ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกของพนักงานร้าน
เพื่อจะหันไป ฉันต้องปล่อยมือเอนเซียก่อน
หางของเธอที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ กลับสะบัดเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
เพราะฉันปล่อยมือเธอหรือเปล่านะ?
พอฉันจับมือเธออีกครั้ง หางของเธอก็แกว่งเบา ๆ อย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอโทษนะคะ?”
“คะ? มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“พวกคุณไม่เข้ามาเพราะป้ายหน้าร้านใช่ไหมคะ?”
สายตาของพนักงานมองไปที่ส่วนที่เป็นมนุษย์สัตว์ของฉันกับเอนเซีย ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจเหตุผลที่พวกเราไม่กล้าเข้าไปในร้าน
“ใช่ค่ะ พวกเราไม่อยากสร้างปัญหา”
“ถ้าเป็นแบบนั้น พวกคุณเข้ามาได้เลยค่ะ ถึงจะมีหาง แต่พวกคุณก็คือมนุษย์เหมือนกันนะคะ”
“…งั้นเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ! มาเมื่อไรก็ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจเลย!”
พนักงานคำนับอย่างรวดเร็วแล้วรีบกลับเข้าไปในร้าน ดูเหมือนจะยุ่งเพราะมีลูกค้าเยอะ
“เอนเซีย เขาว่าพวกเราเข้าไปได้แล้วล่ะ”
“ใช่ค่ะ ร้านนี้ใจดีจริง ๆ เข้าไปกันเถอะ”
“อืม”
เราสองคนเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน
ขณะที่ยืนรอสั่งของในแถว ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่จ้องมา
ไม่น่าจะเป็นเพราะหางของเราหรอก ใช่ไหม?
ฉันคว้าหางตัวเองไว้ด้วยความประหม่า
เห็นหางของเอนเซียข้าง ๆ กำลังแกว่งไปมา ฉันเลยจับหางของเธอไว้ด้วย
“ฮึ่ยย”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเราส่งเสียงครางแปลก ๆ ออกมา
เธอกุมหน้าอกไว้แน่น และฉันไม่เข้าใจเลยว่าเป็นเพราะอะไร
“เอนเซีย?”
คุณรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร?
ฉันถามด้วยสายตา แต่เอนเซียเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ตอบกลับมา
ไม่ใช่แค่เธอ คนอื่น ๆ ในร้านก็กำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
อะไรกันเนี่ย?
ระหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิด ก็ถึงคิวของพวกเราแล้ว
เคาน์เตอร์สูงมากจนมีแค่ดวงตาของฉันพ้นขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
การพูดกับใครโดยให้เห็นแค่ตา คงไม่สุภาพเท่าไหร่
ฉันจึงเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ใบหน้าทั้งหมดพ้นขึ้นมา
“อะ ยินดีต้อนรับค่ะ จะสั่งอะไรดีคะ…?”
พนักงานยกมือขึ้นปิดปาก ขณะที่ก้มลงมองฉัน
ฉันคิดว่าร้านนี้แปลกจัง แต่ก็สั่งต่อไปตามปกติ
“ฉันขอไอศกรีมชีสหนึ่งที่ เอนเซีย คุณจะเอาอะไร?”
“ฉันเอาเหมือนท่านค่ะ ท่านคยออุล”
“โอเค ขอสองที่”
ฉันชูนิ้วสองนิ้วให้พนักงานดู
ฉันมองเห็นลักยิ้มของเธอซ่อนอยู่หลังมือที่ปิดปากไว้
“ไอศกรีมชีส สะ-สองที่…!”
หลังจากสั่งได้ไม่นาน เราก็ได้รับไอศกรีมโคนทั้งสองอัน
ฉันกับเอนเซียนั่งที่โต๊ะ และเริ่มลิ้มรสไอศกรีมด้วยกัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินไอศกรีมหรู ๆ แบบนี้เลย”
“ใช่ค่ะ จริง ๆ แล้วของฉันก็ครั้งแรกเหมือนกัน”
งับ
ฉันกับเอนเซียกัดไอศกรีมคำหนึ่ง รสชาติอร่อยจนตกใจ จนหูของฉันชันขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว
“อร่อยจังเลย”
“ใช่ค่ะ”
แกว่ง แกว่ง
หางของเอนเซียเริ่มแกว่งไปมา
เหมือนจะสอดคล้องกัน หางของฉันก็เริ่มแกว่งตามไปด้วย ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่โซเฟียพูดไว้เมื่อเช้านี้
เธอเคยบอกว่า เมื่อโตขึ้น ฉันจะสามารถควบคุมหางได้ในระดับหนึ่ง
“เอนเซีย คุณก็ควบคุมหางไม่ค่อยได้เหมือนกันเหรอ?”
“เอ่อ คือว่า…”
เอนเซียลดไอศกรีมจากปากลงมาวางไว้ที่โต๊ะ
พอเห็นท่าทีลังเลของเธอ ฉันก็รู้ทันทีว่าตัวเองถามอะไรไม่เหมาะเข้าแล้ว
“ขะ-ขอโทษ ฉันถามอะไรแปลก ๆ ไป”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันก็ตลกดี ที่ผู้ใหญ่อย่างฉันยังควบคุมหูหรือหางตัวเองไม่ได้เลย”
อย่างนี้นี่เอง
การที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถควบคุมหางได้คงเป็นเรื่องน่าอายไม่น้อย ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่เกี่ยวกับมนุษย์สัตว์อีกแล้ว
“ฉันแค่คิดว่ามันดีจัง ที่เรามีอะไรเหมือนกัน…”
“เหมือนกัน…?”
“ใช่ ฉันก็ควบคุมพวกมันไม่ได้พอ ๆ กับคุณเลย”
เอนเซียมองไปที่หางของฉันด้านหลัง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ ออกมา
“เข้าใจแล้วค่ะ มันทำให้รู้สึกเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกันเลยนะคะ”
“อะไรนะ…?”
รู้สึกเหมือนครอบครัว?
เราไม่ใช่ครอบครัวกันอยู่แล้วเหรอ?
ฉันจับโคนไอศกรีมไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างอย่างประหม่า
“ขะ-ขอโทษค่ะ ฉันไม่ควรพูดอะไรเอาเองแบบนั้น…”
“เอนเซีย เราเป็นครอบครัวกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ…?”
เมื่อได้ยินคำถามของฉัน หูขนนุ่มของเอนเซียก็ตั้งชันขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอเป็นแบบนี้
“ชะ-ใช่ค่ะ! ฉันพูดผิดไปเอง…”
งับ—
เอนเซียกัดไอศกรีมไปคำหนึ่งอย่างแน่วแน่
เธอกินไอศกรีมจนหมดในไม่กี่คำ สีหน้าดูพอใจมาก
“งั้น ฉันก็เป็นพี่สาวของท่านสินะ?”
“หา…?”
“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ฉันจะรับใช้คุณด้วยหัวใจเหมือนเดิมค่ะ”
เอนเซียดูมีความสุขกว่าครั้งไหน ๆ
มันรู้สึกแปลก ๆ แต่เพราะเธอดูมีความสุข ฉันจึงตัดสินใจปล่อยให้เธอได้รู้สึกดีไปแบบนั้น
━━━━━━━━━━━━━━━━━
พวกเรามาถึงสถานสงเคราะห์สัตว์พร้อมกับเอนเซีย มีสัตว์ถูกทอดทิ้งมากมายอยู่ในกรงขนาดเล็ก
“สัตว์พวกนี้ทั้งหมดถูกเจ้าของทอดทิ้งเหรอคะ?”
“ใช่ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“น่าสงสารจังเลย”
หูของเอนเซียลู่ลงอย่างหดหู่
เธอดูเหมือนจะรู้สึกสงสารสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง ฉันเลยตัดสินใจปลอบใจเธอสักหน่อย
“เราช่วยพวกมันทั้งหมดไม่ได้ แต่เราช่วยหนึ่งตัวได้”
“ใช่ค่ะ มันรู้สึกเหมือนเป็นความรับผิดชอบที่หนักหนาเลย”
เราสองคนเดินดูรอบ ๆ สถานสงเคราะห์ไปด้วยกัน
พนักงานอธิบายให้ฟังขณะเราเดินผ่านแต่ละกรง—ว่าพวกมันถูกทอดทิ้งอย่างไร และพบเจอพวกมันที่ไหน
เราหยุดอยู่หน้ากรงหนึ่ง ซึ่งดูคล้ายกับฉันอย่างประหลาด
มันเป็นแมวที่แต่ก่อนอาจเคยมีขนสีขาว
ขนของมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหม่น ดวงตาข้างหนึ่งหายไป และหูกับหางของมันก็ถูกตัด
“อืม…”
เธอก็ต้องเคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาเหมือนกันสินะ
โดยไม่ทันคิด ฉันก็ยื่นมือไปหามัน
“เหมียว”
แทนที่จะหนีไป แมวกลับเอาหน้ามาถูที่นิ้วของฉัน
มันเป็นมิตรกว่าที่ฉันคิดไว้มาก
“ดูเหมือนมันจะชอบมนุษย์นะคะ”
“ใช่ มันชอบคน ขนนุ่มมากเลย มันดูเหมือนกับฉันเลย”
“เห-เหมือนท่านเหรอ ท่านคยออุล?”
“ใช่ อยากลูบมันดูไหม?”
“ค-ค่ะ…!”
เอนเซียดูตื่นเต้น เธอยื่นมือไปหาแมวตัวนั้น
เธอลูบตามตัวแมวอย่างอ่อนโยน แล้วจู่ ๆ ก็ชะงักนิ่งไป
“เป็นยังไงบ้าง?”
“เอ่อ… พอคิดดูแล้ว ฉันไม่เคยแตะหูกับหางของท่านคยออุลเลยนะคะ”
“อ๋อ… จริงด้วย เชิญเลย ลองแตะดูได้นะ”
ฉันยื่นหัวและหางของตัวเองให้เอนเซีย
เธอสะดุ้ง
เธอสั่นเล็กน้อยก่อนจะยกมือแนบอก
“แน่ใจเหรอคะ ว่าทำได้?”
“แน่ใจ”
“งั้น… ขออนุญาตนะคะ”
มือของเธอที่ยังสั่นเล็กน้อยค่อย ๆ วางลงบนศีรษะของฉัน
แม้จะมีอาการสั่นอยู่บ้าง แต่สัมผัสของเธอก็อ่อนโยนไม่ต่างจากของโซเฟียเลย
“อิจฉาจังเลย”
ฉันได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากเจ้าหน้าที่ในศูนย์พักพิง
มันเป็นเสียงเบามากจนดูเหมือนจะมีแค่ฉันที่ได้ยิน
เขาอิจฉาเรื่องอะไรนะ?
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิด เอนเซียก็อุทานขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ!”
เอนเซียที่กำลังลูบหูกับหางของฉันอยู่ หันไปหาเจ้าหน้าที่ในศูนย์พักพิง
เธอส่งสัญญาณเงียบ ๆ เพื่อให้เปิดกรง
“เอนเซีย ไม่ใช่ว่าคุณจะเลี้ยงสุนัขเหรอ?”
“ใช่ค่ะ แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เด็กคนนี้ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้สุนัขล่าเนื้อเลย”
เธอสัมผัสถึงความยอดเยี่ยมจากการลูบขนแค่นั้นเลยเหรอ?
บางทีมันอาจเป็นความสามารถพิเศษที่มีเฉพาะเผ่าพันธุ์ของเธอก็ได้
“คุณตัดสินใจเลือกตัวนี้แล้วใช่ไหมคะ?”
เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
พวกเขาดีใจที่สัตว์ที่เคยถูกทอดทิ้งจะมีบ้านใหม่เสียที
“ใช่ค่ะ ขนของมันสวยมากจริง ๆ”
“ดีใจจังค่ะ มันได้รับบาดเจ็บเยอะ เลยไม่ค่อยมีใครเลือกมันเลย”
“เด็กสวยคนนี้น่ะเหรอคะ?”
เอนเซียเอียงคออย่างสงสัย
พวกเรากรอกเอกสารรับเลี้ยงแล้วก็กลับขึ้นรถ
เนื่องจากเอนเซียต้องขับรถ ฉันเลยรับหน้าที่อุ้มแมวเอาไว้ระหว่างทาง
“ท่านคยออุล”
“หืม?”
“ช่วยใช้สิ่งนี้กับเด็กคนนี้หน่อยได้ไหมคะ?”
เอนเซียหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมาจากอกเสื้อ
มันคือโพชั่นระดับสูงที่เปล่งแสงสีแดงอ่อน ๆ ออกมา
“เอ่อ… ได้สิ”
มันเป็นโพชั่นที่ถึงฉันจะทำงานสิบปีก็ไม่มีทางซื้อได้เลยด้วยซ้ำ
แน่นอน ฉันรู้ดีว่าสำหรับเอนเซียผู้มากฝีมือแล้ว นี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
นี่คือแมวของเอนเซีย และการจะใช้โพชั่นก็เป็นการตัดสินใจของเธอ
ฉันไม่ลังเลเลยที่จะใช้โพชั่นกับแมวตัวนั้น
แหมะ—
ฉันหยดโพชั่นลงบนดวงตา ใบหู และหางของมัน
ส่วนที่เหลือ ฉันเทใส่มือแล้วให้มันกินโดยตรง
เลีย—
มันไว้ใจมนุษย์ จึงยอมรับโดยไม่มีท่าทีลังเลเลย
พอแมวตัวนั้นเลียโพชั่นจนหมด สิ่งที่น่าทึ่งก็เกิดขึ้น
ขนที่ซีดหมองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หูและหางที่เคยขาดก็งอกขึ้นมาใหม่ ดวงตาที่หายไปก็เปล่งประกาย
“ว้าว…”
น่าอัศจรรย์จริง ๆ
ดูเหมือนแมวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน มันร้องเบา ๆ แล้วเช็กสภาพร่างกายของตัวเอง
มันกะพริบตา แล้วเลียหางของตัวเอง
สักพักมันก็เงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“เหมียว”
แมวที่ร้องเสียงหวานเมื่อครู่ ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉัน
ครืด—
มันส่งเสียงคล้าย ๆ เซบยอก แล้วก็หลับไป
ความเหนื่อยล้าจากกระบวนการฟื้นฟูเริ่มแสดงออกมา
“ตอนนี้เด็กคนนี้จะถือว่าท่านคยออุลเป็นผู้มีพระคุณแล้วนะคะ”
“เอ่อ… เอนเซียเป็นคนใช้โพชั่นกับน้องจะไม่ดีกว่าเหรอ?
“ไม่ค่ะ เพราะมันถูกเลี้ยงมาเพื่อคุณ”
“อ๋อ”
ก็จริง
แต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันเรื่องของสุนัขล่านี่นา?
แมว…
ฉันก็ชอบแมวเหมือนกัน แค่นี้ก็ไม่มีปัญหา
ฉันวางมือลงบนแมวที่หลับอยู่บนตักเบา ๆ
หลังจากลูบมันอยู่พักใหญ่ ฉันก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เป็นวันที่ดียิ่งขึ้น เพราะฉันได้อยู่กับเอนเซีย
━━━━━━━━━━━━━━━━━
ฉันกลับมาที่สวนพร้อมกับแมวในอ้อมแขน
เลวีนัสที่กำลังเล่นกับอาร์โก้อยู่เห็นพวกเราเข้า ก็รีบกระโดดดึ๋ง ๆ เข้ามา
“ราชา! ราชาพาลูกหมามาด้วยเหรอ?!”
“เอ่อ… นี่ไง”
มันไม่ใช่ลูกหมา แต่เป็นแมว ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ฉันอุ้มแมวขึ้นมาให้เลวีนัสดู
เลวีนัสดูตกใจเล็กน้อย
“ลูกหมานี่หน้าตาเหมือนแมวเลย!”
“ใช่แล้ว ลูกหมาตัวนี้ร้องเหมือนแมวเลยล่ะ”
“หา?!”
ปฏิกิริยาแบบนี้แหละ ดีเลย
ไม่รู้ทำไม อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมานิด ๆ
━━━━━━━━━━━━━━━━━
ขอบคุณ คุณพันธวงศ์ สำหรับการโดเนทครับ
MANGA DISCUSSION