หรือว่าความสามารถในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชของเลวีนัสกำลังสะกดจิตฉันอยู่?
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉันปลูกพืชไปทั่วทั้งสวนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พืชที่งอกขึ้นมาทันทีที่ปลูกทำให้ฉันรู้สึกสนุกเหมือนกำลังเล่นเกม
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ตัดสินใจเปลี่ยนสวนสาธารณะให้กลายเป็นฟาร์ม
แม้งานจะหนัก แต่ความรู้สึกภาคภูมิใจก็ท่วมท้นจนฉันลืมความเหนื่อยล้าไปหมด และตั้งสมาธิกับการปลูกพืช
“…คยออุล พักหน่อยไหม?”
“ขออีกต้นเดียว…”
“ถ้ายังฝืนต่อไป เจ้าได้เป็นลมแน่ เด็กน้อย”
“เอ่อ…ฉันยังไหวอยู่”
ฉันยังมีเมล็ดพืชเหลือให้ปลูกอีกเยอะเลย
ตอนนี้ฉันยังหยุดไม่ได้
เหมือนพวกติดเกมที่บอกว่าอีกตาเดียว ฉันหยิบอุปกรณ์ทำสวนขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ว่างอีกจุด
“อา…”
หรือว่างานที่ทำมาตลอดหลายชั่วโมงกำลังเล่นงานฉัน?
ทันใดนั้น ขาของฉันก็สั่นและไร้เรี่ยวแรง
สายตาของฉันเริ่มพร่ามัว โลกที่ฉันเห็นเริ่มหมุนและเหมือนจะล้มลงทุกเมื่อ
‘อะไรน่ะ?’
ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิด ร่างกายของฉันที่เสียการทรงตัวก็เริ่มล้มลงสู่พื้น
ตุบ-!
หน้าของฉันปักลงไปในดินสีน้ำตาลเข้ม
ฉันพยายามสูดลมหายใจ พลางใช้แขนยันตัวขึ้นจากพื้น แต่แขนกลับอ่อนแรงจนสั่นไปหมด
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ฉันก็เลยได้แค่หันหน้าไปทางด้านข้าง
หันไปยังที่ที่โซเฟียอยู่
“โซเฟีย ฉันขยับตัวไม่ได้”
“โอ้ เจ้าจอมมุทะลุ หลังจากทำงานหนักขนาดนั้น เจ้ายังคิดว่าร่างกายจะยังไหวอีกเหรอ…”
“เอ่อ คือ…”
บางทีฉันอาจจะเพลิดเพลินกับการทำงานจนเกินไป เหมือนกับการเล่นเกม
ฉันมารู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว ความเหนื่อยล้าสะสมจนถึงขีดจำกัด
“มุฮาฮ่า! เลวีนัสโค่นราชาได้แล้ว!”
ดึ๋ง ดึ๋ง
เลวีนัสกระโดดดึ๋ง ๆ เหมือนกระต่าย วิ่งไปทางขอบสวนสาธารณะ
ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามหนีออกจากสวนสาธารณะ แต่พอเสียงสัญญาณเตือนจากปลอกคอดังขึ้น เธอก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านคอนเทนเนอร์
ต่างจากฉัน เธอเป็นเด็กที่กระฉับกระเฉงจริง ๆ
“…เห็นเด็กเป็นเด็กแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
โซเฟียเหลือบมองเลวีนัส ก่อนจะหันสายตามาทางฉัน
สีหน้าของเธอดูเหมือนมีอะไรอยากพูด แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
“ฉ-ฉันขอโทษ ฉันมัวแต่เพลินเลยไม่รู้ตัวว่าฝืนเกินไป”
“…ไม่เป็นไร เด็ก ๆ ก็มักจะขยับตัวโดยไม่รู้ว่าตัวเองเหนื่อย”
“อืม… นั่นสินะ…”
เธอคงหมายถึงร่างกายที่เด็กลงของฉัน
บางทีอย่างที่เธอว่า ร่างกายที่เด็กกว่าก็อาจรับรู้ความเหนื่อยล้าได้ช้ากว่า
แต่ก่อน ฉันจะรู้ตัวก่อนที่จะหมดแรงและล้มลง
“ตอนฉันเด็ก ๆ ข้าก็เคยเล่นจนเป็นลมไปเลยเหมือนกัน”
“อะ…อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ แต่เจ้าเป็นลมเพราะทำงานหนัก ไม่ใช่เพราะเล่น…”
เป็นลมเพราะเล่นหรือทำงานหนัก มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ฉันเอียงคอครุ่นคิด ขณะที่โซเฟียช่วยพยุงฉันให้ลุกขึ้น
“โซเฟีย วันนี้ทำไมคนถึงน้อยจัง?”
“ทุกคนไปบุกดันเจี้ยนระดับ 7 กัน เอนเซียกับอาร์โก้ก็ไปด้วย เพื่อหวังจะได้ส่วนแบ่งน่ะ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง…”
ดันเจี้ยนระดับ 7 สินะ
พวกเขากำลังคิดจะจับมังกรหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?
ฉันอดกังวลไม่ได้ เมื่อคิดถึงตอนที่สมาชิกกิลด์เคยลำบากในดันเจี้ยนระดับ 5
โซเฟียสังเกตเห็นสีหน้าของฉันแล้วตบหลังเบา ๆ อย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องกังวลมากหรอก กิลด์มาสเตอร์เองก็ไปด้วย”
“กิลด์มาสเตอร์เหรอ?”
“ใช่ หมอนั่นเป็นปีศาจชัด ๆ น่าจะลุยดันเจี้ยนระดับ 7 ได้คนเดียวเลยด้วยซ้ำ”
“ว้าว…”
กิลด์มาสเตอร์ยอมยองแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ
ขณะที่ฉันเหม่อมองไปยังชั้นบนสุดของอาคารที่หัวหน้ากิลด์อาจอยู่ โซเฟียก็ผลักฉันเบา ๆ ให้เดินต่อ
“วันนี้พักเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะเหนื่อยมากแล้ว”
“โอเค…”
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
มังกรขนาดมหึมาเทียบเท่าภูเขาล้มลงพร้อมเสียงกระแทกดังสนั่น
ยอรึมหอบหายใจแรง หลบอยู่ในเงาของซากมังกรที่ล้มลง
“ฮ่า…”
เธอรู้สึกเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ยอรึมยันตัวเองไว้โดยใช้ดาบปักลงกับพื้น
“ยอรึม”
ตึก ตึก—
มีใครบางคนแตะไหล่ของยอรึม
แค่แรงสัมผัสเล็กน้อย ร่างของเธอก็ล้มเอียงไปด้านข้าง
“อึก”
“อ๊ะ ขอโทษที”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่เหนื่อย”
ยอรึมนอนราบไปกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่าน ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่แตะไหล่เธอ
เขาคือฮันซองอู สมาชิกทีมที่สามของหน่วยจู่โจมดันเจี้ยนแบล็กดราก้อน
“ฉันอยากจะขอบคุณเธอ”
“ขอบคุณฉันเหรอ?”
พวกเราทุกคนร่วมกันสู้และล้มแบล็กดราก้อนได้
มีอะไรให้ต้องขอบคุณกันล่ะ?
ยอรึมยักไหล่อย่างงุนงง
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เข้าดันเจี้ยนแบล็กดราก้อน มันเป็นเพราะชาดอกแดนดิไลออนล้วน ๆ เลย แน่นอนว่าการสนับสนุนจากแนวหลังก็สำคัญเหมือนกัน”
“อ้อ… นั่นสินะ”
เงื่อนไขขั้นต่ำในการเข้าสู่ดันเจี้ยนแบล็กดราก้อนคือการมีความต้านทานเวทมนตร์
เพราะต้องใช้มานาห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันเวทมนตร์ ดังนั้นคนที่มีมานาสูงเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
สำหรับฮันซองอู ซึ่งแม้จะใช้สารกระตุ้นทุกอย่างแล้วก็ยังคงขาดมานาอีกเล็กน้อย การได้รับพลังเสริมจากชาดอกแดนดิไลออนคงเป็นตัวช่วยที่ดีมาก
“ขายชาที่ช่วยเพิ่มพลังได้ขนาดนี้ในราคาแค่แสนวอนมันโอเคจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ คยออุลอยากขายให้ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้”
คยออุล
ฉันเคยเจอเธอครั้งหนึ่งในดันเจี้ยนสำหรับมือใหม่
ฮันซองอูลูบคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะรู้สึกผิดที่เคยเมินเฉยต่อเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ
“ช่วงนี้เด็กคนนั้นทำอะไรเหรอ? ฉันเห็นว่ามีบ้านตู้คอนเทนเนอร์ด้วย”
“ค่อย ๆ …เรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้น่ะ”
เธอกำลังดีขึ้นทีละนิด
ยอรึมกลืนคำพูดที่เกือบหลุดออกมาไปพร้อมกับถอนหายใจ
‘คิดถึงคยออุลจัง’
ตอนนี้คยออุลจะกำลังทำอะไรอยู่นะ?
ฉันไม่ได้คุยกับเธอเลย เพราะเธอจดจ่ออยู่กับงานในฟาร์ม
เธอคงไม่ทำงานจนล้มไปอีกหรอกใช่ไหม?
ในเมื่อเราสัญญากันไว้แล้วนี่?
ด้วยความคิดเหล่านี้ ยอรึมลุกขึ้นยืน
เธอตั้งใจจะจัดการซากมังกรให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นก่อนรุ่งสาง เร็วกว่าทุกคน
“อึก…”
มีอะไรบางอย่างนอนทับฉันอยู่
ฉันขยี้ตาแล้วก้มลงมอง ก็เห็นเลวีนัสนอนแผ่อยู่บนท้องของฉัน
เท้าของเธอที่เหยียดออกไปกำลังดันแก้มของโซเฟียอยู่
‘แย่แล้วสิ’
เป็นนิสัยการนอนที่ยุ่งยากจริง ๆ เลย
ฉันขยับตัวเลวีนัสให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าออกจากบ้านตู้คอนเทนเนอร์
“อึก…”
บางทีอาจเป็นเพราะฉันโหมงานหนักเกินไปในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ร่างกายของฉันปวดระบมไปหมด และขยับได้ลำบาก
แม้จะอยู่ในร่างเด็กที่มีความอึดและฟื้นตัวเร็ว แต่ดูเหมือนฉันจะฝืนเกินไปจริง ๆ
เอาเถอะ ถึงอย่างนั้นมันก็สนุกดี
ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย
‘ไปดูต้นกะหล่ำปลีหน่อยดีไหมนะ?’
ฉันปลูกมันไว้ข้าง ๆ ต้นอาซาเลีย
ฉันลากร่างที่เหนื่อยล้าไปตรวจดูต้นกะหล่ำปลี
“กะหล่ำปลีของฉัน…?”
เมื่อฉันไปถึงแปลง กะหล่ำปลีก็ไม่เหลือสักต้น
“กะหล่ำปลี?”
กะหล่ำปลีของฉันหายไปไหนหมด?
ฉันรีบวิ่งไปที่แปลงผักกาดหอม แต่ก็ไม่พบร่องรอยของมันเลย
“ผักกาดหอมของฉัน…!”
ฉันทำงานในสวนมาเกือบสัปดาห์โดยไม่หยุดพัก
ใครกันที่ขโมยพืชผลทั้งหมดไปในชั่วข้ามคืน?
ฉันทรุดตัวลงไปข้างหลังด้วยความสิ้นหวัง
‘ฉันถูกน้ำค้างแข็งเล่นงาน…!’
ฉันนึกถึงข่าวที่เคยเห็นบนโลก
‘น้ำค้างแข็ง’ คือกลุ่มอาชญากรน่ารังเกียจที่คอยขโมยพืชผล
บางครั้งพวกเขาก็ถึงกับขโมยพืชผลที่อยู่ระหว่างการวิจัยไป
ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มแบบนั้น
‘นี่เป็นอาชญากรรมที่มีการวางแผนไว้…’
พลังส่วนใหญ่ของกิลด์อยู่ในดันเจี้ยน
พวกเขสคงฉวยโอกาสที่ไม่มีคนคอยดูแลมาแอบขโมยพืชผลไป
แถมที่ที่ฉันปลูกพืชก็อยู่ลึกเข้าไปในสวนจนพ้นสายตาผู้คน
ฉันประมาทเกินไปจนคิดว่าไม่มีใครจะมาถึงที่แบบนี้เพราะสวนกว้างมาก
“อึก”
ความพยายามตลอดหลายวันที่ผ่านมาของฉันสูญเปล่า
ขณะที่ฉันนั่งซบหน้ากับมือ เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังใกล้เข้ามา
“คยออุล ทำอะไรอยู่ที่นี่?”
“…กำลังไว้ทุกข์ให้กับของที่ถูกขโมยไป”
“ขโมย?”
“ใช่ มีคนขโมยพืชผลทั้งหมดที่ฉันปลูกไป”
ฉันอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ร้องจริง ๆ
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันจมอยู่ในความสิ้นหวังแบบนี้
“ทำไมถึงปลูกของไว้ไกลขนาดนี้ล่ะ?”
“ใช่ ฉันไม่ได้พักเลยตลอดหลายวันเพราะมัวแต่ปลูกพืชพวกนั้น…”
“…คยออุลไม่ได้พักเลยเหรอ? อย่าบอกนะว่าคยออุลถึงกับล้มเพราะทำงานหนัก?”
“…นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญตอนนี้”
ฉันโบกมือพัลวันไปทางยอรึม
เธอดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูดมากมาย แต่สุดท้ายก็เห็นด้วยว่าการจับขโมยสำคัญกว่า
“ก็ได้ งั้นจับขโมยก่อนแล้วค่อยว่ากัน?”
“ช-ใช่…”
เธอหมายความว่ายังไงกันแน่ที่ว่า ‘แล้วค่อยว่ากัน?’
ฉันจ้องพื้นอย่างไร้จุดหมาย
‘แต่เราจะจับขโมยยังไงดีล่ะ?’
ฉันมีประสาทรับกลิ่นที่ดี งั้นลองดมตามรอยเหมือนหมาดีไหมนะ?
ขณะกำลังคิดอย่างจริงจัง ฉันก็สังเกตเห็นรอยเท้าของใครบางคนปรากฏอยู่บนพื้น
“นี่มันรอยเท้า…?”
“หืม? โอ้ จริงด้วย?”
“ใช่”
ฉันกับยอรึมเดินตามรอยเท้าไป
รอยเท้านำพวกเราผ่านแปลงกะหล่ำปลี แปลงผักกาดหอม แปลงหัวไชเท้า และแปลงแครอท
ในที่สุด เราก็เห็นรถตู้สีดำคันหนึ่ง
“กะหล่ำปลีของฉัน…!”
ฉันเห็นพืชผลที่ถูกกองไว้เต็มเบาะหลังของรถตู้
ฉันรีบวิ่งไล่ตามรถตู้ แต่รถคันนั้นก็ออกตัวและเร่งความเร็วหนีไป
MANGA DISCUSSION