พริมูล่า ฟาริโนซ่า
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังจากเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค JOKERS จบลง
☆ มาริโกะ ฟุคุโรอิ
มาริโกะ ฟุคุโรอิรู้จักมาริกะ ฟุคุโรอิ ร่างเมจิคัลเกิร์ลของตัวเองดียิ่งกว่าใครๆ
มาริกะ ฟุคุโรอิใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มาริโกะเองก็ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองพึงพอใจเช่นกัน แต่มาริกะนั้นจะอยู่ในอีกระดับหนึ่ง
ทุกคนที่รู้จักมาริกะนั้นยอมรับอย่างน่ารำคาญว่า “ใช่ เธอทำในสิ่งที่เธอต้องการนั่นแหละ” และตัวของมาริกะเองก็ยอมรับเช่นกัน เธอสู้กับคนที่อยู่รอบๆตัว ต่อยทุกคนที่เธอไม่ชอบหน้า เตะเข้าใส่แม้กระทั่งคนที่เธอชอบ —การใช้ชีวิตของเธอมันสร้างความรำคาญให้ทุกคนนอกจากตัวของเธอเอง แต่กระนั้นเธอก็ยังคงสนุกสนานอย่างไม่คิดอะไรเลย
ในครั้งแรกที่เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เธอก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เธอสนุกสนานกับพลังใหม่ที่ได้มาของตัวเองแล้ววิ่งอย่างสนุกสนานไปทั่ว เธอคิดว่าแม้กระทั่งเด็กประถมในวันทัศนศึกษาก็ยังไม่เป็นขนาดนี้เลย เธอนั้นดีใจมาก เธอหักเสาโทรศัพท์จนถูกผู้คุมการทดสอบดุด้วย เธอคิดว่าจะจัดการผู้คุมการทดสอบของตัวเองทิ้งแต่ก็ยั้งมือเอาไว้แทน
ผู้คุมการทดสอบของเธอคือผู้มีประสบการณ์จากโรงเรียนกวดวิชามาโอ เธอไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดจะมาถูกมือใหม่จัดการโดยการลอบโจมตีด้วย
มาริกะไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องการสูญเสียหรือท้อแท้เลย —ความจริงแล้วเธอนั้นรู้สึกตื่นเต้น การได้พบกับคนอื่นๆที่แข็งแกร่งเหมือนกับตัวเองมันทำให้เธออยากจะลองทดสอบว่าตัวเองจะไปได้ไกลขนาดไหน และมาริกะ ฟุคุโรอิก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
มันไม่ใช่ว่ามาริกะและมาริโกะมีสองบุคลิกที่แตกต่างกัน พวกเธอแบ่งปันจิตสำนึกร่วมกัน แต่มาริกะนั้นมีความเป็นอิสระมากกว่าเล็กน้อยและควบคุมได้ยากกว่ามาริโกะ
วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ในขณะที่มาริกะยังคงแสดงความดุร้ายออกมาตามใจชอบ มาริโกะก็ยังคงสนับสนุนเธอแล้วค้นคว้าอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น โชคดีที่เธอมีทรัพย์สมบัติและอสังหาริมทรัพย์ที่สืบทอดมาจากพ่อมากพอจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยค่าเช่าเพียงอย่างเดียว เธอมีเวลาว่างมากพอที่จะไล่ตามงานอดิเรกของตัวเองโดยไม่ต้องทำงานประจำ การเป็นเมจิคัลเกิร์ลแบบเต็มเวลามันควรจะเป็นงานที่ใครซักคนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการจ้างงานทำมัน
เธอติดตั้งล็อคสามชั้นไว้ที่ประตูห้องวิจัยของตัวเอง เธอฝากมันเอาไว้กับบริษัทรักษาความปลอดภัยในตอนที่ออกไปข้างนอก เธอมองหากุญแจรถของครอบครัวแล้วมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถที่อยู่ริมถนน ห้องวิจัยของเธอปิดตัวลงชั่วคราว เธอพักเรื่องงานวิจัยทั้งหมดเอาไว้ เหลือไว้แค่ระบบไฟฟ้าสำหรับพืชเท่านั้น
“การวิจัยเวทมนตร์ของมาริกะ” คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของมาริโกะ มันคือสิ่งที่สำคัญและล้ำค่าที่สุด เมล็ดพืชที่งอกบนหัวของเธอนั้น เธอสามารถขยายหรือเพิ่มความสามารถของเวทมนตร์ได้โดยปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในการปลูก อย่างเช่นปริมาณแสงแดดหรือน้ำที่ให้ ปรับเปลี่ยนส่วนประกอบของอากาศ เพิ่มสารอาหารเวทมนตร์และฮอร์โมนลงไป เธอแลกเปลี่ยนเทคนิคกับจอมเวทไม่กี่คนที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในสำนักงานแล้วจากนั้นก็มอบผลวิจัยของเธอให้กับคนพวกนั้น ซึ่งมันทำให้เธอได้รับอุปกรณ์ที่ดีกว่าเช่นเดียวกับจอมเวทที่ได้องค์ความรู้ และทุกครั้งที่เธอสามารถทำอะไรใหม่ๆได้ เธอก็จะได้รับเงินมากขึ้นและสามารถยกระดับพืชที่อยู่ในห้องวิจัยได้
เมล็ดพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เป็นอาหาร มันจึงทำให้คนอื่นคิดว่า ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐีค้นคว้าอะไรบางอย่างเพื่อความสนุกอยู่งั้นสิ ฉันล่ะไม่เข้าใจเลย เมื่อคนอื่นถามว่า “นี่ลูกสาวเป็นคนยังไงกันน่ะ?” มากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง คนเป็นพ่อแม่เองก็ต้องตอบสนองด้วยความโกรธไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไง แต่กระนั้น สำหรับมาริโกะและมาริกะแล้ว การวิจัยมันมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
แล้วอะไรที่ทำให้เธอละทิ้งความสำคัญขนาดนี้ไปกันล่ะ?
ภายในรถ เธอเอามือถือออกมาและตรวจสอบข้อความ ผู้คนหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนที่จะไปทำงานในวันรุ่งขึ้นติดต่อเธอมา คนพวกนั้นทักทายว่า วันพรุ่งนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ และยังมีข้อความที่บอกว่า ฉันอยากคุยกับคุณ กรุณาติดต่อมาด้วยนะ บางคนก็ส่งความมาสอบถามแบบว่า ร้านนี้โอเคไหมสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับ? ผู้คนเหล่านี้ติดต่อเธอผ่านมาทางอีเมล ถ้าหากรวมข้อความแสปมด้วยล่ะก็มันจะกินพื้นที่หน้าจอมือถือทั้งหมดไปเลย เธอขี้เกียจที่จะจัดความสำคัญของข้อความพวกนั้นไว้ด้านบน และนี่คือสิ่งที่เธอเป็น
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องข้อความแล้ว มันก็มีเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญอยู่ เธอคิดเช่นนั้นและดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมา เธอตรวจสอบกล่องข่อความแต่มันก็ไม่มีอะไรอยู่เลย มันอาจจะมีบางคนที่ติดต่อมาหามาริโกะ ฟุคุโรอิก็จริง แต่มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลแม้แต่คนเดียวที่อยากติดต่อมาหามาริกะ ฟุคุโรอิ สุดท้ายแล้วเธอก็มองดูประวัติข้อความ ซึ่งมันก็มีสไตล์เลอร์ มิมิเพียงคนเดียว
ตอนนี้สไตล์เลอร์ มิมิไม่อยู่อีกแล้ว แม้ว่าช่างเสริมสวยจะสาปแช่งมาริกะทุกครั้งที่มาหา แต่มาริกะก็ให้เธอเข้ามาในบ้าน ในตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว มันจึงไม่มีใครที่มาริกะสามารถชวนมาได้เลย ความสัมพันธ์ของเธอกับอามี่และโมนาโกะเองก็อยู่ในระดับที่ไปเที่ยวด้วยกันเมื่ออยากจะไป บ่อยครั้งเธอก็ติดต่อไปหาไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่าอีกด้วย
มาริโกะปิดเมจิคัลโฟนของเธอไป เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้รับข้อความอะไรเข้ามาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการตรวจดู ส่วนเรื่องที่จะลบที่อยู่ของมิมินั้น หลังจากที่เธอคิดแล้ว เธอก็หยุดเอาไว้และโยนเมจิคัลโฟนของเธอลงไปในกระเป๋า
“แม้ว่าชั้นจะอยู่กับทุกคนจนกว่าคุณทาโดโคโระจะกลับมา แต่ชั้นก็ดีใจที่ได้เจอกับทุกคนนะ”
เธอยิ้มออกมาและโค้งตัวคำนับ จากนั้นก็มีเสียงปรบมือและเสียงพึมพำเบาๆตามมา อย่างที่คิดเอาไว้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายที่เน้นเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นมันจะมีการกระซิบกระซาบกันเล็กๆในตอนประกาศช่วงเช้า แต่พวกเธอก็จ้องมองมาอย่างรุนแรง บางทีผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้จะระมัดระวังเรื่องคนแปลกหน้ามากก็ได้ แถมสายตาของอาจารย์ก็ไม่ได้ต่างจากพวกนักเรียนเลย ไม่สิ —บางทีอาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันมีความรู้สึกว่าไม่อยากให้ผู้บุกรุกเข้ามายุ่งกับสวนเล็กๆของตัวเองรวมอยู่ด้วย แม้พวกเธอจะยิ้ม แต่พวกเธอก็กำลังประเมินอยู่ว่าอาจารย์คนนี้เป็นคนแบบไหน
มาริโกะปรับแว่นของเธอ และแขนเสื้อแจ๊กเก็ตสีขาวยาวของเธอก็พริ้วไหวในตอนที่เธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงมุมของโรงยิม
เธอนั้นได้ใบรับรองการเป็นอาจารย์ในสมัยที่อยู่มหาวิทยาลัย เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันไม่ได้มีอันตรายอะไรหากมีมันอยู่ แต่มันกลับตรงกันข้ามกับที่เธอคิด มันนำพาอันตรายมาที่ตัวของเธอ เธอถูกบังคับให้ทำในเรื่องที่เธอไม่อยากทำ
สังคมมองมาริโกะว่าเป็นคนที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยของตัวเองจนไม่ได้ทำงานหรือแต่งงาน เพราะว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องงานวิจัยของเธอโดยไม่มีเรื่องเมจิคัลเกิร์ลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พ่อแม่ของเธอก็มองว่า “มันไม่ใช่อะไรที่น่าภูมิใจเลยนะ” “ไร้สาระ” ไม่ก็ “พวกเราไม่เห็นจะเข้าใจเลย” มันเป็นด้านมืดของครอบครัวฟุคุโรอิ และเมื่อหัวข้อนั้นถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น มันก็จะมีแต่ทำให้รู้สึกอึดอัด
พวกเขามีลูกสาวที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยใช้งานอดิเรกเรื่องการทดลองที่น่าสงสัยเป็นข้ออ้าง แน่นอนว่าถ้าเป็นพ่อคนแม่คนล่ะก็มันต้องอยากให้เธอกลับเข้าสู่สังคม พ่อแม่ของมาริโกะมักจะเอา “ความคิดดีๆ” มาให้เธอบ่อยๆ มันมักจะเป็นภาพและประวัติส่วนตัวของคู่สมรสที่ถูกจับคลุมถุงชนไม่ก็โอกาสเรื่องงาน เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์มาริโกะจะปฎิเสธมันไปแบบเรียบๆ แต่เธอก็รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ทำให้แม่ต้องร้องไห้ออกมา
ด้วยเหตุผลนี้ มันจึงกลายเป็นนิสัยของเธอที่จะยอมให้กับเรื่องใดซักเรื่องหนึ่งที่มันมีความยุ่งยากน้อยกว่าเรื่องอื่น เพื่อทำให้ตัวของเธอดูมีความตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมกับโลกใบนี้จริงๆ เธอรู้สึกแย่เรื่องของแม่หากเธอเป็นคนที่เพิ่มความเครียดให้แม่อยู่ตลอดเวลาเพราะทำให้เป็นห่วงเรื่องลูกสาว ดังนั้นเธอจึงต้องปลดปล่อยความเครียดของแม่ออกไปบ้าง
ในคราวนี้มันเป็นงานสอน เป็นงานชั่วคราวในโรงเรียนมัธยมปลายเอกชน โดยพื้นฐานแล้วเธอมาสอนแทนอาจารย์ที่ลาคลอด พ่อแม่ของเธอใช้เส้นสายที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีผลักมาริโกะเข้าไปในจุดนั้น
การทำเช่นนี้มันทำให้มาริโกะรู้สึกแย่กับทุกคนที่มารายล้อมเธอเพราะความคาดหวัง คนที่จริงจังในเรื่องการสอนอย่างแท้จริงอาจพูดกับเธอว่า “ฉันล่ะสงสารนักเรียนที่ถูกสอนโดยอาจารย์อย่างเธอซะจริง” แต่เธอก็มีเหตุผลของตัวเองในเรื่องนี้เช่นกัน
“คุณอายุเท่าไหร่น่ะ?”
“แต่งงานแล้วรึยัง?”
“ใช้แชมพูแบบไหนเหรอ?”
“มีแฟนรึเปล่า?”
“ทำไมถึงสวมเสื้อกาวน์ตอนพิธีเปิดล่ะ?”
มาริโกะเดินกลับมาที่ห้องพักอาจารย์แล้วก็เดินไปรอบๆเพื่อทำความเคารพบุคคลที่สำคัญตามลำดับโดยไม่ได้สนใจคำถามของเด็กผู้หญิงที่เข้ามาหาเธอหลังจากช่วงประกาศในตอนเช้า เมื่อเธอทักทายทุกคนเรียบร้อยแล้ว เธอก็แจกนามบัตรของตัวเอง แต่มันก็ยังมีสิ่งที่คาดหวังได้มากกว่าการจัดการเรื่องต่างๆได้อย่างราบลื่นเพียงแค่ก้มหัวอยู่ด้วย นั่นคือการบอกว่าลูกสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่ขาดทักษะทางสังคมอย่างที่พ่อแม่ของเธอคิดหรอกนะ
วันนั้นมันไม่มีการเรียนการสอน แต่ก็มีหลายสิ่งที่เธอต้องทำ การทักทายก็คือหนึ่งในนั้นแต่เรื่องประชุมเองก็ด้วย เธออยากเห็นใบหน้าของนักเรียน และยังมีหลายเรื่องที่เธออยากคุยกับอาจารย์คนอื่น เธออยากเห็นห้องวิทยาศาสตร์ และอยากตรวจดูว่ามีอุปกรณ์แบบไหนอยู่ภายในห้องเก็บอุปกรณ์วิทยาศาสตร์อีกด้วย อยากรู้เรื่องกิจกรรมของชมรมวิทยาศาสตร์ว่าทำอะไรแบบไหน และต้องเผื่อเวลาเอาไว้สำหรับงานเลี้ยงต้อนรับด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไปดื่มกันต่อหลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้วอีกด้วย การพบปะกับเพื่อนร่วมงานนั้นคือเรื่องสำคัญ อย่างน้อยเธอก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้
เธอจัดการเรื่องต่างๆที่ต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ และเมื่อถึงเวลาผ่านไปจนถึงเวลาที่สามารถพักได้ ดวงอาทิตย์มันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว งานแบบนี้ก็ไม่ใช่งานที่น่าเบื่ออะไร ตัวของเธอเองก็ค่อยๆเริ่มรู้สึกสนุก อีกอย่างหนึ่ง บรรยากาศของโรงเรียนก็ไม่ได้แย่เช่นกัน มันทำให้เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องดีๆสมัยที่ยังเป็นนักเรียนด้วย
เธอเอากุญแจออกมาจากตู้ในห้องพักอาจารย์ จากนั้นก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อมองลงมาที่สนามกีฬา ทีมเบสบอลกำลังวอร์มอัพ และชมรมฟุตบอลกำลังวิ่งอยู่รอบๆ แถมโรงเรียนนี้มีแม้กระทั่งทีมลาครอสอีกด้วย
โดยปกติแล้วประตูจะถูกล็อคเอาไว้ มันจึงไม่มีใครขึ้นมาบนดาดฟ้า ประตูนั้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะสนิม รางระบายน้ำก็เต็มไปด้วยใบไม้จนไม่มีช่องว่าง มันจึงทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาใหม่ๆเอ่อล้นออกมา บางทีนี่คงจะเป็นการใช้เหตุผลมากกว่าการละเลยส่วนหนึ่งของโรงเรียน เพราะมันไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษาพื้นที่ที่ถูกล็อคเอาไว้ตลอดเวลา
มาริโกะตรวจดูว่ากำแพงนั้นไม่ได้สกปรกก่อนที่เธอจะเอนตัวพิง ถ้าเธอเดินไปที่รั้ว นักเรียนที่วิ่งอยู่บนสนามอาจจะเห็นเธอได้ เธอเพิ่งจะถูกจ้างมา ดังนั้นการไม่ปล่อยให้คนอื่นเห็นเธอกระทำผิดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้อาจจะดีกว่า แม้จะเป็นกำแพง เธอก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้มากเพียงพอ ดาดฟ้ามันเป็นจุดที่ดีสำหรับเรื่องนี้
มีเรื่องยุ่งยากมากมาย แต่เหมือนว่างานนี้เองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
กลิ่นของเกลือโชยมาจากทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตก ทิวทัศน์ที่เธอมองอยู่นี้มีข้อเสียเพียงข้อเดียวก็คือหอคอยเหล็กสูงทางทิศใต้ เธอสามารถมองเห็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่มีความหลากหลายซึ่งมีความสูงปานกลาง —บางทีมันอาจจะเป็นร้านค้าประเภทที่ตัวอักษรบนป้ายไฟนีออนจะส่องสว่างตอนกลางคืนก็ได้
เมื่อมองไปที่รั้วโรงเรียน เธอก็มองเห็นนักเรียนกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน บางคนนั้นเงียบและสายตาก็จ้องมองลงไปที่เท้าตัวเอง บางคนก็พูดจ้อกับเพื่อน บางคนก็หัวเราะ บางคนนั้นก็โต้เถียงกัน ตอนที่เธอเป็นเด็กมันเป็นยังไงกันนะ? เธอพบว่าการพูดมันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเกินไปจนเธอมีเพื่อนแค่สองหรือสามคน จนบางทีคนอื่นอาจคิดว่าเธอหัวดื้อ หากตอนนี้เธอยังเรียนอยู่ เธอคงต้องทำตัวให้เข้ากับคนอื่นให้ง่ายกว่านี้ แค่คิดถึงเรื่องแบบนี้มันก็สนุกในตัวของมันเองแล้ว
แต่เธอก็ไม่ควรจะรู้สึกสนุกเลย มาริโกะดูนาฬิกาของเธอ บางทีคงพักนานไปหน่อยแล้วสิ เธอคิดเช่นนั้น สามสิบนาทีมันนานไปหน่อยสำหรับการพัก
เธอรีบเดินกลับไปที่ห้องพักอาจารย์ และในตอนที่เธอเดินมาถึงมุมทางเดินนั้น เธอก็ได้ยินเสียงเด็กสาวคุยกันอยู่ด้านหน้า แต่ไม่ว่ามาริโกะจะดูร่าเริงแค่ไหน เธอก็ไม่ได้ประมาทจนจะไปเดินชนคนอื่นเลย เธอเดินผ่านนักเรียนคนอื่นอย่างใจเย็น ก้มหน้าพร้อมกับพูดว่า “อ๊ะ ขอโทษนะ” จนเธอมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง
เธอไม่ใช่คนที่โดดเด่น จริงๆแล้วเธอดูธรรมดาด้วยซ้ำ เสื้อผ้าและทรงผมเองก็ทำตามกฎระเบียบของโรงเรียน มาริโกะเคยเห็นใบหน้าของเธอจากที่ไหนซักแห่ง —แต่มันที่ไหนกันนะ? ในตอนที่เธอจำเด็กสาวที่เดินผ่านมาได้ เธอก็จับแขนของเด็กสาวเพื่อรั้งตัวเอาไว้ เด็กสาวนั้นดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย และมองกลับมาที่มาริโกะด้วยความสงสัยและความกระวนกระวาย
นี่คือเด็กสาวที่คนที่ต่อต้านคำสอนของมาโอแพม คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ของมาริกะอย่างใจเย็น มาโอแพมนั้นคอยตอกย้ำอยู่เสมอราวกับเป็นการสวดมนต์ว่า “ห้ามคลายการแปลงร่างในสนามรบ” ในห้องวิจัยใต้ดินที่เต็มไปด้วยเมจิคัลเกิร์ล คนๆเดียวที่ทิ้งความประทับใจอันชัดเจนที่สุดไว้กับมาริโกะก็คือเด็กสาวที่เป็นมนุษย์คนนี้
เด็กสาวมองมาที่มาริโกะ เธอรอคอยอย่างคาดหวังว่ามาริโกะจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่เป็นเพราะมาริโกะหยุดเธอไว้โดยไม่ทันได้คิด มันจึงไม่มีคำพูดอะไรออกมาเลย เด็กสาวนั้นยังคงสับสน และในตอนนี้ มาริโกะก็รู้สึกตัวว่าเด็กสาวอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของเธอ หนึ่งในนั้นกำลังใช้ข้อศอกมาสะกิดที่สีข้างของเด็กสาว
“นี่โคยูกิรู้จักอาจารย์คนนี้ด้วยเหรอ?”
เด็กสาวอีกคนก็พูดตัดบททันที “ขอโทษนะอาจารย์ เธอน่ะพลาดพิธีเปิดไปตั้งครึ่งนึง ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องของอาจารย์หรอก”
สโนไวท์ หรือที่รู้จักกันในนาม “นักล่าเมจิคัลเกิร์ล” มาริกะได้เห็นเธอกลับไปเป็นร่างมนุษย์ในตอนที่มาริกะออกไปค้นหาเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ที่อยู่ใต้ดิน หลายคนสูญเสียชีวิต ในหมู่พวกนั้นก็มีสไตล์เลอร์ มิมิ คนที่มาริกะ ฟุคุโรอิบังคับให้มาอยู่ด้วย มาริโกะคิดย้อนกลับไปตอนนั้นในตอนที่เธออยู่บนเตียงของโรงพยาบาลอีกครั้งและอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็มีเรื่องเล็กๆเข้ามาภายในใจของเธอ มันไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ? มันไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงความตายเลยรึไง?
ความคิดของเธอกำลังโลดแล่น แต่ในตอนนี้มันมีเรื่องที่เธอควรจะคิดอยู่ เธอจึงหันกลับมาสู่ความเป็นจริง
เธอควรจะพูดอะไรออกมาเป็นอย่างแรกดีนะ? เธอควรพูดมันออกมายังไงดี?
เสียงเชียร์ดังขึ้นมาจากทั่วสนาม สโนไวท์ —หรือโคยูกิ— นั้นมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียง ท่าทางของเธอดูอ่อนโยน —บางทีอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ใต้ดิน เธอดูเหมือนกับเป็นเด็กสาวธรรมดาจริงๆ
“อ๊ะ โทษทีนะ” สุดท้ายแล้ว มาริโกะก็คิดอะไรไม่ออกเลย ดังนั้นเธอจึงขอโทษและปล่อยแขนของโคยูกิ เธอสงสัยว่าจะอธิบายคำพูดที่อยู่ภายในใจของเธอยังไงดี และก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรนั้น โคยูกิก็ก้มหน้าของเธอลง
“…ขอตัวก่อน”
โคยูกิเริ่มเดินออกไปผ่านมาริโกะ และเพื่อนสองคนของเธอก็ตามหลังไปพร้อมพูดว่า “นี่ เดี๋ยวสิ!” และ “อะไรล่ะนั่น? คนรู้จักเหรอ?”
มาริโกะหันกลับมามองพวกเธอที่เดินออกไป จากนั้นก็เอามือสอดเข้าไปในเส้นผมพร้อมกับถอนหายใจออกมา ในตอนนี้เธอตั้งสติได้มากพอที่จะตรวจดูสิ่งที่อยู่รอบๆตัวอีกครั้งแล้ว นักเรียนที่เดินอยู่ที่โถงทางเดินมองมาที่พวกเธอ —บางคนมองมาด้วยความสอดรู้สอดเห็น บางคนมองมาด้วยความสงสัย บางคนก็มองมาราวกับว่าเป็นเรื่องสนุก เหมือนกับว่ามาริโกะนั้นดึงความสนใจมาที่ตัวเอง —และมันก็ไม่ใช่ในทางที่ดี
เสียงเชียร์ที่อยู่นอกหน้าต่างค่อยๆเงียบลงแล้ว มาริโกะเองจึงจัดปกคอเสื้อโค้ทสีขาวของเธอให้เรียบร้อย
☆ โคยูกิ ฮิเมคาวะ
เธอออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนสองคน —ซาริ คนที่เป็นเพื่อนกับเธอหลังจากที่เข้ามัธยมปลาย และโยชิโกะที่เป็นเพื่อนกับเธอมาตั้งแต่มัธยมต้น— โคยูกิเข้าไปในร้านพาร์เฟต์ตรงสี่แยกหน้าสถานีรถไฟ ร้านนี้เข้ามาเปิดแทนร้านฟาสต์ฟู้ดในตอนสมัยมัธยมต้น
“ผู้หญิงคนนั้นคืออาจารย์คนใหม่เหรอ?” โคยูกิถาม
“อื้อ อื้อ คุณทาโดโคโระน่ะอยู่ระหว่างลาคลอดใช่ไหม? นั่นคงเป็นอาจารย์วิทยาศาสตร์ที่มาแทนแหละ โคยูกิไม่รู้เพราะโดดเรียนใช่ไหมล่ะ?”
“ฉันไม่ได้โดดเรียนซักหน่อย! แค่มาสายเองนะ”
“พวกผู้ชายนี่สติแตกกันหมดเลย! แถมทุกคนก็เอาแต่ซุบซิบกันด้วยล่ะ”
“เธอนี่ดูสติแตกกว่าพวกผู้ชายอีกนะ ซาริ” โยชิโกะพูด
“ก็มันเป็นเรื่องของมารยาทที่ดีนะพอเวลาเห็นใครสวยๆแล้วสติแตกเนี่ย แถมรูปร่างดีด้วยนี่นา? แว่นตากับท่าทางจริงจังมันเหมาะกับช่วงกลางวันนะ แต่เราพนันได้เลยว่าตอนกลางคืนเนี่ยต่างกันสุดๆแน่… หึหึ”
“นี่ทำไมพวกเราต้องมาฟังเธอพูดอะไรน่าเกลียดแบบนี้ด้วยเนี่ย?”
“แล้วโคยูกิล่ะว่าไง? ดูเหมือนคนนั้นจะรู้จักเธอนะ”
“อื้อ อื้อ! รู้จักกันได้ยังไงเหรอ?”
“ฉันไม่ได้รู้จักหรอก”
“เเเเอ๋?!” เพื่อนของโคยูกิตะโกนออกมา ซึ่งมีทั้งความประหลาดใจและผิดหวัง
“ไม่เอาน่า ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วมันคืออะไรกันล่ะ? ทำไมจู่ๆต้องมาจับแขนของเธอด้วย?”
“บางทีอาจจะลืมไปแล้วว่าเธอคือใครรึเปล่า?”
“ฉันคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นนะ… แต่จริงๆแล้วฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”
“เธอเองก็เป็นแบบนี้ตลอดเลยใช่ไหมล่ะ ซาริ? ที่ชอบลืมหน้าคนอื่นน่ะ” โยชิโกะพูด
“ตลอดเลยเหรอ? นี่ แบบนี้เราไม่ดีใจเลยนะ ทำหยั่งกับว่าเราเป็นพวกเอ๋อไปได้ มันไม่ใช่ความผิดเราซักหน่อยนี่นา —ถ้าเราจะลืมใครซักคนล่ะก็ มันก็หมายความพวกนั้นไม่ได้ดูน่าจดจำพอต่างหากล่ะ!”
“งาย ทุกคน! คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
“อ๊ะ สุมิ!” ซาริพูด “ฟังนะ โยชิอ่ะใจร้ายสุดๆเลย!”
สุมิเระดึงเก้าอี้ออกมาพร้อมกับหลบเลี่ยงความพยายามของซาริที่จะเข้ามาเกาะตัวของเธอ เธอเข้าโรงเรียนมัธยมปลายคนละที่กับโยชิโกะ ซาริ และโคยูกิ แต่ถึงแม้จะอยู่ต่างโรงเรียนและต่างเครื่องแบบ พวกเธอก็ยังคงมาเจอกันหลังเลิกเรียนเช่นนี้หลายครั้ง และเธอเองก็สนิทกับซาริมากพอจนจะจีบกันได้ โยชิโกะนั้นพูดอยู่ตลอดว่า “ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเพื่อนซักคนที่โรงเรียนหรอกเหรอ?” ซึ่งไม่รู้ว่ากังวลหรือดูถูกกันแน่ แต่จากการสืบสวนของฟาลแล้ว ก็พบว่าสุมิเระนั้นมีเพื่อนและดูเหมือนว่าจะมีความสุขตอนอยู่ที่โรงเรียน
“นี่เธอจะบ่นทำไมเนี่ย? โยชิก็ใจร้ายอยู่ตลอดนี่นา” สุมิเระพูด
“อ๊ะ ว่าแล้วเชียว!”
“อื้อ ทุกครั้งที่ฉันกำลังสนุก ท่านหญิงผู้น่ารักคนนี้ก็จะยิงฉันร่วงลงมาทันทีเลยล่ะ”
“ทำไมถึงหัวข้อถึงเปลี่ยนมาเป็นชั้นเนี่ย? นี่พวกเรากำลังพูดเรื่องโคยูกิอยู่นะ”
“ฉันพูดถึงโยชิแทนได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“โคยูกิเองก็อย่าเปลี่ยนเรื่องไปอีกคนสิ!”
“แล้วโคยูกิมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“ดูเหมือนว่าอาจารย์คนใหม่จะรู้จักเธอ แต่โคยูกิบอกว่าไม่เคยกันมาก่อนน่ะ”
“หวา แรงนะนั่น โคยูกิ”
“แล้วโยชิอ่ะพยายามพูดเหมือนกับว่าเราเป็นพวกขี้ลืมด้วย! แต่ถ้ามีคนที่น่าจดจำแบบนั้นเราก็ไม่ลืมหรอก ใช่ไหมล่ะ? ถ้างั้นเราจะพูดแทนโคยูกิก็แล้วกัน เพราะอาจารย์เป็นคนที่น่าจดจำนี่นะ? คือเราหมายถึงเธอสวยน่ะ เพราะแบบนี้แหละเราถึงไม่ลืมมาริโกะ ฟุคุโรอิที่เป็นชื่อของเธอหรอก”
จากนั้นมันก็มีเสียงของเหลวพุ่งออกมาแล้วก็ตามด้วยเสียงร้อง และมันก็มีเสียงซุบซิบจากลูกค้าคนอื่นด้วย โคยูกิไอออกมา เธอแทบจะสำลักมิลค์เชคของตัวเอง —แต่จริงๆเธอก็สำลักไปแล้วนั่นแหละ
“หวา โคยูกิ?! เป็นอะไรเนี่ย?! เธอพ่นมิลค์เชคใส่ทุกคนเลยนะ!”
“อะ-เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่เป็นไร แค่สำลักนิดหน่อยน่ะ”
“รู้ไหม…” สุมิเระพูด “…ฉันจะขอบคุณมากเลยนะถ้าเธอเป็นห่วงฉันซักนิด เพราะฉันเนี่ยโดนมิลค์เชคของเธอพ่นใส่เต็มหน้าเลย”
“คือชั้นว่าถ้าเธอไม่พูดอะไรจะดีกว่านะ เพราะตอนนี้เธอเนี่ยดูน่าขยะแหยงสุดๆเลย” โยชิโกะพูด
“เดี๋ยวนะ ขอเราถ่ายรูปก่อน สุมินี่ดูยอดสุดๆเลย นี่ ตรงงงนี้! ยิ้มหน่อยยย! อ๊ะ ทั้งสองมือชูสองนิ้วด้วยก็ดีนะ”
“หวา ดูขยะแขยงกว่าเดิมอีก… นี่ ซาริ ส่งรูปนี้ให้ชั้นทีหลังด้วยนะ”
“ขะ-ขอโทษนะ สุมิ” โคยูกิขอโทษพนักงาน เพื่อนของเธอ และลูกค้าคนอื่นที่อยู่รอบๆ
มาริโกะ ฟุคุโรอิ —โคยูกิรู้จักชื่อที่คล้ายกันมากอยู่ชื่อหนึ่ง เธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่ผู้คนพูดกันว่าคลั่งการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา คนที่ถูกขับไล่ออกจากการชุมนุมต่อสู้ของโรงเรียนกวดวิชามาโอ เมื่อไม่นานมานี้ สโนไวท์ได้สู้ไปด้วยกันกับเธอในห้องวิจัยใต้ดิน มาริกะนั้นกล้าหาญเหมือนกับที่ข่าวลือว่าไว้ แต่โคยูกิไม่เคยจินตนาการว่าเธอออกปฎิบัติด้วยชื่อจริงของตัวเอง และอีกอย่างหนึ่ง —โคยูกิไม่คิดว่าเธอจะมีความมีมารยาททางสังคมมากพอที่จะสอนคนอื่นได้อีกด้วย
*ฉบับ plat จะตัดนิสัยหื่นกามของซาริออกไป
☆ มาริโกะ ฟุคุโรอิ
เธออยากจะขอบคุณสโนไวท์อย่างถูกต้อง หากสโนไวท์ไม่ได้อยู่ที่นั่น มาริกะ ฟุคุโรอิก็คงตายไปแล้ว มาริโกะอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนที่มาริกะกำลังหมดสติอยู่ด้วยเช่นกัน และมันมีอีกหลายเรื่องที่มาริโกะอยากจะพูดกับเธออีกด้วย แต่ถึงแม้ว่าเธออยากจะพูดกับสโนไวท์ มาริโกะก็ไม่รู้รายละเอียดที่จะติดต่อเธอได้ เมื่อเธอพยายามสอบถามข้อมูลจากหน่วยสืบสวนที่สโนไวท์สังกัดอยู่ พวกนั้นก็ตะโกนใส่เธอว่า “พวกเราปล่อยข้อมูลเรื่องผู้ตรวจการณ์ของเราออกไปภายนอกได้ที่ไหนกันล่ะ!” จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นการต่อสู้ โต๊ะปลิวว่อน เก้าอี้ถูกเหยียบแบน พื้นยุบ เพดานพัง บางทีพวกนั้นคงจะแค่ไม่อยากให้ข้อมูลเป็นสาธารณะ มาริกะไม่ได้ถูกลงโทษอะไรก็จริง แต่เธอก็ยังคงหาที่อยู่ติดต่อสโนไวท์ไม่ได้ เธอเริ่มยอมแพ้ และคิดว่าไม่มีอะไรที่ตัวเองทำได้เลย
ว่ากันว่าเมื่อเป็นเรื่องของการพบพานแล้ว เมจิคัลเกิร์ลนั้นจะมีโชคอันลึกลับ จากระยะเวลาอันยาวนานในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลของเธอ มาริกะมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่รู้สึกแบบนั้นเป็นการส่วนตัว และในคราวนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในนั้น
โคยูกิดูเหมือนว่าจะยิ้มและพูดคุยโดยที่ไม่ได้กังวลอะไร เหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กสาวมัธยมปลายธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไป ชื่อเล่นที่ฟังดูรุนแรงอย่างนักล่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันไม่เข้ากับเธอเลย แต่มาริโกะก็สัมผัสได้เล็กน้อยว่ามีบางอย่างที่แปลก
นี่มันไม่ใช่การใช้ชีวิตของเมจิคัลเกิร์ลที่ละทิ้งเรื่องทางสังคมไป มันดูเหมือนกับเป็นชีวิตจริงๆของเธอที่ถูกเติมเต็ม เธอทำในสิ่งที่ถูกต้องทั้งการเป็นเมจิคัลเกิร์ลและมนุษย์ ความจริงแล้วมันดีเกินไปด้วยซ้ำ ในการที่คนวัยมัธยมปลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นมักจะมีจุดอ่อนอยู่มาก แต่เธอนั้นสมบูรณ์แบบเกินไป แม้จะเป็นในตอนที่อยู่กับเพื่อนที่โดยปกติแล้วควรจะเป็นจุดที่ควรจะผ่อนคลาย เธอก็ไม่ได้ลดการ์ดของตัวเองลงเลย ซึ่งนี่มันคือการใช้ชีวิตของเธอ
มาริโกะคิดถึงเรื่องสโนไวท์และโคยูกิ ฮิเมคาวะ แต่เธอก็ต้องทำเรื่องอื่นให้เสร็จด้วยไม่งั้นเธอก็จะใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยชั้นก็จะแสร้งเป็นอาจารย์ที่ดีน่ะนะ เธอคิดแบบนี้หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ จากนั้นก็ดึงเอากองแบบทดสอบกองเล็กๆออกมาจากกระเป๋า และเมื่อมือของเธอลื่นจนทำให้กระดาษร่วงลงบนโต๊ะที่มันเต็มไปด้วยจานที่ยังไม่ได้ล้างวางซ้อนกันอยู่ เธอก็รีบหยิบกระดาษขึ้นมา แต่มันก็มีแบบทดสอบบางส่วนเปื้อนชีสพิซซ่าและมีทซอสไปแล้ว
เธอถอนหายใจออกมา นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่กันนะ?
บางทีถ้าทำให้รอยเปื้อนจางลงได้ล่ะก็ เธอคิดแบบนี้พร้อมกับแผ่กระดาษแบบทดสอบออก จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าที่ไม่คุ้นเคย หรือเธอนั่นแหละที่คิดว่าไม่คุ้นเคยซะเอง ครั้งสุดท้ายที่เมจิคัลโฟนของมาริกะดังมันคือเมื่อไหร่กันนะ? เธอเลื่อนจานออกไปด้านข้างเพื่อสร้างที่ว่างในการวางแบบทดสอบลงบนโต๊ะ แล้วก็หยิบเอาเมจิคัลโฟนออกมาเพื่อตรวจดู
มันมาจากที่อยู่ที่ไม่คุ้นเคย เมจิคัลโฟนของเธอไม่รับเมลขยะทึกอย่างมาตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นหัวเรื่องเขียนเอาไว้ว่า ‘นี่คือสโนไวท์’ มาริโกะเปิดดูอย่างไม่ลังเล
ข้อความที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นมันมีความสุภาพระดับในเดียวกับที่นักเรียนจะใช้ส่งอีเมลมาถึงอาจารย์ ‘ฉันอยากเจอค่ะ รบกวนช่วยบอกให้ฉันรู้ด้วยว่าช่วงเย็นสะดวกเวลาไหนด้วยนะคะ?’ มาริโกะหยิบแว่นตาที่เธอวางเอาไว้ตรงช่องว่างระหว่างจานขึ้นมาจากนั้นก็อ่านข้อความทั้งหมดใหม่อีกครั้ง ข้อความมันบอกว่าเธอต้องการเจอกันจริงๆ
ดูเหมือนเธอจะรู้ว่ามาริโกะคือมาริกะแล้ว บางทีเพื่อนสองคนของเธอคงจะช่วย พวกนั้นเป็นเพื่อนที่ดี เธอต้องขอบคุณเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน
หากสโนไวท์อยากจะพบ แบบนั้นมันจะเป็นตอนไหนก็ได้เพราะมาริโกะสามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ในห้านาที ของฝากเอาเป็นของหวานก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน เธอเลือกร้านเค้กจากจำนวนหลากหลายที่ผุดขึ้นมาในใจ มาริโกะหยิบกระเป๋าถือของเธอขึ้นมา จากนั้นก็ดึงเอาผ้าที่คลุมกระจกเต็มตัวออกอย่างแรงจนมันทำให้ขวดครีมบำรุงผิวหน้าล้มลงและเธอก็จัดมันให้กลับไปอยู่เหมือนเดิม เธอรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นไม่ก็ตกใจมากเกินไป เธอจึงหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นมากขึ้น เธอเหวี่ยงแขนออกกว้างจนมันทำให้ขวดครีมบำรุงผิวหน้าล้มลงอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มันหล่นลงไปในถังขยะที่อยู่ข้างๆกระจกแทน
☆ ฟาล
“เธอได้ยินรึเปล่าว่ามาริกะ ฟุคุโรอิเข้าไปโจมตีสำนักงานใหญ่น่ะ ปอน?”
“อื้อ ทำโต๊ะของฝ่ายต้อนรับพังด้วยใช่ไหม?”
“แถมยังเข้ามาแล้วตะโกนว่า ‘สโนไวท์อยู่ที่ไหน?!’ และจากนั้นก็ก่อเรื่องยุ่งสุดๆเลยล่ะ ปอน ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ —แต่พื้นและเพดานก็ถูกทำลายด้วย ปอน”
แต่ทางหน่วยสืบสวนก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของสโนไวท์ว่าอยู่ที่ไหน แต่มาริกะเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอพยายามดมกลิ่นสืบหาจนพบที่อยู่ของสโนไวท์ ได้งาน และเข้ามาในชีวิตของโคยูกิ ฮิเมคาวะ ร่างมนุษย์ของสโนไวท์ อีกด้วย ซึ่งมันอาจจะเรียกได้ว่าตัวตนจริงๆของเธอเป็นคนแบบนี้
“เงินสกปรกมันเอามาใช้แบบนี้แหละ ปอน เราได้ยินว่ามีการโทรไปที่ทำงานเพื่อเพิ่มความกดดันด้วย ปอน แต่เรื่องนี้มันสกปรกกว่านั้นอีก มันเหมือนกับตัวร้ายพุ่งเป้าไปที่ญาติของฮีโร่เพื่อข่มขู่พวกเขา ปอน เป็นอะไรที่ชั่วร้ายสุดๆเลย ปอน”
“ดราม่าไปแล้วนะ”
“ไม่! มันไม่ได้ดราม่าอะไรเลยนะ ปอน! การที่จะได้งานสอนมาเนี่ย มันก็ต้องฝ่าอุปสรรคมากกว่าแค่การโทรคุยกันนะ ปอน แล้วพวกอุปสรรคเองก็มันก็สูงมากจนต้องชะเง้อมองด้วย การมีใบอนุญาตการสอนมันไม่พอหรอก ปอน เธอต้องใช้เส้นสายไม่ก็ผู้คน ไม่ก็ลักพาตัวเอาไปกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่ หรือใช้กำลังกับคนที่เกี่ยวข้องแน่ๆ… น่ากลัวมากเลย ปอน หากเป็นมาริกะ ฟุคุโรอิแล้ว เรื่องพวกนี้เหมือนว่าจะเป็นไปได้ด้วยนะ ปอน”
นี่เธอต้องมีความพยายามและความกระตือรือร้นที่บิดเบี้ยวขนาดไหนกันนะถึงได้กล้าเข้ามาหาสโนไวท์? ในบางครั้งเมจิคัลเกิร์ลบางคนก็เป็นแบบนั้น มาสเตอร์คนก่อนของฟาลอย่างคี๊คและอาจารย์ของคี๊คอย่างเฟรเดริก้าก็เช่นกัน มาริกะ ฟุคุโรอิเป็นคนคลั่งการต่อสู้ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการต่อสู้ แต่ถ้ามีคู่ต่อสู้ที่เธออยากจะสู้ด้วย เธอก็จะยึดติดกับคนๆนั้น
“ไม่ใช่แค่คุกคามสโนไวท์เท่านั้น แต่นี่ยังมาถึงชีวิตของโคยูกิ ฮิเมคาวะอีกด้วย —เธอน่ะอันตรายเกินไป ดีไม่ดีจะเข้ามาทำร้ายเพื่อนกับครอบครัวได้นะ ปอน พวกเราต้องจัดการกับเธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนะ ปอน”
“ฉันคิดว่านายกำลังดราม่าอยู่จริงๆนะเนี่ย”
“เราไม่ได้ดราม่าซักหน่อย ปอน! เธอจะประมาทไม่ได้นะ ปอน! มาริกะ ฟุคุโรอิน่ะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่น่ากลัวมาตลอด เป็นคนที่จะประมาทไม่ได้นะ ปอน แค่คิดเรื่องของเธอมันก็เริ่มทำให้เราตัวสั่นแล้ว ปอน”
“นายรู้จักเธองั้นเหรอ?”
“เราเคยใช้ข้อมูลของเธอในการจำลองมาก่อนน่ะ ถ้าเพิ่มมาริกะ ฟุคุโรอิเข้ามา เรื่องราวมันก็จะยุ่งเหยิงไปหมด ปอน ไม่มีใครหยุดเธอได้เลย ดังนั้นเธอจะประมาทไม่ได้นะ ปอน ทำตามที่พวกเราคุยกันด้วยล่ะ ปอน”
หลังจากที่คุยกันอย่างเร่งรีบแล้ว ฟาลกับสโนไวท์ก็ตัดสินใจจะพามาริกะ ฟุคุโรอิมากับพวกเธอด้วย หากความปรารถนาของเธอคือการสู้กันสโนไวท์ แบบนั้นฟาลก็จะเติมเต็มความปรารถนานั้นอย่างรวดเร็วแล้วส่งเธอไปตามทางของเธอ และถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น แบบนั้นก็ต้องหาเป้าหมายที่แท้จริงของเธอว่าเข้ามาทำงานสอนเพราะอะไร มันไม่สำคัญว่าเธอจะพยายามซ่อนความตั้งใจจริงเอาไว้รึเปล่า —ความจริงแล้ว ยิ่งเธอพยายามซ่อนเอาไว้เท่าไหร่ เวทมนตร์ของสโนไวท์ก็ยิ่งจับได้มากขึ้นเท่านั้น
“ฉันว่านายกำลังคิดเรื่องของเธอมากไปนะ”
“วิธีการของเธอน่ะมันยังทำให้ผู้เชี่ยวชาญวิ่งหนีเท้าเปล่ามาแล้วเลย! มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะคิดมากไปน่ะ ปอน สโนไวท์นี่อ่อนโยนเกินไปแล้วนะ ปอน ซักวันหนึ่งความไร้เดียงสาของเธอมันจะทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญไปนะ ปอน”
“แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนนะ”
“บางทีเธออาจจะเป็นมิตรที่แข็งแกร่งมากกว่าเป็นศัตรูธรรมดาก็ได้ แต่ช่วงเวลาความปั่นป่วนของฮีโร่มันก็คือช่วงเวลาที่สงบสุขของตัวร้ายนะ ปอน ไม่ว่าเธอจะวางแผนอะไรอยู่มันก็ต้องไม่ได้ผลแน่ ปอน”
ฟาลได้วางมาตราการเอาไว้ —หากมีคนใดคนหนึ่งจากครอบครัวโคยูกิ เพื่อน คนรู้จัก และญาติที่คุ้นเคยกัน— ถูกโจมตีล่ะก็ พวกนั้นก็จะถูกปกป้องโดยการดึงเข้ามาในโลกไซเบอร์ในทันที และจากเวลานัดพบที่เป็นช่วงกลางคืน ไม่มีแสงอาทิตย์ และสถานที่ยังอยู่บนดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างสูงขึ้นไปจากพื้น พวกเธอสร้างสถานการณ์ที่ทำให้มาริกะเสียเปรียบขึ้นมา
“สโนไวท์ เธอน่ะประเมินคนที่เรียนจบมาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอต่ำไปนะ ปอน”
“ไม่หรอก”
“เธอจะอวดดีเพียงเพราะว่าจับเฟรม ฟรามี่ไม่ได้นะ ปอน เธอเข้าใจผิดแล้ว เฟรม ฟรามี่ไม่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนกวดวิชามาโออะไรเลย ปอน ความจริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นแม้กระทั่งตัวอย่างหรือนักเรียนตามมาตราฐานด้วย ปอน เธอควรคิดว่าเฟรม ฟรามี่น่ะเป็นแค่พวกนักเรียนขั้นต่ำมากกว่า ปอน เราน่ะถูกสอนมาอย่างดีและรู้ว่านักเรียนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอน่ากลัวมากขนาดไหนด้วย ปอน”
“มันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
“ตัวตนของใครบางคนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอน่ะมันทำให้ความยากของเกมเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ปอน แบบนั้นก็หมายความว่าเราต้องรวมโปรแกรมทั้งหมดซะใหม่… เราไม่อยากทำเรื่องแบบนั้นอีกแล้วล่ะ ปอน”
“ไม่ใช่ว่ามันเป็นความไม่พอใจส่วนตัวของนายหรอกเหรอ?”
“เราไม่ได้ไม่พอใจซักหน่อย ปอน! เธอจะประมาทไม่ได้นะ เตรียมรูลเลอร์ไว้ให้พร้อมนะ ปอน เตรียมรับมือการโจมตีที่จะมาจากทางไหนก็ได้ด้วย ปอน”
ฟาลนั้นเตือนสโนไวท์ที่รออยู่บนดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างด้วยกันให้ระวังตัวหลายครั้ง ฟาลไม่ได้ลืมที่จะตรวจสอบรอบๆบริเวณ ฟาลไม่รู้ว่าท่อนี้มันเป็นท่อน้ำหรือท่อแก๊ส มันดูเด่นมากกว่าปกติ ดังนั้นฟาลต้องแน่ใจว่าสโนไวท์จะไม่ไปสะดุดมันเข้า แล้วถังเก็บน้ำทรงกลมนี้ บางทีอาจจะใช้เป็นอาวุธได้ หรือมาริกะ ฟุคุโรอิอาจจะใช้มันเป็นอาวุธได้เช่นกัน
“นี่ ฟาล”
“อะไรเหรอ ปอน?”
“เหมือนว่าเธอจะอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
“ที่ไหน?! ที่ไหน ปอน?! ด้านบน?! หรือซ่อนอยู่ในเงา…?”
“ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
พวกเธอได้ยินเสียงบางอย่าง —เสียงของวัตถุที่กระทบคอนกรีตอย่างรวดเร็ว เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นอย่างช้าๆ และในจังหวะที่ฟาลเข้าใจว่ามันคือเสียงฝีเท้า ประตูของดาดฟ้าก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงดัง มีกล่องสีขาวโผล่ออกมาจากด้านหลังของประตูแล้วตามด้วยผู้หญิงที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวที่ถือกล่องนั้นเอาไว้ในมือขวา แม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มและไร้ดวงดาว มันก็ยังคงมีแสงไฟบนดาดฟ้าที่ทำให้ความขาวของเสื้อคลุมและกล่องดูโดดเด่น นี่คือมนุษย์ผู้หญิง คืออาจารย์ที่มาสอนแทน คนที่จับมือของโคยูกิ ฮิเมคาวะเอาไว้เมื่อวันก่อนตอนที่เธอจะกลับบ้าน —มาริโกะ ฟุคุโรอิ เธอคือตัวตนของมาริกะ ฟุคุโรอิก่อนแปลงร่างนั่นเอง
“เฮ้ ว่าไง?” เธอพูดออกมาพร้อมกับยกกล่องขึ้น เธอเดินมาหาสโนไวท์ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกับจะเข้ามาสับด้วยฝ่ามือ แต่เธอก็หยุดกลางคัน ท่าทางของเธอดูน่าสงสัย และเธอก็มองมาที่สโนไวท์ที่แปลงร่างแล้วก็รูลเลอร์ที่อยู่ในมือขวา เหมือนเธอกำลังคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าแล้วพูดว่า ” อ่า งั้นเหรอ” หลังจากที่ดันแว่นด้วยมือซ้ายที่ว่างอยู่แล้ว เธอก็รีบย่นระยะทางระหว่างตัวเองและสโนไวท์เพื่อให้ถือกล่องให้ด้วยความรวดเร็ว
สโนไวท์รับกล่องเอาไว้โดยที่ฟาลไม่ทันจะได้เตือนเธอ จากนั้นมาริโกะก็หันหลังกลับและเดินออกกลับไปในทางที่เธอมา ก่อนที่จะหายไปหลังประตูทางขึ้นดาดฟ้า
“…นั่นอะไรน่ะ ปอน?”
“เธออ่านอารมณ์คนอื่นออกน่ะ”
“หือ?”
สโนไวท์วางกล่องสีขาวลงบนพื้นคอนกรีตแล้วก็จับรูลเลอร์ไว้ด้วยสองมือ “ไว้ฉันจะกินเค้กทีหลัง”
“เค้ก? หืม ในกล่องนี้มีเค้กงั้นเหรอ ปอน? เดี๋ยวสิ? ทำไมถึงเป็นเค้กล่ะ”
“เธอมาแล้ว”
ประตูดาดฟ้าเปิดออกด้วยการเตะจนส่งเสียงดัง
“ขอโทษที่ให้รอ นักล่าเมจิคัลเกิร์ล! คราวนี้แหละมาสนุกกันดีกว่า! ฮะ-ฮ่าาาา!”
มาริกะ ฟุคุโรอิกับดอกพริมูล่า ฟาริโนซ่า*ที่ส่องประกายสีขาวอยู่บนหัวของเธอกระโดดเข้าหาสโนไวท์
*ตรงจุดนี้ฉบับ plat จะใช้คำว่าเบิร์ดอายพริมโรสซึ่งเป็นชื่อเรียกอีกชื่อของดอกพริมูล่า ฟาริโนซ่าตามชื่อตอน ส่วนฉบับ yp จะใช้อีฟนิ่งพริมโรสhttps://en.wikipedia.org/wiki/Primula_farinosa
MANGA DISCUSSION