จากผู้แปล
บทนำ
คาโนเอะสงสัยมาโมริ และความสงสัยของเธอนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
มาโมริ โทโทยามะไม่สามารถซ่อนอะไรกับคาโนเอะ ฮิโตโคจิ เด็กสาวที่สามารถมองเห็นความคิดของคนอื่นจากการอ่านใบหน้าได้เลย แถมคาโนเอะเองก็เจอหน้ามาโมริบ่อยยิ่งกว่าครอบครัวของตัวเองเสียอีก การอธิบายความรู้สึกของคาโนเอะจากท่าทางนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรเลย ขนาดปิดตายังพูดออกมาได้ด้วยซ้ำ
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คาโนเอะรู้ว่ามาโมริกำลังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ เธอก็จะยอมแพ้ เพราะเธอรู้ได้จากประสบการณ์ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ หากต้องทนอยู่กับแรงกดดันแล้วสุดท้ายก็ต้องยกธงขาว สู้ยอมแพ้ไปเลยทันทีมันก็จะดีกว่า
แต่ในคราวนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้
เมื่อวันก่อน ที่คฤหาสน์หลังที่สองของตระกูลฮิโตโคจินั้นถูกบุกรุก ซึ่งมันทำให้มาโมริเห็นได้ชัดเลยว่า คาโนเอะ ฮิโตโคจิหรือเมจิคัลเกิร์ลพีเฟิลนั้นมีตำแหน่งสำคัญในโลกของเมจิคัลเกิร์ล
เมื่อมีการบุกรุกเข้ามาในบ้านของผู้มีตำแหน่งสูง มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีการสืบสวนตามมา
แต่พีเฟิลนั้นสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ เธอมีลางสังหรณ์ว่าบางคนกำลังใช้การสืบสวนเป็นข้ออ้าง ซึ่งความตั้งใจจริงๆนั้นคือการสืบสาวเรื่องความลับของพีเฟิล
และพีเฟิลนั้นยังคงสังเกตุเห็นอีกว่าพวกที่บุกรุกเข้ามามันดูผิดธรรมชาติ มันดูไม่เหมือนว่าจะเป็นการแผ่ขยายอาณาเขตของบางคนที่ต้องการจะโค่นล้มพีเฟิลแบบธรรมดา บางครั้งตัวของคาโนเอะ ฮิโตโคจิที่ทำเรื่องสกปรกก็มีลางสังหรณ์ที่รุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน
พีเฟิลนั้นเป็นคนริเริ่ม “โปรเจคเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์” ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขนาดที่ว่าสามารถเขย่ารากฐานของดินแดนเวทมนตร์ได้ทีเดียว เธอคิดว่าบางทีคนร้ายอาจจะเข้ามาเพราะเรื่องนั้น หากมีใครบางคนที่มีอำนาจมากพอที่จะเข้ามายุ่งในการสืบสวนแล้วรู้เรื่องของแผนการ คนๆนั้นก็อาจจะยึดทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนไปอย่างลับๆแล้วนำเอาไปใช้เองในภายหลัง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พีเฟิลอยากหลีกเลี่ยงมากที่สุด
พีเฟิลได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ก่อนการสืบสวน พีเฟิลได้กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นหลักฐานในการกระทำผิดไป แถมยังใช้เวทมนตร์ในการลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดกฏหมายเพื่อที่จะได้ทำตัวเป็นคนดี ดูเป็นคนที่ถ่อมตัวและตรงไปตรงมา
การปกปิดเรื่องไม่ดีที่ทำลงไปไม่ให้ถูกเปิดเผยออกมา มันจึงทำให้เธอนั้นปลอดภัย และในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโปรเจคเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ ทั้งเรื่องเทคโนโลยีที่ใช้จนถึงผลลัพธ์ในปัจจุบันได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะแบบไม่ระบุตัวตน โดยที่ไม่มีหลักฐานอะไรแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะโยงมาถึงตัวของพีเฟิลได้
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าจะก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ แต่การทำแบบนี้มันก็คือการป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผูกขาดเทคโนโลยีแบบผิดกฏหมายเอาไว้ได้อีก
ในตอนที่ทำการปกปิดอยู่นี้ มาโมริหรือเมจิคัลเกิร์ลชาโดว์เกลก็ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ
มาโมริได้รับความไว้วางใจให้เก็บคริสตัลความทรงจำของพีเฟิลเอาไว้ ถ้าจะให้พูดมากกว่านี้มันก็คือถูกผลักมาให้เธอ มาโมริถูกสั่งไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็ต้องส่งความทรงจำกลับคืนไปให้
พีเฟิลคิดว่าหากสามารถซ่อนความทรงจำของตัวเองเอาไว้ เธอก็จะสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ เธอทำมันได้อย่างถูกต้องมาจนถึงครึ่งทาง เพราะเมื่อมาโมริได้มองดูความทรงจำที่ถูกมอบให้อย่างอย่างลับๆ เธอก็ตัดสินใจว่าจะไม่ส่งมอบมันคืนไป หลังจากที่มาโมริรู้สึกเจ็บปวดทรมาณกับมัน เธอก็ตัดสินใจมอบความทรงจำนี้ให้กับเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่ง เธอคือสโนไวท์ที่มีฉายาว่า นักล่าเมจิคัลเกิร์ล ชีวิตของพีเฟิลนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีความทรงจำที่สูญเสีย มันดำเนินไปพร้อมกับความรู้สึกที่ผิดแปลก
นี่คือความลับที่มาโมริ โทโทยามะหรือชาโดว์เกลซ่อนเอาไว้
เธอไม่ได้คิดว่าทุกอย่างที่พีเฟิลพยายามทำนั้นมันเลวร้าย พีเฟิลมีอุดมคติที่ชัดเจน เธออุทิศตัวเองในการพยายามเปลี่ยนแปลงดินแดนเวทมนตร์ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่จนเน่าเฟะ
แต่พีเฟิลนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย หากเธอคิดว่าการรวบรวมเมจิคัลเกิร์ลหนึ่งร้อยคนมาเข้าร่วมเพื่อสู้กับเมจิคัลเกิร์ลที่ชั่วร้าย จะมีประโยชน์น้อยกว่าการเชื่อฟังเมจิคัลเกิร์ลที่ชั่วร้ายเพื่อฆ่าคนหนึ่งร้อยคนแล้วล่ะก็ เธอก็จะเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล ยิ่งพีเฟิลเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ การสังเวยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันต้องมีใครบางคนมาหยุดเธอ และมันก็ไม่มีใครคนอื่น นอกจากชาโดว์เกลที่ถูกไว้วางใจและเก็บความทรงจำของพีเฟิลเอาไว้จะหยุดได้
มาโมริไม่ได้จะหยุดคาโนเอะเพราะเห็นแก่คนที่อาจจะตาย จากที่มาโมริมองเห็น หนทางที่คาโนเอะดิ้นรนเพื่อไปถึงเป้าหมายของตัวเองมันเต็มไปด้วยความอันตรายอย่างยิ่ง แม้ในตอนนี้คาโนเอะอาจจะผ่านมันไปได้ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเธอต้องไปเจออุปสรรคที่ไหนซักแห่ง หากคาโนเอะไปถึงจุดที่ถูกบังคับให้มอบความทรงจำของตัวเองให้กับคนอื่น มาโมริก็สามารถคิดได้ว่าอีกแค่ไม่กี่ก้าวพีเฟิลนั้นก็ใกล้จนมุมเต็มทีแล้ว
แต่อย่างไรมาโมริก็จะไม่คืนความทรงจำของคาโนเอะกลับไป นี่เป็นครั้งเดียวที่ไม่ว่าคาโนเอะจะกดดันเธอขนาดไหน ไม่ว่าจะใช้กับดักแสนเจ้าเล่ห์ยังไง มาโมริก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเปิดเผยมันออกมา เธอจะไม่คืนความทรงจำของคาโนเอะกลับไป หากมันเกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดขึ้น มาโมริก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะกัดลิ้นของตัวเอง
แม้ว่าความทรงจำนั้นจะมีส่วนที่ขัดแย้งกันแบบน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ คาโนเอะก็ยังคงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่แปลกไป แต่มันก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แม้คาโนเอะจะใช้เทคนิคเพื่อพยายามสำรวจสิ่งที่มาโมริซ่อนเอาไว้ ตั้งแต่การถามคำถามไปจนถึงการพยายามติดสินบน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม มาโมริก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ปัญหามันเริ่มต้นที่ตรงนี้ แม้มาโมริจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคาโนเอะจะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านการสมมติและมองทะลุออกมาได้ด้วยตัวเอง หรือแทนที่จะเป็นแบบนั้น การคิดว่าเวลาใกล้เข้ามาถึงแล้วคงจะดีกว่า
การถือครองความทรงจำของคาโนเอะเอาไว้ มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการหยุดพักหรือการสร้างช่องโหว่เลย สุดท้ายแล้วพีเฟิลก็อ่อนแอลงเพราะไม่มีความทรงจำนั้น แล้วมันก็ทำให้การกระทำของคนที่ถูกส่งมาโจมตีคฤหาสน์หลังที่สองนั้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น มาโมริรู้ว่าเธอต้องคิดอะไรบางอย่างออกมา แต่เธอก็คิดอะไรดีๆออกมาไม่ได้เลย คาโนเอะนั้นเป็นคนที่คิดอะไรดีๆออกมาได้เสมอ แต่คาโนเอะก็เป็นคนเดียวที่มาโมริไปคุยเรื่องนี้ด้วยไม่ได้
ชาโดว์เกลนั้นไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก เธอไม่ได้มีเส้นสายอะไรเลย จำนวนคนที่เธอรู้จักก็น้อยจนสามารถนับด้วยมือข้างเดียวได้ และถ้าลบคนที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการออกพีเฟิลออกไปล่ะก็ จำนวนมันก็จะน้อยกว่านั้นอีก
มาโมริอยากจะกันแคลนเทลออกไปให้ห่างจากเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มาโมริอยากให้เธออยู่ห่างจากอะไรที่สกปรกอย่างการหลอกลวงและทำให้ผู้คนตกหลุมพราง มาโมริอยากให้เด็กสาวคนนั้นมุ่งเน้นไปที่การเป็นนักสัตววิทยา
เพราะแบบนั้นมันจึงเหลือสโนไวท์เพียงคนเดียวที่เธอสามารถคุยด้วยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันรู้สึกเหมือนกับว่า เธอมอบความทรงจำให้สโนไวท์เพื่อลากสโนไวท์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มาโมริรู้สึกแย่กับเรื่องนั้น เธออยากจะหายตัวไปให้พ้นๆ แต่ไม่ว่าเธอจะคิดมากขนาดไหน มันก็ไม่มีใครเลยที่เธอสามารถขอความช่วยเหลือได้
และในวันหนึ่งที่มาโมริยังคงเขียนและเขียนข้อความเพื่อส่งไปหาสโนไวท์พร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ได้มีการขอความช่วยเหลืออยู่แล้วนั้น คาโนเอะก็เรียกเธอไปหาที่ลานกว้างที่ที่เธอแปลงร่างเป็นพีเฟิลแล้ว เธอนั่งอยู่กับเมจิคัลเกิร์ลที่มาโมริไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“นี่แพททริเซียนะ” พีเฟิลแนะนำเธอ “แพททริเซีย นี่มาโมริ” จากนั้นคนแปลกหน้าก็ทักทายเธอ
“งาย งาย ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อ๊ะ สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก…” มาโมริตอบกลับ “นายหญิงคะ คนๆนี้คือ?”
“ฉันว่าฉันบอกเธอไปแล้วนะว่าชื่อแพททริเซีย”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ฉันมอบหมายให้มาทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้เธอน่ะ”
“อะไรนะคะ?”
พีเฟิลบอกให้เธอฟังว่าเหตุการณ์ของคฤหาสน์หลังที่สองนั้นยังไม่ไขกระจ่าง แถมยังจับตัวคนที่บงการไม่ได้ด้วย ทางเข้าคฤหาสน์เองก็ถูกปิดเอาไว้ด้วยเทปสีเหลือง เมจิคัลเกิร์ลหลายคนเองก็ยังคงประจำอยู่ที่คฤหาสน์ฮิโตโคจิภายใต้ข้ออ้างของการรักษาความปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น มาโมริก็เหมือนว่าจะซ่อนอะไรบางอย่างจากคาโนเอะเอาไว้อีกด้วย ทุกอย่างมันมีแต่เรื่องที่ไม่สบายใจ
หลังจากที่พีเฟิลพูดออกมาตามที่เธอพึงพอใจแล้ว ริมฝีปากของพีเฟิลก็ผ่อนคลายจนกลายเป็นรอยยิ้ม
“ดังนั้นฉันเลยคิดว่าต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เธอ…เพราะฉันเองไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องอันตรายขนาดไหนขึ้นมาเหมือนกัน”
แพททริเซียยื่นมือขวาของเธอออกมาอย่างร่าเริง มาโมริงุนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยื่นมือเข้าไปหา แพททริเซียนั้นบีบมือของตัวเองแรงพอที่จะทำให้มาโมริสะดุ้งได้เลย
ตอนที่ 1:
เริ่มต้นอย่างเร่าร้อน
☆ ฟาล
แน่นอนว่าต้นกำเนิดของดินแดนเวทมนตร์นั้นถูกบันทึกเอาไว้ในบันทึกของทางดินแดนเวทมนตร์ แต่มันจะมีใครซักกี่คนกันล่ะที่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลนั้นคือข้อมูลที่ถูกต้อง? ความจริงที่ไม่ได้มีประโยชน์นั้นจะถูกมองข้าม ถูกแก้ไข ไม่ก็ถูกบิดทุกอย่างให้กลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม และปล่อยให้สิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้มีแต่อะไรที่ถูกกฏหมาย ไม่ได้มีสิ่งที่ปกปิดหรือมีอะไรที่ทำให้มีความรู้สึกผิดอยู่เลย
ต้นกำเนิดของดินแดนเวทมนตร์ถูกบันทึกเอาไว้ดังต่อไปนี้
ปฐมจอมเวทได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และจอมเวทคนนี้ยังสร้างลูกศิษย์ขึ้นมาสามคนแล้วก็สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้แก่ทั้งสามคนด้วย จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ ลูกศิษย์ทั้งสามนั้นได้สร้างโลกขึ้นมา แล้วก็ใช้โลกนั้นเป็นฐานที่มั่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับโลกใบอื่นอีกมากมาย การได้เห็นลูกศิษย์ทั้งสามและโลกที่สร้างขึ้นมาเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว ปฐมจอมเวทนั้นก็รู้สึกพึงพอใจมาก
เมื่อจอมเวทคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีตัวเองอีกต่อไปแล้ว จอมเวทก็มอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกศิษย์ทั้งสามคนก่อนที่จะหายตัวไปในทันใด
หากผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในการก่อตั้งประเทศยังคงมีชีวิตอยู่ มันก็จะเป็นอะไรที่ผิดปกติกับเรื่องราวเหล่านี้ แต่เมื่อมีเพียงคนเดียวที่พูดว่า “นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง” และคนๆนั้นก็คือสามปราชญ์ที่อยู่ในคำถาม มันก็จะทำให้รู้สึกน่าเชื่อถือมากจนเพียงพอ
ความจริงแล้วเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือลูกศิษย์สามคนที่ถูกเรียกว่าสามปราชญ์นั้น สำหรับดินแดนเวทมนตร์แล้วก็คือวีรบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศแถมยังมีพลังอันยิ่งใหญ่จนไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนต่อกรได้
ฟาลนั้นกังวลมาก ถ้าไม่ใช่ไซเบอร์แฟร์รี่บางทีฟาลอาจจะรู้สึกปากแห้ง เหงื่อไหล หรือแม้กระทั่งวิงเวียนจนอาเจียนออกมาเพราะความเครียด แต่อย่างไรก็ตาม สโนไวท์นั้นไม่ได้แสดงอาการตึงเครียดออกมาเลย อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ปกติสำหรับคนที่ตื่นตัวอยู่เสมอ
เมื่อมองจากภายนอกแล้ว คฤหาสน์แห่งนี้มีขนาดใหญ่และดูหรูหรามาก แต่พอเข้าไปด้านในมันก็กลับเป็นบ้านของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ดูแปลกตา เมื่อใส่น้ำหนักลงไปบนพื้นไม้ตรงทางเดินมันก็จะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมา ประตูบานเลื่อนที่ทำมาจากกระดาษโชจิเองก็มีแสงสลัวๆส่องผ่าน ที่เสาไม้หนาๆมีรอยแหว่งอยู่เล็กน้อย เสื่อทาทามิก็ยังคงมีสีเขียวและมีกลิ่นที่หอมสดชื่น ภายในสวนนั้นมีกรวดปูเอาไว้พร้อมกับแผ่นหินสีขาวเพื่อเอาไว้เดิมข้าม กรวดนั้นมีสีแดง ฟ้า ขาว ดำ เขียว และเหลืองแบบเมทัลลิค พวกมันสีสรรที่สดใสมากแถมยังมีหลายประเภทจนไม่น่ามองดูเอาซะเลย ที่แห่งนี้แทนที่จะมีตะเกียงหิน* แต่มันกลับมีสิ่งที่ดูเหมือนเสาโทเท็มที่กลับหัวกลับหางกระจัดกระจายอยู่แทน ในสวนเองก็มีต้นไม้ขนาดใหญ่มโหฬารจนชวนให้นึกถึงต้นไม้แห่งโลกอิกดราซิลหรืออะไรที่ดูเป็นธรรมชาติทำนองนั้น มันมีขนาดใหญ่ประมาณสิบคนโอบ ต้นไม้ขนาดยักษ์นี้มองไม่เห็นจากภายนอกกำแพง ทั้งๆที่คนปกติสามารถมองเห็นอะไรที่ขนาดใหญ่เท่านี้ได้ถ้าอยู่ห่างออกไปห้ากิโลเมตร
*โทโระ ตะเกียงที่ทำมาจากหิน ไม้ หรือโลหะhttps://en.wikipedia.org/wiki/Tōrō
แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวมันก็มากพอที่จะทำให้ฟาลเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้มันอยู่เหนือสามัญสำนึก แถมคนที่เรียกสถานที่แบบนี้ว่าบ้านได้เชิญพวกเธอมา และคนๆนั้นยังเป็นหนึ่งในสามปราชญ์อีก สโนไวท์ก็เลยปฎิเสธไปไม่ได้
“เชิญเลย ทานซะสิ”
เจ้าของบ้านนั้นพูดกับสโนไวท์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของโต๊ะน้ำชาทรงเตี้ย บนโต๊ะน้ำชานั้นมีแก้วใส่โคล่าแล้วก็ชามขนมที่เต็มไปด้วยมันฝรั่งทอดวางเอาไว้
เมื่อไม่นานมานี้ สโนไวท์เอาชนะเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่ากริมฮาร์ทในเชิงเล่ห์เหลี่ยมได้ แต่มันก็ไม่ใช่การทำให้บาดเจ็บโดยตรง เพราะเวทมนตร์ของกริมฮาร์ทนั้นป้องกันสิ่งต่างๆเอาไว้ แม้เธอจะเป็นคนที่ฟาลอยากให้ใช้กำลังทำร้ายถ้าเป็นไปได้ แต่กระนั้น ถึงสโนไวท์จะไม่ได้ทำร้ายเธอ เรื่องดีๆก็จะไม่เกิดขึ้นกับกริมฮาร์ท หลังจากที่สโนไวท์เอาชนะได้ กริมฮาร์ทก็ถูกจับกุม และในขณะที่พาตัวไปนั้น เธอก็ “ตายในอุบัติเหตุ” ฟาลไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกับกริมฮาร์ท แต่นั่นคือสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในเอกสารของดินแดนเวทมนตร์ที่ฟาลสามารถเข้าถึงได้
กริมฮาร์ทคือร่างที่ลงมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ของ เชน โอส บัล เมล ที่เป็นหนึ่งในสามปราชญ์ และพัคพั๊คคนที่เรียกสโนไวท์มานั้น ก็คือเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นร่างลงมาเกิดใหม่ของ อัฟ ลาปาติ พัค บัลธ่า หนึ่งในสามปราชญ์อีกคนหนึ่งเช่นกัน การถูกเชิญมาโดยร่างที่เกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ มันก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากหนึ่งในสามปราชญ์ลงมาเชิญด้วยตัวเอง
สโนไวท์ไม่ได้ดื่มโคล่าหรือกินมันฝรั่งทอด เธอแค่จับตามองเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วเด็กสาวนั้นก็ยังคงดูเด็กมาก เด็กยิ่งกว่าเด็กวัยประถมหรืออนุบาลซะอีก บางทีอาจจะอยู่ในวัยหัดเดินก็ได้ เธอนั่งอยู่ด้วยท่าทางแบบสบายๆด้วยการเอาขามาไขว้กันอยู่บนหมอนหนาๆ เธอสวมเสื้อคลุมสีขาวและมีผมม้วนสีทอง ซึ่งนั่นมันทำให้มีบรรยากาศที่ดูศักดิ์สิทธิ์แบบจางๆ รอยยิ้มของเธอนั้นดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสา เธอนั้นอ่อนโยนจนกระทั่งสามารถทำให้เผลอตัวได้ แต่ท่าทีของสโนไวท์ก็ยังคงเคร่งขรึมอยู่ สโนไวท์ไม่ใช่คนประเภทที่จะหัวเราะหรือประจบสอพลอเพื่อพยายามขอร้องคนอื่นอยู่แล้ว แต่กระนั้นเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อย่างน้อยฟาลก็หวังว่าสโนไวท์จะทำตัวให้เป็นมิตรมากกว่านี้
“ไม่กินเหรอ?”
“มีเรื่องอะไรจะพูดรึเปล่า?”
ฟาลกังวลเพราะสโนไวท์พูดออกมาตรงๆ แถมมันก็ไม่ชัดเจนว่าพัคพั๊คนั้นพูดจบแล้วรึเปล่าอีกด้วย เหมือนกับสโนไวท์ยืนยันว่าจะไม่พูดอะไรอย่างอื่นนอกจากเรื่องงาน
แม้หลังจากได้ยินคำพูดแบบนี้ เด็กสาวนั้นก็ยังคงยิ้มออกมาอย่างสดใส
“ถ้าบอกพัคเรื่องขนมที่ชอบมาล่ะก็ เดี๋ยวพวกเราจะเอามาให้ได้นะ”
“มีธุระอะไรกับฉันรึเปล่า?”
จากนั้นในสวนก็มีเสียงของชิชิโอโดชิ*ดังขึ้นมา
*ชิชิโอโดชิคือท่อนไม้ไผ่ที่มีน้ำไหลลงไปแล้วจะเกิดการกระแทกขึ้นเพื่อทำให้เกิดเสียง ส่วนใหญ่แล้วเอาไว้ใช้ไล่สัตว์อย่างพวกหมูป่าไม่ก็กวางhttps://en.wikipedia.org/wiki/Shishi-odoshi
“เอ่อ…พัคอยากเป็นเพื่อนกับพี่สโนวี่*น่ะ”
*ฉบับ platfleece พัคพั๊คจะเรียกสโนไวท์ว่าสโนเฉยๆ แต่ฉบับ yenpress พัคพั๊คจะเรียกสโนไวท์ว่าพี่สโนวี่ไม่ก็พี่สาว
“ที่วันนี้เรียกฉันมาก็เพราะเรื่องนี้?”
ที่ด้านหลังบานเลื่อนนั้นมีเมจิคัลเกิร์ลกำลังเคลื่อนไหว ฟาลมองไม่เห็นตัวของเธอก็จริงแต่สามารถตรวจจับได้ด้วยเรดาห์ ที่ตรงนี้มีสโนไวท์แล้วก็พัคพั๊คที่อยู่ตรงหน้าเธอ แล้วก็อีกหนึ่งคนที่รออยู่ตรงด้านหลังบานเลื่อน บางทีเธออาจจะเป็นลูกน้องของพัคพั๊คก็ได้ หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านาย เธอก็คงจะพุ่งเข้ามากำจัดปัญหาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเธอคนนั้นขยับตัว ฟาลก็รู้สึกตึงเครียดมากขึ้น มีความคิดพุ่งขึ้นมาในใจของฟาลแล้วก็หายวับไป นี่อย่างน้อยฟาลก็ควรจะเตือนสโนไวท์ว่า ควรจะพูดให้สุภาพและให้มันดูนับถือเธอกว่านี้ซักนิดมันจะดีไหมนะ? หรือว่ามันจะกลายเป็นการขัดจังหวะการสนทนาแทน?
“ก็ ก็ พัคน่ะอยากเป็นเพื่อนกับพี่สาวนี่นา”
จากนั้นเธอก็เอนตัวขึ้นมาบนโต๊ะน้ำชาแล้วก็ช้อนตามองสโนไวท์ด้วยความออดอ้อน จนหัวใจของสโนไวท์เต้นแรงขึ้น
“แล้วก็ แล้วก็นะ เอ่อ…”
“ทำไมฉันต้องมาที่นี่ล่ะ?”
ฉากหน้าของสโนไวท์มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปก็จริง แต่หัวใจของสโนไวท์นั้นเต้นแรงขึ้น
“อะ-เอ่อ คือพัค-“
“จะให้ฉันทำอะไรงั้นเหรอ?”
“…งืมม”
พัคเกาหัวของตัวเองด้วยนิ้วกลาง เธอนั้นดูมีปัญหาจริงๆเหมือนกับน้ำเสียงที่พูดออกมา กับสโนไวท์ที่มีความสามารถที่จะได้ยินความคิดของคนที่มีปัญหานั้น เธอจึงมองทะลุการโกหกในเรื่องต่างๆได้
“พัคคิดว่าแบบนี้มันจะดีกับพวกเราทั้งคู่กว่านะ เพราะพี่สาวเองก็จัดการกริมฮาร์ทได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ทางฝ่ายโอสก็จับตามองพี่สาวอยู่ใช่ไหม? แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นนะ บางทีพวกนั้นจะทำอะไรไม่ดีก็ได้นี่นา? แต่แบบนั้น แต่แบบนั้นน่ะ ถ้าพวกเราเป็นเพื่อนกันล่ะก็ พัคช่วยได้นะ แล้วแบบนั้นพัคจะปกป้องพี่สาวได้ด้วยรู้ไหม?”
นี่คือคำพูดเชิญชวนที่จะสื่อว่า “ถ้าเข้าร่วมฝ่ายของฉันล่ะก็ ฉันจะช่วยเธอเอง” เธอพูดออกมาโดยใช้ภาษาที่ฟังดูสุภาพ แต่ใจความจริงๆของข้อเสนอที่เธอพูดนั้นมันน่าสงสัย
ฟาลคิดว่าบางทีอาจจะเชื่อใจเรื่องนี้ได้ ความต้องการของพัคพั๊คที่จะรวบรวมเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายศัตรูมาเป็นฝ่ายตัวเองนั้นมันเข้าใจได้ง่าย ถึงข้อเสนอของพัคพั๊คจะดูลวกๆ ฟาลก็ยังคงรู้สึกว่าสามารถเชื่อใจเธอได้
“แล้วยิ่งกว่านั้นนะ พัคสามารถช่วยหาตัวเพื่อนของพี่สาวได้ด้วยล่ะ”
สโนไวท์กำลังตั้งใจค้นหาริปเปิลที่หายตัวไป แต่เธอก็ค้นหาเป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด ฟาลนั้นรู้สึกประหลาดใจที่พัคพั๊คมองสโนไวท์ได้อย่างลึกซึ้ง หัวใจของสโนไวท์เต้นแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม คงเป็นเพราะชื่อของริปเปิลถูกยกขึ้นมาพูด
“ประทานโทษ”
ประตูเลื่อนที่ทำจากกระดาษนั้นเปิดออก มีเมจิคัลเกิร์ลที่นั่งอยู่ตรงนั้น เส้นผมยาวๆของเธอไล่เฉดสีจากสีน้ำตาลไปเป็นสีชมพูและถูกมัดเอาไว้สองข้าง เส้นผมของเธอนั้นยาวจบเกือบถึงพื้น ดวงตาเองก็มีสีที่ต่างกัน ด้านขวานั้นมีสีม่วงแดงส่วนด้านซ้ายมีสีฟ้าอ่อน ตรงผ้าพันคอของเธอนั้นก็มีกระต่ายอยู่ มีอุ้งเท้าของตุ๊กตาสัตว์โผล่ออกมาจากเส้นผมที่ถูกมัดเอาไว้เป็นทรงโพนี่เทลทั้งสองข้างอีกด้วย ตัวของเธอนั้นดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่ใจเย็น แต่ในตอนนี้เธอกำลังหายใจออกมาแรงๆ แถมไหล่ก็ยังสั่นอีกต่างหาก
“เดี๋ยวพัคจะแนะนำให้พี่สาวรู้จักนะ นี่โซรามิ นาคาโนะ หนึ่งในเพื่อนของพัคเอง เธอวิเคราะห์แผ่นดิกส์เข้ารหัสที่พวกเราขโมยมาจากฝ่ายโอสให้กับพัค ต้องขอบคุณเธอมากเลยล่ะ เพราะทำให้ได้รู้ว่ามีข้อมูลของพวกเราจำนวนมากได้หลุดออกไปแล้ว พี่สาวรู้ไหม โซระเป็นเพื่อนที่ดีกับพัคมาตลอดเลยนะ อย่างตอนที่กำลังทานข้าวเย็นเมื่อสองวันก่อน…”
สโนไวท์พูดออกมาว่า “โทษทีนะ” และพัคพั๊คก็มองเธอด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอ?”
“ดูเหมือนว่าเธอกำลังรีบ”
พัคพั๊คมองดูที่โซรามิ นาคาโนะแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนว่าโซรามิเริ่มพูดออกมาอย่างรวดเร็วราวกับโล่งอก “อื้อ อย่างที่พูดนั่นแหละ”
“มีอะไรรึเปล่า?” พัคพั๊คถาม
“ซาจิโกะ… พรีเมี่ยม ซาจิโกะหนีไปแล้ว”
“. . .หนีไปแล้ว?”
“เธอทิ้งโน๊ตที่บอกว่า ‘ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะจัดการพิธีสำคัญได้เลย แทนที่จะทำแล้วเกิดปัญหาเพราะความผิดพลาด สู้ไม่ทำมันเลยจะดีซะกว่า หวังว่าจะจัดการที่เหลือได้นะ…’ เอาไว้ด้วย ก็นะ เหมือนอย่างเคยนั่นแหละ”
พัคพั๊คเอาฝ่ามือมาแตะหน้าผากแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน มันเป็นท่าทางครั้งแรกที่เธอแสดงออกมาตั้งแต่ที่ฟาลกับสโนไวท์เข้ามาในห้องนี้ และท่าทางที่เธอทำนั้นมันดูไม่เข้ากับรูปร่างภายนอกของเธอเลย
“ทำตัวแบบนี้ตลอดเลย…” เธอพึมพำบางอย่างออกมา เสียงนั้นฟังดูลอยๆและแหบแห้งราวกับเป็นหญิงชรา
พัคพั๊คถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วก็หันกลับไปหาสโนไวท์
“เอ่อ ก็ แบบนี้มันก็น่าอายนิดหน่อยน่ะนะ มันพูดออกมายากนิดนึง แต่ถ้าพัคจะขอร้องล่ะก็มันก็ต้องพูดออกมาสินะ? อื้อ”
“พูดมาสิ” สโนไวท์พูด
“พัคอยากให้พี่สาวปกป้องเพื่อนให้หน่อย”
แม้มันจะวกวนไปบ้าง แต่พัคพั๊คก็ยังคงพูดอธิบายสถานการณ์ต่อไป
พัคพั๊คนั้นมีเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นลูกน้องอยู่ เธอนั้นวางแผนที่จะจัดพิธีเวทมนตร์ขึ้น และพรีเมี่ยม ซาจิโกะก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวคนสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วย แต่ว่ามันมีฝ่ายทางการเมืองอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับพิธี
“เด็กคนนั้นถูกฝ่ายโอส…จับตามองอยู่” พัคพั๊คพูด
คิ้วของสโนไวท์ย่นเล็กน้อย ฝ่ายโอสนั้นคือกลุ่มของจอมเวทที่นำโดย เชน โอส บัล เมล พวกนั้นไม่ได้มองเห็นมนุษย์และเมจิคัลเกิร์ลเป็นมากกว่าร่างทดลองที่จะเอามาใช้งาน สิ่งเหล่านี้มันทำให้สโนไวท์เจ็บปวดอย่างมากในตอนที่อยู่ในห้องวิจัยใต้ดิน
ฝ่ายพัคที่กำลังจะทำพิธีนั้นมีซาจิโกะเป็นศูนย์กลาง การตัดสินใจเรื่องพิธีนั้นมาจากการประชุมกันของทั้งสามปราชญ์ แต่มีเพียงแค่ฝ่ายโอสฝ่ายเดียวที่เห็นตรงกันข้าม แถมยังเพิกเฉยกับผลลัพธ์ของการประชุมแล้วจะเข้าไปแทรกแซงพิธีอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วพวกเธอจะทำพิธีโดยที่ไม่มีซาจิโกะไม่ได้ หากเธอถูกกำจัดไปล่ะก็ การตัดสินใจส่วนใหญ่ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย
“แล้วมันเป็นพิธีแบบไหนกันล่ะ?” สโนไวท์ถาม
“เอ่อ พวกเราบอกคนอื่นไม่ได้หรอกนะ แต่เมื่อพัคขอร้องไปแล้ว มันก็ไม่ได้จะเป็นแบบนั้นใช่ไหม? ถ้าพี่สโนวี่เป็นพวกเดียวกันกับพวกเราแล้ว แบบนั้นพัคก็บอกได้ใช่ไหมนะ? แบบนั้นมันโอเคที่พัคจะบอกพี่สาวไปรึเปล่า?”
ฟาลรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดออกมามันตัดทางหนีทั้งหมดไปเลย แต่สโนไวท์ก็ฟังเธอพูดอย่างเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
พัคพั๊คยังคงพูดต่อไปราวกับว่าคุยโม้
“ในตอนนี้น่ะ ดินแดนเวทมนตร์อยู่ในสภาพที่วิกฤตมาก พวกเราใช้พลังงานไปมากเกินกว่าที่รวบรวมมาได้ แล้วพลังที่พวกเราเก็บเอาไว้ก็ลดลงทีละนิดทีละนิดอีกต่างหาก การใช้เวทมนตร์ที่รุนแรงเองน่ะมันจะทำให้ใช้พลังเวทมากขึ้นตามกันไปด้วย แต่พอทุกคนพยายามค้นคว้าสิ่งต่างๆและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น สุดท้ายมันก็จบลงโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอด แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็หยุดการทำค้นคว้าวิจัยและกลับไปเป็นเหมือนกับวันเก่าๆไม่ได้ หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป พลังมันก็จะหายไปจนหมดและจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ในตอนนี้ก็เรื่องเรื่องดีๆเกิดขึ้นนะ เมื่อนานแสนนานมาแล้ว มันมีคนที่สำคัญมากๆ บางทีพี่สาวน่ะคงจะรู้จักในชื่อปฐมจอมเวท แล้วปฐมจอมเวทคนนั้นก็สร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมา ซึ่งมันเก็บกักพลังเวทเอาไว้เยอะมากกกกกกเลยล่ะ ทีนี้ในการจะมันก็จำเป็นจะต้องจัดพิธีขึ้น แล้วในการที่จะจัดพิธีได้นั้น พวกเราก็จำเป็นต้องมีเด็กสาวคนนั้น…พรีเมี่ยม ซาจิโกะ”
แม้จะเป็นหลังจากที่รับฟังเรื่องทั้งหมด สโนไวท์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่อัตราการเต้นของหัวใจของเธอก็ยังคงสูง เรื่องพวกนี้มันเหมือนกับเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้ามันมีเรื่องโกหกปนอยู่ล่ะก็ สโนไวท์ก็จะชี้ให้เห็นถึงเรื่องนั้นหรือลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเงียบๆ บางทีฟาลก็ควรจะคิดว่าแม้สิ่งที่พูดออกมาจะฟังดูประหลาด แต่คนที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของสามปราชญ์ บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆก็ได้
“ในตอนนี้ พัคน่ะกำลังสร้างบาเรียเพื่อป้องกันซัจจิอยู่ แต่ว่า แต่ว่านะ ก่อนที่พัคจะทำเสร็จซัจจิก็หนีไปแล้วน่ะสิ… พัคขอโทษจริงๆนะ พี่สโนวี่ แต่ถ้าเป็นได้พี่สาวช่วยพาตัวซัจจิกลับมาได้ไหม? แล้วถ้ามีคนไล่ตามมาด้วยล่ะก็… พัคอยากให้พี่สาวปกป้องซัจจิด้วย”
“เข้าใจแล้ว” สโนไวท์ตัดสินใจอย่างทันท่วงที
ฟาลตกใจและสงสัยว่าตัวเองควรพูดอะไรออกมารึเปล่า แต่ฟาลตัดสินว่าไม่ควร
“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆเลย!” พัคพั๊คร้องไห้ในตอนที่เธอจับมือทั้งสองข้างของสโนไวท์แล้วเขย่าขึ้นลง จากนั้นเธอก็พาโซรามิไปด้วยกันแล้วก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วตามโถงทางเดิน
สัญญาณชีพของสโนไวท์ก็ค่อยๆช้าลง
ห้องนี้ว่างเปล่า มีเพียงแค่สโนไวท์กับฟาลที่อยู่ในห้องเท่านั้น จากนั้นฟาลที่ไม่ได้ใช้โฮโลแกรมขอตัวเองก็ถามสโนไวท์ว่า “อะไรน่ะ ปอน? ยอมรับง่ายแบบนั้นจะดีเหรอ ปอน?”
“ไม่เป็นไรหรอก”
สโนไวท์พึมพำพร้อมกับเอามือแตะไว้ที่หน้าอก เสียงนั้นฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเธอพูดกับตัวเอง
“งั้นเหรอ. . .?”
“ฉันได้ยินเสียงหัวใจของเธอด้วย แม้ตอนที่รู้ว่าจะได้พบกับร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ ฉันก็คิดว่าคงไม่ได้ยินเสียงเหมือนกับกริมฮาร์ทก็เถอะ”
ชีพจรของสโนไวท์ที่สงบลงแล้วเริ่มพุ่งขึ้นสูงอีกครั้ง
“เธอนั้นเป็นห่วงเรื่องดินแดนเวทมนตร์จากใจจริง และอยากใช้พิธีการนี้เพื่อช่วยเหลือเอาไว้ ถึงจะไม่มีเรื่องพิธีการ เธอก็ยังกังวลเรื่องตัวของพรีเมี่ยม ซาจิโกะอยู่ดี เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นรวมถึงเด็กสาวที่ชื่อโซรามิก็ด้วย” สโนไวท์ลดเสียงลงแล้วพูดเสริมว่า “คนที่อยู่อีกฝากของบานเลื่อนก็เช่นกัน”
“แบบนั้นก็หมายถึง เธอเป็นคนที่พวกเราสามารถร่วมมือด้วยได้งั้นเหรอ ปอน?”
“ฉัน….คิดว่าได้”
จากการที่สโนไวท์พูดออกมาแบบนี้ มันแสดงว่าพัคพั๊คนั้นจริงใจเรื่องข้อเสนอของริปเปิล แต่เพราะสโนไวท์จงใจไม่พูดถึงเรื่องนั้น ฟาลจึงไม่พูดออกมาเช่นกัน
แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันก็ไม่มีอะไรทำให้มั่นใจได้มากกว่าการเป็นพันธมิตรกับหนึ่งในสามปราชญ์อีกแล้ว สโนไวท์นั้นเป็นคนที่จัดการผู้ร้ายที่อยู่ต่อหน้าเธอเสมอและไม่เคยคิดถึงอะไรในระยะยาว สำหรับฟาลแล้ว มันดูเหมือนกับว่าสโนไวท์มีชีวิตอยู่โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะตาย เธอไม่เคยร่วมมือกับใคร นานๆครั้งเธอจะทำงานกับพวกหมาป่าเดียวดายที่ไม่ได้สังกัดองค์กรใดๆ แม้ว่าเธอจะรวมกลุ่มกับคนอื่น เธอก็จะโดดเด่นด้วยชื่อของ “นักล่าเมจิคัลเกิร์ล”
ในตอนที่ฟาลคิดว่า ถ้าเธอมีคนหนุนหลังที่เชื่อใจได้อย่างพัคพั๊คในตอนนี้ล่ะก็… มันก็มีเสียงของฝีเท้าดังขึ้นจากตรงทางเดิน
☆ ชาโดว์เกล
ศัตรูนั้นโจมตีเข้ามาในตอนที่มาโมริอยู่ในระหว่างทางไปโรงเรียน เธอคิดว่าหากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเร็วล่ะก็ เธออาจจะถูกโจมตีระหว่างทางกลับบ้านก็ได้ แต่เธอไม่เคยเคยคิดเลยว่าจะถูกโจมตีในช่วงเช้า ตอนที่จะถูกผู้คนพบเห็นแบบนี้เลย
คนที่โจมตีเข้ามาหาเธอนั้นคือเมจิคัลเกิร์ลที่ทั่วทั้งตัวสวมชุดเกราะโดยไม่มีช่องว่างหรือรอยแตกปรากฎให้เห็นอยู่เลย ชุดของเธอนั้นดูพิลึก มันขาดองค์ประกอบที่สวยงามที่เป็นลักษณะของเมจิคัลเกิร์ลไป แต่ก็ดูแข็งแกร่งมาก ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะถูกเตะต่อยไปแค่ไหน ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บอะไรเลย แถมยังก้าวเดินต่อได้อย่างมั่นคงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาด้วย เธอปล่อยรังสีคุกคามออกมามากผิดกับรูปร่างที่ดูเล็กจิ๋วนั้น ตัวของเธอดูเข้ากับคำว่ามอนเตอร์จากภาพยนตร์สยองขวัญมากกว่า “เมจิคัลเกิร์ล” ซะอีก
เมจิคัลเกิร์ลที่สู้กับเด็กสาวสวมเกราะนี้ดูงดงามกว่ามาก และเหนืออื่นใดเลยคือตัวของเธอนั้นเจิดจ้าไปด้วยแสงสว่าง
ชุดของเธอเป็นธีมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลบความจริงจังออกไปและเสริมการเปิดเผยผิวหนังและการประดับตกแต่งเข้ามามากขึ้น ในตอนที่เธอใช้ไฟตำรวจที่ติดอยู่ตรงเอวมันก็มีแสงเปล่งประกายวิบวับออกมาทั่วบริเวณ แม้จะไม่มีเสียงของไซเรน แต่ไฟนั้นมันก็ทำให้การปรากฏตัวของเธอดูโดดเด่นมาก
เด็กสาวสวมเกราะไม่ได้ถอยหนีเพราะแสงของไฟตำรวจที่ส่องประกายออกมา แถมยังต่อยเข้ามาหาเด็กสาวตำรวจที่ชื่อ “แพททริเซีย” ตรงหน้าอีกด้วย จากนั้นแพททริเซียก็ใช้โซ่ที่เชื่อมเข้ากับกุญแจมือขนาดใหญ่ของเธอพันไปที่รอบแขนของศัตรู เด็กสาวสวมเกราะจับโซ่ที่แขนเอาไว้แล้วพยายามดึงเข้าหาตัวเอง แต่แพททริเซียก็ก้มตัวลงและดึงกลับ พลังนั้นปะทะเข้ากับพลัง จนทำให้โซ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา
แขนของชาโดว์เกลรัดแน่นขึ้น จนแพททริเซียส่งเสียงเหมือนกับรู้สึกเจ็บออกมา
“เธอนี่แข็งแกร่งกว่าที่ชั้นคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย ชาโดว์เกล”
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ”
“อ๊ะ ไม่หรอก ชั้นคิดว่าดีแล้วล่ะ ถ้าชั้นทำเธอตกลงไปเพราะอุบัติเหตุล่ะก็ คงได้โดนหัวหน้าด่าแหง… แต่จริงๆแล้วมันคงแย่กว่าถูกไล่ออกอีก น่ากลัวดีใช่ไหมล่ะ?”
ชาโดว์เกลกอดแพททริเซียเอาไว้แน่นขึ้นอีก แม้แต่ในตอนนี้แพททริเซียก็ยังคงเคลื่อนไหวไปรอบๆอย่างรวดเร็วในขณะที่สู้กับนักฆ่าไปด้วย ที่เดียวที่ถือได้ว่าปลอดภัยก็คือตรงแผ่นหลังของแพททริเซีย เพราะมันมีความรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าหากเธออยู่ตรงนี้แพททริเซียก็จะสามารถปกป้องเธอได้ ชาโดว์เกลไม่จำเป็นให้ต้องมีใครมาบอกว่าอย่าตกลงไปหรอก
เด็กสาวสวมเกราะคงคิดว่าการพูดคุยของพวกเธอนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกไม่ได้เอาจริงเอาจังแน่ เพราะเธอนั้นดึงโซ่แรงขึ้นกว่าเดิม แพททริเซียเองก็ดึงกลับเช่นกัน ในตอนที่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น แรงดึงโซ่ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และคู่ต่อสู้ก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างมั่นคงจนทำให้ทางเท้าที่ปูด้วยหินพังทลายอีก แพททริเซียผ่อนแรงจับของตัวเองลง จึงทำให้ตัวของเด็กสาวสวมเกราะโอนเอนไปด้านหลัง
เด็กสาวสวมเกราะเสียสมดุลย์ ร่างกายส่วนบนของเธอเอนไปด้านหลังพร้อมที่จะล้มลงไป แพททริเซียก้าวไปข้างหน้า และในตอนที่เด็กสาวสวมเกราะล้มลงนั้น เธอก็เตะเข้ามาที่คางของแพททริเซีย แต่แพททริเซียก็หลบได้ด้วยการหมุนตัวไปด้านข้างพร้อมกับก้าวมาข้างหน้าแล้วต่อยศัตรูเข้าที่ใบหน้าด้วยกุญแจมือที่กำเอาไว้อย่างแน่ๆในมือขวาราวกับว่าเป็นสนับมือทองเหลือง แต่อย่างไรมันก็คือกุญแจมือเวทมนตร์ มันทนทานยิ่งเสียกว่าทุกอย่าง แถมมันจะไม่หักไม่งออีกด้วย แม้จะใช้มันต่อยเข้าไปที่เมจิคัลเกิร์ลอย่างเต็มแรงก็ตามที
แพททริเซียต่อยเมจิคัลเกิร์ลที่สวมเกราะจนลอยขึ้นไป ตัวของเธอนั้นกระเด้งกระดอนไปตามทางเท้าจนพังเป็นแถบๆ ในคราวนี้แพททริเซียกระโจนเข้าไปหา แล้วต่อยเข้าไปที่แผ่นหลังของเด็กสาว เธอโจมตีเข้าไปที่ชุดเกราะที่ดูทนทานนั้นจนการโจมตีของเธอทะลวงเข้าไปสู่สิ่งที่อยู่ด้านใน เด็กสาวที่สวมเกราะนั้นยังคงไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาเช่นเดิมและพยายามบิดตัวหนี แต่แพททริเซียก็ชกเข้าไปที่แผ่นหลังของเธอเป็นหมัดที่สามจนทำให้เธอปลิวไปกับพื้น ตัวของเด็กสาวไปโดนเข้ากับม้านั่งจนแตกเป็นสองเสี่ยง พุ่มไลแลคเองก็ฉีกขาดไปส่วนหนึ่ง จนในที่สุดก็หยุดลงเพราะตัวไปโดนเข้ากับรั้วโซ่หนาๆ จากนั้นแพททริเซียก็ยกรั้วขึ้นแล้วฉีกกระชากตรงกลางจนขาดออกจากกันต่อหน้าต่อตาของชาโดว์เกล
แพททริเซียไปรออยู่หลังเสาเรียบร้อยแล้ว เธอรวดเร็วมากจนน่ากลัว เร็วยิ่งกว่าคนที่ถูกหมัดต่อยจนปลิวซะอีก เธอต่อยหมัดแรกออกไปแล้วตามด้วยหมัดที่สองพร้อมกับกุญแจมือเวทมนตร์ของเธอ เมื่อเด็กสาวสวมเกราะโอนเอน คราวนี้แพททริเซียก็เหวี่ยงโซ่เข้าไปหาจนทำให้เด็กสาวสวมเกราะลงไปนั่งคุกเข่า
ถึงชาโดว์เกลจะไม่ใช่คนที่เก่งการต่อสู้ แต่กระนั้นเธอก็เข้าใจว่าแพททริเซียแข็งแกร่งขนาดไหน จากทุกคนที่ชาโดว์เกลเคยพบเจอมา สิ่งแรกที่เธอนึกถึงภายในใจเมื่อเห็นแพททริเซียต่อสู้ก็คือเกรทดราก้อนที่เคยสู้ด้วยภายในเกม
ถึงแพททริเซียจะแบกชาโดว์เกลเอาไว้ที่หลัง เธอก็ยังสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เด็กสาวสวมเกราะเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เอาชนะได้ง่ายๆ แม้ว่าจะโดนโจมตีเข้าไปหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ยังคงพยายามยืนขึ้น แถมยังมีอะไรอย่างเหมือนกับโคลนสีดำไหลออกมาจากช่องว่างของเกราะเพื่อพยายามพยุงตัวเอาไว้อีกด้วย เมื่อโคลนสีดำนั้นค่อยๆห่อหุ้มชุดเกราะ ชาโดว์เกลจึงก็น้ำลาย โคลนนั้นปกปิดรอยบุบ จนทำให้เกราะนั้นหนาและมีรูปร่างที่ใหญ่ขึ้น
“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ”
โซ่ปลิวออกไป และกุญแจมือขนาดยักษ์ของแพททริเซียก็ไปพันรอบคอและขาของชุดเกราะนั้นพร้อมเสียงกริ๊ก เด็กสาวชุดเกราะหยุดเคลื่อนไหวแล้ว โคลนสีดำเองก็สั่นอย่างรุนแรงก่อนที่จะกลับเข้าไปในรอยแตกของชุดเกราะ
“เธอเคลื่อนไหวแบบนี้เองสินะ?” แพททริเซียพูด “คือต้องพยายามให้โดนโจมตีก่อนถึงจะโจมตีสวนกลับมาได้ เพราะแบบนั้นชั้นก็เลยแค่ต้องหยุดเธอก่อนที่จะสวนกลับมาได้เท่านั้นเอง เมื่อโดนกุญแจมือของชั้นเข้าไปแล้ว มันก็ไม่มีใครต่อต้านได้หรอกนะ ไม่ว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลหรือพวกปีศาจก็เถอะ”
ชาโดว์เกลเงยหน้าขึ้น เสียงไซเรนของรถตำรวจไม่ก็รถพยาบาลกำลังค่อยๆเข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ คงมีใครบางคนในละแวกนี้โทรเรียกบริการฉุกเฉินเพราะได้ยินเสียงการอาละวาดตามท้องถนนแน่ๆ
“หวา…เกือบไปแล้วสิ ขอบคุณมากค่ะ ไงๆก็ออกจากที่-“
ก่อนที่ชาโดว์เกลจะพูดขอบคุณจบนั้น แพททริเซียก็วิ่งออกไปแล้ว ชาโดว์เกลจึงรีบคว้าตัวของเธอเอาไว้ การที่จู่ๆแพททริเซียก็วิ่งออกไปอย่างกระทันหัน มันเป็นการทำให้หัวของชาโดว์เกลถูกกระชากไปข้างหลัง หากเป็นมนุษย์ มันก็แรงพอที่จะทำให้ปวดกล้ามเนื้อได้เลย
“มะ-มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ชาโดว์เกลถาม
“เด็กๆคนอื่นไม่รายงานอะไรมาที่ชั้นเลย”
“หือ?”
“รู้ไหม? ชั้นน่ะติดต่อไปหาหัวหน้าด้วย แต่ถึงพวกเราจะได้กำลังเสริมมา ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะมาทันเวลารึเปล่า”
แพททริเซียวิ่งไปพร้อมกับแตะเมจิคัลโฟนไปด้วย จากนั้นใส่เมจิคัลโฟนลงไปในกระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงเอวอย่างรวดเร็ว เธอยังคงวิ่งต่อไปจากถนนเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่งตามกำแพงของที่พักอาศัย ขาของเธอไม่เคยหยุดนิ่งเลยแม้แต่นิดเดียว
“ลูกน้องของแพททริเซียนี่แข็งแกร่งกันทุกคนใช่ไหมคะ?”
“ก็คงแบบนั้นล่ะมั้ง? พวกเราทำงานแบบนี้เพราะผู้คนคิดว่าพวกเราทำได้ ดังนั้นชั้นค่อนข้างมั่นใจเรื่องนั้นนะ รู้ไหม?”
หากแพททริเซียยอมรับ แบบนั้นชาโดว์เกลก็จะคิดว่าพวกเธอคงจะแข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานที่ชาโดว์เกลจะเห็นแพททริเซียในการต่อสู้นั้น เธอก็ไม่ได้คิดว่าแพททริเซียจะเก่งกาจอะไร แต่อย่างไรการได้เห็นการต่อสู้นั้นมันก็ทำให้ชาโดว์เกลชื่นชมทักษะของแพททริเซียในฐานะคนคุ้มกัน
เมื่อพีเฟิลมอบหมายให้เธอเป็นคนคุ้มกันของชาโดว์เกล ท่าทีที่ทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยอย่างประหลาดๆของแพททริเซียนั้น มันก็มีแต่ทำให้ชาโดว์เกลหงุดหงิด แต่เธอก็ดูไม่เหมือนคนที่มีอันตรายอะไร แถมยังดูเป็นลูกน้องของพีเฟิลอีก ในความเป็นจริงคฤหาสน์หลังที่สองก็ถูกโจมตี มันจึงไม่แปลกอะไรที่พีเฟิลจะระวังตัว ชาโดว์เกลจึงไม่มีทางเลือก ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอออกไปข้างนอก แพททริเซียก็จะมากับเธอเสมอ และในตอนระหว่างทางไปโรงเรียนนั้นเธอก็ถูกโจมตี เมจิคัลเกิร์ลสวมเกราะนำกลุ่มสัตว์ประหลาดไร้หัวสีดำอันน่าขนลุกที่เข้ามาโจมตีในตอนกลางวันแสกๆขณะที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา แพททริเซียนั้นวิ่งหนีออกไปพร้อมกับชาโดว์เกลที่อยู่บนหลัง ในขณะที่มีเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นกำลังเสริมกว่าสิบคนพร้อมด้วยอาวุธโผล่ออกมาจากเงาของสิ่งก่อสร้าง ระหว่างที่ผู้คนกำลังพยายามหลบหนี การต่อสู้กับเงาสีดำมันก็เริ่มต้นขึ้นที่ด้านบนของเสาโทรศัพท์ เมจิคัลเกิร์ลหนึ่งคนเฉือนเงานั้นด้วยดาบ แต่เงานั้นก็ป้องกันเอาไว้ด้วยปีกที่ดูเหมือนดาบเอาไว้ได้ จากนั้นก็มีเงาสีดำอีกตัวหนึ่งโฉบลงมาโจมตี เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นจึงกระโดดหลบไปทางด้านข้าง เมจิคัลเกิร์ลหลายคนเองก็หันหลังเข้าหากันเพื่อจัดการศัตรูที่โจมตีเข้ามาจากท้องฟ้าด้านบนอย่างสอดประสานกัน
ในตอนที่การโจมตีเข้าใส่กันอย่างดุเดือดกับเมจิคัลเกิร์ลสวมเกราะที่ไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างกระชั้นชิดนั้นจบไปแล้ว แพททริเซียก็ยังคงวิ่งต่อไป และสถานที่แต่ละที่ที่เธอไป มันก็เต็มไปด้วยการถูกทำลายตามไปด้วย
แพททริเซียคอยปกป้องมาโมริอยู่ตลอด ในตอนที่เธอตามมาโมริไปที่ร้านราเม็งเปิดใหม่ในละแวกบ้าน เธอก็พูดขึ้นมาอย่างเงียบๆแบบดูถูกดูแคลนว่า “กลิ่นหมูแดงมันแปลกๆจังว่าไหม? คิดแบบนั้นรึเปล่า?” จากนั้นเธอก็ตามมาโมริที่ไปร้านขายยาเพื่อซื้อยาแล้วพูดว่า “ยาโรคกระเพาะเนี่ย มันจำเป็นเมื่อเธออยู่รอบๆตัวหัวหน้าของพวกเราสินะ?” พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วย ตอนที่อยู่บนรถไฟ เธอก็ถามคำถามกับมาโมริแบบว่า “นี่เธอชอบใครซักคนที่โรงเรียนบ้างรึเปล่า?” ออกมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ค่อนข้างเฉยเมย ไม่ว่าชาโดว์จะไปที่ไหน แพททริเซียก็จะตามเธอไปเสมอ เมื่อมาโมริไม่ได้เป็นชาโดว์เกลแต่เป็นมาโมริ โทโทยามะ แพททริเซียก็จะตามเธอมาในร่างมนุษย์ เธอเป็นหญิงสาวที่ดูเหมาะกับคำว่าเท่มากกว่าน่ารัก จนทำให้มาโมริฉุกคิดขึ้นมาชั่วครู่ว่า แบบนี้จะปกป้องฉันในร่างนี้ได้งั้นเหรอ?
บางทีที่เธอกลับเป็นร่างมนุษย์ได้เพราะว่าเธอมีลูกน้องตามมาอยู่ตลอดเวลา ชาโดว์เกลไม่ได้ถูกบอกว่าลูกน้องนั้นมีตัวคนอยู่ เมจิคัลเกิร์ลที่มีจำนวนมากกว่าสิบคนแถมยังติดอาวุธพร้อมสู้แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เล็กๆ พีเฟิลนั้นคาดการณ์ไว้อย่างชัดเจนว่ามันต้องมี “บางอย่าง” เกิดขึ้น
คาโนเอะได้สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังคงรู้ว่ามีบางอย่างที่แปลกไป มาโมริเข้าใจความหมายของเรื่องรักษาความปลอดภัยนี้ว่าเป็นข้ออ้างในการเฝ้าจับตามอง แต่บางทีคาโนเอะอาจจะเป็นห่วงจริงๆก็ได้ เรื่อง “บางอย่าง” นั้นมันเกี่ยวข้องกับกองกำลังต่อสู้ที่คาโนเอะจ้างมาคุ้มกันรึเปล่า? หรือมันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้กันนะ?
แพททริเซียที่วิ่งอยู่นั้นก้มตัวลงแล้วเอามือกดลงไปที่พื้นเพื่อเป็นการหยุด มันมีสิ่งมีชีวิตสีดำมันอยู่เหนือหัวของชาโดว์เกล จึงทำให้หมวกพยาบาลของเธอปลิวขึ้นไปในอากาศ เธอมองขึ้นไป แล้วก็เห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนโบยบินอยู่ด้านบนจนย้อมท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ เจ้าพวกนี้มันคือสิ่งที่โจมตีลูกน้องของแพททริเซีย พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้ามาหาพวกเธอสองคนพร้อมกับกระพือปีกของมันที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แพททริเซียเตะเข้าไปที่ตัวที่สอง จากนั้นก็ใช้หลังมือโจมตีเข้าไปที่ตัวที่สาม ส่วนตัวที่สี่นั้นเธอจับข้อเท้าของมันแล้วก็เหวี่ยงไปรอบๆแล้วก็ทุบลงไปที่ตัวที่ห้า หก และเจ็ด เมื่อพวกเงาสีดำถูกการโจมตีของแพททริเซีย พวกมันก็แตกสลายไปจนเหมือนว่ากลายเป็นความว่างเปล่า
แพททริเซียบ่นพึมพำอย่างโกรธเคืองว่า “ปีศาจรูปแบบใหม่แบบนี้ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แถมทุกตัวเองก็แข็งแกร่งมากซะด้วย”
“พวกนั้น…แข็งแกร่งเหรอ?” ชาโดว์เกลถาม “มันดูไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย…”
“ฮะฮะฮะฮะฮะ… แหม ชาโดว์เกล นั่นน่ะ มันเป็นเพราะว่าชั้นแข็งแกร่งกว่ายังไงล่ะ”
แพททริเซียวิ่งเข้าไปในพื้นที่ระหว่างสิ่งก่อสร้างสูงเพื่อหลบการโจมตีของศัตรู จากนั้นเธอกระโดดเป็นแนวทแยงมุมระหว่างกำแพงเพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบน แล้วก็ใช้แขนท่อนบนโจมตีเข้าไปที่ลำคอของปีศาจที่ขวางทางอยู่ก่อนที่จะเตะมันออกไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามเป็นแนวทแยงมุมเหมือนกับที่เธอขึ้นมา เธอหมุนตัวไปข้างหน้าแล้วก็เตะลงมาด้านล่างเข้าหาปีศาจที่เคลื่อนไหวไปมาระหว่างกำแพงทั้งสองฝั่งของสิ่งก่อสร้างพร้อมกับจัดการเงาที่อยู่ข้างหน้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงดาดฟ้า
แพททริเซียจงใจโจมตีเข้าไปหาศัตรู มันจึงทำให้ปีศาจพุ่งเข้ามาหาเธอจากทุกทิศทุกทาง ชาโดว์เกลที่เกาะตัวแพททริเซียอยู่ก็กลั้นเสียงกรีดร้องของตัวเองเอาไว้ ในขณะที่แพททริเซียนั้นจับรั้วเหล็กแล้วดึงมันขึ้นมาพร้อมกับฐานคอนกรีตอย่างง่ายดาย
แต่ก็ไม่ใช่ว่ารั้วทั้งหมดถูกคอนกรีตหุ้มเอาไว้ รั้วบางต้นก็เชื่อมเข้ากับรั้วทั้งสองที่อยู่ข้าง การดึงรั้วออกต้นหนึ่งมันก็จะเป็นการดึงรั้วที่อยู่ด้านซ้ายและขวาออกไปด้วยเช่นกัน รั้วนั้นถูกดึงออกมาตามๆกันจนพริ้วไหวเหมือนกับเสื่อไม้ไผ่
แพททริเซียก้มตัวลงต่ำพร้อมกับเหวี่ยงรั้วไปรอบๆ
เธอใช้รั้วบิดรูปทุบเข้าไปที่เงา แล้วก็ใช้ก้อนคอนกรีตโจมตีศัตรูที่อยู่ในอากาศจนตกลงมาบนพื้น เศษคอนกรีตนั้นก็เกือบร่วงลงโดนหัวของชาโดว์เกลด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ฝูงปีศาจก็ดูบางตาลงมากเพียงพอที่จะมองเห็นท้องฟ้าผ่านช่องว่างได้แล้ว อีกฝ่ายยังคงรักษาระยะห่างและไม่ได้เข้ามาหา
“พวกมันฉลาดนะ”
แพททริเซียพึมพำ เธอขว้างรั้วเหล็กเข้าไปหาฝูงของพวกมันพร้อมกับทิ้งตัวลงมาในช่องว่างระหว่างสิ่งก่อสร้าง เธอจับกรอบหน้าต่างที่อยู่ระหว่างทางแล้วก็เตะเข้าไปที่กระจกหน้าต่างเพื่อเข้าไปด้านใน เธอวิ่งผ่านทางเดินและทุบเข้าไปที่หน้าต่างฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็กระโดดลงมาด้านล่างโดยใช้หัวเข้ายันพื้นเอาไว้ ชาโดว์เกลไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอะไรเลย
แพททริเซียยืนขึ้น จากนั้นก็เลียปลายนิ้วแล้วก็ชูมันขึ้นไปในอากาศ
“อากาศมัน…แห้ง?”
ชาโดว์เกลมองขึ้นไปด้านบน มันมีอากาศเย็นๆเข้ามาสัมผัสกับแก้ม เธอคิดว่ามันคือลมที่พัดเข้ามาโดนในตอนที่เธออยู่บนหลังของแพททริเซียที่กำลังวิ่ง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็เย็นเกินไป อากาศมันแห้งแถมยังเย็นอีกด้วย
“มันไม่ใช่แค่ปีศาจนะ” แพททริเซียพูด “เพราะถ้ามีเท่านั้น แค่ชั้นกับพวกเด็กๆก็เพียงพอแล้ว”
แพททริเซียวิ่งตัดเข้าไปที่ซอยด้านหลังแล้วก็กระโดดเข้าไปสู่ถนนหลัก เธอหักเลี้ยวไปทางขวาที่สี่แยกอย่างเฉียบคม แถมยังกระโดดข้ามรถที่เข้ามาหาอีกด้วย และในทันใดนั้นมันก็มีรถที่เบรคอย่างกระทันหันจนเกิดเสียงดังสนั่นอยู่ด้านหลังเธอตามมา เธอกระโดดข้ามกำแพงซีเมนต์เข้าไปในสวนของบ้านคนแล้วก็กลับออกมาอีกครั้ง ชาโดว์เกลมองเห็นหญิงวัยกลางคนผ่านทางหน้าต่างในทางที่พวกเธอผ่านไป เธอนั้นไม่ได้หันหน้าออกมาจากทีวีและไม่ได้สังเกตเห็นแพททริเซียด้วย
ชาโดว์เกลยังคงเกาะอยู่ที่หลังของแพททริเซียโดยที่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเช่นเดิม
พวกเธอฉีกรั้วโซ่และวิ่งผ่านไปตามทางเลียบแม่น้ำ จนออกมาจากทางระบายน้ำที่อยู่เลียบแม่น้ำแล้วเข้ามาที่ถนน จากตรงนั้น แพททริเซียก็วิ่งได้ประมาณสิบก้าวก่อนที่จู่ๆจะมีอะไรบางอย่างมาหยุดเธอเอาไว้ เธอจึงหันมองรอบตัวอย่างรวดเร็ว แรงกระแทกมันเกือบทำให้ชาโดว์เกลหล่นลงมา แต่อย่างน้อยเธอก็เกาะตัวของแพททริเซียเพื่อไม่ให้ตกลงมาได้
มันมีเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้สวมชุดเกราะยืนอยู่ตรงนั้น ในมือของเธอมีตรีศูลอยู่ และยังมีบางอย่างที่ส่องประกายลอยอยู่รอบตัวของเธอด้วย เธอจ้องมองมาที่แพททริเซียและชาโดว์เกลด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แพททริเซียเหวี่ยงอาวุธของเธอ และศัตรูนั้นก็ป้องกันไว้ด้วยตรีศูลได้
—อาวุธ?
มันไม่ใช่อาวุธของแพททริเซีย เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทิ้งอาวุธของตัวเองเพื่อยับยั้งเด็กสาวสวมเกราะเอาไว้ สิ่งที่เธอใช้ในตอนนี้ก็คือประแจขนาดใหญ่ที่เป็นไอเท็มพิเศษของชาโดว์เกล หลังจากที่เหวี่ยงออกไปแล้ว แพททริเซียก็ชักมันกลับเข้ามาทางขวาของตัว ตรีศูลของศัตรูเองก็ตามมาด้วย เพราะแบบนั้นมันจึงกลายเป็นการทำให้ตัวของศัตรูเข้ามาด้านหน้า แพททริเซียจึงรับการโจมตีของตรีศูลเอาไว้ได้
เสียงของโลหะที่ปะทะเข้าหากันดังขึ้น แพททริเซียถือกรรไกรขนาดใหญ่เอาไว้ในมือซ้าย สิ่งนี้ก็เหมือนกับประแจ มันคือไอเท็มพิเศษของชาโดว์เกลอีกชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าแพททริเซียจะทำอะไร มันก็รวดเร็วเกินไปกว่าที่ชาโดว์เกลจะมองเห็นได้ บางทีเธออาจจะเหวี่ยงกรรไกรเข้าไปหาศัตรูในตอนที่ทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุลย์ก็ได้ แต่ทำไมการโจมตีนั้นมันดูแปลกๆนะ? มันมีแค่รอยแผลตื้นๆตรงแก้มอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นอีกครั้ง และในคราวนี้ชาโดว์เกลก็มองเห็นมันได้ แพททริเซียนั้นเหวี่ยงกรรไกรเข้าไป แต่วิถีนั้นคลาดเคลื่อนไปจากตัวศัตรูเล็กน้อย ทำได้แค่เพียงเฉี่ยวไปเท่านั้น
เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่ลอยอยู่รอบๆนั้นมันป้องกันการโจมตีของกรรไกรเอาไว้ ศัตรูนั้นพุ่งเข้ามาหากรรไกร แล้วก็จับแขนซ้ายของแพททริเซียที่โยนอุปกรณ์ทิ้งไปข้างๆเอาไว้
“ใช้น้ำแข็งป้องกันงั้นเหรอ? เก่งดีจังนะ”
แพททริเซียพูดอย่างประทับใจ แขนขวาของเธอสั่น เส้นเลือดนั้นก็ปูดขึ้นมา เธอใช้พลังของแขนข้างเดียวเหวี่ยงประแจขึ้นจากตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่า ด้วยแรงนั้นจึงส่งผลให้มันลอยขึ้นไปในอากาศ เธอทำท่าราวกับว่าศัตรูนั้นไม่ได้ลดอาวุธลง ในตอนนี้พวกเธอทั้งคู่มีมือหนึ่งข้างที่ว่างอยู่แล้ว
“เข้ามาเลย!”
“ลักซ์ซูรี่โหมด ออน”
ชาโดว์เกลตะโกนออกมา เธอกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ไม่ได้แล้ว น้ำแข็งมันร่วงลงมาบนมือซ้ายของแพททริเซียที่ถูกศัตรูจับเอาไว้ จนมือนั้นเริ่มแข็งตัว ปลายนิ้วของแพททริเซียเริ่มกลายเป็นสีขาว และในพริบตาเดียว น้ำแข็งนั้นก็หนาขึ้น
แพททริเซียไม่ได้มองแม้กระทั่งมือซ้ายของตัวเองที่กำลังแข็งอย่างรวดเร็ว แต่เธอกลับเค้นมือขวาแล้วต่อยขึ้นไปด้านบนแทน ศัตรูนั้นยกแขนขึ้นมาป้องกันเอาไว้ได้ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นมันส่งผ่านมาถึงชาโดว์เกลผ่านตัวของแพททริเซีย ใบหน้าของศัตรูที่เคยไร้อารมณ์ในตอนนี้กลายเป็นบิดเบี้ยว แพททริเซียบังคับให้อีกฝ่ายต้องป้องกันการโจมตีอีกครั้ง และในตอนนี้ตัวของศัตรูก็ไม่ได้มั่นคงแล้ว ศัตรูร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด น้ำแข็งที่แขนซ้ายของแพททริเซียเริ่มกินไปถึงข้อศอก เธอควรจะรู้ตัวได้แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้มองไปที่มันมากนัก
จนเมื่อถึงการโจมตีครั้งที่สาม ชาโดว์เกลก็ได้ยินเสียงกระดูกแตก มันเกิดขึ้นตอนที่ประแจและตรีศูลโดนเข้าไปที่หลังคาบ้านที่พวกเธอยืนอยู่ ด้วยการโจมตีครั้งที่สามนั้น การ์ดของแพททริเซียลดต่ำลงและศัตรูก็โจมตีเข้ามาหา หอกน้ำแข็งที่ล้อมอยู่รอบตัวของพวกเธอเปลี่ยนวิถีแล้วโจมตีเข้าไปที่แพททริเซีย หอกพวกนั้นเล็งไปที่คอและที่ระหว่างดวงตา แต่แพททริเซียก็เอี้ยวตัวเพื่อหลบได้หนึ่งอัน แต่อีกอันหนึ่งแทงเข้าไปที่ไหล่ มันเหมือนกับอันที่เธอจับไว้ได้ด้วยมือซ้าย น้ำแข็งนั้นขยายตัวออกมา แผ่กระจายไปรอบบริเวณไหล่ที่ถูกแทงอยู่
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แพททริเซียก็ไม่ได้หยุด มันไม่มีอะไรที่จะหยุดหมัดของเธอที่เป็นการโจมตีครั้งที่สามได้ จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปในฝั่งของศัตรู แม้แต่ชาโดว์เกลก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระดูกที่หัก ไม่ใช่เพียงแค่ซี่เดียวแต่เป็นหลายซี่ แถมยังมีเลือดไหลออกมาจากปากของศัตรู มันไม่ใช่เหมือนกับหยดเลือดเหมือนกับการกัดริมฝีปาก เธอบาดเจ็บจากอวัยวะภายใน
มันมีน้ำแข็งบินเข้ามา แต่วิถีนั้นมันห่างจากไปหน้าของแพททริเซียไปราวสามสิบเซ็นติเมตร ไม่ได้จะเฉี่ยวตัวเธอด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเลยว่าศัตรูนั้นอ่อนแรงลง แพททริเซียนั้นถูกน้ำแข็งปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ไม่ได้ช้าลงแต่อย่างใด
ในจังหวะที่ดูเหมือนว่าแพททริเซียจะปล่อยหมัดออกไปเป็นครั้งที่หกนั้น จู่ๆตัวของแพททริเซียก็เกิดหมุนไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ชาโดว์เกลตามการเคลื่อนไหวแบบทันทีทันใดไม่ได้ แขนของเธอจึงหลุดออกจากคอของแพททริเซียที่เกาะเอาไว้ เธอถูกกระแทกอย่างแรงเข้ากับตัวบ้านจนทำให้มีเสียงหลุดออกมาจากปาก น้ำตาเองก็คลอเบ้าจนทำให้เธอมองอะไรผิดเพี้ยนไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ…?” ชาโดว์เกลพูดออกมา
แท่งน้ำแข็งนั้นเจาะทะลุก้านสมองและหลังของแพททริเซีย
กว่าชาโดว์เกลจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายไปเสียแล้ว แท่งน้ำแข็งที่ศัตรูปล่อยมาครั้งสุดท้ายมันไม่ได้พลาดเป้า มันไม่ได้เล็งเข้ามาที่แพททริเซียแต่มันเลี้ยวเข้ามาหาชาโดว์เกลที่อยู่ตรงหลัง แพททริเซียจึงสลัดตัวของชาโดว์เกลออกไป แล้วน้ำแข็งที่เป็นทรงลูกศรก็แทงเข้าไปที่แพททริเซียแทน
แพททริเซียถูกโจมตีเพราะว่าปกป้องชาโดว์เกลเอาไว้
มีอากาศออกมาจากริมฝีปากของแพททริเซียเล็กน้อย ดวงตาของเธอมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ตัวของเธอสั่นเล็กน้อยจนในที่สุดเธอก็หยุดเคลื่อนไหว น้ำแข็งนั้นปกคลุมร่างกายของแพททริเซียไปทั่วทั้งตัว ชาโดว์เกลยืนขึ้นและตะโกนออกมา แต่เธอก็ถูกเตะเข้าที่ท้องและกรามเร็วยิ่งเสียกว่าจะทันได้กำหมัดต่อยเสียอีก
ที่ปลายสายตาของภาพอันมืดมิด เธอก็มองเห็นรูปสลักน้ำแข็งของแพททริเซียร่วงหล่นลงมา
☆ อูรูรุ
อูรูรุก้าวเดินออกมาจากประะตูของคฤหาสน์แล้วก็มองตรวจสอบทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว มันไม่มีใครอยู่ที่นี่ ในตอนนี้คือช่วงเช้าตรู่ บางทีคงเป็นเพราะเรื่องนี้ศัตรูถึงยังลงมือไม่ได้ทำอะไร อูรูรุจึงหยุดตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ให้สัญญาณกับเด็กสาวสองคนที่อยู่ด้านหลังว่ามันปลอดภัยที่จะออกมาแล้ว
เด็กสาวนั้นสร้างหน่วยผสมขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการตามหาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะ อูรูรุและโซรามิที่เป็นคนคุ้มกันส่วนตัวของพัคพั๊คนั้นจึงเพิ่มสมาชิกคนใหม่ล่าสุดอย่างสโนไวท์เข้าไปด้วย พวกเธอต้องจับตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะแล้วพาตัวเธอกลับมาที่คฤหาสน์ก่อนที่จะจัดพิธีขึ้น หากทางฝ่ายโอสโจมตีเข้ามา พวกเธอก็ต้องโจมตีกลับไปโดยไม่ให้พลาด ต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความทรงพลังและน่าเกรงกลัวของพัคพั๊คให้เห็น หากทางฝ่ายโอสเข้าใจก็จะไม่มีวันเข้ามาต่อต้านอีกเลย
นี่คืองานของอูรูรุในฐานะหัวหน้าของกลุ่มผู้ติดตามพัคพั๊ค
นี่พรีเมี่ยม ซาจิโกะคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่กันนะ? พัคพั๊คนั้นรับอูรุรุและโซรามิเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแล พวกเธออาศัยอยู่กับพัคพั๊คด้วยมานานเท่าที่จำความได้ อูรูรุนั้นเชื่อฟังพัคพั๊คเป็นธรรมชาติเสมือนกับว่าพัคพั๊คคือแรงโน้มถ่วง การหนีออกไปจากพั๊คพั๊คนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย พัคพั๊คคือคนที่สอนพวกเธอถึงเรื่องเวทมนตร์ พัคพั๊คคือคนที่ค้นพบศักยภาพเมจิคัลเกิร์ลของพวกเธอ พัคพั๊คมอบที่อยู่ มอบอาหาร และทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเธอ พัคพั๊คดูแลพวกเธอในทุกๆเรื่อง
พัคพั๊คนั้นใจดี น่ารัก และอ่อนหวาน เธอมีความสามารถและบุคลิกที่คู่ควรกับตำแหน่งหนึ่งในสามปราชญ์ แถมตัวของเธอเองก็งดงามเช่นกัน แถมในตอนที่มีปัญหา เธอก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่าใครอื่น
และซาจิโกะก็ทรยศความคาดหวังของเธอด้วยการวิ่งหนีออกไปก่อนที่พิธีจะเริ่ม ทุกอย่างนั้นมันทำให้พัคพั๊คมีปัญหา แต่พัคพั๊คนั้นเป็นคนที่อ่อนโยนและจิตใจดี ดังนั้นเธอจึงจะยกโทษให้ซาจิโกะ ตัวอย่างก็คือ ถ้าหากเป็นร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของสามปราชญ์คนอื่นก็จะไม่สั่งให้ค้นหาตัวซาจิโกะแน่ แม้ซาจิโกะจะมีหน้าที่สำคัญในพิธี พวกนั้นก็อาจกำจัดเธอทิ้งไปแทน พรีเมี่ยม ซาจิโกะต้องขอบคุณในเรื่องนี้ หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานกว่าสิบปี อูรูรุก็คิดเสมอว่าซาจิโกะนั้นขาดความกตัญญู
ซาจิโกะไม่ใช่คนเดียวที่ทำให้อูรูรุไม่สบอารมณ์ สโนไวท์เองก็เป็นอีกคนหนึ่ง
อูรูรุได้ยินมาว่าเธอนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามนักล่าเมจิคัลเกิร์ล เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่ใช้เวทมนตร์อ่านใจอันทรงพลัง เธอไล่ล่าเหยื่อของตัวเองไปจนสุดขอบโลก ขาของเธอไม่เคยลดความเร็วลงจนกว่าจะได้ฝังคมเขี้ยวเข้าไปในลำคอของเหยื่อ อูรูรุยังได้ยินจากพัคพั๊คมาอีกว่าสโนไวท์จัดการกริมฮาร์ทที่เป็นร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ เชน โอส บัล เมล ลงได้ ตามที่พัคพั๊คบอก สโนไวท์นั้นมีทักษะการต่อสู้เพื่อต่อต้านการแทรกแซงใดๆจากฝ่ายโอสได้ พร้อมกับวิธีการสืบสวนในการค้นหาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะ และผลก็คือ สโนไวท์คือบุคคลที่เหมาะสมกับภารกิจค้นหาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะ คุ้มครองและปกป้องในระหว่างทางกลับบ้าน อูรูรุยอมรับเรื่องนี้เพราะมันเป็นคำสั่งจากพัคพั๊ค แต่ลึกๆภายในตัวของเธอมันเป็นเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำไมพัคพั๊คต้องมองหาความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างเร่งด่วนด้วยนะ? อูรูรุเองก็ถามว่า “นี่ไม่เชื่อใจพวกเราเลยเหรอ ท่านหญิงพัคพั๊ค?” ออกไปไม่ได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังคงไม่พอใจ
และเหนืออื่นใดเลย อูรูรุนั้นรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของสโนไวท์ แม้ว่าเธอจะพูดด้วยภาษาที่สุภาพแบบน้อยที่สุด แต่ก็ดูหยาบคายมาก มันเป็นแค่การพูดแบบผิวเผินซึ่งอูรูรุสัมผัสเรื่องความเคารพจริงๆไม่ได้เลย พัคพั๊คต้องใจดีกับเธอขนาดไหนกันนะ แถมยังเป็นห่วงหลายๆเรื่องอย่างเช่น “เด็กสมัยนี้นี่ไม่ค่อยจะกินขนมหวานแบบดั้งเดิมกันแล้วเหรอ?” “พวกเรามีห้องสไตล์ตะวันตกนะ แต่คิดว่าการเสิร์ฟเค้กกับชาดำให้เธอในชุดสวยๆแบบนี้มันคงดูไม่ค่อยถูกใช่ไหมนะ?” “ถ้าเป็นโคล่ากับมันฝรั่งทอดล่ะเป็นไง? แต่มันดูเป็นอเมริกันไปหน่อยว่าไหม?” “มันน่ากังวลก็จริงนะ ว่าทางเราจะไม่ได้ต้อนรับสโนไวท์อย่างอบอุ่น แต่ในคราวนี้มันก็รู้สึกว่าพวกเราทำได้สำเร็จล่ะ นี่ อูรูรุคิดยังไงเหรอ?” แต่สโนไวท์กลับไม่ได้แตะอาหารเลย เธอเอาแต่พูดเรื่องงานเท่านั้น
อูรูรุไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้หากพัคพั๊คไม่ได้บ่น เธอนั้นถูกบอกว่าเป็นคนที่ “บุ่มบ่าม” แต่ถึงจะรู้แบบนั้น เธอก็อยากจะด่าสโนไวท์ซักครั้ง สิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือเมจิคัลเกิร์ลที่หยาบคายคนนี้มองพัคพั๊คผู้ยิ่งใหญ่อย่างดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากถูกแนะนำตัวให้รู้จักกันและกัน พวกเธอทั้งหมดก็ประชุมกันเรื่องพรีเมี่ยม ซาจิโกะว่าจะจับตัวเธอยังไง จากนั้นพวกเธอก็ออกมาจากคฤหาสน์และปิดประตู ในที่สุดตอนนี้พัคพั๊คก็ไม่ได้จับตามองดูแล้ว ถ้าพัคพั๊คไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบนั้นหากอูรูรุจะพูดกับสโนไวท์ก็จะไม่ใช่เรื่องบุ่มบ่ามอีกต่อไป
อูรูรุมองไปที่โซรามิที่อยู่ข้างๆ เธอนั้นกำลังจ้องมองเมจิคัลโฟนของตัวเองอย่างเหม่อลอย แต่นั่นก็ไม่มีปัญหาอะไร พวกเธอรู้จักกันมานานก่าสิบปีแล้ว อูรูรุรู้ดีว่าเธอเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถือเป็นพิเศษ
อูรูรุได้ยินว่าสโนไวท์คือเมจิคัลเกิร์ลที่อันตราย แค่คุยกับเธอซักเล็กน้อยมันก็อาจทำให้เกิดการนองเลือดได้แล้ว แต่อูรูรุก็สาบานว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เธอก็จะไม่ทำอะไรให้ท่านหญิงรู้สึกอับอายแน่นอน ดังนั้นเธอจึงเอามือขวาไปจับปืนที่อยู่ข้างหลัง แล้วก็เปล่งเสียงออกมาจากท้องว่า “เข้าแถว!”
สโนไวท์มองไปที่อูรูรุพร้อมกับสีหน้าสับสน โซรามิเองก็มองอูรูรุด้วยสีหน้าที่เหมือนกับเจอกองทัพแมลงสาบในครัวตอนกลางคืน
“พี่* พวกเราจะทำไอ้นั่นตอนนี้เหรอ?”
*ฉบับ platfleece โซรามิจะเรียกอูรูรุว่าอูรูรุ ในฉบับ yenpress โซรามิจะเรียกอูรูรุว่าพี่
“แน่นอนสิ นี่เป็นงานสำคัญที่พวกเราต้องทำไม่ใช่รึไง?”
โซรามิและสโนไวท์ไปยืนอยู่ด้วยกันตรงประตูทางเข้าคฤหาสน์ อูรูรุที่เป็นผู้นำนั้นยืนหันหน้าเข้าหาพวกเธอสองคนแล้วตะโกนว่า “นับจำนวน!”
“หนึ่งงงงง”
“…สอง”
“สาม ปอน”
อูรูรุตกใจเพราะเสียงอิเล็กทรอนิกส์ แต่เธอก็จำได้ว่า อ๊ะ จริงสิ นั่นมันไซเบอร์แฟร์รี่ของสโนไวท์นี่นา เธอไม่ชอบคำพูดลงท้ายประโยคแบบนั้นเอาซะเลย คำตอบที่ฟังดูเฉื่อยชาจากเด็กสาวอีกคนที่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เช่นกัน ถ้าเธอบอกว่าให้ทำซ้ำอีกครั้ง โซรามิคงจะตอบกลับมาด้วยความเฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม ดังนั้นอูรูรุจึงตัดสินใจปล่อยเอาไว้แบบนี้
“ก่อนที่พวกเราจะออกไป ฉันมีเรื่องเล็กน้อยที่อยากจะถาม” สโนไวท์ยกมือขวาขึ้น
“ว่าาาาา?” โซรามิตอบกลับ ตาของเธอยังคงมองอยู่ที่เมจิคัลโฟน เธอไม่ได้แม้แต่พยายามจะปกปิดความไม่สนใจของตัวเองเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่พูดจาดูถูกกันขนาดไหน อูรูรุก็คิดว่าการตอบกลับไปแบบนั้นในตอนที่ใช้มือถือคือเรื่องหยาบคาย แต่สโนไวท์เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นแล้วก็พูดต่อไป
“เวทมนตร์ของฉันน่ะ ทำให้ฉันได้ยินเสียงความคิดของผู้คนที่มีปัญหา”
“งั้นเหรอ” โซรามิพูด
“ก่อนหน้านี้ที่ด้านใน ฉันได้ยินเสียงของทั้งสองคน”
“จริงอ่ะ? น่าอายจัง”
“แล้วก็ได้ยินเสียงความคิดของพัคพั๊คด้วย”
จู่ๆ ใบหน้าของอูรูรุก็กลายเป็นสีแดง “ล้ำเส้น!”
โซรามิเงยหน้าขึ้น สโนไวท์เองก็หันไปมองอูรูรุเช่นกัน
“นั่นมันล้ำเส้น แถมยังล้ำเส้นแบบสุดๆอีก! เธอจะไปอ่านใจคนที่สำคัญไม่ได้! แถมคนสำคัญที่เธออ่านยังเป็นท่านหญิงพัคพั๊ค… แบบนี้มันล้ำเส้นกันชัดๆ!”
อูรูรุโมโหและพยายามจะจับปกคอเสื้อของสโนไวท์ แต่สโนไวท์ก็หลบได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ความโกรธของอูรูรุเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากนั้นเธอก็กำหมัดเพื่อที่จะต่อยสวนกลับไป แต่เธอก็รู้สึกว่าถูกดึงที่แขนเสื้อ อีกฝ่ายคือโซรามินั่นเอง
“พี่เนี่ยตะโกนเสียงดังจังเลย”
“แบบนี้มันคือการล้ำเส้นนะ! ล้ำเส้นเลยนะ! แข็งข้อสุดๆ!”
“แต่ตอนนี้พี่กำลังทำตัวเป็นจุดสนใจอยู่นะ ดูสิ”
โซรามิมองไปที่เด็กประถมสองคนที่อยู่ในระหว่างทางไปโรงเรียน ทันทีที่พวกเธอหันไปมอง อีกฝ่ายก็หันหน้าหนีแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วทันที พวกเธอคุยกันถึงเรื่องแปลกๆ ราวกับว่าพยายามจะปิดบังอะไรอยู่ อย่างเช่น “ฉันไม่อยากแข่งมาราธอนของโรงเรียนตอนวันมะรืนเลย” “อื้อ ฉันล่ะเกลียดงานกีฬาสุดๆ แต่การฝึกก็น่าเบื่อเหมือนกันนี่?”
“นี่คือภารกิจลับใช่ไหมล่ะ? ถ้าพวกเราดึงดูดความสนใจคนอื่นมันจะอันตรายเอาได้นะ”
“อึก…”
สโนไวท์สวมเสื้อพีโค้ทสีน้ำตาลอ่อน โซรามินั้นรวบผมที่ดูโดดเด่นของเธอแล้วมัดเอาไว้ ส่วนตุ๊กตาสัตว์และของตกแต่งอย่างอื่นเธอนั้นเอาใส่ไว้ในกระเป๋า ส่วนชุดของอูรูรุนั้นเป็นชุดที่เรียบๆอยู่แล้ว เธอจึงไม่ได้คิดที่จะซ่อนอะไรเอาไว้ แต่อย่างน้อยเธอก็เหน็บปืนและหางของเธอเอาไว้ในเสื้อโค้ท พวกเธอทุกคนล้วนระวังเรื่องการแต่งกายเพราะว่านี่คืองานที่เป็น “ภารกิจลับ”
“แล้วก็” โซรามิพูดเสริม “ถ้าพวกเราจะตะโกนแล้วส่งเสียงเอะอะตรงหน้าคฤหาสน์เนี่ย พวกเราก็อาจจะได้มีชื่อเสียงอะไรแปลกๆกันพอดี แล้วนั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องดีกับท่านหญิงพัคใช่ไหมล่ะ?”
อูรูรุกระแอมอย่าเงียบๆแล้วก็ลดเสียงของตัวเองลง
“เอ่อ เรื่องนั้นมันไม่ดีเลยนะ ในฐานะผู้นำแล้ว อูรูรุคิดว่าพวกเราควรจะไปที่อื่นดีกว่า”
“งั้นก็เอาแบบนั้นแหละ”
สถานที่แห่งนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่จะมาด่าว่าใครซักคน อูรูรุไม่อยากสร้างปัญหา ความผิดหวัง หรือความเศร้าให้กับพัคพั๊ค เธออยากจะเติมเต็มความคาดหวังของพัคพั๊ค ในความเป็นจริงแล้ว เธอจะพยายามให้เกินกว่าสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ด้วย นั่นคือภารกิจที่ถูกมอบหมายให้กับเมจิคัลเกิร์ลที่รับใช้หนึ่งในสามปราชญ์ การอยู่ในตำแหน่งสูงมันก็หมายความว่าต้องการทักษะและความสำเร็จอย่างเหมาะสมตามไปด้วย
อูรูรุรีบเดินไปด้านหน้านำทั้งสองคน สโนไวท์กับโซรามิที่เดินอยู่ด้านข้างกำลังพูดคุยอะไรกันอย่างเรื่อยเปื่อย
“แบบนั้นเวทมนตร์ของเธอก็เป็นการใช้งานแบบอัติโนมัติใช่ไหม?” โซรามิพูด
“ใช่แล้ว”
“แบบนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหยาบคายอะไรเลยนี่นา? เพราะเธอแค่ได้ยินเสียงต่างๆในตอนที่แปลงร่าง”
“ขอบคุณนะที่คิดแบบนั้น”
“มันดูสะดวกดีนะ เราเองก็อยากทำอะไรแบบนั้นได้มั่งจัง ถ้าได้ยินความคิดของคนอื่นแบบนั้นมันก็คงดี”
“จริงๆก็ไม่หรอก”
“เหมือนเธอเข้าไปในที่ไหนซักที่แบบที่เข้ามาหาพวกเรา แล้วอีกฝ่ายก็พูดกับเธอว่า ‘พวกเราอยากให้เธอทำงานนี้ให้หน่อย’ อะไรแบบนี้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจคนที่พูดได้รึเปล่าใช่ไหมล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็ปฎิเสธงานไปได้ ถ้าอีกฝ่ายคือคนที่เชื่อใจไม่ได้”
“ก็จริง”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ ที่เธอรับงานนี้มันก็หมายความว่า ท่านหญิงพัคพั๊คเป็นคนที่น่าเชื่อถือใช่ไหม?”
“ใช่ เธอเป็นห่วงซาจิโกะจากใจจริงเช่นเดียวกับทุกคน”
อูรูรุทำจมูกฟึดฟัด อูรูรุคิดว่า มันแน่อยู่แล้วที่ต้องเป็นแบบนั้น พัคพั๊คเป็นคนที่ใจกว้าง และจะยกโทษให้กับเรื่องใดๆที่กระทำผิดไป แถมยังใจดีกับคนที่หนีไปอย่างซาจิโกะอีกด้วย
“ฉันได้ยินความคิดของพัค…ท่านหญิงพัคพั๊ค แล้วก็อูรูรุที่อยู่ด้านหลังประตูด้วย”
“อ๊ะ อย่างนั้นเหรอ?” โซรามิพูด
“ฉันได้ยินว่าเธอเป็นห่วงพรีเมี่ยม ซาจิโกะออกมาจากใจจริง ดังนั้นฉันถึงเข้าใจว่าไม่ได้มีใครที่พยายามจะหลอกฉันน่ะ”
อูรูรุหยุดเดินและหันกลับมาเพราะทนไม่ไหวกับการพูดคุยเรื่องที่ไม่รื่นหูแบบนี้ เธอชี้นิ้วไปที่โซรามิแล้วพูดว่า “นี่คือคำสั่งของผู้นำ ห้ามคุยอะไรไร้สาระ” จากนั้นเธอก็หันไปหาสโนไวท์แล้วพูดต่อ “ฟังนะ อูรูรุไม่ได้เป็นห่วงพรีเมี่ยม ซาจิโกะซักหน่อย ยัยนั่นน่ะเป็นคนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเรื่องความเมตตาของท่านหญิงพัคพั๊คเลย! ต่อให้เธอสมควรจะถูกเอาไปต้ม ถูกเอาไปหั่นให้ตาย หรือถูกเอาไปจับกรอกยาพิษเฮมล็อค* ถึงกระนั้นท่านหญิงพัคพั๊คก็ใจกว้างพอที่จะให้อภัยเธออยู่ดี”
*พืชชนิดหนึ่งที่มีพิษ ส่วนโคนของกิ่งก้านมักมีจุดสีแดง ใบรูปทรงแบบขนนก ดอกสีขาว มีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว
โซรามิเอามือของเธอไปประสานไว้ที่ท้ายทอย พร้อมกับมุมปากของเธอที่ม้วนขึ้น
“เธอได้ยินความคิดของพี่นะรู้ไหม? แล้วพี่จะพูดแบบนั้นไปทำไมล่ะ?”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?!”
“จริงๆแล้วพี่เนี่ยเป็นห่วงซาจิโกะสินะ?”
“ถ้าเธอบอกว่าอูรูรุเป็นห่วง แบบนั้นก็คงเป็นเรื่องจริงนั่นแหละ” อูรูรุตอบ
“เห็นไหม กะแล้วเชียว”
“ก็อูรูรุน่ะอยู่ใต้คำสั่งของท่านหญิงพัคพั๊ค ท่านหญิงน่ะจับมือของอูรูรุแล้วพูดว่า ‘พี่น้องสามคนต้องสนิทกันเข้าไว้นะ’ เพราะแบบนั้น อูรูรุถึงเป็นห่วงเรื่องการรักษาสัญญาไงล่ะ”
“อ่าหะ เล่นแบบนี้สินะ”
“ที่พูดว่า ‘เล่นแบบนี้สินะ’ มันหมายความว่ายังไงน่ะ? แต่ไงๆก็เลิกพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว” อูรูรุพูดเช่นนั้น แล้วก็หันกลับไปทางด้านหน้าและเดินออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
สโนไวท์และโซรามินิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดพวกเธอก็เริ่มกระซิบกันและกัน อูรูรุไม่เคยพูดกับพวกเธอไปว่าสามารถพูดคุยกันได้ตราบใดที่อูรูรุไม่ได้ยินก็จริง แต่กระนั้นหากอูรูรุหยุดทุกครั้งเมื่อมีเรื่องเล็กๆน้อยๆล่ะก็ ใครมันจะรู้กันล่ะว่าจะใช้เวลากี่ปีกว่าจะหาตัวซาจิโกะเจอ? อูรูรุจึงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
☆ โซรามิ นาคาโนะ
หากคนที่อยู่ในคฤหาสน์ของพัคพั๊คแบบถาวรออกจากเมืองไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มันก็จะมีการแจ้งเตือนเข้ามาที่คฤหาสน์ โซรามิไม่ชอบเรื่องแบบนี้เพราะมันทำให้รู้สึกว่าเธอนั้นถูกจับตามองอยู่ แต่มันก็เหมือนกับว่าคือส่วนหนึ่งในการรับใช้ร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ การแจ้งเตือนยังไม่ได้ดังขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าซาจิโกะยังคงอยู่ในเมือง W
เมือง W เป็นที่รู้จักกันดีว่าคือย่านที่เงียบสงบ รายได้เฉลี่ยของประชากรสูงกว่าเมืองข้างเคียงไม่มากนัก ในขณะที่เมืองอื่นๆกำลังทำการควบรวมกิจการ นายกเทศมนตรีกับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับปฎิเสธเรื่องเช่นนั้นไปอย่างโง่ๆโดยพวกเขาพูดว่าถึงทำแบบนั้นไปก็ไม่มีอะไรดี ความปลอดภัยในสาธารณะเองก็ดี รายได้ทางภาษีเองก็มาก แม้การที่เมืองนี้ไม่ได้มีพื้นที่มากมายมันจะไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรนัก แต่นั่นก็ทำให้การมองหาคนง่ายขึ้น
เมื่อโซรามิคิดถึงซาจิโกะ อย่างแรกที่โผล่ขึ้นมาในใจก็คือเธอมักจะร้องไห้
มันเหมือนกับว่าซาจิโกะทนรับแรงกดดันไม่ได้จนต้องหนีออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำแบบนี้ก่อนจะถึงกำหนดของพิธี มีเพียงแค่โซรามิเท่านั้นที่รู้สึกลางๆว่าบางทีซาจิโกะอาจจะหนีไป แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมาดังๆ เธอเสียใจเรื่องซาจิโกะที่ต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องทำพิธีนี้อย่างมาก ตัวของซาจิโกะนั้นดูซีดราวกับเป็นกระดาษ แถมยังสั่นเทาอีกด้วย
ใครกันนะที่เอากระดาษที่มีข้อความว่า “มาร่วมมือกันแล้วพยายามเรื่องพิธีกันเถอะ พวกเราทำสำเร็จได้แน่ เพราะนี่คือการรวมพลังของฝ่ายพัคยังไงล่ะ!” ติดไว้ทั่วคฤหาสน์กันนะ? การที่ซาจิโกะเห็นอะไรแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เธอต้องรู้สึกกดดัน
และไม่ว่าซาจิโกะจะทำอะไร เธอก็ดูน่าสงสารจนรู้สึกน่าเห็นใจเสมอ
เธอมักจะซ่อนตัวอยู่ในเงาของคนอื่นเสมอ ในตอนที่ฝึกซ้อมเธอก็เป็นคนแรกที่ยอมแพ้อยู่ตลอด เมื่ออูรูรุโกรธเธอ พัคพั๊คก็จะเข้ามาไกล่เกลี่ย โซรามิเองก็เข้าไปช่วยเช่นกัน และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเธอดูหนังแบบมาราธอนด้วยกัน แล้วหนังที่ดูนั้นถูกเปลี่ยนเป็นหนังสยองขวัญ ซาจิโกะก็จะกลัวจนวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องตัวเอง แม้คนอื่นจะพยายามเรียกเธอ เธอก็จะไม่ตอบกลับมาเลย
เรื่องในคราวนี้อาจจะพูดได้ว่าคือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตของซาจิโกะ ครั้งแรกที่เธอเป็นดาวเด่นในการแสดง มันไม่มีทางเลยที่เธอจะเอาชนะแรงกดดันมากขนาดนั้นได้ โซรามิเห็นว่าเธอคงจะหนีออกไปจากเรื่องทั้งหมดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนอูรูรุและพัคพั๊คนั้นต่างออกไปเล็กน้อย หรือว่าพวกเธออาจจะไม่รู้ถึงเรื่องละเอียดอ่อนของจิตใจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมารยาทตามปกติแบบนั้นกันนะ พวกเธอคงไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นกุญแจสำคัญที่ถูกไว้ใจให้รับบทบาทสำคัญจะหนีออกไปแบบนี้
จริงๆแล้วโซรามิอยากจะปล่อยให้เรื่องราวมันผ่านไปซักช่วงระยะหนึ่ง จนกระทั่งเรื่องต่างๆมันเย็นลงแล้ว แต่ปัญหาก็คือซาจิโกะนั้นตกเป็นเป้าของพวกกลุ่มคนหัวรุนแรงที่ต้องการเปลี่ยนการตัดสินใจในการประชุมกันด้วยกำลัง ซาจิโกะอาจจะหนีไปเพราะกลัวแล้วก็ยังไม่รู้ว่ามีคนที่ไล่ตามตัวเองอยู่ โซรามิรู้สึกไม่ดีเลย
ซาจิโกะไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกไม่ดี อูรูรุเองก็เช่นกัน
ถ้าหากมองดูเธอเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอก็จะดูราวกับว่าเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่โซรามิรู้ดีว่าความจริงแล้วเธอไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นเลย
แมวที่เดินอยู่ด้านบนกำแพงคอนกรีตส่งเสียงร้องเมี๊ยวออกมาจนทำให้อูรูรุตกใจจนชักปืนเข้าไปหา การที่อูรูรุทำแบบนั้นมันก็ทำให้แมวตกใจจนกระโดดตัวลอย และเสียงของแมวเองก็ทำให้อูรูรุตกใจจนกระโดดตัวลอยเช่นเดียวกัน ปืนของอูรูรุที่ลั่นไกออกมานั้นมันทำให้จุกไม้ก๊อกที่อุดเอาไว้พุ่งออกมาพร้อมกับเชือกและธง มันคือของเล่นนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วเธอจะใช้อาวุธไร้คมเป็นหลัก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็จะพกมันติดตัวแบบระมัดระวังโดยที่ไม่ประมาท
ด้วยตำแหน่งของพวกเธอที่เป็นลูกบุญธรรมของปราชญ์ที่ลงมาเกิดใหม่นั้น มันจึงไม่ได้มีโอกาสในการต่อสู้จริงมาตั้งแต่แรกแล้ว แม้พวกเธอจะฝึกฝนกันอยู่ทุกวัน หากมีอะไรเกิดขึ้นโซรามิก็ไม่อยากจะต่อยใครด้วยหมัด แถมยังไม่อยากโดนใครต่อยน้อยยิ่งกว่าอีกด้วย
ดังนั้นมันจะหมายความว่าสโนไวท์หรือนักล่าเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้สูงจะรับหน้าที่เป็นผู้นำ แต่การเลือกคนในครั้งนี้มันไม่เข้ากับความภาคภูมิใจของอูรูรุ อูรูรุนั้นเชื่อว่าคนที่รับใช้ร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของปราชญ์จะต้องเก่งกว่าสโนไวท์ที่เป็นคนนอกอยู่แล้ว ถึงแม้แมวตัวเดียวจะทำให้เธอตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมเสียตำแหน่งผู้นำและผู้สั่งการไป
หากโซรามิแนะนำเธอไปว่า “ถ้าพี่ผ่อนคลายกว่านี้ก็คงจะดีนะ” อูรูรุก็คงจะตอบกลับมาว่า “เธอเนี่ยก็แค่พยายามบอกว่าตัวเองขี้เกียจแค่นั้นเอง”
โซรามิลดเสียงของตัวเองลงจนเบาพอที่จะทำให้อูรูรุที่เดินอยู่ด้านหน้าไม่ได้ยินที่เธอพูด จากนั้นเธอก็กระทุ้งแขนของสโนไวท์และพูดว่า “แล้วเธอคิดว่าพวกเราควรจะทำยังไงกันดีล่ะ? เรากับอูรูรุไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงเลย มันคงแย่แน่ๆหากพวกเราตื่นตระหนกจนเกิดเรื่องที่ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ รู้ไหม?”
“ถ้างั้นให้ฟาลกับฉันคิดอะไรออกมาไหม? แล้วหลังจากนั้นก็ทำให้เหมือนมันเป็นคำแนะนำของเธอ”
“เราชอบอะไรแบบนั้นจัง อื้อ เอาแบบนั้นแหละ”
“แบบนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องมีเรื่องที่สามารถทำให้คุยกันได้แบบปกติใช่ไหม ปอน?”
“อื้อ” โซรามิพูด “เราคิดว่าคงดีกว่าถ้าหากพี่ผ่อนคลายลงบ้างนิดหน่อยเหมือนกัน”
ฟาลตั้งใจพูดเสริมเข้ามาว่า “ปกติ” ดังนั้นโซรามิจึงคิดว่านั่นคือการอธิบายเรื่องที่เหลืออย่าง “หากพวกเราคุยกันแบบปกติ เธอก็จะเข้าถึงได้ง่าย” โดยย่อ ในใจของโซรามินั้นเฝ้าขอโทษที่พี่สาวของเธอทำตัวแบบนี้ แต่ถ้าเป็นสโนไวท์ล่ะก็ เธอคงจะได้ยินคำขอโทษผ่านทางจิตใจของโซรามิแน่ๆ
“ถ้างั้นแบบนี้เป็นไง” โซรามิพูด “ก่อนอื่นเลย สโน เธอก็…” ก่อนอื่นสโนไวท์นั้นจะรับฟังความคิดของคนที่เดินผ่านไปมาแล้วถ้าเจอคนที่มีปัญหาก็จะเอามาบอกโซรามิ จากนั้นโซรามิจะส่งต่อไปให้อูรูรุ แล้วพวกเธอสามคนก็จะเข้าไปช่วยเหลือคนๆนั้น
สโนไวท์ดึงแขนเสื้อของเธอเบาๆ แล้วเมื่อโซรามิหันไปทางที่สโนไวท์ชี้ เธอก็เห็นผู้ชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยยืนอยู่หน้าจักรยานตรงริมถนน
“พี่” โซรามิพูด “เหมือนว่าคนๆนั้นจะมีปัญหานะ เขาลืมรหัสผ่านของสมาร์ทโฟนตัวเอง”
“แล้ว?” อูรูรุพูด
“พวกเราจะไม่ไปช่วยเหรอ? ด้วยเวทมนตร์ของเรามันทำให้หารหัสผ่านได้นะ”
“พวกเรามีเวลาพอที่ไหนล่ะ”
“ไม่เอาสิพี่ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่มีเวลาซักหน่อย แถมจำที่ท่านหญิงพัคพูดว่า ‘มีน้ำใจกับคนที่มีปัญหาเพราะนั่นคือสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลควรทำ’ ได้ไหม” การยกคำพูดบางอย่างที่พัคพั๊คพูดขึ้นมานั้น มันจะทำให้อูรูรุยอมทำตามอย่างไม่มีข้อแม้
หลังจากที่บอกรหัสผ่านไปแล้ว พวกเธอสามคนก็ช่วยเหลือผู้คนตรงนั้นตรงนี้ตามทางที่พวกเธอเดินผ่าน มีทั้งแบกของให้หญิงชราในตอนที่ข้ามถนน ยกถังขยะที่ล้มลงขึ้นมาแล้วเอาขยะที่กระจายอยู่รอบๆทั้งหมดใส่กลับเข้าไปด้วย การกวนใจอูรูรุเช่นนี้มันจะทำให้เธอใจเย็นลงเล็กน้อย และความรู้สึกจากการร่วมมือกันของทั้งสามคน มันก็จะทำให้อูรูรุผ่อนคลายตอนที่อยู่รอบๆตัวของสโนไวท์
เมื่ออูรูรุไม่ได้หันมามอง โซรามิก็ยกนิ้วโป้งขึ้นให้สโนไวท์ และสโนไวท์นั้นก็ตอบกลับมาในแบบเดียวกัน เธอนั้นทำตามได้ดีจนน่าประหลาดใจเลย
☆ อูรูรุ
พวกเธอตัดสินใจใช้รถไฟเดินทางไปรอบๆ มีเพียงแค่มือสมัครเล่นหรือพวกคนโง่เท่านั้นที่คิดว่าเมจิคัลเกิร์ลจะวิ่งไปที่ไหนได้ทุกที่ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่หากมีคนพบเห็นเด็กสาวที่วิ่งได้เร็วกว่ารถยนต์ในตอนสิบโมงเช้า และในฐานะที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่รับใช้ปราชญ์นั้น อูรูรุจะสร้างปัญหาใหญ่ไม่ได้ เธอจึงต้องทำตามกฎ
เมื่ออูรูรุอธิบายเรื่องนี้ โซรามิก็ตอบกลับมาว่า “อื้อ อื้อ” พร้อมกับท่าทางที่เบื่อหน่ายตามปกติ ในขณะที่สโนไวท์ที่อูรูรุคิดว่าจะต่อต้านเรื่องนี้เพราะมันยุ่งยาก กลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างน่าแปลกใจ
พวกเธอซื้อตั๋วสามใบแล้วรับใบเสร็จมา แล้วก็ขึ้นรถไฟ
ในช่วงเวลานี้ของวัน รถไฟสายนี้ไม่ได้มีคนพลุกพล่าน เมื่อทั้งสามคนนั่งลงโดยที่โซรามินั่งอยู่ตรงกลางแล้ว สโนไวท์กับโซรามิก็เริ่มกระซิบกระซาบคุยกัน และมันก็มีเสียงแหลมๆที่เหมือนกับเด็กพูดขึ้นมาด้วยในบางครั้ง นั่นคือมาสค็อทของสโนไวท์ อูรูรุไม่รู้ว่าพวกเธอพวกถึงเรื่องอะไรกันอยู่
ก็ใช่ว่าจะอยากรู้ซักหน่อย อูรูรุคิดเช่นนั้นแล้วหันออกไปมองภายนอกหน้าต่าง ภาพของทิวทัศน์ผ่านไปเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างขยับจากทางขวามาทางซ้าย และในระยะที่ห่างออกไปเธอก็มองเห็นภูเขาโชกิ พัคพั๊คเคยพาพวกเธอไปที่นั่นมาก่อน โซรามิ อูรูรุ ซาจิโกะ และพัคพั๊คออกไปปิคนิคด้วยกัน แซนวิชที่ซาจิโกะทำขึ้นมานั้นมันถูกบี้จนแบน ซึ่งนั่นมันทำให้เธอเกือบจะร้องไห้ออกมา “เธอนี่ไม่ไหวเลยนะ” อูรูรุพูดเช่นนั้นแล้วก็แลกแซนวิชของตัวเองกับซาจิโกะ และในทันใดนั้นใบหน้าของซาจิโกะก็ยิ้มแย้มออกมา หลังจากที่พูดว่า “แหม เธอนี่โดนชักจูงง่ายดีจัง” พวกเธอทุกคนก็หัวเราะออกมา
ซาจิโกะไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่พวกเธอยังเป็นเด็ก เธอนั้นอ่อนแอ ขี้แย แล้วก็ยังขี้ขลาด ในการจำลองการต่อสู้นั้น เพียงแค่ตีเธอแรงซักเล็กน้อยมันทำให้เธอร้องไห้ออกมาได้แล้ว และถ้าเอาการบ้านยากๆให้เธอแบบอ่อนโยนล่ะก็ เธอจะยอมแพ้ไปเลย อูรูรุจำได้ว่าพัคพั๊คใช้เวลาอยู่นานมากในการปรับระดับความยากเพื่อเธอ ซาจิโกะนั้นสัญญาว่าจะเก็บออมเงินที่ได้ในแต่ละเดือนเพื่อเอาไปใช้ในอนาคต แต่บ่อยครั้งเธอก็ไม่ได้เก็บออมไว้เลยแม้แต่นิดเดียว และทุกครั้งอูรูรุก็จะให้เธอยืมเงินพร้อมพูดว่า “เธอควรจะเลิกใช้เงินแบบนี้ได้ซักทีแล้วนะ” ”
แถมเวทมนตร์ของเธอเองก็ไม่ได้มีประโยชน์เช่นกัน หากเธอใช้เวทมนตร์ของตัวเองแบบ “ใช้โชคทั้งชีวิตในคราวเดียว” กับใครซักคน มันก็จะเป็นการทำให้ประสบความสำเร็จในบางสิ่งที่ทำอย่างแน่นอน แต่อูรูรุก็ไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ใช้โชคทั้งชีวิตหมดไปแล้ว พวกนั้นอาจจะตายอย่างทรมาณแบบโดนอุกกาบาตตกใส่หัว หรือถูกรถบรรทุกที่ควบคุมรถไม่ได้ชนเข้าไปในห้องสมุดที่นั่งอยู่ ราวกับว่าถูกโลกสั่งให้ต้องตาย
เธอไม่สามารถจับคนมาแบบสุ่มๆ แล้วก็บังคับให้คนพวกนั้นใช้โชคของตัวเองได้ ในการที่จะใช้เวทมนตร์ของซาจิโกะได้นั้น คนที่จะใช้ต้องวงหัวข้อ “ใช่” ในแต่ละรายการของสัญญาที่แนบมากับชุดของซาจิโกะจากนั้นก็ต้องเซ็นชื่อเต็ม ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ในการต่อสู้ได้เลย และถึงจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ไม่มีการต่อสู้ คนที่เป็นศัตรูก็จะไม่มีทางใช้มัน อูรูรุนั้นสงสัยว่ามันจะช่วยในเรื่องอะไรซักอย่างรึเปล่า เธอจึงแอบหยิบสัญญามาอันหนึ่งแล้วมองดูรายการทั้งหมดแล้วก็คิดตาม แต่เธอก็คิดว่าเวทมนตร์นี้มันไม่มีทางจะใช้เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่แท้จริงได้เลย
ถ้าให้พูดแล้ว ตัวซาจิโกะไม่เก่งในด้านไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ความสามารถทางกายภาพ หรือเวทมนตร์ แต่พัคพั๊คก็ช่วยเธอ พูดแบบใจดีกับเธอ พาเธอออกไปนอกบ้าน ให้เงินกับเธอทุกๆเดือน และลูบหัวเมื่อเธอทำเรื่องอะไรดีๆ แม้แต่อูรูรุเองก็ยังให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆและไม่ได้ทอดทิ้งเธอไป เธอไม่รู้ว่าโซรามิคิดยังไง แต่เหมือนว่าบางครั้งเธอจะแบ่งขนมให้ซาจิโกะด้วย
แต่ซาจิโกะกลับเพิกเฉยสิ่งเหล่านั้น เธอทิ้งหนี้บุญคุณทั้งหมดแล้วหนีไปจากพัคพั๊ค เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งหนึ่งซาจิโกะเคยทำกระถางบอนไซแตก แล้วหลังจากนั้นเธอก๊รีบวิ่งหนีออกไปจากบ้านก่อนที่จะมีใครมาเจอตัว แต่อย่างไรเธอก็ถูกจับตัวได้ในแทบจะทันที และถูกดุด่ามากกว่าที่เคย
แต่ในครั้งนี้มันแย่ยิ่งกว่านั้นมาก อูรูรุจินตนาการได้ว่าทำไมซาจิโกะถึงวิ่งหนีไป
ในคราวนี้มันคือเวลาที่ซาจิโกะผู้ไร้ประโยชน์จะได้กลายเป็นคนที่มีประโยชน์แล้ว เพราะว่าพัคพั๊คนั้นใจดี บางทีเธออาจคิดหนทางให้ซาจิโกะประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแสดงที่ไม่ดีของตัวเอง แต่ซาจิโกะก็ยังทนรับแรงกดดันไม่ไหวและวิ่งหนีไป คำว่า “พิธี” นั้นมันฟังดูน่ากลัวก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอกำลังทำพิธีสังเวยอะไรบางอย่าง แถมพัคพั๊คก็ยืนยันว่าจะไม่มีใครตายด้วย แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ต้องกลัวกันล่ะ?
ฝ่ายโอสนั้นรู้ถึงการหายตัวไปของซาจิโกะ แล้วก็สะกดรอยตามมาเพราะเธอนั้นคือคนที่สำคัญต่อพิธีของพัคพั๊ค
หัวของอูรูรุรู้สึกปวด เธอรู้สึกว่าอยากจะถอนหายใจออกมา แต่เธอก็คือพี่คนโต
มันเป็นหน้าที่ของพี่สาวคนโตที่ต้องดูแลน้องสาว พัคพั๊คพูดกับเธอหลายครั้งหลายคราว่า “เพราะเธอคือพี่คนโต ดังนั้นต้องดูแลทั้งสองคนด้วยนะ” ไม่ว่ามันจะยากลำบากซักแค่ไหน พี่สาวคนโตจะวิ่งหนีไปไม่ได้ คนที่เป็นพี่สาวนั้นมันต้องอดทนเอาไว้
☆ โซรามิ นาคาโนะ
ตอนที่อยู่บนรถไฟนั้น สโนไวท์อธิบายถึงใจความสำคัญเรื่องเวทมนตร์ของตัวเองให้พวกเธอฟังว่าทำงานได้ยังไง ฟาลที่เป็นมาสค็อทของเธอนั้นมีความสามารถหลากลายจนยากที่จะอธิบายในช่วงระยะเวลาสั้นๆได้ ดังนั้นโซรามิจึงเรียนรู้ด้วยการใช้เวทมนตร์ของเธอ
เวทมนตร์ของโซรามิคือการรู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่ต้องเปิดออก การใช้พลังนั้นมันจะทำให้เธอเรียนรู้ความสามารถของมาสค็อทที่อาศัยอยู่ภายในเมจิคัลโฟนของเจ้าของได้
“เหนื่อยแล้วอ่าาาาา” โซรามิบ่น
“หือ?” อูรูรุพูด
“พักกกกกกันหน่อยเถอะ พวกเราช่วยคนกันตั้งเยอะ เราหมดแรงแล้ว”
“ให้ตายสิ โซรามิ… โอเค ห้านาทีเท่านั้นนะ”
พวกเธอสามคนนั่งลงไปบนม้านั่งหน้าสถานี โซรามิรับบทราวกับว่าเป็นล่ามโดยการพูดกับสโนไวท์กับฟาลที่อยู่ทางขวาและอูรูรุที่อยู่ทางซ้าย ทำให้พวกเธอนั้นสามารถคุยกันได้แม้จะไม่ได้พูดกันโดยตรง “ใช่แล้วล่ะ ไอเดียนี้มันก็พุดขึ้นมา ใช้เวทมนตร์ของอูรูรุ…” โซรามิพูดข้อเสนอที่ได้จากสโนไวท์ออกมาราวกับว่าเป็นของเธอเอง
โซรามิคิดว่าสโนไวท์นั้นคิดเรื่องอะไรดีๆออกมาได้ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเวทมนตร์ของคนอื่นก็ตาม แต่การที่โซรามิคิดว่าสโนไวท์เป็นคนที่น่าประทับใจมันไม่ใช่สิ่งที่เอาไปพูดกับอูรูรุได้ด้วย
ไซเบอร์แฟร์รี่เองก็ถูกดัดแปลงโดยเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงพลังมากจนทางดินแดนเวทมนตร์ยังยกมือยอมแพ้ รวมถึงไม่ได้ทำอะไรกับคนที่เป็นมาสเตอร์ด้วย โซรามิเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทำไมพัคพั๊คถึงเรียกเธอมาที่นี่
และเธอยังเข้าใจดีว่าสโนไวท์เอาชนะกริมฮาร์ทได้ แม้อูรูรุจะยังคงไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม
อูรูรุนั้นเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น มั่นใจในตัวเองสูง และจริงจัง เธอมักจะพูดอะไรแบบว่า “ภูมิใจในฐานะที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่รับใช้พัคพั๊คหน่อยสิ!” ไม่ก็ “ทำตัวให้ดีอย่าให้มีเรื่องอับอาย!” ออกมาอย่างใจเย็น โซรามิรู้สึกอายเกินไปที่จะพูดอะไรที่ล้าสมัยแบบนี้
โซรามิรู้ว่าอูรูรุไม่ใช่คนที่ไม่ดี เธอแค่เป็นคนหัวรั้นและมักจะตะโกนสั่งว่า “เตรียมตัวให้เรียบร้อยด้วย” ในขณะที่ตัวเองคือคนที่ตั้งตารอมากที่สุด แถมยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งคืนจนนอนไม่หลับอีกต่างหาก ตอนที่พวกเธอออกไปทานมื้อเย็นในภัตตาคารดัง อูรูรุก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้คนน่ะมักจะประมาทตอนทานอาหาร เพราะแบบนั้น นี่แหละคือเวลาที่ต้องระวังตัวเข้าไว้” ในขณะที่ตัวของเธอนั้นเดินนำเข้าไปในภัตตาคาร
พอเป็นเรื่องของซาจิโกะเธอเองก็หัวแข็งเช่นกัน อูรูรุบอกว่าที่เธอออกมาตามหานั้นเป็นเพียงเพราะว่าพัคพั๊คบอกให้ดูแลน้องสาว แต่โซรามิก็รู้ว่าในคราวนี้อูรูรุเป็นห่วงจากใจจริง เมื่อสโนไวท์มาถึง เธอก็พูดออกมาอย่างกระวนกระวายว่า “ท่านหญิงพัคพั๊คจะไม่ทอดทิ้งซาจิโกะใช่ไหม?” แม้กระทั่งในตอนนี้ ในขณะที่เธอกำลังบอกสโนไวท์ด้วยท่าทีวางมาดว่าแค่เป็นห่วงเพราะถูกสั่งให้ดูแลน้องสาว ตอนนั้นเธอก็หน้าแดงขึ้นมา เธอไม่ได้อายเพราะสโนไวท์อ่านความคิดหรือโซรามิที่คุ้นเคยกันบอกให้รู้เลย
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างเคย โซรามิจึงต้องช่วยเธอ แม้โดยพื้นฐานแล้วมันควรจะเป็นงานของพี่คนโตหรือพี่คนรองก็ตาม แต่พี่คนโตเองก็หัวแข็งเกินไป พี่คนรองเองก็ขี้กลัวสุดๆอีกต่างหาก
แม้การไม่รู้เรื่องเวทมนตร์ของสโนไวท์หรือความสามารถของฟาล มันจะทำให้อูรูรุมีปัญหา ความหัวรั้นของอูรูรุมันกันให้ตัวเธอเองถามออกไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการที่อูรูรุไม่ได้บอกเรื่องเวทมนตร์ของตัวเองกับสโนไวท์และฟาลไปเพราะความหัวรั้นขั้นสุด แม้การที่ไม่ได้ทำแบบนั้นมันจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ก็ตาม
โซรามิยังพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของซาจิโกะในร่างมนุษย์อีกด้วย การอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การวิ่งได้อย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องมีการกินดื่มคือเรื่องที่ดี แต่การเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันทำให้ดูโดดเด่น ทำให้ยากที่จะกลมกลืนไปกับฝูงชนและซ่อนตัวได้ สโนไวท์คาดว่ามีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ที่ซาจิโกะจะหนีไปในร่างของเมจิคัลเกิร์ล หากยังมีโอกาสอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่จะหนีไปในร่างมนุษย์ มันก็คุ้มค่าที่จะเอามาพิจารณา
โซรามิทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างอูรูรุและซาจิโกะอยู่ตลอด เธอไม่ได้เบื่อการรับบทแบบนี้เลยเพราะเธอชินกันมันแล้ว แถมเธอรู้สึกชอบเรื่องนี้มากกว่าการต่อสู้อีกด้วย พอซาจิโกะร้องไห้มันก็น่าเบื่อเพราะอูรูรุจะรู้สึกโกรธ โซรามิไม่จำเป็นต้องให้พัคพั๊คมาบอกเธอว่าต้องสนิทกันเข้าไว้อีกด้วย
เมื่อออกจากรถไฟ พวกเธอก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมแคปซูล ครั้งหนึ่งนั้นพวกเธอที่เป็นพี่น้องสามคนเคยผลัดกันนอนอยู่ที่นี่เมื่อพัคพั๊คออกไปทานอาหารกับบุคคลสำคัญที่โรงแรมใกล้เคียง
โซรามิบอกเรื่องข้อมูลแบบอ้อมๆให้กับอูรูรุและสโนไวท์ อย่างเช่นความสามารถของฟาลที่ตรวจจับเมจิคัลเกิร์ลได้ในระยะสองร้อยเมตร ขอบเขตเวทมนตร์ของสโนไวท์ที่สามารถทำได้ และเรื่องที่ซาจิโกะควรจะยังอยู่ภายในเมืองนี้ เพราะถ้าเธอพยายามจะออกไปล่ะก็ พัคพั๊คจะบอกพวกเธอเอง
หลังจากที่ออกมาจากโรงแรมแคปซูล พวกเธอก็มุ่งหน้าไปยังย่านการค้า ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ แล้วก็เข้าไปในร้านอาหารของท้องถิ่นพร้อมกับเฝ้าระวังสัญญาณแจ้งเตือนเมจิคัลเกิร์ลไปด้วย พวกเธอเดินผ่านหน้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า ย่านขายของอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ตามทาง สโนไวท์รับฟังเสียง ฟาลนั้นตรวจสอบเรดาห์ และโซรามิก็สัมผัสกับสิ่งก่อสร้างเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วก็รายงานให้คนอื่นรู้ว่าซาจิโกะไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้
โซรามิพูดกับสโนไวท์ค่อนข้างบ่อย เธอนั้นรู้สึกประหลาดใจกับฟังก์ชั่นของเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ พูดถึงเรื่องมังงะเล่มใหม่ที่ชอบเพื่อบอกรสนิยมของตัวเอง พูดเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พูดเรื่องที่อูรูรุช่วยซาจิโกะในตอนที่เธอทำอะไรพลาดตัวอย่างเช่น ตอนที่ซาจิโกะเกือบทำแผงไข่ที่ตั้งซ้อนกันในซุปเปอร์มาร์เก็ตล้ม และอูรูรุก็เข้ามาช่วยเธอเอาไว้แล้วจัดเรียงใหม่อย่างรวดเร็ว เรื่องราวแบบนี้เมื่อพูดออกไปแล้ว มันคือการเน้นย้ำให้เธอไม่ลืมว่าอูรูรุไม่ใช่คนเลวอะไรเลย
เมื่อออกจากสวนสาธารณะ โซรามิก็หยุดเดินแล้วพูดออกมาว่า “เราเหนื่อยยยยยแล้วอ่าาาาา อยากพักกกกกกก!” ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วขี้เกียจที่สุดเท่าที่เธอจะพูดออกมาได้อย่างชัดเจน อูรูรุเองก็คงจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการแน่
“นี่พูดเรื่องอะไรกันน่ะ โซรามิ?” อูรูรุพูด “พวกเราเพิ่งจะพักที่สถานีรถไฟไปเองไม่ใช่รึไง”
“ก็ถ้าพวกเราจะทำงานให้ได้ผลออกมาดี มันก็ต้องหยุดพักเยอะๆนี่นา เราหมายถึง ถ้าเดินกันแบบไม่หยุดพักเลย แบบนั้นก็จะได้อะไรที่ไม่ดีแทนใช่ไหมล่ะ? ดูสิ ตรงนั้นมีโอปันยากิ*ขายด้วยล่ะ! เราจะไปซื้อหน่อย รออยู่ตรงม้านั่งนะ โอเคไหม?”
*ขนมชนิดหนึ่งที่ใช้แป้งกลมๆสองชิ้นมาประกบกัน โดยด้านในนั้นจะสอดไส้ชนิดต่างๆเอาไว้
โซรามิไปซื้อโอปันยากิมาสามชิ้น ดังนั้นพวกเธอจึงตัดสินใจหยุดพักราวกับถูกบังคับ
เมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่จำเป็นกินหรือดื่ม แล้วก็ไม่ได้เหนื่อยกันง่ายๆด้วย พวกเธอไม่จำเป็นต้องพัก คนประเภทแบบอูรูรุจะคิดเช่นนี้ ส่วนคนประเภทแบบโซรามิจะคิดถึงเรื่องการหยุดพักแล้วใช้เวลาพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นมา แถมการมีอะไรให้เคี้ยวในตอนที่พักอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่ดีอีกด้วย
เมื่อโซรามิกลับมาที่ม้านั่งพร้อมกับขนมร้อนๆที่รูปร่างเหมือนแพนเค้กที่อยู่ในมือ มันก็มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น ซึ่งนั่นมันป้องกันไม่ให้อูรูรุเริ่มพูดสั่งสอนออกมาได้
“ตรวจพบเมจิคัลเกิร์ลทั้งหมดสามคน พวกนั้นกำลังเข้ามาทางประตูทิศตะวันออกอย่างช้าๆด้วยความเร็วพอๆกับมนุษย์เดิน… ตอนนี้พวกนั้นเริ่มวิ่งเข้ามาใกล้แล้ว ปอน!”
หากเป็นกลุ่มสามคนแบบนั้นก็ไม่ใช่ซาจิโกะ โดยเฉพาะถ้าสามคนนั้นวิ่งเข้ามาหาพวกเธอแบบนี้ก็ยิ่งไม่ใช่ด้วย
โซรามิมองไปรอบๆบริเวณ ทางขวามือของสี่แยกที่ปูด้วยอิฐห่างออกไปราว 20 เมตรคือแผงขายโอปันยากิ มีคนสี่คนยืนอยู่รอบๆ แต่ไม่มีใครที่เข้ามาทางนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็น แต่อย่างน้อยพวกเธอก็อยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับคนพวกนั้น
ตรงหน้าของม่านฝุ่นที่ฝุ้งอยู่นั้น โซรามิก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลวิ่งเข้ามาหาพวกเธอ เมจิคัลเกิร์ลสามคนนั้นถอดเสื้อโค้ททิ้งแล้ววิ่งเข้ามาหา สโนไวท์กระแทกก้อนอิฐด้วยส้นรองเท้าของเธอ มาสค็อทของเธอพูดว่า “หือ?” ด้วยเสียงสังเคราะห์ เมจิคัลเกิร์ลสามคนนั้นดูคล้ายกันจนน่าตกใจ ชุดของพวกนั้นดูเหมือนกับทหารไพ่ และสิ่งเดียวที่ดูต่างออกไปก็คือรูปภาพบนไพ่ แจ็คโพดำ ควีนโพดำ แล้วก็คิงโพดำ
พวกทหารไพ่นั้นชูหอกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ว่างเปล่าแล้วพุ่งเข้ามาหา แค่ชำเลืองดูก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งแล้ว
☆ ฟาล
ฟาลรู้สึกสับสน เมจิคัลเกิร์ลรูปแบบไพ่คือชัฟฟินไม่ผิดแน่ ฟาลมองดูสโนไวท์และเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นต่อสู้ด้วยในห้องวิจัยใต้ดินมาแล้วเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรรายงานก็บอกไว้ว่าโจ๊กเกอร์ที่เป็นผู้นำตายไปในอุบัติเหตุหลังจากนั้น
ฟาลไม่ได้ใสซื่อจนงี่เง่าที่จะเชื่อรายงานตามที่เขียนเอาไว้ ฟาลรู้ว่าพวกระดับสูงนั้นมีวิธีในการ “จัดการ” กับสิ่งต่างๆ สำหรับคนบางคนหากถูกปล่อยมีชีวิตอยู่จะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สะดวก ดังนั้นจึงถูกจัดให้เป็นการตายโดยอุบัติเหตุแทน เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แต่ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมันก็แปลก ปราชญ์ทั้งสามนั้นกังวลเรื่องภาพลักษณ์ มันคงไม่ต้องเอ่ยถึงสำหรับเรื่องเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกบอกว่าตายในอุบัติเหตุกลับโผล่หน้าออกมาต่อสาธารณะ ถ้าเมจิคัลเกิร์ลที่ควรจะตายไปแล้วในอุบัติเหตุเข้าโจมตีเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในสวนสาธารณะกลางวันแสกๆซึ่งเป็นที่ที่ใครๆก็มองเห็นได้ แบบนั้นมันก็จะทำให้พวกนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
ก่อนที่ฟาลจะหยุดความสับสนลงได้นั้น เมจิคัลเกิร์ลก็ลงมือไปก่อนแล้ว
โซรามิกางฝ่ามือของเธอออกไปทางด้านหน้าและด้านหลัง สโนไวท์ถอดเสื้อคลุมออกแล้วยกรูลเลอร์ขึ้น อูรูรุชักปืนออกมาจากด้านหลัง และก่อนที่ศัตรูจะทันได้ทำอะไรนั้น เธอก็ตะโกนออกมาว่า “ปิดตาแล้วก็หมอบลงซะ! ไม่งั้นได้ตายแน่!”
ฟาลตกใจ ฟาลนั้นไม่ได้ติดตั้งฟังก์ชั่นสำหรับเปิดและปิดตาเอาไว้ก็จริง คี๊คที่เป็นคนดัดแปลงฟาลนั้นจะมีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องถ้าเป็นเรื่องของเมจิคัลเกิร์ล แต่เมื่อเป็นเรื่องของมาสค็อทมันจะกลายเป็นเรื่องของเหตุผล เธอดัดแปลงฟาลมามากมายหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยให้ฟังก์ชั่นแบบมนุษย์กับฟาลเลย และเพราะว่าคี๊คไม่ได้ทำแบบนั้น มันจึงทำให้ฟาลต้องตายที่นี่ เพราะฟาลไม่สามารถหมอบลงกับพื้นแล้วหลับตาได้ เนื่องจากฟาลทำแบบนั้นไม่ได้ ฟาลจึงต้องตายนั่นเอง
ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามาหาฟาล แล้วมันก็กลายเป็นความรู้สึกเศร้าเสียใจในทันที ความเศร้าและหม่นหมองของมาภายในตัวก่อนที่ความกลัวจะก่อตัวขึ้น ฟาลนั้นเคยอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงที่คิดว่าตัวเองอาจจะตายมาก่อน แต่ไม่เคยมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวเองตายไป ฟาลไม่เคยจินตนาการไปในทิศทางนั้นมาก่อน ไม่ว่ามันจะเป็นสวรรค์หรือนรกฟาลก็สงสัยว่ามีอยู่จริงรึเปล่า และถ้ามันมีอยู่ล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะไม่มีประตูบานไหนเปิดรับมาสค็อทที่สร้างมาจากเวทมนตร์และเทคโนโลยีเลย ถ้าฟาลตายไปมันกลายเป็นความว่างเปล่าใช่ไหมนะ? ฟาลจะช่วยสโนไวท์ไม่ได้อีกแล้ว แบบนั้นสโนไวท์จะอยู่คนเดียวได้รึเปล่านะ?
ชัฟฟินสามคนเอาหัวลงไปที่พื้นก่อน จากนั้นสโนไวท์และโซรามิหมอบลงไปกับพื้นเช่นกัน แต่จากนั้นพวกเธอก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
สโนไวท์ดูสงบนิ่งราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเรื่องที่อูรูรุพูด เธอรับเชือกที่โซรามิโยนมาให้จากนั้นก็มัดแขนและขาของชัฟฟินที่อยู่ที่พื้น โซรามิกับอูรูรุเองก็เข้ามาช่วยเช่นกัน พวกชัฟฟินยังคงนอนคว่ำอยู่พร้อมกับปิดตา มันไม่มีวี่แววว่าสโนไวท์ อูรูรุ หรือโซรามิกำลังจะตายอยู่เลย
จากนั้นฟาลก็นึกขึ้นได้ว่า มันไม่มีเหตุผลที่พวกเธอจะตายหากไม่ได้นอนหลับตาอยู่บนพื้นเลย
“จะทำยังไงกับพวกนี้ดีเหรอ?” โซรามิพูด
“พวกเราปล่อยไว้ที่นี่ไม่ได้นะ” อูรูรุเห็นด้วย
“ตอนนี้ฉันจะเก็บเอาไว้อย่างปลอดภัยก่อนแล้วกัน”
สโนไวท์เปิดกระเป๋าสี่มิติที่ห้อยอยู่ตรงเอว แล้วก็โยนชัฟฟินที่ถูกมัดลงไปทีละคน
☆ สโนไวท์
ในตอนที่เอาชัฟฟินใส่ลงไปในกระเป๋า สโนไวท์ก็แอบมัดเชือกอีกครั้งอย่างลับๆเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนอูรูรุตำหนิ ต่อให้เป็นเชือกเวทมนตร์ มันก็จำเป็นต้องมัดเมจิคัลเกิร์ลเอาไว้อย่างแน่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้ขยับตัว หากเธอทำแบบนี้อีกฝ่ายก็จะหนีไปไม่ได้
โซรามิแตะหลังของอูรูรุ “พี่เนี่ยเจ๋งสุดๆเลย!”
อูรูรุเชิดอกขึ้น “บางครั้งแผนของเธอก็ได้ผลดีนะ”
ในตอนที่มองดูพวกเธอ สโนไวท์ก็ยิ้มออกมา อูรูรุหน้าแดงและมือของเธอที่จับปืนอยู่ก็สั่นเล็กน้อย เธอคงต้องเป็นกังวลแน่ๆ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดเลย เธอใช้เวทมนตร์ของตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ จนทำให้การเผชิญหน้ากับโพดำอันทรงพลังทั้งสามไม่มีเหตุการณ์เลือดตกยางออกเกิดขึ้น
มันเป็นความสามารถที่สะดวก และเข้ากันได้กับเวทมนตร์ของสโนไวท์
พลังของอูรูรุคือ “ทำให้ผู้คนเชื่อในคำโกหกของเธอ” ซึ่งมันทำให้ชัฟฟินเชื่อว่า “หากไม่หมอบแล้วปิดตาล่ะก็จะต้องตายอย่างแน่นอน” พวกนั้นจึงหมอบลงไปพร้อมกับปิดตา เมื่อทหารไพ่ไม่ได้ต่อต้านแล้ว สโนไวท์ อูรูรุ และโซรามิจึงมัดพวกนั้นเอาไว้ เวทมนตร์ของอูรูรุจะถูกยกเลิกในทันทีหากอีกฝ่ายรู้ว่าเธอโกหก เช่นเดียวกับที่สโนไวท์ได้ยินเสียงที่อูรูรุคิดว่า ‘มันคงมีปัญหาแน่ถ้าพวกนั้นรู้ว่าโกหก’ และโซรามิที่รู้ว่าเวทมนตร์ของอูรูรุทำงานยังไง เวทมนตร์จึงถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ส่วนฟาลที่ฟังคำอธิบายเวทมนตร์ของเธอมาก่อนหน้านี้ยังคงสับสนอยู่ครู่หนึ่ง มีเพียงชัฟฟินสามคนเท่านั้นที่ติดกับเพราะไม่รู้เรื่องเวทมนตร์ของอูรูรุ ภายในกระเป๋าของสโนไวท์ พวกชัฟฟินก็ยังคงปิดตาและหมอบลงกับพื้น
สโนไวท์หยิบเสื้อโค้ทที่ขว้างออกไปขึ้นมา ในตอนที่ใส่นั้นเธอก็พูดกับอูรูรุว่า “พวกเราต้องช่วยคนพวกนี้ด้วย”
“ต่อให้ไม่พูดอูรูรุก็จะทำอยู่แล้ว!”
ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตเสียงของอูรูรุ ทั้งพนักงานและลูกค้าที่ร้านโอปันยากิ คนเดินเท้าผู้โชคร้ายที่ผ่านมา มนุษย์เงินเดือนที่อู้งานมานั่งพักอยู่ในม้านั่งที่สวนสาธารณะ ชายชราที่ให้อาหารนกพิราบ ทุกคนล้วนแล้วแต่หมอบลงกับพื้นและปิดตา มีเพียงนกพิราบที่ยังคงจิกอาหารอย่างไม่ได้สนใจ
“ที่พูดน่ะโกหก โอเคไหม? ตอนนี้ถ้าไม่ได้หมอบอยู่กับพื้นและปิดตาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!” อูรูรุพูดออกไปหาทุกคน จากนั้นเธอก็เดินออกไปทันที สโนไวท์กับโซรามิจึงเดินตามหลังเธอไป
ฟาลลดเสียงของตัวเองราวกับเป็นเสียงกระซิบ “แล้วชัฟฟินพวกนั้นล่ะ ปอน?”
สโนไวท์เองก็ตอบกลับด้วยระดับเสียงที่ใกล้เคียงกัน “คนละหน่วยกันน่ะ”
“คนละหน่วย?”
“เป็นคนละหน่วยกับที่พวกเราสู้ด้วยในห้องวิจัยใต้ดิน ในแง่ของรูปร่างกับพลังมันก็มีอะไรที่ต่างกันเล็กน้อย อย่างเช่นแต่ละคนมีริบบิ้นอยู่ที่รองเท้า เรื่องความแข็งแกร่งทางกายภาพและความอึดก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่มีโจ๊กเกอร์ “
“ไม่มีโจ๊กเกอร์?”
“ฉันได้ยินพวกนั้นคิดว่าถ้าตายกันหมดก็คือจบ เพราะไม่มีโจ๊กเกอร์ก็เลยคืนชีพไม่ได้”
☆ CQ เท็นชิฮามูเอล
ถ้าจะให้อธิบายเรื่องฝ่ายโอสอย่างรวบรัดที่สุด คำที่เหมาะสมที่สุดก็จะเป็น “ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนที่ทรงพลัง” เช่นเดียวกับโลกหนึ่งใบที่มีมิติหลากหลาย หรือระบบของดวงดาวที่มีดาวอย่างนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับประเทศที่มีผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ ฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามฝ่ายในดินแดนเวทมนตร์นั้นสร้างขึ้นมาจากกองกำลังในขนาดต่างๆ
ฝ่ายโอสนั้นไม่ได้ว่าจ้างให้เมจิคัลเกิร์ลทำหน้าที่สำคัญ ส่วนใหญ่แล้วพวกนั้นมักจะใช้เป็นตัวเบี้ยหรือวัตถุดิบสำหรับการทดลองมากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนมันก็คือการใช้แล้วทิ้ง แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่มันก็มีความจริงที่ว่าจอมเวทที่อยู่ในระดับสูงที่ไม่หยุดชะงักในการทดลองอันไร้มนุษยธรรมอยู่
และนั่นก็คือเหตุผลที่ยากจะมีเมจิคัลเกิร์ลที่อยากจะทำงานกับฝ่ายโอส แต่กระนั้นมันก็ยังมีอยู่จำนวนหนึ่ง CQ เท็นชิฮามูเอลคือคนที่มีความทะเยอทะยาน เธอก็คิดว่าการมีเมจิคัลเกิร์ลอยู่น้อยนั้นหมายถึงมีโอกาสที่มากขึ้น แถมเธอยังมั่นใจมากพอที่จะคิดว่าหากทำตัวเองให้เป็นประโยชน์เพือไม่ให้ถูกใช้แล้วทิ้งไปก็จะเป็นเรื่องดี
“โฮ่ มาแล้วสินะ! ยืนยันจากด้านบน มีสามเป้าหมาย ลักษณะเป็นไปตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ใช่แล้ว สโนไวท์คือหนึ่งในคนที่ฆ่าโมเดลพี่สาวของพวกเธอ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก พวกนั้นทำอะไรดีๆไม่ได้อยู่แล้ว”
ฮามูเอลสื่อสารผ่านทางเวทมนตร์วิทยุไร้สายของเธอ ด้วยอุปกรณ์นี้ มันทำให้เธอสามารถสื่อสารเข้าไปในจิตใจของคนที่เคยพบเจอมาก่อนโดยตรงได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ที่ไหน และอุปกรณ์นี้จะแปลเป็นภาษาที่คนๆนั้นเข้าใจได้อย่างอัติโนมัติอีกด้วย คนที่เธอสื่อสารด้วยในตอนนี้คือชัฟฟิน II ที่อยู่ใต้การสั่งการของฮามูเอล
เมื่อได้รับคำสั่งจากฮามูเอลแล้ว นอกจากไพ่โพดำสามคนที่ถูกจับตัวไป ชัฟฟิน II อีกสี่สิบเก้าคนที่เหลือก็เริ่มเคลื่อนไหว ชัฟฟิน II นั้นคือเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงแล้ว มันถูกปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับเธอที่เป็นผู้บัญชาการ รูปร่างและความสามารถก็ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ชัฟฟิน II ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮามูเอลนั้นไม่มีโจ๊กเกอร์ ซึ่งนั่นมันทำให้ความสามารถของแต่ละคนเพิ่มสูงมากขึ้น
คนส่วนใหญ่จะโต้เถียงว่าคุณสมบัติที่ดีที่สุดของซีรี่ย์ชัฟฟินก็คือโจ๊กเกอร์ เพราะไม่ว่าจะโดนความเสียหายไปมากแค่ไหน มันก็จะฟื้นฟูความเสียหายได้หากจับเมจิคัลเกิร์ลหนึ่งคนมาเป็นเชลย เรื่องนี้มันจะเป็นการบังคับให้คู่ต่อสู้ที่สู้ด้วยไม่สามารถปล่อยให้มีคนโดนจับตัวแม้แต่คนเดียวได้
แต่ฮามูเอลคิดต่างออกไป นั่นอาจเป็นวิธีที่ทำให้หากพลังของซีรี่ย์ชัฟฟินถูกเก็บเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่กริมฮาร์ทกลับทำพลาดจนความสามารถของชัฟฟินรั่วไหลออกไปยังฝ่ายต่างๆ เพราะแบบนั้นมันจึงไม่ได้ผลอีกต่อไป หากศัตรูว่าจะถูกสังเวยแล้วฆ่าทิ้งหากถูกจับตัวได้ ศัตรูนั้นก็จะไม่ยอมแพ้ พวกนั้นจะรวบรวมความกล้าและต่อต้านอย่างสิ้นหวังจนถึงท้ายที่สุด
ทหารที่เตรียมใจที่จะตายเป็นอะไรที่น่ากลัว และมันจะน่ากลัวยิ่งกว่าหากทหารเหล่านั้นคือเมจิคัลเกิร์ล หากเมจิคัลเกิร์ลตั้งใจที่จะเอาจัดการศัตรู แม้มันจะหมายถึงการเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดหรือก็คือชีวิตของตัวเองไป ซึ่งนั่นมันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอถูกขับเคลื่อนออกมาจากภายใน และในบางครั้ง ถ้าหัวใจของเมจิคัลเกิร์ลถูกขับเคลื่อนออกมาจากภายใน มันก็จะทำให้เวทมนตร์ของเธอเติบโตขึ้น ความสิ้นหวังของเธอมันไม่ใช่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายด้วยความสิ้นหวังแบบง่ายๆ
“หน่วยข้าวหลามตัดตรวจสอบจากระยะใกล้ต่อไป ส่วนดอกจิกกับโพดำให้เคลื่อนไหวพร้อมกับหลีกเลี่ยงในรัศมี 500 เมตรรอบๆตำแหน่งที่ตรวจจับไซเบอร์แฟร์รี่ได้ แบบนั้นพวกเราจะตอบสนองกับการเคลื่อนไหวได้อย่างทันท่วงที เพราะเมจิคัลเกิร์ลน่ะเป็นพวกที่จู่ๆก็เคลื่อนไหวตลอดอยู่แล้ว”
ฮามูเอลประมาทเรื่องความสามารถเรดาห์ของไซเบอร์แฟร์รี่เกินไป ระยะของเรดาห์มันกว้างกว่าที่เธอคิดเอาไว้ จนทำให้หน้าไพ่โพดำทั้งสามที่เธอมอบหมายให้ทำหน้าที่ป้องกันข้าวหลามตัดเข้าไปสู่ระยะตรวจจับ เพียงแค่เพราะว่าตัวโพดำโผล่ออกมาด้านหน้าจากตำแหน่งเพียงแค่เล็กน้อย และตั้งแต่ที่ถูกเจอตัวเธอก็คิดว่าไม่มีทางเลือก ฮามูเอลนั้นสั่งให้ชัฟฟินนั้นวัดความแข็งแกร่งของศัตรู และถ้าเป็นไปได้ก็ให้จับอีกฝ่ายกลับมา แต่มันกลายเป็นว่าชัฟฟินกลายเป็นฝ่ายที่โดนจับอย่างง่ายๆแทน
ฮามูเอลจะไม่ปล่อยให้เรื่องไม่คาดคิดจบลงเช่นนี้ ถ้าเธอสูญเสียโพดำระดับสูงทั้งสามไป แบบนั้นเธอก็ต้องเปลี่ยนมันให้เป็นอะไรบางอย่างในเชิงบวก
จากการปะทะในสวนสาธารณะ เธอก็ได้รู้ถึงรัศมีการค้นหาของไซเบอร์แฟร์รี่เช่นเดียวกับปืนเวทมนตร์ของเด็กสาวนั้นมันทำงานยังไง บางทีมันอาจจะเป็นอะไรอย่างทำให้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่พูด การได้เห็นผู้คนที่อยู่รอบๆหมอบลงไปกับพื้นนั้นแสดงว่ามันส่งผลกับทุกคนที่ได้ยิน แต่นกพิราบที่อยู่ในสวนสาธารณะนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร นกพิราบนั้นหวาดกลัวมนุษย์ที่จู่ๆก็หมอบลงบนพื้น แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่ามนุษย์ไม่ได้ขยับตัว นกพิราบก็กลับไปจิกป๊อปคอร์นที่หกอยู่บนพื้นตามเดิม ฮามูเอลคิดว่าเวทมนตร์นั้นจะไม่มีผลกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์ การทำให้ชัฟฟิน II ที่อยู่ภายใต้การสั่งการของเธอมีทักษะในการเข้าใจภาษาเพื่อให้ช่วยในการสืบสวนกลับส่งผลไปในทางตรงกันข้าม
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฮามูเอลได้บอกพวกนั้นว่าไม่มีโจ๊กเกอร์อยู่ สโนไวท์คงจะรู้เรื่องนี้ดี เธอเองคงไม่คิดว่าจะ “ถูกบอก” เรื่องนั้นมาด้วย และความสามารถในการอ่านใจของเธอก็เป็นส่วนที่ฮามูเอลคำนวนเอาไว้แล้ว แม้ในใจจะคิดถึงเรื่องไพ่โพดำทั้งสามที่ถูกจับตัวไป แต่การแลกเปลี่ยนนั้นก็ยังคงสร้างความได้เปรียบให้กับฮามูเอล
มีเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็จริง แต่มันข้อดีหลายอย่างออกมาด้วยเช่นกัน แบบนั้นก็ไม่เป็นไร การได้เรียนรู้เรื่องของศัตรูมันมีค่ายิ่งกว่าทหารชั้นสูงทั้งสามซะอีก
ฮามูเอลจะให้ศัตรูค้นหาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะ แล้วเธอตีกรอบล้อมวงเข้าหา จากนั้นหน่วยชัฟฟินที่นำโดยเอซโพดำที่เป็นนักสู้อันทรงพลังจะเข้าทำการโจมตี หากเป็นไปได้ ฮามูเอลก็อยากให้ศัตรูยอมแพ้ก่อนที่จะมีความเสียหายใดๆเกิดขึ้น เพราะว่าไม่มีโจ๊กเกอร์ พวกชัฟฟินก็เลยคืนชีพไม่ได้
การขาดโจ๊กเกอร์มันก็ทำให้ชัฟฟิน II ดูเหมือนกับเป็นโฮมุนครูสมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสุดรักของฮามูเอล การเจ็บบาดน้อยจึงดีกว่า
แน่นอนว่าศัตรูคงคิดแบบเดียวกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายพยายามจะลดความเสียความ แบบนั้นบางทีก็อาจจะไปประนีประนอมกันที่ไหนซักที่ ซึ่งมันหมายความว่ายังมีที่ให้เจรจาอยู่ เวทมนตร์ของฮามูเอลไม่ได้เพียงแค่เหมาะกับการสั่งการและการแปลเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงการเจรและการกระตุ้นให้ยอมแพ้ด้วย
เธอยังมีข้อมูลเรื่องเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่ทำงานอยู่ในเมืองนี้ด้วย ใครจะรู้กันล่ะว่าพวกนั้นจะติดต่อกันตอนไหน? การทำอะไรแบบหยาบกร้านแต่รวดเร็วมันดีกว่าทำแบบชักช้าแต่รอบคอบอยู่แล้ว เธอต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
“โพแดงจะทำหน้าที่คุ้มกันชั้น เพราะเมื่อเทียบกับพวกเธอแล้วชั้นน่ะอ่อนแอกว่าเยอะ แต่ฟังนะ พวกเธอจะมีปัญหาแน่ถ้าผู้บัญชาการถูกจัดการใช่ไหม? จริงๆแล้วชั้นคงดูแย่ถ้าพวกเธอบอกว่าจะไม่ทำด้วย”
ที่ด้านล่างมีเมจิคัลเกิร์ลสามคนกำลังเดินผ่านสวนสาธารณะไปยังสถานี ในเวลาแบบนี้การมีความสามารถในการบินมันทำให้สะดวกมาก เมื่อฮามูเอลสั่งให้กองกำลังของเธอที่ล้อมเป้าหมายอยู่เคลื่อนไหว เธอก็มองไปรอบๆแล้วก็เด็กผู้ชายสองคนที่อายุราวๆชั้นประถมกำลังเล่นปาบอลกันอยู่บนทางเท้าด้านนอกสวนสาธารณะ บางทีคงจะเล่นปาบอลกันในสวนสาธารณะไม่ได้ แต่กระนั้นมันก็ยังอันตรายเพราะมีรถวิ่งผ่านไปมาอยู่ดี
ฮามูเอลเอาปากของเธอเข้าไปใกล้วิทยุไร้สาย แล้วพูดกับเด็กๆไปว่า “พวกนายอย่ามาเล่นปาบอลกันที่ทางเท้าสิ ถ้ายังเล่นต่ออีกล่ะก็ ชั้นจะแจ้งไปที่โรงเรียนของพวกนาย”
ดูเหมือนว่าเด็กผู้ชายทั้งสองคนจะสับสน พวกเขามองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียง แต่ก็ไม่มีใครเลยที่พูดออกมา ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลมากด้วย เวทมนตร์ของฮามูเอลเข้าไปถึงจิตใจผู้คนโดยตรง ระยะห่างนั้นไม่ใช่ปัญหา แม้เป้าหมายจะอยู่อีกฝากของโลก เวทมนตร์ของเธอก็ยังคงมีผลอยู่ดี
เด็กผู้ชายทั้งสองคนวิ่งหนีไป บางทีเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องสยองขวัญเรื่องใหม่ก็ได้ จากนั้นฮามูเอลก็มุ่งหน้าเข้าไปหากลุ่มชัฟฟินโพแดงอย่างช้าๆ
บทคั่น
ที่นี่คือห้องที่ไม่คุ้นเคย มันอาจจะเป็นโกดังที่ไหนซักที่ มันไม่มีหน้าต่าง เธอบอกไม่ได้ว่าตอนนี้มันเป็นกลางวันหรือกลางคืนเพราะมันมีกำแพงและพื้นคอนกรีตล้อมรอบเอาไว้ทุกด้าน ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่ทุกด้านมีความยาวเท่ากันคือสี่ก้าวครึ่งสำหรับการก้าวเท้าของชาโดว์เกล
ประแจ กรรไกร เมจิคัลโฟน แม้กระทั่งผ้าพันแผลของเธอก็ถูกยึดเอาไป สิ่งที่เธอมีอยู่ในตอนนี้มีแต่ชุดของเธอ เธอไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากกว่ามือเปล่าในการทำลายคอนกรีต ชาโดว์เกลไม่ได้แข็งแกร่งก็จริง แต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะปัญหามันอยู่ตรงสิ่งที่เฝ้าเธอเอาไว้
มันมีสิ่งมีชีวิตสีดำที่น่าขนลุกเฝ้าเธออยู่ที่สี่มุมของห้อง แต่ละตัวนั้นใช้ปีกสองข้างที่มีรูปทรงเหมือนกับสี่เหลี่ยมที่หลังเพื่อการบิน ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ชาโดว์เกลขยับตัว ทั้งสี่ตัวนั้นก็จะขยับไปพร้อมกับเธอด้วย จากนั้นมันก็จะยกส่วนที่เหมือนเป็นใบหน้ามนุษย์เข้าหาชาโดว์เกล ราวกับจะบอกเธอว่าจะทำการโจมตีใส่ทันทีหากพยายามหนี
สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับปีศาจเหล่านี้มันมีจำนวนมากพอที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และลูกน้องของแพททริเซียก็ออกไปสู้กับพวกมัน แต่ลูกน้องนั้นก็ไม่ได้ตอบสนองหลังจากที่แพททริเซียโทรไปหา ในตอนนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตพวกนั้นสี่ตัวอยู่ที่นี่
นอกจากการตอบสนองกับการเคลื่อนไหวของชาโดว์เกลแล้ว พวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย ไม่ว่าเธอพยายามจะถามว่าที่นี่คือที่ไหนหรือแพททริเซียเป็นอะไรรึเปล่า มันก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับมา
เมื่อชาโดว์เกลสงสัยว่าแพททริเซียถูกขังเอาไว้ที่ไหนซักที่รึเปล่า ตอนนั้นชาโดว์เกลก็กัดริมฝีปากของตัวเอง ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นแพททริเซียมันก็ไม่เหมือนกับว่าเธอยังมีชีวิตอยู่อีกแล้ว เธอถูกแทงด้วยหอกน้ำแข็งเพราะปกป้องชาโดว์เกลเอาไว้ และทั่วทั้งร่างของเธอยังถูกแช่แข็งอีกด้วย
ชาโดว์เกลกระโดดขึ้นจากพื้นคอนกรีต และภาพเงาดำทั้งสี่ก็ยืนขึ้นพร้อมกัน เมื่อเธอยกมือขึ้นในเสมอหัวเพื่อแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าเธอไม่ได้พยายามจะทำอะไร พวกนั้นก็นั่งลงอย่างเงียบๆอีกครั้ง
แพททริเซียถูกฆ่าไปแล้วแต่ชาโดว์เกลยังไม่โดน เธอคิดว่าเป้าหมายของศัตรูคือการจับตัวของเธอ บางทีการโจมตีที่แพททริเซียปกป้องเธอเอาไว้ มันก็ถูกคาดหวังเอาไว้ว่าแพททริเซียจะทำการปกป้องเธอเช่นนี้
ชาโดว์เกลเค้นหมัดของเธอแล้วชูขึ้นไป หมัดนั้นทั้งสั่นและเกร็ง เธอทุบมันลงบนพื้นไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทุบมันลงบนต้นขาของตัวเองแทน เธอทุบลงไปที่ต้นขาของตัวเองสองครั้ง จากนั้นก็ครั้งที่สามแล้วก็สี่ จนภาพเงาทั้งสี่ยืนขึ้น เธอจึงหยุดไป ต้นขาของเธอชาด้วยความเจ็บปวด
ศัตรูพยายามจะทำอะไรกันนะ? พวกมันพยายามใช้ชาโดว์เกลเป็นตัวประกันเพื่อควบคุมพีเฟิลงั้นเหรอ? เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความทรงจำของพีเฟิลที่ชาโดว์เกลมอบให้สโนไวท์รึเปล่า? แล้วสโนไวท์รู้เรื่องนี้ไหมนะ?
บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่ต้องชดใช้สำหรับพีเฟิลและชาโดว์เกลแล้วก็ได้ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าชาโดว์เกลไม่อยากสู้ แพททริเซียไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องเธอให้มัวมานั่งเศร้าโศรกอยู่ในห้องที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้ เธอต้องมองหาคำใบ้ที่บ่งบอกว่าที่นี่คือที่ไหน และต้องหาทางติดต่อกับภายนอก
ในตอนที่ชาโดว์เกลมองเงาสีดำเพื่อจับตาดูว่ามันเคลื่อนไหวรึเปล่านั้น เธอก็เคาะลงไปที่พื้นและผนัง สิ่งมีชีวิตนั้นขยับตัวเมื่อเธอพยายามเอาหูไปแนบกับประตู เพราะแบบนั้นเธอจึงยอมแพ้ แต่มันไม่มีอะไรที่เหมือนกับคำใบ้อยู่ที่ไหนเลย ความเป็นจริงมันต่างจากในวีดีโอเกม มันไม่ได้มีจุดสำคัญบ่งบอกอยู่ที่ไหน ความพยายามเองก็ไม่ได้ทำให้มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้การกระทำแบบเดียวกันซ้ำๆมันก็อาจจะทำให้ได้ค่าประสบการณ์ที่ต่างกันเพราะค่าสถิติพื้นฐานมันสามารถแปรปรวนได้ เธอถูกขังเอาไว้เพื่อไม่ให้ออกไปได้ต่อให้จะพยายามมากเท่าไหร่ก็ตาม ดังนั้นการมองหาอะไรรอบๆเพียงแค่เล็กน้อยมันจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้หลบหนีได้อยู่แล้ว
เธอได้ยินภายในใจของตัวเองที่บอกว่าให้ยอมแพ้ เธอนั้นเก่งในเรื่องการยอมแพ้อยู่แล้ว เพราะทั้งชีวิตของเธอไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นนอกจากการยอมแพ้เลย ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะคาโนเอะ ฮิโตโคจิเก่งเรื่องที่ทำให้คนอื่นยอมแพ้ด้วย
เธอควรจะยอมแพ้ดีไหม? หรือว่าไม่ควรกันนะ?
ใบหน้าของแพททริเซียโผล่ขึ้นในใจของเธอพร้อมกับความรู้สึกที่อยากขอโทษตามมา บางครั้งการยอมแพ้ก็สามารถใช้เป็นอาวุธได้แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย นี่เธอใช้ความพยายามอย่างที่สุดเท่าที่มีแล้วรึเปล่านะ? มันไม่มีอย่างอื่นที่เธอทำได้แล้วเหรอ? หากคาโนเอะอยู่ที่นี่ เธอคงคิดอะไรบางอย่างออกมาแน่ๆ
แค่ไอเดียในการที่พยายามจะคิดแบบคาโนเอะมันก็ทำให้รู้สึกว่าคิดถูก การทำแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้มาโมริออกมาจากจุดที่ติดอยู่ได้แต่อย่างใด แต่นั่นคือสิ่งที่คาโนเอะทำได้ ชาโดว์เกลมีความรู้สึกว่าหากเป็นคาโนเอะล่ะก็ เธอต้องคิดเรื่องบางอย่างได้แน่ จากนั้นครู่หนึ่งชาโดว์เกลก็เปลี่ยนการลงมือทำมาเป็นเรื่องคิดแทน
ถ้าเป็นคาโนเอะจะทำยังไงกันนะ? เธอจะคิดอะไรออกมากันแน่? ในตอนที่ชาโดว์เกลกำลังคิดไตร่ตรองด้วยสมองของเธออยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเสียงของสนิมก่อนที่เธอจะคิดคำตอบออกมาได้
และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือเมจิคัลเกิร์ลสวมเกราะที่สู้กับแพททริเซีย
MANGA DISCUSSION