ตอนที่ 8.2 [ตอนยาว] วันเกิด (2/2)
ก๊อกๆ
ขณะที่ผมกำลังหลงไปในโลกหนังสือข้างๆหญิงสาวคนหนึ่ง เสียงประตูบ้านก็ดังขึ้น
ใครกันนะ? บ้านผมจะมีแขกในเวลาแบบนี้ด้วยเหรอ
ไม่สิ ไม่มีทางมีอยู่แล้ว งั้นใครกันนะ?
หลังจากวันเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่สิ นับจากวันที่ก็อบลินบุก บ้านของเราก็เหมือนถูกตัดขาดจากสังคมของพวกเขามาตลอด แต่… ไม่สิ ยังมีอีกคน
คนที่ปรากฏในหัวผมมีอยู่คนหนึ่ง จะเป็นเด็กผู้หญิงผมสีดำคนนั้นหรือเปล่านะ?
แต่เธอก็ไม่น่ารู้ทางมาบ้านผม ผมลุกขึ้นยืน พร้อมกับที่เธอซึ่งนั่งข้างผมลุกขึ้นมาด้วย
“แขกอีกคนมาถึงแล้วล่ะมั้ง”
“คุณไปชวนใครมากันครับ…”
“เด็กผู้หญิงผมสีดำคนนั้นไง”
เธอตอบมาในจังหวะเดียวกันกับที่เอื้อมไปเปิดประตูให้แก่แขกผู้มาเยือน
“ฮ ฮัปปิเบิ้ดเด”
ได้ยินเสียงเล็กๆ พูดถ้อยคำภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแปลกๆ เป็นเสียงของเธออย่างไม่ต้องสงสัย และคนสอนให้พูดบางทีก็คงไม่ต้องสงสัยเช่นกัน
ผมเหลือบตาไปมองหญิงสาวผมทองที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆกัน ก่อนจะหันไปทักทายแขกผู้มาเยือน
“สวัสดี… เอ่อ…”
ตรงหน้าของผมคือเด็กผู้หญิงผมสีดำยาว เธอสวมชุดสีแดงคล้ายชุดซานต้าตัวจิ๋ว
“ช ชิน นี่ ข ของขวัญ”
เหมือนจะเป็นกำไลร้อยด้วยหินไซส์ต่าง ๆที่เธอเก็บได้
มันไม่ได้สวยงามมากนัก แต่ผมคิดว่าเธอคงพยายามและตั้งใจทำมัน
เดิมทีการนำหินมาเจาะเป็นรู แล้วหาอะไรสักอย่างมาร้อยก็ต้องใช้ความพยายามสูงสำหรับเด็กวัยเท่าเธออยู่แล้ว
“อืม ขอบใจนะ เข้ามาในบ้านก่อนมั้ย ข้างนอกน่าจะหนาวน่าดู”
ไม่ใช่การพูดตามมารยาท ผมกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“อ เอรี่…”
ผมหันไปตามเสียง เธออ้าปากน้อยๆของเธอ เหมือนคนที่ไม่กล้าพูด แต่พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อเปล่งเสียงออกมา
เอรี่? ชื่อของเธอเหรอ?
“ร เรียก เรียกเราว่า เอรี่…”
คงเป็นชื่อจริงของเธอ ผมพยักหน้าน้อยๆตอบแล้วชวนเด็กหญิงนามว่า เอรี่ เข้ามาในบ้าน
นั่นทำให้งานเลี้ยงวันเกิดครั้งแรกของผม มีคนร่วมในงานด้วยกัน 4 คน นับผมที่เป็นเจ้าภาพเป็นคนที่ 5
“““สุขสันต์วันเกิดนะ ชิน”””
เสียงของทุกคนพูดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน
ในฐานะเจ้าของวันเกิด ผมยืนจ้องอาหารที่ใช้แทนเค้ก แล้วกะพริบตาปริบๆ
มันคือพายที่มีไส้ในเป็นแยมผลไม้
คนซื้อมาคือผู้หญิงผมทอง เธอเป็นคนลงมือแบ่งหั่นเป็น 8 ส่วน และแบ่งให้ทีละคน
สุดท้ายเหลือ 3 ชิ้น
“ในฐานะแขกผู้มารบกวน ขอแบ่งให้เจ้าของบ้านนะคะ”
เธอว่าเช่นนั้นแล้วตักส่วนแบ่งให้ผมกับโทริสและอลิเซีย
แต่ ผมเห็นสายตาคู่หนึ่งจับจ้องจานของผมอยู่ ขณะที่อีกสายตากำลังจับจ้องตัวผม
เจ้าของสายตาคู่แรกเป็นเด็กที่ตัวเท่าผม เอรี่นั่นเอง
แววตาที่มองมาที่ผม มองมาที่จานของผมคือความต้องการอันแรงกล้า สำหรับเด็กในวัยนี้คงเป็นความอยากได้ของหวานที่อยู่ตรงหน้า
“เอ่อ คือว่า…”
ผมลองเอ่ยทักเอรี่เพื่อยืนยันความแน่ใจดู พอเห็นเธอสะดุ้งจึงยืนยันได้ว่าเมื่อครู่เธอมอง (จาน) ผมอยู่จริงๆ
“ม ไม่มีอะไร ค ค่ะ ขอโทษค่ะ”
“เอาไปสักชิ้นก็ได้นะ”
“ด ได้จริงเหรอ”
เธอไม่รีรอ คำพูดหลังจากนี้ของผมไม่จำเป็น พอผมอนุญาต เธอก็คว้าชิ้นบนสุดไปอย่างรวดเร็ว
ผมอดขำออกมาไม่ได้กับท่าทางการกินอย่างเร่งรีบราวกับกลัวคนมาแย่งหรือกลัวผมทวงมันคืนไปของเธอ
ส่วนอีกสายตาหนึ่ง ไม่ใช่ของทั้งโทริสและอลิเซีย ก็คงเหลืออีกคนหนึ่ง…
พอหันไปมองเธอ ผมก็เห็นเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้
แม้ว่าเธอจะไม่กล่าวออกเสียง แต่ปากของเธอขยับเป็นคำว่า
‘พ่อหนุ่มเนื้อหอม’
ผมอยากปฏิเสธออกไป ทว่าเธอหันหลังหนี เข้าสู่สภาวะที่หยอกผมทิ้งไว้และไม่สนคำหลังจากนั้น
พายสีเหลืองดูน่าอร่อย กับแยมสีม่วงเข้าไหลเยิ้มออกมา
ผมตักของหวานที่เป็นเค้กวันเกิดเข้าไป รสหวานของแยมที่แทรกในเนื้อแป้งของพายแผ่กระจายไปทั่วลิ้น เป็นความหวานที่จะว่ามากไปก็ใช่ แต่ก็เป็นระดับที่คนชอบรสหวานคงไม่ปฏิเสธ
บังเอิญผมชอบพอดีจริงๆนั่นแหละ…
จากนั้นไม่นานงานเลี้ยงของพวกเรา เนื่องในโอกาสวันเกิดของผมก็สิ้นสุดลง
หญิงสาวผมทอง อาสาพาเอรี่กลับไปส่งที่บ้าน ดูท่าเธอจะรู้จักเส้นทางแถวนี้ดีกว่าผมเสียอีก
เพราะจนถึงตอนนี้ ผมก็เพิ่งรู้จักเอรี่เป็นครั้งแรก
และไม่เคยรู้เลยว่าบ้านเอรี่อยู่ไหน
หลังจากวันนั้น เอรี่ก็แวะมาหาผมอยู่สองถึงสามครั้ง แรกๆเธอก็มาหาผมและใช้เวลาอยู่กับผมนานพอสมควร แต่สักพักเธอก็หายไป จนไม่มาอีกเลย
ไม่ถึงหนี่งปีนับจากวันเกิดผม เธอก็ไม่เคยแวะมาเยี่ยมเยียนผมอีก
บางทีเธออาจจะเบื่อเด็กที่เอาแต่หนังอ่านหนังสือทั้งวัน ไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นก็ได้
แน่นอนว่า ผมไม่โกรธเคืองใดๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนเราจะสนใจคนที่สนใจในเรื่องที่เหมือนกับตน
ส่วนหญิงสาวผมทองนั้น เธอยังคงแวะเวียนมาหาผมบ่อยครั้ง
ยิ่งพบกับเธอ ผมยิ่งมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ในวันนี้ ผมติดอยู่ในร่างของเด็กชายวัยเจ็ดขวบ กับอีกหลายเดือน แต่ความรู้สึกของผมคือของมนุษย์ในวัย 20 ปี
หนังสือที่ผมอ่าน ณ ตอนนี้คือของขวัญวันเกิดที่เธอมอบให้
ทุกครั้งที่ผมหยิบมันขึ้นมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอจะปรากฏออกมา
เสียงหัวเราะที่ได้ยิน ทั้งที่เธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ ทำให้ร่างกายของผมไม่ได้เป็นดั่งใจนึกเท่าไหร่นัก
ในทีแรก ผมไม่อาจรวบรวมสมาธิได้เลย แถมยังรู้สึกรำคาญตัวเองที่มีความรู้สึกที่เริ่มคิดถึงเธอในเวลาที่เธอหายหน้าไปไม่กี่วันด้วย
กว่าจะจัดการเรื่องพวกนั้นได้ ผมก็อาศัยเวลาพอสมควร
นิทาน เจ้าหญิงกับอัศวิน มีบางที่ใบหน้าเกิดแดงก่ำ เมื่อนำภาพของเธอในความทรงจำมาทาบเทียบกับตัวละครในนิทานที่ตัวเอกถูกแทนที่ด้วยตัวเองในโฉมหน้าเก่า
หลังจากวันเกิดของผม อีกหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ อลิเซีย ไม่อยู่บ้านบ่อยนัก เธอมักหายไปสองถึงสามวันจึงเดินทางกลับมาบ้านที สีหน้าของเธอดูดีขึ้นกว่าตอนที่ต้องดูแลโทริสในบ้านตลอดทั้งวัน แววตาของเธอดูเหมือนคนมีจุดหมายบางอย่างแล้ว
และตัวตนที่สร้างปัญหาให้เกิดความรู้สึกรับมือยาก – หญิงสาวผมทองก็แวะมาหาผมพร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย
วันนี้ เธอสวมชุดเดรสสีขาว มีลายลูกไม้ประดับเล็กน้อยพองาม ถือว่าเป็นชุดที่ดูเรียบง่าย เส้นผมสีทองปล่อยยาว แม้ไม่ใช่การแต่งตัวที่โดดเด่น แต่กลับงดงามราวภาพวาด
ในมือนอกจากมีของฝากจำพวกอาหารแล้วยังมีหนังสือเล่มหนึ่งติดมาด้วย
“อ่านอะไรอยู่เหรอ ชิน”
เธอก้าวเท้าเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมจากร่างกายที่ปะพรมน้ำหอมแต่พอดีหลอมรวมกับอากาศในห้อง ชวนให้ผมไม่สามารถอ่านหนังสือต่อได้อีก
ผมพยายามไม่มองหน้าเธอ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น จึงเลือกที่จะก้มหน้าหลบสายตาเธอแทน
“ฉันเอาขนมมาฝาก ขอฝากหนังสือไว้ก่อนนะ ขอตัวไปดูแลคุณพ่อเดี๋ยวเดียวนะ”
ตอนอยู่ด้วยกันสองคน เธอเรียกโทริสว่าคุณพ่อ และเรียกอลิเซียว่าคุณแม่
การใช้สรรพนามแบบนั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินอยู่ดี
แม้จะรู้ตัว แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นไม่อาจห้ามมันได้ พอเธอเดินออกจากห้องไป ผมเงยหน้าขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วตกอยู่ในสภาพหอบรุนแรง
เสียงของหัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เหนื่อยเหลือเกิน ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกายแท้ๆ
ใบหน้าที่แดงขนาดนี้ ต้องทำให้กลับสู้สภาพเดิมให้ได้เร็วที่สุด
สิ่งที่ผมเลือกเพื่อกลบความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้น คือการอ่านหนังสือที่ชวนปวดหัว
ในกองหนังสือหลากหลายเล่มที่เสียบไว้บนชั้นวางบ้าง วางบนเตียงบ้างหรือวางที่มุมหนึ่งของห้องบ้าง
หนึ่งในนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมหยิบมาอ่านบ่อยครั้งจนสภาพของมันแตกต่างจากเล่มอื่นๆในกองอย่างชัดเจน
ปกของมันทำจากหนังสีน้ำตาล แต่ถึงกระนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยับ กระดาษภายในมีรอยขาดบางหน้า
ผมหยิบมันมาอ่านบ่อยที่สุด แต่ไม่ได้แปลว่ามันสนุกหรือน่าอ่านแต่อย่างใด
หนังสือที่ว่านี้คือ ‘การใช้เวทมนตร์พื้นฐาน’
เพราะผมในตอนนี้ก็ยังคงไม่สามารถร่ายเวทมนตร์ใดๆได้ แม้จะอ่านและทำตามที่หนังสือบอกแล้วก็ตาม
ภายในหนังสือระบุว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า ‘มานา’ ซึ่งไหลเวียนภายในร่างกาย การที่จะใช้เวทมนตร์ได้ต้องเรียนรู้ที่จะสัมผัสมานาเสียก่อน
เพียงแค่ตั้งสมาธิสักเล็กน้อย สังเกตการไหลของของ ‘มานา’ ในร่างกาย คล้ายกับการตั้งสมาธิแล้วจับจังหวะลมหายใจของตัวเองให้มั่นคง
จากนั้น เพียงร่ายถ้อยคำซึ่งเป็นอันช่วยส่งเสริมให้ลักษณะของเวทมนตร์ปรากฏออกมา ใช้ครั้งแรกอาจจะรู้สึกร้อนรุ่มและคันตามร่างกายเล็กน้อย เนื่องจาก ‘มานา’ ที่ไม่เคยถูกเปิดใช้งานกำลังทำงาน
เช่น [ไฟร์บอล] คำๆนี้จะช่วยให้ความคิดมีภาพของลูกไฟปรากฏขึ้นมา ซึ่งมีส่วนช่วยในการใช้เวทมนตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมทำตามที่หนังสือกล่าว แต่ว่า…
“[ไฟร์บอล]”
นอกจากเสียงถอนหายใจอย่างผิดหวังของตัวเอง กับเสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้วอยู่นอกบ้านก็ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆเกิดขึ้น
ผมไม่รู้ว่ามันมีเคล็ดลับอะไรมากกว่านี้หรือไม่ แต่ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้เขียนไปมากกว่านั้น เนื้อหาหลังจากการสอนการรับรู้ ‘มานา’ ในร่าง หน้าหลังจากเล่มนั้นเป็นการพูดถึงการสร้างภาพของความคิดให้ปรากฏขึ้นมาโดยง่ายเกือบทั้งหมด
พอเริ่มรับรู้ความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะเป็นกรณีหายากที่มนุษย์จะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้แบบนี้ ก็ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว ชวนกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงได้ชั่วครู่
แอ๊ด…
ผมได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก เงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับหญิงสาวผมทองถือแก้วเซรามิกในมือ ด้านบนมีควันสีขาวลอยโชยขึ้นมา เป็นภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มร้อนในอุดมคติที่มักเห็นกันตามโฆษณา
กลิ่นของของหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานานจากโลกก่อนลอยโชยออกมา หัวใจผมเต้นโครมครามให้กับความคิดถึงที่ก่อตัวขึ้น
“โกโก้หน่อยมั้ย?”
“ให้เด็กกินของหวานบ่อยๆแบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“จ้าๆ แล้วจะเอามั้ยเอ่ย?”
เธอถาม ผมพยักหน้ารับ ไม่มีทางปฏิเสธของหวานอยู่แล้ว แค่ถามหยอกล้อเธอพอเป็นพิธีไปเท่านั้นแหละ
ขายาวๆของเธอก้าวไม่กี่ครั้งก็มาถึงตัว ผมเก็บหนังสือเข้าที่เดิมที่มันเคยอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วรับแก้วที่เธอยื่นมาให้
แค่สัมผัสขอบแก้วก็รู้สึกได้ถึงความอุ่น พอก้มมองดูก็พบของเหลวสีน้ำตาลเข้มส่งกลิ่นหอมหวานชวนให้ลิ้มลองยิ่งกว่าตอนที่อยู่ไกลกัน
หญิงสาวผมทองทิ้งตัวลงนั่งข้างผม ไออุ่นจากแก้วในมือของเราสองคนลอยขึ้นสู่เพดานห้องไปพร้อมๆกัน
ผมขยับตัวทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายมาเล็กน้อย เธอยิ้มอ่อน ไม่ได้ขยับตัวตามผมมา
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณพ่อเขาเข้มแข็งนะ เหมือนจะสามารถปรับตัวเข้ากับความสูญเสียที่เกิดกับตัวเองได้ไม่เลวเลย ฉันเลยกล้าใช้ [สลีป] ใส่เขาแบบไม่ต้องกลัวว่าเขาจะฝันร้าย ว่าแต่ตัวเธอเองเถอะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนเคย ใช้เวทมนตร์ไม่ได้สักที”
“ขยันฝึกจังเลยนะ แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก เธอยังตัวเท่านี้เองนะ”
“แต่…”
“ถึงข้างในเธอจะเป็นคนจากโลกอื่น แต่ร่างกายเธอยังเป็นเด็กของโลกนี้ มันทำอะไรได้ไม่มากหรอก”
“ผมเข้าใจครับ แต่ว่า”
พอมองเธอตรงๆ รอยยิ้มอ่อนโยนที่ประดับบนใบหน้าของเธอทำให้ผมเงียบลงไป
“เชื่อฉันเถอะ อย่างน้อยก็ในฐานะคนมีประสบการณ์มากกว่าก็ได้”
“เชื่อก็เชื่อครับ…”
อันที่จริง พวกเราเคยคุยกันเรื่องนี้
ผมกับเธอมีจุดเริ่มต้นในต่างโลกที่ต่างกัน ผมมาเกิดใหม่ ส่วนเธอเสมือนถูกส่งมา จึงมาที่โลกนี้ในสภาพวัยก่อนเสียชีวิต ภายในร่างกายใหม่
และเธอก็น่าจะอาศัยอยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ข้อมูลมากกว่านี้ ผมไม่อาจทราบได้ เพราะถามทีไร เธอก็มักจะบ่ายเบี่ยงด้วยการเชิญชวนให้ผมไปอยู่กับเธอทุกที
“แต่ถ้าอยากให้ฉันตรวจสอบคร่าวๆดู ก็พอทำได้นะ?”
ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ เมื่อถูกดวงตาสีฟ้านั้นจ้องมองตรงๆ คล้ายกับกบที่โดนงูจ้อง
หากเธอคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมยังขัดขืนได้ ทว่าร่างกายของผมไม่ยอมขยับราวกับโดนพันธนาการด้วยคำสาปที่ก่อตัวจากความรู้สึกของตัวเอง
เสื้อผ้าที่ผมสวมถูกถกขึ้น ระยะห่างระหว่างเราย่นเข้ามา
กลิ่นหอมที่ผมสัมผัสได้ตอนที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในห้องตั้งแต่ครั้งแรก ในที่สุดผมก็รู้ตัวว่ามันเป็นกลิ่นของแชมพูที่เธอใช้
กว่าผมจะตั้งคำถามว่าเธอหามันได้จากไหน ก็เป็นช่วงเวลาในภายหลัง
ในตอนนี้ สติผมกำลังจะกระเจิง ดวงตาสีฟ้าที่ดึงดูด ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่อยู่ตรงหน้าผม ใบหน้าที่งดงามนั้น กำลังทำให้ร่างกายของผมร้อนรุ่มไปหมด
ผมขยับถอยหลังเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือนุ่มของเธอก็แตะลงบนหน้าอกของผม
“ท ทำอะไรของคุณกัน”
“ว่าจะตรวจสอบด้านเวทมนตร์ให้น่ะ ขอเวลาเดี๋ยวเดียวนะ”
“ถ้าเป็นโลกก่อน กระทำกับเด็กแบบนี้ คุณโดนสังคมตราหน้าแน่ๆครับ”
“หืมม โลกก่อนฉันรวยอยู่นะ ถ้าใช้เงินสักนิดหน่อย สื่อก็หันเหทิศทางเองแหละ”
เธอคงพูดเล่น แต่สีหน้าประดับรอยยิ้มที่ไม่สามารถมองออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำให้รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยเช่นกัน ผมจึงตอบกลับไปแค่ว่า “นิสัยไม่ดีเลยนะครับ” แล้วเธอก็หัวเราะ หุหุ ออกมา
หลังจากเธอปล่อยมือออกจากอกของผม และระยะห่างระหว่างสองเราเพิ่มมากขึ้นจนกลับไปเท่ากับก่อนหน้า บรรยากาศระหว่างสองเรากลายเป็นสภาพเงียบชั่วคราว เราสองคนต่างจ้องมองกัน ไม่มีคำพูดใดๆออกมา ทั้งที่สัมผัสได้ว่าเราต้องมีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะแท้ๆ
หากนั่งมองไปเรื่อย ๆแบบนี้คงไม่มีอะไรคืบหน้า ผมรวบรวมความกล้าท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นโครมครามที่ตัวเองอาจได้ยินคนเดียว แล้วทักเธอก่อน
“เอ่อ คือ…”
ผู้หญิงผมทองหันมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนดีใจที่ผมเป็นคนทักกลางสถานการณ์ไร้บทสนทนานี้ขึ้นมาก่อน
“เอ่อ คือว่า พอรู้เรื่องของโทริสมากกว่านี้หรือเปล่าครับ”
“อ๊ะ จริงสิ เรานัดว่าจะมาคุยกันเรื่องนี้นี่หน่า”
เธอหัวเราะ แฮะๆ ออกมา ผมเบือนหน้าหนี พื้นที่ในใจส่งสัญญาณเตือน มันตอบสนองต่อเสียงหัวเราะของเธอด้วยการเต้นแรงผิดปกติ
เราเป็นเด็กสี่ขวบ ไม่ควรรู้สึกต่อเธอเช่นนั้น ผมพยายามกลบฝังมันลงไป แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ผมพยายามกดทับกลับพยายามแสดงออกมาอย่างขยันขันแข็ง
อะแฮ่ม เสียงเธอกระแอมไอเรียกความสนใจของผมกลับไปอีกครั้ง
“ชิน เธอรู้เรื่องครอบครัวของคุณพ่อมากแค่ไหน”
“ถ้าเรื่องที่เขาเคยเป็นอดีตทหาร ผมพอรู้อยู่แล้วครับ นอกจากนี้เขายังเคยทำงานในฐานะนักผจญภัยอยู่ช่วงหนึ่งด้วย”
“อืม เมืองหลวงที่มีอำนาจแพร่กระจายไปทั่งสารทิศ มีสามขุนนางที่ถืออำนาจทางการทหาร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ตระกูลของคุณพ่อ เขาก็ทำงานในระดับที่กล่าวว่าดีมากๆ ตลอดระยะเวลาการทำงาน แต่ว่า…”
เธอเว้นช่วง การมองหน้าผมเช่นนั้นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังเกรงใจที่จะพูดเรื่องต่อจากนี้หรือไม่ก็อาจจะเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมใจฟังไว้ให้ดีก็เป็นได้
“พูดต่อเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”
“สถานการณ์ภายในเมืองหลวงตอนนี้กำลังเข้าใกล้ช่วงเปลี่ยนอำนาจใหม่ ขุนนางทั้งหลายเกิดความหวังอาศัยจังหวะอลหม่านนี้เข้าไปยุ่มย่ามการปกครองที่สูงกว่าตำแหน่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ตระกูลของคุณโทริสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ปัญหามันดันเกิดเสียก่อน…”
“พ่อ… โทริส หนีตามอลิเซียมาสินะครับ”
“ใช่ บ้านของคุณโทริสยึดถือในสายเลือดที่เข้มข้นของพวกตนมาก คุณอลิเซียที่เติบโตจากขุนนางที่พัฒนาตนเองจากพ่อค้ามาก่อนจึงถูกมองว่าไม่เหมะ แต่คุณโทริสยังคงเลือกที่จะอยู่กับคุณอลิเซีย ทำให้หนีมา หลังจากนั้นตระกูลก็อยู่ในช่วงตกต่ำ ผู้ชายที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำคนปัจจุบันอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถคุมใครได้”
“พวกเขาตามล่าโทริส…เหรอครับ?”
“ก็อาจจะไม่ หรืออาจจะใช่ ผู้ชายที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำคนปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะตามล่าตัวเขาอยู่ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ลงความเห็นว่า แค่ตามเขากลับมาก็พอแล้ว นอกจากนี้ ตระกูลอื่น ๆก็อาจจะมองว่าเขามีศักยภาพพอหากกลับมา ถ้าสกัดกั้นไว้ก่อนก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่แย่นัก”
ความสามารถในการสืบหาข้อมูลของเธอนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สุดยอด อย่างน้อยก็ในสายตาของผมที่เป็นเด็กและไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ผมจึงค่อนข้างนับถือเธอได้ในเรื่องนี้
การเล่าเรื่องและการวิเคราะห์ของเธอสามารถชักจูงผมได้เกือบเต็มร้อย แต่ผมก็ยังมีคำถามและข้อสงสัยอยู่
“แม่..อลิเซียรู้เรื่องนี้หรือเปล่าครับ”
“อืม อันที่จริง คนที่ไหว้วานฉันเรื่องนี้ก็คือคุณแม่นั่นแหละ”
“พอจะคาดเดาได้หรือเปล่าครับว่าอลิเซียคิดอะไรอยู่”
“ไม่รู้สิ อาจจะแค่อยากรู้เรื่องราวความเป็นไปในเมืองหลวงเฉยๆก็ได้ หรืออาจจะกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้”
ไม่มีใครเดาความคิดของอลิเซียได้ หากอ้างอิงจาการสังเกตของผม อลิเซียอาจมีแผนบางอย่างในใจ แต่มันเป็นเพียงการคาดการณ์จากความเห็นส่วนตัว
เอาล่ะ ผมได้ยินเสียงผู้หญิงผมทองกล่าว
พอหันไปมอง ก็เห็นจานใส่ขนมหน้าตาคล้ายคุกกี้วางอยู่
กินกันเถอะ สีหน้าของหญิงสาวบอกเช่นนั้น แต่ผมกลับกลืนน้ำลาย หลังบังเอิญเหลือบมองหน้าอกของเธอ
เธอมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมเบือนหน้าหนี ไม่สามารถสารภาพออกไปได้ว่าเมื่อครู่มองส่วนไหนไป
“เอ หรือว่า…”
ผู้หญิงผมทองหัวเราะคิกคัก ผมยังจำได้ว่าเธอเคยถามผมว่าผมชอบอาหารประเภทไหนเป็นพิเศษ
และตอนนี้คุกกี้ที่เป็นหนึ่งในนั้นก็อยู่ตรงหน้าผม
ไม่จำเป็นต้องตีความอะไรให้ไปไกลกว่านี้เลยสักนิด
ผมเงยหน้ามองเธอ ซึ่งกำลังส่งยิ้มให้ผม
ใบหน้าของผมย้อมด้วยสีแดง ผมหลบหน้าหนี บางอย่างในตัวบอกว่าหากปล่อยให้สถานการณ์ถูกจูงไปเรื่อย ๆเช่นนี้ไม่ดีแน่
ให้ตายสิ ผมทำอะไรของผมลงไปกันนะ
นึกสมเพชตัวเองที่หักห้ามใจไม่ได้ ทั้งที่ข้างในก็เป็นคนอายุ 20 แท้ๆ
“เห็นเป็นเด็ก แต่ข้างในคิดอะไรอยู่กันน้า~”
เสียงหัวเราะ หุหุ ดังขึ้นตามมา ผมก้มหน้างุด ไม่อาจเงยหน้ามองเธอตรงๆได้ในตอนนี้
แต่ถึงกระนั้น ผมก็มีเรื่องที่อยากจะลองถามให้แน่ใจ
“นี่ เอ่อ…”
ผมส่งเสียงเรียกเธอ แต่เสียงที่ออกมากลับเบากว่าที่คิด ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอจะได้ยินหรือเปล่า จึงพยายามส่งเสียงออกไปอีกครั้ง
“เอ่อ…”
แม้จะมีความลังเลแฝงในน้ำเสียง แต่ผมก็ได้ลองเอ่ยออกไปแล้ว
ครั้งนี้เธอพูดว่า อะไรเหรอ ออกมา คิดได้ว่าเสียงของผมส่งไปถึงแล้ว
“แค่สมมติ แค่สมมตินะครับ ถ้าเกิดว่าผมมีเรื่องจะปรึกษาขึ้นมาสักเรื่อง…”
“อืม ก็พูดมาได้เลย”
“ขอบคุณนะครับ”
อุณหภูมิภายในห้องตอนนี้พอเหมาะพอเจาะ ผมได้ยินเสียงดัง ครืด พร้อมกับจานคุกกี้ที่ถูกเลื่อนมาหยุดตรงหน้าผม
“ทานสักหน่อยมั้ย เห็นในเมืองหลวงกำลังนิยมกัน เลยลองซื้อมาดู”
ไม่ใช่เสียงออดอ้อน แต่ผมกลับต้านทานไม่ได้
มือเล็กๆยื่นออกไป คว้าของที่คุ้นเคยขึ้นมาเอาเข้าปากอย่างไม่ลังเล
รสแรกที่รู้สึกได้คือความขมแบบแปลกๆ ไม่ใช่ว่าความขมจะไม่สามารถอร่อยได้ อย่างดาร์กช็อกโกแลตเองก็มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบ แต่สิ่งนี้กลับต่างออกไป
รสของมัน ไม่ใช่ของที่มนุษย์จะสามารถกล่าวได้ว่าอร่อยเลยสักนิด
ขมยิ่งกว่ามะระ หรือบอระเพ็ดเสียอีก
จากประสบการณ์ที่ผมเคยทานอาหารฝีมือของอลิเซีย มั่นใจได้ว่าสิ่งนี้ไม่มีทางเป็นของกินที่ได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
“ขมจัง…”
ผมแสดงความรู้สึกออกไปตรงๆ ทว่า…
“ง งั้นเหรอ ขอโทษนะ”
กลับได้รับคำขอโทษจากหญิงสาวผมทองมาแทน
น้ำเสียงของเธอดูเหมือนจะรู้สึกผิดอยู่จริงๆ แล้วจากใส่คุกกี้ก็ถูกเธอดึงกลับไป
“ขอโทษนะ พอดีฝีมือการทำอาหารของฉันมันแย่ไปหน่อย…”
ผมเงยหน้ามองเธอ เศษคุกกี้ในปากถูกกลืนลงไปทันทีที่เห็นเธอแสดงท่าทีเศร้าๆออกมา
รสขมไหลลงผ่านคอพร้อมกับน้ำลายในปาก รู้สึกได้ถึงก้อนแข็งๆที่พยายามจะลงไปสู่ระบบการย่อยอาหารขั้นต่อไปให้ได้ ขณะที่สมองกำลังประมวลผล
พลาดหรือเปล่านะ?
คำพูดแบบไหนที่ช่วยเราออกจากสถานการณ์นี้ได้บ้าง
“เอ่อ คือ…”
จุดประสงค์ของเธอคงไม่ใช่การหยอกล้อหรือแกล้งกัน ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดที่เหมาะสมในหัวเพื่อกู้สถานการณ์
ทว่าเธอกลับส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ไปพัฒนาฝีมือต่อ”
เธอหันมายิ้มให้ ไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสเหมือนทุกที เป็นเพียงรอยยิ้มขอไปทีที่ทำให้ผมรู้สึกใจหล่นวูบ
“ผมขอโทษ ผม คือว่า ยังไงดีนะ…”
ผมนึกคำพูดที่เหมะสมและควรพูดหลังจากนี้ไม่ออก จึงได้แต่มองซ้ายมองขวา พยายามควานหาตัวช่วย
อ่า จริงสิ
“ค ครั้งหน้า เราไปทานด้วยกันที่ร้านกันเถอะครับ”
คนที่ผมต้องสื่อสารความรู้สึกออกไปให้ได้ก็อยู่ตรงหน้า และคุกกี้เจ้าปัญหาก็อยู่ตรงหน้า ผมจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วลองกล่าวชักชวนเธอ
ไม่รู้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีหรือเปล่า ผมจึงคอยดูปฏิกิริยาของเธอ
ผู้หญิงผมทองกะพริบตาปริบๆหลายที บางทีคงมีความคิดอะไรหลายๆอย่างในหัว หรือบางทีอาจจะเรียบเรียงความหมายของคำที่ผมเพิ่งพูดออกไป
แต่สุดท้าย เธอก็ผลิยิ้มออกมา
“สัญญาแล้วนะ”
เธอกล่าวเช่นนั้น ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบรรยากาศมันพาไป หรือเพราะอุณหภูมิภายในห้องที่แดดส่องถึงห้องนี้มันอบอุ่นกันแน่ แต่ตัวผมข้างใจพลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย
บางที ผมอาจจะรู้สึกชอบเธอมากขึ้นกว่าเดิม
แต่คงไม่ใช่ความรักในสัมพันธ์เชิงชู้สาว
ผมมอบข้อสรุปให้กับตัวเองเช่นนั้น
ไม่ได้รักเธอหรอก คงเป็นเพื่อนสนิทคนแรกที่ได้พบในต่างโลกแห่งนี้เสียมากกว่า…
“ดีล่ะ ขอแก้ตัวด้วยขนมอีกชิ้นละกัน!”
จู่ๆเธอก็ส่งเสียงดังออกมา แล้วเดินหายไปจากห้อง ก่อนกลับมาด้วยจานที่ใส่ของหน้าตาคล้ายชูครีม
“อันนี้ ในเมืองหลวงก็นิยมเหรอครับ?”
“อืม ไม่หรอก ฉันฝากเมดที่บ้านให้ทำให้น่ะ”
คำสารภาพของหญิงสาวออกมาในตอนที่ปากกำลังเคี้ยวขนมอยากตั้งอกตั้งใจ
พอมองแล้วก็เป็นภาพที่แปลกตาดี ผมลังเลเล็กน้อยว่าควรจะหยิบมันทานหรือไม่ แต่ในเมื่อมันเป็นอาหารจากสาวเมดที่หน้าที่เป็นคนดูแลบ้านเช่นนั้น ก็คงมั่นใจได้ว่ามันน่าจะรสชาติไม่แย่
ผมอ้าปากกัด เนื้อแป้งนุ่มๆเข้ามาในปาก รสชาติของไส้คือชูครีมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคงเป็นกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นของวานิลลาที่ผมคุ้นเคย
“เป็นไง ฝีมือเมดของฉัน สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ”
ดูเธอภูมิใจยังไงชอบกล ผมไม่รู้มาตรฐานอาหารของโลกนี้มากนักว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง แต่จากการที่ไม่มีกลิ่นของวานิลลา บางทีมันคงเป็นของหายากหรือไม่ก็ยังทำไม่ได้ หากตัดเรื่องนี้ออกไป มันก็คงอร่อยจริงๆนั่นแหละ
ดังนั้นผมจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกัดคำต่อไปอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้น เราสองคนคุยจนเวลาผ่านไปนาน จนผมไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน
จนกระทั่งตกเย็น อลิเซียกลับมาพร้อมกับตะกร้าสานจากไม้ในมือ ข้างในเห็นของหลากสีล้นออกมาเล็กน้อย คงเป็นทั้งเนื้อและผลไม้ที่เธอแวะซื้อมาในขากลับ
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หญิงสาวผมทองหันมาโค้งตัวให้พวกเรา อลิเซียกล่าวขอบคุณเธอที่มาช่วยดูแลในยามที่ตนเองไม่อยู่บ้าน
ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ชั่ววินาทีก่อนที่หญิงสาวผมทองจะหันหลังกลับไป เธอเหลือบตามามองผมแล้วยิ้มให้
แล้วเจอกันนะ เหมือนได้ยินเสียงเธอกระซิบเช่นนั้นแล้วสติของผมก็เหมือนหลุดออกไปไกล
มือข้างหนึ่งยกออกมาโบกลาเธอเหมือนเป็นระบบตอบสนองอัตโนมัติ
ภาพของเธอที่ก้าวขาขึ้นรถม้า เสียงฝีเท้าของสัตว์ที่ลากยานพาหนะออกไปดัง กุบกับ เข้ามาในโสตประสาท
เสียงที่ห่างไกลออกไปขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความรู้สึกร้อนรุ่มภายในร่างกายหายไป แปรเปลี่ยนกลายเป็นความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหายไปแทน
มันคงเป็นความเหงาที่ไม่ได้รู้สึกมาช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้
เย็นวันนั้น เราสามคนนั่งบนโต๊ะอาหาร
กลิ่นของมื้อเย็นที่เพิ่งปรุงเสร็จส่งกลิ่นหอมหวนชวนให้ความอยากอาหารทำงาน โทริสในวันนี้มีอาการที่ดูดีขึ้นกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างที่หญิงสาวผมทองบอก
เขาทานอาหารด้วยมือเดียวได้เก่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อลิเซียไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเขามากนักอีกต่อไป
แต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่หนักอึ้ง
อาจเป็นด้วยจังหวะหายใจของทั้งสองคนที่ผมมโนไปเองว่ามันแปลกไป เสียงจังหวะการตักอาหารที่ผิดเพี้ยนที่ผมระแวงไปเอง หรือจะเป็นการจ้องมองมายังผมที่จำนวนครั้งมากกว่าปกติ
หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนพยายามบอกกับผมว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อนี้
ท่ามกลางเสียงช้อนที่กระทบกับชาม เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆที่มาจากตัวผมเอง
คนที่เอ่ยทำลายบรรยากาศการรับประทานมื้อเย็นอันเต็มไปด้วยความเงียบสงบขึ้นมาคืออลิเซีย
“ชิน อยู่กับคุณหมอแล้วรู้สึกยังไงบ้าง”
คุณหมอ? คงหมายถึงหญิงสาวผมทองคนนั้น แต่ทำไมอลิเซียถึงเพิ่งมาถามตอนนี้กันนะ
สัญชาตญาณของผมบอกว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น คำถามที่มาก่อนเป็นเพียงการโยนหินเปิดทางเท่านั้น
พอมองไปยังโทริส ผมเห็นเขาวางช้อนลงแล้วหันมาจ้องหน้าราวกับกำลังรอฟังคำตอบจากผมที่เงียบไปเหมือนคนลังเลที่จะตอบ
คำถามนี้ต้องตอบยังไงนะ?
ผมไม่ติดขัดหากต้องอยู่กับเธอ
ผมอยากอยู่กับเธอ ถ้าหากตอบแบบนี้ไป ทั้งสองคนจะคิดเห็นยังไงกันนะ?
จะคิดว่าผู้หญิงผมทองคนนั้นล่อลวงผมไปแล้ว หรือคิดว่าผมอยากอยู่กับเธอจริงๆกัน หรืออาจจะทั้งสองอย่างเลยกันแน่?
“แม่กับพ่อ ตั้งใจจะให้ลูกไปอยู่กับคุณหมอสักพักน่ะ”
บางทีอลิเซียอาจจะมองความลังเลของผมผิดมุมมองไปนิดหน่อยจึงพูดเสริมขึ้นมา
อย่างน้อย คำพูดของเธอก็ช่วยชี้แนะแนวทางของคำตอบที่ผมควรจะเอ่ยออกไปได้ ถือว่าดวงของตัวเองยังดีใช่ย่อย
“สนุกดีครับ”
น่าจะเป็นคำตอบที่สั้นและทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าลูกชายของพวกเขาเป็นเด็กสี่ขวบจริงๆ แต่ใจหนึ่งก็เกิดกลัวว่าเขาจะถามต่อหรือเปล่านะ ว่าสนุกคือแบบไหน
โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้ถามต่อ
ผู้ให้กำเนิดผมในโลกนี้มองหน้ากันแล้วพยักหน้าสื่อสารส่งความหมายที่มีแต่พวกเขาที่เข้าใจ
“สัปดาห์หน้า คุณหมอจะมารับนะ”
จู่ๆกำหนดการณ์ก็ออกมาจากอลิเซีย ถึงแม้ไม่กี่วินาทีที่แล้วจะเตรียมตัวเตรียมใจที่ต้องย้ายบ้านชั่วคราว แต่ก็อดตกใจไม่ได้ที่เวลามันกระชั้นชิดขนาดนี้
“ไปอยู่กับคุณหมอ ต้องทำตัวเป็นเด็กดีนะลูก”
โทริสให้คำกล่าวเหมือนเป็นการสั่งสอนเด็กก่อนไปโรงเรียนว่าอย่าดื้อ อย่าซนกับคุณครู
ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่ดื้อและซนแม้แต่นิดเดียวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกก่อน ดังนั้นจึงแอบบอกผู้เป็นพ่อในใจว่า ไม่ต้องห่วงครับ
มื้อเย็นนี้ นับเป็นวันที่เจ็ดของการนับถอยหลัง ที่ผมจะได้อยู่ภายในบ้านหลังนี้
สี่ปีที่ผ่านมา อาจไม่ใช่เวลาที่นานนักสำหรับหลายคน แต่มันคือช่วงระยะหนึ่งในห้าของชีวิตของผมในโลกก่อน
ผมมองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ให้ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย แม้จะไม่ได้มีความสะดวกสบายมาก อีกทั้งยังขาดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกกลายๆ แต่สำหรับคนที่กลับมาเกิดใหม่อย่างผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตทั่วไปในบรรยากาศที่แตกต่าง รสชาติอาหารที่มีทั้งที่ผิดเพี้ยนและใกล้เคียงกับโลกก่อน
หรือแม้แต่หลักความรู้ที่ในโลกก่อนเป็นได้แค่เรื่องราวแฟนตาซี ที่ไม่อยู่ภายในนิยาย ไลท์โนเวล อนิเมะหรือมังงะ ก็อยู่ในเกมกับหนังเท่านั้น
มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ ที่ผมไม่ได้พูดออกไป
หลังมื้อเย็นสิ้นสุด คืนนั้นผมเข้านอนโดยมีนิทานของอลิเซียกล่อมให้หลับ
ทว่าในฝันกลับไม่ได้สงบเหมือนช่วงเวลาก่อนนอน
ภาพความทรงจำจากโลกก่อนที่หวนกลับมาเมื่อช่วงกลางวันปรากฏอีกครั้ง ในมุมมองที่ผมกลายเป็นบุคคลที่สาม
“ฉันรักเธอนะ — ”
ใครบางคนเรียกผม เด็กผู้หญิงผู้อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่ของสังคมภายในโรงเรียนคนนั้น
น้ำเสียงที่ออดอ้อน สัมผัสแนบเนื้อที่ผมยังจำได้ กลิ่นหอมของแชมพูที่เธอใช้
ผมกุมมือเธอเอาไว้ ในวันนั้น เราต่างดูดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าด้วยกันบนภูสูงแห่งหนึ่งในบ้านเกิดของผม
เราจูบกัน
ทว่า…
“แกมันสารเลวที่สุด!”
วันหนึ่ง เธอก็พูดแบบนั้นใส่ผม
เรื่องที่เราคบกัน ไม่มีใครที่โรงเรียนรับรู้ ในวันที่เธอด่าทอผมด้วยถ้อยคำรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจผมแทบแตกสลาย
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ถ้อยคำพวกนั้นเลยสักนิด หากเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
เพราะเราไม่เคยเปิดเผยสถานะของพวกเรา ทำให้ข่าวที่เธอต่อว่าผมกระจายไปทั่วโรงเรียน
ในฐานะเด็กมัธยมคนหนึ่ง ผมพยายามแก้ตัวสุดแรง
ในวัยที่ผมยังเชื่อว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ผมพยายามแก้ตัวต่อหน้าทุกคน
แต่มันไร้ประโยชน์
เพราะ ‘เธอ’ เปรียบดั่งราชินีของโรงเรียน ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ และครั้งนี้ก็ชี้ว่าผมคือคนเลว
ถ้อยคำของผมไม่มีอำนาจใดๆที่จะต่อต้านถ้อยคำของเธอได้
ผมในวันนั้นตกกลายเป็นเหยื่อของการโจมตี หากเป็นทางกายคงแค่เจ็บตัว แต่มันเป็นการลงทัณฑ์จากสังคม
ทั้งในและนอกโลกโซเชียล มันคือการกระหน่ำการโจมตีอย่างแท้จริง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น…
ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเธอถึงใช้คำพูดเช่นนั้น พูดกับผมในห้องเรียนแบบนั้น
ผมไม่คิดว่าการพูดแบบนั้นจะส่งผลดีต่อตัวเธอเลยสักนิด หรือเธอแค่นึกสนุกกับการทำลายชีวิตของผมเฉยๆ
ผมไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งวันที่ผมตาย ผมก็ยังคงไม่รู้
แต่ความรู้สึกที่ผมเคยรักเธอ จนถึงตอนนี้ ในต่างโลกแห่งนี้ ผมก็ยังคงจำมันได้อยู่
รอยยิ้มที่เธอหันมามองผม คำพูดที่บอกรักผม ช่วงเวลาเพียงเราสองคนที่อยู่ด้วยกัน…
กลางดึกของในโลกปัจจุบัน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ
“ชิน~”
เป็นเสียงของเด็ก ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นเพศใดแต่ฟังแล้วดูอ่อนวัยเหมือนผมในปัจจุบัน
ทว่า ท่ามกลางความมืดของห้องนอนผมที่มีเพียงแต่แสงจากดวงจันทร์ของโลกนี้ฉายแสงนวลเล็ดลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านและหน้าต่าง ผมมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น
“ชิน~”
เสียงนั้นยังคงเรียกชื่อผม ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก
“ใคร…?”
ถ้าก็อบลินมีจริง ผีก็คงไม่น่าเกินขอบเขตนัก คิดเผื่อไปผีไว้หน่อยดีกว่า
แต่สมัยอยู่โลกก่อน ผมไม่ใช่คนที่สนศาสนามากนัก ดังนั้นบทสวดที่จำได้จึงไม่ค่อยหลงเหลือในความทรงจำ
“ชีนนน”
เสียงนั้นเริ่มลากเสียงยาว แต่ที่เหมือนเดิมคือยังคงตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก
ไม่รู่ว่าเจ้าของเสียงตั้งใจให้ผมหวาดกลัวหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมชักรู้สึกมันเป็นเสียงที่ชวนหงุดหงิดแทนเสียแล้ว
เห้อ…
ผมถอนหายใจ รู้สึกเสียดายเวลานอนชะมัด
สุดท้าย ทางที่ผมเลือกก็คือล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
ค่ำคืนหลังจากนั้นไม่มีเสียงปริศนาที่เรียกชื่อผมอีก ความฝันที่แง่หนึ่งทั้งโหดร้ายแต่ก็ชวนคิดถึงไม่กลับมาฉายซ้ำอีก
Chapters
Comments
- ตอนที่ 45 ลาก่อน อควาเดีย 3 วัน ago
- ตอนที่ 44 ท่าเรือ กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 43 ชุดแต่งงานและเปลวเพลิง มิถุนายน 28, 2025
- ตอนที่ 42 ระเบิด มิถุนายน 25, 2025
- ตอนที่ 41 อาร์เจนตา 3 มิถุนายน 21, 2025
- ตอนที่ 40 สีเงินที่หวั่นไหว มิถุนายน 18, 2025
- ตอนที่ 39 "เอลซัธ" มิถุนายน 14, 2025
- ตอนที่ 38 ชิ้นส่วนที่หายไป มิถุนายน 11, 2025
- ตอนที่ 37 การตัดสินใจ มิถุนายน 7, 2025
- ตอนที่ 36 สอบถาม มิถุนายน 4, 2025
- ตอนที่ 35 โทษทัณฑ์ มิถุนายน 4, 2025
- ตอนที่ 34 ในงานเลี้ยง 2 มิถุนายน 1, 2025
- ตอนที่ 33 ในงานเลี้ยง 1 พฤษภาคม 29, 2025
- ตอนที่ 32 ยินดีที่ได้รู้จัก พฤษภาคม 29, 2025
- ตอนที่ 31 ช่วยทีนะ พฤษภาคม 25, 2025
- ตอนที่ 30 คืนก่อนงานเลี้ยง พฤษภาคม 25, 2025
- ตอนที่ 29 เรื่องแปลกๆ พฤษภาคม 23, 2025
- ตอนที่ 28 ร้านอาหาร พฤษภาคม 19, 2025
- ตอนที่ 26 ไลล่า 2 พฤษภาคม 19, 2025
- ตอนที่ 26 รุ่งสาง พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 25 คืนแรก ณ อควาเดีย พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 24 ลูเมนฮอฟ 2 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 23 ลูเมนฮอฟ 1 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 22 อาร์เจนตา 2 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 21 รุ่งเช้า ระหว่างทาง พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 20 ครอบครัว พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 19 ไลล่า 1 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 18 อาร์เจนตา 1 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 17 วันออกเดินทาง พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 16 ตัวตนของเด็กสาว พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 15 ลูน่า 2 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 14 ลูน่า 1 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 13 ฝึกฝนยามเช้า พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 12 เมืองแห่งสายน้ำ (เริ่มต้นบท 2) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 11 โทริส 3 (จบบทที่ 1) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 10.3 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (3/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 10.2 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (2/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 10.1 [ตอนยาว] ชิน เอเวอร์ไลท์ (1/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 9.3 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (3/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 9.2 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (2/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 9.1 [ตอนยาว] สัปดาห์สุดท้าย (1/3) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 8.2 [ตอนยาว] วันเกิด (2/2) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 8.1 [ตอนยาว] วันเกิด (1/2) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 7.2 [ตอนยาว] สาวปริศนา (2/2) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 7.1 [ตอนยาว] สาวปริศนา (1/2) พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 6 เพียงฝัน พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 5 โทริส 2 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 4 โทริส 1 พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 3 ไม่เป็นไร พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 2 เกิดใหม่ที่ต่างโลก พฤษภาคม 17, 2025
- ตอนที่ 1 ณ ห้วงแห่งหนึ่ง พฤษภาคม 17, 2025
MANGA DISCUSSION