ยิ่งกว่าสามเศร้า
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค JOKERS
“เรามีบางอย่างที่อยากจะถามน่ะ —ขอเวลาเดี๋ยวนึงได้รึเปล่า?”
ปรินเซสเควคหันหน้าออกมาจากนิตยสารโชเน็นมังงะรายสัปดาห์ที่เธออ่านอยู่แล้วมองไปทางต้นเสียง แล้วก็เห็นปรินเซสเท็มเพรสกำลังขอร้องเธอด้วยท่าทีเคร่งเครียด
พวกเธอคือสมาชิกของเพียวเอเลเมนท์ เมจิคัลเกิร์ลที่ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากดิสรัปเตอร์ ปีศาจที่รุกรานเข้ามาจากมิติอื่น แต่กระนั้นเพียวเอเลเมนท์ก็ไม่ได้อยู่ประจำการที่ห้องทดลองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง บางครั้งพวกเธอสองคนจะประจำการอยู่ที่นี่ —บางครั้งก็มีแค่คนเดียว— และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย ในตอนนี้มีปรินเซสเควคที่เป็นผู้นำ และปรินเซสเท็มเพรสผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดของเหล่าสมาชิกประจำการอยู่ในห้องประชุม เพราะว่าเท็มเพรสเรียนอยู่ชั้นประถม เธอจึงเรียบจบวันเร็วกว่าปรินเซสดีลูจกับปริซึม เชอร์รี่ที่เรียนอยู่มัธยมต้น ปรินเซสอินเฟอร์โนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ส่วนการที่ปรินเซสเควคที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้น มันจึงทำให้ตารางชีวิตของเธอยืดหยุ่นกว่า
“คำแนะนำ?” เควคพูด “จากชั้นงั้นเหรอ?”
“อื้อ”
ปรินเซสเควค —จิโกะ ซาโต้— คือนักศึกษามหาวิทยาลัย ด้วยการเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มจึงถูกยัดเยียดให้รับตำแหน่งผู้นำ และเท็มเพรสที่เป็นเด็กตัวเล็กๆนั้น แน่นอนว่าจะเห็นเควคเป็นคนที่เหมาะสมในการขอคำแนะนำ แม้ว่าเควคจะรู้สึกผิดกับเท็มเพรสที่ประเมินเธอไว้สูงเกินไป แต่กระนั้นปรินเซสเควคก็ยังคงพยักหน้า เพราะเธอจะพูดอะไรแบบว่า “เธอขอคำแนะนำผิดคนแล้วล่ะ ดีลูจกับอินเฟอร์โนคงเหมาะกับเรื่องนี้มากกว่า นะ บางทีชั้นอาจจะเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยากที่สุดในหมู่เอเลเมนท์ทุกคนก็ได้ ชั้นมันก็เป็นแค่คนน่าขยะแขยงที่ชอบมองดูเด็กๆเมื่อตัวเองเดินไปตามท้องถนนเท่านั้นเอง” ออกมาไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของเควคเมื่อมีเด็กเข้ามาขอความช่วยเหลือเธอก็อยากจะตอบสนองสิ่งนั้น และเมื่อเธอรู้สึกภูมิใจเล็กๆน้อยๆ เธอก็จะบังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้
เธอยิ้มออกมาราวกับว่าตัวเองเข้าใจในเรื่องนี้ จากนั้นก็เอาข้อศอกวางไว้บนโต๊ะและเอาคางของเธอไว้บนหลังมือ เธอภาวนาว่าการทำท่าทางแบบนี้มันจะช่วยให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากนั้นก็พูดเพื่อกระตุ้นเท็มเพรสว่า “เธอมีปัญหาแบบไหนเหรอ? มีอะไรอยู่ในใจรึเปล่า?”
“เราต้องการคำแนะนำเรื่องความรักน่ะ”
เธอรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะล้อเท็มเพรสว่าแก่แดด เด็กสาวคนนี้ดูจริงจังมากกว่าที่เธอเคยแสดงให้เห็นในตอนฝึกด้วยซ้ำ มันคงง่ายกว่ามากถ้าเควคแค่บอกเธอไปว่า “เธอน่ะยังเด็กเกินไปที่จะคิดเรื่องแบบนั้น! รอไปอีกซักสิบปีเถอะ!” แต่ด้วยการที่เห็นเท็มเพรสจ้องมองอย่างจริงจังแล้ว เควคจึงพูดอะไรแบบนั้นออกไปไม่ได้
เควควางนิตยสารมังงะลงบนโต๊ะ เธอรู้สึกว่าเท็มเพรสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะนั้นอยู่ไกลออกไปกว่าปกติ มันเป็นความรู้สึกด้านระยะทางรึไงนะ? คงเป็นเพราะหัวใจของคนๆหนึ่งกับอีกคนหนึ่งมันแตกต่างกันมาก ในห้องประชุมที่มีสีขาวล้วนแห่งนี้ เธอก็รู้สึกว่าสีของมันหม่นกว่าปกติ
“คำแนะนำเรื่องความรัก…”
“อื้อ ใช่แล้วล่ะ เรื่องรักสามเศร้า”
รักสามเศร้า จู่ๆเธอก็โดนปัญหาคณิตศาสตร์ถาโถมเข้าใส่
มันเป็นเวลายี่สิบปีแล้วตั้งแต่ที่จิโกะ ซาโต้ถือกำเนิดขึ้นมา —เป็นเวลานานพอจนบรรลุนิติภาวะแล้ว ตลอดเวลาเธอนั้นสนใจในเรื่องรักๆเพียงแค่เล็กน้อยจนสามารถเรียกได้ว่าคือศูนย์ แถมยังไม่มีเลยซักครั้งที่เธออยู่ในสถานการณ์รักๆแบบนั้นด้วย ในหมู่เพื่อนของมันก็มีทั้งคนที่คบกันได้และเลิกรากันไป แต่ทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นที่คนละจักรวาลกับจิโกะอยู่ คนบางคนก็ยกเรื่องความรักเอาไว้เหนือสิ่งอื่น และถ้าบอกคนพวกนั้นไปว่า “ชั้นไม่มีคนที่ชอบ” หรือ “ชั้นไม่ได้สนใจเรื่องนั้น” ก็จะถูกหัวเราะเย้ยหยันแล้วบอกว่าโกหก เรื่องพวกนี้มันทำให้จิโกะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพื่อนไม่กี่คนของจิโกะมีปฎิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามด้วยการคุยเรื่องงานกันเท่านั้น
เธอไม่เคยรู้สึกว่ารู้สึกอยากเดทกับใครเป็นพิเศษ เธอนั้นจะมองออกไปด้วยหางตาไปยังเด็กตัวเล็กๆที่เล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเพื่อปลอบประโลมหัวใจตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเธออยากจะอยู่กับเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงพวกนั้น ถ้าหากพวกเด็กๆมีปัญหา เธอก็อยากยื่นมือออกไปช่วยเท่าที่ทำได้ และสิ่งตอบแทนที่เธอได้ก็คือการมองดูเด็กๆอยู่ห่างออกไปด้วยความสุข มันเป็นความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกัน —ซึ่งมันแตกต่างจากการเดทระหว่างหญิงชายที่ต่างสาบานกันว่าจะปฎิบัติต่อกันและกันเหมือนกับเป็นสิ่งล้ำค่า
และนี่ก็คือคนที่เท็มเพรสเข้ามาปรึกษาเพื่อต้องการคำแนะนำเรื่องความรักในเรื่องที่เรียกว่ารักสามเศร้า หากพูดออกไปได้ เควคก็อยากจะบอกเท็มเพรสไปว่า ผู้หญิงที่มีประสบการณ์มากมายในเรื่องของความรักน่ะจะไม่มานั่งอ่านโชเน็นมังงะอยู่ในห้องประชุมแบบนี้หรอก แต่จะพูดแบบนั้นออกไปต่อหน้าของเธอที่มีดวงตาอันเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความนับถือและคาดหวังอย่างนั้นน่ะเหรอ? เควคจะทำให้ดวงตาแสนงดงามนั้นหม่นหมองลงเพราะความผิดหวังไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงบังคับตัวเอง ในตอนนี้เธอคือผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก เธอต้องทำให้เท็มเพรสคลายความกังวลให้ได้ และนี่ก็คือสิ่งที่ผู้นำควรจะเป็น
“รักสามเศร้างั้นเหรอ? ลำบากนะนั่น อืมมม เอาล่ะ ก่อนอื่นก็บอกรายละเอียมาหน่อยสิ”
“มีเด็กผู้ชายคนนึงชื่อโชที่เพิ่งย้ายมาตอนฤดูร้อนปีที่แล้ว” เท็มเพรสเริ่มพูดออกมา แต่เธอก็หันหน้าไปทางอื่น
มันมีเสียงกลไลดังออกมาพร้อมกับที่กั้นที่เลื่อนขึ้น มีบางคนกำลังเข้ามาในห้องประชุม เมื่อที่กั้นเลื่อนขึ้นสูงประมาณยี่สิบเซ็นติเมตร พวกเธอก็เห็นรองเท้าสีดำและแดง ปรินเซสอินเฟอร์โนนั่นเอง
เท็มเพรสคลานขึ้นมาบนโต๊ะแล้วเอาใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้เควค “ขอโทษนะ แต่เราพูดตอนที่อินเฟอร์โนอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไว้เราจะถามทีหลังนะ”
เควคครุ่นคิดถึงเรื่องลมหายใจอันหอมหวานของเท็มเพรส ใบหน้าอันแสนน่ารักของเธอ —ที่เข้ามาใกล้จนเธอสามารถสัมผัสถึงความร้อนของร่างกายได้— แล้วเมื่อคิดถึงคำพูดที่กระซิบออกมาตอนท้าย เควคก็รู้สึกมีความสุขมากก่อนที่ท่าทางบนใบหน้าของเธอจะกลายเป็นขมวดคิ้ว เท็มเพรสพูดออกมาไม่ได้เมื่ออินเฟอร์โนอยู่ที่นี่ เควคแน่ใจว่าเธอพูดออกมาแบบนั้น
บางทีเควคอาจจะเข้าใจอะไรได้ช้า แต่ตอนนี้เธอก็ยังมีความคิดคร่าวๆอยู่ เท็มเพรสอยากจะขอคำแนะนำเรื่องรักสามเศร้า —แล้วคนที่อยู่ในนั้นด้วยก็คืออินเฟอร์โน?
เท็มเพรสกลับไปนั่งที่ของเธอ จากนั้นก็ทักทายอินเฟอร์โนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ยินดีต้อนรับ!”
“ไง! พวกเธอเป็นไงบ้าง?”
“วันนี้อินเฟอร์โนมาเร็วจัง”
“เพราะชั้นแปลงร่างแล้ววิ่งมาน่ะ”
เท็มเพรสพูดกับเธอเหมือนอย่างเคย และอินเฟอร์โนก็ตอบกลับเหมือนอย่างเคยเช่นกัน จากที่เควคมองดู เธอก็ไม่เห็นอะไรแปลกๆระหว่างทั้งสองคนเป็นพิเศษ
“มีอะไรรึเปล่า เควค? เธอดูซึมๆนะ” อินเฟอร์โนพูด
“อ๊ะ งั้นเหรอ? ไม่หรอก ชั้นไม่เป็นอะไร”
“มีอะไรอยู่ในใจรึเปล่า?”
“เอ่ออออ อืมมมม… อ๊ะ ใช่แล้ว มังงะที่ชั้นชอบโดนตัดจบน่ะ”
“อ๊ะ มังงะหุ่นยนต์นั่น ชั้นแค่เปิดมันผ่านๆเอง ไม่ได้สังเกตเลย”
หัวข้อมันถูกเปลี่ยนเป็นมังงะที่ถูกตัดจบในนิตยสารรายสัปดาห์ อินเฟอร์โนนั่งลงไปบนเก้าที่ว่างอยู่ แล้วเควคก็พูดว่า “ชั้นซื้อเล่มแรกมา ในฉบับตีพิมพ์น่ะมันมีเนื้อหาเสริมเข้ามาด้วย” พร้อมกับมองดูท่าทางของเท็มเพรส
เท็มเพรสกลับไปเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ร่าเริงตามปกติ โดยไม่ได้มีความเศร้าหรือใส่ใจฟังเรื่องที่เควคพูด นี่เควคจินตนาการไปเองรึเปล่านะ? ไม่สิ คงไม่ใช่แบบนั้น
“โอ๊ะ นี่เธอไปซื้อมาเหรอเนี่ย? รสนิยมแปลกจังนะ” อินเฟอร์โนพูด
“เฮ้ ดูพูดเข้าสิ ชั้นชอบมันจริงๆ โอเคไหม? แล้วอีกอย่าง เธอไม่รู้ว่ามันโดนตัดจบใช่ไหม…? น่าปวดใจนะแบบนั้น”
“แต่มันน่าเบื่อนี่นา!”
“อย่ามาซ้ำเติมตอนที่ชั้นรู้สึกไม่ดีสิ เท็มเพรส! เธอรู้ไหมว่ากลุ่มเป้าหมายของมังงะเรื่องนั้นเป็นคนที่มีอายุสูงกว่าทั่วไปเล็กน้อยน่ะ”
“ขนาดนักเรียนมัธยมปลายก็ยังคิดว่าน่าเบื่อเลย” อินเฟอร์โนพูด
“ถ้ามีหุ่นยนต์มันก็ต้องมีการต่อสู้มากขึ้นตามไปด้วย หากเรื่องมันเอาแต่ลากยาวอยู่แต่เบื้องหลัง มันก็ไม่มีทางชนะผลโหวตจากคนอ่านหรอก”
“เฮ้ แต่นั่นคือวิธีการวางพื้นฐานเนื้อเรื่องแบบเหมาะสมนะ”
“แต่ถ้ามันโดนตัดจบในตอนที่กำลังวางพื้นฐานอยู่ล่ะ…”
“ขอโทษนะคะ!”
“สวัสดี!”
“อ๊ะ เชอร์รี่กับดีลูจนี่นา มาพร้อมกันอีกแล้วสินะ หืม?” อินเฟอร์โนพูดแซว
“พูดถึงอะไรกันอยู่เหรอ?” ดีลูจถาม
“มังงะน่ะ” เท็มเพรสตอบ “แต่ไงๆก็เถอะ ทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว ไปเล่นเกมในห้องฝึกซ้อมกันดีกว่านะ คราวนี้เราจัดการเธอได้แน่อินเฟอร์โน”
“มันไม่ใช่เกมซักหน่อย —เป็นการจำลองการต่อสู้ต่างหากล่ะ” อินเฟอร์โนตอบกลับ
“จะเป็นจำลองการต่อสู้ จะเป็นเกม อะไรก็ช่างเถอะ เอาน่า เอาน่า มาทำกันดีกว่า!”
“เธอก็เข้ามาด้วยสิ ปริซึม เชอร์รี่” อินเฟอร์โนพูด
“เอ๋? แต่ฉันควรอยู่ในห้องประชุมนี่คะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วงนะ! วันนี้พวกเราจะเข้าแบบไม่มีอาวุธล่ะ” เท็มเพรสกระทุ้งหลังของปริซึม เชอร์รี่แล้วก็ออกไปจากห้องประชุม ให้ตายสิ ดีลูจถอนหายใจ จากนั้นก็เดินตามพวกเธอไปในขณะที่อินเฟอร์โนโยนนิตยสารมังงะลงไปบนโต๊ะ
ในจังหวะที่อินเฟอร์โนจะตามไปนั้น เควคก็เรียกเธอเอาไว้ “เธอพอมีเวลาไหม?”
“หืมม? อะไรเหรอ? ทุกคนไปกันแล้วนะ?”
“มีใครย้ายเข้ามาใกล้ๆบ้านของเธอรึเปล่า อินเฟอร์โน? ซักราวๆช่วงฤดูร้อนปีที่แล้วน่ะ?
“อ๋อ โชจากครอบครัวมินามิดะน่ะเหรอ? ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ…? อ๊ะ— เท็มเพรสใช่ไหม?” ท่าทางสงสัยของอินเฟอร์โนเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม “ชั้นได้ยินว่าตอนทัศนศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เท็มเพรสบาดเจ็บและโชก็ช่วยเธอเอาไว้ เธอก็ชอบเขามาตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ”
“โอ๊ะ งั้นเหรอเนี่ย?”
“ก่อนหน้านี้น่ะ เธอยังเดิมตามชั้นต้อยๆแล้วพูดว่า ‘อากะ! อากะ!’ อยู่เลย แต่ในตอนนี้เธอก็ไปอยู่รอบๆโชซะแล้ว มันเหงานิดๆนะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” เธอยิ้มออกมา น้ำเสียงของเธอก็เบาลงพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองออกมาจากโต๊ะ “เอาล่ะไปกันเถอะ เท็มเพรสคงโกรธแน่ถ้าพวกเราไปสาย”
ในตอนที่รออยู่หน้าที่กั้นนั้น เควคก็มั่นใจ —แน่นอนว่าโชนั้นคือมุมหนึ่งของรักสามเศร้า เท็มเพรสคืออีกมุมหนึ่ง และมุมสุดท้ายก็คืออินเฟอร์โน
เมื่อที่กั้นเลื่อนขึ้นไปได้ราวๆหนึ่งในสาม เควคก็ไถลตัวลงไปด้านล่างเพื่อเข้าไปในห้องโถง เมื่อเธอได้ยินอินเฟอร์โนพูดว่า “คิดเรื่องนี้อยู่เหรอ เควค?” จากด้านหลัง เธอก็เดินแซงดีลูจกับเชอร์รี่ จากนั้นก็ไถลตัวลงด้านล่างที่กั้นที่กำลังปิดลงเพื่อเข้าไปหาเท็มเพรสที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ในห้องฝึกซ้อม
“นี่ เรื่องที่พวกเราเพิ่งคุยกันน่ะ…”
“หมายถึง…”
“คนที่โชชอบ เป็นที่ชั้นรู้จักรึเปล่า?”
เท็มเพรสงอเข่าแล้วมองขึ้นมาที่เควคอย่างอ้อนวอน เธอบุ้ยปาก ในขณะเดียวกันมันก็มีทั้งเสน่ห์และความสับสนออกมาแบบไม่รู้ตัว
“โช…”
“อื้อ”
“เหมือนว่าเขาจะชอบพี่อากะ”
“อ่าาา”
“เขาน่ะอยู่ชั้นมัธยมต้น แต่เรายังอยู่ชั้นประถมอยู่เลย มันเลยมีช่องว่างระหว่างอายุมาก แต่เมื่อเราแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ความแตกต่างของรูปร่างมันก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ดังนั้นเราถึงคิดว่าบางทีมันอาจจะโอเคก็ได้ แต่เราก็สงสัยว่าจะเข้าไปหาเขาที่ไหนและยังไงดี”
ที่กั้นเลื่อนขึ้น จากนั้นสมาชิกคนอื่นก็เข้ามาในห้อง เพราะแบบนั้นเท็มเพรสจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม แต่เท่านี้มันก็เป็นข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเควคแล้ว
ในระหว่างการจำลองการต่อสู้ เควคก็หยุดคิดเรื่องรักสามเศร้าของเท็มเพรสไม่ได้ เพราะแบบนั้นเธอจึงออกไปก่อนอย่างรวดเร็วและไปรอด้วยกันกับเชอร์รี่ตรงมุมของห้องฝึกซ้อม เธอจมอยู่ในห้วงความคิด กอดเข่าของตัวเองแล้วคิดว่า ถ้ามันมีเรื่องที่ชั้นช่วยได้อยู่ล่ะก็ แบบนั้นมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ?
สิ่งแรกในเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ของเควคคือการออกไปทำงาน
เธอครุ่นคิดถึงวิธีการไขปริศนานี้จนถึงจุดที่สมองของเธอรู้สึกงุนงง แต่มันก็ไม่มีอะไรออกมาเลย และเธอก็ตะหนักได้ว่าตัวเองขาดประสบการณ์ในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก และผลลัพธ์ที่จะออกมานั้น มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องการบรรยายทางวิชาการและทฤษฎีเรื่องนามธรรมเลย เธอไม่สามารถให้คำแนะนำตามตัวเลือกพื้นฐานได้เช่นกัน ถ้าเป็นแบบนั้นเธอต้องศึกษามันอย่างละเอียด ก่อนอื่นเธอต้องเรียนรู้เรื่องของโชที่เป็นเป้าหมาย เธอต้องสังเกตว่าเขานั้นมีแฟนรึเปล่า เรียนรู้การใช้ชีวิต วิธีคิด งานอดิเรก ความชอบและจุดอ่อน และสร้างรากฐานเพื่อเพิ่มโอกาสให้เท็มเพรสได้เปรียบแม้จะเพียงแค่เล็กน้อย ทั้งในมังงะและชีวิตจริงเรื่องรากฐานมันก็คือกุญแจสำคัญ และในการที่จะลงมือปฎิบัติการอย่างลับๆอย่างลื่นไหลจนจบได้นั้น เธอจำเป็นต้องมีข้อมูล เธอจึงต้องเริ่มทำมันในช่วงดึกและเช้าตรู่
เธอดึงเอาหมวกเบสบอลลงต่ำเหนือดวงตาและสวมผ้าฟลีซ*ที่สามารถพลิกกลับด้านได้ ความได้เปรียบของการที่สามารถพลิกกลับด้านได้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง มันเป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้ในการติดตามใครบางคนได้เป็นอย่างดี เมื่อเอาด้านในออกมาข้างนอก ไม่เพียงแค่สีเท่านั้น แต่ความยาวเองก็ต่างกันด้วย มันจะทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปเลย
*ผ้าที่ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์และสามารถใช้ร่วมกับผ้าอื่นๆได้
ในช่วงเช้าตรู่เวลาตีสี่ จิโกะก็มุ่งหน้าไปเมืองข้างเคียงที่เท็มเพรสกับอินเฟอร์โนอยู่ด้วยจักรยานพับ เธอมองดูตำแหน่งของหอประชุมเมืองท้องถิ่น ที่นี่มันไม่มีไฟถนนและพื้นที่โดยรอบก็มืด แต่จริงๆแล้วมันคือทางสะดวกสำหรับเธอ แม้จะอยู่ในความมืด แว่นตาไนท์วิชั่นที่ผลิตในเยอรมันของเธอก็สามารถทำให้มองเห็นได้ ดังนั้นเธอจึงจัดการได้อย่างไร้ปัญหา เธอเอามันติดมาด้วยเพราะคิดว่าอาจจะมีโอกาสได้มองดูเด็กๆในตอนกลางคืน มันเป็นสิ่งที่เธอพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์
จากการสำรวจพื้นที่รอบๆบริเวณ เธอก็พบพื้นที่ดีๆตรงรอยแตกใต้บันไดของหอประชุมเมืองท้องถิ่น แถมก็ยังพบดีๆอีกหลายจุด และในทุกจุดเธอก็ติดตั้งไมโครโฟนบันทึกเสียงรอบทิศทางเอาไว้ เธอซื้อมันมาเพื่อฟังเสียงของเด็กๆเพื่อที่จะเข้าไปช่วยได้ทันหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น นี่มันเป็นสิ่งที่เธอพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์จริงๆ
*ฉบับ plat จะตัดฉากแว่นไนท์วิชั่นและไมโครโฟนบันทึกเสียงออกจนหมด
เมื่อเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ซ่อนตัวอยู่ในเงาของกำแพงคอนกรีตที่อับสายตาและห่างออกไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ดึงเอามังงะออกมาจากกระเป๋าเดินทางแล้วก็เริ่มอ่าน เธอรอมาสองชั่วโมงจนเริ่มได้ยินเสียงของเด็กๆผ่านเข้ามาทางหูฟัง เธอชะโงกหน้าขึ้นมาเหนือเงาของกำแพงคอนกรีตอย่างเงียบๆ และก็สังเกตเห็นเด็กๆมารวมตัวกันที่หอประชุมเมืองท้องถิ่น
เท็มเพรสบอกว่าเธอจะออกมาเก็บขยะกับชมรมของเด็กๆช่วงสุดสัปดาห์ด้วย ดังนั้นเธอคงจะไปรวมตัวกับเพียวเอเลเมนท์ในช่วงบ่าย อินเฟอร์โนเองก็บอกว่าเธอจะออกมาช่วยด้วยเช่นกัน หากเป็นแบบนั้นตารางเวลาของพวกเธอก็คงจะเหมือนกัน เควคแอบมองดูร่างมนุษย์ของอินเฟอร์โนและเท็มเพรสอยู่ ดังนั้นคงไม่ผิดแน่ วันนี้การเก็บขยะเสร็จสิ้นลงแล้ว
เธอย้ายจากเงาของกำแพงที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยยังคงซ่อนตัวอยู่พร้อมกับมองดูเด็กๆไปด้วย จิโกะ ซาโต้รักเด็ก เธอ รัก เด็กพวกนั้น ทุกๆวันเธอจะเฝ้ามองดูเด็กๆจากที่ห่างไกลและวาดภาพเด็กๆออกมา มันคือสิ่งที่เยียวยาจิตใจเธอ แต่ถ้าหากมีใครพบว่าเธอแอบวาดรูปเด็กๆอย่างลับๆ มันก็คงเป็นหายนะทางสังคม เพราะแบบนั้นเธอถึงต้องมีทักษะที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจจับอยู่
เธอยังคงจับตาดูต่อไป พร้อมกับความสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวอินเฟอร์โนและเท็มเพรสเป็นพิเศษ
อินเฟอร์โนคือคนที่กำลังให้คำแนะนำ เธอไม่ใช่เด็กแต่คือหนึ่งในพวกผู้ใหญ่ เธอทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม —ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังพึ่งพาเธอ เด็กๆเองก็เชื่อถือ แต่กระนั้นเธอก็ยังคงทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาได้และมีช่วงเวลาที่สนุกสนาน
เท็มเพรสที่เข้าร่วมนั้นอยู่ในหมู่เด็กๆ ในขณะที่เธอกำลังคุยกับเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอก็เหลือบมองไปที่อื่น ที่ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายที่อายุราวๆมัธยมต้นยืนอยู่
เขานั้นดูต่างออกไป ท่ามกลางหมู่เด็กผู้ชายมัธยมต้นคนอื่นที่โกนหัว มีสิว และสวมแจ๊กเก็ตของชุดนั้นเรียนนั้น เขาดูเหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างออกไป เขายิ้มออกมาพร้อมกับเส้นผมที่พริ้วไหวไปตามลม นี่คงจะเป็นโชสินะ คนที่มีใบหน้างดงามกับรูปร่างผอมเพรียวคือคนประเภทที่เท็มเพรสชอบ
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอินเฟอร์โนมากเหมือนกับที่เท็มเพรสบอกเลย เขาหัวเราะไปพร้อมๆกับเพื่อนผู้ชายของเขา และเหมือนกับว่าเขาเข้าไปหาอินเฟอร์โนในฐานะที่ตัวเองเป็นลูกน้องมากกว่า นั่นคือความเคารพซึ่งมันแตกต่างจากความปรารถนา อาจจะเป็นไปได้ว่าเท็มเพรสเข้าใจผิดว่าโชชอบอินเฟอร์โน หากเป็นแบบนั้น เท็มเพรสก็จะมีโอกาสมากขึ้น
จิโกะเอากล้องดิจิตอลออกมาจากกระเป๋าเดินทาง แล้วก็ถ่ายภาพจำนวนมากจากใต้เงาแขนเสื้อ เธอฝึกซ้อมทักษะนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องมองผ่านเลนส์ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ใช้แฟลชอีกด้วย ที่นี่มันไม่มีไฟถนน และแสงในฤดูกาลนี้มันก็สลัว แต่ถ้าเธอเพิ่มความไวของกล้องให้สูงเท่าที่ทำได้ มันก็จะมีแสงที่มากพอ เธอปิดเสียงชัตเตอร์เอาไว้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เธอทำจะไม่มีใครสังเกตเห็น ความระมัดระวังมันคือเรื่องสำคัญมากในการที่จะสอดแนมใครบางคน
พอเด็กๆได้รับคำแนะนำบางอย่าง พวกเธอก็แยกออกไปเป็นกลุ่มสามหรือสี่คน บางคนก็ปั่นจักรยาน บางคนก็เดินด้วยเท้า ในตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องจับตามองอินเฟอร์โนและเท็มเพรสอีกแล้ว จิโกะจึงเดินตามหลังกลุ่มเล็กๆที่มีโชอยู่ด้วย
ในระหว่างทางนั้น กลุ่มเล็กๆก็แยกตัวกันออกไปอีกพร้อมกับเข็นรถเข็นไปด้วย โชนั้นเดินเข้าไปลึกในย่านที่พักอาศัย จิโกะสะกดรอยตามเขาไปอย่างระมัดระวังโดยใช้ทักษะทุกอย่างที่เธอสั่งสมมาจนถึงวันนี้ เธอจะปล่อยให้ใครมาเห็นตัวหรือทำให้เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างลำบากไม่ได้ แม้ว่ามันจะหมายถึงเธอจะต้องแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลเพื่อวิ่งออกไปเมื่อเวลามาถึงก็ตาม ใช่แล้ว ก้าวไปข้างหน้า —ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่เธอจะไม่หยุดสังเกต— เธอต้องทำเรื่องต่างๆเพื่อสนับสนุนเท็มเพรส เธอจะมาล้มเหลวเอาที่นี่ไม่ได้
เธอเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของโชโดยการเคลื่อนไหวจากเงาของเสาโทรศัพท์ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาออกจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่งโดยไม่หยุดพัก เขาซ้อนกล่องกระดาษ หนังสือพิมพ์ และกองใบปลิวไว้บนรถเข็น เขาวางของลงไปอย่างประณีต ใส่ของลงไปในรถเข็นโดยไม่ปล่อยให้มีช่องว่างเหลืออยู่ และเมื่อเขาเข้าไปหาผู้คนในละแวกนั้น เขาก็ทักทายออกมาอย่างร่าเริง
โชเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ และเมื่อเขาเอากล่องกระดาษที่วางอยู่ตรงประตูหน้าใส่ลงไปในกองสิ่งของบนรถเข็น เขาก็มีกองสิ่งของรีไซเคิลขนาดใหญ่จนต้องใช้มือข้างหนึ่งจับด้านบนของรถเข็นเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาจะเข็นรถเข็นไม่ได้
ก่อนที่โชจะหันกลับมา จิโกะก็หันหน้าไปยังถนนหลัก จากนั้นก็หดตัวลีบอยู่ในสวนหลังบ้านของบ้านหลังหนึ่งเพื่อรอให้เขาเดินผ่านไป เธอจะปล่อยให้ตัวเองมาถูกเจอตัวที่นี่ไม่ได้ เธอหยุดสะกดรอยเขาไม่ได้ เป้าหมายหนึ่งของเธอคือการตามเขาไปจนกว่าจะรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน การหาบ้านของเขาเจอมันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะรู้จักตัวตนของเขามากขึ้นได้
เธอรู้สึกแย่ที่ทำกับเขาแบบนี้ แต่นี่มันก็เพื่อเท็มเพรส ในใจของจิโกะ เรื่องของเด็กนั้นมีลำดับความสำคัญมากที่สุด และเมื่อเป็นเท็มเพรสเพื่อนของเธอแล้ว เธอจัดลำดับอยู่สูงยิ่งกว่ากฎหมาย จริยธรรม แม้กระทั่งตัวของจิโกะเองด้วย
เธอซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกำแพงคอนกรีตเพื่อรอให้โชเดินผ่านไป จากนั้นเมื่อถึงจังหวะที่เป้าหมายของเธอหายไปจากสายตาแล้ว เธอก็ข้ามกำแพงกลับมาอยู่บนถนน และในตอนที่เธอจะออกมาจากซอยไปยังถนนนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของใครบางคน เธอตกใจเพราะตระหนักได้ว่ายังคงมีจุดบอดเหลืออยู่และเข้าไปซ่อนในเงาของเสาโทรศัพท์ เมื่อเธอเหลือบมองออกมาดู เธอก็เห็นเด็กสามคนกำลังพูดคุยกันพร้อมกับกำลังถือวัสดุรีไซเคิลที่รวบรวมมาได้ และเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กมัธยมปลายที่เดินมาด้วย จิโกะก็เปลี่ยนที่ซ่อนตัวจากเสาโทรศัพท์เป็นด้านหลังกำแพงคอนกรีต นั่นคืออินเฟอร์โน เธอกำลังพูดกับพวกเด็กๆด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ายืนคุยกันแถวนี้สิ รีบๆทำให้เสร็จดีกว่านะ” อยู่ตรงนั้น
มันแย่ที่อินเฟอร์โนอยู่ตรงนี้ การหยั่งรู้ของเธออาจจะแหลมคมผิดปกติก็ได้ แม้ว่าจิโกะจะเคยให้เธอเห็นหน้าในร่างมนุษย์มาก่อนครั้งหนึ่ง แต่อินเฟอร์โนก็ไม่ใช่คนที่จะประมาทได้ จากด้านหลังของกำแพงคอนกรีต เมื่อจิโกะแน่ใจว่าอินเฟอร์โนเดินนำเด็กๆออกไปจากสายตาแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอถอดหมวกเบสบอลออกมาแล้วปาดเหงื่อที่หน้าผากด้วยหลังมือ เรื่องแบบนี้มันไม่ดีต่อหัวใจของเธอเลย
“เอ่อ”
เมื่อเธอหันกลับมา เป้าหมายที่เธอควรจะจับตามองอยู่หรือโชกลับยืนอยู่ตรงนั้น
“มีอะไรงั้นเหรอ?” เธอตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งทำเป็นใจเย็น แต่ภายในนั้น หัวใจของเธอกำลังเต้นด้วยความรุนแรงอย่างเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่อินเฟอร์โนมา แถมยังมีเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและหลัง —มันออกมากจนเธอรู้สึกได้ว่าเหงื่อนั้นไหลลงไปตามกระดูกสันหลังอีกต่างหาก เธอไม่ใช่แค่ถูกเจอตัวในจุดที่น่าสงสัยเท่านั้น แต่เธอก็ยังไม่คุ้นเคยกับการที่จะคุยกับชายหนุ่มที่หล่อเหลาอีกด้วย ในตอนนี้จิตใจของเธอไม่มีความสามารถตัดสินได้ว่าเด็กชายวัยมัธยมต้นนั้นนับเป็นชายหนุ่มรึปล่า โชคงมั่นใจในการเข้าหาผู้หญิงน่าสงสัยที่แสร้งทำเป็นใจเย็นทั้งๆที่กระวนกระวายแน่ๆ จิโกะเองก็จำได้ว่าเพื่อนของเธอนั้นเคยพูดว่า สิ่งที่ทำให้ดูหล่อเหลานั้นไม่ใช่แค่หน้าตาแต่เป็นมารยาทต่างหาก
“ขอผมผ่านไปหน่อยได้ไหมครับ?” โชถาม
“หือ?”
“คือถนนมันค่อนข้างแคบน่ะครับ”
“อ๊ะ โทษทีนะ”
ถนนมันแคบเกินไปสำหรับผู้หญิงที่มีกระเป๋าเดินทางกับนักเรียนมัธยมที่มีรถเข็นที่บรรจุของเต็มอัตราจะผ่านไปได้ จิโกะยกกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้น แล้วพยายามดันมันไปด้านข้างที่ขอบถนนเพื่อเพิ่มพื้นที่ โชก้มหัวให้เธอแล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ” จากนั้นเขาก็เอารถเข็นเข้ามาใกล้กับกำแพงจนเกือบจะชน แต่กระนั้น กระเป๋าเดินทางของจิโกะก็ไปโดนเข้ากับไหล่ของโช
กระเป๋าเดินทางของเธอนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์ลับ เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเธอทำกระเป๋าเดินทางหล่นแล้วของที่อยู่ด้านในกระจายออกมา อุปกรณ์ทั้งหมดเธอซื้อมันมาเพื่อการมองดูเด็กๆ และมันก็มีโอกาสสูงที่คนอื่นจะเข้าใจผิดเมื่อเห็นมันเข้า อีกแง่หนึ่ง เธอต้องเก็บมันไว้เป็นความลับ
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งจิโกะนั้นมั่นใจในแรงจับของตัวเอง เธอจับกระเป๋าเดินทางของเธอเอาไว้อย่างแน่นๆ บีบมันเพื่อให้แน่ในว่าจะไม่หล่นลงไป แต่มันก็หมายความว่าเธอให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นน้อยลงไปด้วย เธอลืมเรื่องน้ำหนักที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อฟลีซไป และมันก็มีบางอย่างหล่นลงมาบนพื้นคอนกรีต
เธอไม่ได้ใส่อะไรไว้ในกระเป๋าเพราะมันอาจจะมีปัญหาได้หากถูกพบเข้า สิ่งที่หล่นลงมาบนพื้นคอนกรีตก็คือมังงะที่เธอใช้อ่านฆ่าเวลาระหว่างรอ
ก่อนที่จิโกะจะก้มตัวลง โชที่ดันรถเข็นออกไปแล้วก็หยิบมังงะขึ้นมาแล้ว จิโกะยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ” แต่เธอก็ไม่ได้มังงะคืน ดวงตาของโชจับจ้องอยู่บนปกมังงะเล่มนั้น
“เอ่อ…” ดวงตาอันสดใสของเขาเบิกออกกว้าง เขาเสยผมตัวเองแล้วก็มองมาที่จิโกะ
จิโกะตกใจและถอยหลัง แต่โชก็จับข้อมือของเธอเอาไว้แล้วไม่ปล่อยไป “มังงะเรื่องนี้!”
“หือ?”
“คุณชอบเหรอครับ?”
“อื้อ คิดว่านะ”
โชเค้นหมัดของตัวเองแล้วยกมันขึ้นลงราวกับว่าดีใจมาก “ครับ!” เขาพูดแบบนั้นกับตัวเอง จิโกะรู้สึกเหมือนกับเห็นคนที่หลงทางในทะเลทรายและรู้สึกดีใจเมื่อเจอโอเอซิสหยั่งไงหยั่งงั้น
“ผมเองก็ชอบเหมือนกัน!” เขาพูด
“อ๊ะ จริงเหรอเนี่ย?”
“ผมไม่รู้จักคนอื่นที่ชอบเรื่องนี้เลยครับ… จริงๆแล้วการตอบรับในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้ดีอะไรด้วย ถ้าพูดว่าชอบเรื่องนี้ล่ะก็ มันก็จะมีคนที่พูดจาไม่ดีใส่อีกต่างหาก… จนมันแทบจะกลายเป็นว่าคุยเรื่องนี้กับใครไม่ได้เลยครับ”
“นายไม่ต้องกังวลอะไรแบบนั้นจะดีกว่านะ”
“ผมไม่คิดว่าจะมาเจอคนที่ซื้อหนังสือเรื่องนี้เลยครับ! เอาจริงๆนะครับ ผมดีใจมากเลย! ผมส่งแบบสอบถามการโหวตไปทุกๆสัปดาห์ด้วย แต่อันดับมันก็ตกลงมาเรื่อยๆ เพราะแบบนั้นผมเลยเริ่มซื้อนิตยสารสองเล่มเพื่อส่งแบบสอบถาม แต่ว่าอันดับมันก็ยังคงตกลงมา และสุดท้ายก็โดนตัดจบ…”
พอมาถึงตอนนี้ เขาก็พูดว่า “อ๊ะ!” ออกมา แล้วก็ปล่อยข้อมือของจิโกะ “ขะ-ขอโทษครับที่จู่ๆก็ไปจับมือของคุณแบบนั้น”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ”
“ผมแค่ดีใจที่ได้เจอกับคนที่ซื้อมังงะเรื่องนี้ตัวเป็นๆ… ขอโทษนะครับ”
“ชั้นเข้าใจนะ หมายถึง ชั้นเองก็หวังว่าจะมีคนชอบมากขึ้นเหมือนกัน หวังว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในเล่มจบจะเพิ่มคะแนนรีวิวได้ซักนิด”
“หือ? มันมีอะไรออกใหม่ด้วยเหรอครับ?”
“คนวาดบอกเอาไว้ในงานอีเวนท์ของนิตยสารน่ะ ทางนั้นไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ใส่เข้ามาคืออะไร แต่ชั้นคิดว่าบางทีอาจจะเป็นบทส่งท้าย ในตอนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเองก็มีหลายส่วนที่ถูกตัดออกไปด้วย บางทีอาจจะถูกใส่เข้ามาก็ได้ เรทแมนเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
“เรทแมน?”
“นายไม่รู้จักอนิเมเก่าอย่าง พารานอร์มอล ไนท์ เรทแมน ใช่ไหม? มังงะเรื่องนี้มันแสดงความเคารพต่อเรทแมนมากเลยนะ ชั้นได้ยินว่ามันมีอิทธิพลมากกับงานด้วย”
“เอ๋ จริงเหรอครับ…? เรื่องนี้ผมไม่ทราบเลย”
“แต่มันก็ไม่ใช่ของเลียนแบบหรืออะไรทำนองนั้นหรอก ตัวอย่างนะ มันมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักกับนางเอกใช่ไหม? ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็จะโดนบังคับให้ตายเหมือนกัน เรื่องนี้มันมีพื้นมาจากเรทแมน —แต่ก็กล้าที่จะเขียนไปมากกว่านั้นอีกระดับนึง”
“ใช่เลยล่ะครับ!”
การได้เห็นโชมีความสุขแบบนี้มันก็ทำให้จิโกะดีใจตามไปด้วยเช่นกัน เธอบอกโชไปว่าสิ่งที่เธอรู้มาจากในอินเตอร์เน็ตและสื่ออื่นๆนั้นโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่เขานั้นตอบสนองกับทุกอย่างแบบเกินจริงไปมาก
เขาจับมือสองข้างของจิโกะ แล้วพูดออกมาด้วยความหลงไหลว่า “เพราะแบบนั้นเรื่องราวมันถึงกระชับขึ้นไงล่ะครับ” ไม่ก็ “ผมรู้สึกว่าทางนั้นพยายามจะนำมาสรุปนะครับ แม้ว่ามันจะถูกตัดจบก็ตาม” และ “มันกลายเป็นมังงะที่เอาไปใส่รวมกับหุ่นยนต์เรื่องอื่นไม่ได้เลย”
หลังจากที่พูดคุยกันไปได้ซักระยะ เขาก็เหมือนจะรู้ตัวว่าจับมือของจิโกะเอาไว้อีกครั้ง และเขาก็ปล่อยมือพร้อมกับพูดขอโทษ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีแดงเช่นกัน “ผมขอโทษจริงๆครับ ดันทำไปอีกแล้ว… ผมไม่เคยเจอใครที่จะคุยเรื่องมังงะเรื่องนี้ได้มาก่อนเลย แถมคุณเองก็บอกเรื่องที่ผมไม่รู้มาตั้งเยอะแยะ… คุณรู้เรื่องอะไรเยอะแยะเลยนะครับ”
“ไม่หรอก ก็ไม่ขนาดนั้น” จิโกะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงตื่นเต้น แม้ว่ามันจะถูกตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อดัง แต่มันก็มีเพียงไม่กี่คนที่อยากจะคุยเรื่องมังงะที่ถูกตัดจบ อาจจะเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อหาคนเหล่านั้น แต่มังงะมันก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานในโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน
จิโกะกับโชคุยกันเรื่องมังงะ ตัวละคร ความเห็นของตัวเอง แล้วก็ผลงานชิ้นก่อนหน้าของผู้เขียนด้วย พวกเธอยืนอยู่ข้างๆกัน เอนตัวพิงเข้ากับกำแพงคอนกรีต พูดคุยกันเรื่องทฤษฎีมังงะออกมาอย่างหลงไหล ความกระตือรือร้นของคนที่คุยด้วยนี่มันแพร่เชื้อใส่กันได้สินะ โชเองก็คงจะตื่นเต้นมากเช่นกัน บางครั้งเขาก็จะจับมือของจิโกะเอาไว้ และทุกครั้งเขาก็จะหน้าแดงแล้วพูดขอโทษออกมา
หัวข้อการสนทนามันขยายออกไปถึงเรื่องข้อดีและข้อเสียของระบบการตัดจบที่ให้น้ำหนักกับแบบสอบถามมากเกินไป แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเธอก็ได้ยินเสียงดังจากมาจากถนนหลัก
“เฮ้ กลุ่มนี้ช้าจังเลย! เร็วเข้าสิ พวกเราทำเสร็จแล้วนะ”
มันคือเสียงของอินเฟอร์โน ทั้งจิโกะกับโชต่างก็ลุกพรวดขึ้นมาจากผนังคอนกรีตที่พิงอยู่
แบบนี้แย่แล้ว คนที่เธอไม่อยากให้เจอตัวที่สุดเป็นอันดับหนึ่งดันมาอยู่ที่นี่ เธอรู้สึกเสียใจที่พูดเรื่องมังงะมากเกินไป จิโกะนั้นรีบออกไปแต่เธอก็เสียสมดุลย์จนตัวของเธอโน้มไปด้านหน้า
“ขะ-ขอโทษครับ”
เป็นเพราะว่าโชจับกระเป๋าเดินทางของจิโกะเอาไว้ เธอจึงกลืนคำพูดที่ว่า “นี่นายพยายามจะทำอะไรเนี่ย?” ลงไปในลำคอแล้วก็พยายามออกไปจากที่นี่ เธอคิดว่าคราวนี้จะออกจากที่นี่ได้แล้ว แต่โชก็จับแขนเสื้อฟลีซของเธอเอาไว้อีก
เขาเริ่มเปิดปากและพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เขามองลงไปด้านล่าง เอามือของตัวเองไปแตะไหล่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเปิดปากอีกครั้งราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว “อะ เอ่อ… ถ้ามันไม่รบกวนจนเกินไป คุณจะ… แลกอีเมลกับผลได้ไหมครับ? ผมไม่มีคนอื่นที่คุยเรื่องนี้ได้เลย…”
“อะ อื้อ ได้สิ แล้วชั้นจะส่งอีเมลไปหานะ”
“ขะ-ขอบคุณมากเลยครับ!”
เธออยากจะออกไปจากที่นี่ในทันทีเพราะอินเฟอร์โนนั้นมาที่นี่ได้ตลอดเวลา เธอดึงเอาสมาร์ทโฟนออกมาแล้วแลกอีเมลกับเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งคู่ก็แยกกัน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของจิโกะ ซาโต้ที่แลกอีเมลกับชายหนุ่ม แม้นักเรียนชายมัธยมต้นจะนับว่าเป็นชายหนุ่มหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้มีคำตอบออกมา
ที่ห้องประชุมในหลายวันให้หลัง
หลังจากที่ฝึกซ้อมเสร็จสิ้นแล้ว เพียวเอเลเมนท์ทุกคนก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้รอบๆโต๊ะ อินเฟอร์โนและดีลูจกำลังอ่านนิตยสารโชเน็นมังงะอยู่ด้วยกัน ในขณะที่เท็มเพรสกำลังทำการบ้านคณิตศาสตร์ และปริซึม เชอร์รี่ก็นั่งสอนเธออยู่ข้างๆ
แม้ว้าเควคจะอัพเลเวลในเกมมือถืออยู่ แต่เธอก็เอาแต่คิดถึงเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง เธอยังไม่ได้ส่งอีเมลไปหาโชเลย แม้ว่าเขาจะอยู่ชั้นมัธยมต้น แต่จิโกะก็ไม่เคยเข้าถึงบทสนากับชายหนุ่มมาก่อน นี่มันคือสิ่งที่เรียกว่าพลังของใบหน้าอันหล่อเหลารึเปล่านะ? บางทีมันอาจจะเป็นเสน่ห์เหมือนกับเท็มเพรสก็ได้
การมีอีเมลของโชนั้นมันคือแต้มต่อ และมันยังมีอีกหนึ่งแต้ม —จากการสังเกตอย่างไม่ลำเอียงก็พบว่ามันดูไม่เหมือนว่าเขาจะสนใจอินเฟอร์โน ในตอนนี้พวกเธอมีแต้มต่อสองแต้ม เธอจะบอกเท็มเพรส ในขณะที่จะบอกเรื่องวิธีการที่เธอได้ข้อมูลมาอย่างครุมเครือที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบนี้เท็มเพรสต้องดีใจแน่ๆ
ก่อนอื่น เควคนั้นต้องอยู่กับเท็มเพรสแค่สองคนแล้วบอกเรื่องสถานการณ์กับเธอไป จากนั้นเธอก็จะส่งอีเมลไปหาโช จากนี้ไปบางทีการปล่อยให้ทั้งสองคนสานต่อเรื่องราวกันเองอาจจะดีที่สุด เท็มเพรสพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์เชิงรักใคร่ขึ้นมาในร่างเมจิคัลเกิร์ล แต่เควคอยากจะให้คุยกันก่อนว่าเรื่องที่เธอจะทำนั้นมันเป็นความคิดที่ดีจริงๆรึเปล่า เธอยังคงอยู่ชั้นประถมปีที่สองคงต้องทำอะไรผิดพลาดอยู่แล้ว และเควคก็อยากเป็นคนที่ตักเตือนเธอเมื่อทำผิดพลาดอย่างอ่อนโยนด้วย
เท็มเพรสออกไปข้างนอกเพราะไส้ดินสอกดของเธอหมด เควคนั้นคิดถึงเรื่องที่จะตามมาหลังจากที่บอกเรื่องของโชกับเธอไปแล้ว แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น การปล่อยให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ต่อไปให้นานเท่าที่เป็นไปได้คงจะดีกว่า ในตอนที่เธอรอให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เควคก็จะเฝ้าฝันถึงใบหน้าอันยิ้มแย้มของเท็มเพรสได้ มันคือสิ่งที่เป็นความสุข จิโกะทำตัวเป็นแม่สื่อ เสิร์ฟกาแฟหรือเค้กให้กับพวกเธอที่คาเฟ่ในตอนที่ทั้งคู่พูดคุยกันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่เลวก็ได้ เมื่อจิโกะพยายามจินตนาการถึงเรื่องนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะวาดมันออกมา แต่เธอก็ลบความคิดนั้นออกไปทันที ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจึงส่ายหัวออกมาเพราะรู้สึกอายเกินไป
สองคนมันย่อมดีกว่าสามคนอยู่แล้ว การที่คนหนุ่มสาวสองคนอยู่ด้วยกันคือเรื่องที่ดี เควคจะไม่ทำตัวเด่นและรับบทเป็นคิวปิด เธอคิดว่าเรื่องราวความรักโรแมนติกนั้นยุ่งยาก —และไม่มีอะไรดีเลย แต่ถ้าเธอรับบทเป็นคิวปิด เรื่องมันอาจจะสนุกกว่านี้ก็ได้ เมื่อเริ่มสังเกตว่าทำไมสังคมถึงได้หลงรักความโรแมนติกกันนั้น เควคก็รู้สึกว่าที่มุมปากของเธอยิ้มออกมาเล็กน้อย
MANGA DISCUSSION