ชาวบ้านที่มาเดินเล่นในสวนต่างยิ้มอย่างอบอุ่นขณะมองดูเด็กมนุษย์สัตว์สองคนเล่นด้วยกัน
ภาพของเด็ก ๆ ที่เล่นกันอย่างกลมเกลียวช่างน่ารักจนผู้คนลืมพูดคุยกัน แล้วเอาแต่มอง
“เอ้ก-อี-เอ้ก-เอ้ก”
คยออุลส่ายหัวไปมา เลียนเสียงไก่ขัน
เลวีนัสดูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างมั่นใจ
“ขอตอบ! แมว!”
“ไม่ใช่นะ คราวนี้ฉันเลียนแบบไก่ต่างหาก”
“เอ๊ะ…?”
ก็เป็นแมวแน่นอนนี่นา ไม่ใช่เหรอ?
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ดูเป็นแมวหมดเลยนี่นา?
เลวีนัสเอียงคออย่างสับสน
“ทำไมเราทายไม่เคยถูกเลยนะ เลวีนัส?”
“เกมนี้ยากกว่าที่คิดอีก…”
คยออุลรู้สึกเหมือนตัวเองโดนรังแกทางจิตใจ
เธอมั่นใจว่าคราวนี้ต้องเป็นกระต่ายมีเขาแน่นอน เพราะทายไปแบบนั้นถึงสี่รอบแล้ว
แต่กระต่ายมีเขาก็ยังไม่โผล่มาสักที
‘ฉันนึกว่าเธอเลียนแบบกระต่ายมีเขาเพราะท่ากระแทกหัวนั่น’
ใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นการ์ด ‘แกะจอมหัวร้อน’
รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย คยออุลถึงกับกระทืบเท้ากับพื้นของสวน
“เลวีนัส เราไปเล่นอย่างอื่นกันดีมั้ย?”
“อืม… ก็ดีเหมือนกันนะ?”
แล้วจะเล่นอะไรกับเลวีนัสดีนะ?
คยออุลกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นโซเฟียกับยอรึมนั่งอยู่ที่ม้านั่ง
“อ๊ะ”
พวกเธอมานั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
คยออุลกับเลวีนัสรีบวิ่งไปที่ม้านั่งเหมือนกำลังแข่งกัน
“ขอตอบ! ฉลาม!”
เลวีนัชชี้ไปที่โซเฟียแล้วพูดขึ้นมา
โซเฟียเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อย
“ใช่แล้ว เป็นฉลามน่ะ”
“ว้าว! เลวีนัสตอบถูกด้วย!”
เลวีนัสกระโดดดึ๋ง ๆ ไปมา แล้วก็ลูบคางพลางมองไปที่ยอรึม
ทุกคนรู้ว่าเธอกำลังเลียนแบบสัตว์นักสืบจากการ์ตูนที่พวกเขาดูกันเมื่อคืน
“ยอรึมคือ… จิงโจ้!”
“จิงโจ้เหรอ? ทำไมพี่ถึงเป็นจิงโจ้ล่ะ?”
“ก็เพราะว่ายอรึมดูแลเลวีนัสดีไงล่ะ!”
พูดจบ เลวีนัสก็นั่งลงบนตักของยอรึม
จากนั้นเลวีนัสก็คลานเข้าไปในเสื้อของยอรึม แล้วยื่นหน้าออกมาบริเวณคอเสื้อ
เธอดูเหมือนลูกจิงโจ้ที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องไม่มีผิด
“ราชา เลวีนัสดูเป็นยังไงบ้าง? เลวีนัสดูเหมือนจิงโจ้ไหม?”
“อื้อ เหมือนมาก ๆ เลย”
ความไร้เดียงสาแบบที่มีแค่เด็กเท่านั้นที่ทำได้ ทำให้ผู้คนที่มองอยู่ยิ้มออกมา
ชาวเมืองหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดูในภาพตรงหน้า
“เด็กพวกนี้น่ารักจริง ๆ เลยว่าไหม?”
“ใช่ ให้ความรู้สึกเยียวยาจริง ๆ”
น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
นับว่าโชคดีมากที่ทุกคนรักเลวีนัส
‘ก็เลวีนัสเคยผ่านเรื่องลำบากมานี่นา’
คยออุลหวังว่าเลวีนัสจะได้รับความรักมากมายจากผู้คนรอบตัว และมีความสุขตลอดจากนี้ไป
“คยออุล อยากลองเล่นแบบนี้ดูบ้างไหม?”
“เล่นอะไรเหรอ?”
“เกมจิงโจ้แบบนี้ไง”
ยอรึมชี้ไปที่เลวีนัสที่อยู่ในเสื้อของเธอ
อย่างไรก็ตาม คยออุลก็ส่ายหัวแน่วแน่
“ไม่ล่ะ ฉันไม่เป็นไร”
“งั้นก็ได้”
บางทีเด็กคนนี้อาจจะยังขี้อายอยู่มาก
แต่อย่างน้อยก็ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนแรก
ยอรึมจึงตัดสินใจลูบหัวคยออุลเบา ๆ แทน
“ว่าแต่ ทำไมวันนี้คุณถึงพกอาวุธมาด้วย?”
“เพราะวันนี้พี่จะไปดันเจี้ยนไงล่ะ”
“ดันเจี้ยนเหรอ?”
“ใช่แล้ว ดันเจี้ยนระดับ 6 น่ะ”
ดันเจี้ยนระดับ 6
สำหรับคยออุลที่เพิ่งเริ่มต้นเป็นนักผจญภัย เรื่องนี้น่าสนใจมาก
“ฉันไปดูได้ไหม?”
“ไปที่ดันเจี้ยนเหรอ? มันอันตรายเกินไปสำหรับคยออุลไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่เข้าไปในดันเจี้ยนหรอก แค่อยากเห็นว่ารอบ ๆ มันเป็นยังไงเฉย ๆ”
“อืม…”
เธออยากดูว่าเหล่านักผจญภัยระดับสูงเตรียมตัวกันยังไงก่อนจะเข้าไปในดันเจี้ยน
จริงสิ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับคยออุล
ตราบใดที่ไม่เข้าไปลึก ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
ยอรึมพยักหน้าให้คยออุล
“ได้ แต่คยออุลต้องเชื่อฟังพี่ เข้าใจไหม?”
“อื้อ…”
แค่ได้เห็นการเตรียมตัวของนักผจญภัยชั้นนำก่อนเข้าไปในดันเจี้ยนก็นับว่าเป็นโอกาสสุดพิเศษแล้ว
หางของคยออุลกระดิกไปมาด้วยความตื่นเต้น
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ฉันไปที่ดันเจี้ยนกับทุกคนด้วยรถคันหนึ่ง
รถคันนี้มี 12 ที่นั่ง และแต่ละคนก็จับคู่กัน โดยให้คนแข็งแกร่งอยู่กับคนที่ยังอ่อน เพื่อความปลอดภัยจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
“ว้าว! เหมือนไปเที่ยวเลย!”
เลวีนัสที่ดีใจที่ได้มากับทุกคน ก็จับหางของเอ็นเซียกับอาร์โก้ไว้คนละข้าง
หางของอาร์โก้นั้นแข็งแรงมาก แค่ขยับนิดเดียวก็อาจทำให้เลวีนัสเจ็บได้
รู้ดังนั้น อาร์โก้จึงครางเบา ๆ พลางพยายามไม่ขยับหางเลย
“เลวีนัส พวกเราไม่ได้มาเที่ยวกันนะ”
“ไม่เหรอ?”
“ไม่ใช่ เรากำลังจะไปดูดันเจี้ยนต่างหาก”
“ไม่ใช่การเที่ยวเหรอ…?”
อืม…
จะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย?
ฉันเงยหน้ามองยอรึมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หวังว่าเธอจะอธิบายแทนให้หน่อย
“วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันนะ ไว้เล่นกันทีหลัง โอเคไหม?”
“โอเค! เข้าใจแล้ว!”
เลวีนัสเงียบปากทันทีที่ได้ยินคำว่าเรียน
สีหน้าตั้งใจของเธอดูน่าชื่นชมมาก
แต่ก็ยังจับหางของอาร์โกกับเอ็นเซียไว้แน่น
“คยออุล แถว ๆ ดันเจี้ยนมันอันตราย ต้องเชื่อฟังพี่นะ เข้าใจไหม?”
“อื้อ ฉันจะเชื่อฟัง”
“หึหึ งั้นบอกพี่หน่อยสิว่าพี่บอกอะไรไว้ก่อนหน้านี้?”
เธอหมายถึงกฎที่ต้องปฏิบัติเมื่ออยู่ใกล้ดันเจี้ยนสินะ
มันไม่ยากเลย ฉันจำได้หมดแล้ว
“อย่าเข้าใกล้ประตูมิติ ถ้าโดนดูดเข้าไปล่ะก็แย่แน่”
“ถูกต้อง แล้วมีอะไรอีกล่ะ?”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบบอกผู้ใหญ่แถวนั้นให้ช่วยทันที”
“ว้าว คยออุลฉลาดมากเลยนะที่จำได้หมดแบบนี้”
ยอรึมลูบหัวฉันเบา ๆ ด้วยมือที่อบอุ่นของเธอ
ฉันรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ได้รับคำชมจากเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
ฉันเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ ฉันมีคำถาม”
“ว่าไงล่ะ?”
“ทำไมถึงมีดันเจี้ยนเกิดขึ้นเหรอ?”
ถ้ารู้ว่าดันเจี้ยนเกิดขึ้นได้ยังไง อาจจะเพิ่มโอกาสหาทางกลับบ้านเจอใช่ไหมล่ะ?
มันคงจะดีถ้าเป็นแบบนั้น แต่ฉันก็อดรู้สึกผิดหวังนิด ๆ ไม่ได้
ความผิดหวังนั้นมาจากความคิดที่ว่าอาจต้องจากครอบครัวในตอนนี้ไป
“มันมีหลายสาเหตุเลยล่ะ”
“หลายสาเหตุ?”
“ใช่ ดันเจี้ยนเกิดได้จากหลายปัจจัย อย่างเช่น มานาบิดเบี้ยว หรือเกิดจากการตอบสนองต่ออารมณ์ของใครบางคน…”
“อารมณ์…?”
ดันเจี้ยนสามารถเกิดขึ้นได้แค่เพราะอารมณ์เหรอ?
งั้นโลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยดันเจี้ยนไม่ใช่เหรอ?
ฉันเงยหน้ามองยอรึมด้วยคำถามพวกนี้อยู่ในใจ
“แต่ไม่ใช่อารมณ์อะไรก็ได้นะ มันต้องเป็นความอาฆาตแค้น และต้องรวมกันหลาย ๆ คน ถึงจะก่อให้เกิดดันเจี้ยนได้”
“งั้นคนที่มีอารมณ์ไม่ดี ก็สามารถสร้างดันเจี้ยนขึ้นมาเองได้เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ความอาฆาตแค้นธรรมดา ๆ มันไม่พอจะทำให้เกิดดันเจี้ยนได้หรอก”
“เช่น แบบไหนเหรอ?”
ยอรึมลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมรถทั้งคัน
“…จะต้องมีคนสักสี่ถึงห้าคนที่ถูกทรมาณและถูกฆ่าอย่างโหดร้าย ถึงจะมีโอกาศให้ดันเจี้ยนระดับ 1 ปรากฏขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ โอกาศก็ยังน้อยมากอยู่ดี”
ยอรึมพูดพลางกดหูของเลวีนัสที่นั่งอยู่ตรงหน้าเบา ๆ
ความลังเลของเธอก็สมเหตุสมผล เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น
“งั้นการสร้างดันเจี้ยนจากอารมณ์ก็ยากมากเลยสินะ?”
“ใช่ แม้แต่สงครามก็ไม่ทำให้เกิดดันเจี้ยนได้”
“แม้แต่สงครามก็ไม่เกิดเหรอ?”
“ใช่ สงครามเป็นสิ่งที่รวมความบ้าคลั่งมากกว่าความอาฆาตพยาบาท…”
“อ๋อ…”
งั้นอารมณ์แบบนั้นก็ไม่สามารถสร้างดันเจี้ยนได้สินะ
ฉันเคยคิดว่าโลกนี้อาจจะหลีกเลี่ยงสงครามเพราะกลัวดันเจี้ยน
แต่ดูเหมือนว่าโลกของมนุษย์จะเหมือนกันทุกที่
ฉันรู้สึกกระวนกระวายแล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง
“ฮืม…?”
ภูมิทัศน์ด้านนอกดูคุ้นตามาก
เป็นสถานที่ที่ฉันเคยมาแล้วก่อนหน้านี้
ที่นี่ที่ไหนนะ?
แล้วฉันก็นึกออก
นี่คือวิวที่ฉันเห็นตอนที่เพิ่งมายังโลกนี้ครั้งแรก
“จากตรงนี้พวกเราต้องเดินเข้าไป ดันเจี้ยนอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา”
ชเวจินฮยอกที่เป็นคนขับรถหันมาพูดกับทุกคน
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ แต่ฉันกลับพูดอะไรไม่ออก
ความทรงจำเกี่ยวกับตอนที่ถูกฝังอยู่ในภูเขาแห่งนี้ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ภูเขาสูงชัน
คยออุลปีนเขาเก่งอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหา แต่เลวีนัสล่ะ จะไหวไหมนะ?
ขณะที่ยอรึมหันไปมองเด็ก ๆ คยออุลก็ดึงเสื้อของเธอเบา ๆ
“ฮืม?”
มือของคยออุลที่กำเสื้อไว้สั่นเทา
ใบหน้าของเธอซีดเผือด ราวกับกำลังหวาดกลัว
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
เธอรู้สึกกลัวพลังงานจากดันเจี้ยนงั้นเหรอ?
เพราะคยออุลไวต่อความรู้สึกแบบนั้น ก็เป็นไปได้อยู่
ยอรึมย่อตัวลงตรงหน้าคยออุลเพื่อปลอบเธอ
“คยออุล เป็นอะไรไปเหรอ?”
“ท-ที่นี่คือ… ท-ที่ ฉ-ฉัน…”
“คยออุล ใจเย็น ๆ พี่อยู่ตรงนี้ ค่อย ๆ พูดก็ได้”
ยอรึมวางมือลงบนไหล่ของคยออุล
คยออุลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มพูด
“ที่นี่คือที่ที่ฉันถูกฝัง…”
“อะไรนะ?”
ทุกคนที่กำลังเดินขึ้นเขาหยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของคยออุล ยกเว้นเลวีนัสที่กำลังหลับอยู่บนหลังของชเวจินฮยอก
“ฉันเคยถูกฝังอยู่ใต้ดินตรงนี้…”
สีหน้าของคยออุลดูไม่สู้ดีเลย
เธอดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
“ยูนา ช่วยพาคยออุลลงไปข้างล่างหน่อยได้ไหม? ฉันจะเข้าไปเคลียร์ดันเจี้ยน แล้วจะรีบกลับมา”
“อ๊ะ… ได้สิ”
ยอรึมส่งคยออุลที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวให้กับจองยูนา
เธอยังให้เลวีนัสที่กำลังหลับอยู่ไปกับจองยูนาด้วย
การมีเพื่อนไปด้วยน่าจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
ขณะที่ยอรึมมองคยออุลจากไป เธอก็นึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้
บทสนทนาเกี่ยวกับการที่ดันเจี้ยนสามารถเกิดขึ้นได้จาก ‘อารมณ์ของใครบางคน’
ภูเขาที่คยออุลเคยถูกฝังไว้
ดันเจี้ยนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้จริงหรือ?
เธอภาวนาอย่างสุดหัวใจให้มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ยอรึมภาวนาอย่างจริงจังต่อเทพเจ้าที่เธอไม่เคยเชื่อถือ
โดยเฉพาะเมื่อดันเจี้ยนที่เพิ่งปรากฏนั้นคือดันเจี้ยนระดับ 6
หากคิดว่าการจะเกิดดันเจี้ยนระดับ 1 ได้ต้องมีคนถูกทรมานและสังหารอย่างโหดร้ายถึงสี่หรือห้าคน นี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
MANGA DISCUSSION