ตอนที่ 5 โทริส 2
นับตั้งแต่ฉัน, โทริส หนีออกจากครอบครัวมา เวลาผ่านไปหลายปี ชิน, ลูกชายของฉันกับอลิเซีย อายุครบห้าปี ตอนนี้อีกไม่กี่เดือนกำลังจะครบหกปี
แน่นอนว่า ฉันยังมีความคิดที่อยากจะอยู่ฉลองวันครบรอบหกปีของเขาอยู่ ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือหนีออกจากหมู่บ้านไปพร้อมอลิเซียและลูกของพวกเรา
แต่เสี้ยวหนึ่งในจิตใจปฏิเสธวิธีดังกล่าว และเพื่อปกป้องครอบครัวนี้ ฉันจึงจับอาวุธขึ้นมาฝึกฝนอีกครั้ง และในที่สุด วันที่พวกหน่วยทหารม้าลาดตระเวนตัดสินใจจะประจำการก็มาถึง
ในวันนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเรียกคนหนุ่มทุกคนไปเข้าพบ แม้จะชราภาพแต่อำนาจในการสั่งการยังคงอยู่ เธอจัดแจงให้แต่ละคนประจำการพื้นที่ โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ แนวหน้าในการกวาดล้างรังก็อบลิน และกลุ่มแนวหลังฝ่ายเสบียงที่จะคอยดูแลคุ้มกันภัยในกระโจมอพยพ
แน่นอนว่า หน่วยก้านของฉันไม่ได้แย่อะไร พูดแบบไม่อวยตัวเองจนเกินไปนัก ฉันก็ยังมั่นใจอยู่ว่าตัวเองอยู่อันดับต้นๆของกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้ดีของหมู่บ้านแห่งนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าหมู่บ้านจึงเอ่ยชื่อของฉันมาคนแรก
ฉันกล่าวขอบคุณตามพิธี แต่หัวหน้าหมู่บ้านกลับให้ฉันทำหน้าที่ต่อไปทันที
“พ่อหนุ่มโทริส ฝากเลือกคนที่เหมาะสมด้วย”
อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาฉันเป็นคนรายงานเรื่องราวเสียส่วนใหญ่ ประกอบกับหน่วยก้านของฉันที่ไม่ได้แย่กว่าชาวบ้านที่ยังอ่อนเยาว์กว่าฉัน ทำให้ฉันถูกหัวหน้าหมู่บ้านแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของหน่วยนี้
ฉันเห็นหลายคนแสดงท่าทางไม่พอใจ
ว่าไม่ได้ พวกเขามีความมั่นใจในแบบของตัวเองไม่แพ้คนหน้าใหม่อย่างฉัน การที่ไม่ถูกฉันเลือกเป็นเหมือนการดูถูกพวกเขา แต่ถึงกระนั้นมันก็จบลงเพียงคำบ่นอย่างไม่ยอมรับเท่านั้น
“หลังจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วย”
ฉันกล่าวออกไปกับเพื่อนร่วมหน่วยออกรบในครั้งนี้ ในกลุ่มนั้นมีหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านแสดงท่าทีไม่พอใจอยู่ด้วย
หลังจากคัดเลือกบุคคลที่จะออกไปเสี่ยงในแนวหน้า กลุ่มกองร้อยที่ประจำการอยู่ไม่ไกลก็เดินทางมาถึง
ครั้งนี้ฉันพยายามหาหนทางหลบหน้าอีกครั้ง แต่ทำไม่ได้อีกต่อไป
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เราสองคนประจันหน้ากันแบบพอดิบพอดี
ทันทีทีเฟลิซควบมากลับมายังหมู่บ้าน เขาหยุดมาแล้วเดินลงมาหาฉัน
“ห หัวหน้า หัวหน้าจริงๆด้วย”
เดิมทีเฟลิซเป็นคนที่มีดีแค่ใช้ได้ทุกอาวุธ แต่ความกล้าหาญแทบไม่มีเมื่อเทียบด้วยกับสมาชิกในกองกำลัง ทำให้ภาพของเขาที่ถูกคนนั้นคนนี้รวมถึงฉันดุไปจนถึงทำโทษเป็นภาพจำในกองพันขึ้นมา
แต่ครั้งนี้ คงที่ไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้า คงเป็นตัวฉันเอง
“ไม่ใช่ คุณทักผิดคนแล้ว”
“หัวหน้า ม มาอยู่ที่ชนบทแบบนี้เองเหรอ”
น้ำเสียงตะกุกตะกักไม่เคยเปลี่ยน ฉันมั่นใจว่าตอนนี้ฉันกำลังยิ้มบอกบุญไม่รับอยู่
ฉันพยายามปฏิเสธตัวตนที่เขาจำได้แล้วเดินหนีไป แต่เสียงรองเท้าเหล็กที่ดังทุกครั้งที่เท้ากระแทกพื้นบอกว่าเขากำลังเดินตามมาอยู่
“หัวหน้า รอเดี๋ยว”
“มีอะไรกับผมกันแน่”
“ห หัวหน้ายอมรับแล้ว”
ประมาทไปจนได้ ไม่น่าเผลอหยุดเดินแล้วหันไปตามเสียงเรียกเลยจริงๆ
ฉันเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ แต่เอาเถอะ มาถึงจุดนี้เฟลิซคงเอาเรื่องที่เจอฉันสาธยาไปทั่วแน่ๆ ยอมรับไปตรงนี้แล้วกำชับให้เอริคห้ามเขาพูดน่าจะเห็นผลดีกว่า
“หยุดตามผมมาได้แล้ว คุณเฟลิซ”
“ถูกหัวหน้าเรียกว่าคุณแล้ว ม มันแปลกหูจริงๆ”
“ผมเป็นแค่ชาวบ้านทั่วไป ช่วยเข้าใจด้วยครับ”
“ต แต่ว่า”
ฉันไม่ได้หยุดยืนคุยกับเขาต่อเพราะต้องทำเวลา ตอนนี้ต้องเตรียมอาวุธสำหรับการกวาดล้างฝูงก็อบลิน
แต่เฟลิซก็ยังเดินตามไม่ลดละ
“ห หัวหน้า พวกเรามีอาวุธเหลือเฟือ หัวหน้าควรมากับพวกเรา อย่างน้อยเราก็ของพร้อมมากกว่านะครับ”
ฉันยังคงเดินต่อไป ไม่สนใจสิ่งที่เฟลิซพูด แต่เขาก็ยังเดินตามมา อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้วแท้ๆ
“คุณกลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะไปหาเอง”
“ถ ถ้าหัวหน้าบอกแบบนั้น ก็ได้ครับ…”
เขาเดินคอตกกลับไป ฉันมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนคือแจ้งเรื่องนี้ให้อลิเซียทราบ
พอถึงบ้าน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้ภรรยาฟัง เธอพยักหน้ารับฟังทุกอย่าง
“หน่วยลาดตระเวนพบการเคลื่อนไหวแปลกๆที่รังก็อบลินจำนวนมากและตัดสินใจจะทำลายรังของพวกมันแล้ว ที่รัก คุณ…”
อลิเซียยิ้มรับ ฉันมั่นใจว่าเธอกำลังคิดเหตุผลที่จะคัดค้านไม่ให้ฉันไป
“ปกติก็อบลินจะไม่ออกล่าช่วงหน้าหนาวนี่คะ”
ใช่ อย่างที่อลิเซียบอก มันไม่ออกล่าช่วงหน้าหนาว
การที่มันออกล่า หากเป็นเพราะขาดแคลนอาหารสำหรับการจำศีล พวกมันจะดุร้ายเป็นพิเศษ
“ถ้าไม่มีอะไรไปกระตุ้นมัน หรือมีบางอย่างทำให้มันหาอาหารไม่ทัน พวกมันไม่มีทางจะออกล่าในหน้าหนาวค่ะ”
“ไม่ว่ายังไง พวกเราควรเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อนนะ ที่รัก”
มือข้างหนึ่งสัมผัสแก้ม อีกข้างสัมผัสไหล่ ใบหน้าของผมพยายามปั้นรอยยิ้มออกมาเพื่อบอกเธอว่าไม่เป็นไร
ฉันไม่เคยเตรียมใจที่จะไปตายกับงาน สมัยทำงานในกองพลลาดตระเวน ฉันปราบรังก็อบลินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้คือการปราบปรามรังก็อบลินที่มีเหตุผิดวิสัยครั้งแรก
“กลับมาให้ได้นะคะ…”
อลิเซียกล่าวแล้วยื่นมือมาแตกที่อกของฉันเบาๆ
“ไม่เกินพรุ่งนี้ แล้วเจอกันนะ”
เป็นคำมั่นสัญญาที่ผมบอกกับทั้งภรรยาและลูกก่อนจะเดินไปหยิบได้คู่ใจที่ฝึกจนเข้ามือแล้วรีบเดินออกจากบ้านไป
ที่จุดนัดหมาย บริเวณใกล้ชายป่า เฟลิซยืนถอดหมวก มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใคร พอเห็นฉัน เขาก็ยิ้มออกมาแล้วรีบเดินเข้ามา
แต่ฉันยกมือห้ามไว้ในระดับอก ไม่ให้ผิดสังเกต เขาเห็นในทันทีจึงเปลี่ยนจากการเดินปรี่มาเป็นก้าวเดินในจังหวะปกติแทน
“ห หัวหน้า ไม่สิ ต ตัวแทนหัวหน้าหมู่บ้าน”
ฉันพยักหน้า ถือว่าเฟลิซทำได้ดีในครั้งนี้ แต่คนที่ตามเขามาคือ เอริค
หัวหน้ากองร้อยคนปัจจุบันตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีทั้งรอยยิ้มหรือร่องรอยความโกรธปรากฏ เขาเพียงทักทายฉันเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น
“กลับกันได้แล้ว เฟลิซ”
“ต แต่ หัวหน้าเอริค”
“กลับไปแกโดนดีแน่”
เอริคลากคอเขาไป ขอให้ปลอดภัยนะเฟลิซ ฉันภาวนาในใจแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ประชุม ครั้งนี้คงต้องระวังและหลบหน้าพวกที่ไม่ใช่ชาวบ้านสักหน่อย
ภายในพื้นที่จุดนัดหมายมีเต็นท์วางอยู่หลายหลัง วันนี้พวกเราเข้ามาวางแผนร่วมกัน
ชาวบ้านที่ผมคัดเลือกมาต่างมีสีหน้าตึงเครียด ไม่ใช่เรื่องแปลก ครั้งนี้คงเป็นการออกปราบปรามใหญ่ครั้งแรกของใครหลายคน
การวางกระโจมที่พักช่างแปลกประหลาด ทำไมถึงให้กระโจมที่พักของฝั่งชาวบ้านอยู่ใกล้ป่ากันนะ?
เป็นการวางแผนที่ส่งกลิ่นอายน่าสงสัย ผมส่งเสียงถามออกไป แต่เอริคกลับตอบกลับมาเพียง เป็นแค่ชาวบ้าน อย่ามายุ่ง
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของชาวบ้านคนอื่นๆและพวกผู้ใต้บังคับบัญชาของเอริค
แน่นอนว่าในจำนวนชาวบ้านที่ส่งเสียงหัวเราะ คงมีพวกคนที่ใฝ่ฝันว่าจะได้เข้ากองกำลังทหารอยู่
บางทีเขาอยากแสดงความสามารถในการสู้รบกับมอนส์เตอร์ให้เอริคเห็นเผื่อโชคดี โดนคัดเลือกไปหลังจบศึก
แต่หากถามความคิดเห็นของฉันแล้ว เอริคไม่น่าสนใจบุคลากรจากหมู่บ้านแห่งนี้ เดิมทีเขาเองก็เป็นขุนนางที่ถือศักดิ์ศรีมากคนนึง หากไม่ได้มีฝีมือชนิดโดดเด่นสะดุดตามท่ามกลางคนนับพันคน คงไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปทำงานในกองกำลังนั้น
และถึงแม้พวกเขามักจะเลือกชนชั้นขุนนางด้วยกันเอง ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไร้ซึ่งฝีมือ
การฝึกของพวกเขาอยู่ในระดับจริงจัง เตรียมพร้อมเพื่อสู้กับสถานการณ์ทุกเมื่อ
อันที่จริง ฉันคิดว่า กองกำลังระดับนี้ อาจจะไม่ได้ต้องการชาวบ้านคนไหนมาช่วยด้วยซ้ำ บางทีพวกเขาอาจแค่ต้องการคนเฝ้าเวรยามเพื่อผ่อนแรงกองกำลังของตัวเอง และจะได้ทุ่มกับการวางแผนของฝั่งตัวเองเต็มที่
ในกรณีเลวร้ายสุด…
ฉันไม่อยากคิด แต่ก็เป็นไปได้ว่าขุนนางระดับเขาอาจจะตั้งใจเอาชาวบ้านมาเป็นโล่เพื่อถอยในยามจำเป็น
การเข้าป่าไปในตอนกลางคืนไม่ใช่เรื่องดี นั่นคือหลักการพื้นฐานในการรับมือกับฝูงมอนส์เตอร์
โดยเฉพาะกับรับมือกับก็อบลินที่มีความสามารถมองเห็นในที่มืดได้เหนือกว่ามนุษย์
ในทางกลับกัน มันก็เป็นเวลาอันเหมาะสมสำหรับพวกมันที่จะบุกจู่โจมมนุษย์ด้วย
คืนนี้ฉันไม่สามารถบังคับให้ร่างกายหลับได้เลยแม้แต่น้อย
แม้จะไม่ใช่คนเฝ้าเวร แต่ประสบการณ์ที่ฉันมี บอกว่าค่ำคืนนี้มีบางสิ่งบางอย่างแปลกๆ
เสียงสิ่งมีชีวิตที่เคยได้ยินในยามค่ำคืนหายไป
พอรู้สึกเช่นนั้น ความกังวลที่มีก็ก่อกวนจนไม่สามารถหลับลงได้
สุดท้าย จึงเลือกหนทางที่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ ไปเพิ่มกำลังเฝ้ายามสักหน่อยคงจะดีกว่า
ฉันลุกขึ้นจากที่นอน เปิดกระโจมออกไป
พอเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็พบว่าคืนนี้ท้องฟ้าไม่เป็นใจนัก
แสงจันทร์และแสงดาวถูกบดบังด้วยหมู่เมฆ ลมเย็นๆที่พัดผ่านไปนั้นทำให้รู้สึกวังเวง ชวนกระตุ้นความคิดแง่ลบไม่น้อย
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเสียงร้องเพลงดังจากที่ไกลๆ
ไม่ใช่เพลงที่ฉันเคยได้ยินจากกลุ่มชาวบ้าน เป็นเสียงที่ครั้งหนึ่งฉันคุ้นเคยมันเป็นอย่างดี
เพลงของพวกทหารในวงสนทนายามดึก มันอยู่ห่างไปในอีกฝั่งหนึ่งซึ่งไกลจากชายป่า
ในส่วนลึกของบริเวณนั้น คงมีรังก็อบลินอยู่
เป้าหมายของพวกเราคือบุกเข้าไปทำลายให้สิ้นซาก โดยให้ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่มากกว่าช่วยสนับสนุนด้านการนำทาง
ระหว่างทบทวนแผนในหัวอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ
“อ้าว หัวหน้าโทริส ผมว่าจะชวนดื่มพอดี”
ฉันหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ก็พบเฟลิซกำลังยืนถือแก้วเบียร์ไม้อยู่ในมือทั้งสองข้าง
“ผมไม่ใช่หัวหน้าของคุณตั้งนานแล้วนะ เฟลิซ ไม่ควรเรียกผมว่าหัวหน้าแล้ว”
“ข ขออภัยด้วยครับ แต่ เออ นี่ เบียร์ครับ ห หัวหน้- ไม่สิ คุณตัวแทนหมู่บ้าน”
การพูดติดขัดก็เป็นอีกส่วนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของเขา แต่ในฐานะของคนที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งของผู้บัญชาการของเขาแล้วจึงไม่อยากต่อว่ามากนัก
คิดเช่นนั้น แล้วฉันก็รับเบียร์มา
รสชาติยังคงความขมไว้เล็กน้อย กลิ่นของเหลวสีอำพันเตะจมูกอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายฉันก็กลืนมันเข้าไปรวดเดียวจนหมดก่อนส่งคืนให้กับคนที่นำมันมา
ก่อนจะเข้าเรื่องที่ฉันสงสัย
“มีเรื่องอะไรถึงคิดจะมาหาผมตอนดึกขนาดนี้ คงไม่ได้มาหาผมเพียงชวนดื่มเบียร์ใช่มั้ย”
คนถูกถามพยักหน้ารับ ฉันจึงเชิญเขาให้เข้ามาในกระโจมเสียก่อน
“คือว่า… ผมรู้สึกช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงแปลกๆ”
“แปลกๆที่ว่าคือยังไง มีการส่อแววปฏิวัติเหรอครับ”
“ค คือว่า หัวหน้า ไม่สิ คุณตัวแทนหมู่บ้านพูดสุภาพด้วยแล้วไม่ชินเลย”
ช่างยึดติดกับภาพจำจริงๆ
ฉันบ่นในใจ ไม่ได้เอ่ยออกไป แล้วฟังเฟลิซพูดต่อไป
“กษัตริย์คนเก่า ตอนนี้ ทรงพระประชวรอยู่ครับ”
“พวกขุนนางเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันแล้วเหรอ”
“ถ ถูกต้องครับ…”
สมัยเด็ก ฉันเองก็ถูกบังคับให้เข้าสังคมขุนนางบ่อยๆเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูล และเพื่อแสดงตัวตนในฐานะผู้สืบทอดคนต่อไป ทำให้พอนึกรายชื่อของเหล่าบุคคลที่เข้ามามีส่วนในการเคลื่อนไหวครั้งนี้
หากฉันยังอยู่ ตัวฉันเองก็คงเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องเคลื่อนไหวในฐานะผู้นำคนตระกูลคนปัจจุบัน
แต่ฉันก็ได้หนีออกมาแล้ว ละทิ้งหน้าที่นั้นให้น้องชายคนอื่นๆทำแทน
ฉันอยู่ในจุดที่สามารถบอกได้เต็มปากว่าตัดขาดกับตระกูลไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น…
“บ้านฮาร์เทอร์เป็นยังไงบ้าง”
“อ เอ่อ หมายถึงบ้านของหัวหน้า ตอนนี้ยังนิ่งเฉยอยู่ครับ”
เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด พอๆกับการได้ยินว่ามอนส์เตอร์ที่ชื่อว่า ‘มาว’ พ่นลำแสงได้เลย
ฮาร์เทอร์ – ตระกูลเก่าของฉันที่ฉันจำความได้เป็นตระกูลที่พร่ำสอนว่าสักวันต้องเป็นผู้ปกครองอาณาจักรให้ได้ ก่อนจะขยับไประดับโลก
เพราะความคิดที่จะเป็นใหญ่เช่นนั้นจึงทำให้ฉันทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ
หากคิดถึงความเป็นไปได้ อาจพยายามเคลื่อนไหวในเบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ ปิดบังไม่ให้คนภายนอกรู้
“แล้วก็มีอีกเรื่อง ม ไม่สิ ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปลาดตระเวนต่อนะครับ”
เรื่องอะไรกันนะ?
ด้วยความอยากรู้ ฉันจึงพลั้งปากเอ่ยคำว่า ‘เดี๋ยวก่อน’ ออกไป
เฟลิซหยุดชะงัก หันมามองทางฉัน แสดงสีหน้าเหมือนอยากถามว่ามีอะไรหรือเปล่าครับออกมา
“ตระกูล โพ เป็นยังไงบ้าง”
ฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆเกี่ยวกับตระกูลของอลิเซีย จึงทำให้ทักถามออกไป
และบางที หากนำสีหน้าของเฟลิซมาคิดและตีความ การคาดเดาของฉันคงไม่ผิดนัก
“เฟลิซ ตอบมาเถอะ ฉันไม่โทษอะไรแกหรอก”
“ค คือ ข ขอโทษครับ ผมไม่ควรพูดจริงๆ”
เขาไม่ตอบคำถามของฉันแล้วก้าวเท้าฉับๆออกจากกระโจมไป
ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวให้คิดมากเกินไปจนชวนหนักหัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหลับลงได้เช่นเคย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ฉันลองนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆที่บ้านฮาร์เทอร์จะไม่เข้าร่วมสงครามรวบรวมอำนาจครั้งนี้ว่ามีความเป็นไปได้ไหนบ้าง
ด้วยทักษะด้านการคิดที่มีไม่สูงมากนักของผม ทำให้มีข้อสรุปได้คร่าวๆเพียง มีปัญหาบางอย่างขึ้นจึงต้องหยุดชะงักเอาไว้ก่อน หรือไม่ ก็มีเรื่องราวบางอย่างที่มองว่าสำคัญกว่าจึงต้องจัดการก่อน
ระหว่างที่ในหัวคิดเรื่องบ้าน ‘โพ’ อยู่ ฉันก็ได้กลิ่นบางอย่าง
มันเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันก็แยกไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร
พอออกจากกระโจมที่พัก ฉันเห็นคนมากมายกำลังวิ่งวุ่นวายกัน บางคนวิ่งไปพลางตะโกนไปว่า “ก็อบลิน!” “ก็อบลินมัน…!”
พอหันไปทางซ้าย ฉันเห็นก็อบลินบนหลังซินวูลฟ์ มอนส์เตอร์รูปร่างคล้ายหมาป่า ขนาดเล็กกว่าม้าเล็กน้อย และดุร้ายกว่า
ตามสัญชาตญาณของมอนส์เตอร์ ก็อบลินเป็นพวกจับเหยื่อไปกินที่รัง แต่ซินวูลฟ์ไม่มี มันมีแต่คำว่ากินเหยื่อ ณ ตรงนั้น
เป็นนิสัยตามธรรมชาติที่แตกต่างกัน ไม่น่าจะมารวมกันได้ แต่…
ปากของซินวูลฟ์ในตอนนี้ ฉันเห็นมันละเลงด้วยของเหลวสีแดง
ในมือของก็อบลินที่เห็นไกลๆบางตัวถือชิ้นส่วนที่เคยยึดติดกับร่างกายของมนุษย์อยู่ด้วย
พอมองไปทางด้านขวา เห็นก็อบลินกำลังไล่สังหารชาวบ้านที่แตกกระจาย วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
ชั่วพริบตาเดียว บริเวณที่พักของฉันตกอยู่ในความวุ่นวาย
ทั้งกองกำลังฝ่ายชาวบ้านและหน่วยลาดตระเวนตกอยู่ในสภาวะโกลาหล และมันกำลังขยายวงกว้างออกไป
“เฟลิซ!”
“ห หัวหน้า”
คนที่เกือบจะวิ่งผ่านหน้าฉันไปคือ เฟลิซ ที่ด้านหลังของเขาแบกแล่งธนู ในมือเองก็ถืออาวุธที่ตนเองถนัดอย่างธนูอยู่ด้วย
เขาหยุดแทบจะทันทีที่ถูก หันมามองฉันด้วยสีหน้ารีบร้อน เหมือนอยากบอกว่า ไม่มีเวลาคุยด้วยมากนัก
“เรียกกำลังเสริมมาหรือยัง”
“ร เรียบร้อยแล้วครับ แต่พวกนั้น เมากันส่วนใหญ่ คนที่พอมีสติก็กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ”
ไม่ได้เรื่อง ขาดวินัยเกินไปแล้ว
เท่ากับว่า คนที่พร้อมเป็นกำลังรบมีเพียงเฟลิซคนเดียวเท่านั้น
“ผมจะไปยืนแนวหน้าให้เอง คุณโจมตีจากแนวหลัง คอยช่วยสนับสนุนให้คนหนีไปให้ได้”
“ค ครับ”
เราสองคนวิ่งเข้าสู่วังวนของความโกลาหล ตั้งใจที่จะหยุดยั้ง
ระยะการเดินทางจากกระโจมที่พักของฉัน ไปจนถึงจุดปะทะที่ใกล้ที่สุดห่างกันไม่กี่ก้าว
ที่ตรงนั้น ซินวูลฟ์กำลังกัดกินร่างผู้เสียชีวิตจากการบุกโจมตียามค่ำคืน
ฉันวิ่งเข้าไป ออกแรงฟันดาบหนึ่งครั้ง ก็อบลินที่ไม่ทันตั้งตัวเสียชีวิตตามเหยื่อที่มันสังหารไปก่อนหน้า
ต่อไปก็ซินวูลฟ์
มันหันมามองฉัน แยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ต้องหนีไปเมื่อถูกลูกธนูพุ่งปักกลางตัว
“ขอบคุณมาก เฟลิซ”
“ม ไม่เป็นไรครับ หัวหน้า”
เฟลิซพยักหน้าให้แก่ผม เราสองคนถูกพาเข้าสู่การปะทะอีกครั้งแทบจะทันทีหลังจัดการศัตรูตัวแรกได้
ไม่ว่าจุดไหนก็มีแต่ผู้ได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ก็เสียชีวิต
สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ ฉันให้เฟลิซใช้เวทย์รักษา ปฐมพยาบาลให้เบื้องต้น ถ้าเป็นเรื่องนี้เขาทำได้ดีกว่าฉันเป็นไหนๆ
ยิ่งมุ่งหน้าไป ก็อบลินก็ยิ่งจับกลุ่มกันหนา ผู้บาดเจ็บไปจนถึงล้มตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันฟันดาบ พยายามช่วยเหลือพวกเขา แต่ส่วนมากก็ไม่ทันการณ์
ยิ่งมุ่งหน้าไป กลิ่นคาวผสมกลิ่นไหม้กระจายไปทั่วในอากาศ ฉันเอามืออุดจมูกไม่ให้ได้กลิ่นชวนอาเจียนไปมากกว่านี้ เฟลิซที่อยู่ข้างๆทำแบบเดียวกัน
คำถามเกิดขึ้นในใจ
ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ได้นะ? จำนวนพวกมันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
ทำไมไม่มีใครรู้ตัวกันนะ? ทั้งที่พวกเราลาดตระเวนกันมาไม่ใช่หรือไง?
ฉันไม่มีเวลาให้ตั้งคำถามมากนัก ก็อบลินตัวหนึ่งหันมาเห็นฉันและเฟลิซ มันส่งเสียงหัวเราะ คิ คิ คิ แล้วเรียกให้ฝูงจำนวนเกินสองคนใช้นิ้วนับไหวของมันก็หันหน้ามามองพวกเรา
นิสัยเสียอีกอย่างของก็อบลินคือมันมีพฤติกรรมชอบหยอกเหยื่อก่อนจะลงมือ
ในวิชามอนส์เตอร์พื้นฐานที่เคยเรียนร่วมชั้นเดียวกันกับอลิเซีย บอกว่ามันเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ เพียงแต่สัญชาตญาณของมันบดบังการแสดงออกไว้แทบมิด
แต่ตอนนี้เวลาของมันเหลือเฟือกับเหยื่อแค่สองคน
ฉันส่งสัญญาณบอกให้เฟลิซค่อยๆก้าวถอยหลังช้าๆ เขาทำตาม
เราสองคนเดินก้าวถอยหลังช้าๆ ขณะที่พวกก็อบลินบนหลังของซินวูลฟ์ขยับเข้ามาใกล้เราเข้ามาเรื่อยๆ พอพวกเราหยุดเดิน มันหยุดตาม ส่งเสียงหัวเราะเหมือนอยากเยาะเย้ยเรา
“เฟลิซ หนีไปคนเดียวไหวมั้ย”
“ห หัวหน้า ไม่ให้ผมช่วยสนับสนุนจะไหวเหรอ”
ไม่ไหวแน่ แต่ต่อให้เฟลิซช่วยสนับสนุนก็ไม่น่าไหว อาจจะตายกันทั้งคู่ก็ได้
“ถ้าแค่ถ่วงเวลา ผมน่าจะพอทำได้”
ฉันชักดาบออกมาจากฝักที่เหน็บไว้ข้างเอว คมดาบสีเงินส่องประกายกระทบกับแสงจากคบไฟที่ติดตั้งไว้ตามเต็นท์
ฉันไม่ใช่คนที่มีความสามารถด้านการเรียน การวางแผนกลยุทธ์ในยามวิกฤตด้านจำนวนคนไม่ได้มีมากมายนัก
ดังนั้นหากเพิ่มจำนวนคนสักหน่อย ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
หากแค่ถ่วงเวลาไว้ ไม่ใช่จัดการทั้งหมดนี้ อาจจะพอไหว
สิ่งที่ฉันถนัดคือการแกว่งดาบ แทงหอกและขี่ม้าไล่ล่าศัตรู
“เฟลิซ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ช่วยพาอลิเซียกับชินหนีไปด้วยนะ”
“ให้ผมทิ้งหัวหน้าไว้เหรอครับ! ร เรื่องแบบนั้นมัน…”
ไม่มีเวลามาเลือกทางหรือเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้การตัดสินใจที่รวดเร็วให้เหมาะสมที่สุดสำคัญกว่า
“หนีไปซะ!”
เสียงตะโกนของฉัน เป็นเหมือนสัญญาณของทั้งสองฝ่าย
ขณะที่เฟลิซออกวิ่ง ฝูงก็อบลินบนหลังซินวูลฟ์ก็วิ่งเข้ามา
ฉันฟันดาบออกไปข้างหน้า แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่กับมอนส์เตอร์ที่ความทนทานต่อการโจมตีต่ำ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างบาดแผล
ดาบของฉันที่ฟาดฟันไปข้างหน้าในแนวขวาง สร้างพื้นที่แรงกระแทกหน้าตัดกว้างเข้าจู่โจมพวกก็อบลินดวงไม่ดีที่บุกเข้ามาแนวหน้าสุด บางตัวโชคดีหน่อย ไหวตัวทัน ก็แค่สูญเสียแขน หากโชคร้าย โชคไม่เข้าข้างก็โดนตัดครึ่งตัวลงไป และเพราะพวกมันเข้ามาด้วยความเร็ว การหยุดจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากส่งผลให้พวกที่อยู่ข้างหลังหยุดไม่ทัน ล้มระเนระนาดตามกันไป
ซินวูลฟ์ที่ก็อบลินหลุดจากหลัง หันหน้าวิ่งหนีเข้าป่า ฉันไม่มีแผนจะติตดามมันไป ตอนนี้ตั้งเป้าหมายแค่จัดการกับก็อบลินตรงหน้าก็เป็นปัญหาใหญ่เต็มที
ซากของพรรคพวกก็อบลินถ่วงเวลาพวกมันได้ไม่นานนัก
ท่าดาบที่ฟันเมื่อครู่เป็นท่าฟันที่ใช้ไม่ได้บ่อยนัก เหตุเพราะเป็นภาระกับร่างกาย ดังนั้นหลังจากนี้ ถ้าไม่จวนตัวก็ไม่ควรใช้อีก
ฉันยืนหยัดอยู่ตรงที่เดิม ในหัวนึกรูปแบบการโจมตีของก็อบลินที่เคยเผชิญหน้ามาทั้งชีวิต ก่อนจะลืมตา เผชิญกับศัตรูที่ไม่สามารถนับจำนวนได้ด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง
ฟันครั้งที่หนึ่ง ตัดหัวของมันลง จำนวนสี่ตัวหายไปทันที
ฟันครั้งที่สอง ฟาดออกไปแนวในดิ่ง ผ่ากลางลำตัวลงมา หายไปแค่หนึ่งตัว แต่สร้างความหวาดกลัวในใจของมันได้
ฟันครั้งที่สาม ออกแรงฟันในแนวนอน ซินวูลฟ์ตัวหนึ่งโดนฟันเข้าที่ดวงตา บาดเจ็บ ดิ้นทุรนทุราย ก็อบลินตกจากหลัง ตะโกนเอะอะด้วยความเกรี้ยวกราด ฉันไม่ปล่อยให้เวลาเช่นนี้ไปง่าย ฉันปามีดที่พกมาด้วย ปักกลางหน้าผากของมัน เจ้าตัวนั้นล้มลงไป สูญสิ้นชีวิต ณ ตรงนั้น
ครั้งที่สี่ พวกมันเริ่มตะลุมบอน ฉันจึงตัดสินใจใช้สิ่งที่ฉันไม่ถนัด
เวทมนตร์
“ไฟร์บอล”
สิ้นสุดคำร่าย เปลวไฟลูกกลมก็ผุดจากมือของฉัน ฉันปามันไปข้างหน้าใส่ก็อบลินกลุ่มหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามา
ไฟมีความร้อน พวกมันลงไปชัก กลิ้งไปกับพื้นหวังให้เศษฝุ่นเศษดินช่วยลดทอนความเจ็บปวดและกลบเปลวเพลิงที่แผดเผาร่างกาย
แต่ไร้ประโยชน์
“ไฟร์บอล”
ฉันร่ายซ้ำอีกครั้ง เปลวไฟลูกกลมผุดขึ้นมาจากมือของฉัน คราวนี้ใหญ่กว่าเก่ามาก เพียงแค่ฐานก็กว้างกว่าฝ่ามือของฉันที่สามารถกุมมือของอลิเซียได้สบายๆซะแล้ว
ฉันโยนลูกไฟออกไปซ้ำ ความร้อนที่ลูกไฟมี ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่าย เหงื่อของฉันไหลออกมาจำนวนมาก ก็อบลินที่หลบได้มองมาทางฉัน สายตาของมันเต็มไปด้วยความอาฆาตและหมายมั่นที่จะสังหารฉันให้จงได้
พวกซินวูลฟ์ เห็นไฟก็ถอยหลัง ก็อบลินเริ่มละทิ้งสัตว์พาหนะของพวกมัน และถืออาวุธจำพวกหอกไม้และขวานหิน เดินตรงมาหาฉัน
สัญญาณการปะทะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีก็อบลินตัวหนึ่งส่งเสียงร้อง กี๊ซ
ในมือของมันมีมีดฟันไม้สำหรับพรานป่าที่ขึ้นสนิมแล้ว ฉันพลาดโดนบาดเข้า จึงร่าย “ฮีล” พื้นฐาน เพื่อรักษาบาดแผลชั่วคราว ก่อนจะใช้ฝ่ามือตบเข้าที่หัวของมัน
ก็อบลินเป็นสัตว์ที่ร่างกายเปราะบางก็จริง แต่เพียงแรงกระแทกของฝ่ามือคน ไม่มีทางสังหารมันลงได้
มันโซเซลุกขึ้นมา ตะโกนร้อง กี๊ซ กี๊ซ
แล้วเพื่อนของมันก็พุ่งเข้าใส่ฉัน
ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีความลังเล
หอก มีด หิน ระดมโจมตีใส่ฉัน
ฉันฟันดาบตอบโต้ รวมถึงหยิบฝักดาบมาใช้แทนโล่เพื่อปัดป้องการโจมตี
ฉันฟันดาบ ตัวแล้วตัวเล่าล้มลงไป ฟองเลือดส่งเสียงดังฟุดๆ เลือดของพวกมันสาดกระเซ็นเปื้อนทั้งตัว เลือดของฉันสาดกระเซ็นเปื้อนทั้งพื้น
ตัวล่าสุด ถูกฉันเอาฝักดาบปักไปในดวงตา มันร้องโหยหวนก็จะสิ้นใจไป ฉันจับร่างของมันขึ้นมา ใช้แทนโล่กำบังป้องกันการโจมตีของเพื่อนพวกมันที่พุ่งเข้ามา
พวกก็อบลินเหลือน้อยลง แต่แรงของฉันใกล้หมดยิ่งกว่า
ไม่รู้ทำไม ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ความอยากรู้บอกให้ฉันหันไปมอง แต่หลักการและเหตุผลบอกให้ฉันระมัดระวังศัตรูเบื้องหน้า
ก็อบลินตัวหนึ่ง กระโดดขึ้นสูงเหนือหัวของฉัน
ตัวปกติ ทำแบบนี้ไม่ได้แน่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้มันได้เปรียบอะไร
ฉันฟันแนวเฉียง มันตกลงมาตาย
ตอนนั้นเองที่ฉันได้รับรู้
ว่าไม่มีทางเลือกไหนที่เหมาะสมที่สุด
ก็อบลินตัวหนึ่ง มันใหญ่กว่าตัวปกติเล็กน้อย เหมือนว่าภาษาทั่วไปจะเรียกมันว่า ฮ็อบก็อบลิน พุ่งเข้ามาแทงฉันจากด้านหน้า
ฉันเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิด ทำให้คมมีดขึ้นสนิมของมันเฉียดสีข้างไป ความเจ็บปวดแล่นจากสีข้างวิ่งไปทั่วทั้งร่าง แต่แผลแค่นี้หยุดฉันไม่ได้ง่ายๆ
ทว่า กลับมีความรู้สึกเย็นวาบทะลุทะลวงมาจากด้านหลัง พอก้มมองก็เห็นดาบแทงทะลุเข้ามาจนถึงด้านหน้า
ก็อบลินเหรอ? ไม่ ไม่ใช่ ดาบที่ดีขนาดนี้ ไม่มีทางเป็นของก็อบลินไปได้
ดาบของมนุษย์? นั่นคือคำตอบแรกที่แวบเข้ามาในหัว ฉันพยายามหันไปมองแต่คอไม่ทำตามใจนึกนัก
“จะฆ่าแกต่อหน้าคงทำได้ยาก แต่จังหวะแบบนี้แหละ…”
เสียงนั้น… เสียงของเอริค
ฉันจำได้
แต่ทำไมเขาถึง…
“ค่าหัวของแกราคาสูงน่าดูเลยว่ะ”
สวบ เสียงดาบถูกดึงออกจากร่าง ตัวฉันล้มลงกับพื้น ไอออกมาเป็นของเหลวสีแดงจากร่างจำนวนมาก
ชั่วขณะหนึ่ง ฉันเห็นเท้าของก็อบลินกำลังจะเหยียบลงมาบนหัวของฉัน แต่เอริคตะโกนสั่งให้มันหยุด มันชะงัก เงาของเท้าเล็กๆของมอนส์เตอร์ถอยห่างออกไป
เอริค เดินมาหยุดข้างหน้าฉัน เท้าภายใต้ชุดเกราะของเขาเหยียบลงบนหัว แรงกดทำให้ใบหน้าคลุกลงไปในพื้นดินปนทราย รสชาติไม่เอาไหนของสิ่งต่างๆที่ภายใต้พื้นเข้ามาในปากอย่างไม่ปราณี
“เป็นขุนนาง แต่ไปเกลือกกลั้วกับพวกสวะชั้นต่ำแบบนี้ ดูไม่ได้เลยจริงๆนะ โทริส”
ฉึก!
ฉันเห็นดาบปักตรงมือของฉัน ความรู้สึกเจ็บไม่มากเท่าตอนโดนเสียบทะลุจากด้านหลัง ก่อนที่มันเริ่มหายไป ร่างกายเริ่มชาไปทั้งตัว ฉันพยายามรวบรวมแรงเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ถึงว่า บ้านฮาร์เทอร์ถึงอยากกำจัดแก แม้แต่กลิ่นเลือดก็ยังเน่าเหม็นขนาดนี้ เหมือนเลือดของพวกชาวบ้านหน้าโง่ไม่มีผิด ขยะแขยงชะมัด!”
สติที่มีเริ่มเลื่อนรอย หลังถูกปัดดาบรู้สึกเหมือนส่วนศีรษะถูกเตะอย่างแรง รู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลออกมาจากสักตำแหน่งบนศรีษะ ความทรงจำสมัยเด็กจนมาถึงไม่กี่วันก่อนเริ่มปรากฏเป็นฉากๆ จนสุดท้ายก็เห็นอลิเซียอุ้มลูกชายและกำลังยิ้มให้
ฉับ เสียงตัดเบาๆดังขึ้น
ในตอนที่กำลังจะลุกขึ้นยืนด้วยการยันตัว เรี่ยวแรงจากแขนซ้ายก็หายไป ส่วนที่ควรมีมืออยู่ถูกตัดหายไป ทิ้งไว้เพียงวงแดงๆที่มีของเหลว เหนียว สีแดงเดียวกัน ไหลทะลักออกมา
ฉันอยากจะร้องออกมาดังๆ ร้องด้วยความเจ็ปบวด แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลย
“บ้านฮาร์เทอร์ ถึงจะอยู่ในช่วงขาลง แต่เหมือนจะมีรวมอยู่ดี ถ้าเอาหัวแกกลับไปได้คงได้เงินทองพอจะนอนกิน หาผู้หญิงไม่ขาดมือไปทั้งชาติเลยว่ะ”
ไม่มีแรงเหลือที่จะใช้กับการคิดแล้ว ฉันพยายามรวบรวมสติทั้งหมด จากนั้น
“…ฮีล”
เสียงช่างแผ่วเบา แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอ
แม้จะเอาส่วนที่ขาดไปกลับมาไม่ได้ แต่ฉันยังพอกัดฟันเพื่อลุกขึ้นมาได้ในสภาพที่เรี่ยวแรงเหลือไม่มาก
บาดแผลที่ถูกแทง คงต้องใช้คนที่มีความสามารถมากกว่านี้มาช่วยอีกแรง แต่เพียงแค่ตอนนี้ขอให้ลุกขึ้นมาได้ก็เพียงพอ
ฉันใช้ช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายยกเท้าออกจากศีรษะ ยืนหยัดร่างกายขึ้นมา
บนใบหน้าของเอริคแสดงสีหน้าหวาดกลัว เหมือนฉันได้ยินเสียงพูดจากปากที่บิดเบี้ยวนั้น แต่สมาธิของฉันไม่เหลือมากพอจะจับใจความ
“เอริค…!”
ร่างเบื้องหน้าของฉัน คือเอริค อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของฉัน ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นภาพลวงตา หากใช่ คงเป็นภาพลวงตาที่สมจริงเป็นอย่างมาก
ทั่วทั้งร่างกายผิวคล้ำของเอริคเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด ไม่ว่าจะเป็นตามแขนหรือขา แม้กระทั่งใบหน้าหรือลำคอก็ยังมีให้ประปราย ฉันไม่สามารถเดาได้เลยว่าเลือดนั้นมาจากไหนบ้าง
สีหน้าของเขาเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากประสบการณ์ที่พอมี สภาพของเขาไม่เหมือนคนถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์อันใด แต่เหมือนคนที่กำลังคลุ้มคลั่ง
ในมือของเขามีดาบย้อมสีแดงที่ไม่เหลือประกายความคม มันเต็มไปด้วยคราบเลือดและไขมันของเหยื่อที่เขาลงมือสังหารไป
ตรงคอของเขา ฉันเห็นสร้อยคอรูปร่างคล้ายกระดูกข้อนิ้วของมอนส์เตอร์ตัวเล็กๆ แต่มีรูเจาะคล้ายกับขลุ่ย
เอริคดูตกใจที่ฉันลุกขึ้นมาได้ เขาชี้ปลายดาบสั่นๆมาทางนี้ ส่วนพวกก็อบลินยืนเหม่อเหมือนต้องมนตร์สะกด
“…มึง มึง มึง!”
เขาหันไปมองก็อบลินที่ล้อมพวกเราเอาไว้ เหมือนคนที่พยายามระแวดระวังมากกว่ามองหาพวกพ้อง
“ไปตายซะ!”
เอริคหยิบสร้อยขึ้นมาเป่าสุดเสียง ฉันเป็นฝ่ายที่ไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่พวกก็อบลินที่ล้อมอยู่ตอบสนองแทบทันที
พวกมันกลับมาแยกเขี้ยวอีกครั้ง การโจมตีหมาหมู่กลับมา หากเป็นก่อนหน้าที่ฉันยังแทบไม่ได้รับบาดเจ็บ คงพอต่อต้านได้อีกสักพัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น
ฉันพยายามเพ่งสมาธิ เสียงฝีเท้าของก็อบลินและซินวูลฟ์ขยับเข้ามาใกล้
เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังระงม กลิ่นไหม้ กลิ่นความตายลอยโชยออกมา หากทิ้งไว้นานกว่านี้ไม่ใช่แค่ฉันที่จะตาย แต่ชาวบ้านคงไม่เหลือเช่นกัน
ทว่าจะให้จัดการก็อบลินทั้งหมดในตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตไปทิ้ง จำนวนที่เยอะมากมายขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้กำลังพลเพิ่ม
จากสถานการณ์ สร้อยที่เอริคสวมคงเป็นตัวควบคุมมอนส์เตอร์ทั้งหมดนี้
ดังนั้น ก็ต้องลองเสี่ยงดู
จัดการสร้อยคอให้ได้
สร้างความโกลาหลมากขึ้น หากก็อบลินไม่ตกอยู่ในการควบคุม ทั้งฉันและเอริคคงกลายเป็นศัตรูของมัน
ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ ฉันพุ่งฝ่าเข้าไป หลบเลี่ยงการโจมตีของก็อบลินที่พุ่งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นคมหอก คมดาบ หรือหินที่มันตั้งใจจะปามาจากทุกทิศ
ใกล้ถึงตัวแล้ว!
ฉันกุมด้ามดาบแน่น ปากพึมพำถ้อยคำปลุกใจ
แล้วจะกลับไปหานะ ชิน อลิเซีย
จากนั้น เมื่อเข้าระยะ ฉันลงดาบใส่ศัตรูตรงหน้า
“เอริค!!”
ปลายคมดาบฟันลงมาในแนวดิ่ง เป็นวิชาธรรมดาๆที่ไว้ใช้ฝึกกำลังแขนกัน ไม่ใช่ท่วงท่าที่เหมาะสมที่จะใช้ในการต่อสู้
แต่ถึงกระนั้น…
เอริคกยกดาบขึ้นมารับ เรี่ยวแรงของเขาที่ผ่านการต่อสู้มาเล็กน้อย กับฉันที่เสียเลือดจำนวนมากไป ไม่จำเป็นต้องเป็นนักสู้ ก็คงรู้ว่าฝ่ายไหนที่ได้เปรียบบ
ก็อบลินตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านข้าง คมมีดบิ่นๆในมือของมันเสียบแทงเข้าไปในเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนโดนอวัยวะภายใน แต่ฉันกัดฟันทนความเจ็บปวดเอาไว้ ได้ยินเสียงร้องของพวกมันที่วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
เป้าหมายของฉัน โอกาสเพียงครั้งเดียวของฉัน…
“วินด์ สเตป…”
เอ่ยถ้อยคำกำกับการแสดงผลของเวทมนตร์ออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ
เกลียวสายลมก่อตัวขึ้นบริเวณปลายเท้า
อีกฝ่ายคงรู้ตัว แต่ไม่ทันการณ์
ฉันซัดเข่าเสยขึ้นไป เกลียวสายลมเล็กๆพุ่งกระแทกปลายคางจนเสียการทรงตัว
พอมองเห็นจังหวะ ฉันเล็งแท่งกระดูกปริศนานั้น
เป้าหมายคือบริเวณลำคอ ขอเพียงการโจมตีครั้งเดียวที่เข้าเป้า
จากนั้น
“วินด์ คัตเตอร์!”
การร่ายเวทย์ครั้งสุดท้ายที่ดังขึ้น ฉันเหวี่ยงแขนข้างที่เหลืออยู่ไปข้างหน้า พร้อมกับคมมีดสายลมขนาดเล็กพุ่งออกไป
คมมีดสายลม ทำงานแทนหัวลูกศร เฉือนบาดลำคอของศัตรู
แต่ที่สำคัญกว่าคือสายสร้อยที่สวมไว้
เสียง ฉับ ดังขึ้นเบาๆ สายถูกตัดขาด พร้อมๆกับก็อบลินตัวนึงที่พุ่งเข้ามาจู่โจมจากด้านหลัง
ฉันโดนทุบด้วยขวานหิน ล้มลงไป รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆหนืดๆที่ด้านหลังศีรษะ
รวบรวมสติสุดท้ายที่มี เอื้อมมือคว้ากระชากขาของเอริค
“ไอ้เวรนี่!”
เสียงสบถด่าที่ฉันไม่สนใจอีกแล้ว ฉันยิ้มออกมาในวินาทีสุดท้ายก่อนสติจะจางหาย
เงื้อมือทุบแท่งกระดูกเล็กๆนั้น บดป่นเป็นผุยผง
เสียงคนตกใจดังขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะก็อบลินดัง คิ คิ
ไม่มีความสามารถมากพอจะแยกระยะออกแล้ว…
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของชายคนหนึ่ง
ฉันยิ้ม ยิ้มออกมา แต่ร่างกายของฉันหมดสิ้นซึ่งพลังที่จะกลับมายืนอีกครั้ง
น้ำหนักของเปลือกตาช่างมหาศาล ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งมีประสบการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
อ่า… อลิเซีย ชิน…
หากเป็นไปได้ก็อยากกลับไปทั้งสองคนอีกครั้ง
หากเป็นไปได้… หากเป็นไปได้…
ฉันภาวนากับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยเห็นตัวตน ได้แต่ฝากความหวังเอาไว้เช่นนั้น
Chapters
Comments
- ตอนที่ 28 ร้านอาหาร 6 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 26 ไลล่า 2 6 ชั่วโมง ago
- ตอนที่ 26 รุ่งสาง 2 วัน ago
- ตอนที่ 25 คืนแรก ณ อควาเดีย 2 วัน ago
- ตอนที่ 24 ลูเมนฮอฟ 2 2 วัน ago
- ตอนที่ 23 ลูเมนฮอฟ 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 22 อาร์เจนตา 2 2 วัน ago
- ตอนที่ 21 รุ่งเช้า ระหว่างทาง 2 วัน ago
- ตอนที่ 20 ครอบครัว 2 วัน ago
- ตอนที่ 19 ไลล่า 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 18 อาร์เจนตา 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 17 วันออกเดินทาง 2 วัน ago
- ตอนที่ 16 ตัวตนของเด็กสาว 2 วัน ago
- ตอนที่ 15 ลูน่า 2 2 วัน ago
- ตอนที่ 14 ลูน่า 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 13 ฝึกฝนยามเช้า 2 วัน ago
- ตอนที่ 12 เมืองแห่งสายน้ำ (เริ่มต้นบท 2) 2 วัน ago
- ตอนที่ 11 โทริส 3 (จบบทที่ 1) 2 วัน ago
- ตอนที่ 10.3 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (3/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 10.2 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (2/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 10.1 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (1/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 9.3 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (3/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 9.2 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (2/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 9.1 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (1/3) 2 วัน ago
- ตอนที่ 8.2 [ตอนยาว] วันเกิด (2/2) 2 วัน ago
- ตอนที่ 8.1 [ตอนยาว] วันเกิด (1/2) 2 วัน ago
- ตอนที่ 7.2 [ตอนยาว] สาวปริศนา (2/2) 2 วัน ago
- ตอนที่ 7.1 [ตอนยาว] สาวปริศนา (1/2) 2 วัน ago
- ตอนที่ 6 เพียงฝัน 2 วัน ago
- ตอนที่ 5 โทริส 2 2 วัน ago
- ตอนที่ 4 โทริส 1 2 วัน ago
- ตอนที่ 3 ไม่เป็นไร 2 วัน ago
- ตอนที่ 2 เกิดใหม่ที่ต่างโลก 2 วัน ago
- ตอนที่ 1 ณ ห้วงแห่งหนึ่ง 2 วัน ago
MANGA DISCUSSION