เพื่อนที่อยู่ในที่ไกลเกินกว่าจะพบได้
ยอรึมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำเปรียบเปรย
มันต้องหมายความว่าเพื่อนคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถพบกันได้อีก
มันเป็นความเจ็บปวดที่หนักหนาสำหรับเด็ก แต่ก็ไม่ชวนตกใจเท่ากับตอนที่เธอได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคยออุลเป็นครั้งแรก
เด็กหลายคนต้องสูญเสียเพื่อนหรือครอบครัวไปตั้งแต่อายุยังน้อย
เธอคิดว่าตราบใดที่คยออุลก้าวข้ามมันไปได้ เธอก็คงจะไม่เป็นไร
แต่เธอคิดผิด
คยออุลยังไม่ได้ก้าวข้ามการสูญเสียเพื่อนไปเลย
“ฉันไม่เป็นไร สักวันฉันจะได้พบพวกเขาแน่”
ตอนแรก ยอรึมคิดว่านั่นเป็นเพียงความไร้เดียงสาของเด็กที่พูดออกมา
เป็นความเชื่อที่สวยงามว่าพวกเขากำลังรอเธออยู่บนสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สำคัญหากตอนนี้ยังพบกันไม่ได้
แต่ยอรึมก็ตระหนักได้ว่าเธอเข้าใจผิด เมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของคยออุล
“ฉันพร้อมเสมอที่จะพบพวกเขา”
เธอเตรียมใจที่จะพบเพื่อนที่สามารถพบได้เพียงผ่านความตาย
เด็กคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสงบ ราวกับว่าไม่กลัวความตายเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเธอได้ก้าวข้ามความกลัวความตายไปแล้ว
หรือเธอกำลังสื่อถึงการฆ่าตัวตาย?
หรือหมายความว่าเธอไม่สนใจว่าจะตายเมื่อไหร่?
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ความคิดแบบนี้ไม่ควรอยู่ในหัวของเด็กอายุแปดขวบเลย
‘หรือว่า…?’
ยอรึมเคยคิดว่าเด็กคนนี้กล้าหาญเกินวัย
หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่แคร์แม้แต่ความตาย?
ยอรึมยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ
‘ฉันเคยเห็นคยออุลกลัวความตาย…’
เหมือนตอนที่พวกเธอเผชิญหน้ากับก็อบลินในพื้นที่ล่ามอนสเตอร์สำหรับมือใหม่ หรือตอนที่เข้าไปในดันเจี้ยนก็อบลินเป็นครั้งแรก
คยออุลดูหวาดกลัวเป็นพิเศษ
ถ้าไม่ใช่ความกลัวความตาย แล้วเธอกลัวอะไรกันแน่?
ยอรึมตระหนักได้ทันที
คยออุลกลัวก็อบลินเป็นพิเศษ
‘เป็นไปได้ไหมที่ก็อบลินจะเป็นคนฆ่าเพื่อนของเธอ…?’
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความกลัวของคยออุลก็ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้
ความกลัวที่ฝังลึกในจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ลบเลือนได้ยาก
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่ามันจะค่อย ๆ เลือนหายไป
คยออุลกำลังค่อย ๆ ขจัดความกลัวสุดท้ายของเธอด้วยการล่าก็อบลิน
บางทีสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอาจเกิดขึ้นแล้ว
‘เป็นปัญหาใหญ่เลย’
ความกลัวความตายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เราหลีกเลี่ยงมัน
แต่เธอก็ไม่สามารถผลักดันเด็กคนนี้ไปสู่ความอันตรายได้เช่นกัน
ยอรึมลูบใบหน้าด้วยมือแห้งซ้ำ ๆ พยายามตั้งสติ
นี่ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในทันที
มันเป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ แก้ไปด้วยกันกับทุกคน
บางทีการให้เธอมีเป้าหมายใหม่ในชีวิตอาจเป็นทางออกที่ดี
ยอรึมกัดริมฝีปาก ก่อนจะเดินตามคยออุลเข้าไปในเต็นท์
“คยออุล กำลังทำอะไรอยู่?”
“ฉันกำลังล้างใบจิงจู่ฉ่าย คุณอยากลองดื่มชาดูไหม…?”
“อื้ม พี่อยากลอง”
เธอดีใจที่ได้ยินแบบนั้นหรือเปล่านะ?
หางของคยออุลที่เคยตกลงอย่างหมดแรง เริ่มแกว่งไปมาเล็กน้อย
ยอรึมมองสีหน้าที่ดูเหมือนจะมีความสุขของคยออุล ก่อนจะเผยรอยยิ้มจาง ๆ
มันเป็นวันที่เต็มไปด้วยความปวดใจ ราวกับมีเข็มทิ่มแทง
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
มีหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อจะขายชา
ฉันต้องจดทะเบียนธุรกิจและแจ้งการดำเนินกิจการต่อทางการท้องถิ่น ตามกฎหมายสุขาภิบาลอาหาร
แต่ทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับฉัน ที่ไม่มีบัตรประชาชน
‘จบเห่แล้ว’
ขณะที่ฉันทิ้งตัวลงบนหญ้าด้วยความสิ้นหวัง ยอรึมก็เข้ามาพร้อมข้อเสนอที่ดี
นั่นก็คือการขายเครื่องดื่มของฉันในคาเฟ่ภายในอาคารกิลด์
ฉันเดินตามยอรึมไปที่คาเฟ่ แต่ความกังวลก็ยังไม่หายไป
“ขายชาที่ฉันทำในคาเฟ่ของกิลด์ได้จริง ๆ เหรอ?”
“ได้สิ เราแค่เพิ่มเมนูอีกสองสามอย่าง แถมคยออุลก็เป็นคนจัดหาวัตถุดิบเองทั้งหมดด้วย”
“ว้าว”
ฉันเคยสงสัยว่าจะขายชายังไงและที่ไหนดี
แต่ตอนนี้ ฉันกำลังจะขายมันในคาเฟ่ของอาคารกิลด์ ที่มีคนเดินผ่านไปมามากมาย
หางที่เคยตกลงอย่างหมดแรง เริ่มแกว่งไปมาเองด้วยความตื่นเต้น
“แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง”
“เงื่อนไข…?”
“ใช่ เธอต้องทำความสะอาดวัตถุดิบให้ดีมาก ๆ เพราะมันเป็นของที่คนจะกินเข้าไป”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา”
เมื่อล้างวัตถุดิบในน้ำบ่อ ผลของไอเทมจะชะล้างสิ่งสกปรกออกหมด
มันจะสะอาดพอที่จะกินได้เลย ดังนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหา
“โอเค แล้วฉันอยากตั้งราคาเอง ได้ไหม?”
“ได้…!”
มันมีบัฟขยายพลังมานา
หนึ่งหมื่นวอนต่อแก้ว
ถ้าขายได้แค่วันละสิบแก้ว ฉันก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว
ด้วยความหวังนั้น ฉันเดินเข้าไปในคาเฟ่ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นป้ายประกาศ
───
ชาโฮมเมดพิเศษ
ชาดอกแดนดิไลออน: 100,000 วอน
เอฟเฟกต์ – ขยายพลังมานา
ชาจิงจู่ฉ่าย: 50,000 วอน
เอฟเฟกต์ – ต้านพิษ
-ชาพวกนี้เป็นชาพิเศษที่มีบัฟเสริมพลัง
-ประสิทธิภาพของบัฟขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ดื่ม
-สามารถสะสมบัฟได้
───
“หนึ่งแสนวอน…?”
ถึงจะมีบัฟ แต่ราคานี้มันเกินไปหรือเปล่า?
มันไม่แพงเกินไปหน่อยเหรอ?
ฉันอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองยอรึม
เธอยืนอยู่ข้างหลัง ฉันเลยต้องแหงนหน้าขึ้นไปมอง
“มันไม่ใช่แค่ชาธรรมดา มันมีบัฟด้วย”
“แต่ชาหนึ่งแก้วจะราคาแสนวอนได้ยังไง…?”
“จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างถูกเลยนะ”
“ถูกงั้นเหรอ?”
หนึ่งแสนวอนต่อชาแค่หนึ่งแก้ว
ถ้าโลกไม่แตกพรุ่งนี้ ฉันไม่มีวันจ่ายราคานี้แน่นอน
ยอรึมดูเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของฉันเลย แค่ยักไหล่เบา ๆ
“นี่คือราคาที่ลดลงแล้วนะ เพราะคยออุลไม่อยากให้มันแพงเกินไป”
“ราคาที่ลดแล้วคือหนึ่งแสนวอน…?”
“ใช่ บัฟของคยออุลสามารถสะสมได้”
“บัฟสะสมได้?”
หมายความว่าบัฟสามารถทับซ้อนได้สินะ?
หางของฉันขดขึ้นเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม
“ปกติแล้วบัฟแต่ละประเภทจะใช้ได้แค่ครั้งเดียวใช่ไหม? แต่บัฟของเธอกลับสามารถสะสมได้อย่างแปลกประหลาด”
“งั้นผลลัพธ์ก็ดีกว่าใช่ไหม?”
“ใช่ นั่นแหละทำให้ราคาหนึ่งแสนวอนถือว่าถูกแล้ว”
ถ้ายอรึมพูดแบบนั้น ก็คงเป็นอย่างที่ว่า
ฉันไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับราคาอีกแล้ว
ฉันแค่หวังว่าชาจะขายดี แล้วก็กล่าวขอบคุณพนักงานคาเฟ่
“ขอบคุณที่ช่วยขายชาที่ฉันทำ”
ฉันโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม ประสานมือไว้เหนือหน้าท้อง
ยอรึมกับพนักงานคาเฟ่หัวเราะคิกคักกับท่าทางของฉัน ดูเหมือนจะขบขันกันมาก
“ฉันก็จะฝากตัวด้วยนะ”
“โอเค…?”
พวกเขาหัวเราะกันอยู่สักพัก หลีกเลี่ยงสายตาของฉัน ขณะที่ฉันยืนงงอยู่ตรงนั้น
‘เกิดอะไรขึ้นนะ?’
มีอะไรตลกอยู่ข้างหลังฉันรึเปล่า?
ขณะที่ฉันหันไปมองด้วยความงุนงง ยอรึมก็แตะไหล่ฉันเบา ๆ
“คยออุล พี่ยังมีงานที่ต้องทำที่คาเฟ่อีกหน่อย คยออุลช่วยไปก่อนได้ไหม?”
“ไปก่อน?”
“ใช่ คยออุลยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ ฉันวางแผนจะปลูกดอกแดนดิไลออนในสวน”
เพื่อขายชาดอกแดนดิไลออนให้มากขึ้น ฉันต้องปลูกมันเอง
ฉันหยิบพลั่วปลูกพืชออกมาจากกระเป๋า
“จริงเหรอ? งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยปลูกดอกแดนดิไลออนนะ?”
“ม-ไม่เป็นไร… ฉันทำเองได้…”
“โอเค”
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อชดใช้ให้ยอรึม
ฉันไม่สามารถขอให้เธอทำงานหนักได้
“งั้นฉันไปก่อนนะ…!”
โดยกลัวว่าเธอจะตามมา ฉันจึงโบกมือลายอรึมอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปที่บ้านตู้คอนเทนเนอร์ของฉัน
ฉันมองไปรอบ ๆ สวน แต่ก็ไม่เห็นโซเฟียอยู่ที่นั่น
“โซเฟีย?”
ปกติเธอจะรอฉันอยู่ที่บ้าน
การที่เธอไม่อยู่ทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ และหนักใจ
ฉันยืนอยู่ตรงนั้น พลางคิดอะไรไปเรื่อย จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านหญ้า
ซ่า—
เป็นเสียงก้าวเล็ก ๆ คล้ายกับของโซเฟีย
ฉันหันไปด้านข้าง แล้วพบว่ากำลังสบตากับเด็กสาวคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้
“ยูนิคอร์น…?”
เธอมีเขาบนหน้าผาก เล็กกว่านิ้วก้อยของฉันเสียอีก
เธอดูตกใจกับสายตาของฉัน ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วก้าวออกมาจากพุ่มไม้
“น่าประทับใจมากที่รู้ว่าเลวีนัสซ่อนอยู่…!”
“เอ่อ ก็ใช่… ฉันหูดีน่ะ…”
แต่เมื่อกี้เธอส่งเสียงดังขนาดนั้น ใครก็คงได้ยินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
ฉันรู้สึกว่าถ้าทักออกไปมันคงดูแปลก ๆ ก็เลยแค่พยักหน้า
“เธอไม่ใช่คนธรรมดา อย่างที่เลวีนัสได้ยินมาจริง ๆ ด้วย…!”
เด็กสาวค่อย ๆ ถอยหลังไปเล็กน้อย ขณะที่ยังคอยจับตาดูฉัน
ฉันสงสัยในท่าทีของเด็กคนนี้
“แต่เธอเป็นใครเหรอ…?”
“ก็แค่เด็กดื้อคนหนึ่ง”
คำตอบกลับไม่ได้มาจากเด็กสาว
ฉันหันไปตามเสียงนั้น แล้วก็เห็นโซเฟียยืนอยู่พร้อมกับสีหน้าบึ้งตึง
“โซเฟีย ไปไหนมาเหรอ?”
“ข้าไปซื้อเมล็ดดอกแดนดิไลออนมา”
“โอ้”
เธอคงได้ยินที่ฉันบ่นเรื่องอยากได้เมล็ดดอกแดนดิไลออน
ฉันเดินเข้าไปหาโซเฟียด้วยความดีใจ
“แต่มีบางอย่างแปลก ๆ ”
“อะไรเหรอ?”
“สำหรับคนจากฝ่ายหัวรุนแรง เธอดูไร้เดียงสา… แทบจะเหมือนเด็กเลย”
“เด็ก?”
ฉันคิดว่าเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเด็ก เหมือนกับโซเฟียซะอีก
แต่ถ้าเธออายุน้อยกว่าฉันจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
“ฮ่า! ไร้เดียงสางั้นเหรอ? เลวีนัสคือท่านเลวีนัสผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่ากระต่ายมีเขาเชียวนะ!”
“โอ้ อย่างนั้นเองเหรอ…”
บางทีเธออาจเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง
ไม่รู้จะตอบยังไง ฉันเลยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า
ฉันกำลังหาพวกอุปกรณ์ปลูกดอกแดนดิไลออน
“พลั่วสำหรับปลูกพืชแล้วก็… บัวรดน้ำอันเล็ก…”
ขณะที่ฉันกำลังจะหยิบอุปกรณ์ หินมานาของบอสกระต่ายมีเขาดันขวางอยู่ ฉันเลยหยิบมันออกมาก่อน
ฉันต้องเอาอุปกรณ์ออกมาก่อน แล้วค่อยเก็บทุกอย่างกลับเข้าไป
ขณะที่ฉันคิดแบบนั้น เด็กสาวก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นหินมานา
“ฮึก…!”
“ฮืม?”
เด็กสาวชะงักแข็งทื่อราวกับกระต่ายที่เผชิญหน้ากับนักล่า ร่างของเธอสั่นเทา
เธอแปลกจริง ๆ ด้วย
ดูเหมือนจะไม่ควรไปสนใจเธอมากนัก
ฉันตัดสินใจปล่อยเธอไว้ แล้วหันไปสนใจดูแลสวนแทน
MANGA DISCUSSION