Immortal and Martial Dual Cultivation - ตอนที่ 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า
ตอนที่ 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า
“หยุดก่อน! ข้าบอกให้เจ้าไปได้? ข้าบอกว่าข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้าทดแทนที่ข้าแย่งโต๊ะของเจ้า หรือคนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่คิดที่จะไว้หน้าข้า?”
ชรือเฟิงก้าวขึ้นหน้าสองก้าวและถามขึ้นอย่าง เผด็จการพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่หันห ลังจากไป
คนจากสามนิกายใหญ่ในอาณาจักรต้าฉันไม่ ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อพวกเขามาพบกัน,มักจะมีข้อพิพาทรุนแรงกันเป็นประจํา โดยเฉพาะสําหรับนิกายศาบากระบี่สวรรค์และนิกายดาบ เงาหมอกในตอนที่สานุศิษย์ทั้งสองนิกายมาพบกัน,พวกเขามักจบลงที่ตบตีกันเป็นปกติ โดยไม่ได้บอกกล่าวพูดคุยกันด้วยซ้ํา
ในสามนิหลกายใหญ่,ความแข็งแกร่งโดยรวมของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนคือต่ําที่สุด หากชรือเฟิงสามารถเหยียบย่ําสานุศิษย์ศาลากระบี่สวรรค์สองคนตรงนี้ได้,มู่เยียนเสวี่ยจะประทับใจไม่น้อย
ชรือเฟิงจะต้องคิดว่าสองคนตรวหน้าของเขา เป็นเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นธรรมดาสามัญ นอกจากนั้น,ที่นี่คือเมืองซีเหอ:เขาสามารถมั่นใจได้ว่าต้องชนะ
เซียวเฉินหยุดเท้าลงและเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของเขา กระแสพลังของเขาสงวนเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีเส้นที่ห้ามข้าม เพียงเพราะเขาไม่อยากทําตัวเป็นที่เตะตาไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกรังแกได้
หลิวสุยเฟิงกระซิบ “เย่เฉิน,หรือเฟิงผู้นี้คือบุตรชายสองของผู้นําตระกูลชรือ,หนึ่งในสามตระกูลชั้นสูงแห่งแคว้นซีเหอ เขามีจิตวิญญาณสืบทอดและอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง ในหมู่รุ่นเยาว์แห่งแคว้นซีเหอ,เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง”
ที่โต๊ะห่างออกไป มีหนึ่งชายและหนึ่งหญิงที่แต่งกายชุดเครื่องแบบของนิกายดาบเงาหมอกนั่งอยู่,กําลังกินดื่มพร้อมกับพูดคุย เมื่อหญิงสาวมองเห็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงมองไปทางฝั่งของเซี่ยวเฉิน
หลังจากที่นางเห็นถึงสถานการณ์,หญิงสาว เผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย นางกระซิบ “นั่นมัน คนของศาบากระบี่สวรรค์และคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน คนของศาบากระบี่สวรรค์จะต้องพ่ายแพ้ พวกเขามีคนน้อยกว่า ศิษย์พี่ลู่,ท่านจําพวกเขาได้หรือไม่?”
บุรุษผู้นี้แบกดาบไว้บนหลังและมีความนิ่งสงบบนใบหน้าอะนหล่อเหลาของเขา คนผู้นี้คือฉู่ฉ่าวอวิ๋นที่เซียวเฉินเกรงกลัวหนักหนา
ฉู่ฉ่าวอวิ๋นส่ายหัวเล็กน้อย หลังจากที่เขาหยิบเหล้าขึ้นมาจิบ,เขากล่าวขึ้น “เขาดูคุ้นตา,แต่ข้าจําไม่ได้ว่าเคยพบเขาที่ไหน มาดูกันต่อเถอะ”
รูปร่างของเซี่ยวเฉินดูคุ้นตาสําหรับฉู่ฉ่าวอวิ๋น แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจนึกออกว่าเขาเคยเห็นใบหน้าแสนธรรมดานั้นที่ไหนมาก่อน
นอกจากนั้น จิตวิญญาณยุทธของเซี่ยวเฉินในตอนนี้ได้ผสานเข้ากับร่างกายของเขา ดังนั้นจี่ฉาวอวิ่นจึงไม่รู้สึกถึงกระแสพลังของมังกรฟ้า ดังนั้น,สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่าเคยพบกันมาก่อน แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใคร
เมื่อชรือเฟิงเห็นเซียวเฉินหยุดเท้าลง,ความภาคภูมิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขากล่าว”ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ แค่อย่าขยับไปไหนจนกว่าพวกข้าจะดื่มกินเสร็จ ไม่ว่าพวกเจ้าอยากจะกินดื่มเท่าไหร,ขาจะเลี้ยงเอง ศิษย์น้องหญิง,ไปกันเถอะ!
หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,เขานําอีกสี่คนเข้าไปที่โต๊ะ คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขายิ้มและกล่าว”ศิษย์พี่ชรือ,ข้าไม่คิดว่าเพียงท่านกล่าวไม่กี่คําก็ทําให้คนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่กล้าขยับไปไหน ท่านช่างสุดยอด”
สีหน้าภูมิใจของชรือเฟิงกลายเป็นมั่นหน้ายิ่งกว่าเดิม เขาเพียงเหลียวมองไปทางมู่เยี่ยนเสวี่ยและยิ้มขึ้น” พวกมันเป็นแค่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ไม่ต้องถึงมือตระกูลชรือของข้า,ข้าก็จัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรให้ชื่นชม
อย่างไรก็ตาม,สีหน้าของมู่เยี่ยนเสวี่ยไม่ได้เปลี่ยนอะไรนัก;นางฝืนหัวเราะออกมา นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง,แต่นางไม่อาจไปแตะต้อง
“ข้าก็ไม่ได้อยากจะโอ้อวด,แต่ไม่มีใครกล้าหือ กับตระกูลชรือของข้า เพียงกล่าวมาว่ามีอะไรที่ต้องตาเจ้าในงานประมูล ตระกูลชรือของข้าจะประมูลมาในนามของเจ้า แม้แต่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธก็ไม่กล้าหือกับพวกเรา ชรือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินไป
“ฟู ฟิว! “
ในจังหวะนั้นเอง,สายลมรุนแรงเป่ามาทางข้างหลังของชรือเฟิง มีเจตนาฆ่าฟันเข้มขันระเบิดออกมาจากทางข้างหลังของเขามันค่อนข้างทรงพลัง นี่ทําให้ทั้งห้าคนหลวาดกลัว
การตอบสนองของชรือเฟิงรวดเร็วที่สุด ทันทีที่ ได้ยินถึงเสียงลม,เขาหมุนตัวไปในทันที ในตอนที่เขามองเห็นเซียวเฉิน,เขาไม่ได้เผยความตื่นกลัว กลับกัน,เขาเกิดตื่นเต้น เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ”หากเจ้าไม่ลงมือ,ข้าไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ตอนนี้เจ้ากล้าลงมือกับข้า,เจ้าลืมที่จะเดินออกจากศาบาหลับไหลไปได้”
เซียวเฉินไม่คิดไปวอแวกับเขา เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก และหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกร จากนั้น,เขาซัดกําปั้นลอยไปที่ใบหน้าของชรือเฟิง
ชรือเฟิงเย้ยหยัน”เจ้ากล้ามาโอ้อวดพลังกายภาพต่อหน้าของข้า หลมองหาที่ตาย!”
หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,หินสีเขียวปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขา นี่คือจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือ ผืนศาลาฟ้า
ก้อนศิลากลายไปเป็นเส้นสายพร้อมกับมัน ขยายไปที่มือขวาของเขาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า,มันเปลี่ยนกลายเป็นวังวนประหลาดที่ฝ่ามือของเขา
ชรือเฟิงกํามือของเขาและวังวนพลันหายไปในทันที มันได้ผสานลงไปในผิวหนังบนมือขวาของเขา,ก่อเกิดพลังน่ากลัวพร้อมกับเขาชกตรงไปที่กําปั้นของเซี่ยวเฉินอย่างรุนแรง
“ปัง!”
ในตอนที่หมัดทั้งสองปะทะกัน เกิดเสียงอันดัง,ระเบิดขึ้นบนชั้นสี่ที่เงียบสงบ คลื่นกระแทกอันนาาหวาดกลัวขยายออกไป,ซัดโต๊ะที่อยู่โดยรอบแหลกเป็นชิ้น
ชรือเฟิงถูกส่งตัวลอยกลับหลัง ศิลาบนมือของเขาเคลื่อนจากฝ่ามือไปที่ไหล่ของเขา จากนั้นมันระเบิดออกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกลายเป็นกองหิน,ร่วงหล่นลงบนพื้น
เซียวเฉินไม่ขยับแม้แต่น้อย;กระแสพลังของ เขาพลุ่งพล่าน กระดูกในร่างของเขาส่งเสียงแตกกร้าว ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรเลื้อยพันกัน
เซียวเฉินร้องตะโกนและกดเท้าดีดตัวออกจากพื้น,ไล่ตามชรือเฟิงไปโดยไม่ลังเล
“เป็นไปได้อย่างไร? ชรือเฟิงผู้นั้นพ่ายแพ้ในด้านของพลังกายภาพได้อย่างไร?” สานุศิษย์ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคียชนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“จิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือเพิ่มพลังกายภาพของผู้บ่มเพาะพลังมากที่สุดถึงห้า ในสิบส่วน ทั้งพลังและการป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าได้อย่างไร?”
มู่เยียนเสวี่ยไม่ได้กล่าวอะไร นางรู้ว่าชรือเฟิงได้เตะไปโดนตอเข้าให้แล้วในครั้งนี้
ก็เป็นเรื่องดีมันจะได้หยุดไม่ให้เขาทําเรื่องโง่เง่าอีกในอนาคต,มู่เยียนเสวี่ยเห็นพ้องกับตัวเอง
ชรือเฟิงตกตะลึงยืนนิ่ง ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากนิหลกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียเปรียบในด้านพลังกายภาพ
“โซว!”
ในจังหวะที่ชรือเฟิงเท้าลงถึงพื้น,ผืนศิลาฟ้าทอดออกมา,รับเขาเอาไว้อย่างมั่นคงและหยุดไม่ ตัวของเขาไหลถอยหลังไปอีก
ชรือเฟิงจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่กําลังลอยมาทางเขาพร้อมกับกระแสพลังพลุ่งพล่าน ร่องรอยเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านใบหน้าของชรือเฟิง
ชรือเฟิงตะโกนออกมาและผืนศิลาฟ้าปกคลุมร่างของเขา กระแสพลังของจิตวิญญาณยุทธ สืบทอดถูกปลดปล่อยออกมา ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดบนชั้นสี่รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน
ชรือเฟิงกํามือของเขาแน่นและซัดกําปั้นออกไป สายลมจากกําปั้นสทะลวงผ่านอากาศและเกิดเป็นเสียงคําราม,ก่อตัวเป็นวังวนศิลาสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ
หรือเฟิงกล่าวเสียงเย็น”พลังของกําปั้นนี้ขึ้นไปถึงห้าพันกิโลกรัม ลองดูว่าเจ้าจะทําลายมันได้อย่างไร แหลกไปซะ! “ปัง!
สีหน้าของเซี่ยวเฉินกลายเป็นเคร่งขรึม เขาคํารามออกมาเสียงดัง,ราวกับพยัคฆ์มังกร,กําลังทะลวงผ่านสวรรค์ ร่างของเขาคลุมด้วยเรืองแสงสีทอง ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรผสานเข้าไปในกําปั้นของเขาอย่างรวดเร็ว
“หมัดพยัคฆ์มังกร,มังกรข่มพยัคฆ์คําราม!“
ภายใต้การหมุนเวียนของสลักร่างพยัคฆ์มังกร,พลังของกําปั้นนี้คือกําปั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เซียวเฉินสามารถซัดออกมาได้ มันแบกพลังมามากกว่าเก้าพันกิโลกรัม
“ปัง!”
เมื่อกําปั้นปะทะกัน,เกิดเป็นเสียงดังสั่นสะเทือนสวรรค์ ผิวของผืนศิลาสีฟ้าเกิดรอยร้าวและแตกสลาย คลื่นกระแทกขยายออกเปลี่ยนให้มันกลายเป็นผุยผงและสลายไปตามลม
“ฟู ปิ้ว! “
ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ ร่างของเขาลอยกลับไปราวกับกระสอบทราย
ชรือเฟิงชนเข้ากับกําแพงของชั้นสี่เกิดเป็นเสียงดังและทะลุตกลงไปที่ชั้นสาม
เมื่อหรือเฟิงตกลงพื้นในสภาพน่าสังเวช,ลูกค้าที่ชั้นสามทั้งหมดขยับออกไปด้านข้าง
คนที่จําหรือเฟิงได้ตกตะลึงยืนนิ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่กล้าพอที่จะทําร้ายคนของตระกูลชรือในแคว้นซีเหอ”
“ฟูปิ้ว!”
เซียวเฉินกระโดดผ่านรูบนกําแพง,และร่างของเขาวูบไหวไปในอากาศ เขาเหยียบลงบนหน้าอกของชรือเฟิง ,กดคนเท้าลงบนคนที่กําลังดิ้นอยู่กับพื้น
ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคําและไอ ออกมาอีกสองสามครั้ง เขาชี้ไปที่เซียวเฉินและกล่าวอย่างดุเดือด “ออกไปจากตัวข้าให้เร็ว มิฉะนั้น,เจ้าลืมที่จะออกไปจากเมืองซีเหอแบบมีชีวิตไปได้”
เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบาและเมินเฉยคําของเขา เขากล่าวด้วยเสียงรุ่มลึก “เจ้าหมายจะใช้สถานะ สานุศิษย์ศาบากระบี่สวรรค์ของข้าเพื่อที่จะดึงความสนใจหญิงสาว น่าเสียดาย,เจ้าเลือกผิดคนแล้ว”
“เจ้าไม่แม้แต่จะมีค่าพอให้ข้าชักกระบี่ออกมา”
เมื่อเขาพูดจบลง,เซี่ยวเฉินเตะไปที่เอวของชรือเฟิงอยู่สงโหดเหี้ยม,ไม่เก็บแรงเอาไว้แม้แต่น้อย
ชรือเฟิง, ผู้ที่ไม่อาจต่อต้าน,ถูกเตะลอยขึ้นไปในอากาศ เขาลอยโค้งไปที่หน้าต่างของชั้นสามอย่างแม่นยํา,ตกลงไปที่ถนน
ที่ชั้นสี่ของศาลาหลับไหล,ฉู่ฉ่าวอวิ๋นยิ้มขึ้นบางเบาขณะที่มองดูเหี่ยวเฉิน “เป็นเขานั้นเอง ข้าก็สงสัยทําไมถึงได้ตามหาตัวเขาไม่เจอ เขาได้ไปที่ศาลากระบี่สวรรค์”
หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกับฉู่ฉ่าวอวิ๋นถามขึ้นอย่างสงสัย “ศิษย์พี่นู,หรือจะเป็นคนรู้จักของท่าน?”
ฉู่ฉ่าวอวิ๋นลุกและยิ้มขึ้น “สหายเก่า ทุกที่ที่เขาไปมีแต่ความปั่นป่วน เขาราวกับกระบี่คมกริบ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเก็บเขาเอาไว้ในฝัก,เขาก็ยังฉายแสงออกมาในทันทีที่เขาถูกชักออกมาจะทําให้เจ้าตื่นตะลึง”
เมื่อมู่เยี่ยนเสวี่ยมองเห็นชรือเฟิงลอยออกหน้า ต่างไปเสีหน้าของนางเปลี่ยน นางรีบกล่าวขึ้น “ลงไปหยุดเขาเอาไว้ หากเขาหนีไปได้ มันจะไม่ ง่ายที่จะอธิบายกับตระกูลชรอ”
ตระกูลชั้นสูงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายใหญ่ต่างๆ พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันพันธมิตร,เหมือนกับตระกูลหยุนกับศาบากระบี่สวรรค์,ตระกูลหยานกับนิกายดาบเงาหมอก,และตระกูลชรือกับตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน
ดังนั้น มู่เยียนเสวี่ยจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ หากเซี่ยวเฉินฉีกหน้าหรือเฟิงเช่นนี้ ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนจะต้องอธิบายถึงเรื่องนี้กับตระกูลชรือหากพวกเขาคิดจะติดตามเรื่องนี้
ทั้งสี่คนหยิบเอาอาวุธของพวกเขาออกมาและกระโดดผ่านรูไป แต่ละคนยึดคนละมุมล้อมรอบเซี่ยวเฉิน
หลิวสุยเฟองกําลังจะกระโดดตามลงไปช่วย,แต่เขาพบว่ามีมือกดลงบนไหล่ห้ามเขาเอาไว้
สีหน้าของหลิวสุยเฟิงพลันเปลี่ยนและเขามองกลับไปพร้อมอุทานขึ้น “ฉู่ฉ่าวอวิ๋น! ทําไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่?!”
ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของนิกายดาบเงาหมอก…คู่ปรับชั่วนิรันดร์ของศาบากระบี่สวรรค์,หลิวสุยเฟิงคุ้นเคยกับหน้าตาของคนผู้นี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม,เขาเคยเห็นเพียงแค่ภาพวาดของเขาเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบหน้ากับคนผู้นี้
ฉู่ฉาวเป็นยิ้มและกล่าว “อย่าได้กังวลสหาย ของเจ้าจะไม่เป็นไร หากเจ้าลงไป,เจ้าจะทําให้เรื่องแย่ลงไปอีก”
คําของฉู่ฉ่าวอวิ๋นช่างอ่อนโยน;ไม่มีเจตนาฆ่า ฟันออกมาแม่แต่น้อย อย่างไรก็ตาม มันทําให้หลิวสุยเฟิงรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูป,ทําให้เขาไม่กล้าที่จะขยับ
ลูกค้าที่ชั้นสามพากันออกไปกันหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้หายไปไกล:พวกเราอยู่ที่ชั้นสองกําลังมองดูเรื่องน่าตื่นเต้น
“โฮ,มันเป็นคนของศาลากระบี่สวรรค์กับคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนกําลังต่อสู้กัน แต่อย่างไรก็ตาม,ทําไมศาลากระบี่สวรรค์ถึงได้มีเพียงคนเดียว? มันอันตรายที่หนึ่งจะไปสู้สี่”