“ไอศกรีมของเลวีนัส!”
เลวีนัสยื่นมือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไกลเกินเอื้อม
นกสีฟ้าตัวหนึ่งบินวนเหนือศีรษะเราอย่างผู้ชนะ
“ทวีตตี้! ทานให้อร่อยนะ!”
เลวีนัสโบกมือให้มัน
เธอหัวเราะคิกคักพลางใช้มือปิดปาก แกว่งขาไปมาอย่างอารมณ์ดี
แม้ไอศกรีมอันแสนรักจะโดนขโมยไป แต่เธอกลับไม่ดูเศร้าเลยแม้แต่น้อย
“เลวีนัสไม่เสียดายไอศกรีมเหรอ?”
“ไม่เลย! เวลาแบ่งกันกิน มันจะอร่อยกว่า!”
“งั้นเหรอ”
เธอไม่ได้งอแงเลยสักนิด เพียงแต่พูดอย่างใจดีให้นกตัวนั้นกินให้อร่อย
ความอ่อนโยนในแบบของเธอ ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจ
“ถ้าอยากได้อีก ก็แค่ไปเก็บขวดเปล่ามาอีกก็พอ!”
“ใช่สิ ขวดเปล่ามีเยอะแยะเลยนี่นะ”
โล่งใจจริง ๆ ที่เลวีนัสไม่เสียใจหรือร้องไห้
ฉันกำลังจะยกมือขึ้นลูบหัวเธอเป็นรางวัล แต่เธอกลับล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าก่อน
“ที่จริงเลวีนัสมีของอร่อยกว่านั้นอีก!”
ขนมแครอทที่ทำขึ้นในช่วงกลางฤดูร้อน
เลวีนัสชูของว่างสุดโปรดขึ้นไปบนฟ้า
เครื่องปรุงที่โรยอยู่บนแท่งขนมส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสงแดด
แค่นั้นก็เพียงพอจะเรียกความสนใจจากนกที่บินอยู่เหนือหัว
ฟิ้วววว—!
นกตัวเดิมโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าหาแท่งแครอท
ถึงจะเร็ว แต่มันดูเหมือนภาพสโลว์โมชั่นในสายตาฉัน ทำให้ฉันมีเวลาคิดมากมาย
เลวีนัสเป็นเด็กใจดี แต่ถ้าโดนเสียท่าถึงสองครั้งติดกันก็คงจะโกรธเป็นเหมือนกันทุกคน
เพื่อเธอ ฉันตัดสินใจจะจับนกตัวนั้นให้ได้
“ต้องไม่ให้ใครบาดเจ็บ…”
ฉันจับคันธนูที่นำมาฝึกแน่นขึ้น
ในพริบตาเดียว ฉันคำนวณเส้นทางการบินของมัน
มันจะโฉบแย่งแครอทแล้วบินผ่านหน้าฉันไป
ฉันกะจังหวะตอนที่มันจะบินผ่านหน้าพอดี แล้วเหวี่ยงคันธนูใส่มันอย่างสุดแรง
ฟึ่บ! ปึ่ก!
“ปี๊บ!”
เสียงกระแทกแน่นหนา กับเสียงร้องของนกตัวนั้น
ข้อมือของฉันรู้สึกชาแปลบจากแรงกระแทก
“หวา?!”
“……?”
เลวีนัสสะดุ้งเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหวกะทันหันของฉัน
แซบยอกที่นอนหนุนตักฉันอยู่ ขยี้ตาแล้วลืมตาตื่น
“นกตัวนั้นพยายามจะขโมยแครอทไปน่ะ”
“เหรอ?! เจ้านกตะกละ!”
“ปี๊บ ปี๊บ…”
นกที่โดนตีตกลงมายังมีชีวิต และดิ้นขลุกขลักอยู่
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่นกธรรมดาแน่นอน
“ฮ้าาา!”
แซบยอกยืดตัวเหมือนแมว แล้วกระโดดลงจากม้านั่ง
เธอคว้านกที่ยังดิ้นอยู่ขึ้นมา แล้วเดินตรงเข้ามาหาเรา
“เรากินมันดีมั้ย?”
“ไม่แน่ใจแฮะ…”
แม้จะจับมันได้แล้วก็เถอะ แต่นี่เป็นนกสายพันธุ์ที่ไม่รู้จัก ฉันก็เลยไม่มั่นใจว่ากินได้รึเปล่า
เผลอ ๆ มันอาจเป็นสัตว์คุ้มครองก็ได้ ฉันจึงตัดสินใจจะไปถามโซเฟียก่อน
ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะจัดการกับมันยังไง
บางทีมันอาจจะเป็นอาหารชั้นเลิศก็ได้นะ
━━━━━━━━━━━━━━━━━
“ปี๊บ ปี๊บ…”
ฉันจับเจ้านกขี้ตกใจไว้ตรงต้นคอ แล้วมุ่งหน้าไปยังจุดแลกเปลี่ยนหินมานาที่โซเฟียอยู่นั่น
มองหาตัวโซเฟียแล้วก็ยังไม่เห็น จนกระทั่งเห็นพุ่มผมสีฟ้าโผล่ออกมาจากหลังโต๊ะตัวหนึ่ง
ก็เธอเตี้ยน่ะนะ เลยมองไม่เห็นง่าย ๆ
“โซเฟีย”
ฉันวิ่งไปหาโซเฟียโดยที่ยังจับนกอยู่ในมือ
โซเฟียที่กำลังทำเอกสารเงยหน้าขึ้นมองฉันกับนกในมือ
“มีอะไรเหรอ?”
“ฉันจับนกตัวนี้ได้ แต่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรน่ะ”
“หืม…?”
พอฉันยื่นนกสีฟ้าตัวอ่อนปวกเปียกให้ดู ดวงตาของโซเฟียก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ถ้าเธอตกใจขนาดนั้น แสดงว่ามันไม่ใช่นกธรรมดาแน่
“รู้จักมันเหรอ?”
“อืม มันคือกิฟต์กิเวอร์น่ะ”
“กิฟต์กิเวอร์?”
“มันชอบเล่นซน แล้วก็มอบของขวัญให้ทีหลัง เป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกของพวกข้า แต่ไม่รู้มันมาโผล่ที่โลกมนุษย์ได้ยังไงเหมือนกัน…”
แววตาของโซเฟียมีประกายตื่นเต้นวิบวับ
ดูเหมือนการได้เห็นสิ่งมีชีวิตจากบ้านเกิดจะทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย
“เนื้อของมันน่าจะเป็นของขวัญล่ะมั้ง”
แซบยอกส่งสายตาอาฆาตใส่นก
นกสีฟ้าสะดุ้งแล้วตัวสั่นน้อย ๆ
“อย่ากินมันเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เจ้านี่เป็นสัตว์หายาก ปรากฏตัวเฉพาะต่อเด็กมนุษย์สัตว์เท่านั้น แค่ได้เห็นก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว”
“งั้นเหรอ”
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฆ่ามันแล้วล่ะ
ฉันวางนกไว้บนขอบหน้าต่างที่เปิดอยู่
“ทวีตตี้ ต่อไปห้ามขโมยของกินแล้วนะ! ถ้าหิวก็บอกเลวีนัสก่อน เข้าใจมั้ย?!”
เลวีนัสโบกมือลานกน้อย
ขณะที่มันกระพือปีก เมล็ดพันธุ์ขนาดเท่าเล็บก็ตกลงมาจากหน้าอกของมัน
“หือ?”
เป็นเมล็ดพันธุ์
นี่คือของขวัญที่โซเฟียพูดถึงรึเปล่านะ?
เลวีนัสหยิบเมล็ดนั้นขึ้นมาแทนฉัน
“ต้องปลูกลงดิน!”
“ใช่ ดูเหมือนจะเป็นของขวัญสำหรับเลวีนัสเลยล่ะ”
พอได้ยินคำว่า ‘ของขวัญ’ หูของเลวีนัสก็ตั้งพรวดขึ้น
ความตื่นเต้นทำให้เธอกระโดดดึ๋งอยู่กับที่ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปทางประตูทางออกของจุดแลกเปลี่ยน
“ราชา! เลวีนัสอยากเอาอันนี้ไปปลูก!”
“โอเค ฉันจะอยู่ที่นี่ คุยกับโซเฟียต่อ”
“รับทราบ!”
แซบยอกวิ่งตามเลวีนัสที่เพิ่งวิ่งออกไป
ฉันรู้ว่าเธอทำแบบนั้นเพื่อปกป้องเลวีนัส
‘สงสัยจังว่าเมล็ดพันธุ์นั่นเป็นของต้นอะไร’
ฉันนึกถึงนิทานพื้นบ้านที่เลวีนัสเคยอ่านให้ฟัง เกี่ยวกับนกนางแอ่นที่มอบเมล็ดพันธุ์ซึ่งกลายเป็นมอนสเตอร์
มันคงไม่ให้เมล็ดที่ปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาเพราะฉันฟาดมันใช่ไหมนะ?
ฉันมองไปยังทางออกที่เลวีนัสวิ่งออกไปด้วยสายตากังวล
“คยออุล ไม่ไปปลูกเมล็ดนั่นเหรอ? เมล็ดของกิฟต์กิเวอร์น่ะมีค่ามากเลยนะ”
“ฉันชอบโซเฟียมากกว่าของขวัญอีก”
“หือ จริงเหรอ”
โซเฟียหน้าแดง
เธอกระทืบพื้นเบา ๆ พลางก้มหน้าอย่างเขินอาย
“แต่ว่า เมล็ดนั่นจะไม่ออกดอกออกผลเป็นอะไรที่อันตรายใช่ไหม?”
“ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น กิฟต์กิเวอร์เป็นสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณประเภทหนึ่งน่ะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
ฉันกวาดตามองรอบตัว
ภาพคุ้นตาของจุดแลกเปลี่ยน สถานที่ที่ฉันมักแวะหลังจากกลับจากพื้นที่ล่ามอนสเตอร์ ปรากฏอยู่ตรงหน้า
‘อืม…’
พอคิดดูดี ๆ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าฉันไม่เคยรู้เลยว่าโซเฟียทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่
ฉันแค่เข้ามาขอความช่วยเหลือแล้วก็จากไป โดยไม่เคยถามอะไร
ในฐานะคนที่เรียกเธอว่า ‘ครอบครัว’ ฉันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เลยตัดสินใจพูดออกไป
“โซเฟีย ฉันขอดูตอนเธอทำงานได้ไหม?”
“ได้สิ ตราบใดที่เจ้าไม่ก่อปัญหา… แต่เจ้าไม่ทำอยู่แล้ว ใช่ไหม?”
“อืม ฉันจะไม่รบกวน”
“งั้นก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ก็แล้วกัน”
“อืม”
เมื่อได้รับอนุญาตจากโซเฟีย ฉันจึงตัดสินใจอยู่ข้างเธอในวันนี้ เพื่อสังเกตว่าเธอทำอะไรบ้าง
━━━━━━━━━━━━━━━━━
เด็กมนุษย์สัตว์ตัวน้อยที่มีขนสีขาวนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของจุดแลกเปลี่ยนหินมานา
เหล่าผู้ขายหินมานาและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในจุดแลกเปลี่ยนต่างจ้องมองไปยังเด็กคนนั้นเป็นตาเดียว
‘น่ารักจริง ๆ’
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่เกินตัว จ้องมองหน้าของโซเฟียอย่างตั้งใจ
แค่ได้นั่งมองโซเฟียแบบนั้นก็ทำให้เธอดูมีความสุขแล้ว
ดูท่าเธอจะชอบพี่สาวฉลามของเธอมากจริง ๆ
ผู้คนที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของโซเฟียก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน
“อ้าว คยออุล วันนี้มาที่นี่ด้วยเหรอ?”
ยูซังอา ที่เพิ่งกลับมาจากช่วงพัก เห็นคยออุลนั่งอยู่บนเก้าอี้จึงทักขึ้น
“ใช่ วันนี้ฉันมาทัศนศึกษา”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ยูซังอาทรุดตัวลงนั่งก่อนจะอุ้มคยออุลขึ้นมานั่งบนตัก
หางของเด็กน้อยที่ดูราวกับตุ๊กตากระดิกขึ้นเล็กน้อย
“……!”
“ที่นั่งว่างไม่มีแล้วน่ะ”
“แต่ว่า ฉันยืนก็ได้นะ…”
“ไม่ได้หรอก ฉันทนเห็นใครลำบากไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะร้องไห้เสียเอง”
“อ-โอเค…”
มันทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นิดหน่อย
คยออุลลูบต้นขาขาวของตนเองอย่างเงียบ ๆ
‘เย่’
ปลายหางที่ดีดขึ้นของคยออุลสัมผัสเข้าที่ปลายคางของเธอพอดี
ยูซังอาเฮลั่นอยู่ในใจอย่างเงียบงัน
‘ฉันมีความสุขสุด ๆ ไปเลย’
แค่ได้กอดเด็กน้อยน่ารักแบบนี้ไว้ในอ้อมแขน เธอก็พร้อมทำงานทั้งปีโดยไม่ต้องพักเลย
และเหมือนเพื่อพิสูจน์ความคิดนั้น ยูซังอาก็จมอยู่กับงานต่ออย่างไม่หยุดพัก
เธอรู้สึกยินดีทุกครั้งที่คยออุลถามอะไรขึ้นมา
“หินมานาก้อนนี้คืออะไรเหรอ?”
“นั่นคือหินมานาของโอเกอร์ยักษ์น่ะ”
“อ๋อ…”
คยออุลเลือกถามคำถามเฉพาะช่วงที่ยูซังอาไม่ได้ยุ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน
ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ทั้งน่ารักและแสนดีได้ขนาดนี้นะ?
ยูซังอายิ้มอ่อนโยน พลางลูบผมของคยออุลอย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้น ประตูของจุดแลกเปลี่ยนก็เปิดออก พร้อมกับที่กลุ่มนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“ว้าว วันนี้ดวงดีสุด ๆ เลยนะ?!”
“อืม ใช่เลย”
นักผจญภัยแต่ละคนแบกถุงใบใหญ่มาด้วยกันคนละถุง
คนหนึ่งเดินไปทางโซเฟีย ส่วนอีกคนตรงมาทางยูซังอา
เมื่อเห็นคยออุลนั่งอยู่บนตักของยูซังอา นักผจญภัยคนนั้นก็หัวเราะเบา ๆ พลางยื่นถุงให้
“คุณยู รบกวนช่วยแลกหินนี่ให้หน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะ เป็นหินมานาประเภทไหนเหรอคะ?”
“เป็นหินมานาของบลูไลเกอร์น่ะครับ”
บลูไลเกอร์
มอนสเตอร์ลูกผสม ระหว่างเสือกับสิงโต
นักผจญภัยคนนั้นเขย่าถุงอย่างภาคภูมิ ราวกับกำลังโอ้อวดถึงมอนสเตอร์ที่ตนสังหารได้
หินมานาสีฟ้าที่เปล่งประกายกลิ้งออกมาจากถุง ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าของยูซังอา
“คุณภาพดีมากเลยนะคะ…?”
ทั้งหมดล้วนเป็นหินคุณภาพสูง
ระหว่างที่กำลังตรวจสอบหินอยู่นั้น ยูซังอาก็รู้สึกได้ว่าคยออุลมีบางอย่างผิดปกติ
หูและหางของเธอชี้ขึ้นมา
ร่างกายของเธอสั่นเทา และมีเหงื่อผุดออกมาทั่วตัว
ป่วยงั้นเหรอ? ทำไมจู่ ๆ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?
แล้วยูซังอาก็นึกออกถึงสิ่งที่ตนเองลืมไป
เธอไม่ควรนำหินมานาของสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกันมาให้เด็กมนุษย์สัตว์เห็น
‘…ฉันลืมไปซะสนิทเลย’
จุดแลกเปลี่ยนแห่งนี้คึกคักอยู่ทุกวัน มีหินมานาหลากหลายสายพันธุ์นำมาแลกนับร้อย
ในเมื่อมีเด็กน้อยนั่งอยู่ตรงนี้ การที่เธอจะได้เห็นหินมานาของสัตว์ในตระกูลแมวคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อ่า…”
สายตาของยูซังอาและนักผจญภัยคนนั้นประสานกันกลางอากาศ
ในเมื่อกิลด์ยอมยองเป็นที่รู้กันว่ามีเด็กมนุษย์สัตว์จำนวนมาก นักผจญภัยที่แวะเวียนมาบ่อยจึงมักจะรู้กฎข้อนี้ดี
พวกเขาไม่ควรนำหินมานาของสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกันมาให้เด็กมนุษย์สัตว์เห็นโดยเด็ดขาด
นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการให้เด็กเห็นซากศพของเผ่าพันธุ์ตัวเอง
ฉันเผลอทำเรื่องนั้นลงไปงั้นเหรอ…?
ความสำนึกที่มาช้าเกินไปแล่นเข้ามาจุกอยู่ในลำคอของนักผจญภัย
หูและหางที่ห้อยต่ำของคยออุลสั่นระริกอย่างเงียบงัน
━━━━━━━━━━━━━━━━━
ขอบคุณ คุณศิริสุดา สำหรับการโดเนทครับ
MANGA DISCUSSION