้นเตรียมการอย่างรอบคอบหรือทำอะไรเชื่องช้า เอาล่ะ บางทีพวกเราอาจจะกระตุ้นให้ทางนั้นลงมือได้”
☆ อูรูรุ
อูรูรุอยากให้สโนไวท์ถูกปฎิบัติเหมือนกับอาชญากร ขังเธอเอาไว้ในที่ไหนซักที่อย่างตู้เสื้อผ้าไม่ก็โกดัง แต่พัคพั๊คไม่เห็นด้วย ดังนั้นสโนไวท์จึงอยู่ในห้องรับรอง เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด ทั้งโต๊ะยาว ตู้ใส่ของ จนถึงโคมระย้าที่ดูแฟนตาซี และการจัดแสงภายในห้อง มันคือรูปแบบน่ารักๆที่พัคพั๊คชอบ แต่มันไม่เข้ากับสโนไวท์ในตอนนี้ และนั่นก็ทำให้อูรูรุหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“สโนไวท์! เพื่อนของเธอ… มันฆ่าซาจิโกะ…!” มันมีอีกหลายสิ่งที่อูรูรุอยากจะพูด แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าของสโนไวท์ ทุกอย่างก็ปลิวหายไป เธอทุบเข้าไปที่ประตูด้วยความโกรธ แต่ประตูนั้นไม่ได้ล็อคจนมันเด้งไปอีกทาง ดังนั้นเธอจึงปิดมันตามปกติ แม้ว่าในตอนนี้เธอจะหงุดหงิดแต่ก็ไม่ได้กระแทกประตู เธอแค่ปิดมันให้มีเสียงดังขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเท่านั้น
อูรูรุหันกลับมาและมองลงไปหาสโนไวท์ที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันความสงสัย “นี่ทำอะไรน่ะ?”
“ไม่มีอะไร” สโนไวท์ตอบกลับ
นั่นไม่ใช่ท่าทีที่อูรูรุคิดไว้ และมันก็ต่างจากสโนไวท์ที่อูรูรุรู้จักอยู่เล็กน้อย เธอดูสงสัยมากกว่าโกรธ “ไม่มีงั้นเหรอ? ไม่มีซะที่ไหน ก็เพื่อนของเธอ—”
“เธอแค่ถูกควบคุมอยู่”
อูรูรุกัดริมฝีปากและจ้องไปที่สโนไวท์ “แบบนั้นหมายความว่าอูรูรุควรจะให้อภัยเธอรึไง?!”
“คนที่ทำคือเฟรเดริก้า ไพตี้ เฟรเดริก้า”
“เธอ… เธอนี่มัน…” อูรูรุต่อยเข้าไปที่โคมระย้าด้วยหมัดที่กำแน่นจนแก้วที่อยู่ด้านในสั่นไหว “เธอ! เธอคือนักล่าเมจิคัลเกิร์ลไม่ใช่รึไง?! เธอล่าเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ?! แล้วทำไมถึงพูดราวกับว่ามันเป็นปัญหาของคนอื่นเล่า?!”
สโนไวท์ก้มหน้าในตอนที่ฟังอยู่ พอเวลาผ่านไปเธอก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง ใบหน้าเรียบเฉยก่อนหน้ากลายเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
ความโกรธและเกลียดชังที่เอ่อล้นออกมาจากท่าทางของเธอทำให้อูรูรุปล่อยมือจากโคมระย้า พอรู้ตัวอีกครั้ง มือของเธอก็จับโคมระย้าไว้เช่นเดิม “สโนไวท์ เธอ…”
“ทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับฉันล่ะ?” สโนไวท์ถาม
“หือ?”
“อยากได้อะไรจากฉันเหรอ? นั่นคือเหตุผลที่มาที่นี่งั้นสิ?”
“นี่เธอพูดอะไรน่ะ?”
“ฉันเบื่อเรื่องพวกนี้” สโนไวท์ยืนขึ้น
อูรูรุปล่อยมือขวาออกจากโคมระย้า และเธอก็กางมือออกเพื่อมองดู เธอไม่ได้ถูกเผา เธอรู้สึกร้อนเลยดูแบบอัติโนมัติเท่านั้น
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะช่วยเหรอ? ทำไมล่ะ?”
อูรูรุเอามือเท้าเอวและเปิดปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ปิดปากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรและกัดริมฝีปาก แม้อูรูรุจะไม่ได้พูดอะไร สโนไวท์ก็บอกได้ว่าอูรูรุเจ็บปวดกับความสูญเสียแค่ไหน
“เธอ…” อูรูรุเริ่มพูด แต่มันก็ไม่มีคำพูดอะไรออกมา สโนไวท์ที่อูรูรุรู้จักจะเยือกเย็นอยู่เสมอ อูรูรุเคยรู้สึกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดกับเรื่องนั้น พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น โซรามิและแม้กระทั่งซาจิโกะจะหันไปหาสโนไวท์ แล้วอูรูรุก็จะโกรธมาก เพียงแค่โกรธอย่างสิ้นหวัง แต่เมื่อคิดว่าในตอนนี้เธอมาหาสโนไวท์ด้วยตัวเอง เธอก็รู้ตัวว่าตัวเองก็หันไปหาสโนไวท์อยู่ตลอดเช่นกัน
“นี่เธอพูดอะไรน่ะ?” อูรูรุถาม “เธอเป็นคนเย็นชาแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้ง แต่ —แต่ว่า เธอก็ยังเป็นคนที่พวกเราพึ่งพาได้นี่ ซาจิโกะกับโซรามิเองก็พึ่งพาเธอมากกว่าอูรูรุ แล้วอูรูรุก็โกรธเรื่องนั้น—”
“อย่ามายัดเยียดให้ฉันเป็นคนตามที่ตัวเองคิด ฉันเบื่อมัน เบื่อมันทุกอย่าง”
ในตอนนี้มันไม่มีภาพความสงบนิ่งที่ครั้งหนึ่งทำให้อูรูรุไม่ชอบใจอยู่เลย เมื่อเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว มันก็จะมองหาที่ไหนซักที่เพื่อระบายความโกรธและความเกลียดชังออกมา อูรูรุเข้าใจเรื่องนั้น —เพราะว่าเธอเองก็เป็นเหมือนกัน
เธอดึงตัวสโนไวท์ที่อยู่ตรงหน้าเข้ามาหา พร้อมกับก็ใช้หน้าผากตัวเองกระแทกเข้าไปที่หน้าผากของสโนไวท์จนเกิดเสียงดัง กึก “เธอ! สโนไวท์! เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลไม่ใช่รึไง?!”
สโนไวท์จับคอเสื้อของอูรูรุเอาไว้เพื่อสร้างระยะห่าง หลังจากที่ผลักออกไปแล้ว อูรูรุก็เอาหน้าผากกระแทกเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเสียงดัง ตึง ความเจ็บปวดและแรงกระแทกนั้นมีมาก อูรูรุไม่ได้กระแทกเข้าไปที่หน้าผากของสโนไวท์อย่างเดียว แต่ยังเป็นที่จมูกด้วย เพราะแบบนั้นเลือดจึงไหลออกมา สโนไวท์จ้องมาที่เธอ แล้วเธอก็จ้องกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว มันใกล้พอที่จะสามารถสัมผัสลมหายใจของสโนไวท์ได้
“เธอคือเมจิคัลเกิร์ลฝ่ายดีไม่ใช่รึไง?!” อูรูรุตะโกน “เธอจัดการพวกคนไม่ดีใช่ไหม?! ถ้าเธอตกอยู่ในความโกรธแล้วเอาแต่อยู่ที่นี่! แบบนั้นมันก็เป็นไปตามที่ศัตรูต้องการแล้ว! นั่นทำให้คนที่ควบคุมเพื่อนของเธอดีใจไม่ใช่รึไง! เธอไม่อยากให้เป็นแบบนั้นใช่ไหม! ดังนั้น! ดังนั้นนะ! ช่วยทำให้อูรูรุเห็นว่าเมจิคัลเกิร์ลที่ดีควรเป็นแบบไหนให้มากกว่านี้สิ โอเคไหม?!”
ท่าทางของสโนไวท์บิดเบี้ยว แต่มันก็ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เป็นเพราะความตกใจ เธอสามารถได้ยินเสียงในหัวใจของอูรูรุแน่นอน อูรูรุไม่อยากให้สโนไวท์ต้องอยู่ในความเกลียดชังและความโกรธ ดังนั้นเธอจึงพูดเหมือนกับเด็กที่พยายามเอาชนะ หยดเลือดไหลย้อยลงมาจากจมูกของสโนไวท์ อูรูรุปัดมือของสโนไวท์ออก จากนั้นเช็ดเลือดที่จมูกด้วยแขนเสื้อตัวเอง สโนไวท์หันกลับไปด้านข้างด้วยท่าทางเจ็บปวดพร้อมกับเหวี่ยงหมัดขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า เธอมองขึ้นไปบนเพดาน จากนั้นก็หันกลับมาหาอูรูรุ ท่าทางของเธอมันดูโกรธยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
“หุบปาก!” จู่ๆสโนไวท์ก็ตะโกนใส่
” ‘หุบปาก’ นี่หมายความว่ายังไงน่ะ?!” อูรูรุตะโกนกลับแบบไม่ถอย
“ทำไมทุกคนต้องเอาแต่พูดแบบนี้กับฉันด้วย?! ฉันไม่เคยขอให้ใครเรียกว่านักล่าเมจิคัลเกิร์ลด้วยซ้ำ แต่คนอื่นกลับทำอย่างนั้น ดังนั้นจะมาขอให้ฉันรับผิดชอบไม่ได้หรอกนะ!”
“เราบอกว่าอย่างน้อยก็ก้าวไปข้างหน้าให้ถึงที่สุดต่างหาก!”
“ฉันไม่เคยพยายามทำตัวกล้าอะไรซักหน่อย!”
“เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้น!”
“พอกันทีกับเมจิคัลเกิร์ล! ฉันไม่สนใจแล้ว!”
มันเหมือนกับเขื่อนแตก ในตัวของเธอไม่มีตรรกะหรืออะไรเหลืออยู่เลย —ไม่ว่าอูรูรุจะพูดอะไรออกมา เธอก็ส่ายหัวกับทุกคำพูด ไม่ใช่ว่าเธอไม่รับฟัง แต่มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แม้สิ่งที่อยู่ในตัวของเธออย่างความตึงเครียดจะระเบิดออกมา อูรูรุไม่อยากทิ้งสโนไวท์ให้อยู่ในความสิ้นหวังของตัวเอง อูรูรุจงใจยืนอยู่ด้านหน้าของโซรามิและซาจิโกะเสมอ เพื่อปกป้องพวกเธอจากท้องทะเลอันเกรี้ยวกราด จากลมพายุที่รุนแรง หรือจากเรื่องอะไรก็ตาม แต่ในตอนนี้เธอสงสัยว่าตัวเองใช้การได้มากขนาดไหนกันนะ จุดนี้เธอเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอพูดได้ว่ามั่นใจคือการทำตัวเป็นพี่สาว
“แล้วจะทำยังไงกับเพื่อนของตัวเองล่ะ? เธอถูกควบคุมใช่ไหม? จะปล่อยไว้แบบนั้นรึไง?”
สโนไวท์มองมาที่อูรูรุและพยายามจับตัวเธอ แต่เมื่อทำแบบนั้น อูรูรุก็ผลักเธอกลับไป โดยปกติแล้ว สโนไวท์จะหลีกเลี่ยงการผลักของอูรูรุได้ง่ายๆ แต่เธอกลับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แบบไร้แรงต้าน อูรูรุมองไปที่เธอ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่อูรูรุเจอกับสโนไวท์และคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
“จะทอดทิ้งเธองั้นเหรอ? เพื่อนของเธอวิ่งออกไปตัวคนเดียวนะ แล้วจะไม่ทำอะไรซักอย่างเลยรึไง? อูรูรุจะไม่ทิ้งหรอกนะ อูรูรุจะไล่ตามเพื่อนคนนั้นของเธอไป และอูรูรุจะหาตัวให้เจอว่าใครที่เป็นคนควบคุมเธอ อูรูรุจะล้างแค้นให้ซาจิโกะ เรื่องนี้อูรูรุไม่มีวันยกโทษให้แน่”
สโนไวท์มองกลับมาหาอูรูรุตั้งแต่เริ่ม
อูรูรุพูดต่อว่า “อูรูรุจะไป แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ? จะนั่งเฉยๆอยู่ที่นี่รึไง?”
สโนไวท์มองมาที่อูรูรุ ท่าทางของเธอเหมือนกับจะบอกว่าให้อูรูรุพูดต่อ
“อูรูรุจะออกไปจากที่นี่และไล่ตามเพื่อนของเธอไป จากนั้นอูรูรุก็จะล้างแค้นให้ซาจิโกะ เธอกับอูรูรุเกลียดคนๆเดียวกันใช่ไหมล่ะ?” การประกาศเรื่องนี้ออกมาดังๆคือการวาดภาพที่อยู่ภายในตัวของเธอออกมาอย่างชัดเจน เธอรู้อย่างชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร และมาที่นี่เพื่ออะไร
“ซาจิโกะไม่อยากให้เวทมนตร์ของตัวเองทำให้ใครต้องโชคร้าย เธอเป็นเด็กที่ขี้แยและขี้ขลาดเอามากๆ แต่เธอก็ยังคิดถึงเรื่องของคนอื่น อูรูรุคิดว่าซาจิโกะนั้นงี่เง่า แต่กระนั้น ซาจิโกะก็เป็นน้องสาวของอูรูรุอยู่ดี อูรูรุจึงอยากจะทำในสิ่งที่ซาจิโกะต้องการ”
สโนไวท์อ่านใจได้ ไม่ว่าการใช้ทริคกระจอกๆเพื่อหลอกลวงเธอ ไม่ว่าพูดพล่ามเพื่อพยายามให้เธอสับสน เธอก็จะรู้ทุกอย่างอยู่ดี ดังนั้นมันจึงไม่มีทางอื่นนอกจากพูดออกไปตรงๆ
“อูรูรุจะช่วย ดังนั้นก็ช่วยอูรูรุด้วย อูรูรุจะพาเธอออกไปเอง”
ช่วงเวลาแห่งความเงียบระหว่างพวกเธอที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ยาวนาน —จากนาฬิกาที่อยู่ในใจ เวลามันผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
สโนไวท์ยกมือขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงลงมาและลุกขึ้น เธอถอนหายใจออกมายาวๆ “ถ้าเธอจะแอบพาฉันออกไป ฉันคิดว่านั่นหมายถึงการต่อต้านพัคพั๊คนะ เธอโอเคกับการทำแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ท่านหญิงพัค…” น้ำเสียงของอูรูรุแหบแห้ง “ท่านหญิงพัค… เรื่องที่อูรูรุติดหนี้บุญคุณท่านหญิงพัคมากมายมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ว่า… อูรูรุน่ะ…” อูรูรุจับโคมระย้าเอาไว้ด้วยมือขวา ราวกับว่าเธอเอาตัวพิงไว้
“เธอเป็นคนที่อยากให้ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? และถ้าฉันเป็นเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ แบบนั้นเธอเองก็เป็นเหมือนกัน” สโนไวท์จับมือของอูรูรุที่จับตู้อยู่อย่างแผ่วเบา เธอไม่ได้บีบมันแน่นๆ เธอแค่วางมือของตัวเองลงไป แต่มันก็มีไออุ่น และพลังงานนั้นทำให้มือของอูรูรุอุ่นขึ้น จนมือของอูรูรุก็ทำให้มือของสโนไวท์อุ่นกลับไปเช่นกัน
อูรูรุหลับตา จากนั้นก็ลืมตาอย่างช้าๆ เธอยังคงตัดสินใจไม่ได้ คิดถึงน้องสาว คิดถึงชีวิตทั้งชีวิตที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ และพัคพั๊ค คนที่เธอรับใช้มาตลอดในฐานะผู้นำเพียงหนึ่งเดียว ทุกๆอย่างมันเชื่อมโยงกันถึงเรื่องพวกนี้ เธอรู้สึกสับสนจนอยากจะหนีออกไป แต่เธอก็เอาความคิดเหล่านั้นกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ อูรูรุจะไปเตรียมตัวและเอากุญแจของคฤหาสน์ ตอนนี้ทุกคนคงไปรวมกันอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเราก็ควรจะออกไปได้แม้จะพาเธอไปด้วยก็ตาม” แม้ว่าเสียงของเธอจะแหบ แต่เธอก็ตอบสโนไวท์
สโนไวท์พยักหน้า “ถ้าพวกเราจะไป แบบนั้นฉันก็มีเรื่องที่ต้องขอร้อง”
“อะไรล่ะ?”
“ช่วยเอาของทุกอย่างของฉันที่ถูกยึดมาให้หน่อย กระเป๋า อาวุธ และเมจิคัลโฟน… ที่สำคัญที่สุดคือฉันจำเป็นต้องมีฟาลอยู่ด้วย พวกนั้นเก็บเอาไว้ในล็อคเกอร์ของโกดังที่สาม ตอนที่ของถูกเอาไป ฉันก็ได้ยินเสียงจากภายในตัวของคนที่ยึดมัน ถ้ายังไม่ถูกเคลื่อนย้าย มันก็ควรจะอยู่ที่นั่นแหละ”
“โกดังที่สามเหรอ? ที่นั่นอาจจะมีคนอยู่นะ เธออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวอูรูรุไปเอามาให้เอง”
สโนไวท์ก้าวถอยหลัง จากนั้นก็ก้มหัวลงไป “ขอบคุณนะ”
ในตอนนี้สโนไวท์ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นสโนไวท์ที่อูรูรุรู้จัก
☆ สโนไวท์
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ประตูก็ปิดลงเรียบร้อยแล้ว อูรูรุเองก็หายไปเช่นกัน สโนไวท์กัดริมฝีปากพร้อมกับฟังเสียงฝีเท้าและเสียงในหัวใจของเธอที่ค่อยๆห่างออกไป เธอเพิ่งทำให้ใครบางคนต้องตายด้วยการบอกอีกฝ่ายว่าต้องพยายามให้มากขึ้น แถมยังทำให้เรื่องราวสำหรับเธอแย่ลงไปอีก ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นการทำให้เธอบรรลุเป้าหมายของตัวเอง นี่คือคนที่เธอเป็นในตอนนี้ —นี่คือสโนไวท์ในเวลานี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาหนี เธอไม่แม้แต่จะหัวเราะความคิดแบบเด็กๆของอูรูรุว่ามันใสซื่อแค่ไหน มันตรงไปตรงมายังไง และเมจิคัลเกิร์ลที่งดงามควรจะเป็นเช่นไร ต่อให้เธอจะตายเพราะสำลักอ้วกของตัวเอง สโนไวท์ก็จะยอมรับว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ล
เธอเหนื่อยล้าเต็มที ทุกสิ่งที่รู้สึกได้ก็สับสน เธอไม่ได้ไม่อยากทำอะไรและก็ไม่ได้ไม่อยากคิดอะไร เพราะแค่คิดถึงริปเปิลมันก็ทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดจนแทบจะระเบิดออกมา แต่เธอก็ต้องทำอะไรซักอย่าง เธอรู้ว่าตัวเองปล่อยลมทั้งหมดที่อยู่ในปอดออกมา ตะโกนใส่อูรูรุ และพวกเธอต่างก็คว้าตัวอีกฝ่าย ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
มันเคยมีผู้ที่ยังคงศรัทธาเมจิคัลเกิร์ล แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง คนเหล่านั้นยังคงคิดถึงคนอื่นตราบจนท้ายที่สุด
ลาพูเซล คนที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะแสดงความอ่อนโยนให้สโนไวท์เห็น แม้ว่าตัวของเธอต้องเจอเรื่องยากลำบากก็ตาม
ฮาร์ดกอร์อลิส คนที่พูดว่าตราบใดที่มีสโนไวท์อยู่ที่นี่ เมจิคัลเกิร์ลก็จะไม่หายไปจากเมือง
ปรินเซสอินเฟอร์โน คนที่คิดถึงเรื่องของเพื่อนจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต และมอบความปรารถนาของเธอที่จะจัดการเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ดี ให้แก่สโนไวท์
กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เธออยากจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เผชิญหน้ากับพวกเธอแล้วจะไม่รู้สึกละอายใจ? ในตอนนี้เองก็เหมือนกัน เธอไม่อยากหันหลังให้เด็กสาวเหล่านั้น
เธอกัดริมฝีปากจนกระทั่งเลือดไหลออกมา แต่ทันใดนั้นเธอก็หยุด ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านกระดูกสันหลัง เธอได้ยินเสียงจากในหัวใจ เสียงจากคนที่รักและห่วงใยดินแดนเวทมนตร์และเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าใครอื่น
พัคพั๊ค
เสียงฝีเท้าและเสียงของเธอเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอเกือบจะมาถึงที่นี่แล้ว ความเครียดกระจุกกันอยู่ลึกลงในท้องของสโนไวท์ เธอจำเรื่องที่เมจิคัลเกิร์ลของฝ่ายโอสพูดไว้ว่า “มองเธอไม่ได้” ได้ดี เสียงฝีเท้าหยุดลง ตามด้วยเสียงของกุญแจที่ใส่เข้าไปในล็อค จากนั้นประตูก็เปิดออก เธออยู่ที่นี่แล้ว พัคพั๊คยิ้มให้สโนไวท์ แม้ว่าเธอจะไม่ได้มอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจึงบอกได้ ด้วยเหตุนั้น เธอจึงสัมผัสได้ถึงภาพลวงตาของร่างกายตัวเองที่เริ่มหลอมละลาย
“สวัสดี พี่สโนวี่”
การได้ยินเสียงของเธอมันก็ทำให้ภาพลวงตานั้นชัดเจนขึ้นอีก
“พัคไม่อยากขังพี่สโนวี่ไว้ในที่แบบนี้หรอก… ขอโทษนะ”
การที่เธอเอียงหัวมันทำให้สโนไวท์แตะหน้าอกตัวเอง แม้แต่การพูดเธอยังทำไม่ได้
“พี่สโนวี่จัดการกริมฮาร์ทได้ใช่ไหม? ยอดเลย ขนาดพัคยังทำไม่ได้เลยนะ”
ร่างกายของเธอจมอยู่กับถ้อยคำยกยอ มันแปรเปลี่ยนเป็นความสุขและซึมลึกเข้ามาภายใน มันพยายามกลายเป็นความรู้สึกอย่าง ดีใจจังที่ได้รับคำชมจากเธอ อยากทำให้เธอมีความสุขมากเลย สโนไวท์เบือนหน้าหนีออกจากพัคพั๊คและก้มลงมองไปที่พื้น
“พัคคิดว่าถ้าพี่สาวอยู่ฝ่ายเรา หลายๆอย่างมันคงจะดีแน่ นี่ พี่สาวคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าจะมาออกทริปกับพัคซักหน่อยน่ะ? เด็กสาวคนอื่นก็อยู่ด้วยนะ ดังนั้นคงสนุกแน่ๆเลย พี่สาวรู้จักชาโดว์เกลใช่ไหม เธอเองก็อยู่ที่นั่นด้วยนะ”
คางของสโนไวท์ค่อยๆเงยขึ้น เธอแบกรับความเจ็บปวดจากการมองพื้นต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอรู้ว่าหากเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้า เธอก็จะเห็นอะไรบางอย่างที่งดงามจนเธออยากจะมองไปตลอด แล้วทำไมเธอถึงต้องมองลงไปยังพื้นหินที่มีแต่อะไรน่าเบื่อด้วยล่ะ?
“มีเด็กสาวบางคนพยายามเข้ามาขวางไม่ให้พัคใช้อุปกรณ์ด้วย พัคหวังว่าอูรูรุจะทำให้อุปกรณ์ใช้การได้… แต่ทำไมถึงเข้ามาขวางนะ? การใช้อุปกรณ์มันคือการทำให้ทุกคนมีความสุขแท้ๆ ดังนั้นพัคอยากให้พี่สโนวี่หยุดเด็กสาวที่เข้ามาขวางให้หน่อยน่ะ”
สโนไวท์เงยหน้าขึ้นและมองตรงไปยังพัคพั๊ค เมื่อเธอเห็นรอยยิ้ม ความหวาดกลัวในใจของเธอก็หายไป จนเธอรู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลาย “ท่านหญิงพัค”
“อะไรเหรอ?”
“กรุณาจับตัวอูรูรุด้วย เธอวางแผนที่จะหลบหนีออกไปจากที่พร้อมฉัน ฉันแค่ขอให้เธอไปเอาของของฉันมาให้ ถ้าพวกเราปล่อยเธอไป เธออาจก่อเรื่องอันตรายขึ้นได้”
“ตายจริง เกิดอะไรแบบนั้นขึ้นสินะ แต่รูรุไม่ได้แข็งแกร่งมากหรอก ดังนั้นพัคคิดว่าปล่อยเธอเอาไว้ก็ไม่เป็นไร”
“กรุณาด้วย”
“หืมม…ก็ได้ ถ้าพี่สาวยืนกรานก็เอาแบบนั้น พัคจะไปถามทุกคนให้เอง ขอบคุณที่บอกพัคนะ พี่สโนวี่”
ตัวของเธอถูกห่อหุ้มด้วยความสุขตั้งแต่หัวจรดเท้าในคราวเดียว เธอมีประโยชน์กับพัคพั๊ค มันไม่มีความสุขแบบไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ภายในหัวของเธอ ลำดับความสำคัญมันสลับไปมาราวกับการสับไพ่ ก่อนอื่นก็คือพัคพั๊ค เป้าหมายของเธอคือการเปิดใช้งานอุปกรณ์ จากนั้นก็กำจัดคนที่เข้ามาขวางทางให้หมด
“ท่านหญิงพัค”
“อะไรเหรอ?”
“ช่วยทำให้ฉันมีประโยชน์มากกว่านี้ด้วย”
“อื้อ เพราะแบบนั้นแหละพัคถึงมาไงล่ะ”
สโนไวท์ขอบคุณพัคพั๊ค ในใจของเธอสาบานว่าจะตอบแทนเธอให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
“ท่านหญิงพัค”
“อื้อ?”
“ข้าวของของฉันอยู่ที่ไหนเหรอ? ถ้าฉันมีอยู่ล่ะก็ ฉันก็สามารถรับใช้ท่านหญิงพัคได้ดีกว่านี้ ฟาลเองก็เป็นมาสค็อทที่มีความสามารถ คงเป็นประโยชน์ให้ได้แน่”
“อื้อ อื้อ กระตือรือร้นจังนะ แบบนี้พัคเองก็มีความสุขเหมือนกัน มันคงเป็นความคิดที่ดีแล้วที่ใช้เวทมนตร์กับพี่สโนวี่น่ะ”
“ขอบคุณมากเลย”
“หืมม?”
“ที่ใช้เวทมนตร์กับฉัน”
“แหะแหะ ก็พี่สโนวี่เป็นคนสำคัญของพัคนี่นา”
☆ อูรูรุ
มือของอูรูรุยังคงอุ่นและสั่นเทาหลังจากสัมผัสกับมือของสโนไวท์ บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเผชิญหน้ากับสโนไวท์แล้วจ้องมองเธอกลับ แต่คอของเธอกลับแห้งผากแล้วก็เจ็บ แต่เธอจะหนีหรือซ่อนตัวไม่ได้ เธอแยกตัวออกจากพัคพั๊ค คนที่คอยช่วยเธอเมื่อมีสิ่งที่เธอไม่เข้าใจปรากฏขึ้น โซรามิไม่อยู่แล้ว ซาจิโกะก็ด้วย
อูรูรุพูดกับสโนไวท์ว่า “เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นเธอก็ต้องช่วย” แต่อูรูรุเป็นเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าสโนไวท์ ซาจิโกะและโซรามิ ทั้งคู่เองก็เคยเป็นเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน ไม่สิ —พวกเธอยังคงเป็นอยู่ หากมีใครซักคนที่ตกอยู่ในปัญหา อูรูรุก็จะเข้าไปช่วย ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
เมื่อเธอออกมาจากชั้นใต้ดินก็พบว่า คฤหาสน์ตกอยู่ในความโกลาหล เธอได้ยินเสียงคนพูดกันว่า “มีคนอยู่ตรงนี้” แล้วก็ “คำสั่งท่านหญิงพัค” อูรูรุเคลื่อนตัวจากเงาที่หนึ่งไปยังอีกที่ โกดังที่สามไม่ได้มีการคุ้มกันแน่นหนา มันแค่ถูกล็อคเอาไว้เท่านั้น อูรูรุมองไปรอบๆทางซ้ายและขวาที่ด้านหน้าโกดัง แต่ก็มองไม่เห็นใครอยู่บริเวณโดยรอบ เธอชักเอาปืนไรเฟิลออกมาจากด้านหลังแล้วก็ใช้มันทุบเข้าไปที่ตัวล็อค เมื่อทุบลงไปครั้งแรก ตัวล็อคก็งอเข้าไปด้านใน เมื่อทุบครั้งที่สอง ตัวล็อคก็บิด พอทุบเข้าไปเป็นครั้งที่สาม ตัวล็อคก็หลุดออก เธอจับตัวล็อคที่พังไปครึ่งหนึ่งแล้วบิดมันไปมาด้านข้าง จากนั้นโยนทิ้งลงบนพื้น เธอเปิดประตูและมุ่งหน้าไปยังล็อคเกอร์ ล็อคเกอร์เก่าๆที่มุมหนึ่งของห้องถูกล็อคเอาไว้ แต่เธอก็ทำลายมันทิ้งด้วยด้ามปืนไรเฟิลเหมือนกับที่เธอเปิดเข้ามา จากนั้นก็หยิบกระเป๋าที่ดูคุ้นเคย แล้วเมื่อเธอแอบดูด้านใน—
“มีอะไรเหรอ ปอน? เกิดอะไรขึ้น ปอน?”
“นายช่วยเงียบก่อนเถอะ อูรูรุกำลังจะไปหาสโนไวท์…”
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังเข้ามา พวกนั้นตะโกนออกมาเช่นกัน แต่ก่อนที่เธอจะคิดได้ว่า “จับกุมอูรูรุ” ที่อีกฝ่ายพูดมันหมายถึงอะไร เธอก็ตั้งท่าและวิ่งออกไปแล้ว หากเธอพยายามหนีออกจากโกดังโดยทางที่เข้ามา เธอก็คงทำไม่ได้แน่ เพราะแบบนั้นเธอจึงพุ่งเข้าไปหาหน้าต่าง ดึงอาวุธที่เหมือนกับนากินาตะออกมาจากกระเป๋าแล้วทุบเข้าไปที่กรอบหน้าต่างจนมันปลิวออกไป เศษกระจกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
“นั่นอูรูรุ! เธออยู่นั่น!”
เธอคิดได้เพียงแค่ว่าพวกนั้นเจอตัวเธอที่พยายามหนีออกจาคฤหาสน์ —มันไม่มีใครควรรู้นอกจากสโนไวท์
เสียงและฝีเท้าตามรอยของอูรูรุมาอย่างแข็งขันในขณะที่เธอกำลังปีนออกทางหน้าต่าง แต่อาวุธที่อยู่ในมือของเธอกลับติดอยู่ตรงบานหน้าต่าง เธอเลยปล่อยมันออกด้วยความตกใจ แถมกระเป๋าเองก็ติดที่หน้าต่างด้วย จนทำให้ของที่อยู่ด้านในหล่นออกมานอกโกดัง ความตื่นตระหนกของเธอพุ่งพรวด อูรูรุคว้าเมจิคัลโฟนที่กำลังมองดูเธอขึ้นมา “ทำอะไรอยู่เหรอ ปอน?” แล้วก็วิ่ง จิตใจของเธอแทบจะหยุดทำงาน มีเพียงขาเท่านั้นที่ยอมฟังคำสั่ง เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องวิ่งต่อไปไม่งั้นจะถูกบดขยี้ ในตอนนี้เธอกลับไปยังที่ที่สโนไวท์อยู่ไม่ได้แล้ว หากเธอยังวิ่งไปมาอยู่รอบๆภายในคฤหาสน์ ท้ายที่สุดเธอก็จะโดนจับตัว โธ่เว๊ย เธอสบถอยู่ในหัวตัวเอง โทษซาจิโกะและคิดว่า เรื่องนี้มันเป็นความผิดของเธอ!
แม้ว่าเธอจะมีสัญลักษณ์แห่งความโชคดีอย่างใบโคลเวอร์สี่แฉกเป็นต้นแบบ ซาจิโกะกลับโชคร้ายอยู่เสมอ เมื่อสามพี่น้องอยู่ด้วยกัน โดยปกติแล้วซาจิโกะจะทำเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น จากนั้นเธอก็จะร้องไห้ โซรามิก็จะปลอบโยน และอูรูรุก็จะดุเธอ
เป็นเพราะเธอหายไปแล้วนั่นแหละ ซาจิโกะ เรื่องร้ายๆทุกอย่างเลยเข้ามาหาอูรูรุ
หากซาจิโกะอยู่ที่นี่ หากซาจิโกะอยู่ที่นี่ล่ะก็ —อูรูรุเช็ดน้ำตาของเธอด้วยข้อมือ กลิ่นเลือดที่โชยเข้าจมูกมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เช็ดเลือดออกจากจมูกในชั้นใต้ดิน มันไม่ใช่เรื่องของซาจิโกะที่ต้องเอาอะไรไม่ดีทุกอย่างใส่ตัว พี่สาวคนโตของสามพี่น้อง คนที่ต้องคอยปกป้องทุกคนก็คืออูรูรุ ซาจิโกะและโซรามิเองก็ควรจะยื่นมือเข้ามาช่วยเธอด้วย
อื้อ ช่วยเราด้วย
เมื่อเสียงรอบข้างดังขึ้น เธอก็ก้มหัวลงแล้วก็เคลื่อนตัวไปตามพุ่มไม้จนกระทั่งออกมาในลานกว้าง
ซาจิโกะ เธอน่ะโชคร้ายมาตลอด ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้กันนะ ทำไมกัน ก็เธอมีโคลเวอร์แห่งความโชคดีอยู่ไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยขอแค่วันนี้ ขอให้มันเป็นโคลเวอร์แห่งความโชคดีที่แท้จริงเถอะนะ จะช่วยอูรูรุซักนิดได้ไหม?
จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงบางอย่าง มันไม่ใช่เสียงของซาจิโกะ ไม่ใช่โซรามิ ไม่ใช่พัคพั๊ค และไม่ใช่เสียงของสโนไวท์ด้วย อูรูรุวิ่งไปทางเสียงนั้น นี่ไม่ใช่เสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน ไม่ใช่เสียงของคนที่อยู่ในคฤหาสน์
เธอรีบมองหาต้นเสียงและพบว่าประตูหน้าเปิดอยู่เล็กน้อย แผ่นหลังของเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นยามเฝ้าประตูหันมาหาเธอ มีแขกบางคนมาและกำลังพูดคุยกันอยู่ นี่ไม่ใช่โอกาสที่มากพอจะเรียกได้ว่าเป็นโอกาส เธอเห็นเมจิคัลเกิร์ลหลายคนอยู่ใกล้กับประตู หากอูรูรุพุ่งเข้าไป พวกเธอก็จะรู้ว่าอูรูรุอยู่ที่ไหน แต่อูรูรุคิดว่าถ้าตัวเองจะเสี่ยงล่ะก็ แบบนั้นในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว เธออธิษฐานกับซาจิโกะ ขอโชคให้เราหน่อยนะ เราต้องการแค่นิดเดียว แล้วก็วิ่งออกไป
☆ มานา
แม้ว่าเธอจะมาถึงปลายทาง แต่การทดสอบแสนเจ็บปวดและยาวนานก็เริ่มต้นขึ้น
“ชั้นถึงบอกไงว่านั่นคือเหตุผลที่มาตรวจสอบน่ะ”
“ฉันให้เธอเข้าไปไม่ได้ถ้าไม่มีการอนุญาตจากท่านหญิงพัค”
“งั้นทำไมเธอถึงไม่เข้าไปขออนุญาตซะล่ะ?”
“เพราะฉันออกไปจากตรงนี้ไม่ได้”
สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่โต้เถียงกัน เมจิคัลเกิร์ลที่เป็นยามเฝ้าประตูก็มีท่าทีแบบว่า “เธอควรจะขอบคุณที่ฉันเปิดประตูให้ด้วยซ้ำ” แถมยังแสดงท่าทีว่าไม่ได้ฟังเรื่องที่มานาพูด
“สโนไวท์ที่เป็นลูกจ้างของหน่วยสืบสวนในตอนนี้ควรจะอยู่ที่นี่ พวกเรามีเอกสารที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พวกเรามาที่นี่เพื่อติดต่อกับเธอ”
“ท่านหญิงพัคไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอกนะ”
“แล้วเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อชาโดว์เกลอยู่ที่นี่รึเปล่า —?”
“เรื่องนั้นไม่เห็นจะเคยได้ยิน” ยามเฝ้าประตูพูดกับเธออย่างหยาบคายผ่านประตูที่เปิดออกเล็กน้อยจนเห็นแค่ใบหน้าของเธอเท่านั้น
แต่ถึงจะรู้สึกหงุดหงิด มานาก็ยังพูดต่อไป ถึงจะเห็นชัดว่าอีกฝ่ายอยากจบการสนทนานี้ มานาก็สู้ต่อ เธอจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หลุดลอยไป “ถ้าเธอออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ แบบนั้นก็เรียกคนอื่นมาแทนสิ ขอร้องล่ะนะ เธอคงมีเมจิคัลโฟนหรืออะไรบางอย่างแน่”
“แย่หน่อยนะ ฉันไม่มีหรอก”
“บ้าชัดๆ”
“เธออาจจะพูดว่ามันบ้า แต่มันก็คือความจริงอยู่ดี”
เมจิคัลโฟนของพีเฟิลที่เคยพูดออกมาตลอดในตอนนี้กลับนิ่งเงียบ ราวกับว่ามันไม่เคยส่งเสียงอะไรมาก่อน เหมือนว่าพีเฟิลจะสัญญากับเธอในฐานะหัวหน้าฝ้่ยทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลไว้เพียงว่าทำให้ยามเปิดประตูให้เท่านั้น ด้านหนึ่งยามเฝ้าประตูทำให้มานาแทบจะเป็นบ้า ในขณะที่อีกด้านหนึ่งพีเฟิลก็ทำให้มานาหงุดหงิด เธอมองไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้เลย
“ถ้าไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ให้ชั้นเข้าไป งั้นก็ช่วยพาสโนไวท์มาที่นี่หน่อยสิ”
“เรื่องนั้นฉันก็ทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่การสืบสวนแบบเป็นทางการตั้งแต่แรกใช่ไหม? เธอมีหมายรึเปล่าล่ะ?”
“ก็อย่างที่ชั้นพูด—”
มานาได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังของยามเฝ้าประตู ยามเฝ้าประตูหันไปรอบๆแล้วมองกลับไปยังคฤหาสน์ มานาเองก็พยายามมองไปที่คฤหาสน์ผ่านทางช่องประตู แต่พอยามเฝ้าประตูรู้ตัว เธอก็บังด้านหน้าของมานาเอาไว้เพื่อไม่ให้มองเห็นด้านใน
มานาซักไซ้เธอ “อะไรน่ะ? ด้านในเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้านในคฤหาสน์ มันก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะให้พวกเราพาไปที่นั่น พวกเราให้เธอเข้ามายุ่งไม่ได้”
“ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ชั้นก็เข้าไปไม่ได้งั้นเหรอ? ให้ตายเถอะ! ต่อให้เป็นร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ก็ต้องเคารพกฎของดินแดนเวทมนตร์ เคารพกฏของโลก—”
ก่อนที่มานาจะทันได้พูดจบ มันก็มีเมจิคัลเกิร์ลร่วงลงมาตรงหน้าเธอ พอน้ำหนักของสองคนทิ้งลงมาที่เธอ ตัวของมานาจึงกระเด็นกลับไปทางถนนเพราะรักษาสมดุลย์ไม่ได้ มันพูดว่าก็กระทันหันเกินไป สิ่งที่เธอทำได้มากที่สุดจึงมีเพียงการป้องกันด้านหลังศรีษะของตัวเอง หลังของเธอกระแทกอย่างแรงจนไม่มีเสียงอะไรดังออกมา หลังจากที่กลิ้งตัวไปตามพื้นราวสองรอบ เธอก็ชันเข่าขึ้นมาได้
ยามเฝ้าประตูพยายามลุกขึ้น เมจิคัลเกิร์ลสามคนปรากฏตัวขึ้นจากด้านในประตู แต่ละคนมีอาวุธครบมือ —หนึ่งคนมีคฑาที่ตกแต่งอย่าน่ารัก หนึ่งคนดีดาบทรงประหลาด พวกเธอมองไปยังทางขวาของมานา พอมานาหันไปมอง เธอก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลอีกคนอยู่ที่นั่น สิ่งที่เธอถืออยู่เหมือนกับปืนไรเฟิลเด็กเล่น ไหล่ของเธอเองก็สั่นเทา
“ปกป้องเธอด้วย” เสียงนั่นคือเสียงเดียวกันที่ออกมาจากเมจิคัลโฟนของเธอ
มานาเคลื่อนไหวราวกับว่าตัวของเธอถูกผลักในทันที เธอเหวี่ยงแขนออกไปตรงหน้าของเด็กสาวที่อยู่ด้านข้าง แล้วก็พูดออกมาแบบดังที่สุดเท่าที่ทำได้ “กล้าดียังไงที่มาใช้ความรุนแรงต่อหน้าผู้ตรวจการ! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
ทั้งสามคนมองหน้ากันและกันแล้วก็พยักหน้าในชั่วอึดใจ จากนั้นยามเฝ้าประตูก็ถอยกลับไปราวกับสรุปได้ว่าตัวเองควรทำแบบนั้น มานาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าเป็นกังวลลอยอยู่ในอากาศ มันเหนียวเหนอะราวกับติดอยู่ที่ผิวหนัง จนเธอก้าวกลับมาครึ่งก้าว เมจิคัลเกิร์ลเงื้ออาวุธขึ้นอีกครั้งแล้วแยกกันเป็นสามทิศทาง ซ้าย ขวา และตรงหน้า ค่อยๆสร้างรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาอย่างช้าๆ มานาเอามือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบหลอดแก้วที่ใส่ยาเหลวเอาไว้ แต่ก่อนที่เธอจะคว้ามันได้ เมจิคัลเกิร์ลสามคนก็เริ่มเคลื่อนไหว
มานาคือจอมเวท เธอไม่ได้หวังว่าตัวเองจะรวดเร็วเท่าเมจิคัลเกิร์ลอยู่แล้ว แต่เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงก่อนที่เธอจะทันได้ประหลาดใจ การต่อสู้ของเมจิคัลเกิร์ลมันเป็นเช่นนี้ เด็กสาวที่ถือคฑาล้มลงจนพื้นถนนแตก เด็กสาวที่ถือดาบกระแทกเข้ากับกำแพงจนเป็นรอยบุ๋ม และแขนขาของคนที่สามก็ถูกน้ำแข็งแช่เอาไว้ ข้อเท้าของเธอถูกเงาสุนัขที่ทอดยาวมาตามถนนขย้ำเข้าไป จนตัวของเธอล้มลงกับพื้น
“ศัตรู! มันอยู่ทางนี้!” ยามตะโกนเข้าไปในประตู หลังจากนั้นเมจิคัลที่ถือตรีศูลก็เตะเข้าไปที่เธอทันที ยามเฝ้าประตูยกการ์ดมากันไว้ได้ แต่ตัวของเธอก็กระเด็นกลับเข้าไปในคฤหาสน์
“มัวทำอะไรอยู่? รีบหนีเร็ว!”
พอเมจิคัลโฟนส่งเสียงพูดกับเธอ มานาก็รู้สึกตัวและรีบวิ่งออกมา จากนั้นก็จับมือของเด็กสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างเธอแบบมึนงงพร้อมกับปืนไรเฟิลของเธอไปด้วย มานากระชากแขนเพื่อดึงตัวของเธอให้ตามมาพร้อมกับก็วิ่ง เธอเปิดประตูรถตู้ที่จอดอยู่บนถนนแล้วก็โยนตัวของเด็กสาวเข้าไปด้านใน เมื่อขึ้นไปยังที่นั่งคนขับ เธอก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธอจึงหันกลับไปมองและเห็นเมจิคัลเกิร์ลชุดดำที่ทั่วทั้งตัวถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่างเหมือนกับเงาหันหน้าไปจากเธอ เมจิคัลเกิร์ลคนแล้วคนเล่าวิ่งออกมาจากภายในคฤหาสน์ของพัคพร้อมกับถืออาวุธหน้าตาประหลาดต่อสู้อะไรบางอย่างที่มีปีกสีดำ มันคือ —โฮมุนครูส— ที่โจมตีลงมาจากท้องฟ้านั่นเอง
มานาไม่ได้หันกลับไปอีก เธอขึ้นไปบนรถตู้ สตาร์ทเครื่องยนต์ เหยียบคันเร่งแล้วก็เร่งเครื่องออกไปราวกับเป็นจรวด กระสุนลูกหลงแฉลบเข้ามาโดนรถตู้ แต่ยานพาหนะของหน่วยสืบสวนที่ถูกร่ายเวทมนตร์เอาไว้มันก็ไม่ได้เสียหายง่ายๆกับอะไรแบบนี้
“แม้จะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น แต่พวกเราก็ได้ผลลัพธ์ดีๆกลับมา การโจมตีจอมเวทของหน่วยสืบสวนโดยมีเป้าหมายคือการปิดปากเป็นการกระทำผิดกฏหมายที่ร้ายแรงมาก มันแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เกรงกลัวใคร ต้องขอบคุณเรื่องนี้นะ เท่านี้พวกเราก็มีข้ออ้างแล้ว หากพวกเราเอาเรื่องนี้ไปบอกฝ่ายโอส พวกนั้นก็ควรจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเหตุผลดีๆในการทำสงครามได้”
“เรื่องที่ไม่คาดคิด” —นี่เธอหมายความว่ายังไงที่พูดว่าเรื่องนี้คืออุบัติเหตุน่ะ? ไม่ว่าจะคิดมากแค่ไหน การที่เมจิคัลเกิร์ลสองคนกับโฮมุนครูสจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากทุนหนทุกแห่งเพื่อช่วยมานาที่ถูกพีเฟิลร้องขอมาในตอนที่เกิดปัญหา แม้พีเฟิลจะไม่คาดคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ แต่มานาถูกบังคับให้คิดว่าเธอจ้างคนมาดักซุ่มด้วยความตั้งใจสร้างความรุนแรง อีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้มันเป็นไปตามแผน เธอใช้มานาเป็นตัวเบี้ย เพื่อให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
ทุกสิ่งที่เธอได้ยินจากเบาะหลังคือเสียงหอบอย่างรุนแรง มานาเองก็หอบเช่นกัน เธอบ่นกับเมจิคัลโฟนหรือตะโกนด่าทอพีเฟิลด้วยถ้อยคำถากถางไม่ได้ เธอจึงเอนตัวไปข้างหน้าเข้าหาพวงมาลัยพร้อมกับเหยียบคันเร่ง
MANGA DISCUSSION