บทที่ 2 – จักรพรรดินีเพลิงผู้ถูกจับ และการเดินทัพของเทพสงคราม
ตอนที่ 1
ภูมิภาคเฟลเซ็นเคยเป็นมหาอำนาจที่สามารถทัดเทียมกับจักรวรรดิแกรนซ์ได้
ด้วยการตั้งอยู่ติดทะเลอันฟินีทางตอนเหนือ จึงมีอุตสาหกรรมประมงที่รุ่งเรืองจากทรัพยากรทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางการค้าระหว่างหกประเทศพันธมิตรทางฝั่งตะวันตกกับจักรวรรดิแกรนซ์ทางฝั่งตะวันออก ทำให้เฟลเซ็นเจริญรุ่งเรืองจากการค้าอย่างมากก่อนจะล่มสลาย
ทว่า หลังจากพ่ายแพ้ในศึกตัดสินกับจักรวรรดิแกรนซ์ ความมั่นคงของประเทศก็ถดถอยลงอย่างรวดเร็ว พ่อค้าเริ่มหลีกเลี่ยงการค้ากับเฟลเซ็น พื้นที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นดินแดนรกร้างจากสงครามที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองหลวงที่เคยเป็นแหล่งรวมของภาษาต่าง ๆ และพ่อค้ามากมาย บัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังจากสงครามระหว่างกองกำลังเฟลเซ็นที่เหลืออยู่และจักรวรรดิแกรนซ์
ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 135 กิโลเมตร (45 เซลล์) คือค่ายหลักของแกรนด์ดัชชีแห่งดราล ซึ่งยกทัพเข้ามาในเขตเฟลเซ็น
ในตอนนี้ ควันสีขาวลอยขึ้นจากทั่วค่ายหลัก เนื่องจากกำลังเตรียมอาหาร ไม่มีบรรยากาศตึงเครียดให้รู้สึก เหล่าทหารถอดอุปกรณ์ พูดคุย หัวเราะ ถือขวดไวน์กันอย่างสบายใจ
“ไม่เคยมีวันไหนสุขเท่านี้มาก่อนเลยโว้ย!”
“จริง! อดดื่มไม่ได้เลยแหละวันนี้!”
ทุกคนยิ้มแย้ม คงเพราะยังอยู่ในช่วงแห่งชัยชนะ
“เฮ้ อย่าปล่อยตัวมากนักสิ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาฉลองนะ”
เสียงตำหนิจากทหารที่จริงจัง แต่พวกที่ดื่มก็หันไปมองหน้ากัน
“แหม ก็แค่เล็กน้อยไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ เราเพิ่งชนะจักรวรรดิแกรนซ์เชียวนะ ต้องได้รางวัลกันหน่อยสิ!”
ใช่แล้ว สาเหตุที่พวกเขาชื่นมื่นเช่นนี้ ก็เพราะสามารถเอาชนะกองทัพที่มีเซเลีย เอสทรีย่า จักรพรรดินีลำดับที่หกของจักรวรรดิแกรนซ์เป็นผู้นำได้ แถมยังสามารถจับตัวเธอมาได้อีกด้วย ― ผู้ครอบครองหนึ่งในห้า “จักรพรรดิแห่งดาบภูติ” ไม่แปลกที่พวกเขาจะตื่นเต้นกันขนาดนี้
“ว่าแต่… เจ้าหญิงที่จับมาได้อยู่ไหนเหรอ?”
“อยู่ในเต็นท์ของท่านปุพเชน”
“ทั้ง ๆ ที่เราต้องระวังไม่ให้เจ้าหญิงถูกแย่งกลับไป ท่านปุพเชนกลับเอาเวลาไป ‘เพลิดเพลิน’ กับนางซะนี่”
“นางสวยเหมือนข่าวลือจริง ๆ นั่นแหละ เข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงอดใจไม่ไหว”
ในขณะที่ทหารพูดคุยอย่างหยาบคายกัน ทหารคนหนึ่งที่ดูจริงจังเข้ามาใกล้พวกเขาพร้อมสีหน้าลำบากใจ
“ว่าแต่… ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่ราบรื่นเท่าไรนะ”
“หืม? หมายความว่ายังไง?”
“ได้ยินมาว่ามีทหารถูกเผาตายไปหกคน”
“อะไรนะ? นั่นมันแปลกแล้วล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้รายละเอียด แต่หวังว่ามันจะไม่ไปลบหลู่เทพเจ้าจนทำให้เกิดภัยพิบัตินะ…”
สายตาของทหารผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองไปยังเต็นท์ใหญ่แห่งหนึ่ง ในนั้นคือทายาทโดยชอบธรรมของแกรนด์ดัชชีแห่งดราล ― ปุพเชน ฟอน ดราล
เขายกถ้วยเงินจากโต๊ะขึ้นจิบไวน์ด้วยท่าทางสง่างาม เพียงแค่อิริยาบถนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขาได้รับการศึกษามาอย่างดี และด้วยสถานะทายาทโดยตรง เขาก็เปล่งประกายความสูงศักดิ์ออกมา
แต่ร่างกายที่กำยำจากการฝึกฝนก็แสดงว่า เขาให้ความสำคัญกับการฝึกมากกว่าความรู้ นั่นทำให้เขามีกลิ่นอายของความป่าเถื่อนแฝงอยู่
“หึ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการดื่มหลังชัยชนะอีกแล้ว”
ปุพเชนมองไวน์ในถ้วยเงินด้วยสายตาอวดดี ก่อนจะหันไปมอง “บางสิ่ง” อย่างตรง ๆ บริเวณนั้นควรจะเป็นที่วางเตียงหรือเฟอร์นิเจอร์ แต่กลับมีกรงเหล็กตั้งอยู่แทน
และสิ่งแปลกกว่านั้นคือ กรงนั้นถูกพันไว้ด้วยเครื่องรางวิญญาณจำนวนมาก
“ข้าใช้เครื่องรางทั้งหมดที่นำมาจากประเทศเจ้าจับเจ้าขังไว้ในนั้นเลยนะ”
ปุพเชนถอนหายใจอย่างหนัก สีหน้าแสดงความผิดหวังเล็กน้อย
“ต้นทุนสงครามครั้งนี้มันมหาศาล เท่ากับภาษีจากเมืองสองเมืองเลย… แต่ถ้าคิดอีกทาง แค่ต้องเสียเท่านี้แต่ได้จับตัวเจ้า ก็คงไม่ขาดทุนล่ะนะ”
เขาหันไปมองกรงเหล็กอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มเหี้ยม
“เฮ้ ได้ยินไหม? เจ้าคิดว่าเจ้าคืออะไร?”
ภายในกรง ที่ปุพเชนกำลังมองลงไปคือหญิงสาวที่ถูกล่ามโซ่เหล็ก นางคือเจ้าหญิงลำดับที่หกแห่งจักรวรรดิแกรนซ์ เซเลีย เอสทรีย่า เอลิซาเบธ ฟอน แกรนซ์
หญิงสาวผู้ถูกขนานนามทั่วแคว้นว่าเป็นผู้สืบทอด “จักรพรรดินีเพลิง” คนแรกนับแต่จักรพรรดิองค์แรก อัลทิอุส ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือยังกล่าวว่า เธอสามารถนำเอาทายาทของ “เทพสงคราม” มาร่วมอยู่ใต้บัญชาการของตน — เรื่องราวเหล่านี้ยิ่งทำให้ค่าหัวของเธอพุ่งทะยาน
“…ฉันไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก”
ลิซกล่าวเสียงเรียบ ทว่าคำพูดของเธอแผ่วเบาไร้พลัง ใบหน้าที่เคยเปล่งประกายตอนนี้หม่นหมองไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้น ชุดเครื่องแบบทหารของเธอขาดวิ่นอย่างน่าอเนจอนาถ ผ้าพันแผลที่เปื้อนเลือดซึมออกมาจากรอยฉีกของเสื้อผ้า แขนขาที่เปลือยเปล่าถูกแต่งแต้มด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน — เห็นได้ชัดว่าเธอผ่านการถูกทรมานมาอย่างหนัก
แต่กระนั้น แววตาของเธอกลับยังเปล่งประกายของ “เจตจำนง” อันแน่วแน่ เธอจ้องปุพเชนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความชิงชัง
“อย่าทำหน้าดุนักเลย เดี๋ยวหน้าสวย ๆ จะเสียหมด”
ปุพเชนหัวเราะพลางดึงกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ ข้างในเต็มไปด้วยหินหลากขนาด
เขาหยิบหินขนาดกำปั้นก้อนหนึ่งขึ้นมาในมือ แล้วยิ้มเย้ย
“ได้ข่าวว่าจักรพรรดิแห่งดาบภูติจะคุ้มครองผู้ถือมัน… ถ้าเป็นเลวาทีนล่ะก็ ใครก็ตามที่คิดทำร้ายเจ้าจะถูกไฟนรกกลืนกินทันที”
ก่อนหน้านี้เคยมีทหารบางคนที่หลงใหลในความงามของเธอแอบเข้ามาในเต็นท์เพื่อ “ลิ้มลอง” แต่พวกนั้นกลับถูกไฟเผาทั้งเป็น — ไม่มีใครสงสาร เพราะถ้าแผนสำเร็จ ปุพเชนก็ตั้งใจจะตัดหัวพวกมันอยู่ดี
“แต่… ถ้าไม่มีเจตนาร้ายล่ะ? ถ้าข้าไม่ได้ ‘ต้องการ’ ทำร้ายเจ้าโดยตรง จะเกิดอะไรขึ้น?”
คำพูดของเขาทำให้ลิซขมวดคิ้ว เธอยังไม่ทันเข้าใจดี แขนของปุพเชนก็เหวี่ยงไปข้างหน้า — พร้อมเสียงกระแทกหนักแน่นดังก้อง
พลั่ก!!
“อึ๊ก!”
ศีรษะของลิซสะบัดไปด้านหลังอย่างแรง เธอล้มลงกระแทกพื้นในทันที
“――!?”
เสียงครวญเบาหลุดจากริมฝีปากเธอ ก่อนจะเริ่มดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ปุพเชนหยิบหินอีกก้อนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
“เหมือนการโยนหินลงบ่อน้ำน่ะนะ… ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วม ไม่มีความตั้งใจจะฆ่า… จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาฟาดหินลงไปอีกครั้ง
ตุ้บ!!
“อ๊ากกก!”
แผ่นหลังของลิซงอคดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง เธอแทบไม่ได้ตั้งตัวก่อนที่หินก้อนถัดไปจะตามมาอีก
ปั่ก! ปั่ก!
“อึ๋ย――!”
เสียงร้องแทบไม่ทันเปล่งก็ถูกกลืนไปโดยแรงกระแทกที่ราวกับจะขุดอวัยวะภายในของเธอให้แหลกละเอียด เสียงกระดูกแตกเปาะแปะดังก้องไปทั่วเต็นท์
“มันเป็นการโจมตีที่ง่ายแสนง่าย แต่มันก็เป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมที่สุด”
หินก้อนแล้วก้อนเล่าฟาดใส่ร่างบางของเธออย่างไร้ปรานี
“หินเล็ก ๆ ถ้าถูกจุดก็ฆ่าคนได้เหมือนกัน”
ตราบใดที่ยังมีหินเหลืออยู่ ปุพเชนก็ยังไม่หยุด
“มนุษย์มันน่าแปลก… ถ้าร่างกายรู้ว่าทนความเจ็บไม่ไหว มักจะสลบหนี แต่ถ้าความแข็งแกร่งแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างเจ้า… ก็จะถูกขังอยู่ในนรกแห่งความทรมานตลอดไป”
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มือของเขาก็ยังไม่หยุดเหวี่ยงหินออกไป — รุนแรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น เสียงหายใจหอบฟืดฟาดในคอ
ผัวะะ!
เลือดสด ๆ พุ่งจากหน้าผากของลิซ กระเซ็นลงพื้นจนแดงฉาน เธอถูกล่ามโซ่แน่นจนป้องกันตัวเองไม่ได้ หากไม่มีใครเข้ามาช่วย เธอคงต้องถูกสาดความรุนแรงแบบนี้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
“ข้าไม่จำเป็นต้องลบหลู่หรือทำให้เจ้าต้องยอมสยบด้วยวิธีต่ำ ๆ หรอก”
หินอีกก้อนกระแทกเข้าร่างเธออย่างแม่นยำ พร้อมเสียงกระดูกแตกร้าว
“แค่ทำให้เจ้ารู้ว่าเจ้าอยู่ใต้ข้า เจ้าไม่เหลืออะไร แม้จะเป็นผู้ถือครองจักรพรรดิแห่งภูติ — เจ้าก็จะต้อง ‘เชื่อฟัง’”
เมื่อหินเริ่มหมด ปุพเชนก็หยุด
“สรุปคือ ข้าคิดว่าวิธีที่จะได้ครอบครองจักรพรรดิแห่งดาบภูติ คือต้อง ‘ล้างสมอง’ ผู้ครอบครองด้วยความหวาดกลัว”
เขาลุกจากเก้าอี้ เดินไปใกล้กรงที่ลิซนอนหายใจหอบ ใบหน้าเธอบวมช้ำ เลือดเกรอะกรังเต็มพื้น ปุพเชนโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ลิ้นชื้นของเขาลากผ่านริมฝีปากเธออย่างหยาบโลน
“ยังไม่พอเลยแฮะ… ข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดจนแม้แต่หน้าสวย ๆ นี่ก็จะดูน่าเกลียดเหมือนหมูเน่าเลยล่ะ”
เขาหวังจะทำลายจิตใจของเธอให้พังยับเยิน
แต่ในขณะที่ดวงตาของลิซว่างเปล่า ทว่าในความว่างเปล่านั้น กลับยังมีแสงแห่งเจตจำนงส่องอยู่ลึก ๆ
“มองแบบนั้นอีกแล้ว? เจ้าคิดว่าเจ้าทำอะไรได้ในสภาพนี้?”
ปุพเชนลากกล่องไม้มาอีกครั้ง ใช้ปลายเท้าเปิดมันออก หยิบหินขึ้นแล้วปาใส่ — แต่คราวนี้ หินไม่กระทบร่างเธอ
เปลวไฟลุกขึ้นกลางอากาศ เผาหินเป็นจุณก่อนจะโดนตัวเธอ
“…ดูเหมือนข้าจะเผลอใส่อารมณ์มากไปสินะ ขอโทษด้วยล่ะ พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน”
ปุพเชนถอนหายใจเบื่อหน่าย ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ จิบไวน์ด้วยความไม่แยแส
“เลวาทีนรึ… ดูเหมือนจะมีเจตจำนงในตัวมันจริง ๆ แต่ต้นกำเนิดของพลังนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่?”
เขาลูบถ้วยเงินด้วยปลายนิ้วพลางหันกลับไปมองลิซ
“จักรพรรดิแห่งดาบภูติสามารถแสดงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้ แต่ข้าไม่เชื่อว่ามันจะทำงานเองได้ หากเป็นเช่นนั้น พลังย่อมมาจากตัวผู้ถือเอง — ร่างกาย หรือจิตใจของเจ้า นั่นแหละคือคำตอบ”
เขาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาแคบลงอย่างชอบใจขณะดูเธอทรมาน
“ถ้าข้ากดดันเจ้าจนถึงขีดจำกัด พรนั้นจะหายไป ข้าก็จะสามารถแตะต้องเจ้าได้ตามใจชอบ”
ปุพเชนเริ่มเมามันในความเจ็บปวดของเธอ ยิ่งเห็นเลือด ยิ่งเห็นเธอทนได้ เขายิ่งยิ้ม
“ข้ารอไม่ไหวเลย… ข้าจะฉีกเล็บเจ้าทิ้ง ทุบกระดูกนิ้ว ตัดหู ควักตา เฉือนจมูก แล้วส่งเจ้าไปให้จักรวรรดิแกรนซ์”
จู่ ๆ เขานึกอะไรขึ้นได้ ลุกพรวดขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย
“ใช่เลย ข้าจะส่ง ‘หัว’ ของเจ้าไปให้ทายาทของเทพสงคราม — แค่เขายืนยันว่าเป็นเจ้าหญิงลำดับที่หกได้ก็พอ”
…แล้วเขาก็หยุดพูด สีหน้าชะงัก
เพราะลิซ — ยิ้มเยาะให้เขา
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของลิซ แม้จะเจือด้วยเลือดและบาดแผล แต่ก็เต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างจงใจ
มันทำให้ปุพเชนเดือดจนควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ วิ่งตรงไปที่กรงเหล็กโดยไม่สนว่าขวดไวน์จะล้มกลิ้งหกเรี่ยราดระหว่างทาง พร้อมตะโกนลั่น:
“หัวเราะอะไรของเจ้า หา!? แสดงความเป็น ‘ผู้หญิง’ หน่อยสิ! น้ำตาสักหยดก็ยังดี!!”
เขาคำรามอย่างบ้าคลั่ง กำหินแน่นจนเส้นเลือดปูด คิดจะยัดเยียดความกลัวให้เธอด้วยพละกำลังอีกครั้งโดยไม่สนว่า ‘พร’ จะทำงานหรือไม่
แต่ก่อนที่เขาจะได้ขว้างหิน—
“ท่านปุพเชน กำลัง ‘ทำอะไร’ อยู่นั่น?”
เสียงนิ่งเย็นเอ่ยแทรกเข้ามากลางอากาศ
ปุพเชนชะงัก หันขวับไปมองยังทางเข้าเต็นท์ ใบหน้าชะงักค้างด้วยความตกใจ
ที่ตรงนั้น — หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ในชุดเกราะสีฟ้าขลิบเงิน เธอก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยแววตาเฉียบขาด
“ข้าจะถามอีกครั้ง — ท่านกำลัง ‘ทำอะไร’ อยู่ตรงนี้?”
สายตาเธอไม่หลบเลี่ยง มองปุพเชนตรง ๆ ด้วยดวงตาคมราวใบมีด ปุพเชนเบือนหน้าหลบโดยไม่รู้ตัว พลางปล่อยหินจากมือราวกับถูกบังคับ
“อย่ามองข้าแบบนั้นเลย ท่านสคาฮะ… ข้าแค่คุยเล่นกับเจ้าหญิงเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
เขาหัวเราะแห้ง ๆ พลางถอยไปหนึ่งก้าว แสร้งทำตัวเป็นสุภาพชนที่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ฮาราน สคาฮะ เด เฟลเซ็น (Haran Skaaha de felzen)
[T/n: คาตะคานะ ชื่อของเธอคือ スカアハ ตอนแรกก็คิดจะตั้งชื่อตามตำนานวีรบุรุษหญิง เซลดิก แต่ว่าคาตะคานะของ สกาฮะ คือ ス カ サ ハ มันต่างกันนิดหน่อยก็เลยเรียก สคาฮะ]
หญิงสาวผู้นี้เป็นหญิงงามในวัยประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ผมสีฟ้าอมเขียวของเธอถูกรวบขึ้นเป็นมวยเรียบร้อย เงางามราวผ้าไหม ใบหน้ารูปไข่และผิวขาวราวเครื่องปั้นดินเผาทำให้เธอดูเปราะบางอย่างน่าพิศวง แต่เมื่ออยู่ในชุดเกราะหนักบนเรือนร่างบอบบาง กลับเปล่งประกายสงบนิ่งราวเทพีแห่งสงคราม
และ—อย่างที่ชื่อของเธอบอก… เธอคือ “ราชวงศ์เฟลเซ็น” คนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่
แม้จักรวรรดิแกรนซ์จะประกาศว่า ได้ประหารราชวงศ์เฟลเซ็นทั้งหมดไปแล้ว ทว่า… พระราชาผู้ล่วงลับสามารถหลอกลวงสายตาของจักรวรรดิ และส่งต่อชีวิตของเธอไว้ได้เพียงผู้เดียว
(โอ้… จักรวรรดิแกรนซ์นี่ช่างโง่เขลาเสียจริง)
“บอกว่า ‘แค่คุย’ อย่างนั้นเหรอ…? ข้าไม่เห็นว่ามันจะดูเหมือน ‘คุย’ ตรงไหนเลยนะ”
สคาฮะเดินตรงไปยังกรง ตรวจดูอาการของลิซ แล้วหันมาจ้องปุพเชนด้วยสายตาเย็นจัด
“ข้าแค่เผลออารมณ์ไปนิดหน่อย ขอโทษด้วยที่ปฏิบัติกับเชลยของท่านแบบนั้น”
ปุพเชนเอ่ยคำขอโทษที่ไร้ความจริงใจอย่างสิ้นเชิง พร้อมส่งยิ้มที่ดูเสแสร้งเต็มประดา ทว่า…
ฟึ่บ!
ลมหมุนกระแทกเข้าที่ใบหน้าเขา
ผัวะะ!
“อ๊ากกกก!”
เสียงของปุพเชนคำรามลั่นพร้อมร่างที่หงายหลัง เขาเอื้อมมือแตะใบหน้าตัวเองด้วยความตกใจ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ — เลือด กำลังไหลอาบนิ้วมือ
“-ท่านทำอะไรของท่านน่ะ?!”
เขาอุทานอย่างตกตะลึง ดวงตาเบิกโพลง
“นางเป็นนักโทษสำคัญ ข้าขอให้ท่านระวังวิธีปฏิบัติกับนางในอนาคตให้มากกว่านี้”
สคาฮะพูดเสียงเรียบ ไม่มีวี่แววจะเกรงกลัวต่อปุพเชนเลยแม้แต่น้อย
(ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่มีนิสัยเจ้าระเบียบเกินเหตุ… นางคงเป็นผู้หญิงในฝันเลยล่ะ)
ปุพเชนคิดในใจอย่างกระแนะกระแหน ก่อนจะฝืนยิ้มที่มุมปาก แต่อีกฝ่ายกุมหอกสีน้ำเงินแน่น ดวงตาสีฟ้าของเธอเย็นเฉียบประหนึ่งน้ำแข็ง หากเขายั่วโมโหเธอมากไปกว่านี้ ไม่แน่ว่า… หัวเขาอาจจะปลิวตกพื้น
“…ขะ ข้าจะระวังในครั้งต่อไป”
เขารีบทรุดเข่าลงคุกเข่าในท่าทางสำนึกผิด
แม้จะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่เขาก็รู้ดีว่าในแง่พลัง สคาฮะนั้นแข็งแกร่งผิดมนุษย์ เขาไม่มีวันสู้ได้ และยิ่งกว่านั้น…
เหตุผลที่แกรนด์ดัชชีแห่งดราลกล้ายกทัพสู่เฟลเซ็น ก็เพราะได้รับความร่วมมือจากเธอ
สำหรับปุพเชน การเดินทัพครั้งนี้คือ “หมากทางการเมือง” — ในฐานะทายาทแทนบิดาที่กำลังป่วย เขาจำเป็นต้องสร้างผลงาน เพื่อรักษาตำแหน่งของตนให้มั่นคงในสายตาขุนนางและผู้นำตระกูล
หากเขาบาดหมางกับสคาฮะในตอนนี้ ทุกอย่างจะพังพินาศ และหากเขากลับประเทศมือเปล่า เขาจะถูกลากลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน
(ยอมก้มหัวให้ผู้หญิงแบบเธอสักครั้งสองครั้ง… ไม่ตายหรอก)
ปุพเชนก้มหน้าลง สีหน้าแสยะยิ้มในใจ ข่มความอัปยศไว้เต็มกำลัง
“หวังว่าท่านจะเข้าใจแล้ว”
สคาฮะวางหอกลง หันมาทางลิซที่ยังทรุดตัวอยู่ในกรง
แม้เธอจะอยากจัดการกับปุพเชนให้หนักกว่านี้ แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย — เพราะสคาฮะเอง ก็ต้องพึ่งพากองกำลังของแกรนด์ดัชชีแห่งดราลเพื่อถ่วงกองทัพที่สองของจักรวรรดิซึ่งนำโดยเจ้าชายบลูทาร์
“เราต้องรักษานางก่อน ท่านปุพเชน กรุณาเรียกแพทย์ทหารเข้ามา”
แม้จะโกรธขนาดไหน แต่เธอก็ยังต้องอดทนเพราะผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองฝ่าย
“น่าเสียดาย พวกเรามีแต่หมอชาย ท่านคงไม่รังเกียจใช่ไหม?”
แม้บุคลิกจะขัดกันสุดขั้ว แต่เขาก็ยังต้องฟังเธอเพื่อความร่วมมืออย่างราบรื่น
“ไม่จำเป็น ข้ามีกองกำลังหญิงอยู่ด้านนอก กรุณาขอหมอหญิงจากข้าดีกว่า”
“…เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ปุพเชนพยักหน้ารับสั้น ๆ แล้วหันหลังออกจากเต็นท์ ปล่อยให้สคาฮะอยู่กับลิซตามลำพัง
หญิงสาวเจ้าของหอกสีน้ำเงิน เดินเข้าไปใกล้กรงเงียบ ๆ เอ่ยคำอย่างนุ่มนวล
“…ขอโทษด้วย”
เธอก้มหัวให้อย่างเต็มใจ — คำขอโทษนั้นช่างจริงใจเสียจนแม้แต่ลิซเองก็ผงะเล็กน้อย ลืมแม้แต่ความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
สคาฮะเผยรอยยิ้มจาง ๆ ขณะพูดต่อ
“เป้าหมายของข้าไม่ใช่การทำร้ายเจ้าแน่นอน และยิ่งไม่ใช่เพื่อจะลบหลู่เจ้าด้วย… แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปได้เช่นกัน”
น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความเมตตา ความเสียใจ และภาระที่ต้องแบกรับในฐานะผู้นำกองกำลัง
“ข้าจะบอกปุพเชนว่าอย่าทำแบบนี้อีก”
“…ถ้าอย่างนั้น… เธอต้องการอะไร?”
ลิซขยับตัว เสียงโซ่กระทบพื้นดังกังวาน เธอกัดฟันแน่นเพราะแม้แค่เอ่ยปากพูด ก็ยังเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ทว่าดวงตาสีแดงของเธอยังคงเด็ดเดี่ยว
“คำขอของข้ามันเล็กน้อยมาก ไม่ได้หวังโลกทั้งใบหรอก… แค่ความปรารถนาเล็ก ๆ เท่านั้น”
น้ำเสียงของสคาฮะสั่นเล็กน้อย หอกในมือเธอสั่นตามจังหวะหัวใจ
“เหนือสิ่งอื่นใด… ข้าไม่สกปรกต่ำช้าเหมือนราชวงศ์แกรนซ์ของพวกเจ้า”
เสียงนั้นเยือกเย็น… ทว่าบรรจุความแค้นไว้จนแทบจะปะทุ
น้ำเสียงของเธอสงบ ทว่าเย็นชาและแผ่ซ่านด้วยความเกลียดชัง ลิซเองก็รู้สึกถึงคลื่นอาฆาตที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนั้น
สคาฮะไม่ได้ตะโกน ไม่ได้แสดงท่าทางเกรี้ยวกราด… แต่ยิ่งพูดอย่างสงบเท่าไร มันก็ยิ่งเผยให้เห็นความรุนแรงที่ถูกข่มไว้ลึกที่สุด
“…เธอคงมีเรื่องกับจักรวรรดิของฉันไม่น้อยสินะ”
ลิซเอ่ยอย่างเจ็บแสบ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บจากบาดแผล แต่แววตากลับนิ่งสนิท ไม่มีแววสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
“มากเสียจนข้าลืมไม่ได้ แม้แต่ข้าเองก็เคยคิดว่า ความแค้นของข้าคงหลุดพ้นไปกับสายลมแล้ว แต่ทุกครั้งที่ข้าหลับตา… ข้าก็ยังเห็นภาพพ่อแม่ พี่น้อง และคนในราชวงศ์ถูกเผาทั้งเป็นด้วยเปลวเพลิงสีทองของจักรวรรดิ”
เสียงของสคาฮะดิ่งลึกลงราวกับหยดเลือดที่ค่อย ๆ ซึมออกจากแผลในใจ
“เจ้า… ก็เป็นหนึ่งในคนที่สืบเชื้อสายจากคนพวกนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าการมีชีวิตอยู่ของเจ้า… สำหรับข้าแล้วมันคือการดูถูก!”
“หากชีวิตฉันจะช่วยชำระแค้นให้เธอได้ ก็ฆ่าฉันเสียสิ”
ลิซพูดพลางจ้องตาเธอกลับโดยไม่กระพริบ
แต่สคาฮะกลับส่ายหน้าเบา ๆ
“หากข้าต้องการแค่ล้างแค้น… ข้าคงปล่อยให้ปุพเชนหั่นเจ้าตายไปแล้ว แต่เป้าหมายของข้ามันลึกซึ้งกว่านั้น ข้าจะไม่ยอมให้เจ้า ‘ตายง่าย ๆ’ อย่างที่เจ้าหวังไว้หรอก เซเลีย เอสทรีย่า”
“แล้วเธอจะเอายังไง?”
ลิซถามเสียงเรียบ สีหน้าหม่นหมองเหมือนยอมรับชะตากรรม แต่ภายในดวงตายังคงมีไฟที่ไม่ยอมดับ
“ข้าจะใช้เจ้าเป็น ‘เครื่องมือ’ เพื่อทำลายจักรวรรดิของเจ้า”
คำพูดของสคาฮะนั้นเด็ดขาดจนไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้
“ในเมื่อจักรวรรดิแกรนซ์เคยเข่นฆ่าราชวงศ์ของข้าให้สิ้น ข้าก็จะใช้เลือดของราชวงศ์แกรนซ์ ‘ย้อมธงของข้า’ แทน! และเจ้าจะเป็นสัญลักษณ์ของการแก้แค้นนั้น… แม้เจ้าจะไม่ยินยอม”
ลิซกัดฟันแน่น เจ็บปวดทั้งกายและใจ
“ฉันจะไม่ก้มหัวให้เธอ… ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม!”
“เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องก้ม มันไม่สำคัญ เพราะสุดท้าย ข้าจะทำให้ ‘คนทั้งแกรนซ์’ เป็นฝ่ายก้มลงแทน”
แววตาของสคาฮะแข็งกร้าว เยือกเย็น และเต็มไปด้วยเป้าหมายอันแน่วแน่
เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ขัดจังหวะความตึงเครียดนี้ ทหารหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะคุกเข่ารายงาน
“ท่านสคาฮะ — กองลาดตระเวนกลับมาแล้วค่ะ ดูเหมือนว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติที่ชายแดนด้านตะวันออกของเฟลเซ็น พวกเขาพบร่องรอยของหน่วยรบไม่ทราบฝ่าย!”
“ไม่ทราบฝ่าย…?”
สคาฮะขมวดคิ้วทันที
“จำนวนเท่าไร?”
“เบื้องต้นน่าจะประมาณ… ห้าพันคนค่ะ”
“ห้าพัน?!” ปุพเชนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาอุทานเสียงดัง
“ห้าพันคนจากที่ไหนกัน?! ไม่มีประเทศใดในตอนนี้ที่จะมีเวลาส่งกองทัพมาเฟลเซ็นอีก!”
“ไม่ใช่แกรนด์ดัชชี… ไม่ใช่จักรวรรดิด้วย… และไม่ใช่กองกำลังที่เหลือของเฟลเซ็นแน่นอนค่ะ สัญลักษณ์ ธง หรือรูปแบบอาวุธไม่ตรงกับฝ่ายใดเลย”
สคาฮะหรี่ตา พึมพำด้วยน้ำเสียงต่ำ:
“…หรือว่าจะเป็น…”
เธอเหลือบตามองลิซ ซึ่งยังนอนหอบอยู่ในกรงเหล็ก
“…มาแล้วสินะ”
ลิซหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่เลือดยังอาบแก้ม
“…มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ หมอนั่น…”
สคาฮะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปยังทหารหญิง
“สั่งเตรียมการรับมือทันที ประสานไปยังฐานทุกจุดทางตะวันออก บอกพวกเขาว่า — ‘เทพสงครามมาเยือนแล้ว’”
ถ้อยคำของสคาฮะดั่งประกาศิตแฝงนัยความหวาดกลัว ทหารหญิงรับคำสั่งก่อนรีบวิ่งจากไปอย่างเร่งด่วน
ปุพเชนยืนอยู่ไม่ไกล แววตาเต็มไปด้วยความลังเลและความตระหนก เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลืนคำลงคอ
สคาฮะยืนอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองลิซ
แม้ร่างจะเปรอะเปื้อนเลือดและบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับฉายแววแห่งความหวัง
“เขามาจริง ๆ…”
เสียงของเธอเบาแผ่ว แต่หนักแน่น ราวกับคำสาบาน
“…ฮิโระ…”
ชื่อของชายผู้เป็นดั่งแสงสุดท้ายผุดขึ้นจากริมฝีปากที่แห้งผาก
สายตาของสคาฮะสะดุดเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอเพียงแต่มองลิซอย่างเงียบงัน… ก่อนจะหมุนตัว เดินออกจากเต็นท์ไปอย่างมั่นคง ปล่อยให้ลิซอยู่ในความมืดมิด — แต่เธอไม่ได้เดียวดายอีกต่อไปแล้ว
ภายนอก… ท้องฟ้าครึ้มหม่น ฝุ่นสงครามเริ่มก่อตัวจากสายลมที่พัดเอื่อย แต่ในหมู่กองทหารที่ต่างจับตาดูเส้นขอบฟ้าทิศตะวันออก มีเพียงคนเดียวที่ยังยืนมั่น ไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย
เสียงม้ากระทบพื้นดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ธงสีดำโบกสะบัดจากแนวต้นไม้ และตามมาด้วยเหล่าทหารที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงตะโกน ไม่มีเสียงฝีเท้าหนัก ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงประกาศชัยชนะ — มีเพียง “ความเงียบงัน” ที่กดทับยิ่งกว่าความตาย
ผู้นำทัพขี่ม้าดำลำตัวสูงสง่ามาอยู่แนวหน้า — ชายผู้มีดวงตาสีดำและผ้าปิดตา ผิวหน้าสงบเย็นแต่แฝงด้วยพลังดุดันราวเปลวเพลิงที่ยังไม่ลุกไหม้
เขาคือชายผู้หนึ่งเดียวที่โลกเรียกว่า “เทพสงคราม” ในยุคนี้
ฮิโระ ชวาร์ตซ์
ท่ามกลางความเงียบงันของสนามรบ เสียงเดียวที่ดังออกมาจากริมฝีปากของเขาคือคำพูดแผ่วเบา:
“ผม… มาแล้ว ลิซ”
และนั่น คือจุดเริ่มต้นของ “การทวงคืน”
ของ “จักรพรรดินีหญิง”
และ… จุดเริ่มต้นของ “สงครามนองเลือดครั้งใหม่” ที่จะสั่นคลอนสมดุลทั้งทวีป
MANGA DISCUSSION