บทนำ
แม้หัวใจของเธอนั้นจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังจากผ่านการสอนในฐานะอาจารย์มานานนับแรมปี เธอควรจะรู้สึกเศร้าเมื่อตัวเองเจ็บปวด ทุกคนก็ควรเป็นเช่นนั้น นั่นคือสิ่งที่โนโซมิคิด
วันนั้นในตอนพักกลางวัน ตรงขั้นบันไดมีนักเรียนรวมตัวคุยกันอยู่ เพราะว่าชั้นดาดฟ้านั้นถูกล็อคเอาไว้ เหล่านักเรียนจึงเข้าไปในที่ที่ตัวเองอยากไปไม่ได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรมาขวางตรงขั้นบันไดหน้าทางขึ้นชั้นดาดฟ้า เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้วขั้นบันไดตรงนี้มันมีขนาดกว้างกว่า แต่ก็มีเพียงนักเรียนไม่กี่คนเท่านั้นที่มารวมตัวกันที่นี่ และยังไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมานอกจากจะเป็นคนที่มีธุระด้วย
ตอนที่โนโซมิเดินผ่านไปที่โถงทางเดินใกล้ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียน เธอก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากขั้นบันไดตรงนั้น แม้จะใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้วก็ตาม
เธอควรจะตะโกนบอกดีไหมนะ เมื่อโนโซมิคิดเช่นนั้น เธอก็ก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดขั้นแรกที่จะขึ้นไปสู่ชั้นดาดฟ้า
“นี่ ใกล้ถึงเวลาต้องไปแล้วนี่นา?”
“หือ? จริงด้วยแหะ เวลาพักกลางวันใกล้หมดแล้ว”
เหมือนว่าเธอไม่จำเป็นต้องตะโกนออกไปสิ และเมื่อเธอก้าวลงมาจากบันได ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ชั้นเรียนนั้นเอง-
“คาบต่อไปนี่อะไรเหรอ?”
“ก็ มอนเตอร์ ใช่ไหมล่ะ?”
“อ๋า ชั่วโมงภาษาญี่ปุ่น”
“ยังไม่ต้องส่งการบ้านใช่ไหม?”
“ถ้าหมายถึงรายงานล่ะก็ แค่ต้องทำให้เสร็จก่อนสุดสัปดาห์น่ะ ”
“น่ารำคาญสุดๆเลย”
โรงเรียนมัธยมต้นนามิยามะคือโรงเรียนเอกชน ทุกคนนั้นต้องผ่านการสอบที่ยากลำบากถึงจะเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ไม่ว่ามันจะ “น่ารำคาญ” แค่ไหนก็ตาม มันก็คือเรื่องผิดปกติที่จะมีคนกล้าโดดเรียน
โนโซมิปล่อยให้นักเรียนทั้งคู่นั้นลงบันไดมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคักไปด้วย เธอมองตามหลังของเด็กพวกนั้นที่กำลังตรงไปยังห้องเรียน เธอสังเกตเห็นว่าทรงผมและน้ำเสียงนั้นดูคุ้นเคยมาก
ทั้งคู่คือเด็กห้อง 2-B ถ้ามองตามหลังเธอไปนั้น โนโซมิก็เห็นว่าเด็กพวกนั้นเข้าไปยังชั้นเรียนที่เธอกำลังจะมุ่งหน้าไป เธอกำจัดความจริงในใจของตัวเองทิ้งไป จากนั้นเสียงระฆังที่บ่งบอกว่าหมดเวลาพักแล้วนั้นก็ดังขึ้น ซึ่งมันทำให้เธอกลับสู่ความเป็นจริง
พวกอาจารย์เองนั้นก็มีชื่อเล่น มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร มันก็เหมือนกับตอนที่โนโซมิยังเป็นนักเรียน อาจารย์โคบะยาชิถูกเรียกสั้นๆว่าจารย์โคบะ คุณวาตานาเบะก็เรียกสั้นๆว่าคุณนาเบะ มันเป็นชื่อที่ดีก็จริง แต่มันก็มีอาจารย์ที่ได้รับชื่อเล่นที่โหดร้ายจากเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่มันก็เป็นเหตุผลปกติที่อาจารย์จะได้รับชื่อเล่นแบบนั้น เพราะอาจารย์พวกนั้นมักจะดุนักเรียน หรือมักจะมองนักเรียนหญิงในทางที่ไม่ดี ในหมู่ “อาจารย์ที่ถูกเกลียด” นั้นมีบางคนก็ถูกเกลียดด้วยเหตุผลแค่ว่าสอนอย่างเข้มงวดเกินไปอยู่ด้วย และพวกอาจารย์เองก็รู้ว่าตัวเองถูกเกลียด แม้พวกเขาจะเป็นอาจารย์ที่ดี แต่จากมุมมองของนักเรียนแล้วมันไม่ต่างกันเลย
คำพูดของทั้งสองคนนั่นยังติดอยู่และไม่ได้หายไปภายในหัวของเธอ
“คาบต่อไปนี่อะไรเหรอ?”
“ก็ มอนเตอร์ ใช่ไหมล่ะ?”
“อ๋า ชั่วโมงภาษาญี่ปุ่น”
แม้ว่าจะเป็นวิชาที่มีคนชอบน้อย แต่ในชั่วโมงเรียนภาษาญี่ปุ่นนั้นมันก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะเรียกว่าเป็น “มอนเตอร์” ได้เลย ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่โนโซมิ คนที่เป็นอาจารย์สอนวิชาที่ถูกเรียกว่ามอนเตอร์นั่นเอง เพื่อที่จะไม่ให้ถูกสงสัยตอนเวลาที่พูดถึง โนโซมิคิดว่าเด็กพวกนั้นคงตั้งชื่อ มอนเตอร์ มาให้เธอโดยเฉพาะ
มอนเตอร์ นั้นเป็นคำภาษาอังกฤษ มีความหมายคล้ายกับคำว่า “อสูร” ในภาษาญี่ปุ่น
จากสมัยที่เป็นนักเรียนจนมาถึงตอนที่เธอกลายมาเป็นอาจารย์ โนโซมิไม่เคยได้ยินชื่อเล่นที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน เป็นคำที่ง่ายๆ แต่มันบาดคว้านลึกลงไปในใจ คำพูดนั้นมันทำร้ายจิตใจของเธอจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ
โนโซมินั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะดุด่านักเรียนของเธอ เธอนั้นมีความอ่อนโยนอยู่ภายในใจเสมอมา และเธอก็สาบานว่าเธอนั้นระวังเรื่องวิธีการสอนในชั้นเรียนมากด้วย เธอไม่ได้เลียนแบบอาจารย์คนอื่นที่มีความสุขในการวางกับดักด้วยคำถามที่มุ่งร้ายกับเด็กนักเรียนในชั้นเรียน บางคนอาจจะเรียกเธอว่าคนไร้ประโยชน์ในฐานะอาจารย์ เพราะเธอนั้นประนีประนอมกับนักเรียนมากเกินไป แต่สำหรับเธอแล้วแบบนั้นมันไม่เป็นไร เพราะเธอรู้ว่างานของเธอนั้นจะยากมากขึ้นหากถูกนักเรียนเกลียด
แต่กระนั้นเธอก็ยังคงถูกเกลียด เธอยังคงถูกเหม็นขี้หน้า แต่เธอก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร ชื่อเล่นอย่าง มอนเตอร์ นั้นหมายความว่าตัวเธอมีพลังทำลายล้างสูง หมายความว่าเธอเป็นอะไรที่คล้ายกับอมนุษย์ หมายความว่าเธอถูกปฎิบัติราวกับว่าเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างจากคนอื่น แบบนั้นมันไกลเกินกว่าจะเป็นกำแพงระหว่างนักเรียนกับอาจารย์ไปแล้ว มันเป็นกำแพงของมนุษย์กับอะไรซักอย่าง บางทีอาจจะไม่มีใครทำลายมันได้เลยก็ได้
แม้โนโซมิจะรู้สึกเจ็บปวด เธอก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แม้ว่าเธอจะยังไม่เป็นอาจารย์ที่สอนเต็มเวลาอย่างเป็นทางการ แต่คนที่เป็นอาจารย์นั้นจะละทิ้งหน้าที่ของตัวเองไปไม่ได้แม้จะถูกนักเรียนทำร้ายเอาก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ความทรมาณของโนโซมิยังไม่จบสิ้นลงแค่นี้ เธอยังคงมีวันอันเนิ่นนานรอคอยเธออยู่ข้างหน้า หลังจากโรงเรียนเลิกแล้วเธอก็มีอีกงานหนึ่ง คือเธอต้องเข้าร่วมประชุมในฐานะคณะกรรมการจัดงานวัฒนธรรมอีก สิ่งที่เธอต้องทำคือการอยู่ที่นั่นและให้คำแนะนำกับคนที่ต้องการ แต่คราวนี้หนึ่งในคณะกรรมการนั้นคือตัวสร้างปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของโรงเรียน โนโซมิหวังว่าเด็กสาวคนนั้นจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับเธออีก
โนโซมิถอนหายใจลึกๆออกมาและออกมาอีกครั้ง จนอาจารย์ประจำชั้นที่นั่งห่างออกไปจากเธอสามที่นั่งพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรรึเปล่า?” โนโซมิเองก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอะไรค่ะ” พร้อมกับยิ้มให้ แต่รอยยิ้มนั้นมันไม่ได้บ่งบอกว่าตัวเธอไม่เป็นอะไรตรงไหนเลย บางทีเธออาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ อาจารย์คนอื่นเองก็มองกลับมาที่โนโซมิด้วยความเป็นห่วง
หลังจากโรงเรียนเลิก เธอลากสังขารตัวเองไปที่ห้องวิทยาศาสตร์ด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง เธอเลื่อนประตูออกและพบว่ามันว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะยาวสีขาวและเก้าอี้สามตัวอยู่ด้านใน เพราะโรงเรียนนี้ไม่มีชมรมวิทยาศาสตร์จึงไม่มีนักเรียนอยู่ที่นี่
ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจึงเริ่มระแวง ห้องแล็ปวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเธอ ซึ่งมันไม่เหมือนกับชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นที่เธอต้องรับผิดชอบ อีกอย่างคือเธอไม่เคยเข้าห้องประชุมที่ห้องแล็ปวิทยาศาสตร์ตรงหน้ามาก่อนด้วย ตามปกติแล้วห้องนี้มันควรจะล็อคอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ? เพราะด้านในนั้นเก็บสารเคมีอันตรายเอาไว้ มันไม่ใช่ที่ที่นักเรียกจะเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขนาดเป็นอาจารย์เธอยังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นผู้บุกรุกเลย
ทำไมถึงใช้ห้องแล็ปวิทยาศาสตร์เป็นที่นัดพบด้วยนะ? แถมยังเลือกแต่สมาชิกแบบนี้มาอีก ประธานนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “เธอรู้ไหมทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้นนะ?” ถ้าไม่ใช่ประธานสภานักเรียนเลือกสมาชิกมา แล้วใครมันเลือกมาล่ะ?
ประตูของห้องประชุมนั้นอยู่ด้านหลังห้องแล็ปวิทยาศาสตร์ เธอผ่านเข้าไปในทางเข้าเล็กๆที่ซ่อนอยู่หลังตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด มันไม่เหมือนกับห้องเรียนอื่น นี่ไม่ใช่ประตูเลื่อนแต่มันเป็นประตูลูกบิด เพราะอาคารเองก็สร้างขึ้นมาเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะห้องประชุมนี้เป็นที่เดียวที่ถูกต่อเติมขึ้นมาจากอาคารที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน มันจึงดูใหม่กว่าห้องอื่นๆ… อย่างน้อยอาจารย์ใหญ่ก็บอกเธอมาแบบนั้น
โนโซมิเอามือของเธอวางบนลูกบิดแล้วก็หมุน มันขยับได้ มันไม่ได้ล็อค
มีคนอยู่ในห้องนั้น หนึ่ง, สอง, สาม, สี่, ทั้งหมดห้าคน ทุกคนกำลังจ้องมาที่โนโซมิ
คนที่กำลังชี้หุ่นจำลองอยู่นั้นชื่อ อุมิ ชิฮาบาระ อยู่ชั้นปี 2-C มีความสามารถด้านกีฬาอย่างเหลือเชื่อ แถมยังมีสถิติการวิ่งร้อยเมตรในระดับเขตแล้วก็เขย่งก้าวกระโดดด้วย บางทีเธออาจจะมีแรงมากเกินไปก็ได้ เป็นคนที่มักตกเป็นหัวข้ออยู่ในหลายๆเหตุการณ์ และยังเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงที่สุดของโรงเรียนด้วย
เพราะอุมินั้นหันกลับมาในทันทีทันใด ทำให้ผมหางม้าของอุมินั้นมาโดนจมูกของเด็กสาวห้อง 2-C อีกคนหนึ่ง… เด็กสาวคนนั้นชื่อว่า คาโยะ เนมุระ คนที่ไปไหนมาไหนกับอุมิบ่อยๆ
เด็กสาวที่จ้องไปที่ตู้อควอเรี่ยมที่มีเต่าอยู่คือ มิเนะ มุสุบิยะ หัวหน้าห้องชั้น 2-D ผู้เป็นนักเรียนดีเด่น เป็นที่โปรดปรานของเหล่าอาจารย์และเด็กคนอื่น เธอไม่ใช่ทั้ง หัวหน้าชั้นที่ถูกทุกคนเกลียด หรือ คนที่ถูกบังคับให้มาเป็นหัวหน้าชั้น แต่เธอนั้นเป็นหัวหน้าชั้นอย่างที่ควรเป็น
มีเด็กสาวสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้อง ทั้งคู่นั้นอยู่ปีหนึ่ง คนที่สวมแว่นคือ ทัตสึโกะ ซากากิ คนที่ผมยาวชื่อว่า คาโอริ นิโนะสึกิ ทั้งคู่นั้นดูเงียบ คงเพราะถูกล้อมรอบไปด้วยนักเรียนที่ชั้นปีสูงกว่า แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาแต่พวกเธอนั้นทำตัวเหมือนว่าจะเขินอาย การมัดผมแล้วก็ความยาวของกระโปรงพวกเธอนั้นเป็นไปตามกฎของโรงเรียน เพราะโนโซมินั้นไม่ได้สอนเด็กปีหนึ่งจึงรู้จักพวกเธอแค่ชื่อเท่านั้น
เธอดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเธอเอง มันคือเวลาห้านาทีก่อนการประชุม ซึ่งหมายความว่าโนโซมินั้นไม่ได้มาสาย
เธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดการงานวัฒนธรรมที่มีหน้าที่ตัดสินใจว่าใครควรจะทำอะไร เมื่อเทียบกับการประกาศและตั้งร้านแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและไม่ใช่กลุ่มที่คนนิยมจะเข้ามาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนักเรียนก็อาจไม่พอใจ อาจคิดว่ามันไร้ประโยชน์ แม้จะกระจายงานให้อย่างเท่าเทียมกันแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกว่า “ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ?” อยู่ในหมู่ของเด็กนักเรียนด้วย
ด้วยเหตุผลนั้นจึงไม่มีใครอยากเป็นคณะกรรมการจัดงาน แม้จะถามหาตัวแทนไปแล้วก็ไม่มีใครยกมือขึ้น และไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่ามันสร้างปัญหา แบบนั้นมันก็จะไม่มีทางจัดงานเทศกาลขึ้นมาได้ ดังนั้นโนโซมิจึงบอกสภานักเรียนว่า ให้สุ่มเลือกนักเรียนผู้โชคร้ายเป็นลูกแกะบูชายัญไปซะ
แต่กระนั้น โนโซมิก็ตกใจที่เห็นนักเรียนทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก่อนเวลาห้านาที แม้จะเป็นลูกแกะบูชายัญแต่ก็มีแรงกระตุ้นของตัวเองอยู่สินะ
ตอนที่ 1:
ก่อตั้งหน่วยเมจิคัลเกิร์ล
☆ โพสตาร์รี่
ทัตสึโกะ ซากากิ นั้นเป็นเด็กสาวที่ขี้ขลาดและเก็บตัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เมื่อเธอถูกเลือกเป็นคณะกรรมการจัดงาน ที่ๆมันบังคับให้เธอต้องทำงานด้วยกันกับคนที่เธอไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน ตอนนั้นเธอกังวลว่าควรจะทำยังไงดี แต่คาโอริเพื่อนในชั้นเดียวกันก็ถูกเลือกมาด้วย ทัตสึโกะนั้นดีใจมากที่จะมีคนที่ร่วมส่งเสียงบ่นแบบว่า “เอาจริงดิ?” แล้วก็ “แหวะ” ไปด้วยกัน เธอนั้นตัวสั่นเมื่อคิดว่าต้องไปห้องแล็ปวิทยาศาสตร์คนเดียว การที่เพื่อนของเธอปรากฎตัวขึ้นมานั้นมันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
การที่จะไปห้องประชุมได้นั้น เธอต้องเดินผ่านห้องชมรมปิงปองที่กำลังดันพื้นอยู่ที่ห้องโถง และต้องไม่สนใจเสียงของชมรมเครื่องเป่าที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เมื่อทัตสึโกะเอามือไปจับที่ลูกบิดของห้องประชุมในห้องวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันไม่ได้ล็อค นี่คือการประชุมคณะกรรมการครั้งแรก และทัตสึโกะก็มาก่อนเวลาเพื่อไม่ให้นักเรียนรุ่นพี่ต้องรอ และมันก็ดีถ้าหากเธอมาก่อนที่อาจารย์จะไขกุญแจห้อง แต่เหมือนว่าจะมีคนที่มาที่นี่ก่อนแล้ว
ภายในห้องนั้นถูกย้อมไปด้วยแสงสีแดงเข้มของดวงอาทิตย์ยามเย็ม และมีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน
“ทั้งสองคนก็เป็นคณะกรรมการเหมือนกันเหรอ?” เธอถาม
“เธอก็ด้วย?” คาโอริตอบ
ทัตสึโกะปล่อยให้การพูดคุยเป็นเรื่องของคาโอริไป และตัวเองนั้นก็ฟังการสนทนาอยู่ด้านหลังของคาโอริ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประตูนั้นก็ถูกเปิดด้วยเสียงดัง มีรุ่นพี่อีกสองคนเดินเข้ามา ทัตสึโกะรู้จักหนึ่งในสองคนนั้นเพราะชื่อเสียงของเธอดังมาก
อุมิ ชิฮาบาระ เส้นผมของเธอนั้นมัดเป็นทรงหางม้า และยังย้อมเป็นสีอ่อนกว่าที่โรงเรียนอนุญาต เธอนั้นสวมเครื่องแบบค่อนข้างแปลก เพราะเธอบีบเครื่องวัดแรงบีบมืออย่างแรงจนพัง ว่ากันว่าที่วัดแรงบีบมือของเธอไม่ได้ เป็นเพราะเธอนั้นบีบเครื่องวัดแรงบีบมือจนพังคามือ แถมเธอก็ยังเข้าไปในรังของยากูซ่าแล้วจัดการพวกมันคนเดียวอีก เธอนั้นมีชื่อเสียงกับเรื่องราวที่ฟังดูเกินจริงแบบนี้ แม้ว่าทัตสึโกะจะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นเธอก็ยังคงไม่อยากทำงานกับคนอย่างอุมิอยู่ดี
เธอคิดว่าทุกๆคนนั้นก็คงเหมือนกับเธอ คือถูกเลือกมาโดยไม่เต็มใจ แต่อุมินั้นดูแตกต่าง
“นี่ๆ พวกเธอได้กลิ่นอะไรบ้างไหม? รู้รึเปล่าว่ามันคือกลิ่นของอะไร? กลิ่นของการผจญภัยยังไงล่ะ!”
เธอดูตื่นเต้นมาก แถมยังพูดอะไรแบบว่า “ได้กลิ่นการผจญภัย” ออกมาด้วย มันเป็นสิ่งที่คนธรรมอาจคิดว่าคงเป็นเรื่องตลกแน่ๆ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่อุมิจริงจัง แล้วทัตสึโกะไปหัวเราะเข้าล่ะก็ เธอก็มองเห็นฉากจบแย่ๆออกเลย เพราะแบบนั้นทัตสึโกะจึงได้แต่ปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านไปโดยที่ยังมีความรู้สึกคลุมเครืออยู่
ทัตสึโกะนั้นเป็นคนที่ชอบพูดคุยกับรุ่นพี่มากกว่าเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง เพราะหากเธอทำตัวเงอะงะกับเพื่อนร่วมชั้นล่ะก็เธออาจจะโดนดูถูกเอาได้ แต่ถ้าเธอคุยกับพวกรุ่นพี่ บางครั้งพวกรุ่นพี่ก็คิดว่านั่นคือการเคารพ ปัญหาก็คือหนึ่งในเด็กสาวที่อายุมากกว่านั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตัวสร้างปัญหา แล้วทัตสึโกะเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นตัวจุดชนวนเธอได้ ตัวเธอนั้นยังรู้สึกวิตกกังวลต่อไป ทัตสึโกะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะระเบิดเลย
แสงสีแดงเข้มของอาทิตย์ตกดินจางหายไป ในตอนนี้สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำกำลังส่องสว่างอยู่ที่ใบหน้าของรุ่นพี่ ตอนนี้มันเป็นฤดูหนาว อีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้าแล้ว เธอมองดูท่าทางของอุมิแล้วเห็นว่าเธอกำลังมองไปรอบๆ เหมือนว่ากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง
นั่นเธอกำลังจะระเบิดความโกรธออกมาเหรอ? เป็นอย่างที่เธอได้ยินข่าวลือมาใช่ไหมนะ? ทัตสึโกะจ้องมองอย่างเคร่งเครียด แล้วในทันใดนั้นเองประตูของห้องประชุมก็เปิดออก
อาจารย์นี่นา ทัตสึโกะรู้จักเธอ คุณโนโซมิ ฮิเมโนะ เธอไม่ได้รับหน้าที่สอนเด็กปีหนึ่ง แต่เธอก็ดูโดดเด่นเพราะเธอนั้นดูเหมือนกับนักเรียน…โดยเฉพาะเหมือนกับเด็กปีหนึ่ง เธอนั้นอายุ 20 กลางๆแล้วแต่ดูเด็กกว่าอายุมาก หากเธอสวมชุดเครื่องแบบล่ะก็คงแนบเนียนไปกับนักเรียนอย่างเป็นธรรมชาติได้เลย เพราะรูปร่างที่ไม่เป็นไปตามอายุ จึงทำให้เธอได้ชื่อเล่นว่า มอนเตอร์ ขนาดทัตสึโกะคนที่ไม่ได้รู้เรื่องภายในโรงเรียนมากก็ยังรู้เรื่องนี้เลย
“เริ่มกันไปแล้วเหรอ?” อาจารย์ถาม
“ยัง…ยังค่ะ”
“เอาล่ะ งั้นมาเล่นกันเลยดีกว่า ถ้าเริ่มเร็วก็จะได้กลับเร็วด้วย”
คุณฮิเมโนะนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีนักเรียนรุ่นพี่ที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกคนนึงยืนขึ้น เธอที่มีผมเปียหนาๆอยู่ที่หลัง และสวมกรอบแว่นตาสีแดงที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์คนคนนี้ดูเหมือนกับหัวหน้าห้องจัง
“ดิฉัน มิเนะ มุสุบิยะ จากห้อง 2-D ที่เป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกคนมากที่มารวมตัวกันในการประชุมคณะกรรมการจัดงานวัฒนธรรมในวันนี้ ก่อนที่พวกเราจะแจกจ่ายงานกัน ก็มาแนะนำ—”
“ในที่สุดก็มากันครบทุกคนแล้วสินะ”
มันมีเสียงดังขึ้นมาในห้องนี้จากที่ไหนก็ไม่รู้ มันเป็นเสียงแหลมสูงและอ่อนวัยเหมือนกับเด็ก ไม่ใช่เสียงที่จะได้ยินในโรงเรียนมัธยมต้นแบบนี้ตามปกติแน่ๆ ทัตสึโกะมองไปรอบๆ มีรุ่นพี่คนหนึ่งก็มองดูเช่นกัน มันไม่มีเด็กอยู่ที่ไหนเลย
“พวกเธอทุกคนมีพลังเวทมากที่สุดในโรงเรียนเลยล่ะ เราถึงอยากให้พวกเธอใช้พลังนั้นช่วยเราหน่อย… แน่นอนว่ามีรางวัลตอบแทนด้วยนะ เพราะเราจะทำให้พวกเธอทุกคนกลายเป็น เมจิคัลเกิร์ล ยังไงล่ะ!”
มีลูกบอลแสงขนาดเล็กลอยลงมาจากเพดาน ตอนนั้นเธอคิดว่า หลอดไฟมันตกลงมารึเปล่านะ? ไม่สิ มันร่วงลงมาช้าๆ เหมือนกับลอยลงมามากกว่า มันร่วงลงมาพร้อมกับแสงสว่างที่จางลงเรื่อยๆ จนเมื่อลงมาอยู่บนโต๊ะ มันก็กลายเป็นแสงสีขาวที่ดูซีด ภายในลูกบอลแสงนั้น มีตุ๊กตาขนาด 15 เซ็นติเมตรอยู่ภายใน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ! เราชื่อโทโกะ อย่างที่เห็น เราเป็นแฟร์รี่ยังไงล่ะ!”
ทุกคนรับฟังคำพูดนั้นพร้อมกับขยี้ตาของตัวเอง มันไม่ใช่ตุ๊กตา มันขยับอยู่ คำพูดออกมาจากปากของสิ่งนั้น การเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อของมันนั้นดูไม่เหมือนสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมา การแสดงออกนั้นก็ดูมีชีวิตชีวาด้วย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มนุษย์ เพราะมันมีแสงอยู่รอบตัว มีปีกโปร่งแสงเหมือนแมลงงอกออกมาจากหลัง แถมมันไม่มีมนุษย์คนไหนที่สูงแค่ 15 เซ็นติเมตรอยู่หรอก
“ทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลล่ะ! เราสามารถทำให้ทุกคนกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้! ขอร้องล่ะ ช่วยกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วช่วยเราที เรากำลังถูกแม่มดผู้ชั่วร้ายตามล่าอยู่!”
ตอนนั้นทัตสึโกะรู้ว่าตัวเองกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หายใจเข้าลึกๆ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? เด็กคนนี้พูดอะไร? แม้ทัตสึโกะจะพยายามคิดก็คิดไม่ออก ทัตสึโกะนั้นรู้ว่าตัวเองสับสนจึงมองไปที่คาโอริเพื่อดูว่าเธอนั้นคิดยังไง แต่เมื่อเธอทำเช่นนั้น ทัตสึโกะก็ร้องออกมา
สายตาของทัตสึโกะเห็นว่าคนๆนั้นดูน่าประทับใจ เธอดูโดดเด่นแล้วก็น่าอัศจรรย์มาก ปลายผมด้านซ้ายและขวาของเธอนั้นมีการไล่เฉดสีอย่างสวยงาม ถุงมือของเธอก็ส่องแสงออกมาเป็นเจ็ดสี ชุดของเธอนั้นก็เปิดเผยเนื้อหนังมาก ด้านบนหัวของเธอก็มีวงแหวนเจ็ดสี แล้วก็ยังมีวงแหวนใหญ่ๆอยู่รอบคอด้วย ที่ข้อเท้าก็เช่นกัน พวกเครื่องประดับทั้งหลายของเธอนั้นดูหลุดจากความเป็นจริง เธอใช้ด้ายหรือเส้นลวดแขวนพวกนั้นงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่ามันกำลังลอยอยู่กลางอากาศเลย
เสียงของทัตสึโกะสูงขึ้น ไหล่ของเด็กสาวที่ชุดโดดเด่นนั้นดูสั่นไหวเมื่อมองมาที่ทัตสึโกะ ใบหน้าของเธอนั้นสวยมาก สวยไม่แพ้กับชุดของเธอเลย มันดูเป็นอะไรที่เหนือจริง และไม่นานใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความสับสน
“……ทาจัง?”
ทัตสึโกะตกใจและรีบปล่อยชายเสื้อของเด็กสาว เธอสะดุ้งเพราะตัวเองไปจับมันเข้า ทั้งๆที่ตัวเองควรจะจับชายเสื้อของคาโอริ คนที่เธอนั้นแอบอยู่ด้านหลังอยู่ ทำไมกันล่ะ? เธอไม่รู้เลย มันเกิดอะไรขึ้นนะ? ทำไมเธอถึงไปจับชายเสื้อของเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้ด้วย?
“นั่น…ทาจังใช่ไหม?”
เด็กสาวนั้นรู้สึกสับสนงงงวย ทัตสึโกะเองก็สับสนกับคำถามของเธอที่ว่า นั่น…ทาจังใช่ไหม? ทำไมคนแปลกหน้าที่ทัตสึโกะไม่เคยรู้จักมาก่อนถึงรู้ชื่อเล่นของเธอได้ล่ะ? แล้วคาโอริอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย? ทัตสึโกะจึงมองดูไปรอบๆ
มีโจรสลัดกับนักมายากลกำลังชี้หน้ากันและกันอยู่ ทั้งคู่นั้นดูสวยไม่น้อยไปกว่าที่นั่งอยู่ข้างทัตสึโกะเลย ส่วนนักเต้นบัลเล่ย์ที่มีริบบิ้นประดับอยู่จำนวนมากนั้นกำลังหน้าซีด และด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงมีเจ้าสาวในชุดแต่งงาน และนักเต้นชาวอาหรับที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ (!) ที่กำลังมองลงมาจากเพดานอยู่ด้วย
ทันใดนั้น ทัตสึโกะก็มองไปมือและแขนของตัวเอง นิ้วของเธอเรียวยาว นี่มันไม่ใช่มือของเธอ ชุดที่เธอสวมอยู่ก้ไม่ใช่ชุดนักเรียนเช่นกัน เธอมองไปที่ภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ตรงกระจกหน้าต่าง และจ้องไปที่เด็กสาวไปรษณีย์น่ารักๆ ที่ดูเหมือนกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์ยุคก่อน เธอเองก็เป็นเด็กสาวที่ดูน่ารัก ใบหน้าของเธอนั้นดูไร้ที่ติเหมือนกับคนอื่น เมื่อทัตสึโกะแตะที่ใบหน้าตัวเองเบาๆ เด็กสาวไปรษณีย์ที่กระจกนั้นก็แตะหน้าของตัวเองเช่นกัน
“พวกเธอเข้าใจรึเปล่า? ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถตามชื่อแล้ว! อีกไม่นานแม่มดผู้ชั่วร้ายจะมายังเมืองแห่งนี้ และพวกเธอก็เป็น พวกเดียว ที่มีพลังจะหยุดยั้งพวกมันได้น่ะ!”
แม้พวกเธอจะได้ยินที่แฟร์รี่นั้นพูด แต่ไม่มีสิ่งไหนที่เข้าไปในหัวของพวกเธอเลย
☆ กัปตันเกรซ
มีนักเรียนและอาจารย์อีกหลายคนที่ตัดสินว่า อุมิ ชิฮาบาระ นั้นเป็นตัวสร้างปัญหา
แต่นั่นก็ไม่ใช่การอธิบายตัวตนของเธออย่างถูกต้อง อุมิ ชิฮาบาระอาจจะใช้ความรุนแรง และไม่สนเรื่องทำตามกฎอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นผลที่เนื่องจากตัวตนตามธรรมชาติของเธอ แก่นของอุมิ ชิฮาบาระนั้นคือนักผจญภัย และเธอก็แค่ทำตามความปรารถนาที่ออกมาจากภายในตัวเท่านั้น
ชั้นอยากตื่นเต้นกว่านี้อีก! อยากรู้สึกหัวใจเต้นรัวยิ่งกว่านี้! อยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน! อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน! ในโลกยังมีอะไรที่สุดยอดแม้แต่อุมิก็ยังไม่รู้อยู่อีกแน่!
เธอนั้นอยากเป็นตัวละครในเรื่องราว เธออยากค้นหาสมบัติแล้วก็ปราบคนชั่ว เธออยากโลดแล่นในการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่
ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ที่บ้านเกิดของอุมินั้นถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา ในตอนเด็ก เธอนั้นวิ่งเล่นไปทั่วทั้งภูเขาและที่ราบ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นสามครั้งในตอนอนุบาล จากนั้นเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนอีก ในตอนนั้นเองเธอจึงเรียนรู้เทคนิคในการหนีออกไปข้างนอก เช่นดึงเสื่อทาทามิแล้วก็เอาแผ่นปูพื้นออก ไม่ก็เปิดฝ้าเพดานแล้วก็ปีนต้นไม้ในสวนจากหน้าต่างชั้นสองลงมาและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แม้หลังจากนั้นเธอจะถูกพ่อแม่ดุด่าแต่จิตวิญญาณเหล่านั้นก็ไม่เลือนลางหายไป ความเฉลียวฉลาดในการหลบหนี ทักษะเอาตัวรอดที่เธอได้มาจากภูเขา และความสามารถทางกายภาพที่เข้ากับสัตว์ที่นั่น แม้แต่ในตอนนี้เธอยังคงเก็บมันเอาไว้ข้างๆตัว
ใช่แล้ว ในตอนนี้เธอยังคงมีมันอยู่ เธอนั้นยังสามารถผจญภัยด้วยกันกับ คาโยะ เนมุระ เพื่อนสมัยเด็กของเธอในฐานะนักเรียนมัธยมต้นได้
ผู้คนรอบตัวเธอนั้นดูสับสน แต่อุมินั้นต่างออกไป เธอใฝ่ฝันถึงการผจญภัยมาตลอด เธอมีความแข็งแกร่ง ประสบการณ์ และความหลงไหลที่สะสมมาจนถึงทุกวันนี้ และในตอนนี้คือสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอด เทียบกับคนที่ไม่เคยพบเจอสถานการณ์อะไรแปลกๆแล้วนั้น คนที่เตรียมตัวมาตลอดอย่างเธอจะคิดต่างออกไป อีกอย่าง วันนี้เธอมีลางสังหรณ์ เธอรู้สึกมั่นใจว่าการประชุมคณะกรรมการนั้นจะไม่จบลงแบบง่ายๆ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” “นี่มันเรื่องบ้าอะไรน่ะ?” “ฟะ-แฟร์รี่งั้นเหรอ?” “แกล้งกันใช่ไหม? ซ่อนกล้องไว้ตรงไหนเนี่ย?”
หลังจากที่มองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว อุมิพยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอขยับมือเบาๆแล้วก็กำหมัด หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก และกระโดดเบาๆ ตั้งแต่ที่เธอแปลงร่างแล้วนั้น ร่างกายของเธอก็เปลี่ยนไป มันแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลัง แม้แต่ในตอนนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถจัดการวาฬด้วยหมัดแค่หมัดเดียวได้
ถึงเธอจะรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่จิตใจของเธอนั้นกลับสงบ แม้ว่ามันจะร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆก็ตามที
เธอมองเห็นตัวเองที่กระจกหน้าต่างก็พบว่ามีดาบอยู่ที่เอวด้วย เธอใช้นิ้วโป้งดึงตัวดาบขึ้นมาจากฝักมากเท่าที่ทำได้ มันเป็นดาบโค้งที่มีคมด้านเดียว เหมือนกับที่พวกโจรสลัดใช้กัน นิ้วโป้งของเธอแค่สัมผัสมันเบาๆก็ทำให้เลือดออกแล้ว มันคมมาก มันคือของจริง
แฟร์รี่นั่นพูดอะไรบางอย่างว่ากลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว ตัวเธอตอนนี้แต่งชุดที่ประดับตกแต่งเหมือน กัปตันฮุค จาก ปีเตอร์แพน แต่เป็นเวอร์ชั่นเด็กผู้หญิง เมื่อมองดูเด็กสาวคนอื่นแล้ว คำว่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นก็ดูเข้าท่าดี
“อาววล่ะ!”
อุมิ ชูกำปั้นขึ้นมา ทุกคนนั้นดูเหมือนจะตื่นตระหนกและสับสนตอนที่มองมาที่เธอ แต่เธอนั้นก็ไม่ใส่ใจ
“เธอบอกว่าพวกเราคือ เมจิคัลเกิร์ล ใช่ไหม?”
“อื้อ เพราะทุกคนน่ะมีศักยภาพด้านเวทมนตร์ เพราะแบบนั้นจึงมีเพียงพวกเธอที่จะชนะแม่มดผู้ชั่วร้ายได้ไงล่ะ!”
“หืมมม”
แฟร์รี่นั้นบอกว่าถูกแม่มดผู้ชั่วร้ายจากดินแดนเวทมนตร์ไล่ล่ามาตลอดทางจนถึงที่นี่ หากปล่อยพวกมันไว้แบบนี้ก็จะหมายถึงปัญหาของโลกมนุษย์ด้วย ซึ่งหมายความว่าพวกเธอต้องจัดการมัน นี่คือสิ่งที่แฟร์รี่นั้นอธิบายให้พวกเธอฟัง แต่อุมินั้นก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมัน
“แล้วพวกเราก็แค่ต้องสู้กับแม่มดผู้ชั่วร้ายนั่นให้ชนะใช่ไหม?”
อุมิพูดขึ้นมาเพื่อยืนยันสิ่งที่พวกเธอต้องทำ แต่เหมือนแฟร์รี่นั้นจะตีความว่าเธอถามถึงเรื่องเรื่องรางวัลจากการต่อสู้
“หากพวกเธอสู้กับแม่มดผู้ชั่วร้ายแล้วได้รับชัยชนะล่ะก็ เธอจะได้รับพลังที่สามารถแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ตามต้องการไปเลย นั่นคือรางวัลจากเราไงล่ะ!”
เมื่อพูดถึงรางวัลแล้ว แฟร์รี่นั้นเหมือนว่าจะทำให้พวกเธอกลายเป็น เมจิคัลเกิร์ล เป็นการตอบแทน
“เธอรู้ไหม เมจิคัลเกิร์ลน่ะ ทั้งกำลังแล้วก็ความเร็วนั้นเหนือกว่ามนุษย์มากนะ แถมแต่ละคนก็ยังมีพลังเวทที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอีกด้วย!”
ในอากาศนั้นเกิดแสงกระพริบขึ้น และมีสสารไม่ทราบชนิดกระจายตัวออกไปทั่ว อุมินั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในมือของตัวเอง เธอจึงมองลงไปแล้วก็เห็นว่าตัวเองถืออุปกรณ์ที่มีรูปร่างเป็นหัวใจอยู่ มีอะไรบางอย่างแสดงผลอยู่บนหน้าจอด้วย
“นี่คือ เมจิคัลโฟน มีเพียงแค่เมจิคัลเกิร์ลที่ใช้มันได้นะ! ชื่อกับข้อมูลส่วนตัวเขียนอยู่ในนั้นแล้วล่ะ”
“เตรียมพร้อมมาดีนะเนี่ย”
ข้อมูลส่วนตัว ของเธอแสดงอยู่บนเมจิคัลโฟนที่แฟร์รี่นั้นให้มา ที่หน้าจอนั้นเป็นรูปโจรสลัดตัวเล็กๆน่ารัก และด้านข้างเองก็มีข้อความเขียนอยู่
กัปตันเกรซ นี่คงเป็นชื่อของเธอใช่ไหมนะ?
สามารถเรียกเรือโจรสลัดสุดเท่ที่สามารถแล่นได้อย่างรวดเร็วบนผิวน้ำออกมาได้ คงจะเป็นพลังเวทของเธอ
“นี่ๆ คาโยะ พลังของเธอคืออะไรเหรอ?”
เธอมองไปที่เมจิคัลโฟนของนักมายากลที่อยู่ด้านข้าง เธอชื่อว่า ฟันนี่ทริค ส่วนพลังเวทของเธอคือ สามารถสับเปลี่ยนสิ่งที่ซ่อนอยู่กับอีกสิ่งหนึ่งได้
“เดี๋ยวนะ…นั่น…อุมิจัง?”
“ดูแล้วไม่รู้เหรอ?”
“ไม่ ไม่เห็นจะรู้ซักนิด! ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! แล้วเธอบอกฉันได้ไหมล่ะ อุมิ!?”
“นิดหน่อย”
“ ‘นิดหน่อย’ มันใช่คำตอบซะที่ไหนล่ะยะ! นี่เธอยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!?”
“ชั้นบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าตอนเช้าชั้นน่ะมีลางสังหรณ์ จะว่าไป ตาข่ายที่ต้นขาเธอนี่เซ็กซี่สุดๆเลย”
“ตอนนี้มันไม่สำคัญซักหน่อย!”
แฟร์รี่นั้นตัดบทสนทนาของอุมิกับคาโยะ มันบินขึ้นไปบนอากาศและใช้เข่าร่อนลงมาบนโต๊ะ
“ขอร้องล่ะ! ช่วยเราด้วย! ไม่สิ ไม่ใช่แค่เรา! แต่เป็นช่วยโลกใบนี้! ”
เสียงของแฟร์รี่นั้นสูงขึ้น ที่ดูวิตกแบบนี้เป็นเพราะถูกไล่ล่ามางั้นเหรอ?
“เอาล่ะ มาทำกันเถอะ!”
การผจญภัยที่อุมิเฝ้ารอมาเนิ่นนานได้มาถึงแล้ว มันไม่มีทางที่เธอจะปฎิเสธได้หรอก แฟร์รี่เมื่อได้ยันดังนั้นก็ยิ้มกว้าง
“จริงเหรอ? ขอบคุณนะ!”
“อุมิ!”
“หุบปากไปเลย คาโยะ!”
“อย่ามาบอกให้หุบปากนะยะ!”
พูดกับคาโยะไปก็เท่านั้น จากนั้นอุมินั้นยิ้มให้กับแฟร์รี่
“ไงๆก็ ชั้นกับคาโยะจะช่วยเธอเอง!”
“แล้วทำไมฉันต้องร่วมมือด้วยเนี่ย?”
ในตอนที่คาโยะกำลังจะตะโกน เมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งก็พูดออกมา
“ดะ-เดี๋ยวก่อนสิ ชิฮาบาระ..นั่นเธอใช่ไหม?”
“อื้อ อุมิเองแหละ เดี๋ยวสิ นั่น มอนเ- คุณฮิเมโนะเหรอ?”
นักเต้นบัลเล่ย์ที่ถูกประดับประดาไปด้วยริ้บบิ้นมากมาย กำลังโบกมืออย่างไม่พอใจ เธอนั้นดูเด็กเหมือนกับตอนก่อนแปลงร่างเลย คาโยะก้มหัวลงแล้วก็พูดว่า “เอาเลย คุณฮิเมโนะ ช่วยสั่งสอนเธอหน่อย”
“อย่าพูดกับอาจารย์แบบนี้สิ! ฉันไม่เข้าใจอะไรซักอย่างเลย แต่ก็รู้ว่าการปล่อยให้แม่มดผู้ชั่วร้ายนั้นหลุดลอยไปมันคือปัญหา แบบนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะให้นักเรียนมัธยมต้นจัดการนะ”
“แม้กระทั่งคุณฮิเมโนะก็ยอมรับเรื่องนี้เหรอเนี่ย…” คาโยะพึมพำพร้อมกับกุมหัวของเธอ เธอรู้สึกเศร้าเพราะอะไรกันนะ?
แฟร์รี่นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วก็ค้านคำพูดของเด็กสาวริ้บบิ้น
“เราไม่มีเวลามากนักหรอก พวกแม่มดผู้ชั่วร้ายมันใกล้มาถึงที่นี่แล้ว อีกอย่าง เราไปหาตำรวจไม่ได้หรอก มีเพียงเมจิคัลเกิร์ลเท่านั้นที่สามารถจัดการแม่มดผู้ชั่วร้ายได้น่ะ”
“ฉันปล่อยให้นักเรียนไปเจอเรื่องอันตรายไม่ได้หรอก!”
“เรากำลังบอกว่าถ้าไม่หยุดพวกมันไว้ตอนนี้ มันก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้นนะ!”
“เอาน่า มาทำกันเถอะ! มันต้องสนุกแน่ๆเลย!”
“ชิฮาบาระ!”
“ส่วนตัวนะ ถ้ามีคนที่ไม่ช่วยแฟร์รี่ที่น่ารักแบบนี้ ชั้นรู้สึกว่าคงมีปัญหาในฐานะมนุษย์แล้วล่ะ เธอกำลังขอความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่ ชั้นปฎิเสธมันไปไม่ได้หรอก”
อุมิจับชายเสื้อของเด็กสาวชุดแต่งงาน และจ้องไปที่หน้าของเด็กสาวชุดสายรุ้ง
“ถ้าพวกเราปฎิเสธไปตอนนี้ พวกเราก็จะแพ้ ไม่รู้ว่าจะมีใครทำรึเปล่า แต่ชั้นกับคาโยะก็จะทำ เอาน่า ทุกคน ทำไมถึงไม่ลองดูล่ะ? มาทำกันเถอะนะ! มันต้องสนุกแน่ๆเลย!”
“ดิฉันเอาด้วย”
เด็กสาวชุดแต่งงานลุกขึ้น เธอมีช่อดอกไม้อยู่รอบตัวแล้วก็มีเทียนติดไฟอยู่บนหัวด้วย
“ตอนแรกก็ตกใจอยู่หรอก แต่แฟร์รี่นั่นไม่ว่ามองยังไงเธอก็เป็นสิ่งมีชีวิตใช่ไหมล่ะ? แถมเรื่องพลังที่พูดเองก็ไม่ใช่เรื่องโกหกอีกต่างหาก”
เด็กสาวชุดแต่งงานนั้นหยิบเหรียญสิบเยนออกมาจากจานเหล็กที่วางอยู่ตรงชั้นด้านหน้า บางทีอาจจะเพื่อทดลองบางอย่าง เธอใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางงอเหรียญให้ทุกคนเห็น
“ดิฉันหน่ายเต็มทนแล้วที่ต้องเรียนเพื่อไปสอบเข้า ด้วยพลังนี้ มันอาจจะเปิดหนทางใหม่ให้กับพวกเราก็ได้ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? ดิฉันตัดสินใจแล้วว่ามันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่า”
“เราก็ด้วย!”
เด็กสาวที่มีวงแหวนสายรุ้งอยู่ที่หลังชูมือขวาขึ้นมา
“เราก็จะเข้าร่วมด้วย! เราต้องการอะไรแบบนี้มาตลอดเลย! ทาจังจะทำด้วยใช่ไหม?”
เด็กสาวไปรษณีย์ที่อยู่ข้างตัวเธอนั้นมองไปรอบตัวอย่างกังวล และในที่สุดก็พยักหน้า
“เมย์จะทำด้วย”
อุมิมองขึ้นไปดูเสียงที่ดังมาจากบนเพดาน ที่นั่นมีเด็กสาวนั่งไขว่ห้างลอยอยู่กลางอากาศ เธอนั้นแต่งตัวเหมือนนักเต้นสาวในเรื่อง อาหรับราตรี
“เมย์อยากเป็นเมจิคัลเกิร์ล”
“ดีจัง!” แฟร์รี่พูดขึ้นมา “เราอยากได้คำตอบแบบนี้แหละ! ไปจัดการพวกแม่มดกันเถอะ!”
“ก็อย่างที่ฉันพูด! นี่พวกเธอยอมรับสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!?”
คาโยะตะโกนออกมา
“ทำไมทุกคนถึงยอมรับเร็วแบบนี้ล่ะ!? ใช้เวลาคิดว่ามันอันตรายขนาดไหนกันหน่อยสิ!”
เด็กสาวที่มีริบบิ้นอยู่รอบตัวนั้นทุบลงไปที่โต๊ะ และผมม้วนๆของเธอนั้นก็เด้งเหมือนกับสปริง แฟร์รี่ที่อยู่บนโต๊ะนั้นปลิวออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกเด็กสาวสายรุ้งจับเอาไว้ได้ โชคร้ายหน่อยที่ขาข้างหนึ่งของโต๊ะมันหักกลาง จึงทำให้โต๊ะนั้นเอียง
“ถ้าเธอยืนยันถึงขนาดนั้น…” แฟร์รี่นั้นหันหน้าไปที่เด็กสาวริบบิ้น ในขณะที่ตัวเองยังอยู่ในมือของเด็กสาวสายรุ้ง
“เราก็จะลบความทรงจำ และทำให้เธอลืมทุกอย่างของเมจิคัลเกิร์ลไป เราปล่อยให้เธอบอกเรื่องนี้กับคนอื่นไม่ได้หรอกนะ เราต้องเก็บเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ทุกอย่างไว้เป็นความลับ”
“แบบนั้นมัน…”
“เธอเป็นอาจารย์ของโรงเรียนนี้ใช่ไหม? เราเข้าใจว่าอาจารย์นั้นต้องปกป้องนักเรียนของตัวเองนะ เราไม่ได้รู้เรื่องของโลกมนุษย์มาก แต่นั่นคือสิ่งที่คนเป็นอาจารย์ควรจะทำไม่ใช่รึไง?”
จู่ๆอุมิก็เห็นท่าทางของแฟร์รี่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เธอสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องมาก็ได้
“แบบนั้นทางที่ดีที่สุดคือต่อสู้กับพวกมัน ไม่ว่าเธอจะเลือกลบความทรงจำแล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ หรือต่อสู้กับแม่มดผู้ชั่วร้ายไปพร้อมกับเหล่านักเรียนก็ตาม พวกแม่มดนั่นใกล้มาถึงที่นี่แล้ว มันไม่ใช่แค่เราหรอกนะที่ตกอยู่ในอันตราย แต่มันคือโลกทั้งใบ ดังนั้นขอร้องล่ะ ช่วยเราด้วย”
☆ เท็ปเซเคเมย์
ความทรงจำและประสบการณ์ของเมย์นั้นมีอยู่อย่างจำกัดมาก หากเธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มันก็จะถูกเขียนทับไปอย่างรวดเร็ว จนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แม้กระทั่งความทรงจำที่ตัวเองมีอยู่ก็ยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ หากมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตของเธอ เธอจะลืมเลือนมันไปทันที ถ้าหากมันคือสิ่งที่ไม่จำเป็น เธอก็ไม่ต้องการมันแต่อย่างใด
เมื่อเมย์รู้สึกเหม่อ นั่นคือเธอรู้สึกเหม่อจริงๆ บางคนที่มองเธอนั้นอาจจะคิดว่าเธอกำลังคิดอะไรอย่างเคร่งเครียดอยู่ แต่จริงๆแล้วเมย์นั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรเลย เพราะเธอเองก็รู้ว่าการทำอะไรแบบนั้นมันเสียเปล่า
เธอนั้นไม่ได้คิด ไม่ได้ไตร่ตรองเรื่องใดๆ นั่นคือตัวตนตามธรรมชาติของเมย์ การกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันเป็นการมอบความอิสระให้เธออย่างมาก ทุกอย่างในโลกของเธอส่องสว่างสดใส เธอเข้าใจเจตนาของผู้คน และผู้คนนั้นก็เข้าใจเธอในเวลาเดียวกัน แขนและขาของเธอขยับได้อย่างอิสระ เธอกระโดดได้ กระเด้งได้ หมุนแขนไปรอบๆ และงอขาได้ เธอสามารถทำอะไรก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถบินได้ หากเธออยากไปที่นั่น หากเธออยากไปที่โน้น เธอก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจอยาก ไม่มีใครมาหยุดเมย์จากเรื่องนี้ได้
ในตอนที่ทุกคนกำลังคุยเรื่องที่เธอไม่เข้าใจอยู่นั้น เมย์ก็พยายามทดสอบพลังของเธอ เธอนั้นเคลื่อนไหวได้เร็วมาก เธอแข็งแกร่ง แถมยังบินได้อีกด้วย เมย์วางมือของเธอบนหน้าท้องของตัวเอง ปกติแล้วไม่ว่าเธอจะกินอาหารไปมากเท่าไหร่ เธอก็ยังคงรู้สึกหิวอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เธอไม่รู้สึกหิวอีกแล้ว ทั้งถ่ายเบา ถ่ายหนัก หรือความต้องการทางเพศก็หายไปหมดเช่นกัน
งั้นเหรอเนี่ย
เธอได้รับหลายๆสิ่งมามาก และก็สูญเสียหลายๆสิ่งไปมากเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอไม่ได้รับร่างกายนี้มาฟรีแต่อย่างใด แต่มันคือการแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งที่หายไป หลังจากที่ได้สิ่งตอบแทนนี้มา เธอก็รู้สึกแปลกใจว่าตัวเองสามารถเพิ่มและลบสิ่งต่างๆได้ด้วย
โดยทั่วไปแล้วมันมีหลายสิ่งที่ดูน่าสนุก แม้กระทั่งในห้องนี้ก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ดูน่าสนุกเช่นกัน อย่างเช่น หากเธอเล่นกับสิ่งนี้ หากเธอสัมผัสสิ่งนั้น หรือหากเธอเคี้ยวเจ้านี่ ทำลายไอ้นั่น กลิ้งสิ่งของต่างๆ และในขณะที่เธอทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ การพูดคุยรอบตัวเธอก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมย์บอกว่าเธอนั้นอยากเป็นเมจิคัลเกิร์ล คนอื่นเองก็ดูเหมือนว่าอยากเป็นเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน เมจิคัลเกิร์ลนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษ เมย์นั้นไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความภาคภูมิใจที่ได้มานี้ดี เธอจึงตัดสินใจว่าจะทำตามคนอื่น ตามที่มนุษย์ตัวเล็กๆที่มีปีกบอกมาว่าพวกเธอนั้นต้องจัดการ “แม่มดผู้ชั่วร้าย” มิฉะนั้นพวกเธอจะรักษาพลังของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ เมย์คิดว่าแบบนั้นมันคงน่าเบื่อมากแน่ๆ ก่อนที่เธอจะกลายมาเป็นเมจิคัลเกิร์ล โลกของเธอนั้นมันสงบสุขแล้วก็เรียบง่าย แต่ตอนนี้เมื่อเธอรู้จักโลกใบใหม่ เธอก็ไม่อยากหันกลับไปหามันอีกแล้ว
เมื่อเมย์ออกไปด้านนอก เธอก็เรียนรู้มากขึ้นอีก เมจิคัลเกิร์ลนั้นมีทักษะที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ เมย์นั้นกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม เธอสามารถบินไปที่ไหนก็ได้ และเหมือนว่าจะมีอีกหลายสิ่งที่เธอทำได้นอกจากการบินในอากาศอีกด้วย
ในตอนที่เธอฟังมนุษย์มีปีกอธิบายให้กับทุกคนฟังอยู่นั้น เธอก็รู้สึกเหม่อ ตอนนั้นเองเมย์ก็รู้ตัวว่ามนุษย์สายรุ้งกำลังมองเธออยู่ จากนั้นมนุษย์สายรุ้งก็พูดกับเธอ
“เธอเบื่อเหรอ?”
“ทำไมล่ะ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นเธอดูเหมือนเบื่อๆน่ะ”
แน่นอนว่าเมย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอไม่เคยมีประสบการณ์สนุกๆและน่าสนใจมาก่อนเลยในชีวิต แต่มนุษย์สายรุ้งนั้นบอกว่าเธอดูเบื่อ
นอกจากเมย์แล้ว เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นนั้นก็ไม่ได้ใช้แค่เสียงของตัวเองในการสื่อสาร แต่ใช้สีหน้าท่าทางร่วมด้วย พวกเธอไม่ได้พยายามเอาหัวมาชนกัน หรือจ้องดูรูทวารของคนอื่น เมย์ไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองมาก่อน บางทีมันอาจเป็นเหตุผลที่คนอื่นคิดว่าเธอเบื่อก็ได้
นั่นคือสิ่งที่เมย์คิด แล้วเมย์ก็เริ่มเปลี่ยนท่าทางของตัวเองให้มนุษย์สายรุ้งดู แต่เธอคิดว่าแค่เปลี่ยนสีหน้าอย่างเดียวคงจะไม่พอ เธอจึงพยายามส่งเสียงออกมาด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เมย์พูดขึ้นด้วยเสียงดัง
แบบนี้คงแสดงให้เห็นว่าเธอสนุกมากได้แน่ๆ แต่มนุษย์สายรุ้งนั้นก็เหมือนว่าจะก้มหัวลงด้วยความกังวลแล้วก็พูดว่า “ขอโทษที่ถามนะ” แล้วก็หันหลังให้กับเมย์ เหมือนว่าเมย์นั้นไม่ได้รู้สึกสนุกอะไร เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นก็หันมามองที่เมย์ด้วย เหมือนว่าเมย์นั้นทำพลาดไปแล้ว และก็ไม่ได้การตอบสนองแบบที่เธอต้องการด้วย
ถ้ามันมีโอกาสอีกครั้ง เมย์ก็อยากทำมันอีกรอบ และทำให้ดีกว่าเดิมด้วย
การกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นเป็นอะไรที่ลำบาก แต่ในเวลาเดียวกันมันก็น่าสนใจมากด้วย
☆ กัปตันเกรซ
อาจารย์นั้นก็เหมือนกับพ่อแม่ เป็นอุปสรรคกีดขวางที่น่ารำคาญ พวกนั้นพยายามให้เธอหลีกเลี่ยงการผจญภัยอยู่ตลอด
นี่มันคือเรื่องเหนือจริง มันคือเรื่องแฟนตาซี มันเกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว! อุมินั้นสับสนว่าทำไมคุณฮิเมโนะถึงพูดอะไรที่ไม่มีจิตวิญญาณในการผจญภัยเอาซะเลยออกมากันนะ ทั้งๆที่แฟร์รี่นั้นบินอยู่ในอากาศ มันมอบพลังเวทให้แก่เธอ มันไม่ใช่สิ่งที่จะเจอในช่วงชีวิตของมนุษย์ธรรมดา แถมหลายๆคนเองก็ไม่มีโอกาสเจออะไรแบบนี้ใช่ไหมนะ? แม้ว่าอุมินั้นจะเป็นนักเรียน ส่วนคุณฮิเมโนะจะเป็นอาจารย์ แต่สิ่งที่คุณฮิเมโนะพูดออกมานั้นเธอยอมรับมันไม่ได้
การผจญภัยมันรออยู่ตรงนี้แล้ว! บอกชั้นให้ไม่ไปไม่ได้หรอกนะ!
โชคดีที่แฟร์รี่ โทโกะ นั้นมีดีกว่าที่ตาเห็น มันเสนอทางเลือกให้อาจารย์ว่า จะเลือกลบความทรงจำแล้วกลับไปเป็นคนธรรมดา หรือว่าจะสู้ไปด้วยกันกับนักเรียนในฐานะเมจิคัลเกิร์ล แฟร์รี่นั่นเกลี้ยกล่อมอาจารย์โดยใช้ตัวเลือก และในตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรมาขวางการผจญภัยของอุมิได้อีกแล้ว
แม้คุณฮิเมโนะจะไม่พอใจแต่เธอก็ทำตาม และทุกคนนั้นทำตามคำแนะนำของโทโกะ เตรียมตัวตอบโต้โดยการมุ่งหน้าไปที่ที่จะสกัดกั้นศัตรูได้
โทโกะนั้นเลือกสี่แยกที่ไกลจากตัวโรงเรียนไปราวหนึ่งร้อยเมตร ที่นั่นเป็นเส้นทางมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขา มันไม่มีร้านค้าหรือสถานที่สำคัญอื่นๆนอกจากโรงเรียน นอกเหนือจากบ้านที่มีอยู่เพียงไม่กี่หลังแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่เองก็เป็นที่จอดรถ แม้ว่าจะมีถนนกว้างๆอยู่ แต่มันก็อยู่ในสภาพที่ไม่ดี ยางมะตอยที่ราดอยู่นั้นมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดเล็กและใหญ่ไปทั่ว ถึงจะเป็นช่วงเวลาในตอนบ่ายก็ยังมีคนและรถที่ผ่านไปผ่านมาน้อย แต่จำนวนนั้นก็ไม่ใช่ศูนย์
“ตรงนี้แหละที่เราจะสู้กับพวกแม่มดผู้ชั่วร้าย!”
“แต่ถ้าเราสู้กันตรงนี้คนอื่นก็จะเห็นเอาได้นี่?” อุมิถาม “ไม่ใช่ว่าเรื่องเวทมนตร์ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับหรอกเหรอ?”
“ก็ต้องเก็บมันไว้เป็นความลับนั่นแหละ แต่นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะแบบนั้นถึงไม่เป็นไรน่ะ! หากเรื่องมันเลวร้ายล่ะก็ เราก็จะลบความทรงจำของผู้ที่พบเห็นเอง ถ้าพวกเราถอนตัวก่อนที่ตำรวจกับนักดับเพลิงจะมา แค่นั้นก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ตามที่โทโกะบอกมา แม่มดผู้ชั่วร้ายนั้นอาจจะตรวจจับการมีอยู่ของเมจิคัลเกิร์ลอยู่ได้ เพราะแบบนั้นอุมิกับคนอื่นจึงคลายการแปลงร่างกลับไปสู่ร่างมนุษย์อีกครั้งและทำการซ่อนตัว ตั้งแต่ที่พวกเธอรู้ว่าการกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันทำให้รู้สึกยอดเยี่ยมขนาดไหน เพราะแบบนี้การกลับมาเป็นมนุษย์แล้วรอเวลาต่อสู้นั้นจึงทำให้อุมิรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมองดูไปรอบๆเธอก็เห็นฟันนี่ทริค…หรือคาโยะ เนมุระ มองดูสัญญานไฟจราจรอย่างกังวลเช่นกัน แม้จะมาถึงที่นี่แล้วเธอก็ไม่ได้ใจเย็นลงเลย เธอมองไปที่ถังขยะข้างๆตู้ขายของอัติโนมัติทุกครั้งที่ได้ยินเสียง และทุกครั้งเมื่อมีรถขับผ่าน เธอก็มีท่าทีที่ดูเคร่งเครียดมาก
อุมิจับหัวของคาโยะแล้วกดลงมา
“นี่ พวกเรากำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นะ ถ้าเธอโผล่หัวขึ้นมาล่ะก็แบบนั้นมันจะมีความหมายอะไรกันล่ะ?”
“ข-ขอโทษ!”
“ชั้นรู้ว่าเธอกังวลนะ แต่ในตอนนี้พวกเราต้องเชื่อโทโกะ ”
อุมิมองไปที่สมาร์ทโฟนของเธอ มันยังไม่มีสัญญาน
โทโกะนั้นนั่งอยู่ด้านบนของสัญญานไฟจราจร แม้ตอนนี้เธอจะหายไปแล้ว แต่มันก็คือการพรางตัว ตัวเธอยังคงอยู่ที่นั่น เธอนั้นเอาเมจิคัลโฟนไว้ข้างตัว หากศัตรูมาล่ะก็ โทโกะจะสั่งการทุกคน นั่นคือแผนที่วางไว้
อุมิกับคาโยะนั้นซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไลแลคด้านล่างสัญญานไฟจราจร คุณฮิเมโนะกับหัวหน้าห้องใช้รถในลานจอดรถเป็นที่กำบัง ส่วนปีหนึ่งสองคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในงานกำแพงคอนกรีตของบ้านที่ประกาศขายใกล้ๆ นักเต้นอาหรับเหมือนว่าจะซ่อนตัวอยู่ด้านในคูระบายน้ำ อุมิรู้สึกประทับใจที่เธอซ่อนตัวในที่แบบนั้นได้ด้วย
เธอสาบานได้ว่าก่อนหน้านี้ยังคงมองเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าอยู่ แต่ในตอนนี้มันถูกปกคลุมไปเมฆหนาสีดำทมิฬ ตอนนี้คือเดือนพฤศจิกายน พวกเธอนั้นอยู่ในร่างมนุษย์ เธอรู้สึกหนาว การอยู่นิ่งๆแบบนี้มันรู้สึกราวกับว่าถูกแช่แข็ง เธอดึงปกคอเสื้อแจ๊กเก็ตแล้วเอาแขนกอดตัวเอง การหายใจเอาอากาศหนาวเข้าไปแบบนี้ทำให้จมูกของเธอเริ่มเจ็บ อุมินั้นทำหน้าบึ้งตึงเพราะถูกอะไรที่น่าเบื่ออย่างอากาศหนาวมารบกวน หากเธอกังวลกับเรื่องเล็กเช่นนี้ มันก็แสดงว่าเธอนั้นไม่มีสมาธิมากพอ
นี่คือการต่อสู้จริงครั้งแรกในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลของเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงกังวลงั้นเหรอ? เธอเอื้อมมือไปจับดาบที่แขวนอยู่ที่สะโพก แต่มันก็จับอะไรไม่ได้เลย เธอจึงนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล ด้วยเหตุผลนั้นอุมิจึงหน้าบึ้งอีกครั้ง
“มีอะไรรึเปล่า?”
“เปล่า ไม่ต้องห่วงเรื่องชั้นหรอก ตอนนี้กังวลเรื่องของตัวเองก่อนเถอะ”
แม้อุมิจะอยู่กับเธอ คาโยะก็เป็นกังวลอยู่ตลอด ปกติแล้วอุมิจะพูดว่า “มันต้องตื่นเต้นแน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ!” แล้วก็ปิดท้ายด้วยการหัวเราะออกมา แต่ตัวอุมิเองก็เป็นกังวลอยู่เช่นกัน
ใช่แล้ว ในที่สุกเธอก็เข้าใจ เธอไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้มานานจนแทบลืมเลือนมันไปแล้ว มันไม่ใช่ความกลัว แต่มันคือลางสังหรณ์ มันมีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา มีบางอย่างที่กำลังคุกคามชีวิตของเธอ แม้จะมีพลังของกัปตันเกรซอยู่ก็ตาม เธอรู้สึกเช่นนั้นจนถึงตอนนี้ พวกสัตว์นั้นจะใช้สัมผัสเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย แต่อุมิจะใช้สัมผัสเข้าไปหาความอันตรายแล้วก็เหยียบย่ำมันด้วยเท้าของเธอ ตราบใดที่เธอระวังตัวเรื่องอันตรายอยู่ตลอดก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
ตอนนี้มันคือเวลาแห่งการผจญภัยแล้ว อุมิเริ่มเตรียมตัวเพื่อรับมือกับอันตราย เธอหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย
สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเธอ แม้ว่าเธอจะอธิบายออกไปมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมาเข้าใจได้ เธอนั้นรู้สึกหนาวและตื่นเต้น เรื่องเล็กน้อยนั้นไม่สำคัญ เธอถอนหายใจเอาอากาศในร่างกายออกมาทั้งหมด เมื่อปอดของเธอว่างเปล่า เธอก็ฝืนถอนหายใจออกมาอีกเฮือก แม้ว่าเธอจะก้มต่ำอยู่ในพุ่มไม้ที่มีลมหนาวพัดผ่านมา แต่ร่างกายเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น
ความตื่นเต้นในตัวเธอเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ แม้จะมองไปที่คาโยะที่ดูกังวลอยู่ เธอก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอีกต่อไป
“……มาแล้ว”
เสียงของโทโกะออกมาจากสมาร์ทโฟนที่อุมิถืออยู่ เสียงของเธอนั้นได้ยินอย่างชัดเจนแต่มันก็ฟังดูต่ำลง แม้เธอจะพูดออกมาแค่สองคำ มันก็ทำให้กระดูกสันหลังของอุมิสั่นสะท้านแล้ว
ตอนนี้เธอยังไม่ได้แปลงร่าง อุมินั้นมองไปจากที่พุ่มไม้ไปยังถนนและเห็นว่ามันมีรถตู้สีขาวอยู่ มันไม่มีคนหรือรถคันอื่นอยู่รอบๆ อุมิมองไปที่ป้ายจราจร มันเขียนไว้ว่า จำกัดความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ความเร็วของรถตู้นั้นอยู่ที่ราวๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันต่ำกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ซะอีก ยิ่งไปกว่านั้นมันช้าลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดอยู่บนถนนใกล้ๆกับป้ายจราจรก่อนถึงสัญญานไฟ
ท้องของเธอเริ่มบีบตัว เหงื่อไหลจากคอลงไปยังรักแร้ ลมที่พัดผ่านมาทำให้พุ่มไลแลคสั่นไหว ต้นหญ้าสูงๆเองก็ไหวไปตามลม คาโยะกลืนน้ำลาย สัมผัสของอุมินั้นจับทุกรายละเอียดเอาไว้ เธอมีสมาธิอย่างเต็มที่และเมื่อประมวลผลทุกอย่างแล้ว เธอก็จับจ้องไปที่รถตู้ ริมฝีปากของเธอดูยิ้มและคิดว่า ไม่เลวเลย
ประตูของรถตู้นั้นเปิดออก มีบางคนเดินลงมาจากด้านใน เธอสวมเสื้อโค้ท มีฮู๊ดปกปิดใบหน้าและการแสดงออก ภายใต้อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกนั้นสวมรองเท้ากีฬาชื่อดังโดยไม่ใส่ถุงเท้า
“โทโกะ”
มันเป็นเสียงของหญิงสาวอายุน้อย แต่ฟังแล้วมันแหลมคมดั่งใบมีด แม้โทโกะจะซ่อนตัวอยู่ แต่คนๆนั้นก็เหมือนรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ราวกับว่ามองเห็นอย่างชัดเจน และโทโกะก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“เธอนี่มาไกลกว่าที่คิดซะอีกนะ”
“อยากจะกลับไปดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลังกันล่ะ? เลือกเอา”
งั้นเหรอ เธอเป็นปีศาจจริงๆสินะ
“จริงๆแล้ว เราไม่ชอบทั้งสองตัวเลือกเลยแหละ”
โทโกะปรากฏตัวขึ้นมา และนั่นคือสัญญาน
อุมิแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล กัปตันเกรซ แล้วก็ดึงดาบของตัวเองออกมา ที่ด้านหลังนั้น เธอได้ยินเสียงคาโยะวิ่งอยู่บนพื้นคอนกรีต เด็กปีหนึ่งทั้งสองคน อาจารย์กับหัวหน้าห้องก็ด้วย ทุกคนนั้นแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลและเผยตัวพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง ส่วนเด็กสาวนักเต้นอาหรับนั้นบินวนไปวนมาอยู่บนฟ้า ก่อนที่จะพุ่งตัวลงมาเข้าหารถตู้
☆ ฟันนี่ทริค
เธอคิดว่าทุกคนเพี้ยนกันไปหมดแล้ว เธอนั้นอยู่กับ อุมิ ชิฮาบาระ มานาน เธอไม่ใช่คนเลวก็จริง พฤติกรรมบ้อบอนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร
มิเนะ มุสุบิยะ นั้นมีภาพลักษณ์ของผู้ฉลาดเฉลียวเหมือนกับชื่อ “หัวหน้าห้อง” ของเธอ เด็กปีหนึ่งสองคนที่สวมชุดตามกฎของโรงเรียนนั้นดูเป็นคนจริงจังและขยันขันแข็ง คุณฮิเมโนะนั้นอายุมากกว่าเธอและคนอื่นเกือบสองเท่า ดังนั้นคงมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตแน่นอน แต่ใบหน้ากลับดูเด็กยิ่งกว่าคาโยะซะอีก คาโยะคิดว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครที่มีชีวิตแบบล้ำหน้ากว่าคนอื่นแบบอุมิ
ราวกับว่าเป็นฝันร้าย เธอถูกลากเข้าไปในอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ต่อต้านไม่ได้ กลุ่มคนคอสเพลย์เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีภารกิจโจมตี แม่มดผู้ชั่วร้าย โดยที่ไม่รู้เลยว่าศัตรูนั้นเป็นยังไง มีเพียงแค่ความคิดคร่าวๆของ ปีศาจ อยู่ในหัว และทุกคนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหารถตู้ แบบนี้มันดูไม่ต่างกับการปล้นหรือก่อการร้ายเลย
ผู้หญิงที่สวมโค้ทนั้นตะโกนอะไรบางอย่างไปที่บางคนที่อยู่ในรถตู้ พร้อมกับเตรียมตัวรับการโจมตีของอุมิ คาโยะรู้สึกแปลกใจเล็กๆกับความเร็วในการตอบสนอง เธอไม่ได้แค่รวดเร็วเหมือนเมจิคัลเกิร์ล แต่เหมือนกับว่าเธอสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นที่นี่ ก่อนที่ใครจะขยับตัว อุมินั้นก็แกว่งดาบเข้าไปด้านข้าง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็หลบได้อย่างง่ายดาย
แม้คาโยะจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เธอก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เธอรู้สึกโล่งอกที่ศัตรูนั้นหลบการโจมตีที่อาจถึงตายในทีเดียวของอุมิได้ และตกใจที่ศัตรูนั้นเร็วพอที่จะหลบการโจมตีของเมจิคัลเกิร์ลได้
“ทำไมล่ะ? ทำไม…ถึงมีมากขนาดนี้!”
ผู้หญิงคนนั้นตะโกนออกมา ในเวลาเดียวกันเสื้อโค้ทของเธอก็ขาด และรองเท้าปลิวออกไปด้วย
ภายใต้เสื้อโค้ทของเธอนั้นคือกิโมโน แต่ชายกระโปรงนั้นอยู่เหนือเข่าแค่สิบห้าเซ็นติเมตร และเผยให้เห็นต้นขาของเธอ ใบหน้าของเธอดูสวยได้รูปและบนหัวของเธอก็มีหูกระต่ายอีกด้วย ไม่ว่าจะดูยังไงรูปร่างแบบนี้ก็เหมือนจะเป็นไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนขับรถที่ชะเง้อหน้าออกมามองจากภายในตัวรถก็สวมเสื้อโค้ทสีดำ แว่นกันแดดสีดำ และหมวกฟีโดร่าสีดำอีกด้วย ดูเหมือนกับว่าเป็นลูกน้องของพวกมาเฟีย
“มีศัตรูมากกว่าที่พวกเราคิด! ตอนนี้ถอยก่อน!”
จากนั้นคนที่ใส่โค้ทสีดำก็เอาของบางสิ่งที่ดูคล้ายกับแท่งสีดำออกมา เอามันออกมานอกหน้าต่างแล้วเล็งมาที่พวกเธอ กระสุนขนาดเท่าหัวแม่มือพุ่งออกมาพร้อมกับเสียง ปัง ปัง แม้จะดูเป็นมาเฟียแต่ก็คือเมจิคัลเหรอเนี่ย คาโยะ…ที่ตอนนี้เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่า ฟันนี่ทริค ใช้ไม้คฑาของเธอปัดกระสุนที่พุ่งเข้ามาหา แม้จะรู้สึกตัวว่าเหมือนน้ำตาจะไหลก็เถอะ
ปืนกลที่กระหน่ำยิงออกมานั้นทำให้คาโยะนั้นตกใจมาก แต่ความเร็วของอาวุธก็เทียบกับการตอบสนองของเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้ กระสุนนั้นถูกดาบกับริบบิ้นปัดออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พวกเด็กสาวนั้นกำลังป้องกันตัวเองกันอยู่นั้น คนขับรถก็ขับเวียนไปรอบๆพร้อมกับยิงไปด้วย และในตอนที่กลับรถนั้นเอง มันก็มีตาข่ายยิงออกมา มันมีขนาดใหญ่แต่ความเร็วนั้นช้ากว่าการยิงด้วยกระสุนปืน อาวุธนี้มันฆ่าพวกเธอไม่ได้ พวกเด็กสาวนั้นจึงหลบหลีกได้ง่ายขึ้น แต่ช่างโชคร้ายที่ตาข่ายมันจับเมจิคัลเกิร์ลที่แต่งตัวเป็นสาวไปรษณีย์สไตล์ยุโรปได้ เธอคนนั้นกำลังดิ้นอยู่ด้านในตาข่าย
ถ้าจะให้พูดออกมาดังๆก็คือ เธอคนนั้นเป็นคนประเภทที่ทำอะไรเชื่องช้า คาโยะจำได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในสองของเด็กปีหนึ่ง
รถนั้นยิงตาข่ายออกมา แล้วก็พยายามเร่งความเร็วออกไป เด็กสาวสายรุ้งนั้นไล่ตามไป ส่วนหูกระต่ายนั้นยังคงอยู่เพื่อต่อสู้
เด็กสาวนักเต้นอาหรับนั้นโจมตีลงมาจากด้านบนแล้วก็หนีอย่างไปมาอย่างซ้ำๆ
เด็กสาวนักเต้นอาหรับนั้นโจมตีลงมาจากบนฟ้า แต่หูกระต่ายนั้นหลบพร้อมกับป้องกันเด็กสาวชุดแต่งงาน แล้วก็ป้องกันดาบของกัปตันโจรสลัดหรืออุมิได้ แม้มันจะรวดเร็วจนยากที่คาโยะจะมองตามทันก็ตาม
คาโยะมองลงไปที่เท้าของเธอ เด็กสาวไปรษณีย์นั้นกำลังดิ้นอยู่ด้านในตาข่าย เธอพยายามจะแหวกตาข่ายออกมา แต่ตาข่ายนั้นก็ไม่ฉีกขาดเลย และยิ่งเธอดิ้นมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นอีกด้วย
แย่จริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นต่อสู้ไม่เก่ง แต่เธอก็ยังคงมาที่นี่ คาโยะย้อนคิดไปตอนที่แฟร์รี่นั้นปรากฏตัวออกมา ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่คนเดียว บางทีอาจจะถูกเพื่อนลากมาก็ได้ แบบนั้นเธอก็เหมือนคาโยะไม่มีผิด
คาโยะพูดกับเด็กสาวที่อยู่ตรงเท้าของเธอ
“อย่าขยับมากนะ แล้วก็พยายามหดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ด้วย!”
เด็กสาวนั้นมองขึ้นมาที่เธอด้วยความกลัว ดังนั้นคาโยะจึงพยายามยิ้มอย่างนิ่มนวลที่สุดกลับไปให้เด็กสาว
ตัวคาโยะเองก็แปลกใจ ว่าเธอนั้นสามารถแสดงความมีน้ำใจกับคนอื่นได้ด้วย บางทีเธออาจจะเป็นพวกขี้สงสารก็ได้ เด็กสาวไปรษณีย์นั้นฟังในสิ่งที่คาโยะพูด เธองอเข่าแล้วก็ม้วนเข้าไปด้านในตาข่าย จากนั้นคาโยะก็เอาผ้ามาคลุมตัวของเด็กสาว
คาโยะ…หรือเมจิคัลเกิร์ล ฟันนี่ทริค สามารถใช้เวทมนตร์ของเธอ เพื่อสับเปลี่ยนสิ่งที่ซ่อนอยู่กับอีกสิ่งหนึ่งได้ มันเป็นคล้ายกับทริคที่เหมือนกับเป็นเวทมนตร์ แต่ที่ต่างกันก็คือคราวนี้มันเป็นของจริงที่ไร้ซึ่งกลลวง
ในทางที่มาที่นี่ คาโยะนั้นตรวจดูถังขยะที่อยู่ข้างเครื่องขายของอัติโนมัติ ด้านในนั้นมีเพียงกระป๋องเปล่า ในการที่ฟันนี่ทริคจะใช้เวทมนตร์ของตัวเองได้นั้น เธอต้องตรวจสอบตำแหน่งสิ่งของต่างๆที่เธอจะทำการสลับ และต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็น
คาโยะนั้นแตะผ้าคลุมด้วยไม้คฑาของเธอ จากนั้นผ้าคลุมก็ลอยตัวขึ้นแล้วก็หดลงราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านในนั้น เมื่อเธอดึงเอาผ้าคลุมออกด้านในนั้นก็กลายเป็นกระป๋องเปล่าที่กำลังกลิ้งอยู่แทน
ตอนนี้เธอช่วยเด็กสาวได้แล้ว จากนั้นเธอก็หันไปมองที่เครื่องขายของอัติโนมัติ เธอเห็นเด็กสาวไปรษณีย์โผล่หัวออกมาจากถังขยะและกำลังหันมองไปรอบๆตัว
รถตู้นั้นกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนเด็กสาวสายรุ้งที่ไล่ตามหลังไปนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้าถังขยะ เธอดึงเด็กสาวไปรษณีย์ออกมาพร้อมกับตะโกนว่า “พวกเราสองคนจะจัดการรถตู้เอง!”
เด็กสาวไปรษณีย์นั้นถูกเด็กสาวสายรุ้งลากตัวไล่ตามรถตู้ไป คาโยะนั้นสงสัยว่าเด็กสาวไปรษณีย์จะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นไหมนะ คำพูดที่เต็มไปด้วยความมีน้ำใจนั้นยังคงอยู่ในหัวของคาโยะ
☆ กัปตันเกรซ
เด็กสาวสายรุ้งกับเด็กสาวไปรษณีย์นั้นไล่ตามรถตู้ไปแล้ว การใช้พลังของเมจิคัลเกิร์ลไล่ตามไปแบบนี้ มันไม่มีทางที่จะแพ้ความเร็วของรถตู้แน่ ปล่อยให้พวกเธอจัดการคงไม่เป็นไร ตอนนี้การจัดการกับอีกเรื่องคือสิ่งที่กัปตันเกรซควรจะทำ
หูกระต่ายนั้นเคลื่อนไหวได้ว่องไวมาก เธอสามารถถอยหลังหลบการโจมตีของเด็กสาวอาหรับได้โดยที่ไม่ได้มองเลย แถมยังจับริบบิ้นของเด็กสาวนักเต้นบัลเลต์แล้วดึงจนทำให้คู่ต่อสู้นั้นเสียสมดุล จากนั้นหูกระต่ายก็เตะเข้าไปที่คู่ต่อสู้ แม้เด็กสาวนักเต้นบัลเลต์จะพยายามป้องกันไว้ด้วยริ้บบิ้นที่สร้างเป็นกำแพง แต่หูกระต่ายนั้นก็เตะทะลวงเข้ามาได้ จนทำให้เธอเกลือกกลิ้งไปตามพื้นถนน
รถตู้ที่กำลังหนีไปกับหูกระต่ายที่อยู่ตรงหน้า หากกัปตันเกรซจะเลือกคู่ต่อสู้ซักอย่าง มันก็จะเป็นอย่างหลังเพราะมันดูน่าสนุกกว่า เมื่อคิดว่าจะสู้กับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นแล้ว มันก็ทำให้เลือดของนักผจญภัยที่อยู่ในตัวของอุมิเดือนผล่านขึ้นมา
หูกระต่ายนั้นแข็งแกร่ง เธอไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความกดดันเมื่อถูกโจมตีเข้าไปเลย เธอหลบการโจมตีของเด็กสาวอาหรับได้อย่างง่ายดาย แถมยังหลบการโจมตีจากทุกทิศทุกทางของเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นได้อีกด้วย แม้จะโจมตีจากจุดบอดหรือจากด้านบน เธอก็หลบมันได้ทั้งหมดโดยที่ไม่มีบาดแผลเลย
ในตอนที่คาโยะกวัดแกว่งไม้คฑาของเธอไปรอบๆอย่างไม่ระวัง หูกระต่ายก็จับแขนของเธอแล้วก็เหวี่ยงไปรอบๆ จนอุมิจับเธอเอาไว้ได้ ทั้งเด็กสาวชุดแต่งงานกับเด็กสาวนักเต้นอาหรับเองก็ขยับตัวไม่ได้ แถมการโจมตีของเด็กสาวริบบิ้นที่ใช้ริบบิ้นหลายๆแบบก็ไม่โดนอีกด้วย ทุกคนนั้นดูขวัญเสีย ทุกคนนั้นกลัวกระสุนที่ยิงมา หรือกลัวความแข็งแกร่งของศัตรูกันแน่นะ?
น่าเจ็บใจจริงๆ ขนาดเธอไม่มีอาวุธนะเนี่ย! ในใจของอุมิคิดเช่นนั้น แต่เธอก็มองไปที่คู่ต่อสู้อีกครั้ง
หูกระต่ายเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลใช่ไหมนะ?
เธอนั้นแข็งแกร่งเหมือนอุมิ หากเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งสู้กันกับอีกคนหนึ่งจะเป็นยังไงกันนะ? แค่คิดก็ทำให้อุมิรู้สึกตื่นเต้นแล้ว
“โจมตีซึ่งหน้า” นั้นคือกฎง่ายๆของอุมิ ชิฮาบาระ อุมินั้นเข้าไปตรงหน้าของหูกระต่าย คนที่กำลังหลบ ป้องกัน และปัดการโจมตีของเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นอยู่ อุมินั้นใช้ดาบโค้งที่มีคมด้านเดียวของเธอโจมตีเข้าไปที่หูกระต่าย แต่เด็กสาวนั้นก็หลบได้ทันทีด้วยการย่อตัวลง
ไม่เลวนี่ อุมิคิดแบบนั้นตอนที่หูกระต่ายเอามือแตะพื้น แต่หูกระต่ายก็เตะมายังทิศที่เธออยู่อย่างไม่คาดคิด อุมินั้นหลบไม่ได้ และจากนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากต้นขาของอุมิ
มันเป็นเพียงแค่รอยขีดข่วน แต่การบาดเจ็บนั้นก็เปลี่ยนแปลงบรรยากาศโดยรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตัวของอุมิแต่โดยรอบเองก็ด้วย เธอคิดว่ากลุ่มของพวกเธอนั้นกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลในตำนานที่โค่นล้มแม่มดผู้ชั่วร้ายเหมือนกับในเทพนิยาย แต่ในความเป็นจริงนั้น ทั้งการใช้อาวุธ แล้วก็การได้เห็นเลือดไหลนองเช่นนี้มันทำให้พวกเธอตัวสั่น ทั้งคาโยะ หัวหน้าห้อง แล้วก็อาจารย์ ไม่มีใครเลยที่คุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรงเหมือนกับอุมิ
อุมิตั้งใจหัวเราะออกมาเสียงดัง หากเธอลดกำลังใจของศัตรูได้ล่ะก็ บางทีเธออาจจะได้เปรียบ ศัตรูของเธอคือแม่มดผู้ชั่วร้าย หากเธอย้อมแพ้โลกนั้นก็ถึงกาลอวสาน เธอชูดาบขึ้นสูงเหนือศีรษะและก็แกว่งลงมาด้านล่าง ดูเหมือนเป็นการโจมตีอีกครั้ง แต่นั่นคือการหลอก สำหรับศัตรูแล้วมันเหมือนเป็นการเปิดช่องว่างขนาดใหญ่ หากหูกระต่ายอยู่ในระดับเดียวกับที่อุมิคิดไว้ล่ะก็ เธอนั้นต้องปัดป้องมันได้แน่
มาสิ ต่อไปจะโจมตีมาแบบไหนกันล่ะ? แต่หูกระต่ายที่ยืนอยู่นั้นกลับแล้ววิ่งหนีไป ถ้าจะให้พูดคือ เธอพยายามวิ่งฝ่าเมจิคัลเกิร์ลที่ล้อมรอบตัวอยู่ออกไป อุมินั้นรีบเหวี่ยงดาบเข้าใส่ แต่หูกระต่ายก็ก้มลงหลบใต้ใบดาบได้
“หนีงั้นเหรอ ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย!”
การพูดคำว่าขี้ขลาดออกมานั้น อาจเป็นเพราะอุมิรู้สึกหงุดหงิดก็ได้ หูกระต่ายนั้นออกไปจากระยะฟันของเธอแล้ว อุมิขว้างดาบของตัวเองออกไปด้วยความโกรธ แต่หูกระต่ายนั้นก็หลบได้อย่างง่ายดายด้วยการก้มต่ำ และเธอนั้นก็ยังวิ่งต่อไปเหมือนกับสัตว์สี่เท้าโดยที่ไม่ลดความเร็วลง
ถ้าเป็นความเร็วหรือความคล่องตัวแล้วล่ะก็ แม้มันจะน่าหงุดหงิด แต่ศัตรูของเธอนั้นเหมือนว่าจะเร็วกว่าอุมิ
หากเป็นความอึดในการไล่ล่าระยะยาวล่ะ? อุมิไม่รู้ว่าหูกระต่ายนั้นทำได้แค่ไหนจนกว่าจะทดสอบดู
แม้จะไม่รู้แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง ในตอนนี้เธอต้องตามให้ทันก่อน ตราบใดที่อุมิยังไม่ละสายตาจากเธอไป อุมิก็ยังมีโอกาสชนะอยู่ ศัตรูนั้นหนีไปด้วยการวิ่งสี่เท้าเหมือนกับกระต่ายจริงๆ และอุมินั้นก็คือผู้ที่ไล่ล่าเธอ
เธอวิ่งตรงไปที่ถนน วิ่งผ่านโรงเรียนและปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารบริษัทการเกษตร จากนั้นก็กระโดดลงมาบนโกดัง และเมื่อเธอกลับมาวิ่งอยู่บนพื้น ความเร็วของหูกระต่ายนั้นช้าลงเล็กน้อย ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเธอนั้นสั้นลง
…จับได้แล้ว!
อุมิยื่นมือออกไป แต่ก่อนที่จะคว้าคอเสื้อของศัตรูได้นั้น เธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่ต้นขาของเธอ เธอจึงกระโดดถอยหลังออกมาแล้วหยุดเท้าเอาไว้ มันไม่ใช่หูกระต่าย เธอไม่ได้ขยับตัวมาโจมตีทางนี้ เพราะเธอนั้นกำลังหนีเหมือนกับกระต่ายจริงๆอยู่ และไม่นานก่อนที่เธอนั้นจะหายไป อุมิก็มองไปรอบๆตัว
มีใครโจมตีเธองั้นเหรอ? ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย ไม่มีใครอยู่รอบๆด้วย มีบางคนซ่อนตัวอยู่งั้นเหรอ? ที่ไหนกันล่ะ? แถวนี้มันมีแค่ถนนกับทางเท้า แล้วก็ที่โล่งด้านหลังเธอแค่นั้น
เธอรู้สึกเจ็บแปล๊บตรงที่เดียวกับที่โดนหูกระต่ายเตะมาก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่แผลลึก อุมิพยายามแตะดูแผลตัวเองที่ต้นขาของเธอ แต่มันก็เป็นแค่แผลเล็กๆเท่านั้น เธอรู้สึกช็อกและเจ็บปวด แต่กลับไม่มีความเสียหาย มันไม่ใช่ภาพลวงตาแน่ๆ
ความจริงที่เหลืออยู่ก็คือ อุมินั้นปล่อยให้หูกระต่ายหนีไปได้
☆ เรนโปว
สัตว์ทุกชนิดล้วนคล้ายกัน ซึ่งมันรวมถึงมนุษย์ด้วย แต่สำหรับเมจิคัลเกิร์ลนั้นมีความแตกต่างออกไป ไม่ใช่แค่มีเวทมนตร์เฉพาะตัว ความสามารถทางกายภาพเองก็แตกต่างกันด้วย ทั้งสี่คนที่สู้กับหูกระต่ายนั้นมีความแตกต่างกันมาก นักเต้นอาหรับนั้นรวดเร็ว โจรสลัดนั้นแข็งแกร่ง แม่เด็กสาวริบบิ้นจะไม่เทียบเท่าทั้งสองคนแต่เธอก็ยังคงสู้ได้ ส่วนสิ่งเดียวที่เด็กสาวชุดแต่งงานทำนั้นคือการเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู
ในตอนนี้เมจิคัลเกิร์ล เรนโปว นั้นมีเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งวิ่งไล่หลังมา… ทัตสึโกะ ซากากิ คนที่แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว แม้จะเทียบกับเด็กสาวชุดแต่งงาน เธอก็ดูเชื่องช้ากว่าราวกับเป็นตัวทาก ไม่ได้ดูเหมือนว่าแข็งแกร่งมากอะไร
เรนโปวพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“ทาจังโอเคไหม?”
“อื้อ……ก็โอเคอยู่”
เหมือนว่าเธอยังคงไล่ตามรถตู้ต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องพักหายใจ
เรนโปวไม่ได้ทิ้งทัตสึโกะไว้ด้านหลัง เธอยังคงรักษาความเร็วที่ไม่ปล่อยให้รถตู้คลาดสายตาไปเอาไว้ได้ หากรถตู้นั้นยังขับเป็นทางตรงมันก็สามารถผ่านทางแยกเข้าไปยังทางด่วน แต่ถ้าต้องเลี้ยวที่ใดซักที่หนึ่ง แบบนั้นมันก็จะรักษาความเร็วที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเอาไว้ไม่ได้ หากมันไม่ได้ขึ้นไปยังทางด่วนล่ะก็ เรนโปวก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเร็วอะไร
ในอีกแง่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทางไหนมันก็ไม่มีปัญหาสำหรับพวกเธอ
เรนโปวนั้นหันไปมองทัตสึโกะที่ตามเธอมา ในตอนที่เธอมองไปด้านหลังพร้อมความเป็นห่วงนั้น เธอก็เพิ่มความเร็วของตัวเองไปด้วย ตอนนั้นรถตู้เองก็พุ่งขึ้นไปบนทางเท้าจนเกือบชนคนเดินถนน รถที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามก็ส่งเสียงแตรออกมาราวกับพายุ แม้ตัวรถจะเอียงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ช้าลงแต่อย่างใด
…เอาล่ะ!
เรนโปวนั้นคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ ถนนข้างหน้านั้นแคบและมุ่งไปยังถนนด้านหลัง แม้รถตู้นั้นจะเข้าไปยังถนนหลักได้ แต่ในเวลานี้มันก็เต็มไปด้วยรถมากมายที่กำลังกลับมาจากเลิกงาน จึงไม่แปลกอะไรที่การจราจรจะติดขัด
ถ้าต้องเลือกล่ะก็ พวกนั้นคงเลือกถนนด้านหลังที่มีพยานรู้เห็นน้อยกว่าถนนใหญ่แน่ เรนโปวนั้นเตะบล็อกซีเมนต์ แล้วก็ใช้แรงส่งนั้นขึ้นไปยังต้นสน จากตรงนั้น เธอจับสายสัญญานโทรศัพท์ แล้วมันก็ปรากฏสะพานสายรุ้งที่สามารถวิ่งตรงไปหาเป้าหมาย เวทมนตร์ของเรนโปวนั้นใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาทีซะอีก
แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่สายรุ้งของจริง มันแข็งแกร่ง เรนโปวนั้นวิ่งไปบนสะพานสายรุ้งตรงไปหารถตู้ มันไม่เหมือนกับรถที่ต้องหักเลี้ยวบนถนน สายรุ้งนั้นไม่เหมือนกับถนนเพราะมันเป็นสะพานที่อยู่บนอากาศ เธอจึงสามารถตรงดิ่งไปหาเป้าหมายได้ เธอมองดูความเร็วของรถ คิดว่ามันจะหยุดอยู่ตรงไหน แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปตรงนั้น
แต่มันก็มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น จู่ๆมันก็มีควันออกมาจากด้านหลังรถตู้ เรนโปวนั้นกระโดดลงมาจากสะพานสายรุ้งของเธอ เธอได้เสียงรถตู้นั้นชนกับอะไรบางอย่าง แล้วพื้นดินนั้นก็สั่นสะเทือน ควันสีเทาพวยพุ่งออกมาจากในรถมากขึ้นจนกลายเป็นหมอกหนา
เรนโปวนั้นเอามือปิดปากแล้วมองขึ้นไปด้านบน เธอมองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในควัน มันวิ่งอยู่บนหลังคา แล้วก็แยกตัวไปในทิศทางตรงข้ามกัน
พวกนั้นใช้ม่านควัน เพื่อแยกตัวแล้วหลบหนีงั้นเหรอ?
“กะ-เกิดอะไรขึ้นเหรอ คาโอริจัง?”
“เอ่อ…เหมือนว่าพวกมันจะแยกตัวกัน? คิดว่านะ?”
“หือ…?”
“อ๊ะ! จริงสิ! ทาจังตามไปคนนึงนะ! เดี๋ยวเราจะตามอีกคนไปเอง!”
“อะ-อื้อ…”
ทัตสึโกะเอาเท้าของเธอขึ้นไปบนบล็อกคอนกรีต แล้ววิ่งขึ้นไปบนหลังคา เรนโปวเองก็พยายามจะวิ่งเช่นกัน แต่เธอรู้สึกว่ามีบางคนจ้องมองเธออยู่ด้านหลัง เมื่อเธอหันกลับไปมองก็พบผู้หญิงวัยกลางคนกับเด็กที่อายุราว 3 ขวบ กำลังจ้องมาที่เรนโปวด้วยใบหน้าที่มีความหวาดกลัว จากนั้นเรนโปวก็แผ่มือตัวเองไปตรงหน้าของหญิงสาว
“แฮปปี้ ฮัลโลวีน!”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะแล้วก็พูดว่า “โอ้ ได้เวลานั้นของปีแล้วสินะ” หลังจากที่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นใจเย็นลงแล้ว เรนโปวก็วิ่งขึ้นไปบนหลังคา
☆ เว็ดดิ้น (เหลือเวลาอีก 23 ชั่วโมง 50 นาที)
การตัดสินใจของ มิเนะ มุสุบิยะ ทุกครั้งนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยงเสมอ บางครั้งแม่ของเธอก็บอกว่า คิดเรื่องผลเสียและผลกำไรให้มันน้อยลงบ้าง แต่มิเนะก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองนั้นผิดอะไร
มันไม่เหมือนกับที่เธอปฎิเสธเรื่องมิตรภาพและความรัก แต่ถ้าหากเทียบกับเรื่องเงิน เรื่องสถานะต่างๆ และเรื่องที่สำคัญแล้วนั้น เธอมักจะต้องเลือกว่าสิ่งไหนดีกว่า หากเธอได้สิ่งที่ดีกว่าจากการเรียนรู้มากกว่าสิ่งที่เธอได้จากการเล่น เธอก็จะเลือกการเรียน หากเรียนแล้วเกิดความเครียดขึ้นมา เธอก็จะใช้งานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายมัน ในกรณีของมิเนะนั้น เธอจะไปเช่า DVD อนิเมมาดู
เมื่อเทียบกันแล้วมันเป็นอะไรที่เลือกได้ง่ายมาก แม้จะมีเพื่อนร่วมชั้นพูดลับหลังและเรียกเธอว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกอาจารย์ หากสถานะของเธอกับอาจารย์มันสำคัญกว่าความเครียด เธอก็จะเลือกเรื่องนั้น เธอจะตัดคนประเภทนี้ออกไปแล้วจะใจดีกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นแทน เช่นการให้ลอกโน็ตที่เธอจดเอาไว้ ไม่ก็รับฟังปัญหาของคนอื่น มิเนะนั้นยินดีที่จะเร่ขายความใจดีของตัวเองไปทั่วเพื่อให้ได้มาซึ่งความนิยม
ในตอนนี้เธอมีโอกาสที่จะเติมเต็มความฝันตั้งแต่วัยเด็ก นั่นคือการกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ เธอจะทำเช่นนั้นแน่นอน เมื่อพิจารณาแล้ว การที่ต้องต่อสู้กับแม่มดผู้ชั่วร้ายนั้นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่สูงมากมายอะไร
โจรสลัดนั้นกลับมาพร้อมกับอาการช็อค หูกระต่ายไม่อยู่ที่นี่ เหมือนว่าเธอจะปล่อยให้หนีไปได้
“เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก่อน! เธอจะปล่อยมันให้หนีไปไม่ได้นะ!”
แฟร์รี่โทโกะนั้นโกรธเหล่าเมจิคัลเกิร์ลที่เข้าแถวรวมตัวกันอยู่ ความโกรธของเธอพุ่งตรงไปที่โจรสลัด แต่เมื่อเด็กสาวสายรุ้งกับเด็กสาวไปรษณีย์กลับมาด้วยมือเปล่า ความโกรธของโทโกะก็เกิดระเบิดขึ้น
“นี่ปล่อยให้หนีไปได้ยังไงเนี่ย!? ทั้งๆที่พวกเธอเหนือกว่าอีก! แค่นี้ยังจัดการไม่ได้อีกงั้นเหรอ!? โธ่เอ๊ย เหนื่อยชะมัด เราหนีต่อไปไม่ไหวแล้วนะ! อ๊าา! ยัยพวกโง่ โง่ โง่!”
“นี่เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง ทั้งๆที่ไม่ได้ไปสู้เองด้วยซ้ำน่ะ?” มิเนะพูดออกมาโดยไม่ได้คิด
โทโกะนั้นก็มีปฎิกิริยาตอบสนองกับคำพูดของมิเนะอย่างหลักแหลม
“หา? เธอเองก็ไม่ได้ไปสู้ด้วยซ้ำ เราน่ะเป็นคนที่ทำให้เด็กอย่างพวกเธอกลายเป้นเมจิคัลเกิร์ลนะ เข้าใจไหม!? ถ้าไม่มีเรา พวกเธอก็ไม่มีทางได้พลังมาหรอก! ถ้าจะบ่นเราเรื่องนี้หลังจากที่ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ล่ะก็ เราก็ไปทำให้เด็กสาวคนอื่นกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแทน!”
มิเนะกัดริมฝีปากตัวเอง แม้เธอจะปฎิเสธไม่ได้โทโกะนั้นรู้สึกผิดหวัง มิเนะนั้นก็ยังคงโกรธ คำพูดของโทโกะในตอนนี้ เธอไม่อยากจะเชื่อว่ามันออกมาจากปากของคนที่ขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
โจรสลัดนั้นก้าวมาข้างหน้า โดยที่ไม่สนใจโทโกะ
“แผลนี่”
โจรสลัดนั้นชี้ไปที่ต้นขาของเธอ มันมีเลือดไหลออกมาอยู่ มิเนะเองก็มองเห็น เลือดมันไหลออกมาเพราะหูกระต่ายนั้นเตะเธอใช่ไหมนะ?
“มันรู้สึกเหมือนกับโดนใบมีดยักษ์เฉือนเอาแล้วก็มีบางคนโรยเกลือลงไปเลย ไม่ก็แบบโดนที่ขูดชีสแล้วราดวาซาบิตามลงไป นี่เป็นเวทมนตร์ของคนๆนั้นงั้นเหรอ?”
“ก็เธอเป็นแม่มดผู้ชั่วร้าย จึงใช้เวทมนตร์ได้น่ะนะ ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้รีบไล่ตามไปแล้วจัดการมันได้แล้ว!”
ตอนนั้นเด็กสาวสายรุ้งก็ยกมือขึ้น
“คนที่พวกเราตามไปมันใช้ควันพรางตาจนมองไม่เห็นอะไรเลย รถตู้เองก็หยุด แต่คนด้านในหนีไปได้ พวกเราแยกตัวกันไปค้นหารอบๆบริเวณนั้นแล้วแต่ก็ไม่เจออะไร… พวกเราจึงทำการซ่อนรถของพวกนั้นเอาไว้แทน”
ด้วยแรงขาของเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันไม่ผิดแน่ที่พวกเธอจะไล่ตามรถตู้ไปทันได้ และถ้าพวกเธอต่อสู้กับผู้โดยสารที่อยู่ในนั้น พวกเธอก็จะรับมือได้แน่ แต่ความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะหลบหนีนั้นไม่มีอยู่ในหัวของมิเนะเลย
มิเนะถอนหายใจออกมา
“หากพวกเราไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นล่ะก็ มันก็จะไปต่อไม่ได้เอานะ”
“ยังจะมาคิดแผนอะไรกันอีกเนี่ย!? ไล่ตามพวกมันไปก่อนสิ! พวกแม่มดผู้ชั่วร้ายน่ะ! โลกนี้ตกอยู่ในอันตรายแน่! ครอบครัวของพวกเธอเองก็ด้วย!”
“การคิดแผนไว้ก่อนไล่ตามไป มันดีกว่าการไล่ตามไปโดยที่ไม่มีแผนนะ”
ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลนั้น พวกเธอมีทักษะอันทรงพลัง เดิมทีแล้วพวกเธอนั้นต้องเผชิญหน้ากับแม่มดผู้ชั่วร้าย นี่มิเนะประมาทงั้นเหรอ? ไม่ เธอไม่ได้ประมาทเลย ศัตรูนั้นอาจะเทียบเท่าหรือแข็งแกร่งกว่าเมจิคัลเกิร์ล อีกอย่าง เธอเชื่อว่าพลังของตัวเองแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งที่เธอคิดว่าทรงพลังนั้น เมื่อจะสู้กับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นแล้วก็มันไร้ความหมาย มิเนะนั้นตามการเคลื่อนไหวของโจรสลัดและหูกระต่ายด้วยตาได้ยาก
เวทมนตร์ของเธอที่คือ บังคับให้ผู้คนรักษาสัญญา นั้นไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้มันจึงช่วยอะไรไม่ได้ แต่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นนั้นอาจจะมีโอกาสใช้ความสามารถของตัวเองออกมาได้ แต่มิเนะก็ไม่รู้ว่าความสามารถของพวกเธอคืออะไร เธอจึงสั่งการอะไรไม่ได้
ไม่สิ เธอควรคิดว่าจะใช้พลังของตัวเองในการต่อสู้ยังไงดีรึเปล่านะ? แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน การรู้พลังของเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นมันก็ดีกว่า
“ชั้นเห็นด้วยกับเรื่องที่หัวหน้าห้องพูดนะ”
โจรสลัดนั้นเห็นด้วย แต่เสียงเหมือนจะไม่ได้ดูมีความสุขเท่าไหร่ มิเนะผงกหัวแล้วใช้นิ้วชี้ชี้มาที่ตัวเอง
“ดิฉันไม่ใช่หัวหน้าห้อง ดิฉันคือเว็ดดิ้น ชื่อเมจิคัลเกิร์ลของดิฉันคือเว็ดดิ้น”
เพราะเธอกลายเป็นตัวละครแล้ว เธอจึงต้องพูดให้ชัดเจน เมื่อพวกคนร้ายมันเรียกชื่อของเหล่าตัวเอก มันต้องเป็นอะไรแบบ “แก! คิวตี้เรด!” ไม่ใช่ “แก! โยชิโกะ ทาคานาชิ!”
“อ๊ะ ชั้นเข้าใจล่ะ พวกเราจะร่วมมือกันไม่ได้ ถ้าไม่รู้ชื่อใช่ไหมล่ะ? ก็นะ ชั้นชื่อกัปตันเกรซ! ยินดีที่ได้รู้จักนะ เว็ดดิ้น!”
“เช่นกัน กัปตันเกรซ”
พวกเธอจับมือแล้วก็พยักหน้าให้กัน บางทีพวกเธออาจจะคิดอะไรคล้ายกันก็ได้
“เพราะรีบเกินไปหน่อย ชั้นถึงได้เครียดสุดๆแบบนี้ ก่อนอื่นก็มาแนะนำตัวกันเถอะ ไม่ใช่แค่ชื่อนะ แน่นอนว่าพลังเวทเองก็ด้วย!”
จากนั้นโทโกะก็บ่นออกมาด้วยเสียงดัง จนเว็ดดิ้นแปลกใจว่าแฟร์รี่ตัวเล็กๆส่งเสียงดังแบบนี้ได้ด้วย
“บู่ววว! บู่ววว! ลืมเรื่องนั้นไปเลยนะ แล้วก็รีบๆเข้า! พวกมันหนีไปแล้วนะ!”
“แน่นอนว่าพวกเราจะไปจับพวกมันแน่ แต่เตรียมเรื่องนี้ไว้ก่อนน่ะมันไม่ดีกว่าเหรอ? เธอรู้รึเปล่าว่า สิ่งโตมันจะวิ่งเร็วที่สุดเพื่อจับกระต่ายยังไงน่ะ?”
“เห็นด้วย” เว็ดดิ้นพูด
“เมย์เองก็เห็นด้วยกับการ ‘คิด’ เหมือนกันนะ”
“พวกเธอนี่จะทำให้เราป็นบ้าแล้วเนี่ย! อ๊าาา! ฟังนะ ถ้าเธอไม่หยุดพวกมันล่ะก็ พวกเธอจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างเป็นทางการไม่ได้ เข้าใจไหม!?”
“การเรียนรู้จากความผิดพลาดมันเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ว่า… ทำไมพวกเราไปทำกันที่อื่นดีกว่าไหม?”
เด็กสาวริบบิ้น— คงจะเป็นคุณฮิเมโนะสินะ บางทีเธอคงกังวลเรื่องที่จะมีคนเห็น? หรือกังวลเรื่องสิ่งรอบตัวกันนะ? ยางมะตอยที่บนถนนนั้นเกิดพังเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะแรงขาของเมจิคัลเกิร์ล ถังขยะเองก็กลิ้งอยู่กลางถนน แถมพวกเธอนั้นก็ดูเหมือนพวกเด็กสาวที่แต่งคอสเพลย์กันเป็นหมู่อีกด้วย
แม้ว่ามันจะไม่ที่ที่มีคนพลุกพล่าน แต่มันก็มีบ้านคนอยู่ใกล้ๆ พวกคนมุงที่ตกใจเพราะเสียงก็มองมาทางนี้ มีคู่ชายหญิงสูงอายุที่ทำงานในฟาร์มชี้มาที่พวกเธอแล้วพูดว่า “คงถ่ายรายการทีวีล่ะมั้ง” หญิงวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นแม่บ้านกำลังจับจ้องมาที่พวกเธอ เด็กสาววัยห้าขวบที่มองมาด้วยดวงตาที่เปล่างประกาย
ฝูงชนเหมือนจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตำรวจญี่ปุ่นเองก็เป็นพวกที่น่ากลัวด้วย และอีกไม่นานรถสายตรวจคงจะมาที่นี่แน่ๆ
MANGA DISCUSSION