ตอนที่ 76 เล่ม 4 บทที่ 5 เอ็กซ์คาลิเบอร์ กับ กาเอ โบล์ก + ปัจฉิมบท + คุยท้ายเล่ม
บทที่ 5 – เอ็กซ์คาลิเบอร์กับกาเอ โบล์ก
22 พฤศจิกายน ปีจักรวรรดิที่ 1023
ออร่า ที่ปักหลักอยู่ในป้อมมิตเต้ กำลังเผชิญกับการตัดสินใจอันแสนยากลำบาก ขณะนี้เธออยู่ในหอคอยเล็ก ๆ บนแนวป้อมเหนือประตูใหญ่
“วันนี้…ป้อมนี้คงไม่รอดแน่”
ในบรรยากาศตึงเครียดเต็มไปด้วยความกดดัน คำประกาศสั้น ๆ ของออร่าทำให้เหล่าเสนาธิการพากันถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง แต่ไม่มีใครเอ่ยคำต่อต้าน เพราะต่างก็รู้ดี—ที่พวกเขาต้านทานมาได้จนถึงตอนนี้ เป็นเพราะหญิงสาวคนนี้เพียงผู้เดียว
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? ปล่อยให้ทหารแกรนซ์นั่งรอความตาย มันก็เสียเกียรติสิ้นดี”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มเสนาธิการเอ่ยขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสอีกคนขมวดคิ้วอย่างขมขื่น
“หมายความว่าเราควรเตรียมใจตายไปพร้อมกับป้อมสินะ?”
ทหารที่ต่อสู้อย่างยาวนานจนถึงตอนนี้ ล้วนเหนื่อยล้าจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีใครไม่บาดเจ็บ อาหารก็ใกล้หมดสิ้น และไม่มีหนทางเติมเสบียง อีกทั้งความหวังในการช่วยเหลือก็ริบหรี่เต็มที แม้จะกบดานต่อไปก็คงไร้ผล เพราะต่อให้บุกออกไป ก็ใช่ว่าจะสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้มากพอ
“ไม่มีทางเลือกอื่น เราต้องสู้จนหยดสุดท้าย เพื่อเป็นเกียรติแก่บรรพชนแห่งแกรนซ์”
“ต่อให้ต้องตายเปล่าก็ยอมงั้นรึ?”
“มันจะไม่สูญเปล่า เราจะได้รับเกียรติให้รับใช้เทพเจ้าทั้งสิบสองอย่างแน่นอน”
“เจ้าชายที่สาม บลูทาร์ ต้องมาช่วยเราแน่ เราห้ามยอมแพ้ก่อนเวลาอันควร”
เสียงของเหล่าเสนาธิการแตกออกเป็นสองฝ่าย—ฝ่ายหนึ่งต้องการอดทนต่อไปด้วยความหวังเลือนราง อีกฝ่ายอยากจะฝ่าออกไปอย่างสมศักดิ์ศรีของทหาร แต่ทั้งหมดนั้น…ต่างหันมามองหญิงสาวคนเดียว เพื่อรอฟังคำตัดสิน
“ขอฉันลงไปเดินคิดอะไรสักหน่อย”
ออร่าก้มมองจากกำแพงป้อมลงไปเบื้องล่าง พยายามหาคำตอบ…
เบื้องหน้า เธอมองเห็นค่ายของกองกำลังหลงเหลือจากเฟลเซ็นที่ล้อมป้อมมิตเต้อย่างแน่นหนา ก่อนจะหันไปยังตำแหน่งห่างออกไปหนึ่งเซลล์ (ราวสามกิโลเมตร) จากหน้าประตูใหญ่
ตรงนั้น มีหญิงสาวผู้หนึ่งถูกแช่แข็งจนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ใต้แสงตะวัน… และนั่นคือคนที่ออร่ารู้จักเป็นอย่างดี
“ขอโทษนะ…”
เธอกำหมัดแน่น ความโกรธพุ่งพล่านขึ้นจากภายใน—ที่ตนเองไร้พลังจะช่วยเหลือ สิ่งที่ศัตรูกระทำคือการย่ำยีศักดิ์ศรีอย่างไร้ปรานี และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น…พวกมันยื่นคำขาดให้เธอยอมจำนน หากไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นน้ำแข็งดั่งลิซ
“พวกมันกำลังดิ้นรน… แต่เพราะอะไร?”
ความกระวนกระวายของกองกำลังเฟลเซ็นแพร่กระจายอยู่ทั่วค่าย
ทว่า ในสถานการณ์ที่ข้อมูลถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง และแม้แต่หนูสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาศัตรูเพื่อส่งข่าวออกไปได้—ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาความตั้งใจที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“…อย่างน้อยก็อยากช่วยเธอได้บ้าง”
ออร่าเหลือบตามองร่างของลิซที่ถูกแช่แข็งอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ในฐานะผู้รับใช้ราชวงศ์แกรนซ์ การถูกกระทำเช่นนี้ถือเป็นความอัปยศสูงสุด
“…จะไม่มีใครได้รับการอภัย”
ทุกอย่างเกิดจากความผิดพลาดของเธอเอง
ชายหนุ่มผู้มีดวงตาและเส้นผมสีดำ คงไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่เธอทำลงไป ออร่ากัดริมฝีปากตนเองแน่น ความเสียใจแผดเผาอยู่ในใจราวกับเปลวไฟ
“แรกเริ่มทุกอย่างไปได้สวย…”
เพื่อรวบรวมกองกำลังหลงเหลือจากเฟลเซ็น ออร่าจงใจแสร้งทำเป็นหนีภัยและหลบเข้าป้อมมิตเต้ เมื่อกองกำลังเฟลเซ็นล้อมไว้ กลุ่มที่รอคอยจังหวะก็หลั่งไหลเข้าป้อมราวน้ำทะลัก
เมื่อจำนวนทหารเพิ่มเป็นสามหมื่น แผนการน่าจะสำเร็จไปเกือบทั้งหมด
ตามแผน ลิซซึ่งได้รับคำสั่งใหม่จากจักรพรรดิ จะมาสมทบกับออร่าเพื่อบีบกองกำลังเฟลเซ็นจากสองด้าน จากนั้นเจ้าชายที่สามบลูทาร์จะปราบพวกที่หลบหนี
แต่เธอ…กลับประเมินการเคลื่อนไหวของแกรนด์ดัชชีดราลผิดพลาด
และเพราะความผิดพลาดนั้น ลิซจึงถูกจับ
มันคือความผิดที่แก้ไขไม่ได้—เสียจนไม่มีคำใดจะสื่อความเสียใจได้พอ
“…..”
ความคิดของเธอเริ่มเลอะเลือน กลยุทธ์ที่วางไว้ก็มัวหมองจนไม่เห็นหนทางใดอีก
ความกลัว…กัดกินเธอจากภายใน
สิ่งที่เธอจะตัดสินใจทำต่อไป จะกำหนดว่าเหล่าทหารจะอยู่หรือล้มตาย
“เรา…จะปล่อยให้พวกเขาตายไปอย่างไร้ค่าไม่ได้…”
ออร่ามองไปยังเหล่าทหารนับร้อยบนกำแพงป้อม พวกเขาอดทนมาจนถึงวันนี้เพราะเชื่อมั่นในตัวเธอ
จากกว่าห้าพันชีวิต… ตอนนี้เหลือไม่ถึงพัน ทุกคนบาดเจ็บแทบสิ้นแรง บางคนก็ไร้สติจากความเจ็บปวด บางคนก็บอบช้ำทางใจจนแทบคลั่ง
และเมื่อเธอคิดจะหาทางออก สายตาก็สะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่ง
ชายร่างใหญ่กำยำยืนเงียบงันอยู่บนแนวป้อม มองลงไปยังร่างของลิซที่ถูกแช่แข็ง
หนวดเคราสีเทาของเขาสะบัดตามลม—ในแววตานั้นมีเพียงความโศกเศร้า
ออร่าก้าวเข้าไปหา
“…ท่านทริส ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
“…ออร่าเรอะ ข้ากำลังดูเจ้าหญิงอยู่”
ทริสแทบไม่เคยพูดมากนัก แม้ตอนที่พบกันในป้อมเบิร์ก เขาก็เป็นแค่ทหารชราผู้เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา แต่ตอนนี้ เขาเหมือนศพเดินได้ที่ไร้วิญญาณ
“กลับไปที่ห้องพยาบาลเถอะ ท่านยังไม่หายดีพอจะเดินได้ด้วยซ้ำ”
“ไม่เป็นไรหรอก… ข้าไม่อาจช่วยเจ้าหญิงไว้ได้ แล้วยังปล่อยให้ท่านถูกทำแบบนั้น…”
ในวันที่ลิซถูกจับ ทริสสามารถถอนกำลังกลับมาได้อย่างปลอดภัย และยังพยายามบุกเดี่ยวเข้าไปในแกรนด์ดัชชีดราลเพื่อนำเธอกลับมา
ทหารชราผู้นี้คงคิดจะไปตายในสนามรบนั้น แต่เขาก็มีเหตุผลที่ไม่อาจตายได้ในตอนนั้น
“แล้วเซอร์เบอรัสล่ะ?”
เหตุผลที่ทำให้ทริสยังไม่ยอมสิ้นลมหายใจ และลี้ภัยเข้ามายังป้อมมิตเต้… คือหมาป่าสีขาวนั่น
“เจ้าเซอร์เบอรัสยังไม่ฟื้นเลย”
ออร่าถามขึ้น ขณะที่ทริสกำหมัดแน่น ฟันกัดกรามจนดังกรอด
ออร่าจำได้ดีถึงวันที่ทริสวิ่งพรวดเข้ามายังป้อมมิตเต้ด้วยใบหน้าสิ้นหวัง อุ้มร่างเซอร์เบอรัสที่หมดสติแนบอก
แม้ตัวเขาเองจะบาดเจ็บสาหัส ทริสก็ยังวิงวอนให้ออร่ารักษาเซอร์เบอรัสก่อน ไม่ยอมแม้แต่จะเหลียวแลแผลของตัวเอง เขาเพิ่งได้สติกลับมาไม่นานนี้เอง
“…รู้อยู่แล้วว่าท่านต้องคิดจะบุกเดี่ยวแน่ ๆ”
“ข้าไม่อาจทิ้งท่านเซอร์เบอรัสไว้เบื้องหลังได้หรอก”
เขาลูบหัวตัวเองเบา ๆ แล้วหัวเราะอย่างเหนื่อยล้า
“เจ้าหญิงต้องโกรธแน่ ๆ ถ้าข้าทิ้งเขาไป”
“เซอร์เบอรัสเป็นสัตว์เลี้ยงสุดรักสุดหวงของลิซสินะ?”
“สองคนนั่นรู้จักกันมานานเท่าที่ข้าจำความได้”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“เพราะงั้นจนกว่าเซอร์เบอรัสจะฟื้น—”
เมื่อเธอเงยหน้ามองชายชราอีกครั้ง ก็เห็นเลือดไหลซึมจากมุมปากของเขา
ในดวงตาเต็มไปด้วยเลือดฝาด เขาจ้องมองร่างที่ถูกแช่แข็งของลิซด้วยสายตาอาฆาตดั่งปีศาจ ดูเหมือนเขาจะกระโจนลงไปได้ทุกเมื่อ
“กลับห้องพยาบาลเถอะ”
ออร่าเคาะตรงบั้นเอวของทริสสุดแรง จนเขาสะดุ้ง
“เจ้าไปทำแบบนี้กับคนเจ็บได้ยังไงเนี่ย…”
“เซอร์เบอรัสอาจตื่นขึ้นมาแล้วก็ได้นะ ท่านควรอยู่กับเขา”
ดวงตาของออร่านุ่มนวลขึ้น เธอชี้ไปที่บันได เสื้อนอกของเครื่องแบบปลิวไสวไปตามแรงลมเย็น
“ลิซจะโกรธมากแน่ ถ้าท่านไม่ยอมดีขึ้นสักที”
“อึก…”
แค่เอ่ยชื่อของลิซขึ้นมา ทริสก็หมดคำโต้แย้ง เขาพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปพักตามที่เจ้าบอก”
ชายชราส่งยิ้มบาง แล้วเดินลงบันไดกลับไปยังห้องพยาบาลเงียบ ๆ
ออร่า ยืนเพียงลำพังท่ามกลางแสงสนธยา มองลงไปยังค่ายของกองกำลังเฟลเซ็นเบื้องล่าง
“จู่โจม…บดขยี้…ทำลาย…ถอนรากถอนโคน…”
เธอพึมพำออกมา แต่ไม่ว่าคำไหนก็ดูไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้เลย จะฝ่าฟัน หรือจะยอมพ่ายแพ้ตายอยู่ตรงนี้กันแน่—เธอเองก็ไม่อาจหาคำตอบได้
“…..?”
ทันใดนั้น ค่ายของศัตรูก็เริ่มส่งเสียงอึกทึก ออร่ารีบปีนขึ้นไปบนแนวป้อมอีกครั้ง เพ่งมองสถานการณ์ด้วยสายตาเฉียบคม แล้วจึงเห็นอัศวินหญิงคนหนึ่งกำลังก้าวเข้าหาประตูใหญ่ด้วยท่าทีสง่างาม
“ข้าคือ เทรย่า ลูซานดี ออร่า ฟอน บูนาดาร่า แห่งจักรวรรดิแกรนซ์ ได้ยินข้าหรือไม่!”
เสียงกึกก้องสะเทือนแก้วหูของออร่า เธอรีบหลบลงจากป้อม มองลอดผ่านช่องแนวกำแพงไปยังข้างนอก
อัศวินหญิงผู้งดงามและสูงศักดิ์ ยืนอยู่หน้าป้อมพร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ
หนึ่งในความผิดพลาดของออร่า—ผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์เฟลเซ็น ฮาราน สคาฮะ เด เฟลเซ็น
“นี่จะเป็นคำเตือนสุดท้าย! จงยอมจำนน ก่อนที่เหล่าทหารของเจ้าจะต้องตายไปเปล่า ๆ!”
ไม่มีใครคาดคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่ เธอได้ยินมาว่าทั้งราชวงศ์ถูกประหารโดยจักรพรรดิ หรือไม่ก็โดยเจ้าชายลำดับหนึ่ง แซทโทเบล
“หากเจ้าปฏิเสธ เราจะเปิดฉากโจมตีโดยไม่ปรานี! เจ้าเลือกได้เลยว่าจะตอบอย่างไร!”
สคาฮะปักหอกน้ำแข็งลงพื้น เสียงรอบตัวเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบใด ๆ เธอจึงแสดงสีหน้าผิดหวังและลดไหล่ลงอย่างหนัก
“เช่นนั้น ข้าขอแจ้งให้กองทัพแกรนซ์ทราบไว้”
เธอเอ่ยถ้อยคำท่ามกลางแสงตะวันยามเย็นที่กำลังลับขอบฟ้า
“หากเจ้าส่งตัว เทรย่า ลูซานดี ออร่า ฟอน บูนาดาร่า และ บูซ ฟอน โครเน่ มา ข้าจะให้เหล่าทหารของเจ้ากลับบ้านโดยไม่ต้องกลายเป็นเชลย”
กล่าวคือ นางยอมปล่อยทหารกลับไป—ออร่าเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
เธอไม่คิดเลยว่าจะมีแม้แต่หนึ่งคนได้กลับบ้าน
“ข้าจะให้เวลาเจ้าไตร่ตรอง แค่ส่งสองคนนั้นมาเท่านั้น… จงใช้เวลาคิดให้ดี!”
จิตใจของออร่าหวั่นไหว หากเธอยอมจำนนเพียงลำพัง เหล่าทหารบาดเจ็บอาจได้กลับไปยังบ้านเกิด ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีบางคนที่ยังมีหวังรอดชีวิต
แต่…บูซ ฟอน โครเน่ ที่หลบซ่อนอยู่ในคลังลับใต้ดิน คงไม่มีทางยอมแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ออร่าจึงตัดสินใจเด็ดขาด—ต่อให้ต้องใช้กำลังลากเขาออกไปก็ตาม
เธอหลับตาลงแน่น ตัดสินใจเรียบร้อย แล้วหันหลังกลับจากกำแพง
เมื่อกลับมาถึงหอคอยเล็ก เสนาธิการหลายคนที่ติดตามเธอมาจนถึงที่สุดก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ หนึ่งในนั้นคือท่านลอร์ดสปิทซ์ ซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยผ้าพันแผล
ทุกคนมีใบหน้าเศร้าหมอง—บางทีพวกเขาอาจยอมรับความพ่ายแพ้แล้วเช่นกัน
“ฉันจะ…ยอมจำนน”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของเหล่าเสนาธิการก็เปลี่ยนเป็นโกรธทันที
“พูดบ้าอะไรน่ะ! ท่านจะให้พวกเราสละผู้บัญชาการเพื่อความอยู่รอดงั้นเหรอ?”
“คิดให้ดีสิ ท่านก็น่าจะพอจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับท่าน”
เสนาธิการอาวุโสส่ายหน้าด้วยแววตาปฏิเสธ
ด้วยสิ่งที่กองทัพแกรนซ์เคยกระทำต่อเฟลเซ็น คงไม่มีข้อกังขาใดว่าท่านออร่าจะต้องถูกทำให้ขายหน้า—จริงอยู่ ลิซเองก็ถูกจับไปในสภาพที่เลวร้ายเช่นนั้น
ไม่มีทางที่เธอจะได้รับการปฏิบัติในฐานะเชลยสงครามอย่างเหมาะสมได้เลย
“ท่านออร่า หากต้องเลือกระหว่างยอมสละท่านกับตายเพื่อเทิดทูนเหล่าทวยเทพทั้งสิบสองแห่งแกรนซ์ ข้าขอเลือกทางหลัง”
สปิทซ์กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ถ้าเป็นแค่บุซ ฟอน โครเน่ ล่ะก็ ข้ายินดีจะส่งเขาไปแทน”
“นั่นสิ ด้วยสิ่งที่เขาทำมา…”
เหล่าคนสนิทพยักหน้าเห็นด้วย การปกครองของบุเซอนั้นเลวร้ายอย่างที่สุด
ว่ากันว่าขุนนางที่เคยจงรักภักดีกับราชวงศ์เฟลเซ็นถูกตัดหัว บุตรสาวและภรรยาที่งดงามของพวกเขาถูกขายเป็นทาส ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงอันงดงามของเฟลเซ็นยังถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นซากแห่งความอัปลักษณ์
เพื่อเอาใจเหล่าขุนนางแห่งจักรวรรดิแกรนซ์ เขาได้ยกสิทธิ์ในการทำลายล้างให้พวกเขาอย่างเสรี
เมื่อออร่าได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิให้มาปราบปรามเฟลเซ็น เมืองหลวงก็แทบไม่เหลือเค้าเดิม เธอยังจำได้ว่าท่านเจ้าชายลำดับสาม บลูทาร์ ถึงกับโกรธเกรี้ยวในเรื่องนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ในเมื่อศัตรูให้เวลาเรา เราก็ควรใช้เวลานี้คิดหายุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะ”
สปิทซ์เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง คนอื่นก็เริ่มวางหมากแผนที่อย่างเลี่ยงไม่ได้ กองกำลังสำรองแทบหมดแรง เสบียงกำลังจะสิ้นสุด ขวัญและกำลังใจตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
“แปลกดีเหมือนกันที่เรายังสู้ได้มาจนถึงตอนนี้”
เสนาธิการอาวุโสเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ออร่ามองดูเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วรู้สึกถึงบางอย่างที่ร้อนวาบในอก พวกเขายังคงเชื่อมั่นในตัวเธอ แม้เธอเองจะเคยลังเลที่จะยอมจำนน
“เราควรลองบุกออกไปอีกครั้งไหม?”
“หรือเราจะเสแสร้งว่ากำลังบุกไปช่วยองค์หญิงเซเลีย เอสทรีย่าดี?”
“ท่านออร่า ข้าเกรงว่าเราคงตัดสินใจเองไม่ได้ กรุณาเข้าร่วมประชุมวางแผนรบเถิด”
พวกเขายังคงพร้อมจะสู้ต่อภายใต้บัญชาการของออร่า ถ้าเช่นนั้น—เธอก็ควรจะตัดสินใจเด็ดขาด ในเมื่อมีเหล่าผู้ที่เชื่อมั่นเช่นนี้ เธอก็ไม่ควรยอมแพ้
“เราไม่จำเป็นต้องออกไปพร้อมความตั้งใจจะสังหารศัตรูทั้งหมด”
ออร่าเดินไปยังโต๊ะอย่างเบาเท้า แล้ววางหมากลงบนแผนที่
“ฝ่ายศัตรูได้เปรียบ และยังแสดงอาการร้อนรน นั่นแปลว่าพวกเขากำลังกลัวอะไรบางอย่าง”
ต้องมีโอกาสอยู่ตรงนั้น—โอกาสที่จะเอาชีวิตรอด
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ พวกเขาก็ยังสามารถหาทางรอดได้ พวกเขาจะต้องไม่ละทิ้งชีวิตง่าย ๆ
“มีชีวิตอยู่ให้ถึงที่สุด แล้วจงชนะ”
ออร่าชูกำปั้นขึ้นสูง แล้วประกาศชัยชนะ ไม่มีผู้ใดคัดค้าน เสนาธิการทุกคนต่างพยักหน้าแรงด้วยแววตามุ่งมั่น
“ก่อนอื่น…เราต้องรอดให้พ้นจากการโจมตีในวันนี้”
ความคิดของออร่าชัดเจนขึ้น เธอไม่หลงทางอีกต่อไป สีหน้าเคร่งขรึมของเธอเปี่ยมไปด้วยพลัง
เหล่าเสนาธิการจึงรีบแยกย้ายไปประจำการตามกำแพงด้านต่าง ๆ อย่างกระตือรือร้น
บางคนอาจไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่ไม่มีใครเอ่ยอะไร ทุกคนต่างวิ่งออกจากหอคอยด้วยก้าวเท้าที่ไร้ซึ่งความลังเล
เมื่อออร่าออกมาสู่ลานภายในปราสาท สปิทซ์ก็เดินเคียงข้างเธอ
“ท่านออร่า แน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้?”
“แน่นอน ฉันจะไปยังทุกแนวกำแพงด้วยตัวเอง”
พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ลมเย็นเริ่มพัดแรงขึ้นจนทำให้ออร่าขนลุก แต่แสงจันทร์ก็ส่องผ่านกลุ่มเมฆลงมาให้ความอบอุ่นแก่เธอ
เมื่อออร่าปรากฏตัวในลาน ทหารที่รออยู่ต่างมองเธอด้วยแววตาหนักอึ้ง ทุกคนเต็มไปด้วยแผลและเลือดโชก
ออร่ากล่าวขอบคุณกับทุกคนที่ยังต่อสู้อย่างเต็มที่ แม้ว่าความตายจะใกล้เข้ามาเต็มที ตอนนี้เหลือทหารสำรองไม่ถึงร้อยคนแล้ว
“ข้าอาจจะช่วยไม่ได้มาก… แต่ข้าก็จะจับดาบร่วมต่อสู้ด้วย”
เสียงนั้นดังขึ้น—เป็นทหารชรา ทริส ที่ปรากฏตัว
แม้จะมีแผลเต็มร่าง แต่ในดวงตาเขาเต็มเปี่ยมด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยว
ออร่ากำลังจะถามด้วยความตกใจ แต่ทริสก็พูดขึ้นมาก่อน
“ท่านเซอร์เบอรัส…ตื่นขึ้นมาเมื่อครู่นี้”
ใบหน้าของออร่าขึ้นสีด้วยความดีใจ แต่เธอก็รีบเรียกสติกลับมาทันที
“เพราะอย่างนั้น… เพื่อปกป้องเซอร์เบอรัส ข้าจะไม่ยอมให้ป้อมนี้ล่ม”
“…ฝากด้วยนะ”
“หากท่านทริสร่วมรบกับเรา เราก็มีหนึ่งร้อยคนแล้ว”
ออร่าพยักหน้า ส่วนสปิทซ์ก็จับมือกับทริสอย่างยินดี
เหล่าทหารสำรองโดยรอบต่างร้องเพลงปลุกใจ เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังแทรกความเคร่งเครียด
แต่เมื่อเวลาเคลื่อนผ่าน ความตึงเครียดกลับยิ่งเพิ่มขึ้น
และแล้ว—เสียงตะโกนจากภายนอกป้อมมิตเต้ก็ดังขึ้น พร้อมกับฝีเท้าศัตรูที่สั่นสะเทือนพื้นดิน
เสียงฝีเท้าของกองทัพนับหมื่นดังสนั่นราวกับแผ่นดินไหว
“หมดเวลาแล้ว! เราจะเริ่มโจมตีเต็มกำลัง! จะไม่มีความปรานีอีกต่อไป!”
เสียงของสคาฮะดังชัดเจน ก้องสะท้อนอยู่ในหู นางช่างเป็นผู้นำที่แท้จริง
ออร่าตัดสินใจแน่วแน่ ดึงอาวุธภูติที่สะพายอยู่เอวออกมา
จากนั้น ประตูใหญ่ของป้อมก็สั่นสะเทือนพร้อมเสียงคำราม
แต่ในจังหวะนั้น สปิทซ์หันสายตาขึ้นไปยังทิศเหนือ
“พวกมันกำลังทำอะไรกับกำแพงเหนือ?”
แม้จะมีพลธนูอยู่ที่นั่น แต่จำนวนไม่พอแน่นอน ศัตรูสามารถบุกใกล้ประตูได้อย่างง่ายดาย
“หมอบลง!”
ออร่าตะโกนสั่งพลันยกโล่ขึ้นเหนือศีรษะ สปิทซ์ก็รีบทำตาม
เสียงดังเหมือนหินถล่มลงกระแทกลานกลางดังขึ้น
“ศัตรูมุ่งโจมตีที่กำแพงเหนือ!”
ออร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะสั่งให้ทหารสำรองเคลื่อนไปทางนั้น
“…ประตูเริ่มพังแล้ว”
ประตูแกว่งไปมาราวกับจะถูกกลไกถล่มทลายลง เสียงบดขยี้ดังไม่ขาดสาย ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว
ออร่ากำลังจะวิ่งไปเสริมกำลังที่ประตู—แต่ก็ล้มลงแรง
“…อึก ทำไม…?”
เธอเงยหน้าขึ้น เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“เธอต้องตายที่นี่ ขอโทษด้วย แต่ข้าต้องเอาชีวิตเจ้า”
ชายผู้สวมชุดทหารกล่าวพลางชักดาบจากเอว
ชายผู้นั้นเงื้อดาบขึ้น ฟันตรงเข้ามาด้วยแววตาไร้ความลังเล
“ท่านออร่า! หลบไป!”
เสียงของสปิทซ์ตะโกนเตือนอย่างร้อนรน แต่ระยะห่างระหว่างเขากับออร่ามันไกลเกินไป เขาไม่อาจช่วยเธอได้ทันเวลา
ออร่าเบิกตากว้าง พยายามยันกายลุกขึ้น แต่แรงของเธอไม่ทันใจ เวลานั้นช่างช้าเสียเหลือเกิน
ปลายดาบส่องแสงเย็นเฉียบสะท้อนแสงจันทร์ แล้วฟาดลงมาพร้อมเจตนาฆ่า
แต่แล้ว ร่างใหญ่ราวยักษ์ก็พุ่งเข้ามาระหว่างกลาง ราวกับลมหายใจของความตายถูกบดขยี้ในพริบตา
――ทริส
“…..เอ๊ะ?”
เสียงหลุดจากปากออร่าอย่างตะลึง และในวินาทีนั้นเอง เลือดก็พุ่งสูงจากแผ่นหลังของทริส สาดกระเซ็นไปในอากาศราวละอองหมอกสีชาด
กลิ่นคาวเลือดกระจายคลุ้ง เสียงร้องของเหล่าทหารเงียบกริบ ราวกับเวลาได้หยุดลง
“…ก่อฟุห์…อะ…”
เสียงครางแผ่วเบาจากทริส ก่อนที่ร่างของชายชราจะล้มลงทั้งตัว โครม! ร่างสูงใหญ่ทรุดฮวบลงราวต้นไม้ยักษ์ล้มครืน
แต่ผู้ที่ล้มไม่ใช่ทริส…
ชายที่ตั้งใจสังหารออร่าต่างหาก—ที่ร่างไร้ลมหายใจของเขาทิ้งตัวลงแน่นิ่งอยู่ข้างหลัง
“…มาทันสินะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เหมือนสายลมเย็นยะเยือกกระซิบผ่านกลางคืน
“หา? เจ้าเป็นใคร?”
ทริสหันหลังกลับทันที ด้วยสีหน้าตกตะลึง แล้วก็เบิกตากว้าง
ภายใต้แสงจันทร์อ่อนๆ ร่างของชายผิวคล้ำปรากฏขึ้น ผิวสีทองแดงแผ่ประกายระเรื่อจากเหงื่อและโลหิตเล็กน้อยบนใบหน้า
“เจ้าเป็นใครกันแน่!? มาจากไหน!?”
สปิทซ์ตะโกนเสียงดัง ขณะชี้ดาบไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ
แต่ชายคนนั้นยกมือสองข้างขึ้น ทำท่าโบกปัดเบาๆ พลางกล่าวเสียงลนลาน
“ใจเย็นๆ ข้าไม่ใช่คนแปลกหน้า! ข้าคือมุนิน! มาจากหน่วยพิเศษของท่านฮิโระ! ได้รับคำสั่งให้นำจดหมายมาส่งให้ท่านออร่า!”
แม้จะมีบาดแผลเล็กน้อยบนใบหน้าและท่าทางกร้านโลก แต่รอยยิ้มของเขากลับดูซื่อและจริงใจอย่างประหลาด เหมือนเป็นคนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา
“ท่านสปิทซ์”
ออร่าหันไปหาสปิทซ์ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ลดดาบลงเถอะ”
แม้จะลังเล แต่สปิทซ์ก็ยอมเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด ลดดาบลงและถอยออกเล็กน้อย
ออร่าเดินไปหามุนิน แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขา
“มุนิน…ใครกำลังมา?”
“ท่านฮิโระ”
คำตอบนั้นทำเอาออร่านิ่งงัน
…ฮิโระ?
เมื่อไรคือครั้งสุดท้ายที่เธอได้รับจดหมายจากเขา?
อาจจะเป็นเมื่อตอนที่เขาบอกว่าจะออกเดินทางไปยังอาณาจักรเลเวอริ่ง…
“มากี่คน?”
“หนึ่งพันห้าร้อย นายทหารจากหน่วยเรเว่นที่แข็งแกร่งที่สุด”
คำตอบทำเอาออร่าสะดุ้ง ทั้งร่างเหมือนร้อนผ่าวขึ้นมาในพริบตา
ชื่อของกองทัพเรเว่นถูกขนานนามว่า “แข็งแกร่งราวปีศาจ”—ไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปี ตำนานก็ยังคงอยู่
“…แม้แต่จอมมารเองยังมิอาจต้านทานกองทัพเรเว่นได้”
ออร่าพึมพำออกมาเบาๆ พลางกอดหนังสือประวัติของจักรพรรดิองค์ที่สองแน่น
แม้จะรู้ดีว่าเรื่องราวหลายอย่างในยุคโบราณถูกกล่าวเกินจริง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอคลายความรู้สึกศรัทธานั้นลงเลย
“แต่…นี่ไม่ใช่กองทัพเรเว่นในตำนานของ ‘เทพสงคราม’ ใช่ไหม? จะชนะพวกเฟลเซ็นได้จริงๆ เหรอ?”
สปิทซ์แทรกขึ้นมาอย่างไม่เชื่อ แต่มุนินกับออร่ากลับไม่แม้แต่จะหันไปมอง
“นี่คือจดหมายจากท่านฮิโระ ท่านต้องปฏิบัติตามคำสั่งในจดหมายนี้”
“เข้าใจแล้ว”
“ท่านฮิโระจะจัดการทุกอย่างเอง จงรอด้วยความภาคภูมิใจ”
ออร่ากางจดหมายออก ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องลอดก้อนเมฆ รอยยิ้มบางเบาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยแข็งกร้าว
“…ท่านออร่า? ท่านพบอะไรตลกในจดหมายหรือ?”
สปิทซ์เอ่ยถาม แต่เธอส่ายหน้าเบาๆ พลางเก็บยิ้มนั้นไว้ในใจ
จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง
“ท่านสปิทซ์ นำทหารทั้งหมดไปที่กำแพงด้านเหนือ และจุดคบเพลิงให้มากที่สุด”
“หะ…ทำไมล่ะ? ถ้าเรากระจุกกำลังไว้แค่ด้านนั้น มันอันตร…”
“แค่ทำตามก็พอน่า”
แววตาของออร่าราวกับคมมีดเย็นเยียบ สปิทซ์ชะงักนิ่งแล้วรีบโค้งหัวรับคำสั่ง
“ขอรับ! ไปเดี๋ยวนี้!”
เขารีบวิ่งออกไป พร้อมส่งความเคารพสุดท้าย
เมื่อเธอหันกลับไป มองหน้ามุนิน
“เจ้าจะอยู่ที่นี่?”
“แน่นอน ข้าเชื่อในท่านฮิโระ”
มุนินหัวเราะอย่างเบิกบาน
แสงจันทร์อันอบอุ่นส่องลงมายังพื้นดิน ขณะที่สายลมเย็นเยือกดุจคมมีดก็พัดผ่านทั่วผืนแผ่นดินเช่นกัน บนเนินเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางสายลมอันรุนแรง มีกลุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ สะท้อนแสงจันทร์สีดำสลัวจากฟากฟ้า
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่หัวแถว ฮิโระ ยื่นมือออกไปแตะแสงจันทร์เต็มดวง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาลึกซึ้งขึ้น
“จันทร์คืนนี้สวยดีนะ เหมาะกับการจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยล่ะ”
เมื่อเขามองลงไปยังเบื้องล่าง ก็สามารถมองเห็นป้อมมิตเต้ และกองกำลังหลงเหลือของเฟลเซ็นที่กำลังล้อมป้อมอยู่อย่างหนาแน่น
ฮิโระเดินทางจากแกรนด์ดัชชีแห่งดราลมายังดินแดนเฟลเซ็นภายในวันเดียว ทั้งที่ตามปกติจะใช้เวลาเดินทางถึงสามวัน มีเหตุผลที่ทำให้สามารถเดินทางมาได้เร็วขนาดนี้
นั่นก็เพราะเขาได้สั่งให้แม่ทัพบาคิชเตรียมม้าเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า การเคลื่อนพลแบบเร่งรัดเช่นนี้ ทำให้มีเพียง 1,500 จากทั้งหมด 3,000 นายเท่านั้นที่สามารถติดตามเขามาได้ ถือว่านับว่าน่าประทับใจมาก
“ฮูกินได้แฝงตัวเข้าไปในแนวข้าศึกแล้ว เราสามารถบุกได้ทุกเมื่อ”
“ดีเลย”
ตอนนี้เงื่อนไขในการช่วยเหลือหญิงสาวก็พร้อมครบถ้วนแล้ว
“กว่าจะมาถึงตรงนี้ ใช้เวลานานเหลือเกิน”
ฮิโระเรียกเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกมา แสงสีเงินเจิดจ้าท่ามกลางรัตติกาลสาดส่องลงบนเหล่าทหารราวกับปลอบประโลมความเหนื่อยล้าของพวกเขา ฮิโระจับด้ามดาบของเอ็กซ์คาลิเบอร์ไว้แน่นก่อนจะก้าวลงจากที่สูงอย่างช้า ๆ
“ตอนนี้ก็แค่รอสัญญาณเท่านั้น”
คำสั่งที่เขาส่งถึงออร่ามีเพียงเรื่องง่าย ๆ เป้าหมายคือเพื่อกระจายกองกำลังศัตรู และดึงสายตาทั้งหมดให้จับจ้องมายังป้อมมิตเต้
“ออร่าเริ่มลงมือแล้ว ดูเหมือนมุนินจะลอบเข้าไปได้สำเร็จด้วย”
เขามองเห็นเปลวเพลิงมากมายถูกจุดขึ้นที่กำแพงด้านเหนือของป้อมมิตเต้ พร้อมกันนั้นศัตรูก็เริ่มโจมตีกำแพงอีกด้านที่มีการป้องกันน้อยกว่า จากตัวป้อม เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วอากาศจนถึงหูของฮิโระ คงเป็นกลยุทธ์เพื่อยั่วยุและดึงความสนใจ
“ทุกท่าน ขอบคุณที่ติดตามข้ามาถึงที่นี่”
ฮิโระชักดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกมาเงียบ ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง เขามองใบหน้าของเหล่าทหารที่ยืนรอคำสั่งอยู่ ด้วยแสงจันทร์ เขาสามารถมองเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกขอบคุณเอ่อล้นจากใจ และรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
“จงอุทิศชัยชนะนี้แด่ราชาแห่งภูติ”
เมื่อหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้ง ฮิโระยกปลายดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ขึ้นชี้ฟากฟ้า มีเสียงถอนหายใจด้วยความชื่นชมดังขึ้น บัดนี้ ฮิโระผู้ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์คือราชาวีรบุรุษแห่งทวิอัสนีอย่างแท้จริง
ไม่มีใครในที่นี้ที่สงสัยว่าเขาคือ “เทพเจ้าแห่งสงคราม” ที่กลับมาเกิดใหม่ในยุคปัจจุบัน เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่าชัยชนะเป็นสิ่งที่รับประกันได้
“ไปกันเถอะ”
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้วาทศิลป์ใด ๆ ในการสังหารศัตรู และไม่จำเป็นต้องอธิบายความงดงามของมันในการรบ
พวกเขาต้องการสิ่งใด ต้องการพูดอะไร สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็น เพียงแค่จ้องมองแผ่นหลังของชายผู้นั้นก็พอ
เขาคือสัญลักษณ์ของสงคราม
เขาคือผู้เหนือกว่าทุกอำนาจ
เพราะฉะนั้น แม้เทพเจ้าแห่งสงครามจะไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงการมีอยู่ของเขาก็สามารถปลุกเร้าจิตใจผู้คนได้
“――กองทัพทั้งหมด บุก!”
ฮิโระตวัดดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ลง พร้อมกับวิ่งนำลงจากเนินก่อนใคร มังกรเร็วที่เขาขี่อยู่พุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วจนเหล่าอัศวินม้าคนอื่นไม่อาจตามทัน แต่เรื่องนั้นไม่มีปัญหา
ฝ่ายศัตรูกำลังจับจ้องไปยังป้อมมิตเต้อย่างเต็มที่ จึงไม่มีใครระวังด้านหลัง หากเป็นเช่นนั้น แม้จะมีความล่าช้าเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา การจู่โจมโดยไม่ให้ทันตั้งตัวเช่นนี้จะต้องประสบผลแน่นอน
กองกำลังหลงเหลือของเฟลเซ็นคงคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งชัยชนะของพวกเขา และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเผลอเปิดช่องทางให้ฝ่ายฮิโระเจาะเข้าได้ง่ายดาย
“พวกมันมาจากไหนกันแน่?”
ทหารศัตรูที่ได้ยินเสียงกีบม้าดังมาจากข้างหลังรีบหันกลับไปมอง แต่สายเกินไปแล้ว
“ศัตรู――!?”
ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ฮิโระก็ฟันคอศัตรูขาดกระเด็น ก่อนจะพามังกรพุ่งเข้าใส่แถวศัตรูอย่างดุดัน กองทัพ “เรเว่น” ที่ตามมาด้านหลังก็กรูกันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุเดือด
เกราะถูกบดขยี้ใต้กีบม้า เสียงเหล็กหนักบิดเบี้ยวแหวกอากาศยามราตรีดังสะท้อนก้องไม่หยุด
กองกำลังเฟลเซ็นที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับการจู่โจมเช่นนี้ ถูกกวาดล้างลงอย่างไร้ทางสู้ ราวกับเข็มแหลมที่พุ่งเข้าแทงศัตรูตรงหน้า ทัพ “เรเว่น” พุ่งทะลวงอย่างแม่นยำ สังหารทุกคนที่อยู่ในเส้นทางของพวกเขา
กองทัพเฟลเซ็นที่มีไว้สำหรับสงครามล้อมเมือง ประกอบด้วยทหารราบเบาเป็นหลัก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่มีโล่ที่จะหยุดยั้งพลังทะลวงของทหารม้าได้เลย ทัพ “เรเว่น” จึงไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้ แม้พวกเขาจะพยายามใช้พลธนู ก็สายเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้ทัพเรเว่นได้เข้ามาอยู่ในแนวหน้าเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนทวนยาว แม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ถูกจัดไว้ในตำแหน่งของทหารที่มีหน้าที่ขว้าง จึงถูกวางไว้แนวหน้าของแนวล้อม
หากจะพูดถึงแนวหลัง ก็คือหน่วยสำรอง ซึ่งถึงแม้จะมีหนามเรียงราย แต่หากห่างกันเกินไปก็ไร้ผล และหน่วยเหล่านี้ก็มักจะไม่ระวังภัย เป็นการง่ายสำหรับทหารม้าหากจะบุกเข้าจู่โจมด้วยความเร็วเต็มพิกัด
เมื่อศึกกลายเป็นการสู้ระยะประชิดที่ทั้งมิตรและศัตรูปะปนกัน ผู้นำก็ไม่อาจสั่งการได้ ท่ามกลางความสับสนและความเร่งรีบที่มาพร้อมกับความคับข้องใจ ทุกคนก็วิ่งเข้าสู่ความตายอย่างไม่รู้ตัว
และเมื่อไม่มีผู้นำให้ยึดเหนี่ยว ทหารก็เริ่มแตกกระเจิง ยิ่งเวลานี้เป็นยามค่ำคืน การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือด เสียงตะโกน เสียงหวีดร้อง เสียงร่ำไห้ เสียงคำราม รวมกันจนกลายเป็นสนามรบแห่งความตาย
“พี่ชาย!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ฮิโระหรี่ตาลงก่อนจะมองหาเสียงนั้น และพบว่าฮูกินกำลังโบกคบไฟเพื่อบอกตำแหน่งของเธอ
นั่นมันบ้าบิ่นเกินไป… แสงไฟแบบนั้นจะดึงศัตรูเข้ามาอีก
แต่เมื่อเขาไปถึงก็พบว่าความกังวลของตนเป็นเรื่องไม่จำเป็น ศัตรูทุกคนที่พยายามเข้าใกล้ฮูกิน ต่างถูกยิงด้วยธนูอย่างแม่นยำจนสิ้นใจโดยไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
“ไปสู้กับกาด้าเถอะ”
เขากระโดดลงจากมังกรเร็ว ลูบคอมันเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาฮูกิน
“…พี่ชาย”
“เจอลิซรึยัง?”
เมื่อฮิโระถามออกไป สีหน้าของฮูกินก็หมองลงทันที เธอก้มหน้าลงด้วยแววตาหนักอึ้ง
“อะ…อืม… เจอแล้วล่ะ”
“เธออยู่ที่ไหน?”
ดูจากที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อาจหมายความว่าเธอได้รับบาดเจ็บ ลิซมักจะชอบแกล้งทำเซอร์ไพรส์ ถ้าเป็นปกติคงโผล่มากอดทันที แต่… ในสถานการณ์แบบนี้ คงเป็นไปไม่ได้
“อยู่ตรงนั้น”
ฮูกินชี้ไปยัง… ก้อนน้ำแข็ง
ฮิโระแทบกลั้นลมหายใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในน้ำแข็งนั้น
เธอเป็นคนที่มักจะสนุกกับการปรับแต่งเครื่องแบบทหารของตัวเองอยู่เสมอ ถึงขั้นเคยถามฮิโระอยู่หลายครั้งว่าวันนี้เธอเปลี่ยนตรงไหนบ้าง
แต่ตอนนี้ เครื่องแบบสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอถูกฉีกขาดอย่างน่าเกลียด
ใต้รอยขาดนั้นเผยให้เห็นผ้าพันแผลพันรอบตัวแน่นหนาราวกับมัมมี่ บนหน้าผากมีรอยกรีดลึก บนแก้มและปากเต็มไปด้วยบาดแผล
“อ-อะ…”
นี่คือการพบกันอีกครั้งที่เขารอคอยมาแสนนาน แต่ไม่เคยต้องการให้มันเกิดขึ้นในสภาพเช่นนี้
เขาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาวที่ถูกแช่แข็งในก้อนน้ำแข็งนั้น
ยื่นมือออกไปหาเธอ… ทว่า กลับสัมผัสไม่ได้
กำแพงเยือกเย็นที่จับต้องไม่ได้ขวางกั้นระหว่างเขากับเธอ แม้กระทั่งตอนนี้ ความขมขื่นและความแค้นก็ยังไม่จางหายไป ดาบจำนวนมากยังคงเสียบตรึงลงบนผิวน้ำแข็งราวกับสาปแช่ง
“…..”
เขาไม่อาจเปล่งวาจาใดออกมาได้ แม้จะสัมผัสผิวน้ำแข็ง เขาก็ไม่รู้สึกถึงแม้แต่น้อยว่าชีวิตของเธอยังหลงเหลืออยู่
แม้จะลองถาม “เลวาทีน” ซึ่งเป็นภูติที่สถิตอยู่ในอาวุธของเขา ก็ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา
ฮูกินยืนอยู่ด้านข้าง มองฮิโระที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน ไม่มีคำใดกล้าหลุดจากริมฝีปากของเธอ
“ขอโทษนะ… ผมมาช้าอีกแล้ว…”
หากตอนนั้นเขาทิ้งแผนการทุกอย่าง แล้วมุ่งหน้าไปช่วยเธอแต่แรก… เธอคงไม่ต้องกลายเป็นแบบนี้
“พี่ชาย… ต้องมีวิธีช่วยลิซแน่…”
ฮูกินเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ก่อนจะเงียบไปอย่างกะทันหันและก้าวถอยหลัง
“…พี่ชาย?”
ความมืดดำอันหายนะเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างของฮิโระ
มันเป็นสีดำที่ดำสนิทราวกับเหวลึก… คลุ้มคลั่ง… ดุร้าย… เยือกเย็นเสียจนทุกสรรพสิ่งรอบข้างสะท้าน
มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองเพียงพอที่จะทำให้ใจใครก็ตามแตกสลายด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ในมือของฮิโระ… เริ่มสั่นไหว
――ดาบสีเงินที่เคยเปล่งประกายงดงาม บัดนี้กลับค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยความมืดมิด และหยุดนิ่งอยู่ในสภาพที่คล้ายกับดาบปีศาจ
เวลาได้ย้อนกลับไปเล็กน้อย――
แนวหน้าของกองทัพหลงเหลือแห่งเฟลเซ็นที่ปิดล้อมป้อมมิตเต้ถูกห้อมล้อมด้วยไอร้อน ลุกโชนด้วยเปลวไฟจากกองไฟนับไม่ถ้วน แสงวาบนั้นสะท้อนบนใบหน้าของเหล่าทหารเฟลเซ็นที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังแนวกำแพงเบื้องหน้า ที่ซึ่งบันไดหลายอันถูกตั้งไว้เรียงราย
“สารจากกองบัญชาการ! แนวที่สองจงบุก! ย้ำอีกครั้ง ― แนวที่สองจงบุก!”
เสียงแตรศึกดังขึ้นจากทั่วทุกทิศ แหวกอากาศยามค่ำคืนและสะท้อนก้องขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม! จงต่อสู้อย่างกล้าหาญ!”
เสียงตะโกนร้อนแรงจากผู้บัญชาการแนวหน้าทำให้แนวที่สองส่งเสียงตอบรับ แล้วพุ่งไปยังแนวบันไดอย่างบ้าคลั่ง
ลมหนาวจากเทือกเขาทราวันต์ถูกบดขยี้ด้วยคลื่นความร้อนที่ปลดปล่อยจากเหล่าทหารเฟลเซ็นที่วิ่งเข้าหาศัตรู
“ยิงธนู! คุ้มกันแนวหน้า!”
ลูกธนูนับร้อยพุ่งขึ้นกลางอากาศ มองไม่เห็นแม้แต่เงาในความมืด ราวกับเสียงของปีกปีศาจที่หายลับไปในรัตติกาล ทว่ามันพุ่งโค้งตกสู่ป้อมมิตเต้ เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านใน
คล้ายเป็นแรงผลัก เสียงกรีดร้องนั้นยิ่งกระตุ้นแนวที่สองให้กรูกันขึ้นบันไดด้วยกำลังทั้งหมด
แต่ศัตรูก็ไม่ได้นิ่งเฉย พวกเขาทุ่มทุกสิ่งเพื่อป้องกันป้อมมิตเต้ ― ทุ่มหินร่วงลงจากกำแพง พลิกบันได ราดน้ำเดือดลงเบื้องล่าง
“แต่อีกไม่นาน ป้อมนี้จะพังทลาย”
สคาฮะ ผู้บัญชาการแห่งกองทัพกู้ชาติเฟลเซ็น กล่าวอย่างเงียบงันจากเต็นท์บัญชาการ นางจับจ้องแผนที่เบื้องหน้า ขณะข้ารับใช้รอบกายเร่งส่งคำสั่งผ่านเหล่าผู้ส่งสาร
“เจ้าชายบลูทาร์คนที่สาม อยู่ที่ไหน?”
“กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ทว่า หน่วยเบี่ยงเบนความสนใจดูจะได้ผลดี ทำให้คาดว่าจะใช้เวลาอีกสามวัน”
รัชขบหมัดแน่นด้วยความยินดีที่พวกเขาซื้อเวลาไว้ได้ แต่เขาก็รู้ดี ― ในสนามรบ อะไรก็เกิดขึ้นได้
“ดี… ถ้างั้นเราจะถอนแนวหลังระดับหนึ่ง ส่งทหารมาสมทบแนวหน้า”
สคาฮะส่งสัญญาณให้ผู้ส่งสาร ทันใดนั้น ชายคนนั้นก็ค้อมศีรษะก่อนวิ่งหายเข้าไปในความมืด
สายตาของสคาฮะกลับไปจับจ้องที่ป้อมมิตเต้อีกครั้ง
“…ดูเหมือนศัตรูจะรู้แล้วว่าเรากำลังโหมกำลังที่แนวหน้า”
เปลวไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดบนกำแพงป้อม เงามืดของทหารศัตรูเคลื่อนไหววุ่นวายราวกับกำลังรวมพล
“ไม่ต้องปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้ว… ที่สำคัญคือ มันสายเกินไปที่พวกมันจะรู้ตัว เรากำลังปีนขึ้นกำแพงอยู่แล้ว”
รัชกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะเหล่าเสนาธิการพยักหน้าเห็นด้วย
“เราเตรียมเครื่องกระแทกแบบฉุกเฉินไว้แนวหน้า น่าเสียดายที่สร้างหอไต่กำแพงไม่ทัน… ขอโทษด้วยที่ไม่อาจทำตามความคาดหวังของท่านสคาฮะได้”
“ไม่ต้องใส่ใจ เจ้าแค่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ก็สมควรได้รับคำชมแล้ว”
“ท่านสคาฮะ…”
“แต่เหนือสิ่งอื่นใด การรบยังไม่จบ อย่าได้เผลอไป”
สีหน้าของสคาฮะแข็งกร้าวขึ้น นางกวาดตามองเหล่าข้ารับใช้
“อย่าได้ประมาท ศัตรูของเราคือ ‘เทพธิดาแห่งสงคราม’… อาจมีไม้ตายบางอย่าง หากเผลอ เรานั่นแหละจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง”
“รับทราบ!”
ทันใดนั้นเอง――
“รายงานด่วน! รายงานด่วน!”
ผู้ส่งสารคนหนึ่งพรวดเข้ามา ใบหน้าเปรอะเหงื่อและฝุ่น
“เกิดอะไรขึ้น?”
สคาฮะถามด้วยคิ้วขมวด
“ศัตรูโจมตีจากแนวหลัง! ผู้บัญชาการแนวหลังร้องขอกำลังเสริม!”
“…แนวหลัง?”
“ธงของพวกมันคือ ― มังกรดำคาบดาบขาวเงิน!”
เสียงของผู้ส่งสารเปี่ยมด้วยแรงกดดัน
“ต้องเป็น ‘มังกรตาเดียว’! ทายาทแห่งเทพสงคราม!”
ทันใดนั้น ห้องบัญชาการกลายเป็นโกลาหล ใบหน้าของเหล่าเสนาธิการซีดเผือดทีละคน
“เหลวไหล! เขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่!”
“ใช่! ทัพของท่านปุพเชนถึงถอนออกจากเฟลเซ็นก็เพราะเชื่อแบบนั้น!”
“เจ้าคงเข้าใจผิดแน่! พวกมันมีแค่ห้าพัน แต่บุกเข้าไปในดัชชีดราลที่มีกองทัพกว่าสามหมื่น?”
“แต่ผืนธงนั้นแน่นอน! เป็นธงของเทพสงคราม!”
แม้จะถูกตะโกนใส่จากทุกทิศทาง ผู้ส่งสารก็ดิ้นรนเพื่อจะสื่อถึงความเร่งด่วน
“นี่มันเวลากลางคืน! เจ้าอาจมองผิด!”
“ไม่ต้องตรวจแล้วล่ะ”
“ท่านสคาฮะ…?”
“หากเราตื่นตระหนกเกินไป นั่นก็เท่ากับว่าเราเข้าทางศัตรู คิดให้สงบเสียก่อน”
สคาฮะกล่าวด้วยความหนักแน่น เสียงของนางดับเสียงโกลาหลทั้งห้อง
“แล้วจะกลัวอะไร? แค่ชื่อของศัตรูอย่างนั้นหรือ?”
“แต่ว่า…”
“อย่าให้ชื่อศัตรูมาบดบังเป้าหมายของพวกเรา เรามีหน้าที่หยุดทัพแกรนซ์ ― หรือไม่ก็ทำลายพวกมัน!”
จากนั้น สคาฮะก็หยิบหอกสีน้ำเงินคู่ใจขึ้น ก่อนหันหลังเดินออกจากเต็นท์
“ข้าจะไปสกัดศัตรูที่แนวหลัง”
“ข้าไปนำม้าให้ท่าน!”
รัชหายลับไปในความมืด ขณะเหล่าเสนาธิการต่างคุกเข่าลง
“ข้าขอบใจทุกคน… การที่เรามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะพวกเจ้าทุกคน”
นางแตะบ่าพวกเขาทีละคน กล่าวคำขอบคุณด้วยแววตาอ่อนโยน
“และนี่คือคำสั่งสุดท้ายจากทายาทแห่งราชวงศ์เฟลเซ็น…”
“หนีไปงั้นเหรอพูดบ้าๆ”
เสียงนั้นสั้น แต่กลับบาดลึกดั่งดาบปักอก
“ทำไมล่ะ พวกเจ้า?”
“เราจะร่วมรบกับท่าน!”
“ใช่! พวกเราจะไม่ทิ้งท่านไว้เบื้องหลัง!”
“นี่ยังไม่ใช่จุดจบ!”
พวกเขาตะโกนอย่างเจ็บปวด แต่สคาฮะก็ตอบกลับด้วยเสียงแข็งกร้าว
“ในนามของราชวงศ์ นี่คือคำสั่งสุดท้าย!”
เหล่าเสนาธิการแทงดาบลงดิน
“งั้นให้กุดหัวเราตก ณ ที่นี้!”
“หากต้องเป็นภาระ ก็ให้เราสิ้นตรงนี้!”
“อย่าดูแคลนกันนัก!”
จากนั้นรัชก็กลับมาพร้อมม้าในมือ
“ยอมแพ้เถิด ท่านสคาฮะ… ท่านคือราชินีของพวกเรา”
“พวกเราจะไม่ละทิ้งท่านอีกแล้ว”
เมื่อเผชิญกับความจงรักภักดีนั้น สคาฮะก็หัวเราะเบา ๆ
“งั้นพวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ ทำลายป้อมมิตเต้ซะ!”
“เอ๊ะ!? มันก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ!”
“พวกเจ้าดื้อจนฝ่าฝืนคำสั่งไปแล้ว ก็อดทนไว้เถิด!”
“ข้าจะไปล่าหัวมังกรตาเดียวด้วยตัวข้าเอง!”
รัชจะค้าน แต่สคาฮะห้ามไว้
“ที่แนวหลังมันชุลมุนเกินกว่าจะพาใครไป… ข้าไปคนเดียวนี่แหละ”
หอกศักดิ์สิทธิ์ “กาเอ โบล์ก” จะเปิดทางให้แก่ข้า
“รัช เจ้าอยู่ที่นี่ ปกป้องกองบัญชาการไว้”
“เข้าใจแล้ว…”
“แล้วฝากที่เหลือไว้ด้วย!”
สคาฮะกระชากบังเหียน ม้ากระทืบเท้าส่งเสียงคำรามราวสวรรค์ประกาศการมาเยือน
—
เมื่อนางมาถึงแนวหลัง… มันคือ “นรก” ที่แท้จริง
เสียงกรีดร้อง เสียงไฟไหม้ เสียงกระดูกแตกสะท้านแผ่นดิน
“ศัตรูมาถึงขนาดนี้แล้วหรือ…?”
นางฟาดฟันไปแล้วถึง 28 ศพ แต่หากปล่อยไว้นานกว่านี้ ศัตรูอาจเข้าถึงกองบัญชาการได้
“ข้าจะเอาหัวเจ้ามา!”
“เจ้ามาขวางข้ารึ?”
ฟั่บ! ศัตรูถูกเสียบทะลุคอ เลือดสาดกระเซ็น
สุดท้าย สคาฮะก็มาถึงเป้าหมาย ― ตรงจุดที่องค์หญิงลิซถูกแช่แข็ง
นั่งอยู่ข้างหน้าคือชายหนุ่มผู้แผ่รัศมีแห่งความยิ่งใหญ่จนขนลุก
นั่นแหละ “มังกรตาเดียว”
“เจอเจ้าแล้ว!”
นางพุ่งเข้าใส่ศัตรูพร้อม “กาเอ โบล์ก” ในมือ ขณะที่ทหารศัตรูหันมาโอบล้อม
การฟาดฟันเกิดขึ้นอย่างโหดเหี้ยมจนเลือดฉีดทะลัก ป่นสมองแตกกระจาย
“ท่านฮูกิน! พาท่านฮิโระหนีไป――!”
“ฝันไปเถอะ!”
สายฟ้าสีฟ้าพุ่งทะลุร่างศัตรู ร่างร่วงลงบนพื้น
“ห้ามฆ่าผู้หญิงหรือเด็ก มันขัดต่อเกียรติแห่งอัศวิน!”
สคาฮะจ้องสาวผิวแทนที่เล็งธนูมาทางนาง
แม้จะตัวสั่น แต่นางยังไม่ถอย
“เจ้ากล้าเอาผู้หญิงมาบังหน้าอีกหรือ!”
เสียงของนางดังทะลุสนามรบ ประกาศตำแหน่งของมังกรตาเดียวให้ทุกคนรู้
“อัปยศยิ่งนัก!”
“หากเจ้าไม่สู้… ข้าจะเอาหัวเจ้า!”
ปลายหอกของ “กาเอ โบล์ก” ชี้ไปยังชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยบารมี…
เขารู้สึกเหมือนกำแพงบางอย่างกำลังถูกทำลายลง แต่สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกทำลาย มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ปกป้องความเป็นมนุษย์ของมนุษย์เอาไว้
ถึงกระนั้น เมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระงับความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ
ความเกลียดชังกลายเป็นความโกรธ ความโกรธกลายเป็นความเศร้า ความเศร้ากลายเป็นเสียงหัวเราะ
เมื่ออารมณ์ไหลเวียนไปเช่นนั้นอย่างไม่รู้จบ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือความว่างเปล่า ทว่าความรู้สึกของมนุษย์ช่างเป็นสิ่งแปลกประหลาด มันไม่ได้หายไปง่ายๆ มันยังคงคุกรุ่นอยู่ที่ไหนสักแห่งที่เขาเองก็ไม่รู้
พวกมันโผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ใหญ่โตเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด เหตุผลมลายหาย กลายเป็นอสูร สัญชาตญาณถูกเปลือยเปล่าให้เห็น
――ผู้คนเรียกสิ่งนั้นว่า “จิตสังหาร”
“พี่ชายคะ…?”
ฮูกินสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารอันผิดปกติที่แผ่ออกมาจากฮิโระ
“…เจ้าจะนิ่งเงียบไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
อัศวินหญิงผู้ยืนอยู่ใกล้ฮูกินเอ่ยขึ้น
เธอโผล่มาโดยไม่รู้ตัว และก็สังหารลูกน้องของฮูกินลงในชั่วพริบตา
ฮูกินรู้ดีว่าเธอไม่มีทางสู้กับอัศวินหญิงคนนี้ได้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ได้เห็นฝีมือหอกของอีกฝ่ายขนาดนั้น และเพราะแบบนั้นเองจึงมีสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
“เฮ้! อย่าเข้ามานะ!”
ฮูกินยกคันธนูขึ้นและเล็งลูกศรไปที่อัศวินหญิง เธอไม่อยากให้หญิงผู้นั้นยั่วยุฮิโระไปมากกว่านี้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ เดินตรงเข้าหาฮิโระ
“ข้าคือฮารัน สคาฮะ เด เฟลเซ็น ข้าขอถามนามของเจ้า… เจ้าคือใคร?”
แน่นอนว่า ฮิโระไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเพียงจ้องมองลิซด้วยดวงตาอันว่างเปล่า
“เฮ้ บอกให้หยุดไง อย่ามายุ่งกับพี่ชายนะ!”
ฮูกินกัดฟันอย่างขัดใจ เธอสบถในใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมฟัง ทำไมถึงเก่งขนาดนั้นแต่กลับไม่รับรู้ถึงสภาพของฮิโระเลย?
ความรู้สึกของฮูกินไม่อาจถ่ายทอดไปถึงเธอ อัศวินหญิงจ้องมองฮิโระด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมา
“ข้าทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อเข้าสู่สงครามนี้ และในที่สุดก็เดินทางมาถึงจุดที่สามารถล้างแค้นได้ แล้วเจ้ายังมาขวางทางและไม่แม้แต่จะบอกชื่อตัวเองอีก!”
เสียงของเธอดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ฮิโระก็ยังไม่หันมามอง
“หึ อย่ามาล้อเล่นกันนักเลย!”
สคาฮะผู้ขาดความอดทน คว้าหอกของตนพุ่งเข้าหาฮิโระ
“อย่าแตะต้องพี่ชายของข้านะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตี ฮูกินก็ยิงธนูทันที แต่ทั้งหมดกลับถูกปัดตกลงหมด
“ถ้าคิดจะท้าทายจักรพรรดิแห่งภูติทั้งห้า ― กาเอ โบล์กละก็ จงเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ”
สคาฮะเตือนฮูกิน
“…จักรพรรดิแห่งภูติทั้งห้าหรือ?”
ฮูกินเคยได้ยินเรื่องของพวกจักรพรรดิแห่งภูติทั้งห้าจากฮิโระมาก่อน เขาเคยบอกเธอว่าถ้าเจอเข้าก็ให้รีบหนีให้ไกล นั่นทำให้ฮูกินฉุกคิดขึ้นมา
บางทีอาจเป็นเพราะกาเอ โบล์กที่ทำให้สัญชาตญาณในการรับมือกับภัยอันตรายของเธอลดลง
“สำหรับอัศวินแล้ว การโจมตีจากด้านหลังเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่กับคนที่ไม่รู้มารยาทล่ะก็ ไม่มีเหตุผลให้ต้องยั้งมือ!”
เธอเตะพื้นพุ่งตัวขึ้น หอกถูกเหวี่ยงลงจากฟากฟ้าเหมือนจะปักลงกลางพื้นดิน หากเป็นคนธรรมดาคงไม่สามารถหลบได้ และพลังของมันคงเป่าร่างให้กระเด็นไปไกล ทว่า ชายเสื้อของ “แบล็คคามิเลีย” กลับกระเด้งปลายหอกออกอย่างเหลือเชื่อ แถมยังเหวี่ยงกลับอย่างเฉียบคม
“ชิ อะไรกันนั่น?”
สคาฮะหันตัวหลบได้ทัน โดยแลกกับผิวแก้มเล็กน้อยที่ถูกเฉือน ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก หอกสีดำก็ถูกขว้างมาอีกครั้ง เธอถอยหลังพร้อมใบหน้าที่เปื้อนเลือด แม้จะถอยแล้วแต่การโจมตีก็ไม่หยุด
“ผ้าคลุมประหลาดอะไรแบบนี้――!”
ถ้าแสดงความลังเลก็ต้องตาย ถ้าหวาดกลัวก็ต้องตาย ถ้าเกรงกลัวก็ต้องตาย การต่อสู้จึงกลายเป็นการตั้งรับที่ไม่แม้แต่จะให้กระพริบตา
สคาฮะผู้สามารถรับมือกับหอกสีดำที่พุ่งมาอย่างไม่หยุดหย่อนก็คืออสูรเช่นกัน เธอปัดการแทงที่จ่อหัวใจแล้วลงพื้นจนฝุ่นคละคลุ้ง
“แฮ่ก…แฮ่ก… อะไรกันน่ะ?”
เธอที่หอบหนักเงยหน้าขึ้นมอง…
“—ตะ…ตอนไหนกัน…”
ฮิโระยืนอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว ระยะห่างถูกลดลงอย่างไม่รู้ตัว แต่ประหลาดคือ ไม่มีใครโจมตีอีกฝ่ายเลย
สคาฮะจ้องเขม็งอย่างขมขื่น
ฮูกินเองก็เป็นนักรบ เธอรู้ว่าทำไมสคาฮะถึงหยุดการเคลื่อนไหว
――เพราะดวงตาสีดำ
“เข้าใจแล้ว… เนตรสวรรค์สินะ?”
สำหรับผู้ที่อุทิศชีวิตให้กับศิลปะการต่อสู้ มันคือสุดยอดขั้น เป็นขอบเขตที่มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่เข้าถึงได้
ความสามารถในการมองเห็นอนุภาคแห่งลมหายใจ การจับการเคลื่อนไหวของอากาศ การตระหนักรู้ถึงทุกสิ่ง
“ในร่างเล็กขนาดนี้ เจ้ามีพลังมากแค่ไหนกัน… เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
เมื่อสคาฮะพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้า ฮิโระก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
ความเงียบ ― ไม่สิ มันคือความเงียบที่ถูกกดทับด้วยแรงกดดัน ฮิโระกล่าวชื่อของตนออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
“ฮิโระ เรย์ ชวาร์ซ ฟอน แกรนซ์…”
เขายกมือขวาขึ้นสัมผัสที่ผ้าปิดตาซ้ายของตน
บรรยากาศแตกสลายด้วยแรงมหาศาลที่ปะทุออกมา พลังมหาศาลกดทับทุกสิ่ง ความมุ่งร้ายและเจตนาสังหารปะปนกันจนก่อเกิดเป็นพื้นที่ผิดเพี้ยนและแปลกประหลาด
ในห้วงนั้น ฮิโระกล่าวคำที่ดูเหมือนจะละลายไปกับความมืด
――นั่นคือชื่อของคนที่จะฆ่าเจ้า
ทันทีหลังจากนั้น ฮิโระผู้เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความมืดก็ฟาดดาบใส่อย่างเต็มแรง สคาฮะรับดาบได้ทัน แต่แรงปะทะนั้นรุนแรงถึงขั้นทำให้พื้นยุบ
“กั๊ก!?”
ทันใดนั้น ขาขวาของฮิโระก็พุ่งเข้ามาจากมุมสายตา สคาฮะยกแขนซ้ายขึ้นป้องกัน แต่รับแรงนั้นไม่ไหว จึงปลิวกระเด็นไปเหมือนฝุ่นผง
“ไม่เลวนี่… ทีนี้ตาข้าบ้างแล้ว”
เธอลงพื้นปุ๊บก็พุ่งเข้าโจมตีทันที หัวหอกเล็งจุดตายอย่างแม่นยำ แต่ฮิโระก็ตวัดดาบปัดป้องได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สคาฮะกลับยังยิ้มอยู่แม้การโจมตีทั้งหมดจะล้มเหลว
“หึ งั้นข้าจะแสดงให้ดูพลังของข้า!”
เสียงของสคาฮะสูงแต่สงบ ชัดเจนดั่งสายลม
“พรแห่กาเอ โบล์ก” ― “การโจมตีพิเศษ” เมฆกลืนกลบหมู่ดาว พายุอำนาจเถื่อนเริ่มก่อตัว
“กาเอ โบล์กเคยบอกข้าว่าเจ้าใช้พลังของเอ็กซ์คาลิเบอร์”
หอกน้ำแข็งที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศถูกสร้างขึ้นกลางบรรยากาศ ครอบคลุมท้องฟ้า อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนบนพื้นดินหยุดเคลื่อนไหวและเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ! กาเอ โบล์ก จงสังหารศัตรูของข้า!”
เมื่อสคาฮะเหวี่ยงแขนลง หอกน้ำแข็งก็ตกลงดั่งห่าฝน กลุ่มควันสีขาวปกคลุมพื้นที่ พื้นดินแตกสลาย แผ่นดินสั่นสะเทือน
แต่ฮิโระเพียงยืนมองภาพนั้นอย่างไร้อารมณ์ ไม่คิดจะหลบเลยสักนิด
“พี่ชาย! หนีไปเถอะ!”
เสียงกรีดร้องของฮูกินดังขึ้น ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ไร้ประโยชน์ พื้นที่ที่ฮิโระยืนอยู่นั้นถูกปกคลุมด้วยหอกน้ำแข็งไปหมดแล้ว
ฮูกินทรุดลงด้วยความช็อก แต่สคาฮะกลับถอนหายใจด้วยความทึ่ง
“ยังไม่ตายงั้นเหรอ… แต่ก็น่าประหลาดใจ การโจมตีพิเศษใช้ไม่ได้เลย”
เมื่อสายลมพัดเมฆขาวออกไป เผยให้เห็นอากาศเย็นยะเยือกที่แม้หายใจก็แทบกลายเป็นน้ำแข็ง ฮิโระก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เป็นอะไรเลย ราวกับรอบตัวเขามีเพียงหลุมว่างเปล่า ไม่แม้แต่หอกน้ำแข็งจะเจาะเข้าไปได้
“…..เข้าใจล่ะ นั่นคือแบล็คคาเมเลียสินะ”
สคาฮะถอยห่างออกมาในขณะที่หอบเหนื่อย
“แต่นั่นก็เป็นพลังที่น่าเกรงขามจริงๆ… เจ้าเข้าถึงระดับไหนกันแล้ว? หรือว่า… ในเมื่อใช้พลังขัดแย้งกันสองอย่างได้โดยไม่เสียสติ เจ้าจะเป็นอะไรกันแน่?”
ฮิโระยังคงนิ่งเฉย ไม่ตอบคำพูดของเธอ
เขาเพียงจ้องมองไปที่สคาฮะเท่านั้น นั่นทำให้เธอขนลุกซู่ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังไล่ล่าเธออยู่
“และยังมีอีก… ข้าเดาว่าเป็นเนตรสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่กาเอ โบล์กปฏิเสธไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น… เจ้าเป็นอะไรกันแน่?”
“…..”
เช่นเดิม ฮิโระยังคงไม่พูดอะไร สคาฮะถอนหายใจอย่างยอมแพ้และยกหอกขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะถามคำตอบจากร่างกายของเจ้าโดยตรง อย่าคิดว่าแบล็คคาเมเลียจะปกป้องเจ้าได้ตลอด”
ลมเย็นไหลออกมาจากหอกน้ำแข็ง ควันสีเทาหล่นลงปกคลุมพื้นโลก
“ไม่มีสิ่งใดที่กาเอ โบล์กแทงไม่เข้า”
――ทะลวงฟ้ามลายสิ้น (Divine Piercing) (TN: คิดชื่อให้มันเบียวๆนี่ยากแท้)
พลังงานมหาศาลระเบิดออก หอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ฮิโระดุจสายฟ้าฟาด
แต่ฮิโระกลับควบคุมแบล็คคาเมเลียอย่างช่ำชอง ขยายปีกผ้าคลุมและกลืนหอกน้ำแข็งลงไป สคาฮะตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า
“นั่นแค่อุบาย ― ที่จริงแล้ว ตัวจริงอยู่เหนือหัวเจ้านั่นต่างหาก”
เธอยิ้มแล้วชี้ขึ้นฟ้า
เมื่อฮิโระเงยหน้ามองขึ้นไป ก็พบว่า หอกน้ำแข็งของจริงกำลังพุ่งลงมา เปล่งเสียงคลื่นอันเยือกแข็งไปทั่วทางที่มันผ่าน แบล็คคาเมเลียยังคงย่อยหอกก่อนหน้าอยู่ ทำให้เขาไร้การป้องกัน
“น่าเสียดาย ขาของเจ้าถูกแช่แข็งด้วย ‘การโจมตีพิเศษ’ ไปแล้ว… หนีไม่รอดหรอก”
สคาฮะ กล่าวด้วยเสียงแผ่ว เธอใช้พลังมากเกินไป ใบหน้าสวยงามเริ่มแสดงความอ่อนล้า แต่เธอก็ยังฝืนหายใจอย่างหนัก และชี้กำปั้นไปที่ฮิโระ
“ชัยชนะเป็นของข้า”
“กาเอ โบล์ก” โถมเข้าใส่ฮิโระราวกับจะบดขยี้ เขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมกับฝุ่นควันมหาศาลตลบอบอวล ฮิโระถูกแรงระเบิดปลิวกระเด็นไปกระแทกกับก้อนน้ำแข็งที่ลิซถูกกักขังไว้ ร่างของเขาหายลับไปกับฝุ่นควัน
――เขากลับมาได้สติขึ้นในชั่วพริบตา
ฮิโระหอบหายใจหนัก ร่างกายเจ็บปวดรุนแรงจนเหมือนมีตะกั่วถ่วงไว้ตรงสีข้าง
“อึก… อ๊ากกก…”
ดวงตาที่ก่อนหน้านี้พร่ามัวกลับแจ่มชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความมืดที่เคยครอบงำจิตใจก็สลายไป เขาพิงตัวกับกำแพงหนาด้านหลัง พลางมองลงมายังบาดแผลข้างลำตัว เลือดไหลออกมาไม่หยุด ราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิดจนสุด
“…นานแล้วสินะที่ไม่ได้เห็นเลือดตัวเองแบบนี้”
นี่คงเป็นผลกรรมจากการถูกความโกรธครอบงำจนละเลยการควบคุม แต่เพราะแบบนั้น เขาจึงตื่นขึ้นมาได้
ที่จริงแล้ว ความเย็นที่สัมผัสหลังช่วยบรรเทาไฟที่กำลังเผาผลาญร่างกายของเขาได้ เหมือนมีใครบางคนพยายามบอกให้เขาใจเย็นลง
เขาหันไปมองข้างหลัง เห็นลิซที่ถูกขังอยู่ในกรงน้ำแข็ง
“…ขอบใจนะ เธอทำให้ผมกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง”
แววตาของฮิโระบิดเบี้ยวด้วยความเศร้า เขาค่อย ๆ ยืนขึ้น
บาดแผลขนาดใหญ่ที่ข้างลำตัว… ได้ปิดสนิทไปแล้ว ฮิโระรู้สึกไม่สบายใจกับพลังฟื้นฟูของตนเองอย่างเลือนราง
“ผม…กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?”
เขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองหลงทางตรงจุดไหน ทิ้งความรู้สึกไว้ที่ไหน คำถามว่าเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ แวบเข้ามาในหัว
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่หลังรับการโจมตีเต็มแรงของข้าได้ยังไง?”
เสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจดังขึ้น
ฮิโระหันไปมองในทิศทางนั้น ฝุ่นที่ลอยคลุ้งถูกลมหนาวพัดพาให้จางหาย
สคาฮะ มองฮิโระด้วยแววตาน่าสงสัย ปิดไม่มิดความตกตะลึง
“เจ้ายังไม่ตาย? เจ้าเป็นมนุษย์จริง ๆ เหรอ? มันเหมือนกับว่า—”
“ไม่ต้องพูดต่อแล้ว ผมแค่ทนทานกว่าคนทั่วไปเท่านั้นแหละ”
ฮิโระตัดบท พร้อมกับเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางสบาย ๆ ในมือของเขาคือดาบเงินขาว “เอ็กซ์คาลิเบอร์”
สคาฮะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เธอยก “กาเอ โบล์ก” ขึ้นเหนือหัว
ทันใดนั้น เธอรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน พื้นดินแตกระเบิดดังลั่น และร่างของเธอถูกฝังลงไปถึงข้อเท้า
“ได้เวลาแสดงของจริงแล้ว”
ฮิโระยกมือขวาขึ้นแล้วดีดนิ้ว เสียง “เป๊าะ” ดังขึ้น พื้นที่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว รอยร้าวปรากฏขึ้นในอากาศ และจากนั้น อาวุธภูติจำนวนมหาศาลก็ปรากฏออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
อาวุธภูติล่องลอยกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนดั่งดวงดาวที่ประดับฟ้า เบื้องหน้าแสงอัศจรรย์นี้ สคาฮะได้แต่มองอย่างตะลึงงัน
ราวกับสวรรค์และโลกสลับที่กัน แสงอ่อนโยนส่องลงมาอย่างอบอุ่น
“เข้าใจล่ะ… นายมันแปลกแยกจริงๆ”
สคาฮะชู “กาเอ โบล์ก”
“งั้นก็มาเต็มที่กันเถอะ”
ฮิโระเองก็ชู “เอ็กซ์คาลิเบอร์”
“ใช่ ฉันเหลือพลังไม่มากแล้ว เพราะงั้นจะทุ่มไปกับการโจมตีนี้”
สคาฮะกระโดดถอยหลัง ดาบน้ำแข็งอยู่ที่ด้านหลังของเธอ พลังจักรพรรดิของเธอแผ่กระจายออกมา ราวกับอากาศกำลังถูกฉีกทึ้ง
พรแห่ง “กาเอ โบล์ก” ― “การโจมตีพิเศษ”
น้ำรอบตัวสคาฮะถูกแช่แข็ง กลายเป็นหอกน้ำแข็งจำนวนมาก ทุกเล่มเล็งไปยังชายหนุ่มเพียงผู้เดียว — ฮิโระ
“…..”
ฮิโระกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะตั้งท่า ไม่มีความรู้สึกใดหลงเหลือ มีเพียง “ความว่างเปล่า” ทว่า พลังจักรพรรดิที่แผ่ออกมานั้นล้นเหลือ
ฮิโระก้าวเท้าไปข้างหน้า ดินใต้ฝ่าเท้าระเบิดออก เพราะทนพลังไม่ไหว
พรแห่ง “เอ็กซ์คาลิเบอร์” ― “ความเร็วศักดิ์สิทธิ์” (TN: จำไม่ได้ล่ะว่าก่อนหน้านี้แปลว่าไง)
อาวุธภูติรอบตัวเขาปล่อยแสงสว่างรุนแรง ทั้งหมดเล็งไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียว — สคาฮะ
และจากนั้น — โลกก็สั่นสะเทือน
ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ตัดสินในเสี้ยววินาที แต่สำหรับฮูกิน ผู้เฝ้ามอง มันเหมือนนิรันดร์กาล
การประจันหน้าของพลังจักรพรรดิทั้งสอง เหมือนศึกนับล้านครั้งซ้อนทับกัน ความเร็วเกินสายตามนุษย์จะติดตามได้
นี่คือขอบเขตสัมบูรณ์ — ศึกของผู้ถือครอง “ดาบจักรพรรดิภูติ” ทั้งห้า
แม้แต่ฮูกินยังไม่รู้ว่าใครได้เปรียบ จนกระทั่งรู้ตัวอีกที — ผลแพ้ชนะก็ปรากฏแล้ว
“…ข้าแพ้เหรอ?”
สคาฮะนอนหงายอยู่กับพื้น ท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติ มีเพียงรอยแผลทั่วร่าง แต่ไม่มีบาดแผลร้ายแรง
“ยังไม่ถึงตายงั้นเหรอ…”
เธอกัดฟันพยายามลุกขึ้น
“ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ ยังล้มไม่ได้…”
แต่สุดท้ายเธอก็ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น ไม่มีแรงเหลือในแขนขา เธอเริ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ ทุบหัวลงกับพื้น
“…น่าเจ็บใจเหลือเกิน”
ฮิโระเดินเข้ามาเงียบ ๆ เสียงฝีเท้าทำให้สคาฮะเงยหน้าขึ้นมอง
“จะฆ่าข้าเหรอ?”
“…..”
ฮิโระไม่ตอบ เพียงชี้ปลายดาบ “เอ็กซ์คาลิเบอร์” มาที่เธอ
“ข้าอยากให้เจ้าไปบอกบูซ ผู้ว่าการเฟลเซ็น กับเจ้าชายรัชทายาทแซทโทเบล”
“บอกอะไร?”
“ว่าข้าจะฆ่าพวกมัน ถึงต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม”
ความเกลียดชังของเธอแผ่ซ่านจนสคาฮะขนลุก
“ขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอก”
“ถ้าเธอไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เราทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่อยากเล่า”
สคาฮะเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าด้วยความเศร้าและเริ่มเล่า
เธอรอดจากภัยพิบัติเพราะไปศึกษาต่างแดน แต่เมื่อกลับมา เมืองหลวงก็ถูกทำลายย่อยยับ ประชาชนที่เหลือถูกรังแกโดยทหารแกรนซ์ พี่ชายของเธอถูกประหาร พี่สาวถูกแซทโทเบลลักพาตัวไปและส่งหัวกลับมาให้เธอ
“เห็นไหม ไม่มีอะไรน่าพอใจเลยใช่ไหมล่ะ?”
“…นั่นมัน…”
“พอเถอะ เอาหัวข้าไปสิ”
เธอยื่นคอให้อย่างสง่างาม
“เธอมีความแค้นแรงกล้า แต่ยอมตายง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ?”
“เพราะข้าเองก็คงมีเหตุผลของข้า”
สคาฮะมองไปที่ลิซที่ถูกแช่แข็ง ฮิโระก็มองตาม ก่อนจะหันกลับ
“ใช่ ถ้าลิซตาย ผมคงฆ่าเธอไปแล้ว”
แต่ลิซยังไม่ตาย ถ้าเธอจะฆ่าจริง ก็ไม่จำเป็นต้องจับมาแช่แข็ง การแสดงความโหดร้ายอย่างมีศิลป์แบบนั้นไม่ใช่วิธีของฆาตกร
“ทำไมถึงไม่ฆ่า?”
“…ข้าไม่อยากฆ่าผู้หญิงหรือเด็ก ข้าไม่มีปัญหาส่วนตัวกับเธอด้วย ดังนั้น ในฐานะเชื้อพระวงศ์ของเฟลเซ็น ข้าไม่มีสิทธิ์พรากชีวิตของเธอ”
“เรื่องของศักดิ์ศรีสินะ”
เธอพยักหน้า
“ศักดิ์ศรีที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ฉัน จะไม่มีวันถูกทำลาย”
ฮิโระยิ้มออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอเหมือน “คนนั้น” เหลือเกิน
“ขำอะไร?”
“เปล่า แค่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ น่ะ”
จากนั้นฮิโระก็กลับมาเคร่งขรึม
“ผมจะไว้ชีวิตเธอ”
“…อะไรนะ?”
เธอดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ผมไม่สงสารเธอ และไม่ได้เคารพความรู้สึกของเธอด้วย ผมแค่รังเกียจที่พวกตัวการที่สร้างเรื่องทุกข์ร้อนให้กับคนอื่นยังอยู่ดีมีสุข แล้วให้เธอมาตายแทนเนี่ยนะ บ้าบอสิ้นดี”
“…ทำไมถึงให้อภัยข้า?”
เสียงของสคาฮะเต็มไปด้วยความสับสน เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เข้าใจแล้ว… เธอน่ะ…”
ฮิโระเข้าใจในทันทีว่าเธอกำลังอยากตาย เพื่อชดใช้ที่ปกป้องครอบครัวไว้ไม่ได้ และใช้ผู้อื่นในเส้นทางแห่งการล้างแค้น
“เราทุกคนต่างอยู่ด้วยราคาที่ต้องจ่าย ถ้าอยากชดใช้ก็เลือกตายได้ แต่นั่นมันแค่การหนี และการปลอบใจตัวเอง”
ฮิโระโน้มตัวลงกระซิบข้างหูเธอ
“ถ้าเธอยังอยากตายอยู่ ผมจะพาเธอตายไปพร้อมกัน แต่จากนี้ไป เธอจะทำงานเป็นมือและเท้าของผม”
คำพูดนี้เกือบจะเป็นคำสั่ง แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้ เธอคงจะเลือกตายจริง ๆ
เขาจึงมอบ “ความหวัง” ให้เธอด้วย
“เมื่อถึงเวลา…”
คำพูดถัดไปถูกกลบด้วยเสียงไชโยโห่ร้องของทหารแกรนซ์
แต่แน่นอนว่า หญิงสาวที่เบิกตากว้างคนนั้นต้องได้ยิน และเมื่อเวลาผ่านไป ใจของเธอก็เริ่มเข้าใจ แววตาของเธอสว่างขึ้นอีกครั้ง เธอพยักหน้าอย่างแรง
วันที่ 25 พฤศจิกายน ปีจักรวรรดิที่ 1023 — ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่การปิดล้อมป้อมมิตเต้ ในวันนั้น เหล่าทหารเฟลเซ็นที่เหลืออยู่จำนวนมาก เมื่อเห็นว่าตนพ่ายแพ้ ก็ฉวยโอกาสในความมืดหลบหนีไป
หลังจากนี้จะไม่มีการสู้รบครั้งใหญ่ แต่จะยังมีการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทั่วไป ความโกรธแค้นของชาวเฟลเซ็นจะไม่หายไปเพียงเพราะพวกเขาแพ้ และตราบใดที่พวกเขายังถูกกดขี่ พวกเขาก็จะไม่สามารถกลับคืนสู่สันติภาพได้
คงจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าสันติภาพจะกลับคืนสู่เฟลเซ็น จักรวรรดิแกรนซ์ จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลกับภูมิภาคเฟลเซ็นต่อไป
ภูมิภาคเฟลเซ็นเองก็อ่อนล้าเพราะสงครามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย ทหารก็ไร้ที่ไป มีทั้งโจร ปล้นสะดม ผู้ก่อการกบฏ ฯลฯ ไม่นานนัก การปล้นสะดมจะกระจายไปทั่ว และสัตว์ประหลาดที่ได้กลิ่นเลือดก็จะเริ่มบุกหมู่บ้าน
เมื่อถึงตอนนั้น จะต้องมีการระดมกำลังทหารครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย
(แต่ทางตะวันตกเองก็ไม่สามารถรับภาระนั้นได้)
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป—ฮิโระถอนหายใจยาวพลางสรุปกับตัวเอง
ขณะนี้เขาอยู่ในห้องพยาบาลชั่วคราวภายในลานของป้อมมิตเต้ เตียงที่ปูด้วยผ้าสะอาดตั้งอยู่ตรงหน้าเขา
ผู้ที่นอนหลับอยู่บนนั้นอย่างสงบคือ ลิซ ฮิโระบีบมือนุ่มของเธอเบาๆ
“ใช่แล้ว ทริสกับเซอร์เบอรัสปลอดภัย ทั้งสองคนบาดเจ็บ แต่หมอทหารบอกว่ายังแข็งแรงดี พวกเขากินอาหารเยอะ และดูไม่เป็นอะไร”
“…..”
ไม่มีคำตอบใด ฮิโระหลับตาลงด้วยความเศร้า
“──… เหลือแค่เธอเท่านั้น ทุกคนกำลังรอให้เธอตื่นขึ้นมา”
ฮิโระพยายามพูดต่อ ทั้งที่พยายามกลั้นความรู้สึกที่จุกอยู่ในลำคอไม่ให้พรั่งพรูออกมา
“ครั้งนี้ตรงกันข้ามกับวันนั้น ผมจำได้ว่าเธอเป็นห่วงผมแค่ไหนในวันนั้น”
เมื่อตอนที่ฮิโระใช้พลัง “เนตรสวรรค์” แล้วถูกนำกลับมาสู่โลกนี้ ความรู้มากมายถาโถมเข้าใส่จนเขาไม่อาจรับมือได้ เธอคือผู้ที่ดูแลชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกัน ทั้งที่อาจจะยังไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดให้เขา แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ความเมตตาของเด็กสาวก็ซึมซับเข้าไปในใจเขา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เมื่อรู้สถานการณ์ของลิซ เขาจึงตั้งสัตย์ปฏิญาณกับตนเองว่าจะสนับสนุนเธอ เขาจะไม่มีวันลืมคำสัตย์ที่เธอให้ไว้ในวันนั้น แต่ความรู้สึกนั้น…อยู่ห่างไกลนัก
“ลิซ… เธอคิดว่าผมกำลังพยายามทำอะไรอยู่?”
เขาสงสัยว่าเธอจะคิดอย่างไรหากรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเขา ซึ่งเขาไม่เคยบอกใครเลย สำหรับฮิโระแล้ว บทสรุปได้ถูกตัดสินไว้แล้ว และคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้น…
“ได้โปรด เมื่อถึงเวลา ขอให้มันเป็น――ของเธอ”
ด้วยรอยยิ้มที่ดูแคลนตัวเอง ฮิโระลูบมือของลิซเบาๆ ซึ่งยังมีรอยแผลสดใหม่
และแล้ว…
“…ขอทราบอาการของลิซด้วย”
“――!?”
จู่ๆ มีเสียงเรียกจากด้านหลัง ฮิโระจึงหันไปด้วยความตกใจ
“…มีอะไรหรือ?”
ที่ทางเข้าห้องพยาบาล ออร่ากำลังยืนอยู่ที่นั่น ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะของเธอช่างดูเจ็บปวดเหลือเกิน
“มานานแค่ไหนแล้ว?”
“อืม… เพิ่งมาถึงเอง”
ออร่าเบือนสายตาจากลิซไปยังฮิโระด้วยแววตาหนักอึ้ง เต็มไปด้วยความละอายใจ
“ขอโทษด้วยนะคะ”
ออร่ายกมือไหว้ฮิโระทันที
“ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ขอโทษแล้วจะจบได้ค่ะ”
เธอกำมือแน่น และจ้องตาเขาด้วยความมุ่งมั่น ไม่ยอมให้หยาดน้ำตาไหลออกมา เป็นเรื่องหายากที่ออร่าผู้เคร่งขรึมจะแสดงอารมณ์เช่นนี้
“ฉันขอรับผิดชอบทั้งหมดเองค่ะ”
เธอจึงเตรียมใจยอมรับบทลงโทษทุกอย่าง
เธอเองก็อาจเป็นอีกหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีวันลบเลือนจากการสู้รบที่ผ่านมา ไม่มีถ้อยคำใดที่สามารถปลอบเธอได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะเอ่ยคำปลอบใจ
ดังนั้น ฮิโระจึงเพียงยิ้มและพูดว่า
“ผมดีใจที่เธอปลอดภัยดี”
“――!?”
ออร่าหลับตาลงแน่นเม้มปาก กลั้นน้ำตา
“แผนของออร่าไม่ได้ผิด ผมคิดว่ามันเป็นแผนที่ดีและมีการคิดอย่างรอบคอบ”
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าแผนล้มเหลว และก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อจักรวรรดิแกรนซ์
แม้ฮิโระจะพยายามพูดช่วย แต่ออร่าก็จะต้องได้รับผลกระทบบางประการแน่นอน
“อนาคตนั้นมืดมน ตำแหน่งของเธอก็ยืนอยู่บนเส้นด้าย”
ออร่าพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แววตาของเธอบ่งบอกว่าเตรียมใจยอมรับผลลัพธ์แล้ว
“แต่ฮิโระลำบากกว่าดิฉันมาก”
เขาไม่เพียงทำให้แกรนด์ดัชชีแห่งดราล ถอนตัวออกจากเฟลเซ็นเท่านั้น ยังทำให้จักรวรรดิแกรนซ์ต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียบางส่วนจากการสู้รบ
ที่สำคัญที่สุด เขาช่วยลิซ—ผู้ถือครองหนึ่งในห้าดาบภูติจักรพรรดิ และยังช่วยออร่าจากการโดดเดี่ยว ความดีความชอบของเขานั้นนับไม่ถ้วน
เหล่าขุนนางฝ่ายกลางที่นำโดยตระกูลโครเน่ และเหล่าผู้สืบทอดบัลลังก์ที่แอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง นำโดยเจ้าชายแซทโทเบล จะต้องออกมาเปิดเผยตัวในเวทีการเมืองแน่นอน
“ผมรู้ดี แต่ฉันจะไม่ประมาท และจะไม่หยิ่งผยอง”
ฮิโระจึงตั้งปณิธานใหม่เพื่อปกป้องทุกคน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต ออร่ารับรู้เจตนานั้นและพยักหน้าเห็นด้วย
แล้วราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ออร่าก็เอียงคอเล็กน้อย
“ฉันเรียก… ผู้ว่าการเขตเฟลเซ็น บูซ มาที่ศูนย์บัญชาการแล้ว”
“ขอบใจ งั้นถ้าอย่างนั้น ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
“อืม”
“ระหว่างนั้น ฝากลิซด้วย หมอบอกว่าเธอน่าจะตื่นเร็วๆ นี้”
“งั้นบางทีอาจจะรอไว้ก่อนก็ได้”
“ไม่ ผมอยากจัดการเรื่องนี้ให้จบก่อนที่ลิซจะตื่น”
พูดจบ ฮิโระก็ออกจากห้องพยาบาล ปล่อยให้ออร่ารับหน้าที่ต่อ ขณะที่เขาก้าวออกไป แสงอาทิตย์ยามเช้าก็ทักทายเขา เหล่าทหารยังคงวุ่นวายกับงาน
พวกเขากำลังทำความสะอาดป้อมมิตเต้เพื่อป้องกันโรคระบาด เก็บศพ และภารกิจอื่นๆ ที่ไม่น่ารื่นรมย์ แต่ไม่มีใครบ่น ต่างทุ่มเทกับหน้าที่
ฮิโระเดินลงจากบันไดของป้อมปราการโดยไม่พูดอะไร เขามุ่งหน้าไปยังลานกว้างเบื้องล่างซึ่งเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าของทหารที่กำลังจัดการกับซากศพและสิ่งสกปรกจากสมรภูมิเมื่อสามวันก่อน บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและความตึงเครียด แต่ฮิโระเดินฝ่าทุกสิ่งไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เขาเดินผ่านกลุ่มทหารที่ทำความเคารพด้วยท่าทางเร่งรีบ พวกเขาต่างรู้ดีว่า ฮิโระไม่ใช่แค่เชื้อพระวงศ์ธรรมดา แต่เป็นผู้นำที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในสนามรบ
เมื่อเดินห่างจากความวุ่นวาย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้า พระอาทิตย์เริ่มทอแสงลอดผ่านเมฆบาง ๆ เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังท่ามกลางความสูญเสีย
ฮิโระหยุดยืนอยู่ตรงกลางลาน และหลับตาลงชั่วครู่ ลมหายใจแผ่วเบากระทบอากาศเย็นของฤดูใบไม้ร่วง
“ขอโทษนะ… ที่ฉันยังไม่สามารถนำสันติภาพมาสู่พวกเธอได้…”
เสียงกระซิบเบาราวกับสาบานกับดินแดนนี้ — กับผู้คนที่จากไป กับผู้คนที่ยังอยู่ และกับตัวเอง
ระหว่างทางไปยังแนวกำแพงจากสถานที่วุ่นวายเช่นนั้น ฮิโระเรียกทหารลาดตระเวนบางคนแล้วสั่งให้พวกเขาตามเขาไป
ศูนย์บัญชาการตั้งอยู่เหนือประตูหลัก ภายในหอคอยขนาดเล็กที่สร้างติดกับแนวป้อม
มีชายหลายคนยืนรออยู่ที่ทางเข้า และหนึ่งในพวกเขาก็ก้าวออกมายืนขวางหน้าฮิโระ
“ข้ารอท่านอยู่”
นั่นคือ สปิทซ์ หนึ่งในผู้ช่วยของออร่า
ใบหน้าหล่อเหลาของเขา ซึ่งหากเดินอยู่บนถนนก็อาจเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ได้แน่ บัดนี้กลับหม่นหมองเพราะความเหน็ดเหนื่อยและการอดนอน รอบ ๆ นั้น ผู้ช่วยของออร่าต่างยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พาพวกเขามาที่นี่แล้วครับ”
สปิทซ์ใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตูด้านหลังเขา
จากนั้นเขาก็ยืดตัวตรง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง และก้มศีรษะต่ำ ผู้ช่วยของออร่าคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ก็กระทำตามสปิทซ์ทันที
“ข้าขอขอบพระคุณท่านจากใจจริง”
ท่าทีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากจากสปิทซ์ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้นั้นอันตรายเพียงใด
ฮิโระตบไหล่ของสปิทซ์เบา ๆ และส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ตาม สปิทซ์ก็ยังคงก้มศีรษะต่ำโดยไม่ยอมเงยขึ้น
“ข้าขอร้องในเรื่องของเจ้าหญิงเซเลีย เอสทรีย่า แม้อาจจะดูเหมือนเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว แต่ขอท่านได้โปรดมอบความเมตตาต่อพลตรีหญิงออร่าด้วย ความผิดในครั้งนี้มิใช่ความผิดของนาง หากแต่เป็นของพวกเราที่ไม่อาจทำภารกิจให้สำเร็จได้”
พวกเขาดูราวกับจะบอกว่า “จะเอาหัวพวกเราก็เอาไปเถอะ” บรรยากาศมันให้ความรู้สึกเช่นนั้น
“ขอความกรุณาองค์ชายฮิโระได้โปรดทูลขอความเมตตาจากจักรพรรดิด้วย!”
ฮิโระคิดในใจว่า บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของออร่าช่างห่วงใยเธอเหลือเกิน
“ไม่เป็นไร ถึงเธอจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงโทษได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็น่าจะรอดจากโทษหนัก”
“ท่านพูดจริงหรือ!?”
เมื่อสปิทซ์เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาของออร่าก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ใช่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล กลับไปทำงานของพวกนายเถอะ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”
“ครับ! ขอฝากท่านออร่าด้วย!”
พวกเขาก้มศีรษะอย่างลึกอีกครั้ง และฮิโระก็พยักหน้าให้พวกเขาถอยไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
จากนั้น เขาเคาะประตูหอคอยเล็กนั้นสองครั้ง แล้วจึงก้าวเข้าไปพร้อมกับทหารยาม
“ขอโทษที่ให้รอ”
ภายใน ผู้ว่าการภูมิภาคเฟลเซ็น บูซ ฟอน โครเน่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ากังวล
“อ-องค์ชายฮิโระ!”
ทันทีที่บูซเห็นฮิโระ เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และทำความเคารพ ฮิโระมองเขาเงียบ ๆ โดยไม่ตอบรับการเคารพนั้น แล้วจึงพูดขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าถูกเรียกมาที่นี่เพราะอะไร?”
“…..ม-ไม่ ข้าไม่รู้”
บูซดูสับสน เขาดูเหมือนไม่เข้าใจจริง ๆ
“งั้นก็มาดู ‘เขา’ ก่อน เจ้าจะได้รู้ว่าถูกเรียกมาทำไม”
ฮิโระชี้ไปยังหนึ่งในทหารยามที่เขาพามาด้วย
“นานแล้วสินะ… ลอร์ดบูซ”
ทหารคนนั้น — รัช — ถอดหมวกเหล็กของเขาออกแล้วจ้องบูซด้วยสายตาเคียดแค้น
“ม-ไม่นะ เจ้า… ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
เป็นเรื่องธรรมดาที่บูซจะตกใจ รัชเป็นชายที่เคยรับใช้ สคาฮะ ผู้นำกองกำลังหลงเหลือแห่งเฟลเซ็น และก่อนหน้านั้น เขาคือผู้บัญชาการราชองครักษ์ที่ปกป้องราชวงศ์เฟลเซ็น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง — เขาคือศัตรู คนที่ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่เลย
“องค์ชายฮิโระ! นี่มันหมายความว่าอย่างไร!?”
ฮิโระแสดงสีหน้าสงบเมื่อบูซตะโกนถาม
“ข้าตัดสินใจจะร่วมมือกับพวกเขา ข้าต้องมอบเจ้าให้พวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าข้าแค่พูดลม ๆ แล้ง ๆ”
“ม-ไม่จริง! ท่านพูดบ้าอะไร — เฮ้ พวกเจ้าทำอะไรน่ะ!?”
ทหารคนอื่นที่ไม่ใช่รัช — ซึ่งรับหน้าที่เป็นทหารยามของฮิโระ — เข้าควบคุมตัวบูซที่กำลังตะโกน พวกเขาก็เป็นทหารจากกองกำลังหลงเหลือของเฟลเซ็นเช่นกัน
หลังจบศึก ฮิโระได้ส่งรัชและทหารอีกไม่กี่นายแทรกซึมเข้าไปในป้อมมิตเต้
ทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายดาย ตำแหน่งของเขาทำให้ไม่มีใครสงสัยการกระทำของเขาในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ เขาแค่ส่งพวกเขาออกลาดตระเวนในนามของกองทัพเรเว่น
“องค์ชายฮิโระ ถ้าท่านฆ่าข้า ท่านจะลำบากหนักแน่!”
ฮิโระสูดหายใจพร้อมแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับเสียงโวยวายของบูซ
“ช่วยอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยสิ?”
“ถ้าข้าหายตัวไป ตระกูลโครเน่จะต้องสงสัยแน่! และแน่นอน พวกเขาจะสงสัยท่าน — ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางตะวันออก ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะต้องกลายเป็นศัตรูกับขุนนางฝั่งศูนย์กลาง!”
“แล้วไงล่ะ?”
“ฮะ อะไรนะ?”
บูซพูดไม่ออก ฮิโระจึงหันไปมองทหารที่จับตัวบูซไว้
“อ๊ากก!”
บูซโดนกระแทกเข้าที่ท้ายทอยและล้มลงกับพื้นตาขาว ฮิโระมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าเริ่มหมดความอดทนแล้วนะ”
ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน พฤติกรรมเลวทรามของตระกูลโครเน่ก็อยู่ตรงหน้าตลอด มันไม่เพียงน่ารำคาญ — พวกนั้นยังพยายามเอาชีวิตเขา
“ตระกูลโครเน่ก็จะล่มสลายในไม่ช้า พวกเขาจะตามเจ้าไปในไม่ช้านี้แหละ”
ฮิโระกล่าวพลางมองดูบูซถูกยัดใส่กระสอบป่าน
จากนั้น รัชก็เดินเข้ามาหาเขา
“องค์ชายฮิโระ ขอบพระคุณสำหรับความร่วมมือ”
“ยังเร็วไป ข้ายังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย”
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็รู้สึกเป็นหนี้ท่าน ขอบพระคุณจริง ๆ”
“งั้นผมขอแนะนำให้พวกเจ้ารีบออกจากป้อมนี้ก่อนที่ลูกน้องของบูซจะรู้ตัว ผมไม่อยากให้โอกาสนี้เสียเปล่า”
รัชพยักหน้าและสั่งให้คนของเขายกกระสอบที่มีร่างของบูซไว้ขึ้นแบก
ในสถานการณ์ปกติ การกระทำเช่นนี้อาจดูน่าสงสัย แต่ที่ป้อมมิตเต้ ซึ่งผู้คนกำลังวุ่นกับการจัดการศพ ไม่มีใครมีเวลามาสงสัยอะไรอีก พวกเขาจึงสามารถหลบหนีออกไปโดยไม่โดนสกัด
“ขอตัวก่อน”
“โปรดส่งข้อมูลที่ได้จากเขาให้ข้าด้วย”
“แน่นอน ข้าจะพยายามรีดข้อมูลให้ได้มากที่สุด”
หลังจากโค้งคำนับ รัชก็จากไปพร้อมกับลูกน้อง ฮิโระมองพวกเขาจากไป แล้วจึงเดินลงบันไดจากหอคอยของศูนย์บัญชาการอย่างเงียบงัน
(ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตระกูลโครเน่จะต้องลงจากเวที)
และหากเป็นเช่นนั้น ― องค์ชายรัชทายาทที่หนึ่ง แซทโทเบล ย่อมไม่อยู่นิ่งเฉยแน่
เขาจะต้องมายืนขวางหน้าฮิโระอย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ฮิโระจะต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหน สถานการณ์อาจกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ต่อไป
(ผมมีไพ่ในมืออยู่พอสมควร… หากเล่นให้ดี ก็ยังพอมีโอกาสชนะ)
ฮิโระไม่ได้มุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลที่ลิซพักอยู่ แต่เดินออกไปยังภายนอกป้อมมิตเต้แทน
บาดแผลแห่งสงครามยังคงสดใหม่ ศพที่อยู่ใกล้ ๆ ถูกจัดการก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคระบาด แต่ก็ยังคงมีอีกหลายร่างที่อาจถูกฝังอยู่ใต้เต็นท์ที่ถูกไฟไหม้
ที่นี่คือค่ายของกองทัพหลงเหลือแห่งเฟลเซ็น
ดาบและหอกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ท่ามกลางความเงียบของซากปรักหักพัง ไฟที่ยังคุกรุ่นเผาใบไม้สีเขียว ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ที่ปะปนในอากาศ
ฝูงอีกาจำนวนมากบินวนอยู่รอบ ๆ คงถูกดึงดูดด้วยกลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่
ในที่สุด ฮิโระก็หยุดอยู่ตรงจุดหนึ่ง มันคือเต็นท์ที่ใหญ่กว่าเต็นท์อื่น ๆ ที่ถูกทิ้งไว้
ถ้าจะให้บอกว่ามันอยู่ตรงไหน ก็คงจะเป็นใจกลางค่าย ― เต็นท์ของผู้บัญชาการ ฮิโระเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
“ตามคาด… เธออยู่นี่สินะ”
เขาเดินเข้าไปในพื้นที่กว้างด้านหลังเต็นท์ ที่ซึ่งมีหญิงสาวนั่งพับเพียบอยู่
“เป็นเจ้านี่เอง…”
เธอหันกลับมา ― ฮารัน สคาฮะ เด เฟลเซ็น
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่า รัชได้จับบูซไว้ได้แล้ว”
สคาฮะวางมือทั้งสองลงบนพื้น ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“ข้าขอขอบคุณที่รักษาสัญญา”
“อย่างที่ผมบอกกับรัชนั่นแหละ เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เพราะผมยังไม่ได้ทำตามสัญญาทั้งหมดเลย”
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่มีทางจับตัวบูซได้หรอก ความซาบซึ้งใจของข้านั้นไม่สิ้นสุดเลยจริง ๆ”
ด้วยความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สุภาพ สคาฮะจึงหันหลังให้ฮิโระ ด้านหน้าของเธอมีหีบสิบกว่าหีบเรียงอยู่ ― ฮิโระกำลังจะเอ่ยปากถามว่านั่นคืออะไร
แต่สคาฮะที่สังเกตเห็นก็พูดขึ้นก่อน
“ในนี้คือศีรษะของสมาชิกในตระกูลของข้า”
เธอบอกว่าบางหัวก็ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังเป็นร่างไร้วิญญาณของครอบครัวที่เธอรัก หันกลับไปมองหีบอีกครั้ง สคาฮะพนมมือและเริ่มสวดอธิษฐาน น้ำตาไหลลงมาอย่างเงียบงัน
มันคือ “บทกวี” ที่เจ้าหญิงนักบวชองค์แรกเคยถวายแด่ราชาแห่งภูติ
เป็นบทกวีที่กล่าวถึงความสิ้นหวังต่อโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม ความไร้พลังที่จะช่วยผู้คนจากเผ่าพันธุ์อสูร และการแผ่ขยายของไฟสงครามที่หยุดไม่ได้ เธอจึงเอ่ยขอความเมตตาต่อราชาแห่งภูติด้วยน้ำตา
หลังจากสวดเสร็จ ฮิโระจึงเอ่ยปากถามว่า ทำไมเธอถึงไว้ชีวิตลิซ
“เจ้าถามข้าอีกแล้วงั้นหรือ… ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี”
“อะไรล่ะ?”
“ตอนนั้น ผมเข้าใจตามสมมติฐานของตัวเอง แต่พอคิดอีกที ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องแช่แข็งเธอไว้”
“ข้าบอกแล้วว่า ข้าไม่ชอบฆ่าผู้หญิงและเด็ก”
“นั่นแหละ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ แสดงว่าแต่แรกเจ้าก็ไม่คิดจะฆ่าลิซ แล้วทำไมถึงต้องแช่แข็งเธอไว้ด้วย? สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่ชัดเจน แถมยังปลุกความโกรธของทหารในป้อมไม่ได้อีก ผมคิดว่าถ้าจะใช้ประโยชน์ก็ควรเปิดเผยให้เห็นร่างเธอที่บาดเจ็บและอ่อนล้าเสียมากกว่า”
เมื่อฮิโระอธิบายรวดเร็ว สคาฮะก็หันกลับมาพร้อมไหล่ที่ตกลงราวกับยอมรับ
“พูดง่าย ๆ คือ ตอนนั้นพวกเราจนตรอกแล้ว ทว่าเรายังมีไพ่ตาย นั่นคือองค์หญิงลำดับที่หก ข้าจำเป็นต้องแช่แข็งเธอไว้เพื่อไม่ให้ทหารที่รู้ความจริงควบคุมตัวเองไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอกระทำเพื่อปกป้องลิซ ท่ามกลางผู้คนที่เคียดแค้นเธอมากมาย การปกป้องเธอให้ปลอดภัยนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอคงไม่อยากให้ลิซต้องเผชิญกับความอัปยศ
“อีกอย่าง ข้าก็ตั้งใจจะปล่อยเธอโดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว”
“ยังไงล่ะ?”
“ข้าอยากใช้เธอเป็นข้อแลกเปลี่ยน เพื่อเรียกร้องให้อาณาจักรแกรนท์ซส่งตัวองค์ชายรัชทายาทแห่งแซทโทเบล พร้อมคำขอโทษจากจักรพรรดิ”
แผนคือจับตัวบูซที่หนีไปยังป้อมมิตเต้ ควบคุมออร่าและองค์ชายลำดับที่สาม บลูทาร์ไว้ แล้วเรียกร้องให้ถอนทัพออกจากเฟลเซ็นโดยมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตัวประกัน
แต่จักรพรรดิก็ไม่ตอบโต้ใด ๆ เลย แม้แต่คำขอโทษ
“ผมได้ยินมาว่าท่านปุพเชนตั้งโต๊ะเจรจากับบลูทาร์โดยตรงแล้ว”
ฮิโระเอามือแตะคาง พลางก้มหน้าครุ่นคิด ตอนที่เขาเข้าเฝ้าจักรพรรดิ จักรพรรดิกลับบอกว่า กองทัพเฟลเซ็นไม่ได้เสนอเงื่อนไขใด ๆ มาเลย
แล้วทำไมถึงเงียบ? อาจเป็นเพราะทรงคาดว่าฮิโระจะให้คำแนะนำให้ยอมรับข้อเสนอ ถ้าทรงปฏิเสธ ก็จะสร้างรอยร้าวระหว่างเขากับฮิโระ
ทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงได้ก็คือทำตามข้อเสนอ แต่ไม่มีทางที่จักรพรรดิจะยอมขอโทษ
(หากจะคิดอีกเหตุผลหนึ่ง…)
เป็นไปไม่ได้ที่จะทรงรู้สึกสงสารสคาฮะและกลัวที่จะให้เธอมีชีวิตอยู่ หรือว่าทรงไม่อยากให้ “กาเอ โบล์ก” หนึ่งในห้าจักรพรรดิแห่งดาบภูติตกอยู่ในมือฮิโระ ดังนั้นจึงไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเธอ
หากเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าทรงรู้เรื่องของลิซแล้ว และทรงร่วมมือกับพลเอกบาคิชเพื่อปิดข่าวทั้งหมด
(แสร้งร่วมมือ แต่ที่จริงกลับชักใยข้าอยู่เบื้องหลัง… เป็นชายที่เจ้าเล่ห์จริง ๆ)
จักรพรรดิ เกรย์ไฮท์ แข็งแกร่งและเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าที่คาด อาจเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเลยก็ว่าได้
“ท่านฮิโระ…”
เสียงเรียกปลุกฮิโระให้กลับมาสู่ปัจจุบัน ข้างหน้าเขาคือสคาฮะที่นั่งคุกเข่า เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“นับจากนี้ ข้าขอเป็นหอกของท่าน”
เธอเรียกกาเอ โบล์กออกมา ยื่นด้ามดาบขึ้นเหนือศีรษะในท่าประหนึ่งมอบตัว
“ข้าคือหอกที่ติดตามท่าน ข้าคือหอกที่จะเจาะหัวใจของศัตรูทั้งมวล ข้าจะทะลวงหอกนี้เข้าสู่หัวใจของผู้ที่มีจิตใจมุ่งร้ายต่อท่านทุกคน”
คำสัตย์ปฏิญาณต่อเจ้านาย ออกมาอย่างสุดความเคารพ
เห็นความตั้งใจของเธอแล้ว ฮิโระก็เรียกเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกมา
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ผมยังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย แต่ผมจะทำตามคำมั่นให้ได้แน่นอน”
พันธะ, สัญญา, ข้อผูกมัด… จะใช้คำใดก็ได้ แต่นี่คือคำสัตย์ที่จารึกไว้โดยวิญญาณของทั้งสองฝ่าย
แสงเจิดจ้าส่องออกจากอาวุธของทั้งคู่ บรรยากาศหนักอึ้งเนื่องจากภูติของอาวุธทั้งสองกำลังปะทะกันเพื่อกำหนดลำดับชั้น
“เจ้าจะมอบสิ่งที่ข้าต้องการให้ข้าหรือไม่?”
“ผมจะมอบสิ่งที่เธอต้องการอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะซื่อสัตย์ต่อคำมั่นกับข้าหรือไม่?”
“ผมจะทำตามคำสัญญาอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้น ตั้งแต่นี้ไป ทุกสิ่งที่ข้าเป็นจะเป็นของเจ้า”
คำปฏิญาณ ― สัญญาระหว่างนายกับบ่าว มันคือคำสาปที่ถูกจารึกลงในร่างของสคาฮะ
ปัจฉิมบท
หลังจากที่คำสัตย์สาบานของพวกเขาสิ้นสุดลง ทั้งสองก็มองไปยังเต็นท์ที่กำลังลุกไหม้อยู่เบื้องหน้า
“ข้าจะต้องล้างแค้นให้พวกเขาให้ได้…”
สคาฮะพึมพำเบา ๆ ขณะสายตาเธอสะท้อนภาพเต็นท์ที่กำลังลุกไหม้พร้อมเสียงดังลั่น แม้ฮิโระจะสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้งในคำพูดนั้น แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำปลอบโยนใด ๆ
เพราะเธอจะยังคงก้าวเดินต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดจากเขา เธอจะไม่หยุดจนกว่าจะล้างแค้นได้สำเร็จ
ทว่าในขณะเดียวกัน ฮิโระก็กำลังคิดถึงอนาคต หากวันหนึ่งเธอสามารถล้างแค้นได้ เขาอยากให้เธอได้ค้นหาเส้นทางของตัวเอง และเดินไปตามเส้นทางนั้น
(จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมจะคอยนำทางให้เธอ ผมเชื่อว่าเธอกับลิซจะเข้ากันได้ดี)
เพราะพวกเธอทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ครอบครอง “ห้าจักรพรรดิแห่งดาบภูติ” การได้กระตุ้นและเสริมสร้างกันและกันจะเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน
“…ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว งั้นก็…ขอลาจากอดีตเสียทีเถอะ”
สคาฮะพูดขณะยืนหันหลังให้เต็นท์ที่กำลังลุกไหม้
“งั้นกลับไปที่ป้อมมิตเต้กันเถอะ”
เมื่อฮิโระเริ่มออกเดิน สคาฮะก็เดินตามเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง ใบหน้าของเธอถูกคลุมไว้ด้วยฮู้ด เพราะตัวตนของเธอนั้นเป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้คน
เธอคงต้องใช้ชีวิตอย่างไม่สะดวกไปอีกสักพัก ฮิโระรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ แต่เธอก็จำเป็นต้องอดทน
(แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น)
จากนี้ไป ดวงตาที่เคยมองออกไปภายนอกจะเริ่มหันกลับเข้ามาข้างใน เขาต้องเริ่มวางแผนว่าจะรื้อระบบนี้จากจุดไหน และเนื่องจากไม่สามารถทำอะไรโจ่งแจ้งได้ เขาจึงต้องสงบเสงี่ยมไว้ก่อน
แต่เพื่อให้พวกนั้นหมดลมหายใจลง เขาก็วางแผนไว้แล้วว่าจะไล่ล่าพวกมันอย่างช้า ๆ และแนบเนียน
(ก่อนอื่น ต้องพาลิซกลับมาให้ได้…)
และแล้ว ก่อนจะถึงป้อมมิตเต้ ฮิโระก็หยุดเดิน เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและอบอุ่นมาก แต่เมื่อหันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นแค่ทหารกำลังทำงานอยู่ เขาจึงคิดว่าอาจจะเป็นแค่เสียงในหู
“ฮะฮะ…ดีจริง ๆ ที่เธอปลอดภัย”
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
“ฮิโระ―――!”
เสียงอันไพเราะที่เขารอคอยมานาน แว่วมาในสายลมแผ่วเบาและโอบล้อมหูของเขาอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเธอจะยังไม่หายดีจากบาดแผล แต่ก็พยายามปีนขึ้นกำแพงอย่างเสี่ยงอันตราย
ทุกครั้งที่ปีนขึ้นไป ใบหน้าของเธอก็จะเหยเกด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผล แต่ถึงอย่างนั้น ลิซก็ยังคงโบกมืออย่างโอเวอร์ใส่ฮิโระ ราวกับจะยืนยันว่าเธอปลอดภัยดี
ฮิโระได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ อย่างอ่อนใจ สคาฮะที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“ฮิโระ―――!”
หญิงสาวผมแดงตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ― และข้างเธอก็มีหญิงสาวผมสีเงินที่ดูจะตกใจไม่แพ้กัน
“อืม เข้าใจล่ะ เธอเป็นเด็กที่กระตือรือร้นจริง ๆ”
“ผมเชื่อว่าพวกเธอจะเข้ากันได้ดี”
ฮิโระกล่าว และสคาฮะก็พยักหน้าแรงอย่างเห็นด้วย
“ข้ารู้…แม้จะเพิ่งได้รู้จักกันไม่นาน แต่…เธอก็สามารถสัมผัสหัวใจของข้าได้แล้ว”
“ถ้างั้น รีบไปเถอะ ก่อนที่เธอจะตกลงมาจากกำแพงซะก่อน”
ฮิโระพยายามสงบใจที่เต้นแรง แล้วก้าวเดินอย่างเบาใจ ไปยังช่วงเวลาที่เขารอคอยมาตลอด
พูดคุยท้ายเล่ม
ขอบคุณที่หยิบติดไม้ติดมือกลับไปสำหรับ “เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก เล่ม 4”!
สำหรับคนที่อ่านเล่ม 3 ก็คาดว่าพวกเราคงไม่ได้พบกันมาสามเดือนแล้วสินะ เป็นยังไงบ้างเอ่ย หวังว่าทุกคนจะสบายดีนะ สำหรับใครที่เพิ่งหยิบเล่มนี้มาอ่านเป็นเล่มแรก ก็ขอต้อนรับทุกคนน้าาา
ถ้าพูดจากมุมมองผู้อ่านแล้ว สามเดือนคงนานโขเลยสินะ แต่สำหรับคนเขียนแล้วสามเดือนมันช่างแสนสั้น มันหมายความว่าพวกเราใช้เวลาไม่ถึงปีในการปล่อยเล่ม 1 ถึง 4 ล่ะ
ช่างเป็นปีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ แต่กาลเวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ ถ้าอยากให้พูดจริงๆ คงจะเขียนเล่มแยกได้เลยล่ะ
ถ้าพูดถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว ก็บอกได้เลยว่าได้รับแรงบัลดาลใจอย่างมากที่เห็นหนังสือของตัวเองขึ้นชั้นหนังสือวางขาย หลังจากนั้นก็เป็นปีแห่งความวุ่นวายเลยทีเดียว พอรู้ตัวอีกทีก็ปีใหม่อีกซะแล้ว
ปีนี้ ฉันได้จดหมายจากแฟนคลับก่อนปีใหม่ด้วย ทำเอาดีใจมากๆเลย อยากจะจัดปาร์ตี้เลยล่ะ แต่แค่นี้ก็คิดว่ามันให้ประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์มากพอแล้วล่ะ
ไม่มีอะไรที่ต้องพูดมากกว่านี้อีกแล้ว ในอนาคตก็คงมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ว่าจะไม่ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทหรอกนะ
ถ้างั้นก็อยากจะแสดงความขอบคุณไว้ตรงนี้
ท่านมิยูกิ รูเรีย ขอบคุณมากเลยน้าาสำหรับภาพประกอบสุดหล่อเท่ และดีไซน์ตัวละครแต่ละตัวได้งดงามเป็นอย่างดี แค่เห็นภาพร่างก็ทำเอาใจสั่นไม่หยุดเลย
ถึงเหล่าผู้ตรวจทาน ท่าน S และ ท่าน D ต้องขอโทษสำหรับปัญหาที่ก่อขึ้นในเล่มที่แล้ว และเล่มนี้ก็เช่นกัน แต่ในอนาคตก็คงได้รบกวนทั้งสองคนอีก เพราะงั้นได้โปรดช่วยดูแลกันต่อไปด้วยนะ
ขอบคุณสำหรับเหล่าสตาฟทุกท่าน ทั้งหน่วยพิสูจน์อักษร ทั้งดีไซน์เนอร์ รวมถึงเพื่อนร่วมงานทุกท่าน หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต เพราะฉะนั้นขอขอบคุณทุกคนจริงๆ สำหรับการรบกวนในทุกๆครั้งด้วย
ทั้งนี้ ยังรวมถึงผู้อ่านทุกท่านที่อ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มนี้ ต้องขอบพระคุณมากจริงๆ ที่ติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด
เพราะฉะนั้นแล้วฉันจะแจกจ่ายความเบียวที่ไม่สิ้นสุดนี้ต่อไปในอนาคต เพราะงั้นก็ช่วยสนับสนุนผลงานกันต่อไปด้วยน้าาาา
หวังว่าจะได้พบกันในเล่มถัดไป
จบเล่ม 4 เล่ม 5 มาเดือนไหนไม่รู้แล้วแต่อารมณ์
Chapters
Comments
- ตอนที่ 76 เล่ม 4 บทที่ 5 เอ็กซ์คาลิเบอร์ กับ กาเอ โบล์ก + ปัจฉิมบท + คุยท้ายเล่ม 18 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 75 เล่ม 4 บทที่ 4 ความพิโรธของเทพแห่งสงคราม Completed 2 วัน ago
- ตอนที่ 74 เล่ม 4 บทที่ 3 – การเผชิญหน้าระหว่างจักรพรรดินีเปลวเพลิง และจักรพรรดินีน้ำแข็ง Completed 2 วัน ago
- ตอนที่ 73 เล่มที่ 4 บทที่ 2 – จักรพรรดินีเพลิงผู้ถูกจับ และการเดินทัพของเทพสงคราม ตอนที่ 2 - End 2 วัน ago
- ตอนที่ 72 บทที่ 2 – จักรพรรดินีเพลิงผู้ถูกจับ และการเดินทัพของเทพสงคราม ตอนที่ 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 71 เล่ม 4 บทที่ 1 จุดเริ่มต้นแห่งความปั่นป่วน 2 วัน ago
- ตอนที่ 70 Volume 4 เรื่องย่อเล่ม 4 + อารัมภบท มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 69 Volume 3 ปัจฉิมบท + คุยท้ายเล่ม มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 68 Volume 3 Chapter 5 ความต่างชั้นของกลยุทธ์ มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 67 Volume 3 Chapter 4 เปลวเพลิงท่ามกลางพายุหิมะ Part 4 - End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 66 Volume 3 Chapter 4 เปลวเพลิงท่ามกลางพายุหิมะ พาร์ท 1-3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 65 Chapter 3 พาร์ท 2 - End มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 64 Chapter 3 – มุ่งหน้าสู่ตอนเหนือ พาร์ท 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 63 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 62 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 5 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 61 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 60 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 59 Volume 3 Chapter 2 ปัญหาใหม่ Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 58 Volume 3 Chapter 2 ภารกิจใหม่ Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 57 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 56 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 55 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 54 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 53 Volume 3 Chapter 1 ปัญหาใหม่ Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 52 Volume 3 เรื่องย่อเล่ม 3 + ปฐมบท มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 51 Volume 2 แถลงการณ์ท้ายเล่ม มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 50 Volume 2 ปัจฉิมบท มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 49 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 48 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 5 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 47 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 46 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 45 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 44 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 43 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 42 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 6 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 41 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 5 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 40 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 39 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 38 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 37 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 36 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 35 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 34 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 33 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 32 Volume 2 Chapter 2 เจ้าชายทมิฬ End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 31 Volume 2 Chapter 2 เจ้าชายทมิฬ Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 30 Volume 2 Chapter 2 เจ้าชายทมิฬ Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 29 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 28 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 27 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 26 Volume 2 Chapter 1 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 25 Volume 2 เรื่องย่อ + ปฐมบท มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 24 แถลงการณ์ท้ายเล่ม + Illustrations Vol.1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 23 ปัจฉิมบท มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 22 Chapter 5 การลืมตาตื่นของเทพเจ้าแห่งสงคราม Part End มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 21 Chapter 5 การลืมตาตื่นของเทพเจ้าแห่งสงคราม Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 20 Chapter 5 การลืมตาตื่นของเทพเจ้าแห่งสงคราม Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 19 Chapter 5 การลืมตาตื่นของเทพเจ้าแห่งสงคราม Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 18 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 17 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 16 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 14 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 13 Chapter 3 เบิกเนตร End Chapter มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 12 Chapter 3 เบิกเนตร Part 5 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 11 Chapter 3 เบิกเนตร Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 10 Chapter 3 เบิกเนตร Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 9 Chapter 3 เบิกเนตร Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 8 Chapter 3 เบิกเนตร Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 7 Chapter 2 เหลียวมอง [ Complete Chapter] มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 6 Chapter 1 เผชิญหน้า End มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 5 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 4 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 4 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 3 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 3 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 2 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 2 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 1 มิถุนายน 5, 2025
- ตอนที่ 1 ปฐมบท มิถุนายน 5, 2025
MANGA DISCUSSION