เมจิคัลเกิร์ลสีฟ้ายุ่งชะมัดเลย
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนที่เกมในเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค restart จะเริ่มต้น
เด็กสาวชายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันถูกปกคลุมด้วยเมฆหนา จนบดบังดวงจันทร์ ดวงดาว และท้องฟ้าจากการมองเห็นไป ลมเองก็แรงและเหน็บหนาว มีเพียงต้นอ้อที่สั่นไหวและก้อนหินหยาบๆที่อยู่พื้นดิน
เธอหลับตาลง การสืบสวนเบื้องต้นของเธอเสร็จสิ้นแล้ว มันไม่มีกับดักหรือสิ่งของอะไรอยู่รอบๆ ในฐานะนักรบ เธอต้องไม่มีพฤติกรรมที่ขี้ขลาด เธอใช้มาตราการต่อต้านการเล่นสกปรกมาโดยตลอด ความสูญเสียอันน่าอับอายมันไม่ได้เป็นแค่ความอับอายของตัวเธอเอง แต่มันก็เป็นความอับอายของอาจารย์ ผู้อาวุโส นักเรียนที่อายุน้อยกว่า —และทุกๆคน
เธอเอามือมาที่คอเพื่อปรับเนคไท มันเป็นสีฟ้าเช่นเดียวกับสีแทนตัวของเธอ สีฟ้าอันงดงามที่ชวนให้นึกถึงท้องฟ้าอันแจ่มใสของฤดูร้อน แม้ว่าการต่อสู้จะอยู่ตรงหน้า การมองดูสีนี้มันก็ทำให้ใจของเธอสงบและลับประสาทของเธอให้แหลมคมขึ้นอีกด้วย แม้จะอยู่ภายใต้ลมที่พัดมาอย่างเหน็บหนาว เธอก็จะไม่มองข้ามภาพหรือเสียงอะไรไป
ทางด้านตะวันออก ที่ด้านหลังของโขดหินสูงตระหง่าน เธอก็ได้ยินเสียงของฝีเท้ากำลังวิ่งเข้ามา อีกฝ่ายปีนขึ้นมาจนถึงด้านบน และจากตรงนั้นก็วิ่งลงมาอย่างเบาๆ เด็กสาวรับฟังเสียงของฝีเท้าอย่างใกล้ชิดโดยไม่หันมามอง เธอกอดอกเพื่อรอให้ใครบางคนวิ่งขึ้นมาหา
“เธอมาสายนะ พยายามเล่นเป็นมุซาชิ*รึไง?”
*จุดนี้น่าจะอ้างถึงมิยาโมโตะ มุซาชิ ตอนมุซาชิท้าดวลกับเซจูโร่อาจารย์ของโรงเรียนโยชิโอกะแต่กลับมาสาย จากนั้นเมื่อเด็นชิจิโร่มาล้างแค้นแทนอาจารย์ มุซาชิก็มาสายอีกรอบhttps://en.wikipedia.org/wiki/Miyamoto_Musashi
มีคนบางคนยืนทำท่าโพสและพูดออกมาว่า “ประกายแสงสีฟ้าแห่งสนามรบ! ลาพิส ลาซูไลน์มาแล้วจ้า!”
“ลาพิส…ลาซูไลน์?” ที่คิ้วของเด็กสาวมีรอยย่นเกิดขึ้นในตอนที่หันกลับไปมองคนที่เพิ่งมาถึง เธอนั้นสวมชุดสีฟ้าทั่วทั้งตัว มีหางสีขาวผสมน้ำตาล ผ้าคลุมตรงคอก็มีลวดลายเหมือนกับที่หาง เด็กสาวไม่เคยลืมภาพนี้ไปเลย —ตั้งแต่เส้นผมสีดำเสมอไหล่จนถึงไฝสีดำใต้ดวงตา นี่คือเธอคนนั้น ทุกครั้งที่เธอจำใบหน้าของเด็กสาวคนนี้ได้ ความทรงจำที่เธอมีมันก็ชัดเจน มันทำให้ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปด้วยความอับอายขายหน้า แต่ชื่อของเธอนั้นมันกลับไม่คุ้นเอาซะเลย
“ชั้นนึกว่าเธอคือบลูโคเม็ทซะอีก”
“อื้อ เค้าเพิ่งเปลี่ยนเมื่อไม่นานมานี้เอง เค้าสืบทอดชื่อนี้มาจากอาจารย์น่ะ”
“อ่า…ยินดีด้วย”
“อื้อ”
“มันช่างบังเอิญจริงๆ”
“บังเอิญเหรอ?”
“ชั้นเองก็เปลี่ยนชื่อเหมือนกัน” เธอหันไปหาเด็กสาวอีกคนเพื่อแสดงด้านหลังของมือซ้ายให้เห็น มันคือมังกรฟ้าที่บิดลำตัวอันแสนยาวเพื่อจับหางของตัวเองไว้ในปาก “ครั้งหนึ่งชั้นเคยถูกเรียกว่า มังกรฟ้า พานาสุ”
“คือตอนนี้มันต่างไปแล้วเหรอ?”
เด็กสาว —พานาสุ— ยกมือขวาของตัวเองขึ้นมาต่อจากมือซ้ายเพื่อแสดงด้านหลังมือข้างนี้ให้เห็น มันคือมังกรดำสยายปีกที่เตรียมจะออกบิน “ในตอนนี้ ชั้นไม่ใช่มังกรฟ้าอีกแล้ว แต่ชั้นคือมังกรคู่ พานาสุ ถ้าให้ดีเธอต้องคิดว่าชั้นไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
“หวาาา เจ๋งสุดๆเลย” ลาซูไลน์หรี่ตาและเอนตัวเข้ามามองมังกรทั้งสอง
พานาสุพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอบกลับไปว่า “ครั้งหนึ่ง ในโรงเรียนกวดวิชามาโอ…ชั้นกับเธอได้เผชิญหน้ากัน “
“ตอนนั้นมันลำบากสุดๆเลยล่ะ เค้าหมายถึง จู่ๆก็มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสุดๆโผล่มาตั้งแต่เริ่ม”
พานาสุสูดลมหายใจเข้ายาวกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นก็หายใจออกมาหลายๆครั้งทางปาก มันไม่มีเลยแม้แต่วันเดียวที่เธอหยุดฝันเรื่องต่อสู้อีกครั้งกับเมจิคัลเกิร์ลสีฟ้า มันเป็นการออกกำลังแบบแบทเทิลรอยัลที่มีเมจิคัลเกิร์ลหลายคนต่อสู้กันระยะประชิดภายในป่า พานาสุได้ฟังคำแนะนำจากมาโอแพมเพียงแค่ครึ่งเดียวเรื่องที่ให้ระวังผู้เข้าร่วมที่มาจากภายนอกโรงเรียน เธอตั้งเป้าเรื่องชัยชนะเอาไว้ เธอจะจัดการทุกคนให้หมด พานาสุเข้าไปท้าทายอย่างหิวกระหาย แต่คู่ต่อสู้คนแรกของเธอ บลูโคเม็ท กลับแข็งแกร่งกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้ จนพานาสุยากที่จะหยุดเธอเอาไว้ เธอตกใจเรื่องสถานการณ์ที่เลวร้ายลง และสิ่งต่อมาที่เธอรู้ก็คือการพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในสถานพยาบาลและมองขึ้นไปที่หลังคาของเต็นท์ มันไม่มีจุดไหนเลยที่ใกล้เคียงกับคำว่าชัยชนะ คู่ต่อสู้คนแรกของเธอก็กลายเป็นคนสุดท้ายอีกด้วย
เมจิคัลเกิร์ลบางคนอาจลาออกไปเพราะความอับอาย แต่พานาสุไม่เคยคิดว่าการถอยคือเรื่องที่สง่างาม เธอรู้จักตัวเองดี เธอเชื่อว่าตัวเองยังคงมีหนทางในฐานะเมจิคัลเกิร์ล การลาออกไปทันทีทันใดมันปลดปล่อยเธอจากความอับอายไม่ได้ —เธอต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเอาชนะ
เธอกลับไปยังโรงเรียนกวดวิชาที่เธอเคยอยู่ และขอร้องมาโอแพมไปแบบตรงๆว่าเธออยากฝึกฝนตัวเองในฐานะนักเรียนใหม่ หลังจากที่เธอฝึกฝนแล้วฝึกฝนอีก ต่อสู้แล้วต่อสู้อีก เรียนรู้มากยิ่งขึ้น ฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ขัดเกลาทักษะ ข้ามเส้นแห่งความตาย ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เวทมนตร์ของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จนมาถึงในจุดที่นักเรียนคนอื่นกลัวเธอในฐานะคนคลั่ง เธอยังคงฝึกฝนต่อไปมากกว่าหนึ่งปี พัฒนาทักษะทางกายภาพและสร้างองค์ประกอบใหม่ของเวทมนตร์ตัวเอง และในตอนนี้ ในที่สุด เธอก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้
ลาซูไลน์จ้องมองมังกรแบบแปลกๆแล้วเอียงหัวของเธอ “เรื่องเวทมนตร์ของพานัจจิอ่ะ”
พานาสุมองไปที่ลาซูไลน์ ” ที่พูดว่า ‘พานัจจิ’ นี่เธอหมายถึงชั้นงั้นเหรอ?”
“อื้อ เค้าเข้าใจว่าโดยพื้นฐานแล้วเวทมนตร์ของพานัจจิอ่ะ มันคือทำให้ภาพวาดมังกรที่อยู่ตรงมือเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วใช้มันโจมตีใช่ไหม?”
“อย่าเรียกว่าภาพวาดสิ”
“แล้วเค้าควรเรียกว่าอะไรเหรอ?”
“ตรามังกร ย้อนกลับไปตอนที่ชั้นยังเป็นมังกรฟ้า พานาสุ ชั้นควบคุมมังกรได้มากที่สุดแค่ตัวเดียว แต่ในตอนนี้เมื่อชั้นกลายเป็นมังกรคู่ ชั้นก็ได้พลังที่ก้าวข้ามตัวชั้นในอดีตมาแล้ว”
เธอยกมือซ้ายขึ้นแล้วพูดว่า “ยอร์มุงกันด์!*”
เธอยกมือซ้ายขึ้นแล้วพูดว่า “นีดฮ็อกเกอร์!*”
*มังกรยักษ์ของมิดการ์ดจากปกรณัมนอร์สhttps://en.wikipedia.org/wiki/Jörmungandr
*มักกรยักษ์ที่อาศัยอยู่ในอิกดราซิลhttps://en.wikipedia.org/wiki/Níðhöggr
เธอเผยไพ่ที่ตัวเองมีออกมาเพราะอยากให้มันเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม การทำให้คู่ต่อสู้ประหลาดใจเพื่อเอาชนะด้วยเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักนั้นมันอาจทำให้ได้รับชัยชนะก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ชัยชนะที่พานาสุต้องการ มันลบความทรงจำแสนอับอายของเธอออกไปไม่ได้
ลาซูไลน์เอียงหัวไปทางซ้าย “คืออีกแง่หนึ่ง ถ้ามีตรามาก ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้อีกใช่ไหมอ่ะ? ไม่ใช่ว่าการเพิ่มจำนวนเยอะๆมันจะทำให้ควบคุมยากเหรอ?”
ทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องกังวลเรื่องของเธอด้วยนะ? พานาสุกลืนความรู้สึกขมขื่นลงไปและอธิบายว่า “แม้จะเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง มันก็จำเป็นต้องมีการฝึกฝนอันหนักหน่วงที่สามารถฆ่าเมจิคัลเกิร์ลตามค่าเฉลี่ยได้ห้ารอบเลยนะ มันไม่ใช่อะไรที่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆเพียงเพราะต้องการมากกว่านั้น”
“โหย ยอดเลยอ่ะ เค้าสงสัยจังว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ ถ้าสุดท้ายแล้วตัวของพานัจจิกลายเป็นมีรอยสักทั่วตัวเหมือนโฮอิจิไร้หู*”
*นักดนตรีตาบอดที่มีพรสวรรค์ด้านบิวะที่รู้จักกันดีจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นhttps://en.wikipedia.org/wiki/Hoichi_the_Earless
พานาสุพยายามอดกลั้นอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองต่อยเข้าไปหาเด็กผู้หญิงที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าแบบไม่ยั้งคิด เธอรู้สึกเศร้าด้วยซ้ำเมื่อคิดว่าตัวเองฝึกฝนมาตลอดเพื่อเอาชนะใครบางคนที่ไม่ได้มีความกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยแพ้ให้กับเด็กผู้หญิงคนนี้ไปไม่ได้ แม้ว่าการเป็นคู่ปรับกับเธอจะไม่ใช่สิ่งที่พานาสุต้องการ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของนักรบที่จะกลัดกลุ้มกับมัน
พานาสุหายใจเข้าลึกๆสามครั้ง และเมื่อเธอสงบใจได้แล้ว เธอก็หันกลับมาหาลาซูไลน์ “คราวนี้แหละ เธอจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของมังกรคู่”
“อ๊ะ ว่าแล้วเชียว! พอจู่ๆก็เริ่มอธิบาย เค้าก็สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันนะ แหม เค้ามีความสุขสุดๆเลยล่ะ แบบนี้คงจะเป็นความทรงจำที่จะเก็บไว้ชั่วชีวิตเลยล่ะ การได้ขี่หลังมังกรขึ้นไปแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแบบนี้มันเป็นความฝันของเค้าตั้งแต่เด็กเลยนะ” ลาซูไลน์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
พานาสุมองกลับไปที่เธออย่างสงสัย “นี่เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“เค้าหมายถึง พานัจจิจะสอนเค้าเรื่องพลังของมังกรใช่ไหมล่ะ?”
“แล้วที่เธอพูดว่าขี่มังกรบินขึ้นฟ้านี่มันหมายความว่ายังไง?”
“พวกเราจะไปกินราเม็งกันใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าพานัจจิจะสอนเค้าเรื่องพลังของมังกร แบบนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะขี่มังกรไปร้านราเม็งกันใช่ไหม?”
“…หือ?”
“ตอนที่เรียกเค้ามายังที่ไกลหูไกลตาผู้คนน่ะ รู้ไหม หัวใจเค้าอ่ะเต้นรัวสุดๆเลยนะ เค้าสงสัยจังเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันนะ แต่ตอนนี้เค้าเปลี่ยนจากโหมดหัวใจเต้นรัวเป็นโหมดตื่นเต้นจนตัวสั่นแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
“อะไรเหรอ?”
“ร้านราเม็งที่เธอพูดนี่ มันหมายความว่ายังไงน่ะ?”
ลาซูไลน์มองดูพานาสุด้วยสีหน้างุนงงแบบจริงจัง “จริงอ่ะ? พานัจจิไม่รู้จักร้านราเม็งเหรอ? ร้านราเม็งน่ะมันคือ—”
“ไม่! ชั้นไม่ได้จะถามว่าร้านราเม็งมันคืออะไร ชั้นน่ะค่อนข้างคุ้นเคยด้วยซ้ำเพราะกินราเม็งสัปดาห์ละครั้ง แล้วก็ไม่ได้ขี้เกียจหาร้านดีๆทางออนไลน์ด้วย”
“กะแล้วเชียว เพราะมันคืออาหารของจิตวิญญาณใช่ไหมล่ะ? แหม พานัจจิเนี่ยทำให้เค้าตกใจหมดเลย”
“เรื่องที่ชั้นอยากรู้น่ะ มันก็คือเรื่องที่ทำไมเธอถึงเชื่อว่าชั้นจะพาเธอไปร้านราเม็งต่างหากล่ะ”
“เพราะมันเขียนเอาไว้ในจดหมายที่พานัจจิส่งมาให้เค้าไง” ลาซูไลน์เอื้อมมือไปใต้ผ้าคลุมแล้วดึงเอากระดาษที่พานาสุจำได้ดีขึ้นมา มันคือจดหมายท้าดวลที่เธอส่งไปให้ลาซูไลน์ ลมที่พัดผ่านมาทำให้จดหมายสะบัดจนส่งเสียงดัง ดังนั้นลาซูไลน์จึงนั่งลงไปแล้วจับด้านข้างของกระดาษเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พานาสุเดินไปที่ต้นลม พร้อมกับปกป้องจดหมายเอาไว้ด้วยการเอนตัวเข้ามาใกล้ เนื้อหาของจดหมายเป็นไปตามที่พานาสุคิดเอาไว้ และเธอก็ไม่เห็นว่าส่วนไหนถูกแก้ไขด้วย แน่นอนว่ามันไม่ได้พูดถึงราเม็ง
“ไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับราเม็งซักหน่อย”
“นี่ไง ตรงนี้ ดูสิ มันบอกว่า ‘ชั้นไม่เคยลืมช่วงเวลานั้นหรอกนะ’ แล้วยังบอกอีกว่า ‘ในตอนนี้มันคือเวลาที่ต้องเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของชั้นแล้ว’ “
“แล้วไง? มันไม่เกี่ยวกับราเม็งซักหน่อยนี่ ตอนที่พวกเราเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายน่ะ ชั้นพบกับความพ่ายแพ้ และภายในใจของชั้นก็มุ่งมั่นในแสวงหาหนทางเอาชนะเธอ ชั้นทรมาณตัวเอง ฝึกฝนแบบซ้ำๆ จนในตอนนี้มังกรฟ้าก็ได้กลายเป็นมังกรคู่ ในที่สุดชั้นก็มั่นใจว่าจะก้าวข้ามเธอได้แล้ว ความปรารถนาอันยาวนานที่จะต่อสู้ของชั้น—”
“เค้าไม่เข้าใจจริงๆอ่ะ แต่…มันแปลกนะ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
“ฮึ บางทีเมจิคัลเกิร์ลธรรมดาอย่างเธอคงไม่เข้าใจเรื่องความภาคภูมิใจในการที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอสินะ”
“เค้าไม่ได้หมายความแบบนั้น เค้าหมายถึง ย้อนกลับไปตอนนั้นน่ะ พานัจจิก็ไม่ได้แพ้จริงๆซักหน่อยนี่นา?”
“หือ?” พานาสุยืนขึ้นแล้วก็ปรับเนคไทของเธอ
ลาซูไลน์เองก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน เธอเก็บจดหมายเข้าไปที่ใต้ผ้าคลุมแล้วมองมาที่พานาสุอย่างงุนงง “จำไม่ได้เหรอ?”
“ตั้งแต่วันนั้นชั้นก็ไม่เคยลืมซักครั้ง ชั้นประมาทเธอที่ไม่ใช่นักเรียนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอมากเกินไป จนความสามารถที่ไม่คาดคิดของเธอก็ค่อยๆเอาชนะชั้น แล้วพอรู้ตัวอีกที ชั้นก็นอนอยู่บนเตียงในสถานพยาบาลแล้ว”
“เค้าไม่ได้ชนะพานัจจิซักหน่อยนี่”
“แบบนั้นเธอก็พูดได้สิ…”
ลาซูไลน์แบมือขวาออกแล้วก็โบกมือไปด้านซ้ายและขวาตรงหน้าตัวเอง “เค้าไม่ได้โกหกนะ ตอนนั้นเค้าคิดแบบว่า โหย คนนี้แข็งแกร่งจัง บางทีเค้าอาจจะแย่จริงๆก็ได้ถ้าคู่ต่อสู้คนแรกของเค้าเก่งแบบนี้ แล้วจากนั้นนะ ตอนพวกเราสู้กัน มันก็เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นด้านหลังพานัจจิล่ะ แล้วพานัจจิก็โดนแรงระเบิดพัดปลิวเลย จนหัวของพานัจจิจมไปอยู่ในดินแล้วหมดสติไป เค้าอ่ะดึงพานัจจิขึ้นมาแล้วรีบแบกไปที่เต็นท์พยาบาล”
พานาสุเอามือขวาจับไว้ที่กรามของเธอแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า ลมนั้นพัดแรง และไม่มีสัญญานบ่งบอกว่าเมฆจะหายไปจากท้องฟ้าเลย เธอพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าเธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนที่ตัวเองหมดสติอยู่ไม่ได้
“ไม่นะ เดี๋ยวสิ” พานาสุพูด “ใช่แล้ว ชั้นจำอะไรบางอย่างได้ บลูโคเม็ทได้ธงของมังกรฟ้า พานาสุไป นั่นคือหลักฐานยืนยันว่าเธอเอาชนะชั้นไงล่ะ”
“เค้าได้ธงจากพานัจจิในตอนที่พานัจจิหมดสติไปแล้วนะ ถ้าต้องไปรักษาตัวที่เต็นท์พยาบาล แบบนั้นมันก็คือเกมโอเวอร์ เค้าคิดว่าแบบนั้นคงจะไม่เป็นอะไรที่เค้าจะเอาธงไป… หรือว่าเค้าไม่ควรเอาไปเหรอ?”
พานาสุเอามือของเธอจับไว้ที่คางแล้วก็คิดอีกครั้ง ทุกเรื่องที่เธอจำได้คือในตอนท้ายใครเป็นคนที่ได้ธงไป จากความจริงที่ว่าบลูโคเม็ทได้ธงจากคนที่หมดสติ มันคงจะไม่แปลกอะไรที่จะกลายเป็นว่าเธอเอาชนะพานาสุได้ แม้ว่าเธอจะพยายามค้นหาอะไรก็ตามเพื่อมาปฎิเสธมัน เธอก็จะไม่พบอะไรเลย พานาสุคิด คิด แล้วก็คิด และเมื่อลาซูไลน์เข้ามามองใบหน้าของเธอ พานาสุก็ปรบมือ
“จริงๆแล้วเรื่องที่เธอพูดออกมามันคงมีความจริงแค่เสี้ยวเดียว”
“มันเป็นเรื่องจริงนะ เค้าแค่เป็นคนที่ซื่อตรงกับทุกๆเรื่องเอง”
“แต่ราเม็งมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเราพูดเลยไม่ใช่รึไง? เธอน่ะเอาแต่พูดอะไรไร้สาระเพื่อพยายามทำให้ชั้นสับสนใช่ไหม?”
“ก็ตอนที่เค้าแบกพานัจจิไปที่เต็นท์อ่ะ มันดูเหมือนว่าพานัจจิกำลังฝันร้ายอยู่เลย แล้วพานัจจิก็พูดว่า ราเม็ง…ราเม็ง… อยู่ตลอดเลย เค้าเลยคิดว่ามันหมายถึงตอนนั้น และความปรารถนาอันยาวนานก็คือการกินราเม็ง”
“โกหก!”
“เค้าไม่ได้โกหกนะ!”
“ชั้นไม่ได้หลงไหลเรื่องราเม็งขนาดนั้น!”
“แล้วพานัจจิชอบราเม็งแบบไหนเหรอ?”
“ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลน่ะ ชั้นชอบขนาดใหญ่ที่สุดและชอบเนื้อหมูชิ้นใหญ่ๆ โดยปกติแล้วผู้หญิงน่ะจะหลีกเลี่ยงอะไรที่มีกลิ่นแรง อาหารจานใหญ่ และแคลอรี่สูงๆที่ไม่ต้องการในอาหาร แต่ถ้าเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วล่ะก็ มันจะสามารถเอร็ดอร่อยกับทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องสนใจโลก การที่เมจิคัลเกิร์ลนั้นสามารถเพลิดเพลินกับราเม็งได้มากกว่าปกติ มันก็ต้องขอบคุณเรื่องประสาทรับกลิ่นที่แหลมคม ซึ่งนั่นน่ะมันก็ทำให้พวกเราเพลิดเพลินไปกับกลิ่นของคุมาโมโตะราเม็งไม่ก็คุรุเมะราเม็งได้ดีกว่าอีกด้วยนะ ในร่างมนุษย์ชั้นชอบรสชาติอ่อนๆของไก้ไม่ก็อาหารทะเลมากกว่าอะไรที่มีรสเข้ม แต่ทงคัตสึหนาๆและมีมันเยิ้มกินกับสึเคเม็งที่เอาเส้นหนานุ่มมาผสมกับเส้นแบนนุ่มก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ก็ตาม”
“หลงไหลราเม็งสุดๆเลยนี่นา!”
“เป็นแค่ความสุขธรรมดาๆเองนะ! ใครมันจะร้องหาราเม็งในตอนที่ใกล้ตายกันเล่า?!”
“ก็พานัจจิไง พานัจจิร้องหาราเม็งอ่ะ!”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!”
พวกเธอตะโกนเข้าใส่กัน จ้องหน้ากันและกัน และในที่สุดพานาสุก็เป็นคนที่หลบสายตาก่อน มันไม่ใช่ว่าเธอขาดจิตวิญญาณเรื่องการต่อสู้ แต่เธอเพิ่งตระหนักจากเป้าหมายได้ว่าเรื่องนี้มันทำให้เสียเวลาไปมาก
“เข้าใจแล้ว ทิ้งเรื่องราเม็งเอาไว้ก่อน ต่อให้พวงเราเถียงกันในตอนนี้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก มันก็ใช่ว่าจะมีหลักฐานหรือพยานโผล่ออกมา”
“เค้าไม่ได้โกหกนะ”
“ช่างเรื่องราเม็งเถอะ ปัญหาจริงๆมันไม่ใช่เรื่องนั้น”
“หือ?”
“แม้ว่าเรื่องที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง… แม้ว่าการที่ชั้นโดนระเบิดจนหมดสติไปจะเป็นเรื่องจริง แต่เธอก็ขโมยธงของชั้นไปอยู่ดี…”
“ขโมยเหรอ? พูดแบบนี้ใจร้ายจัง”
พานาสุเอานิ้วชี้ของมือขวาชี้มาที่ลาซูไลน์ “และมันก็หมายความว่าการต่อสู้ของพวกเรายังไม่จบ!”
“อื้อ อื้อ เค้าว่าแล้วเชียว”
“งั้นพวกเราก็ต้องสู้กัน”
“ต้องสู้กันเหรอ?”
มีลมพัดเข้ามาแรงกว่าปกติ เนคไทของพานาสุพริ้วไหวไปตามลมอยู่ตรงหน้าของเธอ แต่พานาสุก็เลือกที่จะไม่สนใจ “แน่นอน” พานาสุพูดต่อ “วันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พวกเรามีเรื่องต้องสะสาง เธอเองก็เป็นนักรบ เธอพูดว่าจะหนีไปไม่ได้หรอกนะ”
“เค้าไม่หนีหรอก แต่ว่า… อ๊ะ ตอนนี้เค้าไปไหนไม่ได้นี่นา หือ?” ลาซูไลน์เกาด้านหลังหัวของเธอ จากนั้นก็กอดอกแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า เอาแขนที่กอดอกอยู่ออกแล้วเกาหัวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเธอก็พึมพำบางอย่างออกมาเบาๆด้วย “ความจริงคือ อาจารย์ของเค้าน่ะขอให้เค้าจัดการเรื่องบางอย่างให้… ถ้าพวกเราดวลกันตอนนี้แล้วเค้าแพ้ หรือเค้าจะชนะก็เถอะ แต่แบบนั้นเค้าคงจะขยับตัวไม่ได้แน่ๆเลย แล้วเค้าก็จะถูกบังคับให้บอกอาจารย์ในนาทีสุดท้ายว่าเรื่องนั้นเค้าทำไม่ได้ด้วย”
“แล้วทำไมเธอถึงยอมทำธุระ ในตอนที่พวกเรากำลังจะดวลกันด้วยล่ะ?”
“ก็เค้าไม่ได้คิดว่าพวกเราจะมาดวลกันจริงๆนี่นา แผนน่ะคือพวกเราไปกินราเม็งด้วยกันตะหาก! เค้าเลยคิดว่าจะจัดการธุระของอาจารย์ให้เสร็จตอนขากลับ”
“ก็เข้าใจได้นะ แต่…”
พานาสุไม่ได้คิดจะปล่อยลาซูไลน์ไปแบบเฉยๆ เพราะเธอไม่คิดว่าคู่ต่อสู้นั้นจะเป็นคนที่สามารถยั้งมือได้
เมื่อเธอไม่ยั้งมือ มันก็หมายความว่าเธอจะสามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้ และเมื่อลาซูไลน์ถูกจัดการลงที่นี่ เธอก็จะไม่ได้สามารถจัดการธุระของอาจารย์ที่ไหว้วานมาได้อีก
ด้วยการที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ คำว่า “อาจารย์” จึงมีน้ำหนักกับพานาสุอย่างมหาศาล หากมาโอแพมขอให้เธอทำอะไรซักอย่าง แล้วพานาสุก็ถูกบังคับให้ยกเลิกเรื่องนั้นไปในนาทีสุดท้ายล่ะก็…
เธอจับเนคไทที่โบกสะบัดเพราะลมเอาไว้ด้วยมือขวา จากนั้นพานาสุก็มองไปที่ลาซูไลน์ เธอส่งเสียงพึมพำอย่าง “อืมม อืมม…” ออกมา ราวกับไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แม้ว่าลาซูไลน์จะเป็นศัตรูที่ฟ้าลิขิต คือคนที่เธอหวังว่าอยากจะสู้ด้วยอีกครั้งมาตลอดหลายปี พานาสุก็เริ่มสงสัยลาซูไลน์ที่เป็นศัตรูคู่สาบานของเธออย่างจริงจัง และก็รู้สึกแย่กับเรื่องนั้นจริงๆอีกด้วย
ณ จุดนี้ บางทีพานาสุควรจะเป็นคนที่ยอมให้
“งั้นเอาแบบนี้” พานาสุพูด “พวกเราจะทำเรื่องที่ตรงข้ามกัน เธอไปทำธุระของอาจารย์ให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นก็มาสู้กับชั้น ถ้าหลังจากนั้นเธอเกิดขยับตัวไม่ได้ มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร”
“โหหห! ความคิดดีเลยอ่ะ! งั้นก็ลงจากภูเขาด้วยกันเถอะ”
“…แล้วทำไมชั้นต้องไปกับเธอด้วยเนี่ย?”
“ไปกันเถอะ พานัจจิ มันคงแย่สำหรับพานัจจิใช่ไหมล่ะที่หากปล่อยให้เค้าไปจัดการธุระของอาจารย์ แล้วเค้ารู้สึกว่า อ๊ะ ดีจัง ตอนนี้กลับบ้านดีกว่า ขึ้นมาน่ะ? พานัจจิคงไม่ได้คิดแบบนั้น แต่คนที่อยู่ตรงนี้คือเมจิคัลเกิร์ลที่คว้าตำแหน่งคนขี้ลืมได้ง่ายๆเชียวนะ ถ้าปล่อยให้เค้าไปคนเดียวคงเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่”
เมื่อลาซูไลน์พูดแบบนั้นออกมา มันก็ทำให้พานาสุไม่สบายใจ เธอไม่ได้คิดว่าลาซูไลน์จะหนี แต่ลาซูไลน์ก็มีบรรยากาศที่บ่งบอกว่า เธอจะลืมเรื่องอะไรต่างๆเมื่อเธอรู้สึกโล่งอกแล้ว
“งั้นพานิจจิก็ลงจากภูเขาไปพร้อมกับเค้านะ! บนมังกรนั่น!” ลาซูไลน์ชี้ไปที่หลังมือของพานาสุพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย
พานาสุรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วลาซูไลน์ก็แค่อยากจะขี่มังกร แม้นั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่การแยกกันในตอนนี้คือความคิดที่ดีงั้นเหรอ?
พานาสุมองขึ้นไปบนฟ้า เมฆนั้นเริ่มหนาขึ้นและมืดขึ้น ลมเองก็พัดแรงขึ้นเช่นกัน ฝนอาจจะตกลงมาได้ ถ้าเธอรอจนกว่าลาซูไลน์จะกลับมา แบบนั้นลาซูไลน์ก็คงจะรู้สึกแบบว่า อ๊ะ ฝนตกแล้ว กลับบ้านดีกว่า แค่จินตนาการว่าตัวเองที่รอคอยอยู่ที่นี่จะกลายเป็นลูกหมาเปียกน้ำ มันก็ทำให้เธอรู้สึกอนาถแล้ว ดังนั้นพานาสุจึงตัดสินใจ
“ชั้นจะไปด้วยก็แล้วกัน”
ทุกครั้งที่ส้นรองเท้าสัมผัสกับพื้น มันก็จะสร้างเสียงฝีเท้าดังขึ้นผ่านคลังสินค้า บางทีมันอาจเป็นความตึงเครียดของเธอเองที่ทำให้รู้สึกว่าเสียงฝีเท้ามันแหลมเสียดหูเป็นพิเศษ และพานาสุก็ไม่ใช่คนเดียวที่ตึงเครียด ชายชุดดำที่มีกระเป๋าโลหะสีเงินกับเมจิคัลเกิร์ลชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆเองก็มีท่าทีเคร่งเครียดและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน มีเพียงลาซูไลน์คนเดียวเท่านั้นที่ยิ้มออกมา ซึ่งมันก็ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์ที่อยู่ในคลังสินค้าริมท่าเรือและต้องรับกระเป๋าโลหะจากชายชุดดำ มันทำให้ทุกคนต่างตึงเครียด พานาสุไม่ได้ถามว่าพวกเธอว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เพราะเธอคิดว่าต่อให้สอดรู้สอดเห็นไปมันก็ไม่ได้ทำให้มีอะไรดีขึ้น
ชายชุดดำขยับตัวเข้ามาหาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ฟังแล้วดูระมัดระวังเป็นพิเศษ จากนั้นก็ยื่นกระเป๋าให้ลาซูไลน์ ลาซูไลน์หยิบมันมาแล้วใส่เข้าไปในผ้าคลุมของเธอ
ชายชุดดำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ข้างๆก็จ้องมองมาที่ลาซูไลน์แล้วพูดว่า “เอาบอดี้การ์ดมาด้วยงั้นเหรอ? เหมือนว่าเธอจะไม่เชื่อใจพวกเราเลยนะ หืม?”
บอดี้การ์ด —เหมือนว่ามันจะหมายถึงพานาสุ เธออยากให้อีกฝ่ายเข้าใจให้ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง
พอพานาสุไม่พูดอะไร ลาซูไลน์ก็เปิดปาก “ไม่ใช่บอดี้การ์ดหรอก เป็นเพื่อนน่ะ”
“เพื่อนเหรอ? อย่าพูดให้ขำดีกว่า มังกรที่มือ… เธอคือมังกรคู่ พานาสุใช่ไหมล่ะ? เอาคนที่เรียนจบจากโรงเรียนกวดวิชามาโอมาที่นี่ นี่เธอคิดว่าที่พูดว่า ‘แค่เพื่อนที่มาด้วยกัน’ มันจะได้ผลรึไง—? “
“ชั้นไม่ใช่มังกรคู่ พานาสุหรอกนะ”
พานาสุกอดอก เธอพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่แสดงความรู้สึกกังวลเล็กน้อยที่มีอยู่ออกมา คนชุดดำทั้งสองคนปิดปากและจ้องมาที่เธอ พวกนั้นดูน่าสงสัยมาก
“ชั้นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเธอบ่อยๆ —เพราะพวกเราดูเหมือนกันมากน่ะ”
“…หืม งั้นเหรอ? ก็นะ แต่มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะเป็นใคร”
หากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ที่ดูเหมือนว่าผิดกฎหมายกลายเป็นอะไรที่ผิดกฎหมายขึ้นมาจริงๆ แล้วถ้าคนชุดดำทั้งสองคนเกิดโดนจับและพูดอะไรอย่าง “มังกรคู่ พานาสุอยู่ที่นั่นตอนทำการแลกเปลี่ยนด้วย” ออกมา ต่อให้เป็นพานาสุที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ก็จะถูกสอบสวนไปด้วย เธอไม่รู้ว่าหากยืนกรานว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องไปมันจะได้ผลรึเปล่าด้วยซ้ำ
ชั้นคือคนอื่น ชั้นไม่ใช่พานาสุ เธอบอกตัวเองแบบนี้ คนชุดดำทั้งสองคนที่ดูน่าสงสัยยังคงมองมาที่เธอไม่เปลี่ยนไป ลาซูไลน์เอากล่องไม้พอโลเนียสีดำขนาดสามสิบเซ็นติเมตรให้พวกเขา พวกเขาก็รับมันเอาไว้แล้วออกจากคลังสินค้าริมท่าเรือไป เสียงแหลมๆของฝีเท้าค่อยๆหายไป เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พานาสุก็คลายแขนที่กอดอกเอาไว้แล้วก็ปรับเนคไทของเธอ
“เอาล่ะ ธุระของเธอจบแล้วใช่ไหม? งั้นก็ถึงเวลาดวลแล้ว”
“ขอโทษนะ มันยังมีอย่างอื่นอยู่อีก” ลาซูไลน์ยกมือขึ้นเพื่อทำท่าทางขอโทษ และพานาสุก็มองเธอด้วยความไม่พอใจอย่างจริงจัง
เมื่อเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนที่คลังสินค้าแล้ว พวกเธอก็มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในคราวนี้พวกเธอเข้าไปในเมือง เมื่อพานาสุสงสัยว่าพวกเธอกำลังจะทำอะไร ลาซูไลน์ก็ลากเธอเข้าไปในสิ่งก่อสร้างที่อยู่สุดซอยด้านหลังที่ดูเหมือนกับเป็นสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียน เห็นได้ชัดว่ามันคือบ้านของเด็กกำพร้า
“เอาล่ะ เอาเนยไปละลายกับน้ำร้อนตรงนั้น อ๊ะ ระวังอย่าไปโดนน้ำตรงๆนะ”
“ค่าาาาา!”
“แยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ทำแบบระวังๆด้วยนะ อย่าให้มันมาผสมกันเชียว”
ลาซูไลน์แนะนำและเด็กๆก็ทำตามที่เธอบอก ในขณะที่ทุกคนกำลังทำงานของตัวเองกันอยู่นั้น พานาสุก็ยืนอยู่คนเดียวด้วยความสับสน ลาซูไลน์เอากระเป๋าที่ได้มาจากก่อนหน้านี้มอบให้หญิงชราที่ดูเหมือนจะเป็นคนดูแลสถานที่แห่งนี้ และในการแลกเปลี่ยน ลาซูไลน์ก็ได้กล่องกระดาษขนาดใหญ่กลับมาด้วย
“ขอบคุณมากๆเลย” ลาซูไลน์พูด
“ไม่หรอก ขอบคุณมากเลยจ้ะ พวกเด็กๆน่ะทำเจ้านี่กันอย่างขยันขันแข็งเลย”
“หวา ขอบคุณจริงๆน้าา มีเจ้านี่อยู่ด้วยคงช่วยได้มากสุดๆเลยล่ะ”
พานาสุคิดว่านี่คือการแลกเปลี่ยนอีกข้อหนึ่ง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ใช่ ลาซูไลน์ที่ถูกรายล้อมด้วยเด็กๆที่สวมผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวนั้ ก็สวมผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวเหมือนกับเด็กๆเช่นกัน จากนั้นเธอก็เอาถุงกระดาษมาให้พานาสุ ที่ด้านในนั้นมีผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวอีกชุดหนึ่ง ต่อให้พานาสุจะสวมเจ้านี่ แต่เธอก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์เลย
“เฮ้ นี่มันอะไรเนี่ย?” พานาสุถาม
“ก็อาจารย์ของเค้าอ่ะมอบเงินให้ที่นี่เยอะแยะเลย เธอเป็นเหมือนกับหน้ากากเสือเลยเนอะ ว่าไหม?”
“ชั้นไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“วันนี้คือชั้นเรียนอบขนม พวกเราจะทำเค้กอร่อยๆกันล่ะ อร่อยจนยิ้มแก้มปริเลย”
“แล้วทำไมชั้นต้องช่วยอะไรแบบนั้นด้วย?”
“ถ้างั้นเค้าอยากให้พานัจจิจัดการเรื่องนี้นะ เค้าอยากให้พานัจจิจัดการเจ้านี่จนกว่ามันจะฟู” ลาซูไลน์ส่งชามที่มีไข่ขาวที่ถูกแยกจากไข่แดงแล้ว พร้อมกับที่ตีไข่มาให้
พานาสุคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าที่ลาซูไลน์ทำทั้งหมดนี้มันหมายถึงอะไร แต่ถ้าพานาสุไม่ทำเรื่องนี้ให้เสร็จ แบบนั้นธุระของลาซูไลน์ก็จะไม่เสร็จเช่นกัน
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว มือขวาของเธอก็ตีไข่ส่วนมือซ้ายก็จับชามเอาไว้ เธอตีไข่ขาวอย่างแรง การตีไข่ด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่ต้องคิดเรื่องเมอแรงค์*เลย ไข่ขาวนั้นกระจายไปทั่วทุกที่ จนทำให้เด็กๆส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ
*ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากไข่ขาวตีกับน้ำตาลจนขึ้นฟู
“พานัจจิ! ทำอะไรเนี่ย?!”
“ขะ-ขอโทษ”
“ต้องตีมันเบาๆแบบนิ่มนวลสิ!”
เด็กๆทำความสะอาดสิ่งที่พานาสทำขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วพูดให้กำลังใจแบบว่า “เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้นะ” และ “อย่าท้อนะ พี่สาว!” ไม่ก็ “มาพยายามกันเถอะ” ก่อนที่จะหันกลับไปทำงานของตัวเอง ทำไมไอ้พว…พวกเด็กๆถึงเป็นผู้ใหญ่จังนะ พานาสุขอบคุณเด็กๆในใจแล้วก็กลับมาทำงานของตัวเอง
เมื่อพวกเธออบเค้กเสร็จแล้ว พวกเธอก็เดินทางข้ามเขตสี่เขตจนมาถึงสถานที่ต่อไป
สื่งที่ตรงหน้าของพวกเธอนี้คือที่ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากทุ่งนาที่ล้อมรอบโรงยิมที่ดูใหม่เอี่ยม หากมีนักวิเคราะห์อยู่ที่นี่ด้วย พวกนั้นคงจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความอันตรายของนโยบายรัฐบาลที่เน้นการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างของชุมชนมากเกินไปอะไรแบบนั้น ที่ลานจอดรถมีรถจอดกันอยู่อย่างแน่นขนัด ซึ่งมันขัดกับทิวทัศน์โดยรอบที่รกร้างว่างเปล่าอย่างมาก
พานาสุถูกพาเข้ามายังห้องกว้างๆที่เธอถูกบอกว่าคือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และที่นี่ก็เต็มไปด้วยเด็กสาวที่กำลังยุ่งเรื่องแต่งหน้ากับสวมเครื่องแต่งกาย
ภายในถุงกระดาษที่ถูกยื่นมาให้ก็คือชุดของเมจิคัลเกิร์ลที่เนื้อผ้าดูราคาถูก
“อะไรเนี่ย?” พานาสุถาม
“ชุดของคิวตี้ อัลแตร์ไง อ๊ะ หรือว่าพานัจจิชอบคิวตี้ เวก้ามากกว่า? แต่รูปร่างของพานัจจิดูเข้ากับอัลแตร์มากกว่านะ”
“ชั้นไม่ได้ถามเรื่องนั้น ที่คนมารวมตัวกันนี่คืออะไรน่ะ?”
“งานคอสเพลย์ท้องถิ่นน่ะ”
“แล้วทำไมชั้นต้องเข้าร่วมด้วย?”
“อาจารย์ของเค้าน่ะบอกว่า การร่วมมือกันของเมจิคัลเกิร์ลมืออาชีพคือสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาวัฒนธรรมเมจิคัลเกิร์ลระดับภูมิภาค คือจริงๆเค้าก็ไม่เข้าใจหรอก แต่อาจารย์อาจพูดถูกก็ได้”
พานาสุมีความรู้สึกว่าตัวเองถูกโน้มน้าวเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ตรรกะนั้นคนละเรื่อง แต่ถ้าเธอพูดปฎิเสธออกมาในตอนนี้ ลาซูไลน์ก็ต้องหนีไปจากเธอ แบบนั้นความพยายามทั้งหมดของเธอจนถึงตอนนี้ก็จะสูญเปล่า การไปยังคลังสินค้าริมท่าเรือและรับบทเป็นบอดี้การ์ด การทำเค้กด้วยกันกับเด็กๆและหัวเราะออกมาเมื่อวิปครีมติดอยู่ที่แก้มก็จะกลายเป็นอะไรที่ไร้ความหมาย
เธอปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ พานาสุถอนหายใจออกมาและรับถุงกระดาษเอาไว้
“สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำเขียนเอาไว้แล้วนะ” ลาซูไลน์พูด “เค้าอยากให้พานัจจิอ่านมันนะ คนไม่ดีจะเข้ามาในงานแบบนี้ด้วยบ่อยมากกกกกกกกกด้วย แน่นอน พานัจจิก็จะก่อเรื่องไม่ได้เหมือนกันนะ”
“อย่าดูถูกชั้นดีกว่านะ ชั้นน่ะเป็นเมจิคัลเกิร์ลผู้มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ดังนั้นชั้นรู้อยู่แล้วว่าต้องรับกับแฟนๆของเมจิคัลเกิร์ลยังไง ชั้นคิดว่าชั้นโง่สิ”
แต่เมื่องานเริ่มได้ห้านาที พานาสุก็หมดแรงไปเรียบร้อย
เมื่อมีคนขอให้เธอโพสท่า เธอก็จำเป็นต้องทำแบบนั้น และเธอก็ต้องยิ้มออกมาเพื่อให้ตัวเองดูสนุกสนานอยู่ตลอดด้วย เธอรู้สึกถึงสายตาที่หยาบคายจำนวนมากที่จ้องมองเรือนร่างของเธอทั่วทั้งตัว ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด โชคดีที่ไม่มีการสัมผัสตัวกันมากจนเกินไปหรือการถ่ายรูปมุมที่ต่ำมากๆไม่ก็เรื่องอื่นๆ แต่เธอก็ไม่คุ้นชินกับการเป็นนางแบบเลย มันทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเธอหมดเรี่ยวแรงเอามากๆ
แม้ผู้คนจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนเป็นเมจิคัลเกิร์ลตัวจริง แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังมารายล้อมรอบๆตัวพานาสุและลาซูไลน์ จนพวกเธอแทบมองไม่เห็นว่าที่อื่นนั้นเกิดอะไรขึ้น ซึ่งมันทำให้พานาสุไม่สบายใจมากขึ้น นอกจากนี้เธอยังรู้สึกค่อนข้างเสียเกียรติที่ต้องสวมชุดของคิวตี้ อัลแตร์อีกด้วย เธอนั้นรู้จักอัลแตร์จากโรงเรียนกวดวิชามาโอ —เธอเป็นคนที่ไร้มารยาทเอามากๆ หากพานาสุจะแสดงความเป็นยัยนั่นออกมา มันก็จะเป็นการบูดบึ้งแทนที่จะเป็นการยิ้มแย้ม ในตอนที่พวกเธอไปตั้งแคมป์ด้วยกัน อัลแตร์ก็เผาปลาสดทั้งหมดจนเป็นสีดำเกือบจะกลายเป็นขี้เถ้า แถมยังพูดยืนยันว่า “บ้านฉันทำกันแบบนี้” แล้วก็ไม่ได้พูดขอโทษอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว มันจึงทำให้พานาสุโกรธจนถึงทุกวันนี้
เธอหันหลังชนกับลาซูไลน์ที่สวมชุดของคิวตี้ เวก้าที่เป็นคู่หูของคิวตี้ อัลแตร์ในอนิเม พวกเธอโพสท่า และลาซูไลน์ก็กระซิบกับเธออย่างแผ่วเบาว่า “เห็นไหม เค้ารู้ว่าพานัจจิน่ะเจ๋งสุดๆ รอยยิ้มของพานัจจิดูดีสุดๆเลยล่ะ”
เธอคิดว่ามันคงจะรู้สึกดีถ้าได้ต่อยลาซูไลน์เข้าซักหมัด แต่ถ้าเธอทำอะไรแบบนั้นในตอนที่กล้องกำลังถ่ายภาพอยู่ มันก็จะทิ้งหลักฐานเอาไว้ และถ้าหลักฐานนั้นไปถึงมือของมาโอแพมล่ะก็… พานาสุบังคับความโกรธของเธอเอาไว้ภายใน และยิ้มออกมาพร้อมกับโพสท่าของคิวตี้ฮีลเลอร์
หลังจากที่งานคอสเพลย์จบลงโดยที่ไม่มีปัญหา พานาสุกับลาซูไลน์ก็อยู่บนเวทีของโรงยิม พวกเธอมองเห็นภาพภายนอกผ่านทางประตูที่ยังเปิดอยู่ ผู้ร่วมงานเองก็ทยอยกันกลับบ้านแล้ว การมองดูรถยนต์แยกย้ายกันออกไปไกลทางทุ่งนามันทำให้เธอรู้สึกค่อนค้างมืดหม่น มันไม่ใช่ความผิดของรถ —แต่มันเป็นความผิดของลาซูไลน์และอาจารย์ของเธอต่างหาก เวลามันผ่านไปครึ่งวันแล้วตั้งแต่ที่พวกเธอเจอกันเพื่อท้าดวล
ลาซูไลน์วางกล่องกระดาษที่มีขนาดเท่าแขนของเธอลงบนพื้นเพื่อตรวจสอบสิ่งที่อยู่ด้านใน
“นั่นอะไรน่ะ?” พานาสถาม
“อาวุธลับที่เค้าเพิ่งได้มาน่ะ แม้ว่ามันจะมีข้อบกพร่องเรื่องขนาดใหญ่เทอะทะไปหน่อยก็เถอะ”
“อาวุธลับงั้นเหรอ? แผนต่อไปของเธอจะทำอะไรกันน่ะ? แล้วจะทำไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย? อาจารย์ของเธออยากจะทำอะไรกันแน่?”
“ใจเย็นๆก่อนนะ” ลาซูไลน์ดึงเอาบางอย่างที่ดูเหมือนกับสมุดจดออกมาจากใต้ผ้าคลุมแล้วก็เปิดมัน “ตามกำหนดการณ์ที่อาจารย์ของเค้าทำไว้ มันคือเวลาที่ต้อง… อ๊ะ นี่ไง”
ในจังหวะที่สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังมานั้น พานาสุตั้งท่าพร้อมสู้ เธอเห็นอะไรบางอย่างมากกว่าสิบตัวปรากฎขึ้นภายในโรงยิมและล้อมลาซูไลน์และพานาสุเอาไว้แล้ว พวกมันไม่ได้วิ่งหรือเดินเข้ามาหา —ความมืดไร้รูปทรง “บางสิ่ง” ที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้น มันทำให้พานาสุนึกถึงปีกของมาโอแพมที่เป็นอาจารย์ของเธอ เธอมองไม่เห็นท่าทางบนใบหน้าของพวกมัน แต่สัมผัสได้ถึงความไม่ลังเลแและไม่หวาดหลัวจากพวกมัน
เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ในโรงยิมเท่านั้น แต่ข้างนอกนั้นก็ยังมีอยู่อีกด้วย พวกมันบิดตัวและเคลื่อนที่ไปมา
“จบกันซักที!” มีเสียงดังมาจากทางเข้า นั่นคือเมจิคัลเกิร์ลชุดดำที่เจอกันตรงคลังสินค้าริมท่าเรือ จากด้านหลังของอะไรที่บิดไปมานั้น เธอก็จ้องมาที่ลาซูไลน์แบบหมายเอาชีวิต เธอยกกล่องไม้สีดำขึ้นสูงแล้วปามันลงไปที่พื้น กล่องมันแตกพร้อมกับบานพับที่หลุดกระเด็น มันแตกกระจายและปลิวไปกับลม ที่ด้านในนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย
“เอากล่องเปล่าโง่ๆมาให้ฉันเนี่ยนะ! เธออาจพยายามเอาชนะพวกเราก็จริง แต่ก็หนีไปไม่รอดหรอก!”
“ถ้าเค้าคืนสิ่งที่ให้มา จะยกโทษให้เค้ารึเปล่า?” เสียงของลาซูไลน์นั้นสงบนิ่ง
“แค่คืนมามันยังไม่พอหรอก เธอน่ะต้องชดใช้ด้วย มอบผลวิจัยที่มีทั้งหมดมาให้พวกเราซะ แล้วพวกเราจะยกโทษให้”
“เอ่อ เรื่องนั้นเค้าไม่รู้หรอก… โน๊ตของอาจารย์บอกว่าจะไม่ให้ด้วย”
“ถ้าเธอไม่ให้มาล่ะก็ แบบนั้นมันก็มีเหตุผลให้ทำแบบนี้แล้ว” เมจิคัลเกิร์ลชุดดำยกมือขวาของเธอขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ดีดนิ้ว ลาซูไลน์ก็กระโดดเตะเข้าไปที่อะไรบางอย่างที่ปกป้องเมจิคัลเกิร์ลเอาไว้แบบที่ไม่มีท่าทีอะไรบ่งบอก มันปลิวออกไปนอกประตูพร้อมๆกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
พานาสุกระโดดไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีของศัตรูที่จะเข้ามาจับเธอ หลังจากนั้นลาซูไลน์ก็เข้ามาต่อยพวกมันด้วยหมัด และพวกมันก็แตกตัวออกอย่างรุนแรงเหมือนกับบอลลูน
ลาซูไลน์ต่อยเข้าไปที่เจ้าพวกนั้นอีกสามตัว เจ้าพวกนั้นหยุดวิ่งเข้ามาหาพวกเธออย่างดุร้าย แล้วล้อมลาซูไลน์กับพานาสุเอาไว้จากระยะไกลแทน เหมือนว่าพวกนั้นจะมีสมองอยู่บ้าง เพราะพวกมันค่อยๆบีบวงล้อมรอบตัวพวกเธอเข้ามาอย่างช้าๆ ลาซูไลน์มองไปยังจุดที่เธอโยนเมจิคัลเกิร์ลชุดดำออกไป แล้วก็พูดว่า “โอ๊ะ” ออกมา เด็กสาวนั้นอยู่ที่ทางเข้าโรงยิม เธอถือไหใบใหญ่เอาไว้บนไหล่ และมีอะไรบางอย่างไหลออกมาจากมันเหมือนกับโคลนแล้วก็กลายเป็นรูปร่าง พวกมันออกมาอย่างรวดเร็ว จนทั่วทั้งโรงยิมกำลังจะเต็มไปด้วยสิ่งสีดำ
“พวกมันมีเยอะเลยนะ” พานาสุพูด
“อื้อ”
พานาสุค่อนข้างกังวลมาก เธอคิดว่าลาซูไลน์จะมาพึ่งพาเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็จะช่วย แต่ลาซูไลน์ก็เอาลูกบอลเล็กๆออกมาจากกล่องกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างสงบนิ่ง มันเป็นลูกบอลประเภทที่เห็นได้ในเกมช้อนลูกบอลในตลาดกลางคืน
“ลูกบอลเด้ง…”
“พวกนี้คือลาซูไลน์บอล มันมีเศษอัญมณีอยู่ด้านในด้วย”
“หือ…?”
“พวกเด็กๆจากที่พวกเราไปอบเค้กกันทำให้เค้าน่ะ”
การขว้างมันด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ลทำให้เกิดการกระเด้งกระดอนแบบนับครั้งไม่ถ้วนอย่างรวดเร็วไปทั่วโรงยิม จากกำแพงด้านหนึ่งไปยังกำแพงอีกด้านหนึ่ง จากหลังคามายังพื้น จากนั้นหนึ่งในลูกบอลก็กลายเป็นลาซูไลน์ ไม่สิ —ไม่ได้กลายเป็นลาซูไลน์ เธอเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ลูกบอลอยู่ในพริบตาต่างหาก
ลาซูไลน์ดีดตัวจากกำแพงแบบสามจังหวะ เธอกระทืบลงไปที่พื้นเพื่อโจมตีศัตรู และในจังหวะเดียวกัน ที่ด้านในสุดอีกด้านหนึ่งของโรงยิม เธอก็เปลี่ยนจากการเตะกวาดต่ำเป็นใช้ส้นเท้าตอกลงมาเหมือนกับขวาน
ลูกบอลยางเด้งไปทั่วโรงยิม มันเด้งในรูปแบบที่ผิดปกติจนทำให้ยากต่อการมองตามเธอทันด้วยสายตา
ลาซูไลน์ดีดลูกบอลยางออกไปพร้อมกับผ้าคลุมที่พริ้วไหว จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในตำแหน่งที่เธอเพิ่งจะส่งลูกบอลมา เธอใช้แรงสะท้อนในการต่อยศัตรูเพื่อทำให้ลูกบอลอีกลูกกระเด้ง จากนั้นเธอก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งตรงปลายวิถีการเคลื่อนไหว เธอเคลื่อนตัวไปรอบๆสถานที่เพื่อจัดการศัตรูด้วยการเคลื่อนไหวที่สามารถทำให้ตาพร่ามัว
พานาสุรู้สึกหลงไหลที่ลาซูไลน์เคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล ราวกับเธอรู้ว่าศัตรูทุกตัวนั้นอยู่ตรงจุดไหน เธอปล่อยหมัดแย็บ หมัดแย็บ หมัดฮุค อัปเปอร์คัท แล้วก็หมัดตรงเป็นคอมโบในการจัดการศัตรูแต่ละตัวที่อยู่คนละจุด เธอเตะต่ำ กลาง สูง หมุนตัวเตะ —การผสานการเคลื่อนไหวด้วยเทคนิคที่เธอใช้กับหลายๆเป้าหมายแบบนี้มันทำให้การคาดเดาของคู่ต่อสู้แต่ละคนหายไป
ศัตรูนั้นปลิวไปทุกทิศทุกทางจนทำลายกำแพงของโรงยิม แต่ด้วยจำนวนของมันแล้วก็ไม่ได้ลดลงเลย พวกมันโผล่ออกมาจากสถานที่ที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจง ทั้งออกมาที่ลานจอดรถ สนามด้านนอก และภายในโรงยิม
ศัตรูเข้ามาหาพานาสุเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะอยู่เฉยๆแล้วรับการโจมตี
เธอยกมือซ้ายขึ้นแล้วพูดว่า “ยอร์มุงกันด์!”
หางของมังกรที่ยาวกว่าสิบเมตรหั่นทุกอย่างในบริเวณโดยรอบ แต่พวกสีดำหลายตัวนั้นก็รวมตัวเพื่อหยุดเอาไว้ พวกมันแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดซะอีก
เธอยกมือซ้ายขึ้นแล้วพูดว่า “นีดฮ็อกเกอร์!”
กรามมังกรขย้ำเข้าไปที่พวกสีดำ ฉีกกระชากพวกมันด้วยคมเขี้ยว และยิ่งกว่านั้น ลมหายใจที่เป็นเปลวเพลิงก็เผาบริเวณโดยรอบจนไหม้เกรียม พวกศัตรูกลายเป็นไอโดยไม่ทันได้กรีดร้อง เธอเผาพื้นโรงยิม หลอมละลายทุกส่วนที่เป็นโลหะ จนทำให้มองเห็นส่วนในของสิ่งก่อสร้าง พานาสุปิดปากตัวเองแล้วถอยออกไปเพื่อหนีจากแก๊สและไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูง
“แกคือมังกรคู่ พานาสุจากโรงเรียนกวดวิชามาโอจริงๆด้วย! ฉันรู้จักเวทมนตร์นั้น!” เมจิคัลเกิร์ลชุดดำตะโกนเข้ามาจากด้านนอกของประตู
พานาสุตะโกนกลับไป “ไม่หรอก ชั้นแค่เคารพเวทมนตร์ของเธอเท่านั้นเอง!” เธอตัดสินใจทำเป็นไม่รู้เรื่องจนจบ
การต่อสู้อันดุเดือดมันทำให้โรงยิมพังถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะมีแต่ทุ่งนา มันก็ยังคงสร้างความวุ่นวายขึ้น ไม่มีทางที่จะไม่มีใครไม่รู้ตัวอยู่แล้ว แล้วเมื่อไซเรนของรถตำรวจกับรถพยาบาลเริ่มส่งเสียง ศัตรูก็หนีไป ลาซูไลน์กับพานาสุเองก็วิ่งเข้าไปในป่าที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนเจอตัว
พานาสุรู้สึกเหนื่อย แม้จะเป็นการฝึกฝนนรกแตกของโรงเรียนกวดวิชามาโอมันก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้เลย ไม่ใช่ว่าเธอแค่เหนื่อยจากการต่อสู้ —แต่จิตใจของเธอเองก็เช่นกัน
ลาซูไลน์ยื่นมือมาหาพานาสุที่เอนตัวพิงกับต้นไม้ใหญ่ “โอเค พานัจจิ เค้าทำธุระของอาจารย์เสร็จแล้ว ในที่สุดพวกเราก็สู้กันได้แล้วนะ”
“อ่าาา…โอเค แต่ว่าเรื่องโรงยิม…เรื่องค่าชดใช้…”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะ จริงๆแล้วนายกเทศมนตรีของที่นี่อยากจะสร้างมันใหม่เพราะได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง แต่โรงยิมมันยังใหม่เกินไป แถมไม่ได้มีอะไรพังเลย เพราะแบบนั้นเขาถึงกังวลน่ะ การทำลายมันก็คือหนึ่งในธุระของอาจารย์เค้าล่ะ”
การได้ยินเรื่องสกปรกสุดๆแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้พานาสุหดหู่เข้าไปอีก เธอยื่นมือเข้าไปหาลาซูไลน์แล้วก็ยกตัวเองขึ้นมา และในตอนนั้นลาซูไลน์ก็ยิ้มออกมาแบบสดใสที่สุดของวัน
“พานัจจิอยากไปร้านราเม็งร้านไหนเหรอ? พานัจจิรู้จักร้านดีๆใช่ไหม?”
พานาสุนั้นมองกลับมาที่ลาซูไลน์แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนี้ลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าทำไมพานาสุถึงตัวติดกับเธออยู่ตลอดเวลา แต่พานาสุก็ไม่เหลือแรงที่จะดุเธออีกแล้ว
พานาสุหันกลับไปหาลาซูไลน์พร้อมกับกลืนการถอนหายใจของตัวเองลงไป แล้วก็พยักหน้า “มีร้านที่อยู่แถวนี้เสิร์ฟราเม็งแกงกะหรี่อร่อยๆด้วย”
“หวา ราเม็งแกงกะหรี่! เค้าไม่เคยกินมาก่อนเลย!”
“เธอจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเคยมีชีวิตมาก่อนจนกว่าจะได้กินราเม็งแกงกะหรี่เลยล่ะ”
พานาสุเอานิ้วสอดเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างคอเสื้อและเนคไทเพื่อที่จะคลายเนคไทออก จากนั้นเมจิคัลเกิร์ลสีฟ้าก็เริ่มเดินไปหาร้านราเม็ง
——— Magical Girl Raising Project Arc 5.1: episodes Φ [จบภาค] ——–
จากผู้แปล
เจอกันใหม่ใน peaceful day กับ queens ปีหน้าจ้า
MANGA DISCUSSION