เช้าของวันนับถอยหลัง 2 วันสุดท้าย เข้ามาเยือน ณ บ้านหลังนี้
พวกเราสามคนนั่งรวมกันที่โต๊ะในห้องครัว อลิเซียซักถามผมเรื่องอาการที่ผมเป็นเมื่อคืน ผมตอบเธอว่าเป็นปกติแล้ว ทีแรกเธอทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ จึงยื่นมือเข้ามาแตะหน้าผากผมเหมือนที่ทำเมื่อเช้าตอนเพิ่งตื่น
บางทีอุณหภูมิที่รู้สึกจากการแตะหน้าผากลดลงไปแล้ว จึงไม่ได้กล่าวอะไร
มื้อเช้าของพวกเราเริ่มต้นขึ้น อลิเซียยกจานมาเสิร์ฟ วันนี้ยังคงเป็นเมนูที่ซุปที่มีน้ำข้นสีส้มแดง หน้าตาชวนให้คิดว่าเผ็ด แต่คงไม่อาจตัดสินมันด้วยหน้าตาได้
ผมตักอาหารตรงหน้า คำแรกเข้าปาก ให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ว่าจะชูรสเผ็ดเป็นหลัก บางทีอาจเป็นการปรับให้เด็กทานก็เป็นไปได้ นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงเนื้อของพืชประเภทหัวคล้ายมันฝรั่งและรู้สึกได้ถึงเนื้อชิ้นเล็กๆที่หั่นเป็นลูกเต๋า จากระดับความเหนียว ผมไม่แน่ชัดว่าเป็นเนื้อของอะไรกันแน่
อาหารที่อลิเซียทำในแต่ละมื้อตั้งแต่ผมสามารถรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับพวกเขาได้ แม้จะไม่สามารถกล่าวชื่นชมได้ว่าถูกปากทุกจาน แต่ผมมีความต้องการที่จะรู้ชื่อเมนูของที่เธอทำทั้งหลายไม่น้อย
ผมอยากละเมียดละไมกับมื้อเช้าให้ได้มากกว่านี้ แต่ช่วงเช้าก็จบลงด้วยความเร่งรีบของตัวเองหลังได้ยินอลิเซียบอกว่าวันนี้จะสอนเวทมนตร์ไปอีกขั้น
ชั่วโมงเรียนเวทมนตร์ของผมเริ่มหลังจากอลิเซียล้างจานเสร็จเช่นเดียวกับเมื่อวาน
เนื้อหาในวันนี้ยังคงอยู่เป็นเวทย์มนตร์ประเภทน้ำ แต่ครั้งนี้เป็นการฝึกควบคุมบอลน้ำให้สามารถเปลี่ยนรูปร่างรวมถึงการกำหนดทิศทางที่ให้มันพุ่งไป
อลิเซียแสดงให้ผมดูในเบื้องต้น บอลน้ำในมือแปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงปลา ก่อนจะเป็นนกและกระต่าย
ผมทดลองทำตามทันที แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีเพียงก้อนน้ำลูกกลมขนาดเท่าหัวผักกาดที่ขยับไปมา คล้ายดินเหนียวที่โดนบีบหนวดให้เปลี่ยนรูปทรง
ไม่นาน ก้อนน้ำก็ระเบิด เป็นฟองกระจายร่วงหล่นสู่พื้น
แม้จะน่าเสียดายที่ผมไม่อาจทำได้สำเร็จโดยง่าย แต่อลิเซียกล่าวปลอบใจผมด้วยคำว่า ของแบบนี้ต้องใช้เวลาฝึกสักพัก
เธอคือคนแรกที่สอนให้ผมใช้เวทมนตร์ได้ ความน่าเชื่อถือที่ผมมีต่อตัวเธอแต่แรกก็ไม่ได้ต่ำอยู่แล้ว ทำให้คำพูดของเธอในตอนนี้เป็นคำที่ผมเชื่อสนิทใจ
ความรุนแรงของแสงแดดเปลี่ยนไปตามเวลาที่ไหลผ่าน ผมพยายามควบคุมก้อนน้ำให้เป็นรูปร่าง เริ่มจากรูปทรงง่ายๆอย่างลูกบาศก์ แต่ดูท่าความคิดของผมจะง่ายเกินไป
ก้อนน้ำ แตกออกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมก็ยังพยายามต่อ
จนกระทั่งดวงอาทิตย์เคลื่อนที่มาอยู่ตรงกลางท้องฟ้า เป็นตัวบอกเวลาว่ายามเที่ยงมาถึง มื้อเที่ยงเองก็เช่นกัน
อลิเซียเดินเข้ามาเรียกให้ผมเข้าบ้านเพื่อรับประทานมื้อเที่ยง แต่ก่อนหน้านั้น เธอยื่นขวดแก้วสีใสขนาดเล็กที่เธอสามารถือได้ด้วยมือเดียว ฐานกว้าง แต่ปากแคบมาให้ผม
บนปากแคบๆของมันมีจุกไม้คล้ายที่ปิดบนขวดไวน์ มองเข้าไปข้างในขวดใสๆ ผมเห็นของเหลวสีฟ้านอนนิ่งเงียบสงบ ไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่รู้สึกได้ถึงความเย็นประหลาด ร่างกายพยายามเตือนว่าอย่าเอามันเข้าปากโดยเด็ดขาด
“นี่จ้ะ ยาฟื้นมานา”
เป็นชื่อที่ฟังแล้วเข้าใจได้ง่าย ความหมายตรงตามตัวอักษรเป๊ะ
ยาฟื้นมานาทั่วไปที่มักปรากฏตามเกม คุณสมบัติตามชื่อคือการฟื้นฟู ‘มานา’ ของผู้ที่ดื่มมันเข้าไป
นั่นคือคุณสมบัติพื้นฐานและหน้าที่หลักของมัน แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ส่วนนั้น
ร่างกายของผมกำลังร้องเตือน ความทรงจำของของเหลวเย็นๆรสชาติที่ชวนให้ปฏิเสธที่จะกลืนหากเป็นไปได้กลับมาเมื่อเห็นหน้ามัน
ทั้งที่เมื่อคืนผมลืมตายังไม่ไหว แต่ร่างกลับจำได้ ความสุดยอดในทางแย่ของมันคงระดับนั้น
ผมทำท่าจะปฏิเสธ แต่อลิเซียทำหน้ามุ่ย สีหน้าที่ปกติอ่อนโยนกลายเป็นคิ้วขมวด
“ไม่ได้นะ ชิน”
ไม่คิดว่าเธอจะอ่านใจผมได้แม่นยำ บางทีอาจเพราะเธอคือแม่ของผม? หรือสิ่งที่เรียกว่าเซนส์ของผู้หญิงช่วยบอกเธอกันนะ?
ไม่ว่าจะทางไหน เธอก็อ่านใจผมออกเสียแล้ว จึงเป็นคราวผมที่เปลี่ยนสีหน้าบ้าง
…หน้าถอดสี มั่นใจว่าตัวเองทำหน้าเช่นนั้นต่อผู้เป็นแม่ที่มีอำนาจเหนือกว่า
“ถ้ามานาหมดตัว อาการจะกำเริบแบบเมื่อคืนนะ”
จึงได้รู้ว่า สภาพของผมเมื่อคืนคงเป็นอาการมานาหมด
หากให้เลือกระหว่างความไม่อร่อยจนตั้งใจว่าจะไม่ดื่มมันเข้าไปอีกกับความทรมานที่ประสบพบเจอเมื่อคืน ผมเลือกอย่างแรกอย่างไม่ลังเล
แต่ถึงกระนั้น เวลาทำใจเพื่อที่จะดื่มมันก็เป็นสิ่งจำเป็น
ผมรับขวดของเหลวมาจากอลิเซีย จ้องมองมันอยู่นาน นานพอกันกับที่อลิเซียจ้องมองผมไม่วางตา ความกดดันที่แผ่ออกมาจากเธอเร่งเร้าให้ผมดื่มมันเข้าไป
ผมยกมันขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ออกแรงดึงจุดปิดขวดออก ส่งเสียงดัง ป๊อก ขึ้นมา
ของเหลวสีฟ้าที่นอนนิ่งไม่ส่งกลิ่นใดๆ แต่ถึงกระนั้นก็สร้างความรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
แค่อึดใจเดียว ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วยกมันขึ้นดื่มรวดเดียว
ความเย็นของของเหลวที่ไร้รสชาติใดๆเจือปน ตัวตนของอาหารและเครื่องดื่มที่สามารถจำลองคำว่ารสจืด ได้อย่างสมบูรณ์แบบไหลเข้าไปในปาก ลงคอและเข้าสู่กระบวนการย่อยไปในที่สุด
ร่างกายรู้สึกเย็นลงทีละนิด อลิเซียเห็นดังนั้นแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แล้วพาผมที่หน้า
มื้อเที่ยงบนโต๊ะเป็นเนื้อสัตว์สักชนิด ผัดรวมกับเห็ดและผักใบเขียวต่างๆ
รสชาติออกเค็มเล็กน้อย ไม่อาจเรียกได้ว่าแย่ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นรสชาติที่ดีสำหรับคนไม่ชอบกินผักตั้งแต่โลกก่อน แม้ว่าผัดผักใส่เนื้อที่อลิเซียทำนั้นจะไม่ได้มีรสขมแทรกตลอดการลิ้มรสเลยก็ตาม
ผมพยายามกินมื้อเที่ยงตรงหน้าจนหมด นั่งรออลิเซียที่ใจจริงก็อยากไปช่วยเธอล้างจานหลังทานเสร็จ แต่ผมตัวเตี้ยเกินไปจะทำเช่นนั้น
การเรียนช่วงหลังเที่ยงยังคงเป็นเรื่องเดิม การควบคุมก้อนน้ำให้เป็นรูปทรง ความคืบหน้าแทบไม่แตกต่างจากช่วงเช้า
เพิ่มเติมคือ ตอนนี้เหมือนผมจะสามารถลดขนาดของมันได้
อลิเซียดูตกใจในทีแรก ได้ยินเธอพึมพำออกมาเสียงเบาๆว่า ‘ไม่จริงน่า’ ก่อนความตกใจจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแล้วกล่าวกับผม
“บางทีลูกอาจจะเป็นอัจฉริยะจริงๆก็ได้นะ ชิน”
“ครับ?”
ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำชมเช่นนั้น แม้อลิเซียจะเป็นคนใจดีมากแค่ไหนก็ตาม
เพราะคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ไม่ใช่คำที่ตัวผมในโลกก่อนเคยจะคิดถึง เป็นคำที่ต่อให้ผมเงยหน้ามองก็มองไม่เห็น
สำหรับผม มันห่างไกลยิ่งกว่าพื้นดินกับฟ้าด้วยซ้ำ
พอได้ยิน จึงรู้สึกแปลก จนเผลอส่งเสียงประหลาดออกไปจนได้
ด้านอลิเซีย เธอคงไม่มีทางรู้ความในใจส่วนนี้ของผม ตอนนี้จึงยังยิ้มพร้อมอธิบาย
“ปกติแล้วหัวข้อการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของเวทมนตร์ ถึงจะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะเลือกเรียนกันหรอกนะจ๊ะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“เพราะมันกินเวลา และประสิทธิภาพที่ได้มันไม่ต่างจากความบันเทิง คนส่วนใหญ่เลยเอาเวลาไปหาทางให้ตัวเองไปเลือกเรียนวิชาค้นหามีเวทมนตร์ที่เข้ากับตัวเองได้หลายรูปแบบแทนดีกว่า”
เพราะเวทมนตร์ไม่ได้มีแค่ธาตุน้ำ
เวทมนตร์คงมีธาตุอื่นๆอีกมาก และมนุษย์แต่ละคนมีความเข้ากันได้ที่แตกต่างกัน บางทีการเลือกที่จะเรียนเพื่อหาความเข้ากันได้เพิ่มคงเป็นเรื่องที่สมควรปฏิบัติตามมากกว่า
แปลว่า อลิเซียเลือกเรียนในการเปลี่ยนแปลงรูปทรงเหรอ ผมคิดตั้งคำถามพร้อมมองไปยังผู้เป็นแม่ในโลกนี้
เธอยิ้มตอบกลับมา คำอธิบายเพิ่มเติมของเธอไขข้อสงสัยของผมเมื่อครู่
“แต่เพราะแม่เรียนมาแล้วทั้งสองกลุ่ม ทำให้พอมีพื้นฐานจากทั้งสองฝ่าจ้ะ”
คำอธิบายเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องคิดว่าโกหกหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรความจริงที่ว่าเธอคือคนเดียวที่สอนเวทมนตร์ให้ผมได้ก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดี
พวกเราเรียนการขึ้นรูปทรงจนยามเย็นมาเยือน ได้เวลากลับเข้าบ้าน แต่ก่อนจะได้ไปไหน อลิเซียยื่น ‘ยาฟื้นมานา’ มาให้ผมอีกครั้ง
ผมจำใจรับมันเอาไว้ ทำใจสักนิดก่อนยกดื่มเหมือนครั้งก่อนหน้า
รสสัมผัสไม่ได้แย่กว่าตอนแรก แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น หากได้ดื่มมันบ่อยครั้งเข้า จะพอทำความเคยชินกับมันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ตกดึกคืนนั้น อลิเซียเข้ามาในห้องนอน วันนี้เธอมาเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเป็นปกติ
ผมนั่งฟังเงียบๆ เนื้อหาไม่ได้เข้าหัวมากนัก เพราะในหัวเอาแต่จินตนาการว่าพรุ่งนี้จะลองทำอะไรกับเวทมนตร์ที่ได้เรียนรู้มาดี
แต่ว่า…
“พรุ่งนี้ ลูกก็ต้องออกเดินทางแล้วนะ ชิน…”
“อ๊ะ”
จริงด้วย พรุ่งนี้ ผมต้องออกเดินทางไปอยู่กับหญิงสาวผมทองคนนั้นเป็นการชั่วคราว
ผมยังไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด แต่พอมองใบหน้าของอลิเซียในเวลานี้…
ใบหน้าที่แสดงความเศร้าสร้อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้ผมไม่อาจเอ่ยคำถามออกไปได้ ใจหนึ่งผมก็เกรงว่าคำตอบมันจะแย่เกินไป แต่อีกใจกลับกลัวว่าคำตอบนั้นผมอาจจะเดาได้อยู่แล้ว
ความลังเลและความอยากรู้ นั่งอยู่บนคนละฝั่งของไม้กระดก น้ำหนักของความลังเลที่มากกว่าทำให้ผมที่มีคำถามไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป
“อยู่กับคุณหมอ อย่าดื้อนะลูก คุณหมอเป็นคนเก่ง สอนอะไรหลายๆอย่างให้ลูกได้เยอะแน่ๆ”
อาจจะจริง ยังไงผู้หญิงคนนั้นก็เป็นผู้มีประสบการณ์ในฐานะคนจากโลกก่อนในต่างโลกนี้ คงเป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ดี
“แม่”
ผมส่งเสียงเรียกเธอในตอนที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้องไป ขาของเธอหยุดชะงัก เธอหันกลับมามองผมด้วยรอยยิ้ม
“เราจะได้เจอกันอีกใช่มั้ย”
ดูเหมือนว่าในชั่วขณะที่ความอยากรู้ทิ้งน้ำหนักลง ผมก็เอ่ยถามออกไปจนได้
สีหน้าของอลิเซียที่มีรอยยิ้มเปลี่ยนไป ริมฝีปากบิดเบี้ยวจากรอยยิ้มที่มีเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้าง มือยกขึ้นมาปิดปากโดยไม่รู้ตัว ทั้งหมดเกิดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่เธอจะรู้ตัวแล้วหันหลังกลับ
“แม่จะอยู่กับลูกเสมอ…”
ได้ยินเสียงเธอสะอื้นไห้ การจากลาในวันพรุ่งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เธอทำใจได้ง่ายๆ แต่มีเหตุให้ต้องจำใจทำเช่นนั้น
คืนนั้น ผมหลับลงไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้ในหัวจะมีเรื่องให้คิดเยอะแยะมากมาย
ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่กลัวการจากลา ทว่าเรื่องราวต่อจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมกำหนดได้
รุ่งเช้าของวันนับถอยหลังมาเยือนโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว หากเป็นเช่นเดียวกันทุกวัน ผมคงมองว่ามันคือสัญญาณของเช้าวันใหม่
ทว่า เช้าวันนี้กลับแตกต่างออกไป เสียงนกที่ขับร้องสดใสทุกวันกลับชวนให้คิดถึงลางร้าย
แสงแดดที่ให้ควาบอบอุ่นแก่ห้อง กลับไม่ทำให้ความรู้สึกโหวงเหวงที่เกิดขึ้นในใจหายไป
พอเดินออกนอกห้อง ได้ยินเสียงอลิเซียทำมื้อเช้าในห้องครัว เหมือนเธอจะคุยบางอย่างกับโทริส
ผมมองท่าทาง ฟังเสียงของพวกเขาเอาไว้ พยายามบันทึกอากัปกิริยาอันเป็นปกติของพวกเขาลงในหน่วยความทรงจำ แล้วกลับห้องไปทิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง
หากโตกว่านี้อีกสักนิด ผมคงอยากค้านออกไป แต่ด้วยความอ่อนแอของตัวเอง ไม่มีสิ่งใดที่ผมสามารถทำได้อีกแล้ว
เหลือเพียงการระบายความไม่พอใจออกมา แต่ไม่ทันได้ทำผมก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยประจำวันที่หลังจากวันนี้คงไม่ได้ยินอีกแล้ว
อลิเซียเดินเข้ามาในห้อง ปลุกผมไปรับประทานมื้อเช้าเช่นเดียวกับทุกวัน
รสชาติของมื้อเช้าที่คุ้นเคยทุกวัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ ยังคงเป็นเมนูจากเนื้อ เน้นผัดร่วมกับผักกับอะไรสักอย่างต้มโดยมีผักประเภทหัวเหมือนเคย
สิ่งที่แตกต่างออกไปคงเป็นอารมณ์ของผมที่ตระหนักได้แล้วว่ามื้อนี้คงเป็นมื้อสุดท้ายในบ้านหลังนี้
หลังมื้อเช้าสิ้นสุด ผมถูกอลิเซียพามาจับแต่งตัว
ผมในตอนนี้สวมเสื้อผ้าด้านในสุดเป็นสีขาว ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ และมีเสื้อโค้ทสีเทาเข้มยาวเลยเอวลงไปจนเกือบถึงช่วงน่อง
แม้อากาศจะเย็น แต่ด้วยจำนวนชั้นของชุดที่สวมมากขนาดนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาเหมือนกัน
อลิเซียจัดโบว์บนเสื้อของผมให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม สั่งให้ผมลองขยับไปทางซ้ายที ขวาที จากนั้นก็สั่งให้ผมหมุนรอบตัวหนึ่งครั้ง
“อืม ดูดีแล้วล่ะ”
เธอยิ้มให้ผม มือตบลงบนบ่าสองสามทีเบาๆ แทนการให้กำลังใจและการบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากนั้น ทั้งพ่อและแม่ของผมในโลกนี้ก็พาผมออกมาด้านนอก
เราสามคนยืนรอการมาเยือนของผู้หญิงผมทองด้วยกัน ข้างซ้ายมีโทริสที่นั่งบนเก้าอี้รถเข็น บนตักของเขาวางดาบสีเงินส่องประกายแวววาว
ท่ามกลางความเงียบ มีเพียงสายลมหน้าหนาวที่พัดผ่าน ระหว่างเราสามคนนั้น ไม่มีถ้อยคำใดๆถูกเอ่ยออกมา
จนกระทั่งได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นนะ? เป็นการแจ้งถึงการมาเยือนของเธอ อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?
พอได้ยินเสียงฝีเท้ามาผสมกับล้อที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เ ในกลุ่มเราสามคน คนแรกที่มีปฏิกิริยาไม่ใช่ผม แต่เป็นอลิเซีย
เธอหันมามองผม ย่อตัวลงแล้วสวมกอดผมเอาไว้
“พวกเราคงคิดถึงลูกมากๆ”
“ผมก็คิดถึงพ่อแม่เหมือนกัน”
จากนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีอีกคนเข้ามาสวมกอด คงเป็นโทริสที่นั่งรถเข็นอยู่ข้างผม
เสื้อผ้าหลายชั้นทำให้รู้สึกร้อน แต่การกอดทำให้รู้สึกอุ่นในอก
เสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นครั้งสุดท้ายใน พร้อมกับเสียงของล้อที่หยุดหมุน ทั้งสองคลายอ้อมกอดออก อลิเซียบีบไหล่ของผมแน่น
““ชิน””
อลิเซียและโทริสต่างเรียกชื่อของผมพร้อมกัน ขณะเดียวกันชายคนรถม้าก็เดินลงมาเปิดประตูให้กับเจ้านายที่เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ลูกคือลูกของพวกเราเสมอนะ”
โทริสกล่าว
“ไม่ว่าลูกจะโตเป็นอัศวินหรือจะกลายเป็นผู้กล้าในอนาคต ลูกจะยังเป็นลูกของเราเสมอ”
อลิเซียเน้นย้ำ
“ชิน”
แล้วผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมาสัปดาห์เต็ม ผมหันหน้าไปตามเสียง ก็เห็นผู้หญิงผมทองคนนั้นยืนยิ้ม
วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสฟูฟ่องสีขาว เรือนผมสีทองที่ผมเคยเห็นปล่อยยาวสลวยรวบเป็นทรงหางม้า ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมาที่ผม
“ฉันมารับแล้วนะ ชิน”
“ส สวัสดี ครับ”
อาจเพราะเวลาที่อยู่กับเธอ ผมปล่อยเป็นตัวของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ พอเจอกับเธอจึงเกิดอาการทำตัวไม่ถูกและสับสนเล็กน้อย
“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะคะ คุณหมอวิเวียน”
ผมได้ยินชื่อของเธอเป็นครั้งแรกจากคำพูดของอลิเซีย
เก็บไว้เป็นความลับจากผมทำไมนะ? เรื่องนั้น ผมไม่อาจคาดเดาได้
“ไม่เป็นไรค่ะ ชินเป็นเด็กดี น่าจะเลี้ยงดูไม่ยากอยู่แล้ว”
ไม่รู้ทำไมเธอถึงหันมามองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้น แต่ผมไม่เล่นกับเธอหรอกนะ
ทั้งสามคน คุยกันเรื่องผมสักพัก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผ่านมาตลอดสัปดาห์และเรื่องอาหารที่ผมชอบ ผมได้แต่ยืนมองจนพวกเขาคุยกันเสร็จ
“คุณอลิเซีย คุณโทริส ฉันสัญญาว่าจะดูแลชินอย่างดีค่ะ”
วิเวียน ยิ้มให้ทั้งคู่ สร้างความมั่นใจให้แก่บุพการีที่กำลังจะแยกออกจากลูกชายคนเดียวของตน
แต่ผมสังหรณ์ใจมาตั้งแต่เมื่อวานว่า มันจะเป็นการแยกจากที่แสนยาวนานชอบกล
““ฝากด้วยนะครับ/คะ คุณหมอ””
ทั้งสองย้ำขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง เธอไม่ตอบแต่ยิ้มให้เป็นเครื่องยืนยัน เธอคงได้รับความเชื่อใจถึงขั้นนั้น
ผมเดินเข้าไปหาเธอ บอกลาอลิเซียและโทริสที่มองส่งผมด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า
พวกเขาทั้งสองคน เป็นพ่อแม่ที่ดี การที่ต้องแยกจากกันทั้งที่ลูกยังอายุไม่เยอะคงเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อาจรับได้จริงๆ
“แล้วเจอกันนะครับ คุณพ่อ คุณแม่”
เป็นคำพูดส่งเดช ที่ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งมั้ย แต่ในใจของผมภาวนา
ผมภาวนาให้เป็นเช่นนั้นพลางกอดกระเป๋นสัมภาระไว้แน่น ขณะเดียวเสียงฝีเท้าม้าส่งเสียงดัง กุบกับ เป็นสัญญาณว่าการเดินทางของผมได้เริ่มต้นขึ้น
รถม้าออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับทิวทัศน์สีเขียวของชนบทที่มองเห็นผ่านหน้าต่างค่อยๆหายไป
MANGA DISCUSSION