ตอนที่ 2
ทุกคนรวมพล
☆ ฟิรูรุ
เมจิคัลเกิร์ล ฟิรูรุ จับเมจิคัลโฟนที่อยู่ในมือตัวเองอย่างแข็งทื่อ สิ่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นคืออีเมลที่ไม่ทราบผู้ส่ง
เหมือนว่าจะมีบางคนสร้างเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ขึ้นโดยที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีของดินแดนเวทมนตร์
ทางระดับสูงของดินแดนเวทมนตร์นั้นกำลังพูดคุยถึงสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง และยังเสนอรางวัลสำหรับผู้ที่ให้ข้อมูลแม้จะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย หรือจับกุมเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์อีกด้วย
ลงมือในตอนนี้ซะ และมั่นใจได้เลยว่าโอกาสที่จะได้รางวัลนั้นสูงขึ้น รวมถึงโอกาสที่จะได้สร้างเส้นสายกับคนในระดับสูงด้วย
ขอให้โชคดีแล้วกัน อีกอย่างห้ามเอาเนื้อหาของอีเมลนี้ไปให้ใครเห็น หากไม่เชื่อฟังล่ะก็ เธอและคนที่เธอบอกจะถูกเวทมนตร์ลบความทรงจำทิ้ง
จากเพื่อน
การเปิดโปงเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นนักโทษนั้นถูกปล่อยตัวออกมาชั่วคราวเพื่อทำงานสกปรกเป็นเรื่องที่จริงจังและมีผลกระทบตามมามาก ทำให้ทางสถานจองจำเมจิคัลเกิร์ลนั้นทำการตรวจสอบตัวเองใหม่อีกครั้ง และผลก็คือ ฟิรูรุที่ไม่เคยทำงานสกปรกมาก่อนเลยต้องตกงาน
เธอได้ยินว่าตัวระบบนั้นเปลี่ยนแปลงไป พวกนั้นไม่ได้จะผนึกเพื่อขังอาชญากรไว้อีกแล้ว แต่มันกลายเป็นระบบที่มีความเป็นมนุษยธรรมตามตัวอักษร กลายเป็นที่ๆเหล่านักโทษจะได้เรียนรู้และสะท้อนตัวตน แถมยังบอกอีกว่าเพิ่มระบบการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยร่วมกันกับผู้คุม ใช้เทคนิคใหม่สำหรับบาเรียเวทมนตร์เพื่อสร้างสถานจองจำในเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ใหม่ๆ
แม้จะมีการพูดถึงการสร้างสถานที่แห่งใหม่ มันก็ใช่ว่าคุกที่มีอยู่นั้นจะหายไปในทันที การขนย้ายนักโทษไปยังที่อื่นมันต้องใช้เวลา ฟิรูรุคิดเช่นนั้น แต่ในคราวนี้ดินแดนเวทมนตร์ได้ลงมืออย่างรวดเร็ว แถมยังใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์นั้นถูกเปิดโปงอีกด้วย พวกนั้นเริ่มขนย้ายนักโทษภายใต้ความระมัดระวังของผู้ปฎิบัติการที่มีทักษะหลายคนจนคุกแห่งเก่านั้นปิดลง มันไม่ได้มีพิธีปิดอะไรเลยนอกจากแค่พูดอย่างง่ายๆว่า “อื้อ จบแล้ว” นั่นคือจุดที่ฟิรูรุตระหนักได้ในท้ายที่สุดว่า เธอไม่ได้ถูกบอกเรื่องสถานที่ กำหนดการณ์ หรืออะไรเกี่ยวกับสถานจองจำแห่งใหม่เลย
ในตอนนั้นเธอติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อย่างตื่นตระหนก และได้รับคำตอบกลับมาว่า “ตอนนี้กำลังเตรียมพร้อมอยู่” เตรียมพร้อมอะไรล่ะเนี่ย? เธอพยายามถามเรื่องรายละเอียด แต่คำตอบที่ได้มากลับเต็มไปด้วยความคลุมเครือเช่น “พวกเราจะจัดการให้เหมาะสม” ไม่ก็ “พวกเราจะพยายาม” แบบนั้น แถมการจ่ายเงินเดือนที่ควรจะเป็นสิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนที่เตรียมการก็ไม่มีอีก ที่สำคัญฟิรูรุถูกบอกว่า “พวกเราจะไม่ห้ามเธอเรื่องการหางานใหม่หรอกนะ” มันเป็นการบ่งบอกว่าตัวฟิรูรุนั้นไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในระบบใหม่
ฟิรูรุพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เธอไม่ใช่คนประเภทที่เข้าสังคมด้วย แต่เมื่อต้องพยายามหางานใหม่ ในการที่จะสร้างเส้นสายของเมจิคัลเกิร์ลขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็เริ่มเข้าไปในที่ที่คนอื่นรวมตัวกัน
ปาร์ตี้น้ำชา งานเกม คาราโอเกะ แคมป์ปิ้ง ฟิรูรุเจอทั้งเพื่อนร่วมงานและเมจิคัลเกิร์ลรุ่นพี่ที่ดูเหมือนว่าจะมีเส้นสายกับดินแดนเวทมนตร์ หรือรุ่นน้องที่ชอบพูดพล่าม แต่ถ้าหากคนอื่นรู้ในสิ่งที่เธอคิด ว่าการที่เธอมาคลุกคลีกับคนอื่นเพื่อหาโอกาสในการหางาน มันคงน่ารังเกียจน่าดู
ไม่มีผลลัพธ์อะไรออกมาเลย ไม่มีใครเลยที่ยื่นมือเข้ามาหาอดีตลูกจ้างของสถานจองจำอย่างเธอ เธอเข้าใจว่าการหางานใหม่ในเวลาน้อยกว่าครึ่งเดือนนั้นมันคงก็การขอที่มากเกินไป แต่เมื่อมองดูสิ่งที่เหลืออยู่ในบัญชีธนาคารแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เธอจำเป็นต้องมีบางสิ่งที่มีความสำคัญแม้จะต้องมาเสนอหน้าในงานและสร้างเส้นสายก็ตาม
เธอเข้าร่วมงานปาร์ตี้ในวันนี้ด้วยเช่นกัน และเมื่อกลับถึงบ้าน เวลามันก็ล่วงเลยไปเกินสามทุ่มแล้ว
เธอดูดีวีดีอย่างเคย และเมื่อดูเสร็จแล้วเธอก็เปิดเมจิคัลโฟนขึ้นมาเพื่อเข้าอินเตอร์เน็ต และในตอนนั้นเองเธอก็รู้ว่าได้รับอีเมล มันไม่ใช่การเชื้อเชิญไปงานเลี้ยง และไม่ได้มาจากอดีตหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่อีเมลจากเพื่อนที่เจอกันเมื่อเร็วๆนี้ และไม่ใช่อีเมลจากดินแดนเวทมนตร์เช่นกัน มันส่งเข้ามายังที่อยู่ของเมจิคัลเกิร์ลของเธอ ดังนั้นเธอจึงคิดว่ามันมาจากใครบางคนที่อยู่ในสายงาน อาจจะมีงานให้เธอทำก็ได้ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหวัง เธอเปิดอีเมลขึ้นมาและพบว่ามันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
ฟิรูรุอ่านมันต่อไป จากนั้นก็รอบที่สองอย่างรอบคอบแล้วก็ครั้งที่สาม พร้อมกับมือของเธอที่กุมอยู่ตรงหน้าอกในตอนที่อ่านอีเมล
☆ สไตล์เลอร์ มิมิ
มาโอแพม คือเมจิคัลเกิร์ลที่รู้จักกันดีว่ามีทักษะต่อสู้และมีทักษะทางการทหารอย่างทรงพลัง เธอนั้นดึงดูดเมจิคัลเกิร์ลที่มีความคิดคล้ายๆกันเข้ามา องค์กรของพวกเธอนั้นเรียกว่าโรงเรียนกวดวิชามาโอ ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง กลุ่มนั้นก็เป็นกลุ่มคนที่น่าหวาดหวั่นว่าจะฝึกฝนเพื่อค้นหาความแข็งแกร่ง
บางคนนั้นชื่นชอบนิยายเมจิคัลเกิร์ลที่เกี่ยวกับการต่อสู้ บางคนก็กระหายเลือดโดยธรรมชาติ บางคนอาจเข้าร่วมด้วยสำนึกแห่งความยุติธรรมหรือปรารถนาที่จะทำลายความชั่วร้าย บางคนอาจจะแค่ชอบความท้าทายมาตลอดช่วงชีวิต ด้วยเหตุผลมากมายทำให้เมจิคัลเกิร์ลเหล่านี้พบจุดประสงค์ในการต่อสู้และใฝ่หาความแข็งแกร่ง โรงเรียนกวดวิชามาโอนั้นมีผู้คลั่งไคล้การต่อสู้เข้ามาหาดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แม้มันจะไม่ใช่องค์กรอย่างเป็นทางการ แต่โรงเรียนกวดวิชามาโอนั้นก็มีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่ง
จนกระทั่งเรื่องของแครนเบอร์รี่ถูกเปิดโปงออกมา มาโอแพมก็สูญเสียตำแหน่งของตัวเองไป มันมีคำพูดที่พูดกันว่าหากได้รับการยอมรับจากมาโอล่ะก็จะจบการศึกษาได้ แถมยังเป็นการยืนยันอีกว่าจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ได้รับเงินเดือนอีกด้วย
หากถามว่าเมจิคัลเกิร์ลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกวดวิชามาโอนั้นใครคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดล่ะก็ คำตอบส่วนใหญ่จะตอบชื่อของมาโอแพมออกมา แม้เธอจะตายในหน้าที่ไปแล้วคำตอบนั้นก็ไม่เปลี่ยนไป บางคนก็ไม่มีความมั่นใจที่จะพูดชื่อของตัวเอง แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยและไม่ได้ส่งผลกระทบกับเปอร์เซ็นต์โดยรวม
แต่ถ้าถามว่า “ในโรงเรียนกวดวิชามาโอเกลียดขี้หน้าใครมากที่สุด?” 70 เปอร์เซ็นต์จะตอบชื่อของมาริกะ ฟุคุโรอิกลับมา อีก 20 เปอร์เซ็นต์นั้นจะตอบว่า “มาริกะ ฟุคุโรอิน่ะถูกไล่ออกจากโรงเรียนกวดวิชามาโอไปแล้วดังนั้นจึงไม่นับ” ในอีกแง่หนึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์ของคนในโรงเรียนจะพูดชื่อของมาริกะ ฟุคุโรอิออกมา
มันค่อนข้างประทับใจว่า ขนาดเฟรม ฟรามี่ที่เลียนแบบการกระทำของคนที่เป็นอาชญากรเต็มตัวอย่างนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ คนที่บังคับให้เด็กสาวที่ปรารถนาจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลเข้าไปสู่เกมแห่งความตายนั้น ยังถูกชื่อของมาริกะ ฟุคุโรอิยกขึ้นมาบดบังแทน แต่เธอเองก็เป็นคนที่ควรถูกปฎิบัติแบบนั้นอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่สไตล์เลอร์ มิมิคิด
เธอนั้นเป็นคนที่มีเรื่องราวมากมาย และล่าสุดก็เป็นเรื่องอะไรที่น่ากลัวเป็นพิเศษ อย่างการที่เมจิคัลเกิร์ลกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่ที่นั่นรู้สึกโล่งใจโดยการถอนตัวของเธอ และพูดว่า “เธอเป็นแบบนี้สินะ” ในขณะที่อีก 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือพูดว่าจะจับตาดูเธอ คิดจะทำการแก้แค้นไม่ก็ลงโทษเธอ
หนึ่งเดือนก่อนในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมในโตเกียว มีการรวมตัวกันของเด็กสาวผู้สง่างามในชุดหลากสีสรรอันโดดเด่น
จากการมองดู ชุดเหล่านี้อาจดูไม่เหมาะสมกับพิธีที่จริงจัง แต่สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันคือชุดที่สวมใส่อย่างเป็นทางการ พวกเธอแต่งตัวอย่างเหมาะสมในการรวมตัวกันเพื่อระลึกถึงมาโอแพม คนที่มีชีวิตอยู่และจากไปในฐานะเมจิคัลเกิร์ล
พิธีการส่วนใหญ่เสร็จแล้ว แขก VIP จึงออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของทางกรมการต่างประเทศที่เหลืออยู่นั้นเห็นได้ชัดว่ารู้สึกโศกเศร้า เมจิคัลเกิร์ลส่วนใหญ่นั้นก็แยกย้ายกันออกไป ที่เหลืออยู่มีแค่เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ภายใต้การแนะนำของมาโอแพมในโรงเรียนกวดวิชามาโอเพื่อคุยกันเรื่องความทรงจำต่างๆของผู้ล่วงลับ
บางคนก้มตัวลงพร้อมกับหน้าซีด บางคนกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง บางคนร้องไห้สะอึกสะอื้น และบางคนก็กินอย่างไม่เลือกหน้า นอกจากคนพวกนี้แล้วก็ยังมีคนที่ซุบซิบกันด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด
“นี่คือจุดจบของโรงเรียนกวดวิชามาโอแล้วสินะ?”
“เป็นอะไรที่น่าเศร้าจริงๆ”
“กรมการต่างประเทศสูญเสียอำนาจไปแล้วสิ”
“พวกนั้นทำตัวเองนี่ ว่ากันตรงๆแล้วพวกนั้นเป็นคนฆ่าเธอไม่ใช่เหรอ? ถ้าทางกรมการต่างประเทศไม่บังคับเธอให้ทำงานที่ทำให้เธอต้องควบคุมพลังตัวเองล่ะก็ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก”
“ฉันเองก็ไม่อยากพูดขนาดว่า พวกนั้นควรจะไปสู้กันในที่ๆห่างไกลผู้คนหรอก… แต่ถ้ามันอยู่นอกชั้นบรรยากาศของโลกล่ะก็ อย่างน้อยความสามารถในการต่อสู้ของเธอก็จะไม่ถูกจำกัดเอาไว้…”
“งี่เง่าชะมัด งี่เง่าที่สุดเลย มาโอควรจะปฎิเสธมันไปสิ”
“แบบนั้นคงดีที่สุดแล้วสำหรับกรมการต่างประเทศ แล้วก็ตัวมาโอแพมด้วย…”
“พอมาโอไม่อยู่แล้ว ทางกรมการต่างประเทศก็คงจบสิ้นเหมือนกัน”
“แบบนี้ฝ่ายที่จะขึ้นมาผงาดต่อไปก็คือหน่วยสืบสวนที่มีนักล่าเมจิคัลเกิร์ลหนุนหลังอยู่รึเปล่า?”
“แต่ทางหน่วยสืบสวนก็สูญเสียมือหนึ่งของทางหน่วยไปกับเรื่องนั้นเหมือนกันนี่ ฉันเองก็เคยสู้กับฮานะ เกโคคุโจแค่ครั้งเดียวก็จริง แต่ว่าเธอน่ะแข็งแกร่งของแท้เลย”
“พอคิดว่าเป็นหายนะที่รุนแรงถึงขนาดฆ่ามาโอได้ แบบนั้นมือหนึ่งของหน่วยอื่นคงไม่มีทางรอดชีวิตได้หรอก”
“ฉันได้ยินว่าพวกนั้นกำลังคุยกันว่าจะจัดตั้งหน่วยใหม่สำหรับจัดการกับพวกอาชญากรร้ายแรงด้วยนะ เพราะแม้จะเก่งในเรื่องของการตรวจสอบ การสังเกต การสืบสวน และการเปิดโปงก็จริง แต่ใช่ว่าจะมีความสามารถพอที่เข้าร่วมสงครามได้”
“แล้วฝ่ายทรัพยากรบุคคลล่ะ? ฉันได้ยินว่าหัวหน้าคนปัจจุบันนั้นมีความสามารถมากเลยนี่”
เสียงซุบซิบของเมจิคัลเกิร์ลพร้อมกับเสียงสายฝนที่โปรยปรายภายนอกหน้าต่างเข้ามาในหูของมิมิที่กำลังมองไปที่โต๊ะอย่างเหม่อลอย
แผ่นกระดานแบนๆที่ตั้งอยู่บนโต๊ะถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากสี ที่กระดานนั้นถูกเขียนความสำเร็จทางการทหารของมาโอแพมเอาไว้และจบลงด้วยคำว่า “เมจิคัลเกิร์ลผู้ยิ่งใหญ่หลับไหลอยู่ที่นี่” เธอนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยมมาก เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงพลังอย่างไร้ขอบเขต แต่กระนั้นเธอไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
บนรถเข็นที่อยู่ด้านข้างโต๊ะคือรูปปั้นครึ่งตัวของมาโอแพม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะเอามันไปติดตั้งไว้ที่ไหนซักที่พร้อมกับป้ายจารึกความสำเร็จทั้งหมดของเธอ แต่รูปปั้นครึ่งตัวของเมจิคัลเกิร์ลนั้นดูเหมือนโมเดลของเล่นไม่ก็ฟิกเกอร์ มันทำมาดูไม่เข้ากับเกียรติของเธอเลย
มิมิดื่มชาอู่หลงของเธอเพื่อสลัดความรู้สึกออกไป มิมิไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนกวดวิชามาโอแต่อย่างใด เวทมนตร์ของเธอนั้นคือการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของผู้คนให้กลายเป็นบางอย่างที่น่าหลงไหลมากยิ่งขึ้นซึ่งมันไม่เข้ากับการต่อสู้เลย แถมบุคลิกส่วนตัวของเธอก็ไม่เข้ากับมันด้วยเหมือนกัน เพราะแบบนั้นเธอจึงหลีกเลี่ยงการมีปัญหาและทะเลาะวิวาท
ตอนที่มาโอแพมยังคงมีชีวิตอยู่นั้น มิมิทำงานเป็นที่ปรึกษาเรื่องแฟชั่นและทรงผมให้กับทางโรงเรียน และหลังจากมาโอแพมตายไป มิมิก็ได้รับหน้าที่แต่งหน้าศพเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่ถูกทำลายอย่างโหดร้ายให้กลับมาดูงดงามอีกครั้ง
บางทีนี่อาจจะเป็นงานสุดท้ายของเธอในโรงเรียนกวดวิชามาโอก็ได้ ในตอนนี้เสาหลักอย่างมาโอแพมถูกทำลายไปแล้ว การหนุนหลังจากทางกรมการต่างประเทศเองก็สูญเสียพลังไปด้วย มันจึงไม่มีอะไรมาสนับสนุนทางโรงเรียนอีก แถมเธอเองก็ได้ยินข่าวลือมานานแล้วว่า ทางโรงเรียนนั้นยืมอำนาจของทางกรมการต่างประเทศเพื่อทำให้ความกังวลเรื่องความอันตรายของเรื่องเมจิคัลเกิร์ลที่ตั้งเป้าหมายในการต่อสู้มารวมตัวในที่เดียวกับเงียบลงไป แน่นอนว่าต้องมีบางคนคิดว่านี่จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะแสดงว่าเป็นการยกระดับสมดุลพลัง
มิมิเสียลูกค้ารายใหญ่ไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำให้เธอลำบากในการหาเลี้ยงชีพ มันยังมีเมจิคัลเกิร์ลอีกมากมายที่ต้องการเวทมนตร์ของสไตล์เลอร์ มิมิ
พูดตามหลักแล้ว เครื่องแต่งกายและทรงผมของเมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป บางคนเองก็ชอบอะไรแบบนี้เพราะมันสะดวก แต่บางคนก็อาจรู้สึกเบื่อไม่ก็หมดกำลังใจเพราะขาดความหลากหลาย
เมจิคัลเกิร์ลส่วนใหญ่นั้นเป็นเด็กสาว พวกเธออยู่ในช่วงอายุที่อยากแสดงความเป็นตัวเองผ่านทางการแต่งกายออกมา
แม้จะบอกกับพวกเด็กสาวว่าอยู่แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก แต่เด็กสาวนั้นก็จะตอบกลับมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่ถ้าเป็นเรื่องของทรงผมของเมจิคัลเกิร์ลมันก็ยากที่จะใช้เทคโนโลยีของมนุษย์ และถ้าพยายามจะใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับเพิ่มเข้าไปล่ะก็ พวกมันก็จะทนการเคลื่อนไหวของเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้และสุดท้ายก็จะฉีกขาดไปภายในช่วงอึดใจเดียว
และนั่นคือสิ่งที่สไตล์เลอร์ มิมิจะเข้ามาทำ
ด้วยเวทมนตร์ของมิมิแล้ว เธอจะสามารถปรับเปลี่ยนชุดของเมจิคัลเกิร์ลได้ตามต้องการ และยังสามารถเปลี่ยนโครงหน้าได้ด้วยการใช้เมคอัพ เมจิคัลเกิร์ลนั้นมารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศเพื่อแสวงหาความสามารถของมิมิ บริจาคเงินให้เธอ การเรียกรับเงินอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้นพวกเธอจึงทำในนามเงินบริจาคและกลับออกไปพร้อมกับความพึงพอใจ
แม้โรงเรียนกวดวิชามาโอจะหายไปแล้ว ชีวิตของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แม้หลังจากจบพิธีระลึกความทรงจำนี้เธอจะมีนัดอยู่ แต่เธอก็ต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา
เมื่อความคิดเหล่านี้อยู่ในใจ มันก็มีบางคนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าเธอ มิมิจึงหันไปมองพร้อมกับขมวดคิ้ว มีเมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งนั้นยืนอยู่ด้านบนของเมจิคัลเกิร์ลที่กำลังร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้นอยู่ที่พื้น ทุกคนที่เคยซุบซิบ คนที่เคยร้องไห้ และทุกคนที่ก้มหน้าด้วยความเศร้า ล้วนแต่หันไปมองเมจิคัลเกิร์ลคนนั้น
เส้นผมของเธอนั้นไล่เฉดสีจากสีแดงไปเป็นสีเขียวเหมือนกับใบของต้นไม้ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดอกทานตะวันขนาดใหญ่ที่บานอยู่บนหัว และรอยยิ้มที่ดูท้าทายอย่างน่าประหลาด มันทำลายพิธีที่จริงจังและราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะเย้ยทุกคนอยู่ในตอนนี้
เด็กสาวดอกไม้ มาริกะ ฟุคุโรอิ หลังจากที่เธอถูกไล่ออกโรงเรียนกวดวิชามาโอแล้ว ชื่อเล่น “เด็กสาวดอกไม้” ก็ถูดยึดคืน ในตอนนี้เธอเป็นแค่มาริกะ ฟุคุโรอิเท่านั้น เธอคงต้องเป็นคนเตะเมจิคัลเกิร์ลที่กำลังร้องไห้อยู่แน่ แม้มิมิจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็เข้าใจได้ง่ายๆ
เมื่อเหล่านักเรียนของโรงเรียนกวดวิชามาโอเริ่มรู้ตัว มาริกะก็มองไปรอบๆอย่างช้าๆแล้วตะโกนออกมาว่า
“นี่คือวันเดียวที่พวกบ้าจะมารวมตัวกันใช่ไหม? ถ้ารวมหัวกันอยู่ที่นี่แล้วก็เข้ามาเลย!”
ทันทีที่เธอตะโกนออกมา เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ใกล้ๆก็กระโจนเข้าไปหา ทั้งสองคนล้มกลิ้งอยู่บนพื้น จากตำแหน่งที่มิมิอยู่นั้นมองไม่เห็นพวกเธอ แต่เธอก็ได้ยินเสียงของการทำลายดังขึ้นมา
มิมิวิ่งออกมาทันที ในขณะที่ด้านหลังนั้นเธอได้ยินเสียงสิ่งของแตกกระจาย เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกน เสียงคนที่พูดว่า “ใครมันเชิญยัยบ้านี่มาเนี่ย?” ไม่ก็ “จับเธอเอาไว้” หรือ “ไม่สิ ฆ่ายัยนี่เลย” และมาริกะ ฟุคุโรอิก็พูดว่า “เข้ามาเลย เจ้าพวกโง่!” ในตอนที่มิมิวิ่งออกมาจากห้องจัดเลี้ยงด้วยความเร็วสูงสุด
มิมิเองก็ไม่ได้พยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเช่นกัน เมื่อเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้แล้วการไม่เข้าไปยุ่งด้วยมันจึงดีกว่า ตามข่าวลือนั้นบอกว่า อดีตสมาชิกส่วนใหญ่ของโรงเรียนกวดวิชามาโอถูกห้ามไม่ให้เข้าโรงแรม แต่มิมิตัดสินใจว่าเธอจะไม่เคยได้ยินเรื่องนั้น
สไตล์เลอร์ มิมิรักความสงบสุขเหนือกว่าสิ่งอื่นใด การผจญภัยกับเรื่องอันตรายนั้นเป็นอย่างเดียวกัน ส่วนเรื่องคนอันตรายนั้นไม่ต้องถามถึงเลย การมีเส้นสายเป็นส่วนหนึ่งของมืออาชีพก็จริง แต่มาริกะ ฟุคุโรอินั้นเป็นคนที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งด้วย แม้จะเป็นเรื่องงานก็ตาม
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมจิคัลเกิร์ลที่ใช้ความรุนแรงที่มาเคาะประตูห้องทำงานแล้วก็ใช้เท้าเตะเพื่อเปิดประตูของเธอนั้น คือคนที่มีดอกลิลลี่สีขาวดูสวยงามเบ่งบานอยู่บนหัว
“ชั้นได้อีเมลน่าสนใจมาล่ะ คนจากโรงเรียนกวดวิชามาโอนี่ไม่ไหวเลย หากพาไปด้วยคงเบื่อแย่ แต่มิมิชอบอะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นไปกันเถอะ”
“ไม่ไป”
“เธอพร้อมไหม?”
“ก็บอกว่าไม่ไง ฉันมีงานต้องทำนะ ไม่ว่างไปหรอก”
“ชั้นเองก็บอกเธอไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เห็นได้ชัดเลยล่ะว่ามีคนที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่น”
“ฉันบอกแล้วนะว่าฉันไม่—”
มาริกะคว้าคอเสื้อของเธอแล้วกระชากออกไปอย่างแรง และคำพูดของเธอที่จะพูดออกมาหลังจากนั้นก็ถูกเสียงกรีดร้องกลบไป
☆ เลดี้พราว
กรมการต่างประเทศตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ การสูญเสียมาโอแพมไปเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนเลยจะไปแทนที่เธอได้
สงครามมันเป็นวิธีหนึ่งในทางการฑูต ฝ่ายที่มีกำลังทหารคือที่สามารถควบคุมการฑูตได้ ไม่ว่าจะพยายามดำเนินการอย่างฉลาดหลักแหลมแค่ไหน หากผู้ที่แข็งแกร่งทำการตัดสินใจขึ้นมา เรื่องมันก็จะกลายไปในทางที่ต้องการ และคนที่อ่อนแอก็ไม่สามารถต่อต้านได้เลย
การสูญเสียมาโอแพมที่เป็นกำลังทางทหารอันน่าเหลือเชื่อไปแบบนี้ มันหมายความว่าทางกรมการต่างประเทศไม่สามารถใช้วิธีการเดิมได้อีกแล้ว ไม่ใช่แค่จะอ่อนแอลงอย่างเดียวเท่านั้น ในตอนนี้เองก็ไม่สามารถทำงานที่สำคัญของตัวเองได้อีกด้วย เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของกรมการต่างประเทศ ซึ่งสามารถพูดได้เลยว่าเป็นวิกฤติที่สามารถชี้ป็นชี้ตายได้เลยทีเดียว
อิทธิพลของมาโอแพมภายในกรมการต่างประเทศนั้นเปรียบได้ดั่งพระเจ้า มีคนที่เคารพรักเธอจนนำไปสู่ระดับของการบูชา มีการพูดกันว่ามันยากที่จะประสบความสำเร็จหากไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ และผู้ที่จบการศึกษานั้นยังทำการก่อตั้งกลุ่มที่ปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้องอีกด้วย แม้จะเรื่องของแครนเบอร์รี่จะถูกเปิดโปง แม้มาโอแพมจะสูญเสียตำแหน่งของตัวเองไป กลุ่มนั้นก็ไม่ได้สูญเสียกำลังไปเลย
ความตายของมาโอแพมทำให้กรมการต่างประเทศนั้นสั่นสะเทือน แต่ในเวลาเดียวกันกับที่เกิดวิกฤตก็มีโอกาสเข้ามา ในตอนนี้ฝ่ายที่ไม่เห็นพ้องต้องกันอาจใช้พลังเพื่อขึ้นมาเป็นกระแสหลักได้
เลดี้พราว ที่เป็นสมาชิกของกรมการต่างประเทศเองก็เป็นคนที่ทะเยอทะยาน เธอนั้นถูกต้อนรับอย่างเย็นชาเพราะไม่ได้มาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ และประสบการณ์นั้นก็ซึมซับอยู่ในตัวเธอ แต่อย่างไรในตอนนี้ขวาก
หนามอันยิ่งใหญ่อย่างมาโอแพมก็หายไปแล้ว เธอจึงสามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้
ตอนที่เธอเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุในฐานะร้อยโทภายใต้การนำของมาโอแพม ในตอนที่กำลังเดินทางกลับเพราะเสร็จภารกิจแล้วนั้น ก็เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “คราวนี้มีผู้นำที่ดีใช่ไหมล่ะ?” เธอไม่ได้พูดออกมาเพราะต้องการจะให้ใครได้ยิน บางทีเธออาจเผลอพูดความคิดจริงๆออกมาก็ได้
เมื่อตาของเด็กสาวนั้นมาสบเข้ากับเลดี้พราว เธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนพร้อมกับเอามือปิดปาก เธอนั้นทำให้เลดี้พราวรู้สึกไม่ดี ใช่แล้ว ในคราวนี้เลดี้พราวนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบ เธอคิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้วแต่มันไม่ใช่เลย อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับเมจิคัลเกิร์ลคนนี้
ลึกๆในใจของเลดี้พราวนั้นเต็มไปด้วยความอัปยศ เธอรู้จักตัวเองดีกว่าใคร ไม่ว่าเลดี้พราวนั้นจะทำงานได้ดีขนาดไหน เธอก็ไม่มีวันเทียบกับมาโอแพมได้เลย การมีตัวตนอยู่ของมาโอแพมแค่คนเดียวนั้นเปลี่ยนบรรยากาศของสถานการณ์ไปจนหมด มันมีผลทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายเดียวกันเองด้วย
เมื่อเลดี้พราวเป็นหัวหน้า ลูกน้องของเลดี้พราวก็ทำงานเหมือนกับพวกอันธพาลที่ชอบขู่กรรโชกคนอื่น
เมื่อมาโอแพมทำงานในฐานะหัวหน้า ลูกน้องของเธอนั้นก็ทำงานราวกับเป็นทหารชั้นยอดอันแสนทรงพลัง การฝึกฝนแบบพิเศษนั้นทำให้เธออยู่ในระดับเหนือมนุษย์ทั้งกายและใจ
มาโอแพมนั้นแข็งแกร่ง เธอเพียงแค่แข็งแกร่งเท่านั้น และในกรมการต่างประเทศที่ที่ความแข็งแกร่งคือทุกอย่าง เธอจึงเปรียบเสมือนกับพระเจ้า แต่ในตอนนี้เธอถูกฆ่าตายไปแล้ว คนตายไม่สามารถเอาชนะคนที่มีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ในตอนนี้เธอก็ตายไปแล้ว มันจึงไม่มีใครกลัวเธออีกต่อไป และการที่ปราศจากความกลัวนั้น มันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนคนอื่นให้ทำเรื่องต่างๆได้
เลดี้พราวนั้นรังเกียจตัวเองในตอนที่รู้สึกดีใจเมื่อใครบางคนตาย แต่อย่างไรเธอก็อยากคิดว่าเรื่องนี้มันคือโอกาส หากเธอไม่ทำอะไรตอนนี้ ในชีวิตนี้เธอก็จะไม่มีวันได้เฉิดฉายอีกต่อไปแล้ว และในตอนนั้นกรมการต่างประเทศก็คงจะเสื่อมถอยไปเช่นกัน
เธอส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ ในตอนที่มองดูหน้าจอด้วยกันกับอัมเบรน อีเมลนี้บอกว่ามีบางคนพยายามสร้างเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ ไม่ทราบคนส่งอีเมลมาด้วย มีบอกไว้เพียงแค่ “ฉันคือคนที่อยากเห็นกรมการต่างประเทศเป็นอะไรได้มากกว่านี้” เท่านั้น
คนที่มีประสบการณ์จะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการแกล้งกัน เลดี้พราวเองก็ด้วย เธอพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็ย้ายอีเมลลงไปในโฟลเดอร์ถังขยะ แต่เมื่อคิดอยู่สิบห้านาที เธอก็เปิดโฟลเดอร์ถังขยะขึ้นมาและย้ายอีเมลกลับไปที่เดิม เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอปล่อยมันไปแบบนี้ไม่ได้ หลังจากที่พินิจพิเคราะห์แล้ว เธอก็คิดว่าหากมันเป็นการแกล้งเธอก็จะไม่คิดมากอะไร ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาพักร้อนเพื่อไปยังเมือง S
ตามที่อีเมลบอกเอาไว้ว่ามันมีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างเมจิคัลเกิร์ลขึ้นมาโดยไม่ต้องหวังพึ่งความช่วย
เหลือจากทางดินแดนเวทมนตร์อยู่ การเปิดเผยข้อมูลนี้มันจะทำให้เธอได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรมการต่างประเทศ มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ
แต่ถ้าเธอสามารถเอาเทคโนโลยีนั้นไว้กับตัวเองได้มันคืออีกเรื่อง เมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์มันมีประโยชน์แค่ไหนกันนะ? พวกเธอแข็งแกร่งมากพอที่จะสู้กับกับเมจิคัลเกิร์ลปกติได้รึเปล่า? พวกเธอมีเวทมนตร์พิเศษไหม? วิธีแบบนี้มีประสิทธิภาพมากขนาดไหนกันนะ? จะมีปัญหาด้านจริยธรรมรึเปล่า?
หากเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์มีประสิทธิภาพมากพอ และหากได้ครอบครองเทคโนโลยีที่สามารถสร้างพวกเธอขึ้นมาล่ะก็ จะสามารถทำให้กรมการต่างประเทศกลับมาผงาดได้อีกครั้ง และคนที่จะสั่งการพวกเธอก็คือเลดี้พราว
เธอสูดดมกลิ่นอย่างเงียบๆ เพื่อค้นหากลิ่นของเลือดจากอนุภาคที่ลอยอยู่ในอากาศ เลือดนั้นมีกลิ่นแรง มีน้ำหนัก มีกลิ่นของเนื้อและเกลือผสมอยู่เล็กน้อย จมูกของเธอนั้นดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง และภายในห้านาทีเธอก็จับกลิ่นได้
เลดี้พราวนั้นสวมเสื้อคลุมยาวที่มีรูปร่างปีกค้างคาว และมีเครื่องประดับรูปร่างเหมือนกระเทียมที่ติดอยู่บนเส้นผม เขี้ยวของเธอนั้นยาวกว่าปกติและยังแหลมคม ดวงตาเองก็เปล่งประกายในความมืด เธอมีรูปหน้าที่ดูสูงส่งเหมือนกับขุนนางของยุโรป พูดง่ายๆก็คือเธอได้แรงบันดาลใจมาจากแวมไพร์นั่นเอง
หากเป็นเรื่องทั่วไปสัมผัสในการดมกลิ่นของเธอนั้นไม่ดีนัก แต่ถ้าเป็นเลือดมันก็คืออีกเรื่อง เธอนั้นไวต่อกลิ่นเลือดจนสามารถเทียบชั้นได้กับใครหรืออะไรก็ได้ที่ไวต่อเรื่องกลิ่น อย่างเช่นสุนัข หมู คนขายน้ำหอม และอื่นๆ
เมื่อเข้ามาในเมือง S แล้ว เลดี้พราวก็ทำการค้นหากลิ่นเลือดทันที หากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น กลิ่นนั้นก็ปนอยู่ภายในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเลือดของมนุษย์หรือเลือดของเมจิคัลเกิร์ลก็ตาม
ตามที่อีเมลบอกเอาไว้ มันควรจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้ว การวิ่งไปทั่วเมืองคงจะรู้เรื่องราวอะไรได้น้อยอย่างแย่ที่สุดเธอคงต้องเข้าไปหาเมจิคัลเกิร์ลที่รับผิดชอบในพื้นที่นี้ และถ้าเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น เลดี้พราวก็คิดข้อแก้ตัวที่จะใช้ไม่ออก เพราะข้อแก้ตัวมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นกับกรมการต่างประเทศ
หลังจากที่เข้ามาภายในเมืองและเดินไปเดินมารอบๆเล็กน้อย เธอก็ได้กลิ่นเลือดที่ผิดปกติ มันไม่ใช่กลิ่นเลือดของมนุษย์ ไม่ใช่ทั้งเลือดของแมวและสุนัข มันเหมือนกับเลือดของเมจิคัลเกิร์ลแต่เหม็นเหมือนกับสัตว์ร้าย
กลิ่นที่ผสมเข้ากับกลิ่นของสัตว์ที่คล้ายกับหมี ลิง ไม่ก็หมูป่าคือกลิ่นของเวทมนตร์ มันเป็นกลิ่นเลือดที่เหมือนเมจิคัลเกิร์ลแต่ในเวลาเดียวกันก็เหมือนกับสัตว์ร้าย
—เมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์งั้นเหรอ?
เธอตามกลิ่นนั้นไปจากทางด้านบนของร้านเช่าวีดีโอไปยังเสาโทรศัพท์ แล้วก็ไปตามสายไฟฟ้า เส้นทางนี้มันสมเหตุสมผลดีที่จะเป็นเส้นทางของเมจิคัลเกิร์ลที่จะใช้เดินทาง แต่ถ้ากลิ่นที่ไม่คุ้นเคยนี้คือกลิ่นของเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ แบบนั้นก็หมายความว่าได้รับบาดเจ็บงั้นเหรอ?
กลิ่นนั้นรุนแรงแต่ก็ไม่ได้สดใหม่ กลิ่นนั้นอาจอยู่มาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์แต่มากกว่าสองวันตั้งแต่ที่คนๆนั้นมาที่นี่
เลดี้พราวตามกลิ่นที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเก่อนที่จะมาถึงใจกลางป่า เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเขต แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่จริงๆแล้วมันก็ดูแออัด ที่ภูเขานั้นก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ มีเพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น
เธอสามารถเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ มีต้นไม้ล้มอยู่และพื้นดินเองก็เต็มไปด้วยร่องรอยของการทำลายราวกับว่าถูกระเบิด มีเพียงเมจิคัลเกิร์ลเท่านั้นที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้
เลดี้พราวตามร่องรอยของกลิ่นมาจนถึงจุดที่กลิ่นแรงที่สุดแต่ก็เหมือนจะเป็นความผิดพลาด ให้พูดก็คือตรงจุดนี้มันคือแหล่งกำเนิดนั่นเอง เหมือนว่ามันจะเกิดการต่อสู้กันในป่าและมีบางสิ่งไหลออกมาตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด หรือคนที่กลับเข้าไปในเมืองพร้อมกับอาการบาดเจ็บ มันก็คือร่องรอยที่เลดี้พราวสัมผัสได้
นี่มันผิดทางชัดๆ เธอไม่ควรจะมาที่ตรงนี้เลย แล้วเด็กสาวนั้นไปที่ไหนจากตรงจุดนี้กันนะ? ที่อยู่ของเธออาจจะเป็นสิ่งที่เลดี้พราวตามหาอยู่ก็ได้ นี่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ที่ตามหา หรือจะเป็นใครซักคนที่จัดการเธอแล้วก็พาไปก็นะ?
ในตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น เลดี้พราวก็เพิ่งสังเกตว่าที่แขนเสื้อของเธอกำลังถูกดึงอยู่
อ๊ะ ตอนนี้คงถึงเวลาที่เธอจะรู้สึกเบื่อแล้วสินะ เลดี้พราวหันหน้าไปหา และเห็นว่าอัมเบรนกำลังทำหน้ามุ่ยพร้อมกับแก้มป่องอยู่
“เค้าเบื่อแล้วอ่ะ”
“ดิฉันก็คิดแบบนั้นนะ”
อัมเบรนคือคนโปรดของเลดี้พราว เธอนั้นเชื่อใจอัมเบรนมากพอที่จะพาออกมาทำงานที่ไม่ใช่งานแบบเป็นทางการแบบนี้ได้ แต่อัมเบรนนั้นก็เบื่ออะไรๆได้ง่ายมาก
“ที่เค้าทำก็มีแค่เดินตามพราวที่เดินดมกลิ่นไปรอบๆเอง มันน่าเบื่ออ่ะ”
“ดิฉันจะดีใจมากเลยถ้าเธออดทนได้มากกว่านี้ซักนิดนะ”
ผู้คนนั้นพูดกันว่าไม่มีคนขี้ขลาดอยู่ในกรมการต่างประเทศหรอก
อัมเบรนนั้นสวมเสื้อกันฝนสีเหลือง เธอมีร่มขนาดใหญ่ที่มีลายท้องฟ้าวาดไว้อยู่ด้านใน มีลูกอมห้อยอยู่ด้านนอกชุดของเธอเสมอ รูปร่างและการพูดจานั้นฟังดูเป็นเด็กเช่นกัน แม้จะอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยคาวเลือด เลดี้พราวก็สามารถเชื่อใจอัมเบรนให้ระวังหลังให้เธอได้
เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์และคนที่เล็งพวกนั้นเป็นเป้า ดังนั้นเลดี้พราวจะไม่อนุญาตให้อัมเบรนอยู่ห่างจากเธอด้วยเหตุผลแบบเด็กๆอย่างการเบื่อได้
เลดี้พราวลูบแก้มของอัมเบรนด้วยหลังมือ แก้มนั้นมันนุ่มราวกับว่ามันจะดูดกลืนเธอเข้าไป มันนิ่มนวลและให้สัมผัสที่ดีมากๆ มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่มีผิวหนังสกปรกก็จริง แต่เมื่อเทียบกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นแล้ว แก้มของอัมเบรนก็ให้สัมผัสที่นิ่มเป็นพิเศษ
จริงๆแล้วเลดี้พราวชอบที่จะใช้ฝ่ามือสัมผัสแก้มของอัมเบรน แต่เมื่อเธอได้ยินข่าวลือแปลกๆว่าเมจิคัลเกิร์ลที่แตะเนื้อต้องตัวกันมากเกินไปจะถูกฟ้องร้องในข้อหาล่วงละเมิดเอาได้ เธอจึงยั้งใจตัวเองเอาไว้ด้วยการใช้หลังมือสัมผัส แต่กระนั้นการใช้หลังมือก็ยังได้สัมผัสที่คาดไม่ถึงอยู่ดี
เลดี้พราวถอนหายใจออกมา ตอนนี้จิตใจของเธอถูกเติมเต็มแล้ว
“ดิฉันบอกเธอก่อนแล้วใช่ไหม? ว่าดิฉันจะกลายเป็นหัวหน้าของกรมการต่างประเทศ และเธอก็จะกลายเป็นอันดับสองของดิฉัน”
“อับดับสอง?”
“หมายถึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับสองน่ะ”
แก้มป่องๆของอัมเบรนแฟบลง เลดี้พราวเสียใจที่ไม่ได้เห็นแก้มนั้นอีกแล้ว แต่มันก็จะมีปัญหาหากอัมเบรนอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอด เพราะในตอนนี้เธอมีงานที่ต้องทำอยู่
“ดังนั้นดิฉันอยากให้เธออดทนต่ออีกซักหน่อย เข้าใจใช่ไหม?”
“อื้อ! เค้าจะอดทนเพื่อให้ได้เป็นอันดับสองล่ะ!”
“ไม่ต้องกังวลนะ อีกแค่ไม่นานหรอก รีบๆไล่ตามไปก่อนที่กลิ่นจะหายดีกว่า”
เมื่อเลดี้พราวสอดมือเข้าไปในฮู๊ดเสื้อกันฝนของอัมเบรนแล้วก็ลูบหัวของเธอ มันก็ทำให้เลดี้พราวมีพลังมากขึ้นไปอีก สายตาของอัมเบรนเองก็เต็มไปด้วยความสุขในตอนที่เลดี้พราวกระซิบกับเธอ
“มาพยายามไปด้วยกันเถอะ”
☆ สไตล์เลอร์ มิมิ
เด็กสาวนั้นปรารถนาให้ตัวเองทันสมัยอยู่เสมอแม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็ตามที ซึ่งนั่นเป็นแหล่งรายได้หลักของสไตล์เลอร์ มิมิ เหล่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะมอบเงินให้กับเธอ (ภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นการบริจาคหรือของขวัญ) และมันก็ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย
แต่ก็มีบางคนที่ขอสไตล์เลอร์ มิมิด้วยเหตุผลในเรื่องอื่นเช่นกัน มาโอแพมนั้นมักจะพูดเสมอว่าเมื่อเมจิคัลเกิร์ลมุ่งหน้าเข้าไปในพื้นที่ของศัตรู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องแปลงร่างไว้ตลอด เพราะเมจิคัลเกิร์ลนั้นตอบสนองได้เร็วกว่ามนุษย์ ถ้าหากจะแปลงร่างเฉพาะตอนที่จะโดนโจมตีจากเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นล่ะก็มันสายไปแล้ว ได้ถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน มันไม่เหมือนกับในนิยาย มันมีศัตรูที่น้อยมากๆที่จะรอจนกว่าแปลงร่างเสร็จแล้วค่อยโจมตี
แต่เมจิคัลเกิร์ลบางคนก็ปกปิดตัวตนตอนอยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์ไม่ได้ อย่างเช่นคนที่มีปีกขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง หรือคนที่ปล่อยแสงออร่าออกมาทั้งตัว หรือคนที่มีร่างกายโปร่งใสเพราะเป็นวิญญาณ มันมีเมจิคัลเกิร์ลจำนวนหนึ่งที่ลำบากในการแสร้งเป็นมนุษย์ด้วยการสวมเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว แม้จะไม่ใช่คนที่สุดโต่งก็อาจมีสีผมที่โดดเด่นซึ่งมันไม่สามารถย้อมสีอะไรได้ การแต่งหน้าเองก็ไม่ได้ผล เมจิคัลเกิร์ลเหล่านี้จำเป็นต้องมีสไตล์เลอร์ มิมิ
ด้วยเวทมนตร์ของสไตล์เลอร์ มิมิ เธอสามารถซ่อนปีกขนาดใหญ่ ใส่สีให้กับเมจิคัลเกิร์ลที่มีร่างกายโปร่งใส ลดแสงของออร่า และย้อมสีผมให้เป็นสีธรรมชาติได้
มาริกะ ฟุคุโรอิเองก็เป็นคนจำพวกนั้น หากเป็นดอกไม้เล็กๆบนหัวเธอก็สามารถซ่อนมันได้ด้วยการสวมหมวก แต่เมื่อมองดูเส้นผมของเธอใกล้ๆก็จะพบว่ามันเหมือนกับต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม เส้นผมของเธอมีแม้กระทั่งใบไม้ที่เติบโตอยู่ด้วย แม้ว่าสำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วเส้นผมของเธอมันจะค่อนข้างสั้น แต่วิธีที่จะปิดบังเส้นผมทั้งหมดก็มีอยู่จำกัด แถมการปิดบังมันก็ทำให้เธอโดดเด่นกว่าเดิมซะอีก
“ชั้นต้องการเธอจริงๆนะ มิมิ”
“ไม่หรอก เธอไม่ต้องการ”
“ต้องการสิ!”
“สิ่งที่เธอต้องทำน่ะคือการจองคิวกับฉันล่วงหน้านะ แบบนั้นฉันก็จะปลอมแปลงตัวเธอได้อย่างเต็มที่ นั่นคือขอบเขตหน้าที่ของฉันใช่ไหม? ช่างเสริมสวยมันต้องเป็นอะไรแบบนั้นสิ แล้วทหารที่พาช่างเสริมสวยมาด้วยตอนที่แทรกซึมเข้าไปในเขตของศัตรูนี่มันอะไรกันน่ะ? ถ้าเธออยากพาคนอื่นมาด้วยล่ะก็ ช่วยไปหาคนที่แข็งแกร่งกว่านี้เถอะ”
มิมิจ้องไปที่มาริกะด้วยความไม่พอใจอย่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่มาริกะกลับหัวเราะออกมา มันไม่ได้ผลเลย
มาริกะดื่มน้ำอึกใหญ่จากขวดพลาสติกที่อยู่ตรงที่ยึดเครื่องดื่ม ในตอนนั้นรถไฟหัวกระสุนก็เกิดส่าย จนทำให้น้ำหยดลงมาจากมุมปากของเธอ
“ชั้นเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชั้นติดต่อไปหาโมนาโกะไม่ก็อามี่ไม่ได้เลย…”
“ทำไมล่ะ? เธอเองก็อยู่กับสองคนนั่นตลอดนี่”
“ชั้นเองก็ไม่รู้ บางทีพวกเธออาจจะยุ่งอยู่ก็ได้”
บางคนนั้นรู้สึกสนุกสนานด้วยการใช้ความรุนแรงหรือปลดปล่อยความบ้าคลั่ง แต่ถ้าถามมิมิล่ะก็ พวกที่สนุกสนานด้วยเรื่องเหล่านั้นมันก็เป็นแค่เด็กที่ไม่มีพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นคนประเภทที่อ่านอะไรเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องอยู่ตัวคนเดียวในห้องสมุดของโรงเรียนสมัยมัธยมต้น
เมจิคัลเกิร์ลสองคนที่ชื่อโมนาโกะแล้วก็อามี่นั้นมักไปไหนมาไหนกับมาริกะอยู่บ่อยครั้ง และพวกเธอก็เต็มใจด้วย ซึ่งมันต่างจากมิมิ ในตอนที่เรื่องของแครนเบอร์รี่ถูกเปิดโปง ผู้คนจำนวนมากนั้นรู้สึกช็อคและพูดว่า “แครนเบอร์รี่ทำเรื่องแบบนั้นเหรอเนี่ย? ทำแบบนั้นจริงๆใช่ไหม!? ไม่ใช่มาริกะ ฟุคุโรอิหรอกเหรอ?” การที่จะไปไหนมาไหนกับคนที่ถูกพูดแบบนั้น คนๆนั้นก็ต้องเป็นคนที่บ้าพอกันกับเธอด้วย
“บางทีพวกนั้นอาจไม่อยากยุ่งกับเธอแล้วมั้ง อาจจะตาสว่างแล้วก็ได้”
“โมนาโกะกับอามี่ไม่ใช่คนแบบนั้นซักหน่อย”
มาริกะหัวเราะอีกครั้ง แถมเสียงนั้นก็ดังกว่าเดิม
มันเป็นช่วงกลางวันในวันธรรมดา และทั้งสองคนก็อยู่ในขบวนกรีนคาร์* เพราะแบบนั้นจึงมีคนไม่มาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ มิมิก็เห็นมนุษย์เงินเดือนชายวัยกลางคนมองดูพวกเธออย่างสงสัย และเมื่อสบตากัน มิมิก็ยิ้มให้พร้อมกับก้มหัว เมจิคัลเกิร์ลนั้นควรจะแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ด้วยรอยยิ้มและการนอบน้อม ชายคนนั้นที่ดูท่าทางเหนื่อยล้าก็ยิ้มตอบกลับมา มิมิภาวนาให้ชายคนนั้นคิดว่าพวกเธอคือพี่น้องที่ต้องเดินทางไปบ้านญาติเพื่องานรวมญาติหรืออะไรแบบนั้น
*หมายถึงชินคันเซ็น กรีนคาร์ ที่เป็นที่นั่งชั้นพิเศษ หรูหรา สะดวกสบายกว่าชั้นธรรมดา
มาริกะที่ไม่ได้รู้สึกตัวเรื่องความคิดของมิมิก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“เพราะเป็นพวกนั้นชั้นถึงคิดว่าคงเจอเรื่องอะไรสนุกๆอยู่นั่นแหละ ออกไปข้างนอกแล้วตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาบ้าน แต่พวกเราเองก็จะทำอะไรเจ๋งๆแบบนั้นเหมือนกันนะ พวกนั้นพลาดแล้ว เธอนี่โชคดีสุดๆเลยล่ะ มิมิ”
“โชคดีตรงไหนเนี่ย?” ในสถานการณ์นี้มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย
“มันน่าสนุกใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ ไม่เลย”
“ชั้นรู้สึกได้ว่าที่นั่นจะมีคนที่แข็งแกร่งอยู่ล่ะ”
“แต่ฉันไม่อยากเจอนี่”
“ไม่เอาน่า”
มาริกะโน้มตัวไปข้างหน้าและบีบขวดพลาสติกเพื่อเอาน้ำที่เหลืออยู่ในขวดออกมา แต่น้ำนั้นก็มาโดนเข้าที่ใบหน้าของมิมิ เธอนั้นเลือกที่จะโดนไม่ได้คิดที่จะหลบเลี่ยง เพราะเธอคิดว่าหากปัดป้องมันด้วยมือไม่ก็เบือนหน้าหนี เธอก็จะหลบลูกเตะที่ตามมาด้านหน้าไม่ได้
แม้ใบหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยน้ำ เธอก็ไม่ได้หลับตาแต่อย่างใด ส้นเท้าของมาริกะนั้นเหวี่ยงลงมาในเวลาเดียวกับที่น้ำสาดเข้ามาที่ใบหน้า แต่มิมิก็กันเอาไว้ด้วยฝ่ามือได้ เพื่อลดแรงกระแทก เธอนั้นยกตัวขึ้นพร้อมกับจับพนักพิงเอาไว้ แล้วก็กระโดดหมุนตัวขึ้นเหนือที่นั่งไปยังที่นั่งด้านหลังเพื่อหยุดลูกเตะ
“ไม่เลว ไม่เลว ฝีมือยังไม่ได้ขึ้นสนิมนี่นา” บางอย่างคงทำให้มาริกะสนุก เพราะเธอนั้นกำลังกุมท้องแล้วก็หัวเราะอยู่
มาริกะ ฟุคุโรอิเป็นคนที่น่ารังเกียจ คนที่จู่ๆก็เตะคนอื่นแบบสุ่มโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติแบบนี้ มันไม่ใช่คนที่เป็นที่ชื่นชอบอยู่แล้ว มิมิก้มหัวลงให้กับชายคนนั้นที่สายตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ จากนั้นเธอก็กลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง เธอไม่ได้อยากนั่งข้างมาริกะ แต่เธอจองที่นั่งนี้เอาไว้และก็ไม่ได้อยากให้มันเสียเปล่า
☆ ฟิรูรุ
ฟิรูรุคิดว่าเมื่อตัวเองไปถึง บางทีมันอาจจะเกิดอะไรดีๆขึ้นก็ได้ จากประสบการณ์ในการเดินทางทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเธอ มันไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่เกิดเรื่องดีๆขึ้น เธอไม่จำเป็นต้องเตรียมการในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย แม้เธอจะหลงทางไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าเป้าหมายนั้นจะหนีห่างไปจากเธอ
เมื่อเธอมาถึงเมือง S มันก็ผ่านช่วงห้าทุ่มไปแล้ว ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปโดยสมบูรณ์และก็มีแค่แสงสว่างอยู่ในตัวเมือง มันดูเหมือนว่าย่านใจกลางเมืองยังคงคึกคัก เธอมองดูไปรอบๆจากดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเพื่อมองดูพื้นที่โดยรอบ
เมื่อทำงานเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันก็มีกฏอยู่ และจากกฎนั้นก็ถือกำเนิดเป็นทฤษฎีขึ้นมา
เมจิคัลเกิร์ลนั้นต้องตระหนักถึงสายตาของผู้อื่นเพราะต้องหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็น และต้องช่วยเหลือผู้คนเมื่อมีผู้คนที่จำเป็นต้องช่วย แม้ว่าพวกเธอจะทำเรื่องอย่างซ่อมไฟถนนไม่ก็ลบกราฟฟิตี้ไปก็ตาม แต่ถ้าไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นั่นมันก็ไม่มีความหมาย
เมจิคัลเกิร์ลนั้นต้องระวังคนที่มามุงดู และถ้ามีคนอยู่โดยรอบเธอก็จะทำงานไม่ได้ เมื่อเทียบกับงานอื่นๆแล้ว งานของเธอนั้นจะดูพิเศษกว่า บางทีมันอาจดูใกล้เคียงกับโจรหรือหัวขโมย
เพราะแบบนั้นเมจิคัลเกิร์ลจึงมักจะใช้ที่สูงบ่อยครั้ง หากมีสิ่งก่อสร้างสูงๆที่ไม่ค่อยมีการสัญจรไปมาในยามค่ำคืน มันก็จะหมายความว่าเมจิคัลเกิร์ลจะไปเหยียบที่นั่นเข้าในบางครั้ง
เมื่อฟิรูรุมองลงมาจากสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดนั้น เธอก็เห็นสิ่งก่อสร้างหลายๆที่ที่ดูเข้ากับรายละเอียดที่บอกไว้ เธอวิ่งไปตามสายไฟ และกระโดดขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงอาบน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ จากป้ายของโรงอาบน้ำไปยังอพาร์ทเมนท์แล้วก็ปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า และไปยังดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างสูงๆ แล้วก็ดาดฟ้าของโรงเรียนบริหารธุรกิจ จากนั้นก็เป็นสัญญาณไฟจราจร แล้วเธอก็กระโดดลงมาอย่างช้าๆในตอนเดินเข้าไปย่านที่พักอาศัย
เธอวิ่งผ่านบ้านเรือนและวัดวาอาราม จากตรงนั้นเธอก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่สูงอีกจุดหนึ่ง เธอวิ่งไปทั่วทั้งเขตเทศบาลแบบทวนเข็มนาฬิกาจนเป็นวงกลม ก่อนที่จะกลับขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดอีกครั้ง
เธอแบมือขวาออกแล้วก็ตามด้วยมือซ้าย หากคนอื่นมองนั้นก็จะพบว่ามันไม่มีอะไร แต่ตาของฟิรูรุสามารถมองเห็นเส้นด้ายที่ส่องประกายสะท้อนแสงของดวงดาว เส้นด้ายแต่ละเส้นนั้นผูกเข้ากับนิ้วมือ และยืดออกไปยังสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในย่านใจกลางเมืองของเมือง S และรอบๆของย่านที่พักอาศัย
เวทมนตร์ของฟิรูรุคือการเย็บ เธอสามารถเย็บเส้นด้ายที่มองไม่เห็นเข้ากับอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก คอนกรีต โลหะพิเศษ มนุษย์หรือร่างของเมจิคัลเกิร์ล ด้ายนั้นจะผ่านเข้าไปในเป้าหมายของเธอด้วยเข็มซึ่งจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายใดๆ ไม่มีความเจ็บปวด ดังนั้นเธอจึงสามารถใช้มันกับสิ่งที่เห็นแล้วว่าดูเป็นภัยกับตัวเองได้ อย่างเช่นการเย็บเส้นด้ายเข้ากับนิ้วมือตัวเอง
ในตอนที่ทั้งสองมืออ้าออกนั้น เธอก็มันเข้ามาใกล้กับหู
เส้นด้ายของฟิรูรุนั้นไม่สามารถมองเห็นได้และยังทนทานมาก แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังฉีกมันไม่ขาด แต่เส้นด้ายนั้นก็อ่อนนุ่มและไวต่อการสัมผัสเช่นกัน
ที่สถานจองจำนั้น เธอไม่เพียงใช้เส้นด้ายของตัวเองเพื่อยับยั้งนักโทษ แต่เธอยังใช้มันเพื่อสร้างกับดัก และเธอยังสร้างอย่างอื่นอย่างเช่นอุปกรณ์เตือนภัยด้วยการยืดเส้นด้ายออกไปทุกหนทุกแห่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดที่บุกรุกเข้ามาได้อีกด้วย
ฟิรูรุไปยังสิ่งก่อสร้างสูงๆทุกจุดเพื่อใช้เส้นด้ายของเธอเย็บเข้าไป หากมีอะไรเกิดขึ้นตรงสถานที่นั้นๆ แม้จะเป็นสิ่งที่วิ่งผ่านด้วยความเร็วที่เป็นไปไม่ได้ ฟิรูรุก็จะสามารถสัมผัสได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น มันเหมือนกับมีสัญญาณเตือนที่ทำจากไม้สิบอันติดตั้งเอาไว้ และยิ่งกว่านั้นคือมีแต่ฟิรูรุเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ว่ามันเกิดเสียงดังขึ้น
เอาล่ะ เข้ามาเลยตอนไหนก็ได้
สามสิบนาทีผ่านไป ฟิรูรุยังคงรออยู่อย่างอดทน ในเวลาแบบนี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการไม่อดทน การติดตั้งกับดักนั้นคือเกมที่ต้องรอคอย หากเธอรีบเร่งทำอะไรบางอย่างล่ะก็ ทุกอย่างมันก็จะเสียเปล่า
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เธอก็ยังคงรออยู่อย่างอดทน งานหลักของเธอตอนอยู่ที่คุกนั้นคือการไม่ทำอะไรเลยและเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้น ประสาทของเธอนั้นไม่ได้อ่อนไหวที่จะยอมแพ้กับเรื่องอะไรเช่นนี้
เธอแค่ต้องรอเท่านั้น
สามชั่วโมงผ่านไป ท้องฟ้าทางด้านตะวันออกเริ่มสว่างแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อถึงรุ่งเช้ามันก็จะมีอย่างอื่นนอกจากเมจิคัลเกิร์ลออกมาที่ดาดฟ้า ฟิรูรุจึงวิ่งลงมาจากสิ่งก่อสร้างเพื่อเก็บเส้นด้ายของเธอ
ตอนกลางวัน ฟิรูรุนอนดูทีวีและอ่านหนังสือที่ซื้อมาอยู่ในห้องของเธอภายในโรงแรม เธอใช้เวลาไปอย่างเกียจคร้าน เธอเชื่อว่าการหยุดพักตามกำหนดการณ์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ มันไม่ใช่ว่าการที่ทำแบบนี้เป็นเพราะเธอชอบนอนกลิ้งไปมาอะไรซักหน่อย
ในตอนกลางคืนเธอนั้นต้องตั้งใจ เพราะแบบนั้นในตอนกลางวันการพักผ่อนหย่อนใจจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับช่วงกลางคืน ละครที่จะฉายช่วงบ่ายนั้นเป็นตอนแรก เรื่องราวนั้นเกี่ยวกับรักสามเศร้าระหว่างพยาบาล หมอ และคนไข้ น่าสนใจดีจัง
เมื่อถึงตอนกลางคืน มันก็ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น
ในช่วงกลางวัน เธอดูละครแล้วก็เข้าโลกออนไลน์ด้วยเมจิคัลโฟน จากนั้นก็เขียนความประทับใจลงไปในเว็บบอร์ดที่ไม่แสดงตัวตน
เมื่อถึงตอนกลางคืนอีกครั้ง มันก็ยังคงไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น
ในตอนกลางวัน เธอนอนกลิ้งไปกลิ้งมารอบๆ ตัวละครหลักที่เธอคิดว่าเป็นนางเอกนั้นตายด้วยอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ? เธอรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว
เมื่อถึงตอนกลางคืน มันก็ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น
ในช่วงกลางวัน เธอไปยังที่ทำการไปรษณีย์เพื่อถอนเงินออมบางส่วนออกมา เงินนั้นเหลือน้อยกว่าที่คิด เธอนั้นเลือกพักที่โรงแรมธุรกิจเพราะราคาแต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมันไม่ดีแล้ว แม้งานนี้จะคือการจับเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์แต่ก็ใช่ว่าเธอจะได้รับเงินในทันที ในละครนั้นภรรยาของหมอปรากฏตัวออกมาแล้ว คนที่แสดงนั้นเป็นนักแสดงชื่อดังที่ฟิรูรุรู้จัก เธอจะมีบทในเรื่องยังไงกันนะ?
ในตอนกลางคืน แม้เธอจะคิดว่าความรีบร้อนจะทำให้เธอพ่ายแพ้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกแบบนั้น สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้ว เงินมันเป็นสิ่งที่ต้านทานได้ยากยิ่งกว่าเส้นด้ายที่มองไม่เห็นเสียอีก ในตอนแรกเธอติดอยู่ใต้ความคิดที่ว่านี่คืองานธรรมดาๆของเมจิคัลเกิร์ล แต่เรื่องของ “เมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์” ที่ดูเป็นปริศนานี่คืองานธรรมดาของเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่านะ? แต่มีห้องวิจัยอยู่ด้วยนี่พวกนั้นจะไม่กบดานอยู่ด้านในเพื่อทำการทดลองงั้นเหรอ? บางทีฟิรูรุอาจจะกำลังตกปลาในบ่อที่ไม่มีปลาอยู่ก็ได้
ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีปลา ที่แห่งนี้คือเมืองที่ใหญ่พอสมควร ดังนั้นมันคงต้องมีเมจิคัลเกิร์ลที่ทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่แน่ เด็กสาวคนนั้นจะคิดยังไงกับคนที่บุกเข้ามาแถมยังสร้างกับดักไว้ทั่วเมืองโดยที่ไม่ได้ไปทักทายอย่างถูกต้องกันนะ? มันคงไม่แปลกเลยถ้าเด็กสาวจะคิดว่าฟิรูรุนั้นพยายามเริ่มการต่อสู้อยู่
ความจริงมันก็ไม่แปลกอะไรที่เรื่องนี้จะกลายเป็นการต่อสู้ หากไม่ไปไกลเกินกว่าการทะเลาะกันก็คงดี แต่ถ้ามันเลวร้ายกว่านั้นก็คือเด็กสาวยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “ฉันจะรายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าหน้าที่” และถ้าเลวร้ายยิ่งกว่าเลวร้าย เธออาจจะรายงานเรื่องของฟิรูรุไปโดยที่ไม่บอกอีกด้วย
ความคิดเช่นนั้นมันถาโถมเข้ามาในจิตใจของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ฟิรูรุที่รออย่างอดทนอยู่บนสิ่งก่อสร้างสูงนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากร้องไห้ออกมา จนในที่สุดเธอก็เริ่มคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องแกล้งกันก็ได้ แต่ตอนนี้เธอก็หันหลังกลับไม่ได้ เธอนั้นหมดเงินไปกับการจ่ายค่าที่พักแล้ว
เธอมีความคิดด้านลบมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงหันมาสนใจละครตอนกลางวันแทน ภรรยาของหมอนั้นสวมบทบาทได้ดีมาก แต่มันอาจะเป็นการพยายามทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดก็ได้
☆ ปริซึม เชอร์รี่
การทำงานกันเป็นทีมมันทำให้ปริซึม เชอร์รี่เข้าใจเรื่องขอบเขตการทำหน้าที่ของเพียวเอเลเมนท์ หรือมันอาจจะไม่ใช่ขอบเขต แต่เป็นที่ที่ดิสรัปเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมามากกว่า
ดิสรัปเตอร์นั้นปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คน โดยหลักๆแล้วคือที่ภูเขาทาคาโทโกะ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นที่ภูเขาจิเน็นแล้วก็ภูเขาฟุคุโรคุ โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะปรากฏตัวขึ้นมาบนภูเขา และเพียวเอเลเมนท์ก็จะวิ่งเข้าไปตรงที่ๆพวกมันปรากฏตัวขึ้น เมื่อหลังจากที่ทำลายดิสรัปเตอร์แล้ว พวกเธอก็จะกลับมายังห้องวิจัย
ในตอนที่กำลังเตรียมการรับมือพวกดิสรัปเตอร์ในครั้งต่อไปนั้น ปริซึม เชอร์รี่นั้นได้บันทึกเรื่องสถานที่แล้วก็จำนวนครั้งที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นเอาไว้ในแผนที่ของเธอ และนั่นคือตอนที่เธอรู้ในทันทีว่า ตำแหน่งทั้งหมดที่ดิสรัปเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมา เช่นเดียวกับตำแหน่งเดียวกับห้องวิจัย และเส้นทางที่พวกเธอออกจากห้องวิจัยไปหาดิสรัปเตอร์ มันล้วนแล้วแต่อยู่นอกเขตความรับผิดชอบของปริซึม เชอร์รี่
เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่เคยเจอพวกมันมาก่อนเลย สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้มันสมเหตุสมผลและยังทำให้โล่งอกด้วย หากปริซึม เชอร์รี่วิ่งเข้าไปหาดิสรัปเตอร์คนเดียว แบบนั้นเธอคงจะเป็นเหยื่อคนแรกของพวกมันแน่
เธอดีใจว่าตัวเองไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลประเภทที่มีแรงจูงใจแบบว่า แม้จะอยู่นอกเขตความรับผิดชอบ แต่ฉันก็จะพยายามค้นหาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือให้ได้เลย! อะไรแบบนั้น
“เชอร์รี่ดูอะไรอยู่เหรอ?”
เมื่อหันกลับไปมอง เธอก็เห็นเควคกำลังมองดูแผนที่ของเธออยู่
“ฉันเขียนสถานที่แล้วก็เวลาตอนที่ดิสรัปเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาน่ะค่ะ ฉันคิดว่าบางทีพวกเราอาจจะเข้าไปหาพวกมันได้เร็วกว่าเดิม ถ้าคาดเดาเรื่องสถานที่ที่พวกมันจะปรากฏตัวออกมาในครั้งต่อไปออกมาได้”
“นี่เชอร์รี่คิดเรื่องแบบนี้เหรอเนี่ย?”
“มีอะไรกันเหรอ?” อินเฟอร์โนวางมังงะลงแล้วมองมาที่พวกเธอ
“อ๋อ เชอร์รี่บอกว่าบันทึกตำแหน่งแล้วก็ช่วงเวลาที่ดิสรัปเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาน่ะ”
“โห ชั้นทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ให้ตายก็ไม่มีทาง”
“ชั้นก็เหมือนกัน ที่ทำได้ก็แค่วาดรูปพวกดิสรัปเตอร์เอง”
“หือ? เดี๋ยวสิ นี่เธอวาดพวกมันงั้นเหรอ? ขอดูหน่อย!”
“เอ่อ มันไม่ใช่อะไรที่เอาไปให้คนอื่นดูได้หรอก”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ! ขอดูหน่อย! ชั้นจะวิจารณ์ให้เอง!”
“แต่ชั้นไม่อยากให้ภาพวาดของตัวเองโดนใครวิจารณ์ซักหน่อยนี่!”
ปริซึม เชอร์รี่มองดูทั้งคู่เถึยงกันอยู่ข้างๆ จากนั้นเธอก็หันมามองที่แผนที่อีกครั้ง ยิ่งเธอมองมันมากขึ้น มันก็ยิ่งเห็นว่าพื้นที่ของเธอนั้นแยกจากกันอย่างเห็นได้ชัด หากพวกดิสรัปเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาในพื้นที่ของเธอ ปริซึม เชอร์รี่ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้
ต้องขอบคุณเรื่องบังเอิญแบบนี้จริงๆ จากนั้นเธอก็มองดูสมาร์ทโฟน อีกไม่นานก็จะถึงเวลาทานยาของพวกเธอแล้ว
“จริงสิ ดีลูจกับเท็มเพรสยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
“พวกนั้นทำภารกิจเก็บกู้อยู่ คงใช้เวลาไม่นานหรอก แต่ชั้นก็สงสัยว่าทำอะไรกันอยู่นะ”
“จะว่าไป ขอดูรูปวาดของเธอหน่อยสิ รูปวาดน่ะ!”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ให้ดูน่ะ!”
☆ ปรินเซสดีลูจ
แม้จะจัดการดิสรัปเตอร์ได้แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดจบของพวกมัน หลังจากที่จัดการพวกมันไปแล้วไม่กี่วันหรืออาจจะสัปดาห์นึงหลังจากนั้น สัญญาณเตือนของห้องวิจัยจะดังขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกพวกเธอว่าดิสรัปเตอร์กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู ดิสรัปเตอร์นั้นมีพละกำลังที่สูงมากแถมยังมีความสามารถในการฟื้นฟูด้วย เพราะแบบนั้นจึงไม่สามารถปล่อยพวกมันเอาไว้ได้ แต่ในทันทีหลังจากที่จัดการได้ พวกมันก็จะละลายลงไปในพื้นดิน เพราะพวกเธอจึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ และจำเป็นต้องทิ้งพวกมันไว้ที่นั่นตามระยะเวลาที่เหมาะสม และเมื่อดิสรัปเตอร์เริ่มฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง มันก็จะสามารถเก็บพวกมันแล้วเอากลับมาในห้องวิจัยได้
เมื่อเก็บกู้ดิสรัปเตอร์และนำพวกมันมาผ่านวิธีการพิเศษแล้วนั้น มันก็จะมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างหลากหลาย การทำปฎิบัติการเช่นนี้เป็นเรื่องสำคัญซึ่งยังเป็นเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอีกด้วย เพราะมันเป็นประโยชน์กับห้องวิจัยและยังได้ปกป้องเมืองไปพร้อมๆกัน
การคิดถึงความปลอดภัยในการปฎิบัติการนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แบบนั้นพวกเธอจึงตัดสินใจให้เพียวเอเลเมนท์สองคนหรือมากกว่าออกไปทำภารกิจเก็บกู้ ในตอนแรกพวกเธอทุกคนทำมันด้วยกัน แต่เนื่องจากว่ามันไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย วันนี้จึงมีเพียงสองคนที่เล่นเกมแพ้ต้องออกไปเท่านั้น
ไม่ว่าพวกเธอจะเล่นเกมแบบไหน ทักษะของพวกเธอนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม เพราะแบบน้ันคนที่แพ้ชนะจึงแทบตายตัว บางครั้งดีลูจจะจงใจทำพลาดเพื่อให้ตัวเองแพ้พร้อมกับระวังไม่ให้คนอื่นรู้ หากมีคนๆเดียวที่แพ้อยู่ตลอดมันก็จะทำให้เกิดบรรยากาศด้านลบขึ้นมาภายในทีม
คราวนี้ดีลูจกับเท็มเพรสเป็นฝ่ายแพ้ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ก็จริง แต่โอกาสชนะของเท็มเพรสนั้นต่ำมาก เธอเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ดังนั้นไม่ว่าพวกเธอจะเล่นบอร์ดเกมหรือวีดีโอเกม เธอจึงแพ้คนอื่นอยู่เสมอ
ภารกิจเก็บกู้คราวนี้เป็นไปอย่างราบลื่นตามปกติ ที่เหลือในตอนนี้ก็แค่กลับไปที่ห้องวิจัยเท่านั้น
“นี่ คราวหน้าเล่นเกมที่เราชอบจริงๆกันเถอะ”
ในตอนที่เริ่มพูดออกมานั้น เท็มเพรสก็เอนตัวอยู่ในอากาศ เธอเป็นคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญในการบิน
ในตอนที่พวกเธออยู่ด้านบนของสิ่งก่อสร้างนั้น ดีลูจก็ตอบกลับไปว่า “แล้วเธอชอบเกมอะไรล่ะ?”
“โชกิ ในห้องของเราตอนนี้มันนิยมมากเลยนะ เด็กผู้ชายทุกคนมีมังงะโชกิหมดเลย”
“หืมม เธอเล่นโชกิเป็นด้วยเหรอเนี่ย? แล้วชอบกลยุทธ์แบบไหนกันล่ะ?”
“เราเก่งเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายขยับไม่ได้จนถึงตอนสุดท้ายน่ะ!”
“… หืม? เธอหมายถึงอะไรแบบฮาซามิ โชกิ*งั้นเหรอ?”
*โชกิชนิดหนึ่งที่ใช้ตัวหมากเพียงชนิดเดียว
“อื้อ เราขนาบข้างพวกมันได้นะ มันดูไม่ใช่โชกิเท่าไหร่ แต่เป็นอะไรเหมือนกับพัซเซิลมากกว่า!”
“อ่า ใช่ ใช่ บางทีเธอก็พูดถูก…เดี๋ยวก่อนนะ!”
ดีลูจหยุดเท้าและเรียกเท็มเพรสคนที่กำลังบินอยู่ในอากาศเหมือนกับลมเอาไว้ เธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ในตอนนี้พวกเธออยู่บนดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างยามดึกดื่น มันจึงเป็นอะไรที่แปลกทั้งเวลาและสถานที่ที่จะได้ยินใครบางคนเรียกพวกเธอ
เธอตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่รอบๆ เธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแน่นอน มันได้ยินอย่างชัดเจนเกินกว่าที่จะคิดไปเองด้วย จากนั้นเท็มเพรสหันเข้ามาหาพร้อมกับสีหน้าสงสัย
“มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อกี๊เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเหรอ?”
“เสียง…?” เท็มเพรสยกเส้นผมของเธอขึ้นเพื่อเปิดหูออกมา
“พอพูดถึงมันแล้ว…”
ท่าทางของเท็มเพรสเปลี่ยนไป สีหน้าของเธอจริงจังขึ้นตอนที่มองออกไปไกลๆ ดีลูจเองก็มองตามไปเช่นกัน มันมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านบนสิ่งก่อสร้าง และในคราวนี้เธอก็ได้ยินเสียงพูดอย่างชัดเจนว่า “ในที่สุดก็เจอตัวแล้ว” จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าตามมา มันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ดีลูจนั้นเอาตรีศูลของเธอออกมา เท็มเพรสเองก็เอาบูมเมอแรงออกมาเช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“ในที่สุด…ในที่สุดเราก็เจอตัวแล้ว!”
แต่ทำไมเธอถึงดูเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้อยู่ด้วยล่ะเนี่ย?
ด้านบนหัวของเธอนั้นเป็นผ้าโผกหัวลายลูกไม้น่ารัก ไม่ใช่มงกุฎที่มีอัญมณีติดอยู่ เธอยังมีลูกบอลเส้นด้ายสองลูกยืดออกมาจากเส้นผมและมีเข็มหมุดขนาดใหญ่ปักอยู่ด้วย เสื้อของเธอนั้นถูกเย็บเข้าด้วยกันที่ด้านหน้าด้วยเชือกหนัง แขนเสื้อของเธอก็ทำมาจากผ้าทอที่ดูซับซ้อน ผมสีม่วงอ่อนที่ถูกถักเป็นเปียก็ดูเป็นรูปร่างที่สลับซับซ้อน เธอเป็นเด็กสาว รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นงดงามมาก
เธอ…คือเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ?
เธอไม่ได้มีปรินเซสเจเวลก็จริง แต่ปริซึม เชอร์รี่เองก็เป็นแบบนั้น บางทีมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลทุกคนจะมีก็ได้ เธอนั้นน่ารักแต่ก็สวมเสื้อผ้าที่แปลกประหลาด และการเป็นเด็กสาวผู้งดงามที่วิ่งไปทั่วด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อบนดาดฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้ มันก็เป็นอะไรที่เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
“พวกเธอกำลังจะกลับไปที่ห้องวิจัยเหรอ?”
“ก็ใช่ แต่เธอเป็นใครน่ะ?”
เด็กสาวนั้นทำท่าวิคตอรี่โพสพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความดีใจ การที่จู่ๆก็ตะโกนออกมานั้นมันทำให้ดีลูจสะดุ้ง เท็มเพรสเองก็ลอยขึ้นไปในอากาศห้าเมตรเช่นกันและจากนั้นเธอก็ค่อยๆลงมาอย่างช้าๆอีกครั้งแล้วก็มองไปที่เด็กสาว
“เอ่อ… มีอะไรรึเปล่า?”
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม! แบบนี้แหละ! แบบนี้ทุกอย่างมันต้องออกมาดีแน่! แล้วทีนี้เราจะได้มีเงินพอจ่ายค่าโรงแรมซักที!”
ดีลูจหันไปมองเท็มเพรส เธอไม่เข้าใจเลยว่าเด็กสาวคนนี้พูดอะไรอยู่ และไม่เข้าใจเรื่องเงินค่าโรงแรมที่เด็กสาวพูดออกมาอีกด้วย เธอนั้นแค่ตะโกนออกมาเสียงดังโดยไม่ได้คิดอะไรแถมไม่ได้พยายามยั้งความดีใจของตัวเองไว้ และดีลูจที่ไม่เข้าใจว่าเธอมีความสุขเรื่องอะไรนั้นก็ถอยกลับไปครึ่งก้าว
“แหม ท่านทั้งหลายอยู่กันที่นี่เองเหรอเนี่ย?”
ดีลูจกระโดดไปด้านหลัง จนหลังของเธออยู่ใกล้กับรั้วโซ่ที่อยู่ทางขวามือ เพราะจู่ๆมันก็มีคนพูดกับเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และในคราวนี้มันไม่อะไรบ่งบอกมาก่อนเลยด้วย เท็มเพรสหันอาวุธของเธอไปทางด้านขวา ในขณะที่ดีลูจหันอาวุธของเธอไปทางด้านซ้าย เด็กสาวที่มีลูกบอลเส้นด้ายที่ดีใจนั้นก็มองไปยังผู้ที่มาเยี่ยมเยือนด้วยท่าทางประหลาดใจ
ดีลูจคิดว่าเธอลอยอยู่เหมือนกับเท็มเพรสแต่มันไม่ใช่ เธอนั้นมีฟิล์มโปร่งใสห่อหุ้มอยู่
เธอนั้นสวมเอี๊ยมขาบานสีดำ มีเขาเหมือนกับสัตว์ร้าย ที่ด้านหลังก็มีปีกผีเสื้อสีดำ และมีอะไรที่คล้ายผีเสื้อสีดำตกแต่งอยู่ที่ทรัมเป็ตสีขาวของเธอด้วย บนหัวของเธอนั้นมีสิ่งโปร่งแสงสีม่วงที่เหมือนเป็นหูฟังไม่ก็ที่คาดผม ใบหน้าของเธอนั้นงดงามไร้ที่ติ แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่แสดงออกมาว่าคือรอยยิ้ม
“ถ้าพวกเธอพูดถึงห้องวิจัย นั่นก็หมายความว่าพวกเธอคือเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์งั้นสินะ?”
เด็กสาวลูกบอลด้ายนั้นย่นคิ้ว และเมื่อเด็กสาวชุดดำดีดนิ้วของเธอ ฟิล์มใสที่ห่อห้มตัวอยู่นั้นก็แตกออกแล้วก็หายไป จากนั้นเธอก็ลงมายืนบนรั้วโซ่แล้วก็ยิ้มให้เด็กสาวลูกบอลด้าย
“บางทีเธอคงเป็นฟรีแลนซ์สินะ? แบบนั้นก็เหมือนกับชั้น เธอรู้ใช่ไหมว่าการมาก่อนมันได้ก่อนมันคือกฏของฟรีแลนซ์น่ะ? “
เด็กสาวลูกบอลด้ายตอบกลับไปอย่างรุนแรง “ถ้ามาก่อนได้ก่อน แบบนั้นเราก็มาก่อน!”
“แบบนั้นมันไม่ดีเลยนะ ถ้าคนมาก่อนกลับตะโกนออกมาเสียงดังแบบนั้นน่ะ”
คราวนี้คือเมจิคัลเกิร์ลคนที่สาม ชุดของเมจิคัลเกิร์ลคนที่สามนั้นดูแล้วเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย บนหัวของเธอนั้นมีมงกฎดอกเบญจมาศสีขาว ในขณะที่เสื้อผ้าสีดำของเธอนั้น….คือชุดไว้ทุกข์ที่มีดอกคาเมเลียติดอยู่ทั่ว ที่ด้านหลังของเธอนั้นก็มีปีกสีดำสนิทเหมือนกับนกที่กำลังกระพืออยู่ บางทีอาจจะเป็นปีกอีกาก็ได้ ใบหน้าของเธอสวมผ้าคลุมหน้าสีดำปิดเอาไว้ เพราะแบบนั้นจึงมองไม่เห็นสีหน้า แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าเธอกำลังสนุกอยู่
พวกเธอคือเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ? แต่มันดูไม่เหมือนว่าพวกเธอรู้จักกันและกันเลย
“ตายจริง ยังมีคนมาเพิ่มอีกเหรอเนี่ย?” เด็กสาวชุดเอี๊ยมพูด
“ฉันว่ามันออกจะแปลกนะที่เธอพยายามจะเอาเครดิตทั้งหมดไปคนเดียว ทั้งที่เธอเป็นคนที่ตะโกนออกมาเสียงดังจนทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เอง” เด็กสาวสวมชุดไว้ทุกข์พูดออกมา
“แต่เราเป็นคนเจอก่อนนะ!” เด็กสาวลูกบอลด้ายพูดแย้ง
“แบบนั้นมันก็เหมือนกับว่า โลกใหม่ไม่ได้ถูกค้นพบโดยโคลัมบัสแต่เป็นลูกเรือที่เฝ้าดูอยู่ หรือคนที่สร้างวัดโฮริวจิคือช่างไม้นั่นแหละ มันก็เหมือนกับคนที่พูดว่าเรื่องเหล่านี้คือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ”
“มันแปลกนะที่จะพูดว่าทวีปถูกค้นพบ ทั้งๆที่มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ที่นั่น”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นซักหน่อย!” เด็กสาวลูกบอลด้ายพูด
“อ๊ะ โทษที ฉันแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาน่ะ”
“เธอเกือบทำได้แล้วนะ”
“หลีกเลี่ยงไปก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะชีวิตของเรามันแขวนอยู่กับเรื่องนี้เลยล่ะ”
“ถ้างั้นเธอจะทำอะไรล่ะ? เธออยากจะทำอะไรงั้นเหรอ?” เด็กสาวสวมชุดไว้ทุกข์ถามทั้งสองคน
“ใครจะรู้ล่ะ” เด็กสาวชุดเอี๊ยมพูด “ฟรีแลนซ์น่ะเป็นอะไรที่ยึดติดกับเหยื่ออย่างรุนแรงสุดๆ ที่จริงแล้วโลกมันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่รึไง?”
ดีลูจกับเท็มเพรสขยับเข้ามาชิดกันตรงมุมหนึ่งของสิ่งก่อสร้าง มันไม่ใช่ว่าพวกเธอหวาดกลัวอะไร แต่พวกเธอแค่อยากจะรู้ว่าจะทำอะไรกันต่อไปดี
ดีลูจพึมพำว่า “ลักซ์ซูรี่โหมด” แล้วก็พยักหน้า เท็มเพรสตอบกลับมาว่า “เราไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เอาแบบนั้นแหละ”
การสนทนาระหว่างเด็กสาวพวกนั้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น และดีลูจเองก็สามารถบอกแรงจูงใจได้ชัดเจน ดีลูจไม่รู้เหตุผลว่าทำไม แต่เป้าหมายของพวกนั้นคือตัวดีลูจและเท็มเพรส
“ฉันไม่แนะนำให้ใช้กำลังนะ เพราะฉันน่ะแข็งแกร่งมาก” เด็กสาวชุดไว้ทุกข์พูด
“แหม แหม”
“ตายแล้ว ตายแล้ว”
เด็กสาวชุกไว้ทุกข์ยกมือขึ้นมาตรงหน้าอก ในขณะที่เด็กสาวชุดเอี๊ยมเอาทรัมเป็ตไปไว้ที่ปาก และเด็กสาวลูกบอลด้ายก็เอาเข็มมาไว้ในมือขวา เมื่อบรรยากาศตึงเครียดมากขึ้น เท็มเพรสกับดีลูจก็ตะโกนออกมา
“ลักซ์ซูรี่โหมด! ออน!”
เด็กสาวสามคนเห็นดีลูจกับเท็มเพรสเป็นแค่เหยื่อ สุดท้ายแล้วศัตรูของพวกเธอก็คือนักล่าคนอื่น ในขณะที่เหยื่อนั้นคือรางวัลของชัยชนะ มันไม่คุ้มค่าที่จะเอามาคิดพิจารณาเลย
เท็มเพรสขว้างบูมเมอแรงเข้าไปหาเด็กสาวชุดเอี๊ยม ในขณะเดียวกันเธอก็เอาตัวพุ่งเข้าไปหาเด็กสาวชุดไว้ทุกข์ การเอาหัวไปกระแทกเข้ากับตัวของเด็กสาวชุดไว้ทุกข์นั้นมันทำให้เธอส่งเสียงออกมา และตัวของเธอก็ปลิวไปด้านหลัง ทะลุหน้าต่างของสิ่งก่อสร้างที่อยู่ใกล้ๆแล้วก็กระแทกเข้ากับพื้นที่นั่น ส่วนเด็กสาวชุดเอี๊ยมนั้นเอาตัวแนบกับบนดาดฟ้าทำให้บูมเมอแรงบินผ่านหัวของเธอไป แต่จริงๆแล้วเท็มเพรสก็ไม่ได้พยายามโจมตีพวกเธออย่างจริงจัง นั่นเป็นเพียงแค่ตัวล่อ ส่วนคนที่ลงมือจริงๆก็คือดีลูจ
ดีลูจพุ่งเข้าไปหาเด็กสาวชุดเอี๊ยมที่นอนอยู่ เธอไม่ได้รอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา เพราะพวกเธอนั้นสามารถใช้ลักซ์ซูรี่โหมดในแต่ละวันได้อย่างจำกัดเวลา แต่เมื่อใช้มันแล้วพวกเธอก็จะแข็งแกร่งกว่าและรวดเร็วกว่าร่างเมจิคัลเกิร์ลปกติ
ดีลูจพยายามเตะเข้าไปที่กรามของเด็กสาวชุดเอี๊ยมที่นอนอยู่ที่พื้น แต่เด็กสาวชุดเอี๊ยมก็ป้องกันเอาไว้ด้วยฟองอากาศที่เป่าออกมาจากทรัมเป็ตได้ มันเหมือนว่าจะไม่ใช่ทรัมเป็ตแต่เป็นที่เป่าฟองมากกว่า ฟองอากาศนั้นรับการโจมตีเอาไว้โดยไม่แตกตัวออก แต่มันก็ไม่ได้ดูดซับแรงกระแทกเข้าไปทั้งหมด
ใบหน้าของเด็กสาวชุดเอี๊ยมผ่านเข้าไปในฟองอากาศ และดีลูจก็โจมตีเธอจากด้านหลังด้วยปลายตรีศูลเพื่อกดตัวของเด็กสาวลงบนพื้นดาดฟ้าอีกครั้ง เธอพยายามกระทืบเท้าลงไปเช่นกัน แต่เด็กสาวไถลตัวออกไปด้านข้าง ทำให้เท้าของดีลูจกระแทกเข้ากับพื้นคอนกรีตของดาดฟ้า
เด็กสาวชุดเอี๊ยมปล่อยฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาตอนที่เคลื่อนไหวไปรอบๆ เหมือนว่าเธอจะเคลื่อนไหวด้วยการไถลตัวไปบนฟองอากาศพวกนั้น
ดีลูจมองเห็นเท็มเพรสกระโดดเข้าไปในหน้าต่างที่แตกกระจายเพื่อไล่ตามเด็กสาวชุดไว้ทุกข์ไป
เมื่อรู้สึกว่าที่เส้นผมด้านหลังของเธอนั้นสั่นเล็กน้อย ดีลูจจึงยกแขนขวาของเธอขึ้น แล้วก็หันส้นเท้าไปครึ่งรอบเพื่อป้องกันการเตะสูงของเด็กสาวลูกบอลด้ายเอาไว้ ความรู้สึกชาเล็กน้อยผ่านเข้ามาในแขนขวา การโจมตีนั้นมันรุนแรงแถมยังเร็วมาก แถมการตอบสนองของเด็กสาวลูกบอลด้ายก็ดีเหมือนกับเด็กสาวชุดเอี๊ยมอีกด้วย หากเท็มเพรสและดีลูจอยู่ในร่างปกติ พวกเธอก็ต้องถูกบังคับให้ต่อสู้อย่างยากลำบาก การใช้ลักซ์ซูรี่โหมดอย่างทันท่วงทีนั้นมันคือตัวเลือกที่ถูกต้องแล้วจริงๆ
เพราะปลายของตรีศูล ดีลูจจึงสามารถป้องกันขาของเด็กสาวลูกบอลด้ายที่แทงมือขวาออกมาพร้อมกับกระโดดขึ้นไปในอากาศไว้ได้ จากนั้นเธอก็กระโดดจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่ลงมาบนคอนกรีต เธอถอยไปแล้ว
มีฟองอากาศจำนวนมากตรงเข้ามาหาดีลูจ พวกมันรวมตัวกันเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เธอมองเห็น แต่เธอก็หมุนตรีศูลเป็นวงกลมเพื่อเป่าฟองอากาศออกไป ในทันทีที่การมองเห็นของดีลูจถูกบดบัง ตอนนั้นทั้งเด็กสาวลูกบอลด้ายแล้วก็เด็กสาวชุดเอี๊ยมก็หายไปแล้ว
พวกนั้นหนีไปแล้วงั้นเหรอ?
เท็มเพรสเองก็กลับมาจากทางหน้าต่างที่แตกกระจาย ลักซ์ซูรี่โหมดของเธอหายไปแล้ว ท่าทางของเธอนั้นดูไม่พอใจเลยเอาซะเลย
“เธอหนีไปแล้ว น่าเบื่ออ่ะ”
“ทางนี้ก็เหมือนกัน”
ดีลูจและเท็มเพรสนั้นเหนือกว่าในด้านพละกำลังและความเร็ว แต่ในด้านตัดสินใจตามสถานการณ์สามคนนั้นเหมือนว่าจะเหนือกว่าเล็กน้อย พวกเธอไม่ได้แค่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าหากเอาชนะไม่ได้ก็จะไม่สู้ และเมื่อถึงคราวต้องหนีก็จะหนีอย่างไม่ลังเล
แต่กระนั้นมันก็น่ากังวลที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พวกนั้นบอกว่าคือฟรีแลนซ์ แต่เป็นฟรีแลนซ์แบบไหนกันล่ะ? แล้วเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์นี่คืออะไร? ทำไมถึงต้องมาไล่ล่าดีลูจกับเท็มเพรสด้วย?
เธอต้องบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้
☆ ปรินเซสอินเฟอร์โน
ตอนที่ดีลูจกับเท็มเพรสกลับมาช้า อินเฟอร์โนก็ได้ยินรายงานที่น่าผิดหวัง
“เรื่องน่าตื่นเต้นแบบนั้นมันอะไรล่ะนั่น? ถ้าชั้นรู้ว่าจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น ชั้นก็จะอาสาไปทำภารกิจเก็บกู้เองแล้ว!”
“พอคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากคนที่อยากทำภารกิจเก็บกู้น้อยกว่าทุกคน ฟังแล้วมันดูน่าอายสุดๆเลย”
น้ำเสียงของเท็มเพรสฟังดูไม่พอใจ แต่เหมือนกับว่าเธอตื่นเต้นและภูมิใจอยู่ เธอรู้สึกสนุกสนานในเรื่องที่ถูกโจมตีจากเมจิคัลเกิร์ลปริศนาสามคน
อินเฟอร์โนคิดว่าเธอคงตื่นเต้นอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้มันน่าตื่นเต้นกว่าตอนฝึกซ้อมและสู้กับดิสรัปเตอร์เป็นไหนๆ
แต่อย่างไรเควคนั้นหน้าบึ้งตึง “หมายความว่ายังไงน่ะ? พวกนั้นไล่ตามมาใช่ไหม?”
ดีลูจเองก็เหมือนจะกังวลเช่นกัน “อื้อ พวกนั้นพูดว่าพวกเราคือ ‘เหยื่อ’ ด้วย แต่เหมือนจะไม่รู้ว่าห้องวิจัยอยู่ที่ไหน”
“ทั้งสองคนไม่ได้ถูกตามมาใช่ไหม?” เควคถามทั้งคู่
“เรามองลงมาดูจากที่สูงมากๆ แต่ไม่มีใครไล่ตามพวกเรามาเลย เราพนันเลยล่ะว่าอินเฟอร์โนต้องคิดว่าถ้าพวกเราถูกตามมาคงสนุกกว่าแน่”
“หวา เห็นชัดขนาดนั้นเลย?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ”
ดีลูจกับเควคนั้นค่อนข้างกังวล แต่เหมือนว่าปริซึม เชอร์รี่จะตกใจมากยิ่งกว่า ใบหน้าของเธอนั้นดูว่างเปล่าและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เธอเอามือปิดปากไว้และกำลังคิดอะไรบางอย่าง
อินเฟอร์โนคิดว่ามันน่าสนุก แต่เธอคิดว่าปริซึม เชอร์รี่คงกังวลด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ดีลูจกับเท็มเพรสจะไล่พวกนั้นออกไปได้ไม่ยาก แต่ปริซึม เชอร์รี่นั้นไม่ได้แข็งแกร่งในการต่อสู้เหมือนกับทั้งสองคน และเธอก็ไม่ได้มีลักซ์ซูรี่โหมดหรืออาวุธอะไรเลย หากปริซึม เชอร์รี่เป็นคนที่โดนโจมตี เธอคงถูกจับและกลายเป็น ‘เหยื่อ’ อย่างที่พวกนั้นพูด
ทุกคนคงต้องคิดเรื่องนั้นแน่
“ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน”
ไม่มีใครค้านการตัดสินใจของเควค เพราะแบบนั้นพวกเธอจึงแยกย้ายกันไปเร็วกว่าปกติ ดีลูจนั้นไปส่งปริซึม เชอร์รี่ที่บ้าน ส่วนเควคนั้นแยกตัวออกไปตรงหน้าโรงงาน และอินเฟอร์โนก็ตามเท็มเพรสไปจนถึงใกล้ๆกับบ้านของเธอ
อินเฟอร์โนเตรียมตัวรับคำพูดของเท็มเพรสที่จะบอกว่าไม่ต้องมาจู้จี้นักก็ได้ แต่มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอคิด เท็มเพรสนั้นไม่ได้บ่นอะไรออกมา และตอนที่แยกตัวกันนั้นเท็มเพรสก็พูดออกมา
“เดือนหน้าชมรมเด็กใกล้บ้านจะไปเที่ยวที่ภูเขาทาคาโทโกะกันใช่ไหม?”
“หืม เดือนหน้างั้นเหรอ? ก็ไปกันทุกปีนะ แต่รู้สึกว่าปีนี้มันจะได้สนิทกันมากขึ้นด้วย”
“พี่อาคาริจะมาด้วยเหรอ?”
“คงไม่ล่ะ มันอยู่ในช่วงก่อนสอบด้วย ดังนั้นแม่ของชั้นคงไม่ปล่อยให้ไปหรอก”
เท็มเพรสก้มหน้าลงมานิดๆ
“งั้นเหรอ แบบนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงก่อนสอบสินะ?” เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
☆ ปรินเซสเควค
ตอนที่ได้ยินว่าพวกเธอถูกโจมตีจากศัตรูปริศนา สิ่งแรกที่เธอคิดก็คือความกังวล เธอกังวลว่าดีลูจและเท็มเพรสจะได้รับบาดเจ็บทางกายไม่ก็จิตใจ แต่เมื่อได้ยินเท็มเพรสบอกว่าศัตรูนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรแถมยังขับไล่ออกไปได้อย่างง่ายดาย เควคจึงรู้สึกโล่งอก
สิ่งที่ตามมาหลังจากความโล่งอกก็คือความรู้สึกอยากรู้ การที่ศัตรูใหม่ปรากฏตัวขึ้นมามันเกิดได้ในเรื่องราวทุกประเภท ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ในอนิเมของเมจิคัลเกิร์ลเท่านั้น พวกมันเป็นศัตรูแบบไหนกันนะ? และเป้าหมายในการขัดขวางเพียวเอเลเมนท์คืออะไรกัน?
เมจิคัลเกิร์ลสามคนงั้นเหรอ เธออยากรู้จริงๆ
เควคนั้นถามเรื่องรูปลักษณ์ทั่วไปของเมจิคัลเกิร์ลพวกนั้นมาจากคนอื่น เธอเสริมส่วนต่างๆเข้าไปด้วยจินตนาการแล้วก็เริ่มวาดมันออกมา เมื่อมองดูสิ่งที่วาดแล้ว เธอก็แก้ไขมันให้สวยงามมากขึ้น ของจริงมันเป็นแบบนี้รึเปล่านะ? หรือว่าจะต่างกัน?
เท็มเพรสบอกว่าพวกนั้นเหมือนเป็นมืออาชีพ แม้จะเป็นเด็กสาวที่ไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็ดูเป็นมืออาชีพด้วย น่าสนใจจริงๆ
ช่วงเวลาที่เควคอยู่ด้วยกันกับพวกเธอในฐานะเพียวเอเลเมนท์นั้นมีค่า และเธอเองก็รู้สึกขอบคุณมันด้วย แต่ในตอนที่เธออยู่คนเดียวในห้องที่มีสมุดวาดภาพนั้นก็มีค่าเช่นกัน เธอดึงเอาสมุดวาดภาพออกมาจากในตู้เสื้อผ้า และเมื่อเธอเริ่มลงมือวาดนั้น หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่อยู่บนเพดานก็เกิดกระพริบ
จิโกะเดาะลิ้นแล้วมองขึ้นไปที่หลอดไฟ หนึ่งในสองของหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้นกลายเป็นสีดำแล้ว อีกหลอดหนึ่งก็ใกล้จะพัง มันกระพริบซ้ำๆอยู่แบบนั้น จิโกะไม่มีหลอดสำรอง ไม่มีร้านค้าใกล้ๆที่ขายหลอดฟลูออเรส
เซนต์ในตอนนี้ด้วย
“ปรินเซสโหมด ออน!”
เธอแปลงร่างเป็นปรินเซสเควคโดยไม่ลังเล แม้ในตอนนี้จะไม่มีแสงเธอก็ยังมองเห็นในความมืดได้ เธอซุกหางไว้ใต้เบาะรองนั่ง เธอจับดินสอแล้วหันหน้าเข้าหาสมุดวาดภาพอีกครั้ง
ดีลูจและเท็มเพรสเผชิญหน้ากับเมจิคัลเกิร์ลปริศนา เท็มเพรสนั้นหมุนตัวอย่างอิสระอยู่ในอากาศ ส่วนดีลูจก็ควงตรีศูลของเธอและมีน้ำค้างแข็งที่เป็นประกายออกมา เธอใช้จินตนาการเป็นแรงบันดาลใจ
เธอวาดภาพต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งดินสอกุด จากนั้นเธอก็ไสดินสอเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้เธอเติมเต็มสมุดวาดภาพได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่เธอก็ดึงเล่มใหม่ออกมาแล้วเริ่มวาดลงไป
เธอพลาดที่พูดว่าตัวเองกำลังวาดภาพอยู่ออกไป แถมอินเฟอร์โนก็ตื้ออย่างน่ารำคาญอีกว่า “ขอดูหน่อย ขอดูหน่อย!” อินเฟอร์โนไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวแต่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่า มันตรงข้ามกับรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนสาวแกลของเธอก่อนแปลงร่าง เธอดูเป็นคนที่เชื่อถือได้และยังมีความรับผิดชอบสูง แต่ก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรลึก เธอขาดความละเอียดอ่อนในการที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมเควคถึงไม่อยากให้ดูรูปภาพ
เควครู้ว่ามันเป็นอุปนิสัยที่น่าดึงดูดของเธอ แต่กระนั้นเควคก็ยังไม่อยากให้เธอดูอยู่ดี เธอทำแบบนั้นไม่ได้ ภาพวาดของดิสรัปเตอร์นั้นเป็นอะไรที่พิเศษมาก แถมภาพวาดส่วนใหญ่ของเธอก็เป็นปรินเซสอีก ภาพส่วนตัวก็มีเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังมีภาพวาดจากการมองดูเด็กประถมในสระน้ำจากสวนสาธารณะแล้วเด็กๆที่น่ารักที่ผ่านไปมาตามท้องถนน เรื่องเหล่านี้มันคืออาชญากรรม หากมีใครเห็นเข้าล่ะก็เธอต้องเสียอำนาจในฐานะผู้นำ แถมอาจจะโดนไล่ออกจากการเป็นเพียวเอเลเมนท์อีกด้วย เมื่อเธอได้สิ่งเหล่านี้มาแล้ว เธอก็ไม่อยากสูญเสียมันไป
แล้วเควคเองก็ยังต้องเตรียมสมุดวาดภาพของปลอมเพื่อให้อินเฟอร์โนดูในสิ่งที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วย เพื่อระงับยับยั้งตัวตนที่อยู่ภายในไม่ให้คลั่ง เธอก็เริ่มวาดมันขึ้นมา
“การเป็นเมจิคัลเกิร์ลนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เควคบ่นกับตัวเอง
☆ ปรินเซสเท็มเพรส
มันมีเรื่องราวดีๆเข้ามาหลายๆเรื่อง
การมีศัตรูตัวใหม่เข้ามาแบบนี้มันคือพื้นฐานของพัฒนาการในอนิเมของเมจิคัลเกิร์ล แถมพวกเธอยังโชคดีมากที่มีโอกาสได้สู้กับศัตรูด้วย เท็มเพรสรู้สึกกลัวเล็กน้อยเช่นกัน แต่เมื่อเธอต่อสู้กับอีกฝ่ายแล้ว พวกมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
หากพวกเธออยู่ในลักซ์ซูรี่โหมดมันก็จะเป็นเรื่องง่าย แม้จะอยู่ในร่างปกติพวกเธอก็ยังสามารถสู้ได้ค่อนข้างดี ไม่สิ แม้จะอยู่ในร่างปกติบางทีพวกเธออาจจะชนะก็ได้ แม้ศัตรูจะไม่ได้ประมาท เท็มเพรสกับดีลูจก็จะเอาชนะได้แน่
แถมยังมีเรื่องดียิ่งกว่านั้นอีก เพราะเดือนหน้าอาคาริจะมาด้วยไม่ได้ แม้จะเป็นการพูดว่าอาจจะมาไม่ได้ เพราะแม่ของเธอจะไม่ให้ลูกสาวออกมาช่วยชมรมของเด็กๆตอนที่การสอบใกล้เข้ามาก็เถอะ แต่เพื่อนบ้านนั้นก็รู้กันดีว่าแม่ของอาคาริชอบบ่นเรื่องเกรดของลูกสาวอยู่บ่อยๆ
หากอาคาริไม่มามันก็หมายความว่าไม่มีใครจะมาขวางทางเมย์แล้ว ในที่สุดเธอก็จะสามารถทำตามแผนที่คิดเอาไว้แล้วได้
เธอมีแผนนี้อยู่ในใจตั้งแต่ตอนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยถ้าจะบอกว่าเป้าหมายหลักของเธอคือการกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันคือแผนดั้งเดิมและยอดเยี่ยม
ก่อนอื่น ในวันที่ชมรมเด็กจะไปทัศนศึกษากันนั้น เมย์จะมาพร้อมกับข้อแก้ตัวที่จะไม่ไปด้วย จากนั้นเธอจะแปลงร่างเป็นปรินเซสเท็มเพรสอย่างลับๆแล้วก็ตามชมรมเด็กไป แน่นอนว่าเธอจะไม่ลืมเปลี่ยนชุดของตัวเองแน่ เพราะตามปกติแล้วชุดของเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันสะดุดตาเกินไป และถ้าอยู่ในป่ามันก็จะดูน่าสงสัยมากขึ้นเป็นทวีคูณอีกด้วย
จากนั้น จากนั้น—เธอก็จะแสร้งว่าเข้ามาเจอกับชมรมเด็กที่ภูเขาทาคาโทโกะโดยบังเอิญและจะได้รู้จักกับโช มินามิดะ ของจะต้องหลงเสน่ห์ของเท็มเพรส และอีกไม่นานพวกเธอก็จะได้เดทกัน
เมื่อเมย์มีความคิดเรื่องที่สดใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนอย่าง “แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าหาคนที่ตัวเองชอบ” เธอก็มั่นใจว่าโลกใบนี้ตกอยู่ในกำมือของเธอแล้ว ถึงเด็กประถมปีที่สองจะเดทกับเด็กผู้ชายมัธยมต้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่อายุดูเหมือนเด็กมัธยมต้นจะเป็นแฟนกับเด็กผู้ชายมัธยมต้นด้วยกันคงไม่แปลกอะไร หากเรื่องที่เธอกังวลมากที่สุดอย่างอาคาริไม่โผล่ออกมา หัวใจของโชจะตกเป็นของเมย์แน่ เธอพูดไม่ได้ว่ามันเป็นสถานที่เดทที่ดีก็จริง เพราะมันมีสิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างเด็กๆแล้วก็ผู้ปกครองตามมาด้วย แต่กระนั้นตราบใดที่มีความน่ารักของเท็มเพรส เมย์ก็จะโดดเด่นกว่าพวกเรื่องไม่ดีทั้งหลายแหล่
เธอทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเตรียมการเรื่องนี้ ก่อนที่จะเข้านอนพร้อมกับพจนานุกรมในมือที่เขียนคำอ่านของตัวคันจิเอาไว้นั้น เธออ่านหนังสือแนะนำการเดท เธอพยายามหาเครื่องรางความรักทุกอย่าง เธอสั่งน้ำหอมจากผู้ผลิตในโตเกียวที่บอกว่าเมื่อฉีดมันแล้วความรักจะเบ่งบานออกมา เธอยังอธิษฐานกับพระเจ้าแล้วก็พระพุทธเจ้าอีกด้วย
ทุกสิ่งที่เธอทำก็เพื่อเติมเต็มความรักของเธอ เธอมองดูโชทุกครั้งเมื่ออยู่กับชมรมเด็กใกล้บ้าน เขานั้นสนใจในตัวของอาคาริ แต่อาคารินั้นก็หัวทึบแถมยังไม่รู้สึกถึงความรู้สึกในหัวใจของเขาอีก การเป็นแบบนี้มันทั้งเป็นเรื่องโชคดีและโชคร้าย ทั้งอาคาริกับโชยังไม่ได้เริ่มเดทกันเพราะติดอยู่ครึ่งทางแบบนี้
เมย์ต้องหยุดเรื่องสถานการณ์ครึ่งๆกลางๆแบบนี้ให้ได้
หลังจากที่แยกทางกับอาคาริตอนที่ใกล้มาถึงบ้าน เท็มเพรสก็แอบเข้าไปในบ้านจากทางหน้าต่างห้องนอน ก่อนที่เธอจะนอนนั้น เธอก็ตรวจดูกระเป๋านักเรียน ตรวจดูเสื้อพละว่าใส่เอาไว้แล้ว และเมื่อตรวจดูการบ้านว่าทำเสร็จเรียบร้อย เธอจูบรูปของโชที่เธอแอบเอามาอย่างลับๆ เธอภาวนากับพระเจ้า ภาวนากับพระพุทธเจ้า แล้วก็ทิ้งร่างกายลงบนเตียงนอน
บนเส้นคั่นระหว่างความฝันและความเป็นจริง ความคิดแปลกๆก็เข้ามาในหัวของเธอ
แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีกับโชที่ภูเขาทาคาโทโกะ แต่ศัตรูลึกลับก็อาจโจมตีเข้ามาได้ และถ้ามันเกิดแบบนั้นขึ้น เท็มเพรสจะปกป้องโชแล้วสู้กับศัตรูแล้วก็จะเผยตัวตนจริงๆออกมาอย่างไม่คาดคิด จากนั้นทั้งสองคนจะแลกเปลี่ยนความลับซึ่งกันและกัน ยิ่งกว่านั้น การเกิดปรากฏการณ์สะพานแขวน*แบบนั้นขึ้นอาจจะกลายเป็นความรู้สึกโรแมนติคก็ได้ ไม่สิ มันต้องกลายเป็นแบบนั้นแน่ๆ
*ปรากฎการณ์ที่ทำให้คนตกหลุมรักกันได้มากกว่าปกติ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแลกเปลี่ยนความรู้สึกวิตกกังวลหรือความกลัวร่วมกัน
แบบนี้ยอดเยี่ยมเกินไปหน่อยแล้ว ยอดเยี่ยมขนาดนี้มันโอเคจริงๆงั้นเหรอ? แบบนี้คนอื่นจะอิจฉาไม่ก็โกรธเธอรึเปล่านะ? เมย์ยิ้มออกมานิดๆตอนอยู่ในผ้าห่มของเธอ
☆ ปรินเซสดีลูจ
ดีลูจมาส่งปริซึม เชอร์รี่ที่บ้านได้อย่างปลอดภัย โชคดีที่ศัตรูไม่ได้ทำการโจมตีเข้ามา
หลังจากที่แยกตัวกับเชอร์รี่ตรงระเบียงบ้านแล้ว เธอก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาของบ้านที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหันกลับมามอง เธอเห็นเชอร์รี่กำลังโบกมือให้ ดีลูจเองก็โบกมือกลับเช่นกัน จากนั้นเธอก็วิ่งขึ้นไปด้านบนหลังคา
ในตอนที่วิ่งอยู่นั้นเธอก็คิดไปด้วย และเมื่อยิ่งคิดมันก็ยิ่งกวนใจเธอ
สมาชิกดั้งเดิมของเพียวเอเลเมนท์นั้นมีมงกุฎที่มีปรินเซสเจเวลติดอยู่ ปริซึม เชอร์รี่นั้นไม่ได้มีมงกุฎหรือปรินเซสเจเวล เมจิคัลเกิร์ลสามคนที่พวกเธอสู้ด้วยในตอนนั้นก็ไม่ได้สวมมงกุฎหรือมีปรินเซสเจเวลด้วย
มันมีความแตกต่างอย่างอื่นระหว่างปริซึม เชอร์รี่กับสมาชิกดั้งเดิมอีกด้วย ปริซึม เชอร์รี่นั้นไม่ต้องทานยา ส่วนทั้งสี่คนจำเป็นต้องทานยาเพื่อที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ล เชอร์รี่นั้นไม่ได้มีอาวุธของตัวเอง เหมือนกับค้อนไม่ก็ตรีศูล แม้ว่าสิ่งของอย่างเข็มเย็บผ้า กระจกของเชอร์รี่ ไม่ก็ที่เป่าฟองจะนับเป็นอาวุธได้ก็จริง แต่เด็กสาวในชุดไว้ทุกข์เป็นคนเดียวที่ไม่มีอาวุธอะไรเลย
ยิ่งดีลูจคิดเรื่องนั้นมากขึ้น มันก็รู้สึกว่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นก็ยิ่งแตกต่างจากเพียวเอเลเมนท์ มันช่วยไม่ได้ก็จริง แต่เธอรู้สึกว่าสามคนนั้นเหมือนปริซึม เชอร์รี่มากกว่า
เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้พบกับปริซึม เชอร์รี่ ดีลูจนั้นเป็นคนที่พูดกับเธอก่อน เมื่อเธอเห็นซากุระ คากามิที่เป็นเพื่อนร่วมห้องแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ดีลูจจึงพูดกับเธอที่โรงเรียน เธอคิดว่ามันต้องสนุกแน่ๆหากมีเพื่อนเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ในห้องเดียวกัน แค่คิดว่ามีเพื่อนร่วมห้องหนึ่งคนที่เธอสามารถเป็นตัวของตัวเองด้วยได้โดยที่เธอไม่ต้องโกหกหรือไม่ต้องปิดบังเรื่องอะไร มันก็ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นแล้ว นั่นคือทั้งหมดที่เธอรู้สึกและเธอก็ไม่ได้คิดอะไรแบบลึกซึ้งด้วย
ปรินเซสดีลูจกระโดดจากด้านบนของดาดฟ้าไปจับเข้ากับกำแพงของสิ่งก่อสร้างสูงๆแล้วก็วิ่งขึ้นไป ความคิดของเธอยังคงกระจัดกระจายไปทั่วจนรวบรวมเข้ากันได้ยาก
ตอนที่เธอกับเท็มเพรสรายงานเรื่องถูกโจมตีโดยเมจิคัลเกิร์ลสามคนออกไป เหมือนว่าอินเฟอร์โนจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะเธออยากจะอยู่สู้ที่นั่นด้วย เควคนั้นดูกังวลว่าพวกเธอบาดเจ็บรึเปล่า ส่วนใบหน้าของปริซึม เชอร์รี่ดูว่างเปล่าแถมยังตัวสั่น อินเฟอร์โนถามว่าศัตรูมีรูปร่างหน้าตายังไง ส่วนเควคนั้นถามว่าแน่ใจใช่ไหมว่าอีกฝ่ายคือเมจิคัลเกิร์ล แต่ปริซึม เชอร์รี่นั้นตัวสั่นและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
ในตอนนี้เมื่อเธอลองมาคิดดูแล้ว เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วการตอบสนองแบบนั้นมันโดดเด่น พวกเธอถูกศัตรูโจมตีแต่เท็มเพรสกับดีลูจก็ขับไล่ออกไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา เท็มเพรสนั้นภูมิใจกับผลลัพธ์ของการต่อสู้แถมยังโม้ให้อินเฟอร์โนฟัง เรื่องนั้นมันไม่น่าจะทำให้เชอร์รี่คิดว่าศัตรูนั้นน่ากลัวได้
ปริซึม เชอร์รี่นั้นไม่ได้เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกับพวกเธอทุกคน แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยหวาดกลัวศัตรูที่ตั้งใจจะฆ่าอย่างดิสรัปเตอร์เลย เธอเผชิญหน้ากับพวกมันอย่างกล้าหาญอีกด้วย
แล้วทำไมเธอถึงกลัวการได้ยินเรื่องการมาถึงของศัตรูพวกนี้ทั้งๆที่พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งด้วยล่ะ? นั่นเธอรู้ว่าศัตรูคือใครแล้วเข้ามาโจมตีเพื่ออะไรงั้นเหรอ?
ศัตรูคนนึงพูดบางอย่างเกี่ยวกับเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ออกมาด้วย
ดีลูจกลับเข้าไปในห้องของเธอด้วยการปีนขึ้นไปบนอพาร์ทเมนท์ จากนั้นเธอก็คลายการแปลงร่างกลับไปเป็นนามิ อาโอกิ ความคิดที่กระจัดกระจายที่เหมือนกับหลุดรอดผ่านมือของเธอออกไปนั้นเริ่มมารวมตัวเข้าด้วยกัน บางทีปริซึม เชอร์รี่อาจจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ที่สามคนนั้นตามหาก็ได้ เธอคือเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ที่ดีลูจก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่อาจจะเป็นคนที่หนีออกมาจากห้องวิจัยแล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างลับๆในเมืองจนศัตรูตามมาก็ได้ พวกนั้นพูดถึงนักล่าเงินรางวัลกับเงินรางวัลที่อยู่ตรงหน้าต่อหน้าพวกเธอ ราวกับว่าถ้าจับกลับไปได้ พวกเธอก็จะได้รับชื่อเสียงแล้วก็เงินทอง
ทำไมพรุ่งนี้ไม่ลองถามปริซึม เชอร์รี่ดูล่ะ?
หากเธอถามออกไปตรงๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือความเข้าใจผิดก็ตาม มันก็อาจจะทำให้มิตรภาพพังทลายลงได้ แบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เธอควรจะพยายามโยนคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรงเท่าที่เป็นไปได้ออกไป และมันก็ต้องสื่อในสิ่งที่เธอพยายามจะพูดจริงๆออกไปด้วย
จากสมมติฐานนี้เธอก็คิดว่า นี่เธออยากจะทำอะไรกับเชอร์รี่กันแน่นะ? เธออยากปกป้องเชอร์รี่งั้นเหรอ? หรือคิดว่าเพื่อความปลอดภัยของพวกเธอแล้ว การส่งตัวเชอร์รี่ไปจะดีกว่ากันนะ?
อินเฟอร์โนสาบานว่าจะปกป้องเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เควคเองก็เช่นกัน เท็มเพรสเองก็ไม่ต่าง แล้วดีลูจล่ะ? หากพวกเธอสู้กับศัตรูในระดับเดียวกันกับในคืนนั้นมันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านั้นล่ะ? หากเจอศัตรูแบบนั้น พวกเธอจะชนะได้อย่างปลอดภัยรึเปล่า?
เธออยากจะถาม “ศาสตราจารย์” ว่ามันโอเคจริงๆรึเปล่าที่ชวนปริซึม เชอร์รี่เข้ามาด้วย พวกเธอนั้นเชิญเข้ามาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน ดังนั้นเธออยากรู้สึกมั่นใจว่ามันไม่เป็นอะไร แถมเธออยากให้ศาสตราจารย์บอกเรื่องที่รู้เกี่ยวกับคนที่เข้ามาโจมตีทั้งสามคนด้วย มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เธออยากถามเช่นกัน แต่ศาสตราจารย์นั้นก็ไม่ได้มาหาพวกเธอหลายสัปดาห์แล้ว พวกเธอนั้นคิดถึงเรื่องต่างๆที่อาจจะเกิดกับศาสตราจารย์สุดท้ายพวกเธอก็คิดว่า “บางทีอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้” แต่ดีลูจเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆรึเปล่า ความคิดทั้หมดที่อยู่ภายในใจของเธอคือความคิดที่ไม่สบายใจ อย่างเช่น บางทีอาจจะไม่ได้ยุ่งแต่มีเหตุผลอื่นที่ทำให้มาไม่ได้ หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถมาได้
เธอหันหน้าเข้าไปหาโต๊ะเรียนพร้อมกับกุมหัวแล้วคิดไปด้วย ความคิดที่เคยรวมตัวเข้าด้วยกัน เริ่มกระจัดกระจายออกไปอีกครั้ง
☆ ปริซึม เชอร์รี่
ในที่สุดพวกนั้นก็มา เธอคิดว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้อีกฝ่ายก็มาอยู่ที่นี่
สามคนนั้นพูดว่ากำลังตามหาเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์อยู่ การได้ยินคำว่า “เมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์” มันทำให้ปริซึม เชอร์รี่คิดได้เพียงแค่อย่างเดียว…ถ้าให้ตรงกว่านั้นก็คือทั้งสี่คน พวกเธอไม่ได้เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ “ปกติ” แต่เป็นอะไรที่ “พิเศษ” พวกเธอนั้นมีมงกุฎแล้วก็อัญมณีที่เหมือนกันและยังต้องกินยาเป็นระยะๆ พรสวรรค์ในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลของพวกเธอนั้นไม่ใช่ได้มาจากการทดสอบคัดเลือก แต่เป็นในห้องวิจัย
ดีลูจ อินเฟอร์โน เควค เท็มเพรส เด็กสาวทั้งสี่คนกับความจริงที่พวกเธอมาจากห้องวิจัยนั้นมันก็เข้ากับคำว่า “ประดิษฐ์” ด้วย เชอร์รี่ไม่รู้ว่าคำว่าประดิษฐ์นั้นมีปัญหายังไง แต่ในตอนนี้พวกเธอก็ตกเป็นเป้าแล้ว บางทีเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์อาจจะเป็นการฝ่าฝืนกฎของดินแดนเวทมนตร์ ไม่ก็บางทีดินแดนเวทมนตร์ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และคนที่โจมตีเข้ามานั้นก็เหมือนกับการจารกรรมทางเทคโนโลยีมากกว่า
สำหรับเพียวเอเลเมนท์แล้ว ปริซึม เชอร์รี่เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของดินแดนเวทมนตร์ รู้ว่าเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลว่าควรจะเป็นยังไง การทดสอบของเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็นแบบไหน หากบอกพวกเธอไป หากแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ล่ะก็ พวกเธอก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้หนึ่งก้าว
แต่เธอกลัวเกินกว่าจะก้าวออกไป
แม้หลังจากดีลูจมาส่งเธอที่บ้านแล้ว ปริซึม เชอร์รี่ก็ยังคงกังวลอยู่
วันรุ่งขึ้นในตอนทานอาหารเช้า ในตอนระหว่างทางไปโรงเรียน และตอนที่กำลังเรียนนั้น ในหัวของซากุระไม่รับรู้อะไร เธอซึมซับอะไรไม่ได้เลย ร่างกายของเธอทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติ แต่ภายในหัวของเธอนั้นกลับอยู่ที่อื่น
เธอควรจะบอกคนอื่นรึเปล่านะ? ถ้าจะบอกเธอควรใช้คำพูดยังไงดี? สำหรับเธอแล้วมันโอเครึเปล่าที่จะบอก?
เธอไม่ได้ข้อสรุปอะไรออกมา เธอคิดวิธีบอกข้อมูลในขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบในปัจจุบันเอาไว้ออกมาไม่ได้เลย
ซากุระทานข้าวที่โรงอาหารจนเสร็จโดยที่ไม่ได้รู้รสของอาหารเลย สำหรับเวลาช่วงอาหารกลางวันแล้ว เธอตัดสินใจว่าจะไปยังห้องสมุดเพื่อคิดอะไรหลายๆอย่าง ดังนั้นเธอจึงปฎิเสธคำชวนของเพื่อนในห้องแล้วก็เดินออกไป และเมื่อมีใครบางคนเรียกเธอก็หยุดเดิน เธอรู้ว่าใครเป็นคนที่เรียก ในขณะที่เธอระวังอย่างมากในทุกๆการกระทำ เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอไม่ได้ดูตกใจและทำอะไรแปลกๆ เธอก็หันกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“อะไรเหรอ อาโอกิ?”
“ก็ ฉันอยากพูดเรื่องเมื่อวานนี้น่ะ”
พวกเธอสบตากัน เธอนั้นมองอย่างแน่วแน่มาที่ซากุระ ซากุระเองก็หันไปมองที่อื่นไม่ได้
“จากนี้หลายๆอย่างคงอันตรายมากขึ้นแน่”
“ค่ะ มันคงเป็นแบบนั้น”
นามิ อาโอกิ หรือปรินเซสดีลูจ ซากุระคิดว่าเมื่อเทียบกับอีกสามคนแล้ว เธอนั้นเป็นคนที่จริงจัง แต่เธอไม่เคยมองซากุระอย่างจริงจังมาก่อนเลย
“เธอจะอยู่กับพวกเราจนถึงท้ายที่สุดใช่ไหม ปริซึม เชอร์รี่?”
“ค่ะ”
แม้เธอจะกังวล แต่เธอก็พบว่าตอบคำถามออกมาทันที คำพูดมันออกมาก่อนที่เธอจะทันได้คิดซะอีก
“ขอบคุณนะ ฉันเองก็จะปกป้องเธอเหมือนกัน”
“ฉะ…ฉันเองก็จะปกป้องทุกคนเหมือนกันค่ะ แม้ฉันจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรก็ตาม”
ทั้งคู่นั้นยื่นมือออกมาจับในเวลาเดียวกัน จากนั้นนามิดึงมือของเธอกลับแล้ววิ่งออกไป
“ขอบคุณนะ! แล้วเจอกัน!” เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเธอ นามินั้นยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่โล่งใจ เหมือนกับว่ายกภูเขาออกมาจากอกแล้ว
เมื่อซากุระมองไปภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ที่หน้าต่าง เธอก็พบว่าตัวเองยิ้มออกมาแบบเดียวกัน เธอนั้นรู้สึกโล่งใจจริงๆ
☆ ฟิรูรุ
ฟิรูรุดูละครตามตารางเวลาของวันนี้ไม่ได้ เพราะเธอนั้นต้องเอาเวลาไปให้กับแขกที่มาเยือนอย่างกระทันหัน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนเห็นแล้ว เมจิคัลเกิร์ลสองคนเข้ามาในห้อง
“โห ห้องนี่ยอดสุดๆไปเลย”
“ใช่เลยล่ะ สวยจริงๆ”
แม้ฟิรูรุจะสงสัยว่าทั้งสองคนคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่ทั้งคู่นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ บางทีการเป็นฟรีแลนซ์มันคงไม่เหมือนกับการทำงานภายใต้ระบบราชการที่ต้องเอาแต่ชมเชยอยู่ตลอดก็ได้ เพราะทั้งสองคนไม่เห็นเหมือนจะเป็นแบบนั้นเลย และในตอนนี้ฟิรูรุก็มาถึงจุดที่ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบนั้นแล้วเช่นกัน
“ห้องมันไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ก็เข้ามาเถอะ”
ห้องนี้คือห้องพักของโรงแรมธุรกิจ ซึ่งมันแน่นอนว่าจะมีเก้าอี้เพียงพอสำหรับทุกคน เมื่อเมจิคัลเกิร์ลทั้งสองคนถอดเสื้อโค้ทออก เด็กสาวสวมชุดไว้ทุกข์ก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่ลังเล ในขณะที่เด็กสาวชุดเอี๊ยมและฟิรูรุนั่งลงที่แต่ละมุมของเตียงนอน
“อ๊ะ” เด็กสาวชุดเอี๊ยมพูด “พวกเราพูดถึงอีเมลนั้นได้งั้นเหรอ?”
“นั่นสิ” ฟิรูรุตอบ “นึกดูแล้ว พวกเราก็ไม่ควรพูดถึงมันใช่ไหม?”
“ฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอกเพราะพวกเราทุกคนเป็นผู้รับเหมือนกันหมด ถ้าเธอยังกังวลอยู่ล่ะก็ แบบนั้นฉันก็คิดว่าเธอก็พูดให้มันกำกวมก็ได้”
เด็กสาวชุดไว้ทุกข์แนะนำตัวเองว่าชื่อคาฟุเรีย เหมือนว่าเธอนั้นจะปรากฏตัวขึ้นในที่ที่มีการทะเลาะวิวาทและช่วยแก้ไขปัญหา แล้วก็รับคำขอบคุณเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น
“ชั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้รับอีเมลซะอีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แหะ”
เด็กสาวชุดเอี๊ยมคืออุตาคัทตะ เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นเหมือนเป็นทหารรับจ้าง และเมื่อใดก็ตามที่มีฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือ เธอก็จะถูกว่าจ้างอยู่ภายใต้สัญญาชั่วคราว
“เราเองก็คิดแบบนั้น”
ฟิรูรุนั้นอธิบายสถานการณ์ของเธอออกมาแค่เล็กน้อย เพราะการเปิดเผยทุกอย่างรวมถึงเรื่องการหางานของเธอนั้นมันน่าอายหน่อยๆ
เมื่อคืนก่อนหลังจากที่ทุกคนถูกเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์สองคนขับไล่ออกไปแล้ว พวกเธอก็หนีกระจัดกระจายออกไป จากนั้นทั้งสามคนก็ย้อนกลับมาบนดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างเดิมอีกครั้งแล้วก็แนะนำตัวเอง ที่แห่งนี้ทั้งสามคนคือผู้แพ้ มันจึงไม่จำเป็นที่ต้องพยายามปกปิดเจตนาของตัวเองอีกแล้ว ทุกคนนั้นบอกกันและกันว่ามาไล่ล่าเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ได้ยังไง และทุกคนก็ยังได้รับอีเมลที่น่าสงสัยเหมือนกันอีกด้วย
“ไงๆก็ พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกันใช่ไหมล่ะ?” คาฟุเรียพูด
“เพราะเด็กสาวพวกนั้นเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมากด้วย” อุตาคัทตะเห็นด้วย
“ถ้าสู้คนเดียวมันก็คงบ้าบิ่นไปหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
เธอรู้สึกแปลกใจและไม่ได้คิดว่าพวกเธอจะพยายามร่วมมือกันเลย แต่มันมีความจริงที่ว่าพวกเธอแพ้ในการต่อสู้แบบสามต่อสอง ใบหน้าของอุตาคัทตะก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ในขณะที่เส้นผมของคาฟุเรียก็เต็มไปด้วยเศษแก้ว และถ้าฟิรูรุออกไปสู้ด้วย เธอก็คิดว่าตัวเองคงไม่ชนะเช่นกัน
“เอาล่ะ” อุตาคัทตะพูดออกมา “ตอนนี้พวกเราร่วมมือกันไว้ดีกว่า”
“อื้อ” ฟิรูรุเห็นด้วย
“ฉันก็คิดว่ามันเป้นความคิดที่ดีนะ” คาฟุเรียตอบ
พวกเธอจะแบ่งรางวัลออกเป็นสาม อุตาคัทตะและคาฟุเรียนั้นจะแบ่งเงินรางวัลกัน ในขณะที่ฟิรูรุจะได้รับโอกาสในการจ้างงาน คาฟุเรียกับอุตาคัทตะสัญญาว่าพวกเธอจะใช้เส้นสายของตัวเองช่วยด้วยเช่นกัน ฟิรูรุนั้นเชื่อใจพวกเธอไม่ได้ก็จริง แต่พวกเธอก็อธิบายว่าหากรักษาสัญญาแบบนี้ไม่ได้ พวกเธอก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือกับลูกค้าไป
ในห้องของโรงแรมธุรกิจที่คับแคบ ตอนนี้มีเมจิคัลเกิร์ลสามคนนั่งชนเข่าเข้าหากันอยู่
“ทำไมพวกเราไม่บอกเวทมนตร์ของตัวเองออกมาให้คนอื่นรู้ล่ะ แบบนั้นจะได้ร่วมมือกันตอนต่อสู้ได้ ของเราคือสามารถเย็บทุกอย่างด้วยด้ายและเข็มเวทมนตร์”
“โฮะโฮ่ งั้นเหรอ เวทมนตร์ของชั้นคือสร้างฟองอากาศปริศนา”
“แหม พวกเธอนี่พูดตรงกันจัง ของฉันน่ะคือการรู้ว่าใครจะตายเป็นคนต่อไป”
ฟิรูรุคิดว่าเธออาจจะทำหน้าบูดเบี้ยวออกมาจริงๆก็ได้
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง อุตาคัทตะยิ้มออกมา “โหย ยอดสุดๆ งั้นในหมู่พวกเราสามคน ใครจะตายเมื่อไหร่กันล่ะ?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไหร่ ฉันแค่รู้คนที่จะตายเป็นคนต่อไปเท่านั้น มันอาจจะเป็นห้าสิบปีหลังจากนี้หรือสามนาทีก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดฉันก็ไม่ใช่คนต่อไป เพราะแบบนั้นมันก็เลยทำให้ฉันถึงรู้สึกโล่งอกไงล่ะ”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่พูดข้อมูลที่ฟังแล้วไม่รื่นหูเอาซะเลยออกมานะ” อุตาคัทตะหัวเราะพร้อมส่งเสียง ฮึฮึฮึ ออกมา ในขณะที่คาฟุเรียเองก็ส่งเสียง โฮะโฮะโฮะ ออกมา
ฟิรูรุเป็นคนเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจ เมจิคัลเกิร์ลฟรีแลนซ์เป็นแบบนี้กันหมดงั้นเหรอเนี่ย? เธอรู้สึกว่าตัวเองตามไม่ทันเลย งานเต็มเวลาน่ะดีที่สุดแล้ว เธอต้องรีบออกจากสถานการณ์แบบนี้ให้เร็วที่สุดให้ได้
“เอ่อ…นอกจากเวทมนตร์ของคาฟุเรียแล้ว เราอยากจะคุยเรื่องเวทมนตร์ของเรากับเวทมนตร์ของอุตาคัทตะเพิ่มอีกนิด เพื่อจะได้ร่วมมือกันได้มากขึ้น “
“ขอโทษนะที่เวทมนตร์ของฉันมันไม่มีประโยชน์”
“ไม่ ไม่ เราไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ต้องขอบคุณที่หลังของฉัน…”
คาฟุเรียชี้ไปที่ด้านหลังของเธอแล้วก็กระพือปีกอีกาที่งอกอยู่ที่นั่น
“เพราะมันทำให้ฉันบินได้ ดังนั้นมีประโยชน์แน่”
ในตอนนี้เป้าหมายอันดับแรกคือการระบุตำแหน่งของห้องวิจัยที่สร้างเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ขึ้นมา ดังนั้นการที่คาฟุเรียมีความสามารถในการบินที่สามารถมองดูโลกลงมาจากบนท้องฟ้าได้จึงมีประโยชน์มาก
“อื้อ ช่วยบอกพวกเราเรื่องนั้นด้วยนะ”
“ก่อนอื่นเธอก็ต้องยืนยันเรื่องนี้จากด้านบน”
อุตาคัทตะดึงเอาหนังสือออกมาจากภายในเสื้อแล้วเปิดมันออกบนเตียงนอน มันคือแผนที่ที่มีแผนที่ของเมือง S อยู่ภายใน นิ้วชี้ของอุตาคัทตะนั้นเลื่อนไปบนแผนที่อย่างเบามือ
“พวกสาวๆเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ทั้งหลายน่ะมันเข้ามาหาจากทางนี้ ซึ่งหมายความว่าฐานของพวกนั้นก็อยู่ในทิศทางนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นในอัเมลน่ะบอกว่า ‘ห้องวิจัยที่อยู่ในเมือง’ อีกด้วย”
“แบบนั้นห้องวิจัยก็อยู่ในทิศทางนี้ แต่มันก็อยู่ในเมืองด้วยงั้นเหรอ?”
“ถ้ามันถูกเรียกว่าห้องวิจัย ขนาดของมันก็น่าจะใหญ่สิ?”
“ถ้าเป็นสิ่งก่อสร้างใต้ดินขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าเล็กๆล่ะก็ มันคงลำบากแหง อืมมม”
“ตอนนี้” ฟิรูรุพูด “มาพยายามหาจุดที่มีสิ่งก่อสร้างที่น่าสงสัยอยู่ดีกว่านะ”
“ฉันคิดได้เยอะแยะเลยล่ะ”
“ชั้นก็ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไปตรวจดูกันให้ได้มากที่สุดในตอนที่ยังสว่างอยู่กันเถอะ”
“มีเสื้อโค้ทแบบไหนบ้างไหมที่จะทำให้ฉันดูไม่แปลกตาตอนที่ยังมีผ้าคลุมหน้าอยู่น่ะ?”
“ดูไม่น่าจะมีนะนั่น”
“ถูกจำกัดให้ใส่กิโมโนแบบนี้ทำให้ยากขึ้นกว่าเดิมอีก”
ทั้งสามคนลุกขึ้นยืนแล้วก็ออกจากห้องไป
บทคั่น
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
“แขกคนอื่นออกไปรึยัง?”
“อื้อ ออกไปแล้ว”
“เธอพอใจรึเปล่า?”
“เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
“โอ้ ดีจังเลย”
หญิงชรายิ้มกว้างออกมาจนเห็นฟันหน้า ฟันของเธอนั้นหายไปหลายซี่ด้วย
“การได้ผูกมิตรกับคนในฝ่ายทรัพยากรบุคคลนี่เป็นเรื่องดีนะ รู้ไหม ตอนที่ชั้นยังออกปฎิบัติการอยู่น่ะคนเขาพูดกันว่าพวกนั้นหยิ่งสุดๆเลยล่ะ”
“ตอนนี้คุณก็ยังออกปฎิบัติการได้อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เธอยอชั้นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ”
หญิงชรานั้นหัวเราะออกมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็หัวเราะออกมามากเกินไปจนไอออกมา เฟรเดริก้าจึงลูบหลังแล้วก็เช็ดน้ำตาของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้า จากนั้นหญิงชราก็พูดออกมาอย่างใส่ซื่อ
“เธอคงต้องไม่อยากแก่แน่ๆ”
เสียงนั้นไม่ได้ฟังดูเศร้าเหมือนกับคำพูด ซึ่งมันคงหมายความว่าเธอยังคงเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ออกปฎิบัติการอยู่
หญิงชรายกถาดที่ใส่ถ้วยชาแล้วก็ชามออกไป ปล่อยให้เฟรเดริก้าอยู่คนเดียวภายในห้อง
ที่ภายนอกหน้าต่างนั้นมีอีกาสองตัวที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกันเกาะพักอยู่ที่สายโทรศัพท์ แม้ที่แห่งนี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความสวยงามของทิวทัศน์อะไรก็ตาม แต่ถ้าใส่ใจดูแลทิวทัศน์เพิ่มอีกซักนิดก็คงจะเป็นเรื่องดี
เฟรเดริก้าไม่ได้เจอ 7753 มาพักนึงแล้ว และการพบกับเธอในตอนนี้มันก็ยังคงรู้สึกเช่นเดิม เธอไม่เคยร่วงโรย เสื่อมเสีย ทำอะไรแย่ๆ หรือเปลี่ยนแปลงไป เธอคือ 7753 คนเก่า เฟรเดริก้าได้ยินว่าเธอนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันกับเท็ปเซเคเมย์ บางทีพวกเธออาจจะส่งอิทธิพลที่ดีให้กันและกันก็ได้ เฟรเดริก้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แม้จะรู้ว่าพวกเธอไม่ชอบเฟรเดริก้าก็ตาม เฟรเดริก้าสงสัยว่าถ้าเธอพยายามดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา ทางนั้นจะรับฟังเธอบ้างไหมนะ
ส่วนพีเฟิลนั้นอย่างน้อยจะแสร้งทำเป็นฟัง เธอนั้นเป็นคนที่อยู่เหนือกว่าเฟรเดริก้าในฐานะผู้วางแผน จากอายุของเธอแล้วเฟรเดริก้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก แต่เฟรเดริก้าก็รู้เช่นกันว่าบางทีพวกเธอคงไม่ชอบหน้ากันแน่
เธอเข้าใจในสิ่งที่พีเฟิลต้องการ บางอย่างเธอก็ยอมรับได้ แต่พีเฟิลนั้นไม่ควรยืนอยู่ในฐานะผู้นำเพราะเธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติ
เฟรเดริก้านั้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกศิษย์ของเธอนอกเหนือจากสโนไวท์ได้ และกับเมจิคัลเกิร์ลคี๊ค คนที่โดนสโนไวท์กำจัดไปแล้ว ไม่ว่าจะย้อนระลึกถึงความทรงจำนั้นหรือจะฝังมันลงไป เฟรเดริก้าก็เห็นว่าพวกเธอก็เข้ากันได้ดี
เฟรเดริก้าสามารถเข้าถึงอาณาเขตดิจิตอลของคี๊คได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถดาวน์โหลดบันทึกเกมสังหารเมจิคัลเกิร์ลที่คี๊คสร้างขึ้นมาได้
เฟรเดริก้ารู้ในสิ่งที่พีเฟิลทำลงไปและสิ่งที่คนอื่นทำเพื่อหลบหนีจากวิกฤตินั้นด้วย พีเฟิลนั้นแทบจะตัดสินใครไม่พลาดเลย นอกเหนือจากเวทมนตร์ที่สามารถแล่นวีลแชร์ด้วยความเร็วสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอแล้ว อาวุธหลักของพีเฟิลก็คือความสามารถในการรับและจัดการข้อมูล
และเรื่องนี้มันก็เป็นจริงมากขึ้นไปอีก ยิ่งเธอมีผู้เชี่ยวชาญด้านการรวบรวมข้อมูลอย่าง 7753 อยู่ในมือ เธอก็สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าใครจะทำอะไร จากนั้นเธอก็จะเข้าไปยุ่งด้วยเพื่อสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการออกมา แม้จะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างเฟรเดริก้าที่จะทำให้พวกคนมีอำนาจหน้านิ่วคิ้วขมวดเธอก็จะควบคุมเช่นกัน แถมเฟรเดริก้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรที่เป็นภัยกับเธอได้เพราะมีเวทมนตร์ของเว็ดดิ้นอยู่ด้วย แต่อย่างน้อยเฟรเดริก้าหลอกผู้ที่มาช่วยเหลือในสถานการณ์ที่จำเป็นที่สุดนั้นด้วยการแสร้งเป็นว่าส่ายหางดีใจ
ถ้าพีเฟิลเจอกับสโนไวท์มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ? แค่คิดเรื่องนี้ขึ้นมามันก็ทำให้แก้มของเฟรเดริก้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้ว พีเฟิลคงกลายเป็นเรื่องท้าทายของสโนไวท์แน่ๆ และสโนไวท์ก็จะได้รับประสบการณ์ จนกลายเป็นรากฐานของหนทางสู่เมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติ
หากพีเฟิลจะตัดสินใครบางคนพลาด แล้วคนแบบนั้นจะเป็นคนยังไงกันนะ?
เครื่องจักรที่ไร้ซึ่งอารมณ์ นักบุญผู้เสียสละ คนคลั่งศาสนาที่มีตรรกะยากต่อการเข้าใจ คนบ้าที่ไม่ได้ซ่อนสิ่งใดเอาไว้
ไม่สิ พีเฟิลนั้นแตกต่างออกไป ยิ่งทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้มากเท่าไหร่ พีเฟิลก็ต้องระวังมากขึ้นเท่านั้น หากพีเฟิลต้องตัดสินคนที่มีพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ เธอก็ต้องจัดการไปตามความเหมาะสม และไม่ได้ตัดสินผิดแต่อย่างใด
หากพีเฟิลตัดสินคนพลาด แบบนั้นถ้าเธอจะตัดสินพลาดไปด้วยก็คงจะไม่เป็นอะไรรึเปล่านะ?
ที่ภายนอกหน้าต่าง อีกานั้นกำลังจัดขนของกันและกันอยู่ ทัศนยภาพนอกเหนือจากที่นี่ บางทีอาจสวยงามพอสมควรก็ได้ หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย จากนั้นเฟรเดริก้าก็ดึงเอาซองสีน้ำตาลออกมาจากแขนเสื้อ
คำสั่งที่อยู่ด้านในนั้นกระชับและเข้าใจง่าย
นี่คือ “แผนการเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์” โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่นี่สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้โดยที่ไม่คำนึงถึงว่าพวกเธอจะมีศักยภาพหรือมีแผนการร้ายรึเปล่า วิธีการนี้มันมาจากโทโกะที่เป็นมาสค็อทของเมือง S และได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น แผนการนี้ถูกทำให้สมบูรณ์เพื่อเป็นเป้าหมายในระยะยาวแทนที่จะทำอะไรชั่วครั้งชั่วคราวแบบการซื้อเวลา เป็นการใช้เวลาและเงินให้เป็นประโยชน์ บางทีมันอาจจะสร้างเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติที่เฟรเดริก้าแสวงหามาตลอดขึ้นมาก็ได้
แต่เธอสงสัยดินแดนเวทมนตร์จะนั่งอยู่เฉยๆแล้วปล่อยเรื่องนี้ไปงั้นเหรอ พวกนั้นคงไม่หลับหูหลับตากับการเพิ่มจำนวนของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ผ่านกระบวนการทดสอบของดินแดนเวทมนตร์ที่อาจจะเป็นการพยายามสร้างกองทัพส่วนตัวไปหรอก ทั่วทั้งดินแดนเวทมนตร์ มันต้องมีผู้นำบางคนที่จะเดิมพันชื่อเสียงของตัวเองเพื่อหยุดมันแน่
“หืมม”
ที่พักของพีเฟิลถูกโจมตี ในตอนนี้หัวหน้าของทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลอย่างพีเฟิลนั้นกระทำการอะไรไม่ได้ นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงพยายามใช้งานเฟรเดริก้า เฟรเดริก้านั้นเหมาะกับงานนี้ และพีเฟิลก็ไม่ได้ทำพลาดในการเลือกบุคคลากรเลย
ทำไมเธอถึงพยายามทำอะไรแบบนี้กันนะ? อะไรมันบังคับเธอให้ต้องทำแบบนี้? ใครกันคือคนที่โจมตีบ้านของพีเฟิลและเป้าหมายคืออะไรกันแน่?
มีบางคนกำลังพยายามทำลายแผนการเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์อยู่ พีเฟิลนั้นไม่ได้ประมาทหรือนั่งรออยู่เฉยๆอย่างใจดีแล้วปล่อยให้ถูกทำลายไป เธอจะไม่ยอมให้แผนนี้ถูกทำลายและจะไม่ทนอยู่เฉยๆ พีเฟิลคือเมจิคัลเกิร์ลที่จะโจมตีคู่ต่อสู้จากจุดที่ไม่คาดคิด
เป้าหมายของเธอเหมือนจะเป็นการกระจายความจริงของเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ไปทั่วในฐานะเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้จากสาธารณะและสิ่งที่สำเร็จแล้ว หากมันไปถึงจุดนั้น แม้จะเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมหรือฝ่ายที่ยึดมั่นในหลักการภายในดินแดนเวทมนตร์ก็จะไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีก ไม่ว่าพวกนั้นจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใช้เทคโนโลยี มันก็จะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเมื่อมันเกิดขึ้น การตัดสินใจนั้นจะทำในรูปแบบของรัฐสภาในหมู่สามปราชญ์ที่มีอำนาจสูงสุด เฟรเดริก้าไม่รู้ว่าพีเฟิลนั้นวิ่งเต้นแบบไหนแต่เธอก็ควรจะมีโอกาสชนะอย่างยุติธรรม
มันคือความตั้งใจของเธอมาโดยตลอด หรือเธอจนมุมจนต้องทำแบบนี้กันนะ? พีเฟิลไม่ได้พยายามผูกขาดเทคโนโลยีนี้เอาไว้คนเดียว เธอมีเป้าหมายว่าจะกระจายมันออกไป แต่เพื่ออะไรล่ะ? เพื่อที่จะมีพลังในการต่อต้านดินแดนเวทมนตร์งั้นเหรอ?
เด็กสาวคนนี้ทำอะไรได้ชั่วช้าจริงๆ
เฟรเดริก้าทำได้แค่คิดเพียงอย่างเดียว เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นยังคงผูกมัดตัวเธอเอาไว้ เธอต่อต้าน 7753 ไม่ได้ ซึ่งมันก็หมายถึงเธอต่อต้านพีเฟิลไม่ได้เช่นกัน นั่นคือส่วนหนึ่งว่าทำไมเธอถึงขอความช่วยเหลือจากฝ่ายทรัพยากรบุคคล หากจะมีใครที่เอาเฟรเดริก้าไปเป็นพวก พวกนั้นจำเป็นต้องมีคนที่คอยควบคุมเฟรเดริก้า สำหรับพีเฟิลแล้ว คนๆนั้นก็คือ 7753
จู่ๆประตูก็เลือนเปิดออก เฟรเดริก้าจึงมองไปยังที่นั่น
คนที่ยืนอยู่ก็คือเมจิคัลเกิร์ลที่แต่งกายด้วยชุดนินจา จากข้อศอกของมือซ้ายลงไปด้านล่างมันไม่มีอะไรอยู่เลย และที่ตาซ้ายของเธอก็มีบาดแผลจากดาบเป็นแนวตั้งอีกด้วย
“กลับมาแล้ว”
“เหนื่อยหน่อยนะ ตอนนี้ก็พักผ่อนก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะรินชาอร่อยๆให้เอง”
MANGA DISCUSSION