ตอนที่ 7 :
การจู่โจมของแม่มด
☆ เว็ดดิ้น (เหลือเวลาอีก 15 ชั่วโมง 22 นาที)
พวกเธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตลอดทั้งคืน เพราะเกมไล่จับอันแสนอันตรายมันเริ่มขึ้นเมื่อมีเมจิคัลเกิร์ลอีกสี่คนปรากฏตัวขึ้นมาขัดจังหวะพวกเธอจากด้านในโรงงาน
พวกเธอทั้งเก้าคนจ้องหน้ากันและกัน บางคนยิ้มออกมาอย่างโง่ๆที่หน้าโรงงานร้างที่ปิดตัวลงเพราะฟองสบู่แตก ที่นี่คือพื้นที่เสื่อมโทรม ไฟถนนเองก็ใช้การไม่ได้ ยางมะตอยบนพื้นก็เป็นหลุมเป็นบ่อ รั้วเหล็กเองก็บิดไม่ได้รูป กลับถูกประดับประดาไปด้วยเด็กสาวที่งดงาม
เว็ดดิ้นตัวสั่นเมื่อเห็นทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้นมาจากโพรง พวกเธอดูแตกต่างกับเมจิคัลเกิร์ลที่พวกเธอเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ เมื่อนินจาตรึงเธอเอาไว้กับพื้นเว็ดดิ้นก็ตัวสั่นเพราะกลัวความเจ็บปวด เมื่อหูกระต่ายไล่ล่าเธอ เว็ดดิ้นก็รู้สิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนอะไรบ้างหากถูกจับตัวได้ และการที่เธอตะโกนใส่เท็ปเซเคเมย์มันก็เป็นเพียงความพยายามที่จะลดความรู้สึกเหล่านั้นลงไป แม้นิดเดียวก็ยังดี
เมจิคัลเกิร์ลสองคนนั้นดูน่ากลัวมาก เว็ดดิ้นเทียบกับพวกเธอไม่ได้เลย แม้กระทั้งเท็ปเซเคเมย์และคุรุคุรุ ฮิเมะที่แข็งแกร่งกว่าเธอ ก็ไม่สามารถจัดการสองคนนั้นได้แบบหนึ่งต่อหนึ่งเช่นกัน
การที่เห็นสี่คนนี้โผล่ออกมานั้น เว็ดดิ้นก็ตระหนักได้ว่ามันคือความผิดพลาดของเธอ การที่เธอกลัวหูกระต่ายกับนินจานั้นเป็นเพียงแค่ความขี้ขลาดของเธอเอง เธอตกใจกลัวศัตรูที่ไม่มีเหตุผลให้จำเป็นต้องกลัว หูกระต่ายนั้นเป็นแค่เมจิคัลเกิร์ลที่ดูแฟนซี พวกเธอจึงดูไม่มีอันตรายอะไร
แต่ทั้งสี่คนนั้นมันต่างออกไป พวกเธอไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากบรรยากาศของความรุนแรง เพียงแค่เว็ดดิ้นยืนอยู่ตรงหน้าก็อยากจะล้มลงไปกองอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ก็หมอบคลานลงไปแทบเท้าของพวกเธอ
เว็ดดิ้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองจะหมดสติ ไม่ว่าเธอจะพยายามบังคับยังไง ความกลัวก็ยังคงแผ่ซ่านอยู่ภายในตัวเธอ มันพร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อถึงโอกาส เธอพยายามอย่างมากเพื่อสงบความรู้สึกนั้น ซ่อนมันเอาไว้ และเมื่อเธอมองไปยังหูกระต่ายก็พบว่า ใบหน้าของเธอนั้นแข็งทื่อ มันไม่ใช่สายตาแบบที่มองดูกำลังเสริมเลยซักนิดเดียว
“ฉันแนะนำว่าไม่ต่อต้านจะดีกว่านะ เธอไม่อยากเจ็บตัวใช่ไหมล่ะ?”
นักทำนายบอกพวกเธอพร้อมกับรอยยิ้ม เหมือนว่าเธอไม่ใช่พวกเดียวกับหูกระต่าย ศัตรูของศัตรูมันก็ยังคงคือศัตรูอยู่ดี สถานการณ์ตอนนี้มันซับซ้อน แต่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันอาจมีบางอย่างที่เว็ดดิ้นสามารถทำได้ที่นี่
“เลิกเล่นเกมได้แล้ว ไอ้พวกเวรเอ๊ย!”
คำพูดเหยียดหยามและฟังดูเด็กเช่นนั้นออกมาจากปากของกัปตันเกรซในขณะที่เธอฟันเข้าไปหาศัตรู และนักดาบนั้นก็ตอบโต้มาอย่างสบายๆ ป้องกันการโจมตีของเธอ ดาบโค้งที่ดูป่าเถื่อนของโจรสลัดปะทะเข้ากับเรเปียอันงดงามของนักดาบ เสียงสะท้อนของโลหะที่กระทบกันดังไปทั่วทั้งบริเวณถนนแคบๆนี้
กัปตันเกรซดันดาบโค้งของเธอและพยายามเตะศัตรูเข้าไปที่ท้อง แต่นักดาบนั้นก็หลบได้ จากนั้นกัปตันเกรซก็ฉีกรั้วโซ่ที่บิดงอออกมาจากพื้นและขว้างมันออกไป แต่นักดาบก็หั่นมันจนกลายเป็นชิ้นๆด้วยเรเปียของเธอ กัปตันเกรซยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง เธอถีบตัวกับกำแพงเพื่อพุ่งตัว แล้วหันกลับมาเตะเข้าไปที่บล็อคซีเมนต์เพื่อดันก้อนซีเมนต์พุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้ นักดาบนั้นกระโดดขึ้นไปบนก้อนซีเมนต์ที่ปลิวเข้าไปหาแล้วก็ลงมาบนพื้นอย่างนิ่มนวล ก้อนซีเมนต์ที่นักดาบหลบไปนั้นทะลุผ่านกำแพงไปราวกับเป็นลูกกระสุน
เว็ดดิ้นจะไปช่วยกัปตันเกรซ แต่เธอก็หยุดตัวเองเอาไว้ เธอแทบจะมองไม่ทันเลยว่ากัปตันเกรซนั้นเคลื่อนไหวเร็วขนาดไหน และคู่ต่อสู้เองก็ฟาดฟันด้วยความรู้สึกสนุกสนานในความเร็วที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากเว็ดดิ้นเข้าไปร่วมด้วยมันก็จะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย เธอไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายโดยที่ไม่คิด เว็ดดิ้นเริ่มคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไร ควรจะเคลื่อนไหวแบบไหน
พรรคพวกของเธอไม่ได้ขยับตัวเลย ไม่สิ พวกเธอขยับไม่ได้รึเปล่านะ? ฟันนี่ทริคนั้นตัวสั่นใบหน้าของเธอเองก็ซีดจนไร้สี เมื่อเปรียบเทียบกับเท็ปเซเคเมย์แล้ว ดวงตาของเธอนั้นค่อนข้างสงบนิ่งกว่า ท่าทางของเธอในขณะมองไปที่ศัตรูนั้นยังคงดูว่างเปล่าเช่นเดิม พวกศัตรูนั้นยิ้มไม่ก็ยิ้มเยาะในขณะที่ดูการต่อสู้ พวกเธอดูไม่กังวลอะไรเลย และตอนนั้นเองหูกระต่ายก็วิ่งหนีออกไปแล้ว
นักทำนายกระซิบอะไรบางอย่างกับนักดาบ จากนั้นนักดาบก็พยักหน้าอย่างใจเย็น
นักดนตรีกับนักทำนายนั้นกระโดดข้ามหัวของเว็ดดิ้น พวกเธอกระโดดข้ามกำแพงไล่ตามหูกระต่ายไปพร้อมกัน
หากเว็ดดิ้นคิดจะเข้าไปสู้ด้วยล่ะก็ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้ว แต่ถึงจำนวนศัตรูจะถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่ง เว็ดดิ้นก็ยังคงไม่รู้สึกว่าเธอกับเพื่อนของเธอจะเอาชนะได้ พวกเธอไม่ควรจะเอาชนะด้วยการต่อสู้ นั่นหมายถึงกัปตันเกรซกำลังขัดขวางเธออยู่ เว็ดดิ้นเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้นมาว่า
“ทิ้งดิฉันไว้แล้วหนีไปซะ!”
เว็ดดิ้นนั้นทำให้ทุกคนฟังคำสั่งของผู้นำเมื่อถึงเวลา แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้จริงจังตอนที่ทำสัญญากับเว็ดดิ้น แต่เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นนั้นจะบังคับไม่ให้ใครผิดสัญญา
กัปตันเกรซที่ยังคงเอาดาบโค้งชี้ไปที่ศัตรูก็กระโดดขึ้นไปด้านบนของสิ่งก่อสร้าง ฟันนี่ทริคเองก็กระโดดขึ้นไปเช่นกัน เท็ปเซเคเมย์เองก็มองเว็ดดิ้นอยู่ครู่หนึ่งแต่เธอก็ขัดคำสั่งไม่ได้จึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ศัตรูคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เด็กสาวที่สวมชุดมีรอยเย็บที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงงานนั้นหันมาพยักหน้าให้กับนักดาบ จากนั้นก็กระโดดตามขึ้นไปด้านบนสิ่งก่อสร้าง นักดาบนั้นไม่ได้ตามไปแต่กลับเข้ามาหาเว็ดดิ้น ตอนที่เห็นนักดาบนั้นต่อสู้กับกัปตันเกรซ เว็ดดิ้นก็รู้ตัวดีว่าตัวเองเทียบกับคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ได้
หัวของเธอหมุนไปหมด เธอรู้สึกเหมือนจะสลบและหายใจไม่ออก มันยากที่จะทำให้ตัวเองสงบใจลงได้ การแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันทำให้ทนต่อความหนาวเย็นมากขึ้น แต่ในตอนนี้ความเย็นกลับแล่นผ่านอยู่ในกระดูกของเธอเช่นเดิม เธอรู้สึกราวกับจะตัวจะแข็งทื่อ ไอสีขาวฟุ้งตอนที่เธอหายใจออกมาก็ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ
กัปตันเกรซและนักดาบนั้นต่อสู้ในระดับที่จะช่วงชิงชีวิตของอีกฝ่าย เว็ดดิ้นจึงคิดข้ออ้างขึ้นมาว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยเพราะพวกเธอนั้นเคลื่อนไหวกันเร็วเกินไป ปกติแล้วมันไม่เหตุผลอะไรให้มนุษย์เข้ายุ่งกับการต่อสู้ของสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำคอของอีกฝ่ายหรอก
เธอเฝ้าบอกตัวเองว่าให้ใจเย็นไว้ หูกระต่ายหลอกล่อพาคู่ต่อสู้สองคนออกไปแล้ว พวกเธอนั้นจำเป็นต้องแยกศัตรูออกจากกัน และตั้งแต่ที่เด็กสาวที่สวมชุดที่มีรอยเย็บไล่ตามหลังทั้งสามคนออกไปคนเดียว อย่างน้อยก็น่าจะมีสองคนที่หนีรอด ในขณะที่มีหนึ่งคนที่ต้องเสียสละ แต่เว็ดดิ้นก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง การตัดสินใจต่างๆของเธอนั้นมันขึ้นอยู่กับการคำนวน พวกเธอหนีไปจากศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นหากมีคนรอดจากสองในสามถือว่าเป็นเรื่องดี
และในตอนนี้ เธอนั้ต้องสู้แบบตัวต่อตัว เปลวเทียนบนหัวที่เป็นเครื่องแต่งกายของเธอนั้นก็ส่งเสียงประกายไฟออกมาแรงขึ้น
กล้าเข้าไว้สิ อย่าขี้ขลาด ดิฉันเป็นผู้นำ เพราะแบบนั้นจะแพ้ไม่ได้
นักดาบนั้นเริ่มเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มบนหน้า เธอนั้นดูงดงามและสูงส่งแต่ก็ดูเหมือนดั่งความตายเช่นกัน ถ้าเว็ดดิ้นตายจะเกิดอะไรขึ้นนะ? มันมีชีวิตหลังความตายรึเปล่า? เธอจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันนะ? ถ้าตายแล้วก็คือจบงั้นเหรอ? เมื่อตายไปแล้วมันก็จะไร้ซึ่งสติ เป็นแค่ความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์?
ความรู้สึกกลัวความตายของเธอนั้นพุ่งสูงขึ้น เธอกัดฟันและกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้
เว็ดดิ้น หรือมิเนะ มุสุบิยะนั้นไม่เธอจะอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัว การตัดสินใจทุกอย่างของเธอนั้นขึ้นอยู่กับการคำนวนส่วนได้ส่วนเสีย เมื่อทุกคนหนีไปได้แล้ว เธอก็คิดส่วนได้ส่วนเสียโดยรวมเสร็จสิ้น เพราะเธอรู้ว่าตัวเองอืดอาดเกินที่จะวิ่งหนีไปได้ เธอจึงมั่นใจว่าการอยู่ที่มีจะมีประโยชน์กว่าการหนีไปแน่ ตัวเลือกที่เหลืออยู่ของเธอคือการเสียสละตัวเองนั้นไม่ใช่ความใจกว้างแต่อย่างใด
เธอมีโอกาสชนะ เว็ดดิ้นยกมือขึ้นสองข้างเข้าหานักดาบ เธอบังคับตัวเองที่ทำแข็งทื่อให้อ่อนโยนขึ้นและยิ้มออกมาเหมือนกับที่อีกฝ่ายทำ
“ดิฉันแพ้แล้ว ขอยอมแพ้ ดิฉันจะไม่สู้อีกแล้ว โปรดไว้ชีวิตดิฉันด้วย”
นักดาบนั้นเหมือนว่าไม่เข้าใจที่เธอพูด เว็ดดิ้นนึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดภาษาต่างประเทศ… เธอพูดเร็วมากจนยากจะจับความได้ แต่เหมือนว่ามันจะเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นเว็ดดิ้นจึงพูดออกไปใหม่ว่า “ดิฉันขอยอมแพ้”
นักดาบนั้นหยุดโจมตีในระยะที่ห่างไปสามเมตร เธอสะบัดขนนกที่ประดับอยู่บนหัวด้วยปลายนิ้ว มุมปากเชิดขึ้น นั่นเธอยิ้มงั้นเหรอ? เธอเองก็ระแวงเช่นกันสินะ
เว็ดดิ้นยังคงเครียดแม้จะประกาศว่าตัวเองยอมแพ้ไปแล้ว เธอนั้นไม่ได้ยกมือขึ้นเพราะเธออยากแสดงความจริงใจ ในความเป็นจริงแล้ว เธอรู้สึกว่าการต่อสู้มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
การสู้กันเหมือนที่สู้กับกัปตันเกรซมันไม่ใช่วิธีเดียวในการต่อสู้ การจงใจให้ศัตรูจับตัวได้ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง พลังของเว็ดดิ้นนั้นคือการบังคับให้ผู้คนรักษาสัญญา จำนวนของสัญญานั้นไม่จำกัด และแม้ว่าตัวเธอจะทำผิดสัญญาเองได้ แต่คนอื่นจะไม่มีวันผิดสัญญาได้
เมื่อถูกจับกุมเธอก็อาจจะถูกตั้งคำถาม เว็ดดิ้นรู้สึกกังวลเรื่องการพูดคุยในภาษาอังกฤษ แต่ก็คงจะไม่เป็นอะไรถ้ามีบางคนแปลให้เธอ เธออาจจะถามคำถามออกมาได้ทีละนิด พยายามดึงอะไรที่ดีที่สุดออกมาให้ได้โดยไม่ต้องโดนทรมาณ แล้วก็พยายามสร้างโอกาสคุย ทีละนิดทีละนิด เธออาจจะทำสัญญากับพวกนั้นได้ ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดไหน เว็ดดิ้นจะชนะถ้าศัตรูคิดว่าสัญญาปากเปล่านั้นไร้ความหมาย เธอต้องลากสิ่งต่างๆออกมาทีละนิดอย่างไม่เร่งรีบ…
นักดาบนั้นก้าวเข้ามาหาเว็ดดิ้นจนห่างกันแค่ครึ่งก้าว เธอสะบัดเรเปียสองครั้งก่อนที่จะใส่มันกลับเข้าไปในฝัก
“งั้นรึ? ช่างน่าชื่นชมจริง”
ก่อนหน้านี้ เว็ดดิ้นไม่เข้าใจว่านักดาบนั้นพูดอะไร แต่ในตอนนี้เธอเข้าใจมันอย่างชัดเจน นักดาบนั้นไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นแต่กำลังพูดภาษาอังกฤษอยู่
เว็ดดิ้นไม่ได้ตั้งคำถามอะไรกับเรื่องนี้ เธอแค่ยอมรับมันอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้น จากนั้นเธอก็ก้มหัวลง
“ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันขอบคุณสำหรับการกระทำอันแสนมีน้ำใจ”
“จะว่าไป…”
คราวนี้นักดาบนั้นยิ้มจริงๆ เธอไม่ได้ดูเหมือนคนที่ระแวงซักนิด
“แม้มันจะไม่มีอะไรบ่งบอก แต่พวกข้านั้นคือผู้ตรวจการ อย่างที่คิดนั่นแหละ พวกข้าเจอคนโกหกมานักต่อนักแล้ว”
อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาอย่างไม่ประมาท จากนั้นก็เอามือมาวางบนไหล่ของเว็ดดิ้น
“เจ้ารู้รึเปล่า พวกข้าน่ะเจอคนแบบนั้นมานานหลายปีมาก เพียงแค่มองดูใบหน้าพวกข้าก็เข้าใจผู้คนได้ง่ายๆแล้ว คนที่จะทำเรื่องเลวร้ายในอนาคต หรือคนที่จะโกหก คนที่พยายามจะหลอกลวง ไม่ก็คนที่กำลังวางแผนเพื่อทำอะไรบางอย่าง ทุกอย่างน่ะมันปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนบนใบหน้า”
เธอจับไหล่ของเว็ดดิ้นด้วยความรู้สึกราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว จากนั้นเธอก็ชักเรเปียออกมาราวสิบเซ็นติเมตรจากฝักเพื่อให้มองเห็นใบดาบ
“ข้าใช้ดาบเล่มนี้กับคนโง่เขลาเช่นนั้น นี่คือดาบเวทมนตร์ ใครก็ตามที่โดนดาบเล่มนี้เข้าไปก็จะติดอยู่ในความเข้าใจผิด”
“ความเข้าใจผิด?”
“ใช่แล้ว ความเข้าใจผิด เพียงแค่สิ่งที่เล็กจ้อยที่สุด ความเข้าใจผิดอย่างเบาบางที่สุด อย่างเช่น เข้าใจผิดคนที่ควรจะสู้ด้วยในฐานะศัตรูเป็นเจ้านายที่ตนต้องรับใช้ และไม่ใช่เพียงแค่รับใช้ แต่จะกลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อเจ้านายด้วย โฮะโฮ่ แต่อย่าไปคิดว่ามันคือการล้างสมองเชียวล่ะ แต่มันเป็นสิ่งที่ ‘เมื่อแทงลงไปที่ใครซักคน ความเป็นจริงของคนๆนั้นจะเปลี่ยนไป’ มากกว่า อย่างคนที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลยจนถึงตอนนี้อย่างเจ้า กลับกลายเป็นสนทนากับพวกข้าได้อย่างเพลิดเพลินราวกับเป็นมิตรเช่นนี้ยังไงล่ะ”
เธอเลื่อนดาบของตัวเองลงไปในฝักจนเกิดเสียงดังขึ้น
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้ายังคงมีงานต้องทำอยู่… เจ้าชื่ออะไร?”
“ดิฉันชื่อเว็ดดิ้นค่ะ”
“เป็นชื่อที่ดี เช่นนั้นก็ช่วยข้าด้วยแล้วกัน”
พูคินวิ่งออกไปพร้อมกับเว็ดดิ้นที่ตามไปด้านหลังอย่างร่าเริง เว็ดดิ้นนับถือพูคินมาเป็นสิบปีแล้ว เธอทำตามทุกคำสั่งจากพูคิน และการตามพูคินไปคือตัวเลือกที่ถูกต้องแน่นอน เธอไม่เสียใจในการทรยศพวกพ้องเพื่อพูคินเลย เพราะพูคินนั้นมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ
☆ กัปตันเกรซ (เหลือเวลาอีก 15 ชั่วโมง 15 นาที)
กัปตันเกรซหงุดหงิดกับร่างกายของตัวเองที่วิ่งไปตรงกันข้ามกับความต้องการ แต่เธอเองก็รู้สึกโล่งใจที่สามารถหนีออกมาได้ด้วย ความรู้สึกแบบนั้นมันทำให้เลือดของเธอเดือดพล่าน เธอทั้งข้ามผ่านดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้าง วิ่งและกระโดดผ่านตรอกซอกซอยที่ดำมืด แต่เธอก็ยังคงรู้สึกว่าศัตรูนั้นยังคงไล่ตามมาไม่ห่าง
นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตของกัปตันเกรซที่รู้สึกลังเลในการต่อสู้ แต่อุมิ ชิฮาบาระไม่เคยลังเลมาก่อน เธอรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเองควรจะทำอะไร จะเป็นการต่อย การเตะ หรือการจับแล้วโยน ทุกสิ่งที่เธอต้องทำคือการรักษาความต้องการจะต่อสู้เอาไว้และปลดปล่อยความรุนแรงออกมาตาที่ร่างกายสั่งการ
เธอเย้ยหยันใส่พวกคนธรรมดาที่ตัวแข็งทื่อเมื่อเจอนักเลงหาเรื่องทุกครั้ง ถ้าชนะได้ก็ควรจะสู้ ถ้าชนะไม่ได้ก็ค่อยหนี มันโง่เง่าที่ปล่อยให้อีกฝ่ายปล้นโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย
ตอนที่เมจิคัลเกิร์ลสี่คนปรากฏตัวขึ้น ไม่ใช่ว่ากัปตันเกรซขยับตัวไม่ได้ เธอแค่ลังเล
เมจิคัลเกิร์ลสี่คนที่ปรากฏตัวออกมาจากทางเข้าโรงงานนั้นดูแข็งแกร่ง คนที่มีกีตาร์อยู่ที่หลังและอีกคนหนึ่งที่มีคริสตัลบอลนั้นดูแข็งแกร่งเทียบเท่ากับหูกระต่ายหรือนินจา คนที่ถือดาบกับเด็กสาวที่สวมชุดมีรอยเย็บนั้นดูแข็งแกร่งกว่า แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าสีดำที่เธอสู้ตรงอพาร์ทเมนท์ แม้พวกเธอจะจ้องมองกันอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน แต่กัปตันเกรซก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังดูถูก
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเลย กัปตันเกรซควรพยายามจะเข้าไปสู้ระหว่างคนพวกนั้นกับหูกระต่าย แต่คนอื่นล่ะ? เท็ปเซเคเมย์บินหนีไปในอากาศได้ก็จริง แต่ถ้าศัตรูพุ่งเข้าไปหาฟันนี่ทริคกับเว็ดดิ้นล่ะ กัปตันเกรซรู้ตัวว่ามันตึงมือเกินไปที่เธอจะป้องกันทุกคนได้
เธอโกรธเพราะการคิดแบบนั้นมันก็เหมือนกับข้อแก้ตัว กัปตันเกรซฟาดดาบของเธอเพื่อพยายามจะสลัดความอ่อนแอทิ้งไป
แผนของเธอคือจัดการศัตรูในทีเดียว แต่กลับถูกหลบได้อย่างง่ายดาย ดาบบางๆของคู่ต่อสู้นั้นดูราวกับจะงอได้ด้วยการทุบเพียงแค่เบาๆ กลับมีความยืดหยุ่นจนสามารถปัดป้องการโจมตีของกัปตันเกรซได้ นักดาบกับพวกของเธออีกสามคนนั้นกำลังยิ้ม พวกเธอมองดูการต่อสู้อย่างสนุกสนาน
อีกฝ่ายดูถูกกัปตันเกรซ มันจึงทำให้ความโกรธในใจของเธอทะลุจุดเดือดไปแล้ว เธอจึงละทิ้งความพยายามที่จะปกป้องตัวเอง แล้วโจมตีเข้าไปด้วยความพลังทั้งหมดที่มี แต่ในตอนนั้นเว็ดดิ้นก็สั่งให้เธอถอยออกมา
เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นมันบังคับให้เธอหนีออกมาทั้งๆที่เธอไม่ได้อยากทำ ในตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้ใจเย็นลงมาบ้างเช่นกัน เธอสามารถแสร้งทำเป็นว่าตัวเองได้ความเยือกเย็นคืนมาแล้ว
เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่เป็นศัตรูกำลังไล่ตามเธอมา ไม่ใช่คนที่ถือดาบแต่เป็นคนที่สวมชุดมีรอยเย็บ ดวงตาของเธอนั้นส่องประกายราวกับคาดหวังบางอย่างอยู่ด้านหลังเธอไปประมาณสิบเมตร
เว็ดดิ้นพูดออกมาว่าให้ทิ้งเธอไว้แล้วหนีไป ดังนั้นในตอนนี้เธอยังคงอยู่ที่นั่นพร้อมศัตรูอย่างน้อยหนึ่งคน หูกระต่ายนั้นหนีไปก่อนที่จะมีคำสั่งของเว็ดดิ้น จากนั้นกัปตันเกรซก็รู้ตัวว่านักทำนายกับมือกีตาร์ไล่ตามหูกระต่ายไป ถ้าลองคิดดูแล้วมันก็จะไม่มีคนที่ไล่ตามฟันนี่ทริคเลย
เมื่อรู้ว่าไม่มีใครไล่ตามฟันนี่ทริคอยู่ มันก็ทำให้กัปตันเกรซใจเย็นลง เหมือนว่าชีวิตคู่หูของเธอในตอนนี้ยังคงปลอดภัยอยู่
คาโยะ เนมุระนั้นได้คะแนนสูงสุดตอนที่เรียนชั้นประถม แต่นั่นก็ไมใช่สาเหตุที่อุมิเข้ามาหาเธอ อุมิใช้ทริคที่เรียนรู้มาจากอนิเมคือการค้นหาคนที่มีรสนิยมตรงกันโดยการมองดูที่ประวัติการยืมหนังสือในบัตรห้องสมุด ซึ่งในกรณีนั้นมันก็คือคาโยะนั่นเอง เธอนั้นเหลือบมองคาโยะที่กำลังอ่าน The Robber Hotzenplotz* อยู่ที่ห้องสมุดช่วงพักกลางวัน ตอนที่เธอพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆด้วยความตั้งใจนั้น ใบหน้าของเธอก็ดูราวกับว่าอยู่ท่ามกลางการผจญภัย เมื่ออุมิจิ้มเข้าไปที่แก้มของคาโยะด้วยนิ้วชี้ แต่คาโยะนั้นเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยเพราะเธอกำลังตั้งสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ แก้มของคาโยะเองก็นุ่มมากด้วย
*The Robber Hotzenplotz คือหนังสือนิทานเด็กแต่งโดยผู้แต่งชาวเยอรมัน Otfried Preußler กล่าวถึงหัวขโมยที่ชื่อ ฮ็อทเซนพล็อทซ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าที่ตื่นมาในยามเช้าและกำลังมองหาเหยื่อรายใหม่ จนไปเจอกับคุณย่าของแคสเปิลที่นั่งอาบแสงอาทิตย์อยู่ด้านนอกตัวบ้าน พร้อมกับบดกาแฟด้วยเครื่องบดอันใหม่ที่มีเสียงดนตรีซึ่งได้มาเป็นของขวัญวันเกิดจากแคสเปิลและเพื่อนรักของเธอแซ็ปเปิล และฮ็อทเซนพล็อทซ์ที่ถูกดึงดูดมาด้วยเสียงดนตรีก็เข้ามาขโมยเครื่องบดกาแฟไปhttps://en.wikipedia.org/wiki/The_Robber_Hotzenplotzhttps://en.wikipedia.org/wiki/Otfried_PreußFler
อุมิจึงเริ่มสนใจตัวคาโยะ จากนั้นมาพวกเธอก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กัน อุมินั้นเก่งเรื่องไม่สนกฎกับบุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่สนมารยาทอยู่แล้ว
คาโยะกับอุมินั้นท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเกาะฮอนชูตอนวันหยุดฤดูร้อนตอนประถมสี่
ตอนประถมห้า เมื่ออุมิล้มอาจารย์คาราเต้ของเธอที่โรงฝึกได้ คาโยะเองก็อยู่กับเธอเช่นกัน
และตอนที่อุมิทะเลาะกับพวกแก๊งค์ซิ่งตอนมัธยมต้นปีหนึ่ง คาโยะเองก็อยู่เคียงข้างเธอเช่นกัน
บทบาทของคาโยะคือการปลอบและดุด่าอุมิเมื่อเธอพยายามจะพุ่งตัวไปข้างหน้าแบบรวดเร็ว แม้จิตใจของอุมิจะบอกเธอด้วยเหตุผลว่าการถอยกลับไปนั้นดีกว่า แต่ขาของเธอนั้นกลับก้าวไปเองโดยไม่คิด เธอเป็นคนแบบนั้น หากเธออยู่ตัวคนเดียว เธอคงจะโกรธจัดและอาละวาดอยู่ตลอดเวลา แต่เธอรู้สึกว่าถ้ามีคาโยะอยู่ด้วยในฐานะคนวางแผนล่ะก็ มันจะทำให้เธอเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดได้ แต่เรื่องแบบนี้มันฟังดูน่าอาย เธอจึงไม่ได้พูดออกมาดังๆ
จากนั้นกัปตันเกรซสัมผัสได้ถึงบางอย่าง มันไม่ใช่ศัตรูที่อยู่ด้านหลัง แต่มันคือบางอย่างที่วิ่งอยู่ด้านข้างเธอ ศัตรูใหม่งั้นเหรอ? เธอคิดแบบนั้นแล้วหันไปมอง แล้วก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลที่คุ้นเคยวิ่งอยู่ข้างๆ กัปตันเกรซกลั้นคำสบถของเธอเอาไว้ได้ นั่นคือฟันนี่ทริค ฟันนี่ทริคนั้นวิ่งทิ้งระยะห่างระหว่างกัปตันเกรซ ศัตรู แล้วก็ตัวเธอเองอย่างเท่ากัน สร้างรูปสามเหลี่ยมระหว่างทั้งสามคนขึ้นมา
มันไม่เหมือนกับว่าเธอเข้ามาหาเพราะรู้ทันกัปตันเกรซ ฟันนี่ทริคคิดอะไรอยู่กันนะ? หากเป็นเรื่องจำนวนพวกเธอก็มากกว่าศัตรูอยู่แล้ว แค่พวกเธอวิ่งแนกกันไปคนละทิศละทางล่ะก็ อย่างน้อยที่สุดพวกเธอหนึ่งหรือสองคนก็จะหนีรอดได้อย่างปลอดภัย นี่เธอไม่รู้ใช่ไหมว่าศัตรูที่มาใหม่นั้นมันแข็งแกร่งมาก? ตอนที่วิ่งอยู่กัปตันเกรซคิดแบบนี้อย่างไม่พอใจ แต่กระนั้นเธอก็รู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ฟันนี่ทริคตามเธอมา ที่มุมปากของเด็กสาวที่ตามเธอมาม้วนขึ้นกลายเป็นรอยยิ้ม เธอทำใจให้ตัวเองเชื่อเหตุผลของฟันนี่ทริคที่ต้องการสู้ว่ามันคือการไม่รู้ว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนไม่ได้ เธอคงต้องเชื่อคู่หูตัวเองซักหน่อย
เมื่อกัปตันเกรซขึ้นไปด้านบนหลังคา เธอก็กระทืบเท้าเพื่อให้กระเบื้องแตกออก จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกระเบื้องที่แตกอยู่กลับไปด้านหลัง ศัตรูนั้นไม่สนใจเศษกระเบื้องที่บินเข้ามาหาและยังคงไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ดูไม่เหมือนว่าเธอจะบาดเจ็บหรือตกใจอะไรเลย
กัปตันเกรซผิดหวังที่กระเบื้องนั้นไม่มีผลอะไรซักนิด แต่เหมือนว่าการโจมตีโดยการเตะกระเบื้องไปด้านหลังยังคงทำได้ เธอแค่ตรวจสอบว่าตัวเองสามารถทำอะไรที่มีความหมายได้บ้าง เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นนั้นบังคับให้กัปตันเกรซหนี แต่ก็ยังมีระดับการตัดสินใจเรื่องต่างๆอยู่เช่นกัน
เธอพยายามลดความเร็วของตัวเองลงโดยการผ่อนฝีเท้าลงไปเล็กน้อย จึงทำให้ระยะห่างระหว่างเธอกับศัตรูนั้นใกล้กันมากขึ้น เหมือนว่าไม่จำเป็นจะต้องวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เธอเอาเชือกที่ได้มาจากเรือโจรสลัดมาผูกเข้ากับตะขอ เธออยากผูกมันแบบทหารไม่ก็กะลาสี แต่โชคร้ายที่เธอไม่รู้เรื่องของการผูกเงื่อนมากนัก ดังนั้นเธอจึงแค่รัดมันให้แน่น แค่ผูกมันให้ช่วยได้ในตอนนี้ก็ดีแล้ว
กัปตันเกรซกระโดดลงจากหลังคา ขว้างเชือกที่อยู่ตรงตะขอออกไปจับกับทางด่วน และแกว่งตัวเองขึ้นไปยืนด้านบน ศัตรูนั้นยังคงตามเธอมา แต่ไม่เหมือนกับกัปตันเกรซเพราะเธอนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไร ดังนั้นกัปตันเกรซจึงชนะเธอในเรื่องระยะห่าง แม้มันจะเป็นเพียงไม่กี่เมตรก็ตาม
ต้องขอบคุณช่วงเวลาในตอนนี้จึงไม่มีรถคันไหนขับผ่านมา เธอจึงทำแบบนี้ได้
ศัตรูกำลังปีนขึ้นทางด่วนตามกัปตันเกรซมา แต่ตอนนั้นเองก็มีบางอย่างบินเข้าหาศัตรูจากทางด้านบน และลงมาสู่พื้นยางมะตอยด้านล่างจนสร้างเสียงดังสนั่น กัปตันเกรซมองขึ้นไปบนฟ้า เท็ปเซเคเมย์นั้นโจมตีออกมาในตอนที่บินหนีห่างออกไปจากศัตรู
เหมือนว่าคนอื่นๆตั้งใจที่จะโจมตีตอนที่วิ่งหนีไปด้วย กัปตันเกรซหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพอใจ จากนั้นเธอก็มองเห็นฟันนี่ทริคตามหลังศัตรูที่ขึ้นมาบนทางด่วนแล้ว
กระสุนอากาศยังคงถูกยิงอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยเสียงระเบิดและคอนกรีตที่ร่วงหล่นลงมา
ในตอนที่กัปตันเกรซหนี เธอก็หันหน้ามามองด้านหลัง แน่นอนว่าความเร็วของเธอช้าลงไปบ้างและศัตรูก็ใกล้เข้ามาแล้ว เมจิคัลเกิร์ลที่สวมชุดมีรอยเย็บกำลังยิ้มออกมาอย่างร่าเริง เธอดูเหมือนกับนักล่าที่กำลังอ้าปากก่อนที่จะฆ่าเหยื่อตัวเอง ดีใจราวกับจะได้ฟังเขี้ยวตัวเองจมลงไปในตัวเหยื่อ
คิดว่าจะปล่อยให้ทำได้รึไง กัปตันเกรซคิดแบบนั้นพร้อมกับกางมือของเธอออก แล้วดันฝ่ามือไปด้านหน้า
ระยะในตอนนี้มันยังไม่ปลอดภัยพอ แต่เธอก็เตรียมตัวรับความเสียหายจำนวนหนึ่งไว้แล้ว กัปตันเกรซเรียกเรือโจรสลัดออกมาตรงหน้าของตัวเองกับศัตรู
มันปรากฏตัวออกมาเพื่อบดขยี้ศัตรูทันทีโดยที่ไม่สนใจกฏใดๆทั้งสิ้น พลังนั้นทำให้ตัวของกัปตันเกรซปลิวไปจากจุดที่เธอยืนอยู่และผิวถนนแตกกระจาย
ตัวของกัปตันเกรซปลิวและกลิ้งไปตามพื้น เธอโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจเพราะรู้สึกได้ว่าศัตรูนั้นหลบไม่ได้
ฟันนี่ทริคลดความเร็วลง เท็ปเซเคเมย์เองก็ลงมาบนพื้น ศัตรูมันหายไปแล้ว มันไม่จำเป็นต้องหนีอีกต่อไป
“เอาล่ะ ตอนนี้—” กัปตันเกรซถูกขัดจังหวะก่อนที่จะพูดจบ มันมีหมอกควันสีดำพุ่งขึ้นมาจากส่วนหัวของเรือ ตัดผ่านฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่
เรือของกัปตันเกรซนั้นเป็นเรือไม้ก็จริง แต่มันก็เป็นเรือเวทมนตร์ที่สามารถแล่นบนผิวน้ำได้ด้วยความเร็วเสียง แถมยังมีความทนทานที่ก้าวข้ามผ่านเหนือกฏฟิสิกส์ใดๆ มีความทนทานเรื่องอากาศและน้ำ และไม่ได้พังกันได้ง่ายๆเพียงแค่โดนเมจิคัลเกิร์ลโจมตีไม่กี่ครั้ง
มันมีปากขนาดใหญ่ราวกับเป็นห้วงนรกเปิดออกอยู่ภายในเรือโจรสลัดที่เป็นความภาคภูมิใจของกัปตันเกรซอย่างน่าสยดสยอง มันถูกกัดกร่อนราวกับถูกรอยสีดำที่น่าขยะแขยงกินตัวเรือเข้าไป จากนั้นศัตรูก็พุ่งตัวมาด้านหน้าด้วยความเร็วเหมือนตอนที่เริ่มวิ่ง ตอนที่ศัตรูวิ่งผ่านมาก็ไปชนเข้ากับไหล่ของเท็ปเซเคเมย์ จากนั้นส่วนที่โดนสัมผัสก็กลายเป็นหมอกควันสีดำก่อนที่จะแตกตัวและสลายหายไป ใบหน้าที่ดูเหม่อลอยของเท็ปเซเมย์ก็พลันหายไปพร้อมกับการมองสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นต่อหน้า เท็ปเซเคเมย์จ้องมองไปยังไหล่ที่ว่างเปล่าที่เคยมีส่วนหนึ่งของชุดตัวเองอยู่จนถึงก่อนหน้านี้
เมจิคัลเกิร์ลที่สวมชุดมีรอยเย็บนั้นเข้ามาใกล้กัปตันเกรซภายในก้าวเดียวและยื่นมือเข้ามาหาเธอ กัปตันเกรซป้องกันมือนั้นไว้ด้วยมีดสั้น แต่มีดสั้นนั้นก็กลายเป็นหมอกควันสีดำหายไป เธอก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันไปสัมผัสเข้ากับอะไรเลย และเมื่อเด็กสาวนั้นลูบใบหน้าของกัปตันเกรซ ทุกอย่างที่เธอมองเห็นก็หลายเป็นสีดำสนิท
กัปตันเกรซมองไม่เห็นอะไรเลย เธอเคยมีประสบการณ์การต่อสู้แบบมองไม่เห็นอะไรมาก่อนเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง และในคราวนี้ คู่ต่อสู้ของเธอนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าหูกระต่ายและเจ้ารูปทรงสีดำซะอีก
ช่างเป็นการผจญภัยที่น่าสนุกอะไรแบบนี้! ในซักวันหนึ่งเมื่อการผจญภัยของกัปตันเกรซถูกเขียนเป็นบันทึก เรื่องราวแบบนี้มันก็คือจุดไคล์แม็ก ในตอนนั้นเธอก็จะให้ฟันนี่ทริคที่เป็นคู่หูของเธอเป็นผู้จดบันทึกเรื่องราวเอาไว้ บทบาทของผู้จดบันทึกตามที่เธอพูดนั้นมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่น่าสนใจ แต่มันก็เป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องทำมัน
เธอคงไม่รู้จริงๆว่าจะต้องจัดการปัญหายังไง เพราะแบบนั้นกัปตันเกรซจึงต้องปกป้องเธอ
ในขณะที่เธอจินตนาการถึงอนาคตอย่างสว่างสดใส สติของกัปตันเกรซกลับจมดิ่งลงไปสู่ความมืดมิด
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า (เหลือเวลาอีก 15 ชั่วโมง 15 นาที)
ขาของหูกระต่ายนั้นวิ่งอย่างรวดเร็ว ท็อตป๊อปกับเฟรเดริก้าเองก็ต้องพยายามตามเธอไปได้ให้ได้
แม้ร่างกายทางกายภาพของเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะดูน่าขบขัน แต่ความจริงข้อนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรประมาท ถ้าเด็กสาวมีปีกมันก็หมายความว่าเธอบินได้ ถ้าเธอมีหางที่ยาวก็หมายความว่าเธอสามารถใช้มันจับสิ่งต่างๆได้ และถ้าเธอมีอาวุธเธอก็จะใช้มันโจมตีได้ นอกจากลักษณะทางกายภาพที่ตรงตามนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่แรงบันดาลใจจะแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้น
ในอีกแง่หนึ่ง เมจิคัลเกิร์ลที่มีแรงบันดาลใจจากกระต่ายนั้นย่อมจะรวดเร็วกว่าเมจิคัลเกิร์ลที่มีแรงบันดาลใจจากนักทำนายและนักดนตรีอยู่แล้ว คำพูดที่ว่า “กระต่ายนั้นวิ่งได้เร็วราวกับเป็นนก” มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทั้งมือและขาสองข้างของเธอนั้นอยู่ที่พื้น และวิ่งเหมือนกับว่าเป็นกระต่ายจริงๆ และเริ่มทิ้งระยะห่างจากพวกเธอไป
“อาจารย์ แบบนี้ไม่ดีเลย เธอคงหนีไปได้แหง”
“ถ้าเธอหนีไปได้ล่ะก็ พวกเราโดนตราหน้าว่าไม่มีประโยชน์แน่”
“แย่ชะมัดเลย”
“ฉันเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นด้วย มาพยายามกันเถอะ ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ต้องแสดงให้พวกเธอเห็นว่าพวกเรานั้นใช้การได้”
เฟรเดริก้าค้นหาเรื่องหูกระต่ายกับกิโมโนในความทรงจำของเธอ และเหมือนว่าเธอจะนึกเรื่องของเด็กสาวที่อยู่ในหน่วยสืบสวนที่ชื่อ ฮานะ เกโคคุโจ ออกมาได้ ในหมู่ของคนที่อยู่ในบาเรียแห่งนี้ นี่คือหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลที่สามารถพูดได้อย่างแน่ใจว่าเป็นสมาชิกของหน่วยสืบสวน เธอมีค่าพอที่จะเป็นตัวประกัน โซเนียกับพูคินั้นไม่เหมาะที่จะทำภารกิจจับกุมตัวเช่นนี้ ดังนั้นเฟรเดริก้าจึงไม่อยากให้พวกเธอต้องมาไล่ลา เพราะแบบนั้นเธอถึงตัดสินใจพาท็อตป๊อปเพื่อไล่ตามฮานะมากับเธอด้วย แต่ฮานะก็เร็วกว่าพวกเธอมากจนเกินไป
“คุณเกโคคุโจ!”
เฟรเดริก้าตะโกนออกมา หูยาวๆของกระต่ายนั้นก็กระดิก เป็นเรื่องดีที่เธอตอบสนองกลับมาเพราะนั่นเป็นหลักฐานง่ายๆที่ยืนยันว่าเธอคือฮานะ เกโคคุโจจริงๆ แถมยังบอกได้ว่าเธอนั้นมีบุคลิกที่ซื่อตรงทีเดียว
เฟรเดริก้าบอกท็อตป๊อปเรื่องตัวตนของกระต่ายไป การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ดี
“ฮานะ เกโคคุโจ เวทมนตร์ของเธอคือทำให้สัมผัสแหลมคมมากขึ้น เธอจะควบคุมสัมผัสต่างๆของคนอื่นได้หากเข้าไปใกล้ ดังนั้นระวังตัวด้วย”
“ดีจังเลย อาจารย์นี่รู้ทุกอย่างเรื่องเมจิคัลเกิร์ลจริงๆ แฟนพันธ์แท้เลยนะเนี่ย”
“เธอเป็นสมาชิกของหน่วยสืบสวนและมีหน้าที่รับผิดชอบเปิดโปงอาชญากรภายใน เธอใช้ความสามารถในการทำสัมผัสของตัวเองให้แหลมคมขึ้นเพื่อมองหาศัตรู แต่มันยิ่งกว่านั้นเพราะเธอมีความสามารถในการต่อสู้อีกด้วย อย่าโดนรูปร่างภายนอกของเธอหลอกเอาเชียวล่ะ และการสู้กันตรงๆนั้นมีแต่เธอที่จะเอาชนะได้ด้วย”
“อื้อ อื้อ รับทราบ”
เฟรเดริก้ายังคงขุดความทรงจำเกี่ยวกับฮานะ เกโคคุโจออกมา
“คุณเกโคคุโจ! มานาเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”
หูยาวๆนั้นขยับไปซ้ายทีขวาที และร่างกายส่วนบนของฮานะก็ค่อยๆยกตัวขึ้นมาและหยุดตัวหันกลับมามอง เฟรเดริก้าเองก็หยุดเช่นกัน เธอใช้มือขวากันท็อตป๊อปไว้ด้านหลังและมองไปที่ฮานะพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตรบนใบหน้า ฮานะเห็นแบบนั้นจึงสงสัย
เฟรเดริก้ายืนยันตำแหน่งที่พวกเธออยู่อย่างรวดเร็ว พวกเธออยู่ห่างกันประมาณสิบเมตร ยืนอยู่ในถนนแคบๆที่มีทางระบายน้ำอยู่ด้านข้าง เธอยังเห็นท่อระบายน้ำที่ไม่รู้ว่ามันมุ่งหน้าไปที่ไหนอยู่ใกล้ๆด้วย ถ้าฮานะหนีไปได้ล่ะก็มันคงเป็นเรื่องยากที่จะไล่ตามไป ฮานะคงหยุดเพราะเธอคงคำนวนมาแล้วแน่ เธอเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ
“พวกเรามาจากภายนอกบาเรียเพื่อช่วยคุณ มีศัตรูอยู่รอบๆเยอะแบบนี้ มันคงลำบากใช่ไหมล่ะ?”
“อย่ามาหลอกดิฉันหน่อยเลย” ฮานะตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อไย
“หลอกเหรอ? หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“เมื่อกี๊คุณน่ะเพิ่งพูดถึงดิฉันไปไม่ใช่รึไง? หูของดิฉันน่ะดีจึงได้ยินทุกอย่าง”
“…ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“แม้จะไม่ได้ยิน แต่ดิฉันก็จะไม่ถูกหลอกด้วยคนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างคุณหรอก หากมีผู้ตรวจการคนไหนที่ไม่รู้จักชื่อและใบหน้าของไพตี้ เฟรเดริก้าล่ะก็ คนๆนั้นก็ไม่สมควรที่จะเป็นผู้ตรวจการแล้ว”
“โอ้…แหม แหม…ตายจริง”
เฟรเดริก้ายิ้มออกมาอย่านิ่มนวลและหวังว่าฮานะเองก็จะทำแบบเดียวกัน แม้ท่าทางของฮานะที่เอาแขนห้อยไว้ข้างลำตัวนั้นจะดูสบายๆ แต่มันก็ยังคงมีความระแวดระวังอยู่ แค่มองก็เห็นได้ว่าเธอพร้อมที่จะวิ่งออกไปทันที การป้องกันเธอนั้นไร้ที่ติ เธอแข็งแกร่งของแท้
“แบบนั้นแล้วทำไมเธอถึงหยุดฟังฉันล่ะ?”
“นี่คุณรู้ได้ยังไงว่ามานาคือหัวหน้าหน่วยน่ะ? คุณน่ะถูกจองจำตั้งแต่ก่อนที่มานาจะถูกแต่งตั้งซะอีก”
เฟรเดริก้านั้นมองเข้าไปยังหลากหลายที่ ทั้งเอกสารลับสุดยอดทั้งรายงานการประชุม หากเธอมองหาคนที่ดูเหมือนจะได้อยู่ในหน่วยสืบสวนภายหลังจนเจอ เธอก็จำชื่อเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นก็แค่เดาสุ่มมันออกมา และถ้าหากมันถูกล่ะก็ ก็เป็นแค่เพราะหน่วยสืบสวนนั้นได้ดำเนินการคัดเลือกบุคลากรไปตามแผนที่วางไว้
จะเป็นชื่อของใครก็ได้ ตราบใดที่เป้าหมายของเธอที่จะหยุดฮานะเอาไว้มันสำเร็จ
“มานากับฉันมีความสัมพันธ์บางอย่างกันน่ะ”
เฟรเดริก้าแสดงท่าทางออกมาราวกับจะบอกฮานะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในตอนที่เธอพูดอยู่นั้น เธอก็ใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในคริสตัลบอลอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วก็ดึงบางอย่างออกมา
“หือ…?”
แต่ก่อนความสงสัยของฮานะจะถูกคลี่คลาย เฟรเดริก้าก็ปาระเบิดมือสามลูกจากในมือออกมา สลักนั้นถูกดึงออกเรียบร้อยแล้ว พวกมันลอยข้ามหัวของฮานะแล้วกลิ้งไปด้านหลัง และในขณะเดียวกันท็อตป๊อปก็ดีดกีตาร์ของเธอทันที โน๊ตดนตรีหลากหลายขนาดพุ่งกระหน่ำเข้าไปโจมตีฮานะ
ระเบิดที่เธอขว้างออกไปหาฮานะเกิดระเบิดขึ้น ทำให้เศษของคอนกรีดปลิวกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ผมของเฟรเดริก้าเองก็พริ้วไหวเพราะแรงระเบิด เธอรั้งขาของตัวเองเอาไว้และใช้มือซ้ายของเธอล้วงเข้าไปในคริสตัลบอลอีกครั้ง
ผมที่พันอยู่รอบนิ้วชี้ที่มือขวาของเธอนั้น เธอได้มันมาจากลูกน้องที่มีผมที่งดงามของท็อตป๊อป สิ่งที่สะท้อนอยู่ในคริสตัลบอลก็คือโกดังเก็บอาวุธ ด้วยเวทมนตร์ของเฟรเดริก้าแล้วเธอสามารถหยิบสิ่งต่างๆที่ต้องการออกมาได้ แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลหากโดนอาวุธของดินแดนเวทมนตร์เข้าไปก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ
ฮานะหนีไปด้านหลังไม่ได้ หากหนีทางที่ระเบิดอยู่ล่ะก็ เธอก็ต้องบาดเจ็บหนักหรืออย่างแย่ที่สุดก็คือตาย
ฮานะหนีมาทางที่เธออยู่ก็ไม่ได้เช่นกัน ในตอนนั้นเฟรเดริก้าก็ขว้างระเบิดออกไปอีก ท็อตป๊อปเองก็ดีดกีตาร์ส่งตัวโน๊ตมากมายพุ่งออกมา แม้ตัวโน๊ตนั้นดูเหมือนเป็นอาวุธเอาไว้ใช้ตกแต่ง แต่ถ้าถูกโจมตีเข้าไปตรงๆมันก็จะบาดเจ็บมากกว่าระเบิดเสียอีก
ดังนั้นฮานะจึงเลือกทางเลือกที่สาม จากแรงลมที่เกิดขึ้นเพราะระเบิดจากด้านหลัง เธอกระโดดแล้วก็เตะ
กำแพง ขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า แทนที่จะหนีไปข้างหน้าหรือข้างหลัง เธอกลับเลือกขึ้นไปด้านบน
แต่นั่นแหละคือตัวเลือกที่เฟรเดริก้าอยากให้เธอเลือก
เธอคาดเดาว่าฮานะนั้นจะหลบหนียังไง ทันใดนั้นเองเธอก็เปลี่ยนภาพของคริสตัลบอล ผมของท็อตป๊อปนั้นถูกมัดไว้ที่นิ้วกลางซ้าย และสิ่งที่สะท้อนอยู่บนคริสตัลบอลคือพื้นที่ที่มีท็อตป๊อป เฟรเดริก้า แล้วก็ฮานะอยู่ เฟรเดริก้านั้นเอามือซ้ายของเธอใส่เข้าไปในคริสตัลบอลเข้าไปหาฮานะ
เธอจับข้อเท้าของฮานะเอาไว้จากกลางอากาศแล้วก็กระชากลงมา มันทำให้ฮานะเสียการทรงตัว เธอหมุนตัวกลางอากาศสามครั้งแล้วก็ร่วงลงมาบนพื้น แต่ท็อตป๊อปก็ใช้โน๊ตดนตรีของเพลงที่สองโจมตีไปยังจุดที่เธอร่วงลงมา
โน๊ตดนตรีพุ่งกระหน่ำเข้าไปยังหลังของฮานะที่ไร้การป้องกัน แล้วท็อตป๊อปก็ใช้โน๊ตตัวที่แปดเพื่อทำลายกำแพงคอนกรีต แล้วก็เปลี่ยนไปใช้โน๊ตตัวที่สี่เพื่อให้คอนกรีตนั้นกระเด้งไปโจมตีร่างของฮานะจากทุกทิศทุกทาง โน๊ตดนตรีของท็อตป๊อปยังคงโจมตีฮานะอย่างต่อเนื่องจนเฟรเดริก้าพูดกับเธอว่า “พอเถอะ” เพื่อให้เธอหยุด โน๊ตตัวสุดท้ายร่วงลงมาบนพื้นจนเกิดเสียงดังขึ้นและหายไป จากนั้นเฟรเดริก้าก็ลูบหัวของท็อตป๊อปและพูดว่า “เด็กดี”
“เธอนี่เป็นลูกศิษย์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ รู้สิ่งที่ฉันอยากทำโดยที่ไม่ต้องให้สัญญาณด้วย”
“แหม ก็เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของอาจารย์นี่นา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่”
ท็อตป๊อปพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ร่าเริง
ท็อตป๊อปเอากีตาร์ของตัวเองขึ้นเพื่อเตรียมพร้อม ในขณะที่เฟรเดริก้าเดินเข้าหาฮานะที่ขดตัวอยู่ จากนั้นก็ใช้เท้าเตะเข้าไปท้องด้านข้างของฮานะเพื่อพลิกตัวของเธอ ฮานะนั้นนอนเอาแขนสองข้างโอบร่างกายตัวเองไว้ เหมือนว่าเธอกำลังหมดสติ แต่เธอยังคงแปลงร่างอยู่ทั้งๆหมดสติไปแล้ว เห็นทีเฟรเดริก้าคงต้องยกระดับของเธอให้สูงขึ้นอีกหน่อย
จากนั้นเฟรเดริก้าจับคอของฮานะแล้วโยนเธอเข้าไปในคริสตัลบอล
☆ มาโอแพม (เหลือเวลาอีก 14 ชั่วโมง 53 นาที)
สิ่งที่เหลืออยู่ที่โรงงานร้างคือร่องรอยของการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่
มาโอแพมกัดนิ้วโป้งของเธอ เธอนั้นถูกทิ้งไว้ด้านหลังตลอดตั้งแต่การโจมตีที่อพาร์ทเมนท์
เด็กสาวนักเต้นชาวอาหรับบินส่ายไปส่ายมาในอากาศเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเธอ โดยที่ไม่ระวังตัวและไม่กังวลอะไรเลย เธอเข้ามาหามาโอแพมที่กำลังเดินอยู่ทั่วเมืองกับเด็กสาวอีกสองคนต่อหน้า เธอนั้นค้นหาทั้งมิตรแล้วก็ศัตรู เด็กสาวนักเต้นนั้นยังคงดูนิ่งเงียบและไร้กังวลแม้ว่ามาโอแพมจะคอยระวังตัวอยู่
มาโอแพมจำคู่ต่อสู้คนนี้ได้ มันเป็นคนที่เธอสู้ด้วยแล้วหนีไปบนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ เด็กสาวนักเต้นอาหรับนั้นเมินคำถามของมาโอแพม และเข้าไปหาโพสตาร์รี่กับเรนโปวและพูดว่า “พวกมันไล่ตามเว็ดดิ้นอยู่ มาช่วยหน่อย” เมื่อมาโอแพมจับไหล่ของเธอด้วยแรงเพียงพอที่จะทำให้เธอหันหน้ามา แต่เธอคนนั้นก็กลับกลายเป็นควันแล้วหายไป
เรนโปวกับโพสตาร์รี่บอกมาโอแพมว่าเมจิคัลเกิร์ลคนที่มาหานั้นเป็นพวกเดียว สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามไปตามทิศทางที่เด็กสาวนักเต้นอาหรับมา
ตั้งแต่ที่มาโอแพมใช้ปีกสองข้างจากสี่ข้างของเธอเป็นเสื้อโค้ทให้โพสตาร์รี่กับเรนโปว และอีกหนึ่งข้างสำหรับตัวเธอเอง เธอจึงเหลือปีกอยู่เพียงข้างเดียวที่จะเอาไปใช้หาศัตรูได้ การทำแบบนั้นกับปีกเพียงแค่ข้างเดียวเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เธอจะทิ้งเด็กสาวสองคนนี้ไปไม่ได้ เธอต้องไปพบกับพวกของเธอ แล้วก็ไปเจอกับ 7753 ไม่ก็มานาเพื่อฝากให้พวกเธอดูแลได้ แต่เพราะในตอนนี้เมจิคัลโฟนมันใช้การไม่ได้มันจึงเป็นเรื่องยาก
ร่องรอยความเสียหายทางเข้าโรงงานนั้นดูผิดธรรมชาติ นี่ไม่ใช่การทำลายแบบง่ายๆอย่างการต่อย การหลอมละลาย หรือการเผา มันคล้ายกับการกัดกร่อนหรือการทำปฎิกิริยามากกว่า แต่มันก็ต่างกันเล็กน้อย
“พวกของเธอมีคนที่มีเวทมนตร์ที่ทำแบบนี่ได้รึเปล่า?”
“…พวกเราไม่รู้หรอก”
“ไม่รู้หรือไม่อยากพูดกันแน่!?”
“มะ-ไม่นะ! พวกเราไม่รู้จริงๆ!”
มาโอแพมคงไม่จำเป็นต้องใช้เซรั่มความจริง เด็กสาวดูไม่เหมือนว่าจะโกหก
ตอนที่มาโอแพมใช้นิ้วปาดร่องรอยที่ถูกทำลายแล้วก็บี้นั้น มันก็สลายหายไป เห็นได้ชัดว่าเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ บางทีอาจเป็นผลของเวทมนตร์ที่รุนแรงมากก็ได้ แบบนี้มันเกินกว่าที่ฮานะกับริเปิลที่เป็นสายต่อสู้จะรับมือไหวไปอีก
แบบนี้มันก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นที่อพาร์ทเมนท์ มาโอแพมบอกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เธอมีเด็กสาวสองคนที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงอยู่ด้วย
เรนโปวนั้นยังคงดูร่าเริง แม้จะต่อยเธอเข้าไปก็จะลุกขึ้นมาได้ทันที แต่จิตใจของโพสตาร์รี่นั้นอ่อนล้าและถามหาการพักอยู่เสมอ
มาโอแพมมองไปด้านหลังเธอ และเห็นว่าเรนโปวกับโพสตาร์รี่นั้นกำลังกระซิบกันอยู่ เพราะแบบนั้นเธอจึงตบแก้มทั้งสองคนแบบรวดเดียว มันคงง่ายกว่าหากมาโอแพมแค่ทิ้งพวกเธอเอาไว้ที่นี่
☆ โทโกะ (เหลือเวลาอีก 14 ชั่วโมง 32 นาที)
เราเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรนโปว เธอบอกตัวเองให้เงียบและอยู่นิ่งๆเข้าไว้ ทุกอย่างมันจะพังทลายจนหมดหากตัวตนของเธอถูกจับได้ โชคดีที่โพสตาร์รี่ไม่ได้บอกมาโอแพมว่าโทโกะซ่อนอยู่ที่นี่
โทโกะเคยได้ยินชื่อของมาโอแพมมาก่อน มันคือชื่อที่โผล่มาเมื่อคุยกันว่าใครคือเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ตลอด ผู้คนซุบซิบกันว่าเวทมนตร์ของมาโอแพมนั้นสามารถทำลายล้างได้ในระดับที่มหาศาล และโทโกะก็รู้สึกว่า อย่างน้อยมันก็ไม่จำเป็นกับภารกิจค้นหาและจับกุมตัวอาชญากรเลย มันเหมือนกับตำรวจขอกำลังเสริมแต่กลับได้ยานเกราะมา
…โธ่เว้ย พวกมันวางแผนจะฆ่าจริงๆด้วย
โทโกะคิดแล้วว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ทางกรมการต่างประเทศนั้นจะส่งเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงพลังมา เธอรู้ว่าพวกเธอสองคนนั้นเป็นเสี้ยนหนามของทางกรมการต่างประเทศ และทางนั้นก็มีพลังพอที่จะลบคนที่ขวางทางออกไปได้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าทางกรมการต่างประเทศจะใช้คนที่สามารถก่อให้เกิดความอันตรายแก่พลเรือนทั่วไปแบบนี้ เธอประมาทเกินไป
เพราะมีความคิดแบบนี้อยู่ในใจ โทโกะจึงรู้สึกกลัวแต่ว่ามันก็มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามาโอแพมนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือนทั่วไป เหมือนว่าเธอพยายามจะปกป้องโพสตาร์รี่กับเรนโปวด้วย เธอตักเตือนพวกเด็กสาวสองคนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฎิบัติกับพวกเธอแบบศัตรูหรือนักโทษ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่บอกได้ว่ามาโอแพมนั้นไม่ได้ค้นหรือปลดอาวุธพวกเธอเลย
ถ้าเช่นนั้นมันก็คือจุดอ่อนที่พวกเธอควรจะใช้ประโยชน์
โทโกะนั้นมีทักษะในการใช้ประโยชน์จากคุณธรรมหรือจริยธรรมของผู้คน คู่หูของเธอสอนทักษะนี้มาให้ตั้งแต่เธอสอนสิ่งที่ควรรู้ ต้องแสร้งทำเป็นเหยื่อ แกล้งเป็นคนธรรมดา ทำตัวเป็นคนดี และสุดท้ายก็ลอบแทงข้างหลัง ที่แห่งนี้มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ในระดับทัดเทียมกับมาโอแพมถูกส่งมามากกว่าหนึ่งคน ถ้าหากจัดการมาโอแพมได้ แบบนั้นพวกของโทโกะที่พูดลงท้ายประโยคด้วยเนี๊ยวก็จะพาพวกเธอออกจากที่นี่ได้
ในหมู่เมจิคัลเกิร์ลที่โทโกะเคยพบเห็นมา มาโอแพมนั้นแข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่แค่พลังทำลายล้าง แต่จิตใจเองก็ด้วย
พวกเธอต้องจัดการคนที่เอาชนะไม่ได้แบบนั้น ถ้าจะมีคนที่ทำได้ล่ะก็ มันก็คือคู่หูของโทโกะ เธอนั้นมีไหวพริบ มีเล่ห์เหลี่ยม ไร้ความยุติธรรม คิดคำนวนสิ่งต่างๆเหมือนกับโทโกะ ในตอนนี้เธอคงต้องหาโอกาสเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของมาโอแพมอยู่แน่
☆ไพตี้ เฟรเดริก้า (เหลือเวลาอีก 14 ชั่วโมง 21 นาที)
ลมนั้นพัดพาเสียงไซเรนของรถตำรวจมาที่พวกเธอ อพาร์ทเมนท์นี้อยู่ห่างจากจากตัวโรงงานร้างก็จริง แต่สัมผัสของเมจิคัลเกิร์ลนั้นแหลมคมกว่ามนุษย์
เฟรเดริก้าปิดหน้าต่างและผ้าม่าน แล้วหันกลับเข้าไปในห้อง
ทุกอย่างที่ถูกเก็บอยู่ในตู้เย็นนั้น ในตอนนี้มันไปอยู่ในท้องของพูคินและโซเนียแล้ว พูคินนั้นกำลังกินขนมปังกับชาบาร์เลย์จากขวด ส่วนโซเนียนั้นกำลังเทถุงขนมตรงเข้าปาก
ท็อตป๊อปกำลังยุ่งอยู่ในครัว เฟรเดริก้าไว้ใจให้เธอทำอาหารทุกอย่างให้ สถานการณ์ที่ให้เด็กสาวชางอังกฤษทำอาหารให้แบบนี้มันดูตลกหน่อยๆ แต่เมื่อคิดว่าคนที่กินอาหารนั้นก็เป็นคนอังกฤษเหมือนกัน มันก็เลยสมเหตุสมผลดี
ท็อตป๊อปทุบหน้าอกของตัวเองและพูดว่า “ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวมานานโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา!” แต่เฟรเดริก้าได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย ในฐานะอาจารย์ เธอหวังว่าท็อตป๊อปจะหาคู่หูที่ดีได้ในซักวันนึง
จากสถานที่ของอพาร์ทเมนท์ อาหาร เฟอร์นิเจอร์และอื่นๆ เฟรเดริก้าสามารถรู้วิถีชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้ ตำแหน่งทางสังคมและระดับก็ด้วย เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีเงินเดือนสูงกว่ามาตราฐานที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว มีความสนุกสนานพอประมาณ โดยรวมแล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย แต่ตอนนี้เขานั้นนอนอยู่ในงามืดของโซฟา สิ่งที่เธอมองเห็นมีเพียงแค่เข่าของเขาแล้วก็เลือดที่ไหลออกมาจากร่างกาย เขานั้นเป็นคนที่พิถีพิถันเรื่องความสะอาด มีอาหารเพียงพอและจัดการอย่างเหมาะสม ช่างเป็นชายโสดที่น่ายกย่องจริงๆ เฟรเดริก้าพนมมือเข้าด้วยกันเพื่อขอบคุณเขา
ที่นี่ยังมีคนอื่นอีกสามคน เมจิคัลเกิร์ลนักมายากลนั้นนอนกองอยู่ที่พื้น เด็กสาวในชุดแต่งงานอยู่ข้างๆพูคิน ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของเธอกำลังมองดูพูคินที่กำลังกินอาหารอย่างมีความสุข ส่วนอีกคนนั้นอยู่ห่างออกไป เธอถูกโยนไปอยู่ที่มุมห้องคนเดียว ใบหน้าของเธอบวมปูด กระดูกเองก็หัก ท็อตป๊อปจัดการเอรุนแรงเกินไปหน่อย แสงแห่งความตั้งใจที่ยังคงมีอยู่ในดวงตาของเธอนั้นมันยิ่งทำให้ตัวเธอดูน่าสมเพชมากขึ้น
ฟันนี่ทริคกับฮานะนั้นถูกมัดไว้ด้วยเชือก เชือกนี้เธอเอาออกมาจากคลังอาวุธ มันแข็งแกร่งมากพอ แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็ฉีกมันให้ขาดไม่ได้ง่ายๆ
“ดิฉันไม่ได้ชื่นชอบความเจ็บปวด ดังนั้นอย่าทรมาณเลย ขอร้องล่ะ ช่วยถามดิฉันในเรื่องที่คุณอยากรู้ด้วย ดิฉันจะตอบทุกอย่างเอง ใช่ว่าดินแดนเวทมนตร์หรือหัวหน้าจะทำให้อะไรให้ดิฉันมากพอจนรู้สึกติดหนี้บุญคุญด้วย เงินเดือนเองก็ไม่ได้เยอะแถมยังใช้งานหนักอีก”
ฮานะพูดออกมาราวกับเต็มใจจะบอกเรื่องที่พวกเธอไม่ได้ถาม แก้มของเธอนั้นบวมปูด ฟันบางซี่ของเธอก็หัก แต่เธอก็ยังพูดออกมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน เฟรเดริก้าแปลมันทุกตัวอักษรให้พูคินฟัง จากนั้นพูคินก็เช็ดปากของเธอด้วยผ้าเช็ดปากและยืนขึ้นจากที่นั่ง
“หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ตัวเธอมากเกินไปดีกว่าค่ะ นายท่าน เพราะเธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้แม้จะไม่ได้แตะต้องตัวคุณก็ตาม”
“พวกข้าระวังอยู่แล้ว….แล้วก็ เจ้ากระต่ายเอ๋ย”
พูคินใช้มือซ้ายดีงมีดสั้นออกมา แล้วชี้ไปที่ฮานะที่อยู่ห่างออกไปสามเมตร
“สายตาของเจ้าน่ะมันมีความเข้มแข็ง มันไม่ใช่สายตาของคนที่บอกว่าไม่ได้ภักดีต่อดินแดนเวทมนตร์หรือหัวหน้าของตัวเองเลย ไม่ใช่ดวงตาที่ดูโง่และสกปรกเหมือพวกพวกข้าราชการที่เฉื่อยชา ดวงตาของเจ้านั้นงดงามและเปล่งประกาย เป็นดวงตาของเมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริง ซึ่งพวกข้าไม่ชอบ”
เฟรเดริก้าแปลคำพูดของพูคินให้ฮานะฟัง และฮานะก็ตอบมาว่า
“บางทีที่ตาของดิฉันดูสวยอาจจะเป็นเพราะกาวติดตาสองชั้นก็ได้”
เมื่อพูคินได้ยินคำแปลของเฟรเดริก้าแล้ว คิ้วของเธอก็ม้วนเข้าหากันเล็กน้อย
เฟรเดริก้ารู้อยู่แล้วว่าฮานะจะไม่ร่วมมือด้วย กล่องข้อความในเมจิคัลโฟนของเธอก็ว่างเปล่า และเมื่อพวกเธอถามถึงจุดนัดพบในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ฮานะก็ยืนยันว่าพวกเธอไม่มีที่แบบนั้น
“ถ้าดิฉันรู้อะไร ดิฉันก็จะบอก แต่ดิฉันจะตอบไม่ได้ถ้าไม่รู้ใช่ไหมล่ะ? แล้วก็เห็นได้ชัดว่า ดิฉันน่ะสอนคุณเรื่องการติดตาสองชั้นแบบง่ายๆได้นะ”
เมื่อเฟรเดริก้าแปลสิ่งที่ฮานะพูด พูคินก็ขว้างมีดสั้นที่อยู่ในมือไปที่ผนังโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีดสั้นที่ปักอยู่กับผนังนั้นยังคงสั่นอยู่เบาๆ แต่หูข้างขวาของกระต่ายที่อยู่ระหว่างกำแพงกับพูคินนั้นถูกตัดออกมาครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของฮานะออกมาแต่เธอกลั้นมันเอาไว้ในลำคอ
เฟรเดริก้าเห็นเช่นนั้นแล้วก็พูดออกมาว่า “แหม ดูเจ็บนะนั่น” และนักมายากลเองก็ส่งเสียงเบาๆออกมาเช่นกัน
“ดิฉันบอกแล้ว…ว่าเกลียดความเจ็บปวด…”
“นี่เจ้าล้อพวกข้าเล่นงั้นรึ? ข้าจะไม่มองข้ามการดูหมิ่นเช่นนี้เด็ดขาด!”
“หวา…เจ็บบบบจังงง…”
พูคินชักเรเปียของเธอขึ้นแล้วก็ปาออกไปเหมือนกับมีดสิ้น แต่เฟรเดริก้าก็ยืดมือไปจับเอาไว้ได้ เรเปียมันหยุดก่อนจะถึงหน้าอกของฮานะแค่ห้าเซ็นติเมตรเท่านั้น
“นายท่าน ไม่คิดว่ามันจะเป็นการกำจัดแหล่งข้อมูลเร็วเกินไปเหรอคะ?”
“เจ้านี่เป็นมืออาชีพที่เด็ดเดี่ยวมาก ปากบอกว่าจะพูดทุกอย่างออกมาแต่กลับไม่มีความตั้งใจเช่นนั้นเลย แถมการพยายามเค้นข้อมูลที่ถูกบังคับให้ต้องมีระยะห่างสามเมตรเช่นนี้มันทั้งไม่สะดวกและอันตราย มันต้องมีคนที่ถูกใช้เป็นตัวอย่างเพื่อที่จะเค้นข้อมูลจากคนอื่นได้อย่างสะดวกไงล่ะ ผู้ทรมานที่มีความสามารถน่ะไม่จุกจิกเรื่องแหล่งข้อมูลหรอก”
“งั้นเหรอคะ โปรดอภัยให้กับความจุ้นจ้านของฉันด้วย แต่ถึงเธอจะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับพวกเราไม่ได้ ฉันก็คิดว่าเธออาจจะเป็นตัวประกันที่ดีได้ค่ะ ได้ยินว่าในหน่วยสืบสวนนั้นค่อนข้างสนิทสนมกันด้วย “
“หืม งั้นรึ แบบนั้นข้าจะให้เจ้าจัดการแทนแล้วกัน”
เฟรเดริก้าเข้าหาพูคินอย่างช้าๆและส่งเรเปียกลับคืนไปให้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันหน้าเข้ามาหาฮานะ เตือนเธอว่าอย่าทำให้พูคินโกรธ ฮานะยิ้มอย่างเหน็บแนมแล้วก็พยักหน้าลงเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าแม้จะไม่มีจุดเดือดที่ต่ำของพูคิน ฮานะก็ยังเป็นตัวประกันที่จัดการได้ยากอยู่ดี พูคินไม่สามารถเข้าใกล้เธอในรัศมีสามเมตรเพื่อคำการควบคุมจิตใจเธอได้ ดังนั้นตัวเลือกที่จัดการเธอให้สลบไปแบบก่อนหน้าจึงดีกว่า แต่ในตอนนี้ฮานะนั้นบาดเจ็บหนักแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำให้สลบโดยที่ไม่ฆ่าเธอ โน๊ตดนตรีของท็อตป๊อปมันไม่เหมาะกับการนี้
พวกเธอพยายามเค้นข้อมูลออกมาจากฮานะโดยใช้เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นแต่มันก็ไปได้ไม่ดี เพราะมันจบลงด้วยการที่เว็ดดิ้นกับฮานะเถียงกันทุกครั้ง ฮานะเองก็เคยเห็นว่าเว็ดดิ้นนั้นเป็นคนละฝ่ายกับพวกเฟรเดริก้ามาก่อน ดังนั้นมันจึงดูแปลกเมื่อฮานะได้คุยกับเว็ดดิ้น ฮานะไม่มีทางรู้เรื่องเวทมนตร์ของเว็ดดิ้นแน่ แต่เธอก็สามารถมองเห็นได้จากความพยายามที่พวกเฟรเดริก้าทำ พูคินพูดไม่ผิดเลยที่บอกว่าฮานะนั้นเป็นมืออาชีพที่เด็ดเดี่ยว
ดวงตาของเฟรเดริก้าหันกลับไปมองเด็กสาวที่เหลือ นักมายากลนั้นตัวสั่นพร้อมกับกัดฟันอย่างรุนแรง เว็ดดิ้นบอกสิ่งที่พวกเธออยากรู้มาหมดแล้ว ในตอนนี้เธอเป็นผู้ศรัทธาในตัวพูคิน เธอจึงบอกทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจนหมด แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถามก็ตาม
ต้องขอบคุณเธอเพราะมันทำให้ได้รู้ว่า โทโกะนั้นเปลี่ยนเด็กนักเรียนมัธยมต้นจำนวนหนึ่งให้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เว็ดดิ้นนั้นเขียนชื่อและความสามารถของทุกคน แม้กระทั่งชื่อจริงในไปในสมุดจด เธอบอกว่าในฐานะผู้นำเธอต้องเข้าใจเรื่องของสมาชิกทุกคน แถมยังบอกอีกว่าแม้กระทั่งอาจารย์และเต่าที่เป็นสัตว์เลี้ยงในห้องวิทยาศาสตร์เองก็กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเหมือนกัน ความจริงที่เฟรเดริก้าค้นพบนั้นน่าสนใจมาก
และเมื่อเว็ดดิ้นพูดเรื่องเธอถูกนินจาเข้าโจมตี มันก็ทำให้ความน่าสนใจพุ่งสูงขึ้นไปอีก เด็กสาวคนนี้เป็นศัตรูดังนั้นเว็ดดิ้นจึงไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของเธอ แต่เธอรู้ว่านินจาสาวคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เธอเป็นนินจาที่มีแขนข้างเดียวและตาข้างเดียว เว็ดดิ้นบอกว่าเธอขว้างคุไนกับชูริเคนออกมามากและรวดเร็วราวกับปืนกล เว็ดดิ้นยังบอกอีกว่านินจานั้นตรึงเธอเอาไว้บนดาดฟ้าอพาร์ทเมนท์จนขยับไม่ได้อีกด้วย
เท่าที่เฟรเดริก้ารู้ มันมีเมจิคัลเกิร์ลเพียงแค่คนเดียวที่เป็นไปตามคำอธิบายนั้น เธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของสโนไวท์ที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเฟรเดริก้า เมจิคัลเกิร์ลริปเปิล การได้เจอริปเปิลภายในบาเรียนี้มันทำให้ความสุขทะลวงลึกลงไปถึงภายในกระดูกของเฟรเดริก้า และเมื่อคิดว่าอาจจะไม่ใช่แค่ริปเปิล บางทีสโนไวท์อาจจะอยู่กับเธอด้วยก็ได้ มันก็ยิ่งทำให้เธอมีความสุขมากถึงขนาดจนทำให้เข่าของเธออ่อนแรง
โชคชะตานี่เป็นสิ่งที่ลึกลับซะจริง ยิ่งถ้าเป็นโชคชะตาระหว่างเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันก็ยิ่งน่าเหลือขึ้นไปอีก
“ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?” เฟรเดริก้าถาม
“อื้อ”
เว็ดดิ้นตอบกลับมาด้วยเสียงที่นิ่มนวล มันเป็นเพราะว่าเธอนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ลหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักชีวิตของเมจิคัลเกิร์ล หรือเพราะเธอถูกพูคินควบคุมอยู่กันนะ?
เว็ดดิ้นบอกว่าโซเนียนั้นฆ่ากัปตันเกรซที่เป็นโจรสลัดไปแล้ว เท็ปเซเคเมย์ที่เป็นตะเกียงจินนี่เองก็เสียร่างกายไปครึ่งหนึ่งและหนีขึ้นไปบนฟ้า การที่เธอรอดอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะพลังชีวิตของเธอสูง เธอฟื้นร่างกายที่ขาดหายไปด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับลมรึเปล่านะ? หรือเดิมทีร่างกายของเธอก็สร้างมาจากลมอยู่แล้ว การที่ร่างกายบางส่วนหายไปจึงไม่ได้สร้างอันตรายให้เธอกันนะ? แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็เหมือนว่าเธอนั้นดูค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าเมจิคัลเกิร์ลที่เหลืออยู่
แล้วนักฆ่านั้นคือหนึ่งในเด็กสาวมัธยมต้นที่เว็ดดิ้นบอกรึเปล่า? หรือทุกคนเป็นแค่เหยื่อกันนะ?
“ถ้าเป็นแบบนั้น…” พูคินสะบัดเรเปียของเธอ และเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วบนโซฟาสีฟ้า
“มันก็เหมือนว่าพวกเราทำภารกิจส่วนใหญ่สำเร็จแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ?” เฟรเดริก้าถาม
“พวกเรายังไม่ได้ตัววายร้ายที่เจ้าตั้งใจจะจับงั้นรึ? ถ้าแบบนั้น ก็…”
เฟรเดริก้าหันไปมองนักมายากลที่อยู่ข้างๆ ตัวของฟันนี่ทริคนั้นกำลังสั่น แถมยังขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ เหงื่อเองออกมาจากทั่วร่าง เธอดูหวาดผวามาก เฟรเดริก้าเห็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกเสียใจ
“หมายถึงเธอคือนักฆ่าที่เรากำลังตามอยู่เหรอคะ?”
“ข้าพูดได้อย่างภูมิใจเลยว่าการทำงานในฐานะผู้ตรวจการมาหลายปี มันทำให้เข้าใจผู้คนเพียงแค่มองได้”
“งั้นเหรอคะ เป็นการตัดสินที่ยุติธรรมดีเหมือนกัน”
“จำเด็กสาวโจรสลัดนั่นได้ไหม?”
“จำได้ค่ะ”
พูคินคงหมายถึงเด็กสาวที่ตายอย่างโหดร้ายทรมาณชนิดที่เฟรเดริก้าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว คนที่ถูกโซเนียลูบแก้มนั่นเอง
“แล้วนักมายากลที่อยู่ตรงนั้น”
พูคินเก็บเรเปียเข้าฝัก และเดินไปที่กำแพงอย่างระวังโดยไม่ให้เหยียบเลือด จากนั้นก็ดึงมีดสั้นของเธอออกมาแล้วเก็บเข้าไปในฝักเช่นกัน
“โซเนียนั้นจับตัวมาได้ในตอนที่เธอกำลังกอดศพของเด็กสาวโจรสลัดที่ถูกฆ่าตาย”
โซเนียเงยหน้าขึ้นและพ่นลมหายใจออกมาอย่างภูมิใจ แล้วก็กลับไปกินอาหารของตัวเองต่อทันที
“ไม่ใช่แบบนั้นรึ?”
“ใช่ค่ะ”
“ข้าเห็นโซเนียลากเด็กสาวคนนี้มาหาด้วยตาตัวเอง ตอนที่พวกของเธอถูกฆ่าตัวเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย แสงจางๆที่ดูเป็นความยินดีนั้นมันปรากฏขึ้นมาจากส่วนลึกของดวงตา ส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่ความยินดีที่เพื่อนของตนถูกฆ่า แต่ถ้าเธอคือคนร้ายตามที่สงสัย เช่นนั้นเธอก็คือคนโง่ที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้า คนที่ไม่เห็นว่าเพื่อนนั้นคือเพื่อน แถมยังยินดีกับความตายนั้นอีก ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนั้น แต่สำหรับพวกคนร้ายบางคนมันมีตัวตนที่ผิดแปลก ข้ารู้มาจากประสบการณ์”
“อาวล่ะ! ขอโทษที่ให้รอ!”
อากาศนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของเนื้อสัตว์ ไอร้อนจากอาหารนั้นลอยตามมา ท็อตป๊อปนั้นสวมผ้ากันเปื้อนลายโน๊ตดนตรี ที่มือของถือจานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแฮม ซี่โครง สเต็ก แล้วก็เนื้อสัตว์หลากหลายประเภทที่กองรวมกันไว้ กลิ่นมันน่าอร่อยก็จริงแต่หน้าตาอาหารนั้นคนละเรื่อง เฟรเดริก้ารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงบุคลิกของท็อตป๊อปออกมา
ท็อตป๊อปจัดวางซอสถั่วเหลือง วาซาบิ มายองเนส มัสตาร์ด ซอสมะเขือเทศ ชิจิมิ* วูสเตอร์ซอส ยากินิคุซอส น้ำสลัด แล้วก็อีกหลากหลายซอสลงบนโต๊ะ
*ชิจิมิ พริกเจ็ดรส เป็นเครื่องปรุงรสเผ็ดของญี่ปุ่น ประกอบด้วย พริก พริกไทยญี่ปุ่น เปลือกส้มอบแห้ง งาดำ งาขาว เมล็ดป่าน ขิง และสาหร่าย
“เลือกอันที่ชอบเลยนะ เอาล่ะ ท็อตจะไปทำเพิ่ม”
ตอนที่ท็อตป๊อปเดินกลับเข้าไปในครัวนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าหูของฮานะถูกตัดออกไปหนึ่งข้าง จึงตกใจและพูดออกมาว่า “หวา!” แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในครัว
“ใจเย็นแล้วกินซะเถิด โซเนีย เนื้อของสิ่งที่ตายแล้วน่ะมันหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
“อื้อ!”
พวกเธอกลับไปกินอาหารต่ออย่างเงียบๆ โซเนียนั้นใช้มือเปล่า ส่วนพูคินนั้นใช้มีดกับส้อมอย่างสง่างาม เหมือนไม่ได้เป็นแค่การเพิ่มพลังงาน แต่ทั้งคู่นั้นสนุกสนานไปกับการลิ้มรสอาหารด้วยเช่นกัน
เฟรเดริก้าหันไปหานักมายากลและพูดออกมาว่า
“ฉันอยากจะถามอะไรเธอซักอย่าง”
นักมายากลนั้นยังคงตัวสั่น เฟรเดริก้าจึงตบมือขึ้นมาเสียงดัง จากนั้นตาของเด็กสาวก็หันมาหาเธอ
“เธอกับโจรสลัดนั่นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
เฟรเดริก้าถามเธอเป็นภาษาญี่ปุ่นดังนั้นเธอต้องเข้าใจแน่ เธอเข้าไปหาฟันนี่ทริคใกล้ๆ ตาของเธอนั้นจับจ้องไปรอบๆบริเวณ ตั้งแต่โดนลักพาตัวมาเธอคงต้องกลัวสถานการณ์นี้แน่ แถมหูของตัวประกันคนอื่นก็ถูกตัดขาดต่อหน้าอีก แต่เฟรเดริก้าก็รู้สึกว่าการถามอะไรแบบนี้มันก็ทำให้เธอตัวสั่นด้วย
“ตามที่นายท่านที่อยู่ตรงนั้นบอก เธอดีใจตอนที่เด็กสาวโจรสลัดตาย”
ตาของฟันนี่ทริคเบิกออกกว้างมาก มากจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา แต่เธอคงต้องลืมไปแล้วแน่ๆว่าตัวเองถูกเชือกมัดอยู่ เธอจึงล้มลงไปกองและบิดตัวอยู่ที่พื้น
“ไม่! ไม่! ไม่ใช่แบบนั้น!”
“แต่นายท่านแน่ใจว่ามันเป็นแบบนั้นนะ”
“ไม่ใช่นะ! ฉันน่ะ… ฉัน…”
ดวงตาของเด็กสาวมองมาที่เฟรเดริก้าแต่มันไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ตัวเธอ เหมือนว่าตาของเด็กสาวนั้นกำลังมองดูตัวของเธอเอง และมองลึกลงไปในหัวใจ ราวกับว่ากำลังค้นหาบางอย่าง
“ฉัน… ฉัน… ฉัน… ฉัน…”
เฟรเดริก้ามองดูเธออย่างเงียบๆ เด็กสาวคนนี้ไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะเฟรเดริก้าพูดเรื่องเท็จ ไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโจรสลัดนั้นแปดเปื้อน แต่มันคือท่าทางของคนที่ไม่ยอมรับความจริง เธอนั้นสำรวจตัวเองอีกครั้ง คิดเรื่องตัวเองอีกครั้ง และได้รับคำตอบที่ตัวเองไม่ชอบออกมา แล้วตอนนี้เธอก็โมโหในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาได้
“ฉัน… ฉัน… ฉัน…!!!”
“เงียบ!”
พูคินขว้างจานขนาดใหญ่ไปที่นักมายากล มันโดนหน้าของเธอจนแตกละเอียด แล้วก็ร่วงลงมาบนพรม จากนั้นเด็กสาวนั้นทรุดตัวลงไปด้านบนของเศษจานที่แตก
“อย่าพูดกับพวกเราด้วยภาษาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ พวกข้ากำลังทานมื้อเย็นอยู่ เงียบซะ”
“นายท่านคิดว่าเธอใช่อาชญากรรึเปล่าคะ?”
พูคินแค่ขว้างจานไปที่เธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงยังมีชีวิตอยู่… ถึงจะเป็นแค่จาน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าขว้างไปโดนที่ไหนถึงจะเป็นอันตราย ซึ่งพูคินนั้นขว้างมาด้วยความตั้งใจที่จะฆ่า เฟรเดริก้าเองก็บอกพูคินไปแล้วว่าจะจับตัวอาชญากรไม่ใช่การฆ่า
“ไม่ ไม่ใช่ พอเห็นปฎิกิริยาของเธอข้าก็เปลี่ยนใจแล้ว เจ้าเคยได้ยินที่คนพูดกันว่า ‘คนฉลาดเปลี่ยนความคิด แต่คนโง่ไม่มีวันเปลี่ยน’ ไหม? เมื่อได้รับข้อมูลใหม่มา พวกเราก็จะประเมินผลตามข้อมูลที่ได้มานั้น อย่างแรกเลยเด็กสาวคนนี้ผิดปกติ เป็นแค่คนหัวอ่อนที่ปะปนอยู่กับหลายๆคน ไม่ใช่อาชญากรหรอก ชวนสับสนดีนะ ว่าไหม?”
แม้ว่าพูคินจะทำพลาด แต่เธอก็จะพูดข้อแก้ตัวที่น่าเชื่อถือออกมาราวกับบอกว่าเธอไม่ผิดเสมอ หากเฟรเดริก้าปล่อยไปแบบนั้น เธอคงจะฆ่าผู้ต้องทุกคนที่สงสัยแน่
ฟันนี่ทริคที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพรมนั้นยังคงตัวสั่น แค่มองดูเฟรเดริก้าก็บอกไม่ได้ว่าเธอนั้นคิดอะไรอยู่
“เจ้าว่าไง เฟรเดริก้า?”
“ฉันคิดว่าเป้าหมายจริงๆของเราน่าจะอยู่ในกลุ่มคนที่หนีไปได้มากกว่าค่ะ”
ฮานะ เกโคคุโจนั้นเป็นผู้ตรวจการที่มีความสามารถในหน่วยสืบสวนของดินแดนเวทมนตร์ แถมยังมีความสามารถในการสืบสวนและต่อสู้สูง เหตุผลเดียวที่เธอมาที่เมืองนี้คงจะเป็นการหาตัวอาชญากร และเป้าหมายของเธอนั้นเหมือนกับเป้าหมายของพวกเฟรเดริก้า นั่นคือตัวนักฆ่า แน่นอนว่าตัวของเธอย่อมไม่ใช่นักฆ่าอยู่แล้ว
และไม่ใช่ฟันนี่ทริคเช่นกัน เธอนั้นอาจมีความบาดหมางไม่ก็ความขัดแย้งส่วนตัวกับโจรสลัดก็จริง แต่มันก็ไม่มากพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเธอคืออาชญากร แถมท่าทีตอนที่เธอถูกจับตัวเองก็เหมือนไม่ได้เป็นการแกล้งทำด้วย นอกจากนี้ ฆาตกรสุดโฉดแสนเลือดเย็นคงไม่โง่พอที่จะถูกจับเพราะกำลังกอดศพเพื่อนตัวเองอยู่แล้ว แบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้
เฟรเดริก้าเองก็พูดอะไรถึงกัปตันเกรซไม่ได้มาก เธอแค่เห็นศพหลังจากที่ถูกโซเนียฆ่าแล้วเท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอเป็นนักสู้ที่เก่งแต่มันจะเหมาะกับการเป็นนักฆ่ารึเปล่านะ? เว็ดดิ้นเองก็บอกพวกเธอเรื่องบุคลิกของกัปตันเกรซว่า เธอนั้นเป็นหนึ่งในนักเรียนที่โด่งดังที่สุดที่ได้รับความสนใจของโรงเรียน แต่เฟรเดริก้าก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันจะดูเหมือนเป็นนักฆ่าอะไร
“หืมม ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะ ที่ว่าคนร้ายมันอยู่ในหมู่ของผู้ที่หนีไปได้ และในการที่จะจับตัวได้นั้นพวกเราก็ต้องการข้อมูล ดังนั้นพวกเราจึงต้องหาเครื่องมือที่จะดึงข้อมูลออกมาจากเธอได้”
“หมายถึงโทโกะเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว”
“หากเป็นดาบของนายท่านล่ะก็ พวกเราจะไม่ใช่แค่ทำให้เธอปริปากพูดออกมาได้ แต่ยังจะได้พวกเดียวกันเพิ่มอีกด้วย”
คนที่ถูกดาบของพูคินจะถูกบังคับให้เข้าใจผิด หากทำให้เข้าใจผิดว่าเธอเป็นพวกเดียวกันได้ล่ะก็ แบบนั้นพวกเธอก็จะล้วงข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายออกมาได้
โซเนียกับพูคินทั้งคู่นั้นยื่นมือไปหาเนื้อชิ้นสุดท้ายพร้อมกันก่อนที่จะหยุดมือ ตอนที่โซเนียดึงมือของเธอกลับอย่างช้าๆ พูคินก็หั่นเนื้ออออกเป็นสองชิ้นแล้ววางครึ่งหนึ่งลงไปบนจานของโซเนีย
“ข้านั้นถูกจ้างให้ทรมาณมนุษย์ เรื่องการสอบปากคำเมจิคัลเกิร์ลเองก็เช่นเดียวกัน ทางดินแดนเวทมนตร์ว่าจ้างข้าเพราะต้องการใช้ความสามารถของข้า แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทรมาณแฟร์รี่ล่ะก็มันต่างกัน หากข้ารู้ว่าต้องทรมาณแฟร์รี่ล่ะก็ ข้าจะรีบมาในทันที เรื่องเงินไม่จำเป็นด้วยซ้ำ พวกข้าจะรีดข้อมูลออกมาให้ฟรีเลยด้วย! ขอแค่โอกาสให้ข้าได้ทำสิ่งนั้นก็เป็นพอแล้ว!”
พูคินวางชิ้นเนื้อครึ่งหนึ่งลงบนลิ้นจากนั้นก็เคี้ยวมันอย่างช้าๆและกลืนลงไป น้ำมันจากเนื้อสัตว์ไหลย้อยออกมาจากมุมปากของเธอในตอนที่เธอยิ้ม สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้ว เฟรเดริก้าเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่เหมือนกันมามากมาย มันเป็นรอยยิ้มซาดิสต์ของเด็กสาวที่ชอบดื่มด่ำความรุนแรง
“มันไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการทรมาณแฟร์รี่อีกแล้ว เสียงกรีดร้องของพวกมันช่างไพเราะ ไม่ต้องพูดถึงความสนุกสนานหลังจากนั้นเลย ข้าไม่อนุญาตให้แม้แต่คนที่ช่วยข้าออกมาจากคุกช่วงชิงความสุขนั้นไปด้วย”
“แล้วฉันจะไปขโมยความสุขนั่นจากท่านได้ยังไงล่ะคะ ท่านพลเอก?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นได้ด้วยเวทมนตร์ไม่ใช่รึ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น”
“เวทมนตร์ของข้าน่ะไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น ข้าสามารถใช้ได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น หากใช้ดาบกับเป้าหมายใหม่ล่ะก็ ผลของคนก่อนหน้าก็จะถูกยกเลิก”
ตอนที่พูคินพูด เธอก็ลูบคางของเด็กสาวชุดแต่งงานที่อยู่ด้านข้างไปด้วย เด็กสาวนั้นส่งเสียงออกมาอย่างความสุขและเอนตัวพิงไหล่พูคิน ก่อนหน้านี้เพียงแค่สามสิบนาทีเธอยังเป็นศัตรูอยู่เลย แต่ในตอนนี้เธอกลายเป็นสมาชิกในฮาเร็มของพูคินไปแล้ว เธอกับโซเนียนั้นจ้องหน้ากันและกันอยู่ตลอดด้วย
เพราะพูคินนั้นให้ความสำคัญกับความสนุกสนาน เธอจึงต้องใช้เวลามากซักหน่อย
ถ้าฆ่าผู้ต้องสงสัยในเมือง B ทิ้งทั้งหมดมันจะเร็วกว่าไหมนะ? แต่สิ่งที่หน่วยต่อต้านต้องการคือการจับกุมตัวนักฆ่า ไม่ใช่ความตายของเธอ แม้เฟรเดริก้าจะไม่ได้มีความปรารถนาที่สูงส่งอย่างการรับใช้หน่วยต่อต้านไปจนจบ แต่ถ้าเธอเริ่มต้นด้วยการฆ่าทุกคนทิ้ง พวกนั้นก็จะคิดว่าเธอไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำตามคำขอตั้งแต่แรก เธอนั้นจำเป็นต้องมีอิสระในระดับหนึ่งเพื่อควบคุมพูคิน แต่ถ้ามีอิสระมากเกินไปอาจจะกลายเป็นการอาละวาดได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเฟรเดริก้าว่าจะควบคุมยังไง
ทั้งหมดนี้เหมือนว่าจะมีปัญหามากเกินไป การเพิกเฉยคำขอของหน่วยต่อต้านและปล่อยให้พูคินอาละวาดคงดีกว่า จากนั้นก็หลบหนีไปตอนที่กำลังสับสน ในตอนนั้นหากคนอื่นคิดว่าเฟรเดริก้าตายท่ามกลางความวุ่นวายมันก็จะเป็นเรื่องที่ดี
“อาวววล่าาา! ขอโทษที่ให้รออออ!”
ท็อตป๊อปนั้นเอาอาหารมาเพิ่ม คราวนี้คือปลาทอดกับสลัด สลัดนั้นเป็นแบบดังเดิมที่แค่หั่นผักอย่างลวกๆแล้วก็เอามาเสิร์ฟ โซเนียใช้มือจับมันใส่เข้าไปในปาก ในขณะที่พูคินเอาปลาแม็คเคอเรลแห้งๆสองตัววางลงบนจานของเธอ
การใช้พลังงานสูงของทั้งคู่นั้นเป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของพวกเธอ หากเธอจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นมันก็ต้องพยายามอย่างมาก เฟรเดริก้าจึงเข้าไปในครัวแล้วคุยกับท็อตป๊อป
“ทำข้าวกล่องไว้ด้วยดีกว่า มันคงขำไม่ออกแน่หากทั้งสองเคลื่อนไหวไม่ได้เพราะความหิวเมื่อศัตรูอยู่ตรงหน้าน่ะ”
“แซนด์วิชไหม?”
“ฉันคิดว่าข้าวปั้นดีกว่านะ”
“อ๊ะ ที่นี่มีข้าวเยอะแยะเลย แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ใส่สาหร่ายด้วยดีไหมนะ? แต่มันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่ อ๊ะ ใส่บ๊วยดองก็ไม่ได้เหมือนกัน…แถมยังมีคนที่ชอบเฉพาะบางอย่างอีก ทำยากจัง”
เมื่อเป็นเรื่องข้าวกล่องแล้ว ต่างคนก็ต่างมีสิ่งที่ตัวเองชอบ การที่จะทำให้ได้กินสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นไม่ง่ายเลย
MANGA DISCUSSION