รอบที่สอง หุ่นรบสองตัวที่ขึ้นสู่สนามล้วนเป็นหุ่นรบระดับพิเศษรูปแบบผสม ผู้เข้าประลองทั้งสองคนเคยเข้าร่วมการประลองหุ่นรบเดี่ยวมาก่อนและก็เข้าสู่สิบหกอันดับแรก ความ มสามารถของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งให้ความสำคัญกับการประลองรอบนี้มาก เพราะว่าหากพวกเขาพ่ายแพ้อีกรอบ สถานการณ์ก็จะตึงเครียดแล้ว การประลองถัดไปสามรอบจะพลาดไม่ได้เลย โรงเรียนทหารชายท ที่สามให้ความสำคัญกับการประลองรอบนี้มากกว่า ถ้าเกิดเอาชนะการประลองรอบนี้ไปได้ ความหวังที่พวกเขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก…ตราบใดที่มีโอกาส ไม่มีใ ใครยินดียอมแพ้ โรงเรียนทหารชายที่สามก็เหมือนกัน
เนื่องจากทั้งคู่เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบแบบผสม พวกผู้ชมก็พากันคาดเดาตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มการประลองว่า ท้ายที่สุดทั้งสองคนจะเลือกการโจมตีประเภทใด? จะเป็นการต่อสู้ระยะไกลหรือ อว่าระยะประชิด หรือว่าต่อสู้ระยะประชิดก่อนแล้วค่อยเป็นระยะไกล?
ทันทีที่กรรมการโบกธงเขียว หุ่นรบทั้งสองตัวก็กระโจมเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างดุดันราวกับพยัคฆ์ร้ายที่ออกจากกรง
ทั้งสองล้วนเลือกการต่อสู้ระยะประชิดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย!
‘เคล้ง!’ อาวุธในมือพวกเขาปะทะกันอย่างรุนแรง
อาวุธโจมตีระยะประชิดมีอยู่สองประเภทหลักๆ ประเภทหนึ่งคือดาบแสงซึ่งเป็นอาวุธพลังงาน อีกประเภทก็คืออาวุธเย็นแบบดั้งเดิม ขณะที่ทั้งสองเลือกต่อสู้ระยะประชิด อาวุธที่เลือก ก็เป็นอาวุธเย็นแบบดั้งเดิมเหมือนกันด้วย
เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น หุ่นรบทั้งสองก็ปลดอาวุธลงมาจากช่องตรงแผ่นหลัง แล้วจู่โจมปะทะกัน ทำการเคลื่อนไหวติดต่อกันหนึ่งชุดจนทำให้ผู้คนตาพร่า ผู้ชมไม่น้อยโห่ร้องเสียงด ดังด้วยความสะใจ อุทานชื่นชมความเร็วในการควบคุมอันน่าทึ่งของพวกเขาทั้งสอง
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ชมธรรมดา ผู้ควบคุมหุ่นรบชั้นยอดที่แท้จริงกลับทำหน้านิ่ง ถึงแม้การควบคุมของสองคนที่อยู่บนสนามจะดีเยี่ยมกว่าผู้ควบคุมหุ่นรบทั่วไปเล็กน้อย แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึง นอกเสียจากมีสิ่งที่คล้ายคลึงกับการควบคุมทันทีที่สะบัดธงลงอย่างของหลิงหลานปรากฏขึ้นมาถึงจะทำให้พวกเขาประทับใจได้
‘เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!…’
บนสนามประลอง ทั้งสองคนเริ่มโจมตีใส่กันอย่างบ้าคลั่ง อาวุธเย็นปะทะกันจนเกิดเสียงดังลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ตึงเครียดนี้ทำให้ผู้ชมทุกคนเบิกตาโต กลัวว่าตัวเองจะพลา าดชั่ววินาทีตัดสินผลแพ้ชนะหากกะพริบตาครั้งเดียว
ด้านหลังเวที เฉียวถิง หลิงหลานและจ้าวจวิ้นสามคนยืนเคียงข้างกันอยู่ทางด้านขวาของหน้าจอใหญ่ ประจันหน้ากับโรงเรียนทหารชายที่สามทางด้านซ้ายอยู่ห่างๆ พวกเขาจ้องภาพในหน้า าจอขนาดใหญ่อย่างไม่วางตา วิเคราะห์อยู่ในใจว่าอัตราการเอาชนะของอีกฝ่ายมีมากน้อยเพียงใด
หลังจากจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานทำให้จ้าวจวิ้นรู้สึกตาล้านิดหน่อย เขาเก็บสายตากลับมาเตรียมตัวพักผ่อนสักพัก พอเห็นหลิงหลานที่อยู่ข้างๆ หลับตาพักสมองแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยคว วามประหลาดใจทันทีว่า “ลูกพี่หลาน นายไม่ดูเหรอ?”
คำถามของจ้าวจวิ้นดึงดูดความสนใจของเฉียวถิง เฉียวถิงเองก็เก็บสายตาของตนกลับมา แล้วหันหน้ามองไปทางหลิงหลาน แววตาแฝงไปด้วยคำถาม
หลิงหลานเห็นแบบนั้นก็ตอบกลับอย่างเฉยชาว่า “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าหัวหน้ากลุ่มมู่จะชนะก็เลยไม่ได้ดูต่อน่ะ”
คำพูดของหลิงหลานทำให้สมาชิกที่เข้าร่วมแข่งขันจากโรงเรียนทหารชายที่สามหลายคนจ้องมองด้วยความเดือดดาล ‘เห็นชัดๆ ว่าบนสนามสูสีกัน ไอ้หมอนั้นกลับพูดสรุปว่าพวกเขาจะแพ้ ค คนอื่นทนได้แต่พวกเขาทนไม่ได้จริงๆ!’ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะห้ามต่อสู้กันที่ด้านหลังเวที พวกเขาจะต้องปรี่เข้าไปสั่งสอนเจ้าเด็กปากพล่อยคนนี้แน่นอน
คนของโรงเรียนทหารชายที่สามคิดอย่างโกรธเคือง พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าเจ้าเด็กที่ดูเหมือนเย็นชานิดหน่อย แต่ไม่ค่อยสะดุดตาผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่มีทักษะกา ารต่อสู้มือเปล่าเข้าสู่ระดับเขตแดนแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีความคิดเช่นนี้เลย พูดได้แค่ว่าผู้ไม่รู้ล้วนไร้ความเกรงกลัว
คำพูดของหลิงหลานทำให้แววตาของจ้าวจวิ้นเปล่งประกาย ในหน่วยรบหลิงเทียน หลิงหลานไม่เคยพูดจาไร้สาระ ในเมื่อลูกพี่หลานบอกว่าชนะ เช่นนั้นย่อมชนะได้แน่นอน (เป็นอีกคนที โดนหลิงหลานหลอกสำเร็จ…)
คำอธิบายของหลิงหลานกลับทำให้เฉียวถิงอึ้งไป เขามองหลิงหลานอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าคำพูดที่หลิงหลานกล่าวมาคือต้องการสั่นคลอนจิตใจคู่ต่อสู้ หรือว่ารู้สึกได้จริงๆ ว่ามู่เส่ าอวี่จะชนะ?
เฉียวถิงมองไปทางหน้าจอใหญ่อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บนสนามประลอง ทั้งสองคนยังคงต่อสู้สูสีกัน ไม่ว่าใครล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะชนะ ไม่ว่าใครล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะพ่า ายแพ้ เขามองไม่เห็นสัญญาณที่มู่เส่าอวี่จะชนะได้เลยจริงๆ
เฉียวถิงดูต่อไปโดยที่นำพาความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนี้ไปด้วย ผ่านไปห้าสิบกระบวนท่า ผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว…เมื่อต่อสู้กันเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบกระบวนท่า ในที่สุดคู่ต่ อสู้ก็พลาดพลั้ง มู่เส่าอวี่ไม่ได้ปล่อยโอกาสนี้ไป การโจมตีอย่างรุนแรงหนึ่งชุด ซัดคู่ต่อสู้จนได้แต่ตั้งรับโดยที่ไม่สามารถโต้กลับได้เลย
ฉากนี้ทำให้เฉียวถิงมองไปทางหลิงหลานอย่างตะลึงงัน “นายดูออกจริงๆ เหรอ?”
หลิงหลานจ้องเฉียวถิงกลับอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง “จะเป็นไปได้ยังไง! ฉันแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
ต่อให้พรสวรรค์รู้แจ้งเห็นจริงของเธอจะมหัศจรรย์อีกสักแค่ไหน มันก็ไม่สามารถมองเห็นผลแพ้ชนะออกก่อนหนึ่งร้อยกว่ากระบวนท่า เธอแค่รู้สึกว่าตอนที่มู่เส่าอวี่ขึ้นไปบนสนามประลอง ง ทั่วทั้งร่างเผยจิตวิญญาณต่อสู้ที่ไม่ยอมจำนนออกมา อาศัยจิตวิญญาณนี้ก็ยากจะพ่ายแพ้แล้ว!
พูดไปเรื่อย? ลูกพี่หลานนายมันไม่มีความรับผิดชอบเกินไปแล้ว! จ้าวจวิ้นที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำกล่าวก็น้ำตานองหน้าทันที ควรรู้เอาไว้ว่า ตอนที่เขาฟังคำพูดของหลิงหลานเมื่อส สักครู่นี้ เขาก็เชื่อไปแล้วจริงๆ นะ!
“พูดไปเรื่อยจะแม่นยำขนาดนี้เลย?” เฉียวถิงไม่เชื่อ
หลิงหลานเหลือบมองเฉียวถิงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยประชดว่า “นายอยากให้หัวหน้ากลุ่มมู่แพ้หรือไง?”
เฉียวถิงที่โดนคำพูดนี้ทิ่มแทงก็พูดไม่ออก ใช่แล้ว จะดูถูกฝ่ายตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ต้องพูดว่าฝ่ายเราชนะสิ! เฉียวถิงหันหน้ามองไปทางหน้าจอใหญ่ด้วยความหงุดหงิด ในใจลอบแค้นเคือ องว่าทำไมตัวเองถึงได้เลินเล่อขนาดนี้ ปล่อยให้หลิงหลานหลอกเอาได้!
ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน การต่อสู้บนสนามประลองกลับมาถึงตอนท้ายแล้ว มู่เส่าอวี่โจมตีอย่างรุนแรงอีกรอบหนึ่ง ซัดใส่ร่างหุ่นรบของคู่ต่อสู้ติดต่อกัน หักคะแนนของอีกฝ่ายจนถึงศูน นย์ทันที
กรรมการบนสนามได้รับคำตัดสินที่คณะกรรมการส่งมาก็หยุดการประลองอย่างเฉียบขาด มู่เส่าอวี่ได้รับชัยชนะในรอบนี้ คะแนนรวมกลายเป็นหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว
หัวหน้าทีมของโรงเรียนทหารชายที่สาม หรือก็คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทั้งห้าคนที่เข้าร่วมการประลองเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ และเสียใจที่เพื่อนร่วมทีมทำ ำพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคว้าโอกาสเอาชนะการประลองไปได้ ไม่เช่นนั้นใครแพ้ใครชนะในการประลองรอบนี้น่าจะไม่ได้ผลสรุปจนกว่าจะสิ้นสุดการประลอง
เขามองตัวแทนสามคนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่อยู่ตรงข้ามซึ่งยังไม่ได้ออกไปประลอง ก่อนจะกัดฟัน เขาเป็นคนออกไปประลองรอบต่อไป เขาหวังว่าคนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งส่ง งมาจะไม่ใช่เฉียวถิงนะ…
เนื่องจากการจัดทีมของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแปลกพิลึกมาก ไม่สามารถหาตรรกะอะไรได้จากในนั้นเลย และก็ไม่สามารถคาดเดาการจัดทีมในตอนสุดท้ายของอีกฝ่ายในการประลองนี้ได้ เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง เขาเลยวางตัวเองไว้ในรอบที่สาม โดยหลักๆ แล้วเดิมพันว่าคนที่ออกไปประลองในสามรอบแรกของอีกฝ่ายจะไม่มีเฉียวถิง เช่นนั้นพวกเขาก็จะมีโอกาสเอาชนะได้ สามรอบทันทีแล้วผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
พอคิดถึงตรงนี้ หัวหน้าทีมก็ลอบเสียดายอีกครั้ง ถ้าเกิดพวกเขาเอาชนะรอบสองได้ ขอเพียงคนที่ออกมาประลองไม่ใช่เฉียวถิง เขาก็มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะในรอบที่สามได้!
“หัวหน้า คนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่ออกไปประลองรอบที่สามมาแล้ว เป็นจ้าวจวิ้น!” ตัวสำรองของโรงเรียนทหารชายที่สามที่ไม่มีโอกาสออกไปต่อสู้และคอยเฝ้าจับตามองโรงเรียนทหา ารชายที่หนึ่งมาโดยตลอดเห็นว่าจ้าวจวิ้นขึ้นไปบนหุ่นรบทำการปรับแต่งในช่วงเวลาสิบนาทีสุดท้าย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบแจ้งเตือนหัวหน้าทีมที่อยู่ข้ างๆ ทันที
“เขานี่เอง!” หัวหน้าทีมได้ยินคำกล่าว สีหน้าก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน ต่อให้เขามั่นใจว่าตราบใดที่ไม่ได้เจอเฉียวถิง เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ที่เหลือได้ แต่ว่าในหมู่ สี่คนที่เหลือนั้น จ้าวจวิ้นกลับเป็นคนที่เขากังวลมากที่สุด เขาไม่ได้ลืมเรื่องที่จ้างจวิ้นเคยตีเสมอกับเจี่ยงเส่าอวี่ผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาได้สำเร็จในการปะลองหุ่นรบเด ดี่ยวถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยเรื่องโชคด้วยในระดับหนึ่ง แต่ความสามารถในการควบคุมหุ่นรบที่แน่นปึกของตัวจ้าวจวิ้นเองก็เป็นหนึ่งในต้นตอความสำเร็จของเขาเหมือนกัน
ถ้าเกิดเป็นหลิงหลาน บางทีอาจจะจัดการง่ายกว่าหน่อย! หัวหน้าทีมคิดอย่างโศกเศร้าในใจเล็กน้อย แต่แป๊บเดียวเขาก็เปลี่ยนจากความกังวลเป็นยินดี คิดว่าการที่เขาต่อกรกับจ้าวจ จวิ้นนั้นเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนทหารชายที่สามของพวกเขามากที่สุดแล้ว ขอเพียงเขาเอาชนะจ้าวจวิ้นได้ ลูกทีมสองคนที่เหลือ ไม่ว่าใครสู้กับหลิงหลานก็มีความหวังที่จะเอาชนะไ ได้ทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าทักษะพื้นฐานของหลิงหลานคนนั้นจะทำให้เขาใช้กลเม็ดใหม่ๆ บางอย่างได้ และก็เอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าได้สำเร็จ แต่ว่านี่เป็นเพราะการจู่โจมฉับพลันในขณะที่อีกฝ่า ายไม่ทันตั้งตัว ทำให้คู่ต่อสู้รับมือไม่ทันแล้วพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าเกิดมีการเตรียมตัวมาแล้ว ทักษะพื้นฐานเหล่านี้จะเอาชนะทักษะระดับสูงได้เหรอ? แล้วยิ่งเป็นพวกทักษะระ ะดับพิเศษที่อยู่เหนือกว่าหนึ่งระดับล่ะ?
พอคิดแบบนี้ ดวงหน้าของหัวหน้าทีมก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาคล้ายกับมองเห็นฉากที่พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ สวรรค์ยืนอยู่ฝั่งพวกเขาในการการจัดทีมครั้งนี้อย่า างไม่ต้องสงสัย
ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง เฉียวถิงเห็นหัวหน้าทีมของโรงเรียนทหารชายที่สามขึ้นไปบนหุ่นรบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเขา…โจวเชาหลิง!”
ความประทับใจของเฉียวถิงที่มีต่อโจวเชาหลิงล้ำลึกมาก โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเคยต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับโรงเรียนทหารชายที่สามมาก่อนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขาพากลุ่มหุ่นรบเห ลยถิงไปต่อสู้แบบกลุ่มกับกลุ่มหุ่นรบที่อีกฝ่ายนำทีม ตอนนั้นเขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษมานานมากแล้ว ส่วนโจวเชาหลิงกลับเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่เพิ่งเลื่ อนขั้นเท่านั้น
ว่าตามเหตุผลแล้ว ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาจะเกิดสภาวะไม่มั่นคงขณะที่ขับหุ่นรบระดับพิเศษ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปัญหาข้อนี้เลย การควบคุมมั่นคงจนดู ไม่เหมือนผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่เลื่อนขั้นใหม่ ตรงกันข้ามเขากลับดูมั่นคงและช่ำชองมาก สิ่งที่ทำให้เฉียวถิงยิ่งยากจะลืมเลือนคือ ความเยือกเย็นและสงบนิ่งของโจวเชาหลิง เขารู้ชัดเจนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวถิง แต่จิตใจของเขาไม่ได้เกิดการสั่นคลอนเลย จิตใจที่เยือกเย็นตลอดการต่อสู้ทำให้เขาแทบจะไม่มีพลาด สุดท้าย ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะระดับขั้ นของโจวเชาหลิงไม่เพียงพอ ไม่อาจตัดสินตำแหน่งโจมตีของท่าไม้ตายเขาออกมาได้อย่างแม่นยำ เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะการประลองแลกเปลี่ยนความรู้รอบนั้นได้
สำหรับเฉียวถิงแล้ว ถ้าเกิดโจวเชาหลิงเลื่อนขั้นเป็นไพ่ราชาได้สำเร็จก่อนศึกประลองหุ่นรบ เกรงว่าศึกประลองหุ่นรบครั้งนี้ คนที่เขากังวลใจมากที่สุดคงไม่ใช่หลินเซียวจากโร รงเรียนสหศึกษาที่หนึ่งคนนั้น หากแต่เป็นโจวเชาหลิงคนนี้
สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเฉียวถิงอยู่ในสายตาของหลิงหลาน เธอฉุกใจคิดขึ้นมาแล้วก็ลอบสั่งเสี่ยวซื่อให้ค้นหาข้อมูลรายละเอียดคู่ต่อสู้ของจ้าวจวิ้น เธอเปิดอ่านคร่าวๆ อย่างร รวดเร็ว เมื่อเห็นผลงานของเขาในหลายปีที่ผ่านมานี้ สีหน้าก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมาเช่นกัน…ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ยุ่งยากจริงๆ เลย!
MANGA DISCUSSION