ตอนที่ 4:
ฮีโร่หรือไอดอล?
☆ 7753 (เหลือเวลาอีก 22 ชั่วโมง 12 นาที)
ริปเปิลสวมดัฟเฟิลโค้ท*ที่มีฮู๊ด แต่มันก็ไม่ยาวพอที่จะปิดเท้า เธอจึงไม่สามารถซ่อนเกี๊ยะไม้ที่สวมอยู่ไว้ได้
พีโค้ท*ของ 7753 นั้นไม่มีฮู๊ด แถมเธอเองก็ไม่มีทั้งหมวกแล้วก็หน้ากากอนามัย และเมื่อเธอบอกว่าจะออกไปซื้อหมวก มานาก็ตอบเธอมาว่า “พวกเราไม่มีเวลาแล้วนะ” เพราะแบบนั้นเธอจึงแค่ไปซื้อหน้ากากอนามัยมาจากร้านสะดวกซื้อ และยืมผ้าพันคอของริปเปิลมาพันไว้รอบหัว เธอสวมแว่นกันลมไว้ด้วย แบบนี้ตัวเธอคงดูเหมือนคนน่าสงสัยมากแน่ๆเลย
ฮานะนั้นเหน็บหูยาวๆของเธอไว้ในฮู๊ด เธอคงต้องคำนวนเรื่องความยาวของหูมาแล้วแน่ๆ เสื้อโค้ทของเธอนั้นยาวจนปิดปกปิดต้นขาเปลือยๆเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
มานานั้นสวมเทรนช์โค้ท* ซึ่งไม่มีฮู๊ดเช่นกัน แต่เธอนั้นก็ไม่ได้สวมทั้งหน้ากากหรือหมวกแต่อย่างใด ปล่อยให้ทุกอย่างด้านบนคอเปิดโล่ง 7753 สงสัยว่าแบบนี้จะไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ แต่มานานั้นก็เป็นมืออาชีพแล้ว แบบนั้นคงไม่เป็นไร
เสื้อคลุมของมาโอแพมนั้น ทำให้ 7753 รู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก มันดูเหมือนของที่หาได้ง่ายตามร้านค้า แต่มันก็ยังดูเป็นชุดที่หรูหราเช่นกัน บางทีอาจจะทำขึ้นมาเอง หรืออาจจะไม่ใช่เสื้อที่เธอสวมหลังการแปลงร่าง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชุดเธอก็ได้
*ดัฟเฟิลโค้ท คือเสื้อโค้ทที่มีฮูด ใช้เชือกกับไม้กลัดแทนกระดุม*พีโค้ท คือเสื้อกันหนาวชนิดหนึ่งที่มีกระดุม 2 แถว ได้รับอิทธิพลมาจากเสื้อโค้ตของทหารในกองทัพ*เทรนช์โค้ท คือเสื้อโค้ทที่มีคุณสมบัติ กันฝน กันลม และกันหนาวได้ ด้านนอกทำจากผ้าฝ้าย ด้านในทำจากขนสัตว์
ในตอนนี้ ทุกคนนั้นสวมเสื้อโค้ทและแสร้งทำเป็นคนธรรมดา แต่ 7753 ไม่รู้ว่าคนธรรมดานั้นจะเห็นพวกเธอเป็นยังไง
หากพูดถึงการสืบสวนแบบนี้ 7753 นั้นเป็นแค่มือสมัครเล่น แม้ว่าเธอจะเข้าร่วมปฎิบัติการครั้งนี้ด้วย แต่มันก็เป็นแค่การทำตามคำสั่งของหัวหน้าที่มอบให้เธอมาแบบคำต่อคำเท่านั้น ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มานานั้นเข้าไปในรถตู้สีขาวและง่วนอยู่กับเมจิคัลโฟนของเธอ เห็นชัดว่าพวกเธอจะใช้รถคันนี้เพื่อการ
สืบสวน 7753 หายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะดีใจว่าไม่ต้องเดินไปรอบเมืองด้วยชุดแบบนี้ แต่รถนี่มันไม่ได้ดูเป็นอะไรแบบเมจิคัลเกิร์ลเอาซะเลย
โดยทั่วไปแล้วเมจิคัลเกิร์ลนั้นสามารถวิ่งได้เร็วกว่าการขับรถ แต่อย่างไรพวกเธอก็จะทำตัวโดดเด่นในเวลากลางวันไม่ได้ แถมที่หน้าต่างของรถเองก็มีฟิล์มสีควันติดอยู่ด้วย มันจึงยิ่งทำให้ดูเหมือนอะไรแบบการสืบสวนเข้าไปใหญ่
“ก่อนหน้านี้พวกเรามีรถคันใหญ่กว่านี้นะคะ แต่ว่าก็ต้องทิ้งเอาไว้เพราะโดนศัตรูโจมตี”
ฮานะเหมือนว่าจะขอโทษตอนที่เธอเปิดประตูด้านคนขับ แล้วแสดงให้ดูว่าด้านในรถนั้นแคบมาก
มานานั้นสั่งเธอว่า “แค่นึกถึงก็น่ารำคาญแล้ว อย่าไปพูดถึงอีกนะ”
แม้จะเพิ่งสั่งให้ฮานะไม่ต้องพูด แต่มานาก็พูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากโดนโจมตีออกมาเอง
ตอนที่มานากับคู่หูของเธอพยายามขับรถหนี มันก็มีเมจิคัลเกิร์ลสองคนไล่ตามรถตู้ของเธอมา เมื่อคิดว่าคนที่ไล่ตามมานั้นจะจับพวกเธอได้ มานาจึงใช้เวทมนตร์ของเธอสร้างม่านควันขึ้นมาเพื่อให้พวกเธอสองคนหนีได้ จากนั้นทั้งคู่ก็วิ่งออกไปจากรถตู้ในทิศตรงกันข้ามเพื่อที่จะสลัดคนที่ไล่ตามมาให้หลุด มานาเหมือนว่าจะหนีออกมาได้ แต่เมื่อเธอกลับมารวมตัวกับฮานะเพื่อค้นหาสมาชิกที่เหลือ พวกเธอก็พบว่าคู่หูนั้นกลายเป็นศพคอหักนอนอยู่ในถนนด้านหลังโดยที่มีกล่องกระดาษปิดบังเอาไว้ไปแล้ว มันไม่มีทีท่าว่าเธอขัดขืนเลยด้วยซ้ำ มานาบอกว่ามันดูเหมือนกับเธอถูกเตะเข้าที่คอจากด้านหลังตอนที่กำลังวิ่งอยู่
“ห่าเอ๊ย พวกมันฆ่าผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาที่หน่วยสามส่งมาให้พวกเราไปซะได้”
น้ำเสียงของเธอนั้นฟังดูเศร้า พรรคพวกเธอคนหนึ่งถูกฆ่าตาย แถมกรมการต่างประเทศก็กางบาเรียโดยที่ไม่ปรึกษาใครอีก ทำให้ในตอนนี้พวกเธอติดอยู่ด้านใน แต่มานาก็ยังคงไม่ยอมแพ้
“พวกเราต้องไปตามหาโทโกะ หากหาไม่เจอล่ะก็ต้องหาพวกเมจิคัลเกิร์ลของเธอแทน นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเราต้องทำ บาเรียนั้นมันไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล ทั้งผู้ร่าย อุปกรณ์ และเวทมนตร์เองต่างก็มีข้อจำกัด เมื่อผลของมันหายไปก็จะสร้างใหม่ทันทีไม่ได้ มีเวลาจำกัดเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่บาเรียจะหายไป… เวรเอ๊ย ตอนนี้เหลือ 22 ชั่วโมงแล้วงั้นเหรอ? หากพวกเราใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดแล้วศัตรูยังหนีไปได้ล่ะก็…”
มานานั้นเลิกคิ้วและเชิดจมูกของเธอขึ้น บนหน้าผากของเธอนั้นมีรอยย่นอยู่ด้วย ทุกๆส่วนบนใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ขนาดที่ 7753 นั้นยังได้ยินเสียงกัดฟันของเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น มานานั้นหายใจเข้าลึกๆแล้วก็พูดต่อ
“…ไม่มีที่ยืนให้กับความผิดพลาดหรอกนะ หากพวกมันหนีไปได้ พวกเราก็จำเป็นต้องไปจับตัวมา”
หลังจากนั้นมานาก็เงียบอีกครั้ง และฮานะก็พูดเชิงขอโทษขึ้นตามมา
“เอ่อ คุณ 7753 กับคุณริปเปิล ก่อนอื่นดิฉันอยากจะยืนยันอะไรบางอย่างก่อนค่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“เวทมนตร์ของทั้งคู่จำเป็นต้องใช้ดวงตามองรึเปล่าคะ? อย่างของริปเปิลเนี่ยเป็นการขว้างชูริเคนเข้าเป้าทุกครั้งเมื่อมองเห็นถูกไหมคะ? แล้วของ 7753 นี่จะเป็นการมองเห็นหน้าจอสถานะต่างๆของคนเมื่อมองเห็นใช่ไหม?”
“ถ้าฉันมองไม่เห็น ฉันก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้หรอก”
7753 พูดเช่นนั้นแล้วเธอก็มองไปยังริปเปิล ริปเปิลเองก็พยักหน้าเช่นกัน
“งั้นเหรอคะ ทั้งสองคนจำเป็นต้องมองเห็นถึงจะใช้เวทมนตร์ของตัวเองได้… เอาล่ะ เจ้านี่จะช่วยคุณได้ค่ะ”
จู่ๆสายตาของ 7753 ก็มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เธอไม่รู้ว่าอะไรมันเปลี่ยนไป เธอสับสนและพยายามถอดแว่นกันลมของตัวเองออกเพราะคิดว่ามันโปร่งใสขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว สิ่งที่อยู่ห่างไกล เธอมองเห็นมันทั้งหมดได้อย่างชัดเจน สายตาของเมจิคัลเกิร์ลนั้นดีกว่ามนุษย์ แต่นี่มันเหนือยิ่งกว่านั้น เมื่อเธอมองไปยังริปเปิล เธอก็เห็นนินจาคนนั้นมองไปรอบๆเหมือนกับเธอไม่มีผิด
“นี่คือเวทมนตร์ของดิฉันค่ะ”
เวทมนตร์ของฮานะ เกโคคุโจคือทำให้สัมผัสต่างๆนั้นแหลมคมขึ้น การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรส การสัมผัส เธอสามารถเพิ่มความสามารถของสัมผัสเหล่านั้นให้แหลมคมขึ้น
“ดิฉันสามารถทำทั้งหมดได้ในคราวเดียวค่ะ แต่มันคงมากเกินไปจนทำให้สับสน อีกอย่างเมื่อดิฉันใช้เวทมนตร์กับหลายๆคนแล้วมันก็จะยากขึ้นด้วย ตอนนี้เลยมีเฉพาะแค่การมองเห็นค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ? ต้องเพิ่มมันขึ้นอีกหน่อยไหม?”
7753 นั้นรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างเข้ามาใกล้ราวกับเป็นภาพลวงตา แถมยังมองเห็นฝุ่นทุกอณูที่ลอยอยู่บนอากาศได้ รูปทรงของเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน และเธอยังทำได้แม้กระทั่งระบุชนิดของต้นไม้ที่โตอยู่บนภูเขาที่ห่างออกไปอีกด้วย
“เท่านี้รึเปล่าคะ? ถ้าเพิ่มมากเกินไปล่ะก็มันจะสร้างปัญหาให้ด้วย”
“หวา ยอดเลย! เธอนี่ยอดเยี่ยมสุดๆ!”
“ฮะฮะฮะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ”
การแปลงร่างจากมนุษย์กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นทำให้สัมผัสทุกอย่างแหลมคมขึ้น แต่ความดีใจกับการ
เปลี่ยนแปลงในตอนนี้มันต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกของการมีประสบการณ์ใหม่ ค้นพบอะไรใหม่ๆ
ริปเปิลนั้นก้มตัวลง และเมื่อเธอยืนขึ้นก็มีก้อนหินเล็กๆสองก้อนอยู่ในมือขวาของเธอ เธอโยนขึ้นไปบนฟ้าก้อนหนึ่ง แล้วมันก็หายไปในพริบตา จากนั้นก็โยนหินอีกก้อนหนึ่งตามไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเพียงไม่นาน พวกเธอก็ได้ยินเสียงของก้อนหินสองก้อนแตกออกเพราะกระแทกเข้าหากันด้านบนท้องฟ้าสูง เศษของก้อนหินนั้นร่วงหล่นลงมา ฮานะกับ 7753 อ้าปากค้างความตกตะลึงพร้อมกับตบมือให้
“ยอดไปเลยค่ะ!”
“……ไม่หรอก”
“เวทมนตร์จะมีผลในรัศมี 3 เมตรรอบตัวของดิฉันค่ะ ตราบเท่าที่ไม่ออกไปจากระยะ มันก็จะมีผลอยู่ตลอด”
ฮานะเป็นคนขับรถ เธอเพิ่มสัมผัสของตัวเองให้แหลมคมขึ้น และยังรับบทตรวจหาศัตรูอีกด้วย เนื่องจากเพราะเธอดูเด็กจนตำรวจนั้นอาจจะเข้าหยุดรถได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ฮานะเอาใบขับขี่ของตัวเองออกมาให้ดู ซึ่งมันบอกว่าเธออายุ 21 ปี และรูปที่อยู่บนนั้นก็ดูเหมือนตัวเธอในตอนนี้โดยที่ไม่มีหูกระต่าย
“หัวหน้าทีมของเราทำเรื่องแบบนี้เก่งค่ะ”
เห็นได้ชัดว่ามานานั้นปลอมแปลงมันขึ้นมา เทคโนโลยีส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นสามารถทำซ้ำโดยใช้เวทมนตร์ได้
“เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่ทำตามขั้นตอนแล้วก็แบ่งบทบาท”
มานาใช้ไม้เท้าของเธอเพื่อระบุแหล่งที่มีเวทมนตร์ในบริเวณโดยรอบ และเหมือนว่าที่ปลายไม้เท้านั้นจะชี้บอกตำแหน่งของแหล่งที่มีเวทมนตร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด มันบอกทิศทางออกมาก็จริงแต่มันก็บอกมาแบบแปลกๆ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
7753 มองไปด้านนอกจากที่นั่งผู้โดยสาร แม้ไม้เท้านั้นจะบอกทิศทางแต่มันก็ไม่ได้บอกระยะทาง ให้พูดก็คือ พวกเธอจำเป็นต้องใช้แว่นกันลมเวทมนตร์ของ 7753 เพื่อค้นหา ถึงศัตรูจะแอบอยู่ในตัวอาคารแต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ใช้แว่นกันลมมองดู
เธอจำเป็นต้องปรับแต่งค่าตัวแปรของแว่นกันลมเพื่อให้มองเห็น เธอนั้นพูดไม่ได้ว่าเธอหากพวกนั้นไม่ได้แปลงร่างก็จะหาไม่เจอ 7753 นั้นเปลี่ยนค่าตัวแปรเป็น “จำนวนของเมจิคัลเกิร์ลที่ฆ่าไป” ซึ่งค่าตัวแปรที่น่ากลัว โดยปกติแล้วเธอจะเห็นว่ามันไม่มีความสำคัญเลย ทุกๆครั้งที่เธอมองเห็นผู้คนจากหน้าต่างตอนที่ขับรถอยู่ เธอก็ตั้งใจใช้แว่นกันลมของเธอมองไปที่พวกนั้น
หน้าที่ของริปเปิลนั้นคือคุ้มกันเธอ เวทมนตร์ของเธอคือปาชูริเคนโดนเป้าหมายทุกครั้ง และจากที่ 7753 ได้ยินมา เหมือนว่าเธอจะแข็งแกร่งมาก ตอนที่ได้ยินว่าริปเปิลนั้นเป็นหนึ่งในเด็กสาวของแครนเบอร์รี่เธอก็รู้สึกช็อค โดยปกติแล้วเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกส่งมาที่ 7753 นั้นมักจะไม่ใช่คนที่มีปัญหา แต่อย่างไรเธอก็เป็นคนที่แข็งแกร่งและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น
ฮานะนั้นไม่ได้โอ้อวดความสามารถในการต่อสู้ แต่เธอก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด เพราะแบบนั้นมานากับเธอจึงเป็นศูนย์กลางในหน่วยสืบสวนครั้งนี้ เวทมนตร์ของเธอที่ช่วยเสริมนั้น ผลของมันยอดเยี่ยมมาก แม้จะมีรัศมีเพียงแค่ 3 เมตร มันจึงเป็นข้อจำกัดและ 7753 ก็ควรใส่ใจกับมัน
และอีกคนหนึ่งในกลุ่ม 7753 มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เธอไม่เห็นว่ามีดวงจันทร์หรือดวงดาวลอยอยู่บนท้องฟ้า ทุกอย่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ แถมมันเป็นช่วงเวลากลางคืนของเดือนพฤศจิกายนอากาศด้านนอกจึงหนาวเย็น มาโอแพมบินอยู่คนเดียวบนท้องฟ้าท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว เธอนั้นสามารถบินด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสอดส่องศัตรูที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาอันแหลมคมจากด้านบนได้ ถึงจะถูกโจมตีจากด้านบนก็สามารถสวนกลับและยังพุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วสูงได้ แบบนั้นมันหมายความว่าเธอจะทำอะไรก็ได้สินะ
ก่อนที่มาโอแพมจะบินออกไปนั้น หัวหน้าของ 7753 นั้นแกล้ง…ไม่สิ แนะนำเธอว่า “ช่วยดูทักษะการต่อสู้ของมาโอแพมด้วย”… 7753 นั้นกลัวที่จะถามมาโอแพม แต่มาโอแพมนั้นก็ตอบกลับมาอย่างสุภาพ และเมื่อ 7753 ใช้แว่นกันลมของเธอมองดูทักษะการต่อสู้ของมาโอแพมนั้น สายตาของเธอก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์รูปหัวใจจำนวนนับไม่ถ้วนในทันที แสงมากมายพุ่งเข้ามาในดวงตาของเธอจนทำให้รู้สึกปวดหัว
ในตอนนี้มาโอแพมนั้นบินอยู่สูงมาก แม้ 7753 จะมีเวทมนตร์ของฮานะช่วยในการมองเห็นก็ยังมองไม่เห็นตัวเธอ บางทีอาจจะเป็นเพราะมานาไม่อยากเห็นหน้ามาโอแพม หรือมันอาจจะง่ายกว่าหากมองจากด้านบนท้องฟ้าลงมา 7753 ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องไหน มันอาจเป็นได้ทั้งสองอย่างเหมือนกัน
เมื่อคิดว่าการรวมตัวของพวกเธอนั้นไม่มีปัญหาอะไรแล้ว 7753 ก็มีความมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย เธอไม่รู้สึกว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องต่อสู้แล้วตัวเองจะช่วยอะไรได้ แต่การแบ่งงานคือกุญแจสำคัญ แม้เธอนั้นจะต่อสู้ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเธอการอะไรไม่ได้เลย หากถึงเวลานั้นเธอคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำให้ ในตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือมองออกไปภายนอกหน้าต่าง มองดูคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาของเธอทีละคน จนหน้าจอสถานะนั้นเปลี่ยนแปลงไปเร็วราวกับกระพริบตา แต่สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วเธอสามารถจัดการมันได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
เธอขับรถด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งน้อยกว่าที่กฏหมายกำหนด บนถนนนั้นมีรถไม่มากการจราจรจึงไม่ใช่ปัญหา หลังจากที่พวกเธอไปถึงทางสามแยกแล้วก็เลี้ยวซ้ายไปยังทางที่มีทุ่งสีน้ำตาลที่เก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพวกเธอก็เลี้ยวซ้ายอีกครั้งไปทางถนนบนภูเขา ขับผ่านอ่างเก็บน้ำแล้วก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางที่คดเคี้ยว
7753 นั้นไม่รู้จริงๆว่าเส้นทางนี้ที่พวกเธอมานี้จะมุ่งหน้าไปที่ไหน
“นี่…พวกเราจะไปที่ไหนกันงั้นเหรอ?”
มีบางคนถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนไม่พอใจจากเบาะหลัง 7753 นั้นตอบกลับไปแค่ว่า “หือ?” แล้วก็ปิดปากไว้แค่นั้น
ฮานะที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับจึงตอบกลับไปว่า “ดิฉันคิดว่าพวกเราไปตามทิศทางที่ไม้เท้านี่บอกจะดีกว่าค่ะ แต่เพราะมันบอกทิศทางแบบหยาบๆ บางครั้งจึงต้องออกนอกเส้นทางไปบ้าง แม้แต่ดิฉันเองก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะไปที่ไหน การตั้งจุดหมายไว้จึงไม่มีความหมายเท่าไหร่”
“อ่า งั้นเหรอ”
“มันเป็นวิธีโบราณก็จริง แต่ในตอนนี้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเรามีค่ะ”
“เฮ้ ตั้งใจหน่อย”
เสียงจากเบาะหลังนั้นฟังดูหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น 7753 ก้มหัวของเธอลง เธอรู้สึกแย่ที่ทำให้ริปเปิลลำบากขึ้นเพราะต้องไปนั่งข้างๆมานาที่เบาะหลัง การนั่งข้างคนที่มีตำแหน่งสูงแถมยังอารมณ์เสียแบบนี้คงมีแรงกดดันน่าดู
“ไม่ใช่ว่าความตั้งใจน่ะเป็นหนึ่งในจุดขายของเมจิคัลเกิร์ลหรอกเหรอ? ถ้าหากจัดการเรื่องนั้นไม่ได้แล้วพวกเราจะเป็นยังไงล่ะ? หือ?”
อ่า ทะเลาะกันซะแล้วสิ 7753 นั้นถอนหายใจออกมาอย่างทรมาณ
“อ๊ะ ดูสิคะ ร้านสะดวกซื้อล่ะ!”
ฮานะชี้ไปด้านหน้า จากตรงนั้นพวกเธอมองเห็นตีนเขาที่เห็นตามพื้นที่ชนบท แต่มันมีลานจอดรถที่กว้างอย่างไม่จำเป็นอยู่ด้วย
“ให้ดิฉันไปซื้ออาหารเย็นไหมคะ? มันถึงเวลาแล้วนี่นา?”
“ไม่ ไม่เป็นไร ชั้นไปเอง เดี๋ยวจะกลับมา รออยู่ตรงนี้แหละ”
ฮานะจอดรถไว้ที่ลาน หลังจากที่มานาบอกว่าให้ระวังตัวไว้ตลอดเวลาเธอก็ลงจากรถไป 7753 ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในที่สุดเธอก็หายใจได้สะดวกแล้ว
“ขอโทษด้วยนะคะ”
ฮานะประสานมือเข้าหากันแล้วก็ก้มหัวลง พร้อมกับยิ้มแห้งๆออกมา
“จริงๆเธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร แค่เป็นคนที่ถูกเข้าใจผิดได้ง่ายน่ะค่ะ”
บางทีเธออาจพูดถึงมานาอยู่ก็ได้ จากนั้น 7753 จึงรีบส่ายหัวทันที
“อ๊ะ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น!”
บางที 7753 อาจจะแสดงออกมากเกินไป ฮานะเลยต้องจอดรถที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อให้อะไรๆมันง่ายขึ้นเพราะเหตุนั้น เธอทำให้ฮานะต้องเป็นห่วงซะแล้วสิ
“เธอนั้นกระตือรือร้นมากเรื่องงานค่ะ เธอจริงจังมากแถมยังคิดอยู่แค่เรื่องเดียว บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นจะทำอะไรก็ได้หากมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การที่เรื่องนี้ถูกรบกวนนั้นมันทำให้เธออารมณ์เสีย…เอ่อ ขอโทษนะคะที่เรียกว่ารบกวน”
“อ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องใส่ใจฉันมากก็ได้”
7753 นั้นคิดว่า คำว่า “รบกวน” นั้นเป็นคำที่เหมาะสมมากกับเรื่องที่หัวหน้าของเธอทำ
“คุณน่าจะเห็นตอนที่มานาเมานะคะ เพราะตอนนั้นคือตัวตนจริงๆของเธอ แต่โดยปกติแล้วเธอเป็นคนที่เข้าถึงยาก แต่เมื่อตัวตนจริงๆของเธอออกมา เธอจะกลายเป็นคนที่เข้าหาง่ายๆ เพราะแบบนั้นเธอถึงน่ารักล่ะค่ะ”
ฮานะไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังพูดถึงหัวหน้าแต่เป็นพูดถึงน้องสาวอยู่มากกว่า หูกระต่ายที่อยู่ใต้ฮู๊ดของเธอนั้นขยับไปมา เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย 7753 คิดว่าเธอนั้นดูจะดีใจมาก
“แต่ปกติแล้ว เธอจะเป็นคนที่ปากเสียไปหน่อย…ต้องขอโทษเรื่องนั้นด้วยนะคะ คุณ 7753 คุณริปเปิล”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่ได้คิดมาก”
“เธอไม่ใช่คนไม่ดีจริงๆนะคะ แม้แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดเรื่องเมจิคัลเกิร์ลมากเท่าเธอแล้ว”
“คิดเรื่อง…เมจิคัลเกิร์ล?”
“ค่ะ”
เรื่องที่ 7753 ไม่เข้าใจ ในตอนนี้มันเริ่มหลอมรวมกัน เมื่อมาคิดดูแล้วเมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่จำเป็นต้องกินมื้อเย็น ชุดและตัวตนของมานานั้นก็ดูไม่เหมือนเมจิคัลเกิร์ล และเมื่อเธอพูดถึงเมจิคัลเกิร์ลออกมา เธอพูดเหมือนกับว่าตัวเธอไม่ได้รวมอยู่ในนั้นด้วย
“มานา ไม่ใช่ เมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ มานาไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล เธอเป็นสิ่งที่เรียกว่า จอมเวท เดี๋ยวก่อนนะคะ นี่ไม่ได้รู้ตัวเลยเหรอ?”
ฮานะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจ 7753 จึงรู้สึกอายขึ้นมา หากเธอเอาใจใส่ล่ะก็ เธอคงรู้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก วันนี้เธอฟันเฟืองในหัวของเธอหมุนช้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว เธอคิดแบบนี้เพื่อหาข้ออ้างให้กับตัวเอง
“ตายล่ะ ขอโทษนะ ฉันไม่รู้หรอก ฉันแค่อายที่จะพูดออกมาน่ะ…”
“แต่กับเวทมนตร์ของคุณ แค่มองมันก็บอกได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณ 7753?”
“เอ่อ ก็ เมื่อไม่จำเป็นฉันก็อยากหลีกเลี่ยงมันให้ได้มากที่สุดน่ะ ฉันหมายถึงมันเป็นอะไรที่ไม่ดีหากไปแสกนคนที่ไม่ใช่คนที่มารับการฝึก แล้วฉันเองก็อยากจะขออนุญาตให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วย เอ่อ…ขอโทษนะ”
ใบหน้าของฮานะนั้นเปลี่ยนจากแปลกใจมาเป็นตกใจ และจากใบหน้าที่ตกใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีความสุข แล้วในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา
“คุณนี่เป็นคนดีจังเลยค่ะ คุณ 7753”
“ไม่ ไม่หรอก ไม่เลย!”
เธอแค่ไม่อยากให้มีคนมาโกรธและเกลียดเธอเท่านั้นเอง เธอรู้ดีกว่าใครๆว่าตัวเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด หากจะมีใครที่เรียกว่าคนดีได้ล่ะก็ คนนั้นก็คือฮานะ คนที่พยายามช่วยเธออยู่ตลอด
“แล้วก็ อย่าเรียกฉันว่า คุณ 7753 เลย ขอร้องล่ะ”
“ไม่ได้งั้นเหรอคะ?”
“อื้อ มันพิลึกน่ะ คุณนานาโกะซังเนี่ย แค่ 7753 ก็ได้ ถ้าเธอเรียกฉันแบบนี้ล่ะก็จะดีมากเลย”
“ขืนพูดแบบนั้นมันก็เหมือนว่าดิฉันดูถูกคุณสิคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรียกแบบนั้นก็ได้”
“หืม แต่ว่า…”
“ไม่ ขอร้องล่ะ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันยืนยันว่าจะเรียกแบบนี้”
พวกเธอได้ยินเสียงหัวเราะมาจากเบาะหลัง 7753 และฮานะจึงหันกลับไปมอง และเห็นว่าริปเปิลนั้นกำลังหัวเราะอยู่ เธอก้มหน้าลงและพึมพำออกมาว่า “โทษที โทษที” แก้มของเธอเองก็เป็นสีแดงด้วย
☆ คุรุคุรุ ฮิเมะ (เหลือเวลาอีก 20 ชั่วโมง 5 นาที)
เวลาใกล้ถึง 2 ทุ่มแล้ว หลังจากแยกตัวกับนักเรียนของเธอ โนโซมิก็มาถึงอพาร์ทเมนท์ตามที่เธอได้รับที่อยู่มา ในห้อง 204 ที่ๆทุกคนควรจะรวมตัวกันอยู่ กลับมีเพียงแค่โทโกะที่นั่งอยู่บนถาดรองแก้วบนโต๊ะ
“ทุกคนไปไหนกันหมดเนี่ย?”
“ออกไปข้างนอกน่ะ เมื่อมนุษย์ได้รับสุดยอดพลังมา มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่อยากจะทดสอบใช่ไหมล่ะ? แม้จะเป็นแค่การขยับร่างกาย เธอคงไม่เชื่อหรอกว่ามันสร้างความสุขให้คนเราได้แค่ไหน”
แม้จะดูเป็นแฟร์รี่ที่น่ารัก แต่เธอนั้นก็มีรอยยิ้มที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บนใบหน้า
“เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เราพูดถูกไหมล่ะ? การเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันเป็นเรื่องปกติที่เด็กหัวทึบอยากจะเป็นอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลน่ะ ในตอนนี้มันหายาก…”
โทโกะมองขึ้นมาหาโนโซมิ
“หายากมากเลยแหละ”
“เธอหมายถึงคนแบบฉันงั้นเหรอ?”
“เมื่อใครบางคนกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันก็หมายความว่าคนเหล่านั้นยอมรับบางอย่างในหัวใจของตัวเอง”
“ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าทำอะไรแบบนั้นไปนะ”
“ชีวิตน่ะมันไม่ใช่สิ่งที่เธอจะรู้ได้หรอก”
โทโกะพูดเช่นนั้นออกมาแล้วก็เงียบ จากนั้นมองไปนอกหน้าต่าง โนโซมินั้นรู้สึกว่าโทกะเหมือนผู้ใหญ่ที่มองเด็กๆว่าโง่ แม้นั่นจะทำให้เธอรู้สึกโกรธ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้กระทั่งโนโซมิเองก็ยังคิดว่าการกระทำของโทโกะนั้นดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ มากกว่าตัวของโนโซมิเองด้วย
“นี่ โทโกะ”
“หืม?”
“ที่เธอบอกว่าพวกนั้นน่ะคือแม่มดผู้ชั่วร้าย แต่พวกนั้นทำอะไรถึงกลายเป็นแบบนั้นเหรอ?”
“อ่า ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นหรอก เธอเองก็น่าจะเคยเห็นในเทพนิยายนะ พวกนิยายสำหรับวัยรุ่น คอมมิค หรืออะไรเทือกนั้นแหละ เธอควรไปอ่านมันนะ เพราะแม่มดผู้ชั่วร้ายมันทำอะไรแบบนั้นแหละ”
เธอพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันมามอง การทำอะไรแบบขอไปทีกับคนอื่นแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำเช่นกัน โนโซมิวางกระเป๋าของเธอลงบนโซฟาแล้วก็ออกไปจากห้อง
ก่อนที่โนโซมิจะกลับไปที่โรงเรียน ตอนนั้นอารมณ์ของโทโกะจะดีขึ้นแล้ว แต่แทนที่เธอจะอารมณ์ดีขึ้น มันก็เหมือนว่าเธอนั้นใจเย็นลงกว่าก่อนหน้านี้มากกว่า
หลังจากที่เหล่าเมจิคัลเกิร์ลหน้าใหม่ขับไล่ศัตรูในการต่อสู้ครั้งแรกไปได้แล้ว พวกเธอก็กลับไปยังห้องแล็บวิทยาศาสตร์พร้อมกับหลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่นไปด้วย
เพราะพวกเธอกำจัดศัตรูไม่ได้ โทโกะจึงโกรธอย่างหัดฟัดหัวเหวี่ยง แต่กระนั้นพวกนักเรียนก็ยังคงคุยกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันโดยที่ไม่ได้เกรงกลัว การได้เห็นเมจิคัลเกิร์ลเมินเฉยแบบนี้ก็ยิ่งทำให้โทโกะโกรธมากขึ้นไปอีก หลังจากที่สบถเรื่องต่างๆออกมาแล้ว เธอนั้นก็บินออกไป และไม่นานก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธของโทโกะมาจากดาดฟ้า เสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทำให้เธอดูเหมือนพวกนักเลงมากกว่าแฟร์รี่ซะอีก
แม้หลังจากที่โทโกะกลับมาก็ดูไม่ได้โกรธแล้ว แต่เธอก็ยังคงอารมณ์ไม่ดีอยู่ดี
โทโกะนั้นบอกว่าคนที่ร่วมมือกันนั้นติดต่อมา และบอกสิ่งที่รู้มาว่าที่เมือง B ในตอนนี้มีบาเรียทรงกลมปกคลุมอยู่ทั่วเมืองเพื่อจำกัดขอบเขตการเคลื่อนไหวของพวกเธอไว้ 24 ชั่วโมง ด้วยพลังของแม่มดผู้ชั่วร้ายแล้ว พวกมันทำแบบนั้นได้ง่ายๆ
“พวกเธอน่ะควรฆ่ามันให้เร็วกว่านี้สิ”
โทโกะนั้นไม่ได้ซ่อนความไม่พอใจของตัวเองเลย และแม้ว่าโนโซมิจะรู้สึกเศร้า
แต่กัปตันเกรซนั้นก็พูดอย่างมั่นใจออกมาว่า “ไม่ต้องห่วง คราวหน้าพวกเราจัดการมันได้แน่!”
เว็ดดิ้นเองก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ใจเย็นก่อน พวกเราต้องมีแผนก่อนนะ”
เรนโปวก็พูดในแง่บวกว่า “แบบนั้น แม้กระทั่งศัตรูเองก็หนีไม่ได้ในเวลา 24 ชั่วโมงน่ะสิ”
แม้กระทั่งโพสตาร์รี่เองก็พูดในแง่บวกว่า “หากพวกเราใช้เวทมนตร์ของตัวเองล่ะก็ แบบนั้นไล่ตามศัตรูไปได้แน่!” เช่นกัน
โนโซมิ…หรือเมจิคัลเกิร์ล คุรุคุรุ ฮิเมะ นั้นปลอบโยนฟันนี่ทริค เมจิคัลเกิร์ลเพียงคนเดียวที่ไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แม้จะมีสามัญสำนักก็ไม่ได้ช่วยอะไรเสมอไป
ทุกคนรวมถึงโทโกะคุยกันถึงเรื่องที่จะทำต่อไป
“ตอนนี้เองก็มืดแล้ว พวกเราควรรวมตัวกันอยู่ในที่ไหนซักที่ดีไหม?”
“จะฝึกซ้อมเวทมนตร์หรือจะคุยกันก็ได้นะ แต่อย่าลืมว่ามีศัตรูกำลังไล่ล่าเราอยู่”
“หากศัตรูโจมตีมาล่ะก็ช่วยส่งเสียงออกมาด้วย อย่างเช่นตะโกนออกมาอะไรแบบนั้น”
“พวกเราควรแปลงร่างไว้ไหม?”
“แปลงไว้ดีกว่านะ เพราะศัตรูอาจโจมตีมาตอนไหนก็ได้”
“ก็จริงนะ แต่ถ้าพวกเราแปลงร่างล่ะก็ แบบนั้นศัตรูก็หาพวกเราเจอง่ายน่ะสิ”
“งั้นคลายการแปลงร่างดีกว่าไหม?”
“ให้ฉันแปลงร่างคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
“อุมิ อย่าเห็นแก่ตัวสิ!”
กัปตันเกรซตัดสินใจตั้งฐานปฎิบัติการของหน่วยเมจิคัลเกิร์ลขึ้นที่ชานเมือง มันเป็นอพาร์ทเมนท์เก่าๆที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ เหมือนว่าเธอนั้นจะได้รับมรดกมาจากปู่ของเธอ
ทุกคนมุ่งหน้ามาที่นี่ และสิ่งแรกที่ทำก็คือทำความเข้าใจเวทมนตร์ของตัวเอง จากนั้นก็แลกเปลี่ยนข้อมูล หากพวกเธอจะทำอะไรล่ะก็สิ่งนี้ต้องมาก่อน และต้องแน่ใจติดต่อทางบ้านของตัวเองแล้วด้วย โนโซมินั้นแยกตัวออกมาเพราะมีงานค้างอยู่ที่โรงเรียนแล้วก็กลับไปรวมตัวกันอีกครั้ง นั่นคือแผนของเธอ
หลังจากที่แยกตัวจากนักเรียนออกมาแล้ว โนโซมินั้นก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่แม่ของเธอป่วยอย่างกระทันหัน
ในตอนนั้นโนโซมิออกจากงานเพื่อมาดูแลแม่ของเธอ พ่อของเธอนั้นไม่อยากให้พวกคนแปลกหน้ามาดูแลแม่ด้วย โนโซมิเองก็พูดอะไรกับพ่อไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ต้องออกจากงาน แต่เมื่อเทียบรายได้ที่หาได้แล้ว พ่อของเธอนั้นหาได้มากกว่าเพราะทำงานอยู่ในศาลาว่าการ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเป็นเรื่องงานบ้าน ก็ปล่อยให้โนโซมิจัดการดีกว่าแทนที่จะให้พ่อของเธอเรียนรู้จากศูนย์
โนโซมิไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจแบบนี้ บางครั้งเธอก็สงสัยว่า หากแม่ของเธอไม่ป่วยมันจะเป็นยังไงกันนะ? เมื่อคิดแบบนั้นเธอก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้น ในช่วงเวลานั้นเธอก็ยังคิดว่าตัวเองควรได้เวลาแต่งงานแล้ว แต่เพราะแม่ของเธอป่วย โอกาสที่จะได้เจอเขาก็น้อยลงไปลงไปเรื่อยๆ และในที่สุดพวกเธอก็เลิกรากัน
ตอนนี้พ่อของเธอยังคงสบายดีแต่ก็พูดน้อยลงจากที่เคย หากพ่อของเธอเกิดล้มป่วยขึ้นมา คราวนี้โนโซมิก็เป็นคนเดียวที่ต้องดูแลพ่อ เมื่อเธอดูแลแม่อยู่ที่บ้านแบบนั้นเธอก็จะส่งพ่อไปยังโรงพยาบาลไม่ได้ เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอนั้นมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเธอมาเช่นเดียวกันกับแม่
การกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลในตอนนี้ก็เหมือนกับตอนที่แม่ของเธอล้มป่วย เวลาของเธอมีจำกัด ในช่วงเวลานั้นเธอก็ต้องจัดการธุระส่วนตัว เพราะแบบนั้นเธอจึงจัดการงานของเธอไม่ได้อีกแล้ว เธอนั้นคุยกับพ่อเพื่อช่วยกันดูแลแม่ และถ้าหากเป็นเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลมันเห็นชัดอยู่แล้วว่าเธอจะขอความช่วยเหลือจากพ่อไม่ได้ แม้โทโกะจะพูดว่า “โลกนี้ตกอยู่ในอันตราย” ออกมาก็ตาม โนโซมิก็ต้องกลับไปที่ห้องแล็ปวิทยาศาสตร์คนเดียว
เมื่อโนโซมิมาถึงชั้นดาดฟ้าของอพาร์ทเมนท์ เธอก็เห็นเหล่าเด็กนักเรียนจับกลุ่มกันอยู่ ทุกคนนั้นพยายามทดลองและคุยกันเรื่องเวทมนตร์ เหมือนว่าทุกอย่างยังคงไปได้ดี โนโซมิเริ่มคุ้นเคยกับภาพของเด็กสาวที่แต่งชุดแปลกๆตรงหน้าแล้วตัดสินใจเข้าไปร่วมวงด้วย พวกเธอขยับที่ให้โนโซมิ และเมื่อเธอนั่งลงไปก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างทันที
“นี่พวกเราไม่ได้จะคลายการแปลงร่างกันงั้นเหรอ?”
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ยังคงแปลงร่างอยู่
“อ๋อ มันมีเหตุผลน่ะนะ”
“เหตุผล? อะไรกันล่ะ?”
“ก็หนึ่งในพวกเรา หากไม่ได้แปลงร่างแล้วมันจะเป็นอุปสรรคน่ะ”
“อุปสรรคเหรอ?”
“เมย์เอง” เด็กสาวนักเต้นอาหรับตอบกลับพร้อมยกมือขึ้นแล้วก็หายตัวไป
“อาจารย์ดูนี่สิ”
กัปตันเกรซดึงแขนเสื้อของเธอ แล้วเมื่อโนโซมิมองลงไป มันก็มีบางสิ่งในที่ๆเท็ปเซเคเมย์อยู่ ไม่สิ ไม่ใช่บางสิ่ง แต่เป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างต่างหาก
“หือ?”
เธอมองเห็นสัตว์ ไม่ผิดแน่มันคือเต่าของห้องแล็ปวิทยาศาสตร์… แล้วเมื่อเธอคิดแบบนั้น เต่าก็หายวับไป แล้วเท็ปเซเคเมย์ก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
“หากเท็ปเซเคเมย์คลายการแปลงร่าง เธอก็จะสื่อสารไม่ได้ แถมความคิดของเธอก็จะลดลงอย่างมากด้วย… เพราะแบบนี้อุมิถึงตัดสินใจว่าให้ทุกคนแปลงร่างดีกว่า”
เหมือนว่าฟันนี่ทริคจะหมดความพยายามจะตามสถานการณ์ที่อธิบายออกมาให้ทันแล้ว
โนโซมิใช้นิ้วของเธอกดไปที่ระหว่างดวงตาแล้วนวดไปสองครั้งสามครั้ง ในตอนนี้เธอตระหนักแล้วว่าเวทมนตร์ที่อยู่เหนือกฏฟิสิกส์และสามัญสำนึกใดๆมันเป็นของจริง มันคงไม่แปลกหากเธอจะแปลกใจในจุดนี้ เธอไม่ได้สังเกตเห็นว่าจำนวนของเมจิคัลเกิร์ลนั้นมีมากกว่าจำนวนคนเมื่อแปลงร่าง แต่ในตอนนี้เท็ปเซเคเมย์นั้นเป็นสหายที่ยอดเยี่ยม โนโซมิรู้สึกแย่หากไปทำร้ายเธอด้วยการแสดงท่าทีประหลาดใจจนเกินจริง
“เอ่อ…งั้นพวกเราก็พูดกันต่อเลยไหม? คุยกันไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“พวกเราเพิ่งพูดเรื่องเวทมนตร์ของแต่ละคนไปเอง” เว็ดดิ้นพูด
“งั้นเหรอ แบบนั้นฉันจะบอกด้วยแล้วกัน”
“ดิฉันทำโน๊ตแบบง่ายๆไว้ให้แล้ว”
เพราะทำเรื่องแบบนี้แน่ๆเธอถึงได้เป็นหัวหน้าห้อง หากมีนักเรียนแบบนี้อยู่รอบๆล่ะก็ คนที่เป็นอาจารย์ก็จะสบายขึ้น โนโซมิแปลงร่างเป็นคุรุคุรุ ฮิเมะ แล้วก็เขียนเวทมนตร์ของเธอลงไปในช่องว่างบนโน๊ต
ความสามารถของคุรุคุรุ ฮิเมะคือการควบคุมริบบิ้น หากเธอใช้ถูกจังหวะมันก็จะช่วยในการเคลื่อนไหวไปรอบๆ และยังมีประโยชน์ในตอนที่กระโดดข้ามอาคารอีกด้วย เธอสามารถกระโดดแล้วก็ปล่อยริบบิ้นออกมาจากกลางอากาศ แล้วจับขอบอาคารไม่ก็รั้วตาข่ายด้วยริบบิ้นและดึงตัวเองขึ้นไปได้ การทำแบบนี้มันทำให้เธอกระโดดได้ไกลขึ้นซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลา และยังสามารถใช้ริบบิ้นเพื่อยับยั้งศัตรูได้อีก เธอยังทดลองให้ดูด้วยการคลายริบบิ้นที่ประดับอยู่ที่ตัว แล้วใช้มันตัวของมิเนะ มุสุบิยะ ที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลเว็ดดิ้น เว็ดดิ้นนั้นพยายามขยับแขน แต่เหมือนว่าจะไม่สามารถหลุดออกจากริบบิ้นได้ เมจิคัลเกิร์ลนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก และริบบิ้นของคุรุคุรุ ฮิเมะก็แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานความแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ได้
“งี้นี่เอง ขยับไม่ได้เลยแหะ” เว็ดดิ้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“นี่มันเป็นทักษะแบบที่ใช้กันในเกมไม่ก็มังงะอีโรติคนี่นา”
“ทำไมเด็กสาวอายุต่ำกว่าเกณฑ์แบบเธอถึงรู้เรื่องแบบนั้นกันล่ะ?”
“แค่ความรู้ทั่วไปน่ะ”
“นั่นไม่ใช่ความรู้ทั่วไปซักหน่อย!”
ทีแรกโนโซมิคิดว่ามิเนะเป็นคนที่จริงจังซะอีก ตอนนี้เธอนั้นทำตัวสนิทสนมกันมาก บางทีอาจรู้สึกคุ้นเคยกันเพราะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็ได้ เกียรติในฐานะอาจารย์ของโนโซมินั้นพังทลายหายไปหมดแล้ว แม้จะไม่แน่ใจว่าจะมีอยู่ตั้งแต่แรกรึเปล่าก็เถอะ
เวทมนตร์ของเว็ดดิ้นนั้นคือการบังคับให้ผู้คนรักษาสัญญา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาแค่ไหนก็ตาม ถ้าทำสัญญากับเธอแล้วมันก็จะเป็นไปตามนั้น หากพูดขึ้นมาว่า “ฉันจะไม่โจมตีเธอนะ” และหลังจากนั้นแม้จะพยายามยกมือขึ้นเพื่อจะตบแก้มเธอ แขนมันก็จะชาจนขยับไม่ได้
“เป็นเวทมนตร์ที่น่ากลัวจริงๆ…” โนโซมิพูด
“มันเป็นตัวอย่างที่น่ากลัวแบบชัดเจนในการแต่งงานนี่นะ”
“ทั้งๆที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์แต่ทำไมเธอถึงรู้เรื่องแบบนี้เนี่ย?”
“ก็ความรู้ทั่วไปไง”
“ความรู้ทั่วไปแบบนั้นน่ะทิ้งมันไปเถอะ”
ในตอนที่พวกเธอพูดกันอยู่นั้น กัปตันเกรซ คนที่นั่งอยู่ตรงริมขอบดาดฟ้าก็พูดบางอย่างขึ้นมา
ตอนนี้พวกเราเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ทุกคนไม่รู้สึกว่าชื่อมันควรจะมีธีมหรืออะไรบ้างเหรอ? อย่างผลไม้ สี ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ แบบนี้น่ะ? หากมีอะไรเหมือนๆกัน มันก็จะรู้สึกว่าเป็นทีมขึ้นมา จริงไหม?
เว็ดดิ้น, กัปตันเกรซ, ฟันนี่ทริค, โพสตาร์รี่, เท็ปเซเคเมย์ ล้วนห่างไกลจากคำว่าสอดคล้องกัน ชื่อและชุดของแต่ละคนก็มาจากต่างเรื่องราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุรุคุรุ ฮิเมะ เป็นคนเดียวที่มีชื่อภาษาญี่ปุ่น แถมยังแปลได้ว่า เจ้าหญิงซุ่มซ่าม อีกด้วย แต่บางทีมันก็สมเหตุสมผลเพราะเธอเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่น
การที่มีริบบิ้นประดับประดาอยู่แบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกว่าขัดกันกับชื่อ หากโนโซมิต้องตั้งชื่อเองล่ะก็ เธอก็จะต้องชื่อที่มันน่าหลงไหลแล้วก็ต้องคิดด้วยว่านักเรียนนั้นจะมองเธอยังไง
เมื่อเธอถามโทโกะไปว่า “ทำไมฉันถึงมีชื่อแบบนี้กันล่ะ?” โทโกะก็ยืดอกและตอบกลับมาอย่างภูมิใจว่า “คิดชื่อไม่ออกน่ะ!” ก่อนที่แฟร์รี่ตัวขนาดเท่าฝ่ามือนั้นจะยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ และเมื่อเธอถามกลับไปอีกว่า “อย่างน้อยก็ขอฉันเปลี่ยนได้รึเปล่า?” โทโกะก็ตอบกลับมาว่า “จะทำแบบนั้นมันต้องมีเส้นสายกับคนในระดับสูงน่ะ” ราวกับได้แต่ฝันหากจะทำเช่นนั้น
เว็ดดิ้นยักไหล่พร้อมกับยิ้มแดกดันออกมา
“ดิฉันว่าไม่เข้ากันก็ไม่เห็นเป็นจะเป็นอะไร ยังไงซะพวกเราก็เป็นกลุ่มที่รวมคนที่ไม่น่าไว้วางใจเอาไว้ มันปฎิเสธไม่ได้หรอกนะ”
เรนโปวก็โต้กลับมาทันทีว่า “ไม่จริงซะหน่อย! พวกเราเป็นเพื่อนในโรงเรียนเดียวกันนะ!”
“ไม่หรอก พวกเราไม่ใช่เป็นเพื่อนสนิทที่เชื่อใจกันและกันซักหน่อย ใช่ไหมล่ะ?”
เว็ดดิ้นพยักหน้าเบาๆ
“พวกเราไม่จำเป้นต้องมีธีมอะไรด้วย”
“แต่ไม่ใช่ว่า เมจิคัลเกิร์ลมันต้องมีอะไรแบบนั้นหรอกเหรอ?”
คุรุคุรุ ฮิเมะไม่ได้คิดว่าสิ่งที่กัปตันเกรซพูดนั้นผิดอะไร ในอนิเม สตาร์ควีน ที่ฉายทางทีวีมาอย่างยาวนานก็มีจุดร่วมเรื่องชื่อ เด็กสาวทุกคนนั้นล้วนมีชื่อตามกลุ่มดาวและยังมีท่าพิเศษตามชื่อ ส่วนซีรี่ย์ คิวตี้ฮีลเลอร์ นั้นจะเปลี่ยนเมจิคัลเกิร์ลและเซ็ตติ้งใหม่ในทุกซีรี่ย์ คุรุคุรุฮิเมะนั้นเข้าใจความต้องการที่จะมีชื่อเป็นธีมเดียวกันในกลุ่มเมจิคัลเกิร์ล
*สตาร์ควีนคือเซเลอร์มูน ส่วนคิวตี้ฮีลเลอร์นั้นคือพรีเคียว (ตรงจุดนี้ผู้แปลเคยคิดว่าคิวตี้ฮีลเลอร์คือคิวตี้ฮันนี่ แต่จริงๆมันคือพรีเคียว ตรงจุดนี้ผู้แปลขออภัยจ้า OJL)
เว็ดดิ้นใช้นิ้วกลางกดลงไปตรงระหว่างดวงตา แต่เธอก็เอามันออกไป บางทีเธออาจพยายามดันแว่นขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองนั้นยังคงสวมแว่นอยู่ ซึ่งความจริงมันหายไปแล้วตั้งแต่ตอนแปลงร่าง
“นี่พวกเราเป็นเมจิคัลเกิร์ลมาตั้งแต่แรกรึเปล่า?”
“หือ? มันก็ต้องใช่อยู่แล้วสิ ก็โทโกะพูดไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“ดิฉันไม่คิดว่าพวกเราเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริงหรอกนะ”
เด็กสาวที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นยุคใหม่… มีผู้ใหญ่หนึ่งคนแล้วก็สัตว์หนึ่งตัวด้วย พวกเธอนั้นได้รับพลังลึกลับ ชุดน่ารักๆ แล้วก็ใบหน้าที่งดงามจากแฟร์รี่ที่มาจากดินแดนเวทมนตร์ ยิ่งกว่านั้นแฟร์รี่ก็ใช้คำว่า “เมจิคัลเกิร์ล” ด้วย มันจึงไม่มีเหตุผลที่เลยที่พวกเธอจะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล
ฟันนี่ทริคเอานิ้วมือไปสัมผัสกับปลายคางและพูดว่า
“ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง…แต่ในตอนนี้ ฉันคิดว่าพวกเราเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วล่ะ”
“โทโกะน่ะพูดเอาไว้เอง และดิฉันเองก็ทดลองอะไรหลายๆอย่างเป็นการส่วนตัวเช่นกัน ความสามารถทางกายภาพของพวกเราเพิ่มขึ้นอย่างมากตามที่คาดไว้ ดิฉันไม่อยากพูดว่านี่คือคุณสมบัติของเมจิคัลเกิร์ล แต่มันดูเป็นเด็กสาวนักต่อสู้ผู้งดงาม หรือเด็กสาวนักสู้มากกว่า”
คุรุคุรุ ฮิเมะ ทำได้แค่เอียงหัวแล้วก็ตอบกลับไปว่า “หือ?”
“เด็กสาวนักต่อสู้ผู้งดงามมันเป็นแนวที่แตกต่างจากเมจิคัลเกิร์ลใช่ไหม?”
“พวกนั้นต่างกันจริงเหรอ?”
“แต่พวกเรามีพลังเวทมนตร์นะ”
“ที่มาของพลังน่ะไม่เกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นวิชานินจาหรือวิทยาศาสตร์ มันก็ยังคงเป็นเมจิคัลเกิร์ลประเภทหนึ่งอยู่ดี”
“แต่ทั้ง สตาร์ควีน กับ คิวตี้ฮีลเลอร์ เป็นเมจิคัลเกิร์ลนี่นา?”
“ไม่หรอก ทั้ง สตาร์ควีน แล้วก็ คิวตี้ฮีลเลอร์ น่ะเป็นเด็กสาวนักต่อสู้ผู้งดงาม ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล”
เว็ดดิ้นพูดขึ้นมา เธอบอกว่าเดิมทีแล้วเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะมุ่งเน้นการใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนกับเด็กสาวนักต่อสู้ ที่อย่างหลังนั้นทั้งมิตรแล้วก็ศัตรูมีเวทมตร์หรือพลังบางอย่างที่ใกล้เคียง
“เหตุผลเดียวที่คำว่า ‘เมจิคัลเกิร์ล’ นั้นรวมเอาแนวต่างๆเข้าไปด้วยก็คือ พวกแฟนๆของเมจิคัลเกิร์ลน่ะเป็นพวกที่หยิ่งมาก”
ในตอนที่พูดออกมานั้น เธอกำมือแรงมากจนนิ้วกลายเป็นสีแดง ตัวเธอดูแตกต่างกับเด็กสาวที่โนโซมิรู้จัก เด็กสาวหัวหน้าห้องผู้เยือกเย็น มิเนะ มุสุบิยะคนนั้น เปลวไฟของเทียนที่ประดับอยู่บนหัวของเว็ดดิ้นแรงขึ้น เทียนนั้นมันเชื่อมโยงกับสภาพจิตใจของเธอรึไงนะ?
“ตัวละครแนวต่อสู้ส่วนใหญ่น่ะ มันไม่มีกฎที่บอกว่าห้ามเปิดเผยตัวตน หรือต้องเก็บเวทมนตร์เป็นความลับอยู่หรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นเพื่อนร่วมชั้นของตัวเอกในโรงเรียนเวทมนตร์จะนับเป็นเมจิคัลเกิร์ลไหม? เอล์ฟสาวที่ออกมาจากป่าเพื่อเป็นนักผจญภัยเพราะอยากมองเห็นโลกมนุษย์ด้วยตาของเธอก็นับเป็นเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า? ไม่เลย ไม่ใช่ พวกนั้นน่ะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล ไม่ใช่ทั้งเด็กสาวนักสู้ผู้งดงาม ไม่ใช่ทั้งเมจิคัลเกิร์ลเลยด้วย”
“เอ่อ…แต่ว่า แม้จะไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน ตัวละครพวกนั้นก็มีแนวคิดของเมจิคัลเกิร์ลนี่?”
ฟันนี่ทริคพยายามจะแย้งกลับ เว็ดดิ้นจึงรีบแย้งกลับไป
“นั่นน่ะเป็นแค่ ‘ตัวละครที่มีแนวคิดแบบเมจิคัลเกิร์ล’ เท่านั้น มันไม่ใช่ตัวละครจริงๆด้วยซ้ำ… ยกตัวอย่างนะ เธอเชื่อว่าคนที่มีแนวคิดของโอดะ โนบุนากะ นั้นเป็นตัวโอดะ โนบุนากะจริงๆงั้นเหรอ? ไม่หรอก ไม่ใช่ซักนิด”
กัปตันเกรซบุ้ยปาก เห็นได้ชัดเลยว่าเธอรู้สึกหงุดหงิด คุรุคุรุ ฮิเมะเห็นเรื่องนี้มันจะกลายเป็นปัญหาได้ง่ายๆหากปล่อยเอาไว้ เพราะแบบนั้นเธอจึงพยายามช่วยด้านของกัปตันเกรซ
“แต่มันก็ยังมีเรื่องที่มีคำว่า ‘เมจิคัลเกิร์ล’ อยู่ในชื่อเรื่องนี่นา ใช่ไหม?”
“ไม่ คุณฮิเมโนะ นั่นน่ะเป็นอะไรที่มีแค่แนวคิดของเมจิคัลเกิร์ลเท่านั้น มันไม่ได้สร้างเรื่องราวของเมจิคัลเกิร์ลขึ้นมาเลย”
เว็ดดิ้นกระแอมขึ้นมา “แล้วนอกจากนี้” เธอยังคงพูดต่อไป
“แม้ คิวตี้ฮีลเลอร์ กับ สตาร์ควีน จะมีชื่อที่ไปในทางเดียวกัน แต่ความจริงแล้วรูปแบบของชื่อนั้นมันมาจากเซ็นไต ไม่ใช่ได้มาจากแนวเมจิคัลเกิร์ล รากเหง้าของทั้งสองเรื่องนั้นสืบย้อนไปมันจะกลับไปหาซีรี่ย์เมจิคัลเกิร์ลไม่ได้ แต่หากเป็นเซ็นไตล่ะก็ทำได้ ในอีกแง่หนึ่ง จากเรื่องนี้น่ะมันบอกได้ว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับแนวเด็กสาวนักสู้ผู้งดงามยังไงล่ะ”
“เธอมันก็แค่โอตาคุที่ชอบจับผิดเท่านั้นแหละ”
คำพูดเดียวของกัปตันเกรซทำให้ข้อโต้แย้งของเว็ดดิ้นที่พูดออกมาทั้งหมดตกไป กัปตันเกรซจ้องไปที่เว็ดดิ้น ทำให้เว็ดดิ้นนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแต่เธอก็จ้องกลับมาอย่างแรง ฟันนี่ทริคดึงแขนเสื้อของกัปตันเกรซแต่ก็ถูกปัดทิ้ง ในขณะที่เรนโปวเบิกตากว้างเล็กน้อย ส่วนโพสตาร์รี่นั้นรู้สึกกระวนกระวาย เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกอยากขอโทษเธอขึ้นมาเลย
คุรุคุรุ ฮิเมะยืนขึ้นแล้วก็ตบมือเข้าหากัน
“เอาล่ะ จบเรื่องไร้สาระแค่นี้ มาเริ่มการฝึกซ้อมแผนของกลุ่มดีกว่า”
เธอพยายามเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่ดีออกไป ถึงแม้จะทำไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังสามารถชี้ให้พวกเด็กๆเห็นว่าควรจะไปยังทิศทางไหนได้
“เดี๋ยวสิ คุณฮิเมโนะ”
เว็ดดิ้นยกมือขึ้น
“ก่อนหน้านั้น พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจก่อน”
“…แล้วมันคือ?”
กระโปรงยาวของเว็ดดิ้นเริ่มสั่นไหวตอนที่เธอยืนขึ้น จากนั้นเธอก็กางมือทั้งสองข้างออก
“พวกเราต้องตัดสินใจว่าใครควรจะเป็นผู้นำ!”
หัวข้อก็คือ ‘ใครควรที่จะเป็นผู้นำ?’ หลังจากที่กัปตันเกรซกับเว็ดดิ้นดีเบทกันแล้ว พวกเธอตัดสินใจว่า คนที่จะเป็นผู้นำนั้นต้องมีคะแนนโหวตมากกว่าตามหลักประชาธิปไตย และเว็ดดิ้นนั้นก็เฉือนชนะไปแค่คะแนนเดียว
เว็ดดิ้นสั่งพวกเธอว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้ทำตามคำสั่งของผู้นำด้วย” ในตอนแรกไม่มีใครรู้เลยว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์ มันจึงไม่มีคนตอบสนอง แต่หลังจากที่เธอสั่งซ้ำไปสามครั้ง ในที่สุดทุกคนก็รู้ตัวว่าเธอพยายามจะพูดอะไร แม้จะมีบางคนไม่เต็มใจ บางคนก็เกลียดความคิดนั้น บางคนเห็นด้วย และบางคนก็ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไร
เหมือนว่าตอนนี้หลายๆอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้วสิ คุรุคุรุ ฮิเมะคิด แต่หลังจากนั้นก็มีคนมาสะกิดไหล่ของเธอ เมื่อเธอหันกลับไปมองก็เห็นเท็ปเซเคเมย์ไขว้ขาลอยตัวอยู่
“แล้วเมย์ล่ะ?”
คุรุคุรุ ฮิเมะไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้น และถ้าเธอไม่เข้าใจคำถาม เธอมันก็จะไม่มีคำตอบ ดังนั้นเธอจึงตอบกลับไปแบบง่ายๆว่า “เชื่อในตัวเองสิ”
☆ กัปตันเกรซ (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 52 นาที)
กัปตันเกรซ หรืออุมิ ชิฮาบาระนั้นมีฐานลับ
คำว่า “ฐานลับ” นั้นมันฟังเหมือนกับเป็นสิ่งที่โจรสลัดจะมีกัน แต่ในความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อะไรที่ยื่งใหญ่ ไม่ใช่ทั้งเกาะสมบัติหรือถ้ำใต้น้ำ เป็นเพียงแค่อพาร์ทเมนท์ที่ตั้งอยู่ที่ชานเมืองในเขตที่แอดอัดของเมือง B แถมยังเก่ามากพอจนคนที่อาศัยอยู่ตอนเริ่มสร้างไม่เหลืออยู่แล้ว และในตอนนี้ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่ สถานที่นั้นก็ไม่ได้สะดวกสบาย แม้จะทำการปรับปรุงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้คนมาอาศัยรึเปล่า เหมือนกับการทำลายแล้วสร้างเป็นที่จอดรถ
หากจะให้พูดแล้ว ตอนที่ปู่ของเธอถามอุมิว่าทำไมถึงอยากได้ อุมิก็ตอบกลับไปว่า “เพื่อไว้เป็นฐานลับ” แล้วคุณปู่ก็มอบให้เธอ อุมิก็กลายเป็นผู้ที่ถือครองตามกฎหมาย
เธอเอาเฟอร์นิเจอร์กับข้าวของเครื่องใช้มาที่นี่ทีละนิดละหน่อย เพื่อทำให้ตอนที่มาอยู่จะได้สะดวกสบายขึ้น มีระบบรักษาความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆด้วย แม้มันจะดูเก่า อุมิก็คิดว่ามันเป็นบ้านที่ดี ในฐานะฐานลับของเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันก็มีอะไรติดขัดไปบ้าง
หลังจากที่คุยกับทดสอบเวทมนตร์เรียบร้อยแล้ว กลุ่มของพวกเธอนั้นก็ตัดสินใจพักหนึ่งชั่วโมง กัปตันเกรซ กับฟันนี่ทริคนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะมะฮอกกานี บนโต๊ะนั้นมีแก้วกาแฟและจานรองสองอัน กัปตันเกรซเอาข้าวของพวกนี้ออกมาจากเรือที่เธอสามารถเรียกออกมาได้ด้วยเวทมนตร์ เรือโจรสลัดที่สามารถแล่นบนผิวน้ำได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะเรือนั้นมีขนาดใหญ่มาก เธอจึงจำเป็นต้องหาที่ให้เหมาะกับการจะเรียกออกมา ในสนามกีฬาของโรงเรียนเธอเรียกมันออกมาที่นั่นหลังจากที่ทุกกลับบ้านกันหมดแล้ว และดึงเอาทุกอย่างที่ดูใช้งานได้ออกมาจากเรือ ของเหล่านั้นล้วนเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่จะไม่แตกหัก แม้จะใช้แรงของเมจิคัลเกิร์ลก็ตามที
“นี่ ฟังนะ” ฟันนี่ทริคพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจ
“อะไรเหรอ?”
“อย่าทำแบบนั้นอีก”
“ทำอะไรล่ะ?”
“ที่ไปเถียงกับเว็ดดิ้น”
“เฮ้ ยัยนั่นมันเริ่มก่อนนะ!”
หึ กัปตันเกรซส่งเสียงออกมา คาโยะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนสมัยประถมแล้ว เธอนั้นเป็นคนที่ช่วยรั้งอุมิไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้ แม้เธอจะเป็นคู่หูที่ดี บางครั้งเธอก็รู้สึกขี้ขลาด เธอไม่จำเป็นต้องเป็นแบบอุมิก็ได้ แต่อย่างน้อยขอให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ก็ยังดี
“ยัยนั่นน่ะทำตัวอวดดีเพราะตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แถมยังพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวผู้นำออกมาอีก แต่ใช่ว่าจะเป็นผู้นำแบบทางการอะไรแบบนั้นซักหน่อย เป็นแค่คนงี่เง่าแท้ๆ”
“บางทีเธอก็น่าจะพยายามทำตัวสนิทกันไว้หน่อยนะ”
“บางทีชั้นคงต้องสั่งสอนเธอซักหน่อย”
“ก็เรื่องนี้แหละที่ฉันบอกเธออยู่เนี่ยว่าอย่าทำ!”
กัปตันเกรซดื่มนมร้อนเข้าไปแล้วกระแทกแก้วลงมาบนโต๊ะ แก้วนั้นเป็นแก้วที่สร้างมาเพื่อเมจิคัลเกิร์ล ตัวแก้วจึงไม่แตกหัก เหมือนว่าสิ่งที่เธอคาดเดาไว้นั้นจะถูกต้อง แต่ที่บนโต๊ะมะฮอกกานีนั้นมีรอยบุ๋มที่เป็นรูปทรงเดียวกับแก้วที่กระแทกลงไปอยู่ กัปตันเกรซจึงสบถออกมาเบาๆ พร้อมกับวางแก้วลงอย่างช้าๆ
“นี่เธอมีปัญหากับเรื่องที่ชั้นทำรึไง คาโยะ?”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
คาโยะนั้นเป็นคนขี้ขลาด แต่เมื่ออุมิทำอะไรขึ้นมาซักอย่าง เธอก็จะตามไปด้วย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นคู่หูของอุมิ เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนที่อ่านเรื่องราวการผจญด้วยกันในห้องสมุดของโรงเรียนประถม
“เธอก็แค่เงียบแล้วก็ตามชั้นมาก็พอ เหมือนทุกทีนั่นแหละ เธอไม่เสียใจหรอก ชั้นจะไม่ทำให้พวกเราแพ้แน่”
☆ โพสตาร์รี่ (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 40 นาที)
คนที่นั่งอยู่ข้างทัตสึโกะคือคาโอริ และอีกคนหนึ่งที่นังอยู่ข้างคาโอริคือเมจิคัลเกิร์ลในชุดแต่งงาน
ทั้งสามคนนั่งล้อมวงอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ทเมนต์
“เสร็จแล้วล่ะ ช่วยดูด้วย”
เว็ดดิ้นส่งสมุดบันทึกของมหาวิทยาลัยที่ตกแต่งด้วยเลข 1 มาให้ทัตสึโกะ เมื่อเธอเปิดออกมาก็พบกับตัวอักษรเล็กๆที่เขียนด้วยลายมืออย่างเป็นระเบียบ มันเขียนถึงรายละเอียดเฉพาะตัวของเมจิคัลเกิร์ลเอาไว้
ความสามารถทางกายภาพเพิ่มขึ้น
มองเห็นในที่มืดได้
สัมผัสต่างๆแหลมคมขึ้น
ไม่จำเป็นต้องกิน นอนหลับ หรือขับถ่ายของเสียอีกต่อไป
มีความแข็งแกร่งที่มากกว่าปกติ
เมื่อแปลงร่างแล้วจะกลายเป็นเด็กสาวผู้งดงาม
มันคือลักษณะเฉพาะตัวของเมจิคัลเกิร์ล
จากนั้นก็มีกฎว่า
หลีกเลี่ยงการถูกคนทั่วไปพบเห็นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับใคร
แล้วก็ต้องทำตามคำสั่งของโทโกะ
ในบันทึกนั้นมีตัวเลขและรายละเอียดต่างๆถูกเขียนเอาไว้ ลายมือของเธอนั้นสวย เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเป็นคนขยัน ทุกตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นนั้นมันเอียงขึ้นไปทางด้านขวาบนเหมือนกันหมด
“มีข้อดีเยอะขนาดนี้เลย”
โพสตาร์รี่เงยหน้าขึ้นจากสมุดบันทึกแล้วมองไปยังเว็ดดิ้น ชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่อยู่นั้นมีความหมายถึงความสุข แต่น้ำเสียงและการกระทำของเธอมันกลับดูขัดแย้งกัน แม้กระทั่งความสามารถในการบังคับผู้คนให้รักษาสัญญานั้นก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
“โทโกะนั้นสัญญาว่า เมื่อพวกเรากลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันก็จะอยู่แบบนั้นไปตลอด ด้วยข้อดีทั้งหลายเหล่านี้มันทำให้ในชีวิตประจำวันของพวกเรามีความได้เปรียบมากเลยล่ะ อ๊ะ! ดิฉันกำลังคิดเรื่องท่าโพสตอนที่พวกเรารวมตัวกันอยู่ มีความคิดอะไรไหม? ไม่แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลทำกันรึเปล่า แต่เมื่อพวกเรามีกันอยู่เจ็ดคน ดิฉันคิดว่าพวกเราควรใช้จำนวนนี้เพื่อเพิ่มความสวยงามของกลุ่มนะ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
“นั่นสินะ”
เรนโปวนั้นพูดอะไรแบบว่า “แน่นอน” แล้วก็ “เห็นด้วย” ออกมาบ่อยๆ เธอไม่เคยค้านเว็ดดิ้นเลย และเมื่อหลังจากแยกตัวออกมาแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“เอาล่ะ…”
หลังจากที่แยกตัวออกมาจากเว็ดดิ้นแล้ว เรนโปวกับโพสตาร์รี่ก็เจอเมย์ลอยอยู่บนถนนด้านหน้าอพาร์ทเมนต์ ร่างกายของเด็กสาวนักเต้นอาหรับนั้นโปรงแสงราวกับควัน จนสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่ด้านหลังของเธอได้
“เรวโปวกับโพสตาร์รี่อยากรู้เวทมนตร์ของเมย์เหรอ?”
“อื้อ ให้พวกเราดูหน่วยสิ”
เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ชุดของเท็ปเซเคเมย์นั้นมีระดับของการเปิดเผยมากที่สุด มันไม่เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่ดูแล้วมีความรู้สึกว่า “น่ารัก” หรือ “เท่” ความประทับใจแรกที่เห็นเท็ปเซเคเมย์ก็คือ “เซ็กซี่”
โพสตาร์รี่เองก็คิดว่าเธอนั้นเป็นคนที่เข้าสังคมน้อยที่สุดด้วย ไม่ใช่แค่เธอไม่ยิ้ม แต่การแสดงออกของเธอนั้นไม่เปลี่ยนไปซักนิด สีหน้านิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์โกรธ เสียใจ หรืออะไรออกมาเลย หากเธอรวมตัวอยู่กับเด็กสาวคนอื่นมันก็ยากที่จะตัดสินเธอว่าเป็นยังไง แม้เท็ปเซเคเมย์นั้นจะไม่ได้ชอบเข้าหาผู้คน แต่ก็มีบรรยากาศที่สบายๆ ไม่ได้ดูสนุกสนานหรือเบื่ออะไร
โพสตาร์รี่รู้ว่าเด็กสาวที่มีบรรยากาศแบบนี้มักจะถูกกีดกันออกจากกลุ่ม เธอนั้นมีประสบการณ์อันเจ็บปวดมาอย่างน้อย 10 ปีกับเรื่องนี้ แม้ว่าเท็ปเซเคเมย์จะไม่ได้เป็นมนุษย์มาตั้งแต่แรกเริ่ม จากมุมมองของโพสตาร์รี่แล้ว มันดูเหมือนว่าภายในหัวของเธอนั้นว่างเปล่าอยู่นิดๆ และมันไม่ใช่ความรู้สึกทางกายภาพเพราะพลังของเธอด้วย
“ตั้งแต่เมย์กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เมย์ก็ได้รู้อะไรบางอย่าง”
เมื่อมีลมพัดผ่านมา รูปร่างของเท็ปเซเคเมย์ก็เริ่มสั่นไหว
“เมย์ก็คือเมย์ แต่ร่างกายของเมย์มันไม่ใช่ร่างกายของเมย์ แต่เมย์ก็คือเมย์”
โพสตาร์รี่มองดูท่าทางของเรนโปวที่อยู่ข้างๆ เธอนั้นกำลังยิ้มอยู่ โพสตาร์รี่แน่ใจว่าเธอต้องมีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่อยู่ในใจแบบเดียวกันแน่
“เอ่อ นั่นเธอหมายความว่ายังไงเหรอ?”
“เมย์ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่ก้นบึ้งขุมนรกที่คลานออกมาไม่ได้ เมย์ไม่รู้ว่ามันลึกหรือทรมาณขนาดไหน นี่คือสิ่งที่เมย์หมายความว่ารู้อะไรบางอย่าง”
เท็ปเซเคเมย์แปลงร่างเป็นควันอีกครั้ง เธอเอนตัวพิงกับเสาที่ขึ้นสนิม จากนั้นก็เอาตัวเองไปห่อรอบๆกล่องกระดาษเก่าๆที่เปียกชุ่มเพราะน้ำฝน และกล่องกระดาษนั้นก็ขาดออกจากกันพร้อมกับมีเสียงเบาๆที่ดังออกมา
“เมย์รู้ว่าเมย์ทำอะไรแบบนี้ได้ แต่เมย์ทำลายอะไรที่หนาเกินไปไม่ได้”
เท็ปเซเคเมย์เข้าไปในท่อน้ำ แล้วก็ทำลายมันจากภายใน
“เมย์ทำแบบนี้ได้ด้วย”
เท็ปเซเคเมย์ห้าคนปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นสิบคน
“เมย์สามารถทำแบบนี้เพื่อให้ศัตรูตกใจได้”
เท็ปเซเคเมย์สิบคนรวมร่างกัน กลายเป็นเท็ปเซเคเมย์หนึ่งคนขนาดยักษ์
“เมย์กลับไปเป็นแบบเดิมได้อย่างรวดเร็วด้วย”
เธอใช้นิ้วชี้วางบนหน้าผาก จากนั้นก็มีเสียงดังนั้นพร้อมกับเธอที่กลับไปขนาดเท่าเดิม
“เมย์ทำแบบนี้ในอากาศได้ด้วย”
เธอยืดแขนออกมายาวขึ้นห้าเท่า เธอหยิบเศษท่อน้ำที่แตกออกมาแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ
เธอทำมือเป็นรูปปืน แล้วพูดออกมาว่า “ปัง!” จากนั้นเศษท่อน้ำที่อยู่ในอากาศก็ปลิวออกไป
“ลองโจมตีเมย์สิ”
“หือ? เราเหรอ?” เรนโปวถามอย่างสับสนพร้อมกับชี้มาที่ตัวเอง
“โจมตีเมย์”
“นี่ เราทำแบบนั้นไม่ได้—”
“ลองดู”
“แต่มัน…”
เรนโปวใช้มือขวาเกาด้านหลังหัวของตัวเอง แล้วหันหน้าไปทางโพสตาร์รี่พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ จากนั้นเธอก็ก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับใช้มือซ้ายต่อยเข้าหาเท็ปเซเคเมย์ ก่อนที่โพสตาร์รี่จะตกใจกับการเคลื่อนไหวแบบกระทันหัน ร่างกายของเท็ปเซเคเมย์ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ดูไม่มีรูปร่างโอบแขนของเรนโปวเอาไว้ เมื่อร่างกายของเท็ปเซเคเมย์กลับมาสู่ปกติ เธอก็ล็อคร่างกายส่วนบนของเรนโปวเอาไว้อย่างรวดเร็ว ศอกขวาและไหล่นั้นโดนล็อคเอาไว้ เท็ปเซเคเมย์กดตัวเรนโปวลงติดกับพื้น
เท็ปเซเคเมย์ยื่นมือออกไปช่วยเรนโปวแล้วดึงเธอขึ้นมา โพสตาร์รี่ส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจแล้วก็ตบมือให้ เรนโปวคนที่ยืนขึ้นมาแล้วนั้นก็ทำเหมือนกัน
“ยอดเลย! ยอดสุดๆ!”
“ตอนสุดท้ายเราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ!”
ทั้งเรนโปวกับโพสตาร์รี่นั้นตื่นเต้น พวกเธอพูดว่า “เจ๋งสุดๆเลย!” ซ้ำๆกับเท็ปเซเคเมย์ที่หันหลังอยู่ จากนั้นเท็ปเซเคเมย์ก็หันมายังทางที่พวกเธออยู่ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์อย่างเคย
“ทั้งสองคนคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เรนโปวหันมามองโพสตาร์รี่ บางทีอาจจะถามหาความช่วยเหลือ โพสตาร์รี่เองก็ส่ายหัวเบาๆ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเท็ปเซเคเมย์พยายามจะพูดอะไร
“สังเกตเห็นรึเปล่า?”
“เอ่อ…สังเกตอะไรเหรอ?”
“พวกเราได้อะไรบางอย่างที่สุดยอดมา เมย์ไม่อยากจะเสียมันไป เพราะแบบนี้เมย์ถึงจะสู้ เมย์จะใช้ทุกอย่าง เพราะนี่คือชีวิตของเมย์ เมย์ก็คือเมย์ หากเมย์ต้องการที่จะยังคงเป็นเมย์ เมย์ก็จะตายไม่ได้ เมย์กลัวตาย เมย์ไม่รู้หรอก แต่ทั้งสองคนควรรู้ใช่ไหม?”
“อ่า…ใช่ คิดว่านะ”
เท็ปเซเคเมย์นั่งไขว่ห้างอยู่บนอากาศ โพสตาร์รี่ไม่รู้ว่าเธอมองไปที่ไหน สายตาของเธอนั้นเหมือนว่าไม่ได้จับจ้องไปยังที่ใดที่หนึ่งตั้งแต่แรก แม้ว่าเธอกระพริบตาแถมยังเปลี่ยนที่มองไปเรื่อย แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอจ้องมองไปที่ไหนเลย ท่าทางกับดวงตาของเธอราวกับว่าถูกประดิษฐ์ขึ้นมา
“ทำไมการคิดเรื่องต่างๆมันยากจัง”
เธอลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับลมแล้วเคลื่อนที่ไปยังภูเขา
เรวโปวกับโพสตาร์รี่นั้นห้ามเธอไม่ได้ ได้แต่มองดูเธอไปแค่นั้น โพสตาร์รี่เองก็ไม่ใจว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้มันเป็นเพราะความแตกต่างของสายพันธุ์รึเปล่านะ
☆ เว็ดดิ้น (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 22 นาที)
ข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว เว็ดดิ้นวางปากกาลงแล้วอ่านสมุดบันทึกใหม่อีกครั้ง ข้อมูลนี้ต้องมีประโยชน์ตอนที่ร่วมมือกันในการต่อสู้แน่
ปัญหาก็คือการแบ่งปันข้อมูล เดิมทีคุรุคุรุ ฮิเมะนั้นเป็นอาจารย์ความจำจึงดีอยู่แล้ว เรนโปวเองก็เข้าใจเรื่องต่างๆได้เร็วแล้วก็ยังช่วยโพสตาร์รี่ด้วย
ส่วนอีกสามคนที่เหลือนั้นเป็นปัญหา กัปตันเกรซนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดเลย ฟันนี่ทริคเองตัวก็ติดอยู่กับเธอตลอด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เว็ดดิ้นจะเข้าไปคุยตามลำพัง ส่วนเท็ปเซเคเมย์นั้นพยายามไปก็เสียเปล่า เว็ดดิ้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอนั้นฟังเรื่องที่เว็ดดิ้นพูดอยู่รึเปล่าด้วยซ้ำ
“เวทมนตร์ของฟันนี่ทริคคือ สามารถสับเปลี่ยนตำแหน่งของสิ่งที่ซ่อนอยู่สองสิ่งได้ ส่วนของกัปตันเกรซคือ สามารถเรียกเรือที่แล่นด้วยความเร็วสูงออกมาได้ สำหรับเวทมนตร์ของกัปตันเกรซแล้ว ส่วนใหญ่เธอจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในเรือมากกว่าตัวเรือเอง อย่างน้อยก็ตอนมันอยู่บนพื้น ”
“เข้าใจแล้ว”
“เอาล่ะ แล้วเวทมนตร์ของเธอคืออะไร?”
“เมย์กินอากาศ”
“…มันต่างกันนิดหน่อยนะ ลองอีกครั้งนะ เอาล่ะ เวทมนตร์ของฟันนี่ทริคคือ?”
“ฟันนี่ทริคนี่ใครเหรอ?”
“โอเค! อีกครั้งตั้งแต่แรก”
พวกคนที่ไม่ฉลาดนั้นอาจะถูกเรียกว่า “สมองลิง” ก็จริง แต่เมื่อเทียบกับร่างของเท็ปเซเคเมย์ก่อนแปลงร่างแล้ว แม้กระทั่งลิงก็ดูเป็นอัจฉริยะไปเลย
มันไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเรียนรู้ แต่เธอแค่เรียนรู้ไม่ได้ต่างหาก และไม่ใช่ว่าเธอเรียนรู้อะไรไม่ได้เลย มันมีสิ่งที่เธอทำได้และทำไม่ได้อยู่ด้วย
“เว็ดดิ้นคือผู้นำ”
“ใช่แล้ว”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะถูกเลือกมาตามหลักประชาธิปไตยยังไงล่ะ”
“แต่เว็ดดิ้นอ่อนแอนี่”
“…แม้เธอจะคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ควรพูดออกมาดังๆนะ จะว่าไปแล้ว ทั้งๆที่เธอจำคนอื่นไม่ได้เลย แต่ทำไมถึงจำชื่อดิฉันได้ถูกต้องล่ะ?”
“เพราะเธอคือเว็ดดิ้น?”
เว็ดดิ้นเอามือของเธอกุมหัวตัวเอง ในฐานะหัวหน้าห้องแล้วนั้น เธอต้องสอนเพื่อนร่วมห้องที่มีคะแนนน้อยกว่าเพื่อเอาชนะใจอาจารย์ แต่อย่างไรพวกนั้นก็เป็นมนุษย์ แถมพวกเธอก็อยู่ในโรงเรียนเอกชน อย่างน้อยทุกคนก็มีความสามารถด้านวิชาการในการที่จะเข้ามาเรียนได้อยู่แล้ว
ในตอนนี้ สิ่งที่เธอคร่ำเคร่งด้วยมาตั้งแต่เมื่อวานก็คือเต่า มิเนะเคยให้อาหารมาหลายครั้งแล้ว เธอเองก็คิดว่ามันน่ารักด้วย แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทัดเทียมกัน
……เพราะมันคือ เต่า น่ะนะ
นี่เธอต้องสอนแม้กระทั่งเต่าด้วยงั้นเหรอ?
ในตอนนี้เธอมีความฉลาดมากกว่าตอนที่เป็นเต่า แค่สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับเต่าแล้ว แต่เรื่องสติปัญญานั้น มันมีปัญหาอยู่ว่าเธอไม่มีนิสัยชอบการเรียนรู้
ไม่เหมือนกับกัปตันเกรซ เท็ปเซเคเมย์นั้นมีความต้องการที่จะเรียนรู้อยู่ ดังนั้นเว็ดดิ้นจึงอยากจะช่วยเธอจริงๆ ในหมู่ของพวกเธอนั้น เวทมนตร์ของเท็ปเซเคเมย์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน เป็นกองหนุน หรือรับบทโจมตี หากเธอสามารถร่วมมือกับทุกคนได้ล่ะก็ หน่วยของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน
เมื่อเว็ดดิ้นเงยหน้าขึ้นไป เธอมองเห็นเท็ปเซเคเมย์กำลังจ้องมาที่เธอด้วยท่าทางที่น่ากลัว เหมือนกับสัตว์ป่าที่แยกเขี้ยว เว็ดดิ้นนั้นตกใจจนถอยหลังไป เธอเหยียบชายกระโปรงตัวเองจนล้มก้นกระแทกพื้น
“อะ-อะไรน่ะ? ถ้าเธอไม่พอใจล่ะก็ อย่างน้อยก็พูดออกมาสิ?”
เท็ปเซเคเมย์นั้นกำลังส่ายหัวราวกับว่าสับสนพร้อมกับยิ้มแยกเขี้ยวออกมา
“เมย์กำลังยิ้มอยู่”
“มันไม่มีใครยิ้มกันแบบนั้นหรอกนะ!”
“เมย์ควรจะยิ้มยังไงเหรอ?”
นี่เท็ปเซเคเมย์ไม่รู้ว่าควรจะยิ้มยังไงเหรอเนี่ย? ตอนนี้เว็ดดิ้นกำลังคิดว่าเต่ามันไม่ได้ใช้สีหน้าในการสื่อสารนี่นา เต่าทะเลเองก็จะหลั่งน้ำตาออกมาในช่วงฤดูวางไข่ แต่พวกมันทำเช่นนั้นเพราะต้องการขับเกลือออกมาจากดวงตา ไม่ใช่ว่าเพราะเจ็บปวดหรือเศร้าแต่อย่างใด
“เอ่อ…ก่อนอื่นก็ เชิดแก้มขึ้น”
“แบบนี้?”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น มันน่ากลัวเกินไป แก้มน่ะมันต้องแบบนี้”
“แบบนี้?”
“อ๊า! ไม่ใช่ ไม่ใช่ เอาล่ะ เดี๋ยวดิฉันจะขยับหน้าให้เอง ดังนั้นจำไว้ด้วยนะว่าควรทำยังไง”
เว็ดดิ้นจับหน้าของเท็ปเซเคเมย์ แล้วก็ขยับคิ้วกับแก้ม ในตอนที่นิ้วของเว็ดดิ้นสัมผัสแก้มของเท็ปเซเคเมย์นั้น เธอรู้สึกว่ามันนุ่มมาก ผิวหนังของเมจิคัลเกิร์ลนี่เนียนนุ่มจริงๆ
“จั๊กจี้จัง”
“ทนไว้นะ ไม่นานหรอก”
เว็ดดิ้นนั้นขยับใบหน้าให้เป็นรูปร่างที่ดูเหมือนรอยยิ้มขึ้นมาได้ จากนั้นก็ถอยห่างจากเท็ปเซเมเมย์ออกมา มองดูหน้าของเธอในหลายๆมุม แม้จะดูแปลกเล็กน้อย แต่ก็เรียกมันว่ารอยยิ้มได้แล้ว
“เอาล่ะ จำท่าทางแบบนี้ไว้นะ”
แต่ก่อนที่เว็ดดิ้นจะพูดจบประโยคนั้น ท่าทางของเท็ปเซเคเมย์ก็กลับมาเป็นปกติ เธอมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพึมพำออกมาว่า “พวกมันมาแล้ว” จากนั้นก็หายวับไป
จากนั้นในเวลาเดียวกัน มีบางคนลงมาบนดาดฟ้าของอพาร์ทเมนต์พร้อมกับเสียง ตึก ที่ดังขึ้นมา ที่ด้านหลังเธอนั้นมีคาตานะและผ้าพันคอที่พริ้วไหว ตาข้างหนึ่งของเธอถูกฟันเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ ผมของเธอนั้นมีชูริเคนขนาดใหญ่ประดับอยู่มันดูเข้ากับชุดของเธอ เธอนั้นดูเหมือนคนที่เรียกได้ว่า นินจา
MANGA DISCUSSION