วันเกิดของผม ผ่านมาแล้วหลายครั้งในโลกนี้ แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งที่ผมตั้งตารอคอยมากที่สุด
บ้านหลังใหม่ในโลกแห่งใหม่ ไม่มีการเฉลิมฉลองวันเกิด ซึ่งผมไม่ได้โกรธเคืองอะไร ในโลกก่อน ผมที่เหลือตัวคนเดียวในบั้นปลายชีวิตในฐานะวัย 20 ปี ก็ไม่ได้มีคงฉลองวันเกิดให้มาหลายปีแล้ว
ในโลกก่อน ผมมองว่าวันเกิดสำคัญอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงแม้ว่าบ้านผมจะเป็นบ้านที่มีฐานะ แต่แลกมากับการที่พ่อและแม่ไม่ว่าง
ในวันเกิดของผม ในช่วงแรกจึงมีเพียง ไม่พ่อก็แม่ที่จะอยู่ร่วมฉลองไปกับผม พร้อมกับแม่บ้านคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน ที่ไม่เหลือใคร นอกจากผมและแม่บ้านชราที่สนแต่เงิน ไม่สนวันเกิดผมแต่อย่างใด
กว่าจะรู้สึกตัวว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในวันเกิด อายุของผมก็เข้าสู่วัย 12 ปี ก้าวเท้าเข้าสู่วัยมัธยมไปเสียแล้ว
มีเพียงเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชีเพื่อให้ผมนำไปจับจ่ายใช้สอยในฐานะของขวัญวันเกิด กับเงินอีกส่วนที่เป็นค่าเทอม และเงินเดือนของแม่บ้านชราและงบประมาณสำหรับเธอเพื่อใช้ในการหามื้อเช้าให้ผมเท่านั้น
ในช่วงแรก ผมคิดน้อยใจอยู่บ้าง แต่พอกำลังเข้าสู่วัยมัธยมปลาย มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใดอีกแล้ว
วันเกิด ก็แค่วันหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาและผ่านไป
ไม่ใช่เพียงแค่วันเกิด คริสต์มาส หรือปีใหม่ก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่รู้สึกว่างานฉลองวันเกิดจะเป็นเรื่องสำคัญ จนกระทั่งหญิงสาวผมทองคนนั้นบอกว่าจะมางานวันเกิดของผม
ความรู้สึกตั้งตารอคอยถูกจุดติดอีกครั้ง ทั้งที่ผมคิดว่าลบมันไปได้แล้วแท้ๆ
หลังมื้อเช้าสิ้นสุด หากเป็นยามปกติ ผมจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ
แต่ว่าวันนี้ เพราะมีความรู้สึกคาดหวัง จึงไม่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อหยิบจับสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรได้
ผมเฝ้ารอเสียงที่บ่งบอกได้ว่าเธอมาถึงแล้ว
เวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ ผมไม่สามารถคาดคะเนได้แม้แต่น้อย สิ่งที่พาผมกลับมามีสติอีกครั้งหลังจากเผลอผล็อยหลับจากการเฝ้าคอยไปคือเสียงกีบเท้าของม้าที่กระแทกพื้น
เสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นตัวบ่งบอกว่าเธอใกล้เข้ามาทุกที
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ คุณแม่”
ผมชะงักไปเล็กน้อย เมื่อกี้เธอเรียกอลิเซียกับโทริสว่าคุณพ่อกับคุณแม่เหรอ?
ไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ยนะ?
“สวัสดีค่ะ คุณหมอ”
คนกล่าวทักทายคืออลิเซีย ผมชะโงกหน้าออกจากห้องไปดูแขกผู้มาเยือน
วันนี้ เส้นผมสีทองของเธอปล่อยยาวถึงสะโพก ชุดที่สวมใส่เคปสีแดงสด สวมทับชุดเดรสสีขาวที่ปิดบังทรวดทรงชวนเสน่ห์ของเธอได้ไม่มิด ช่วงเอวเหมือนเห็นริบบิ้นประดับที่ด้านข้าง ที่ข้อมือสวมใส่กำไลหินสีสันสวยงามที่ผมไม่เคยเห็น
เหมือนเธอสังเกตเห็นผมแล้ว เธอจึงหันหน้ามาแล้วยิ้มให้
อลิเซียให้เธอเข้ามาในบ้านโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องกล่าวเหตุผลใดๆออกมา
“สวัสดีจ้ะ ชิน”
เธอทักทายผม แต่ผมไม่ตอบกลับเธอและรีบหดหัวกลับเข้าไปในห้อง
“ลูกชายของเราเป็นคนขี้อายน่ะค่ะ”
ได้ยินอลิเซียแก้ตัวแทนลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมแล้ว รู้สึกแย่เล็กน้อย แต่ถ้าหากผมได้คุยกับเธอในตอนนี้ เกรงว่าผมจะเก็บอาการดีใจของตัวเองไว้ไม่ไหว
งานวันเกิดของผมเริ่มต้นเมื่อหญิงสาวผมทองเอาข้าวของไปวางในห้องครัว ผมได้ยินเสียงเธอคุยกับอลิเซียและโทริส แต่หูของผมไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสามชัดมากนัก จึงไม่ได้ใส่ใจฟัง
ผมกลับมานั่งอ่านนิทานหลังที่จิตใจเริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง แต่แล้วไม่นาน ผมก็ต้องละความสนใจจากหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเข้ามาใกล้ห้อง
“เป็นยังไงบ้าง ชิน”
เป็นเธอ – ผู้หญิงผมทองคนนั้นนั่นเอง
เธอปรากฏกายด้วยรอยยิ้มสดใส มือข้างหนึ่งเก็บไว้ข้างหลัง คงซ่อนบางอย่างเอาไว้
ของขวัญ? ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง
แต่ถ้าไม่ใช่ของขวัญ คนเราจะมีอะไรที่ต้องซ่อนในวันเกิดกันนะ
เป็นข้อสังเกตคร่าวๆของผม และผมพยายามที่จะไม่สนใจสิ่งที่เธอซ่อนเอาไว้ หวังว่าเธอจะดูไม่ออก
“มีอะไรเหรอครับ”
“ไม่ต้องแกล้งไม่รู้เลยนะ ฉันเห็นเธอแอบมองมือของฉันอยู่นะ”
เธอว่าแล้วหัวเราะ กะแล้วเชียวว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ไหนๆก็เลือกที่แกล้งที่จะไม่สนใจไปแล้ว ก็ขอทำให้ถึงตอนสุดท้ายละกัน
ถึงมันจะไม่ถึงนาทีก็ตามทีเถอะ
“ไม่รู้จริงๆนะครับ มีของขวัญให้ผมเหรอ?”
“จ้าๆ นี่ ของขวัญ”
หญิงสาวผมทองยื่นของที่เธอซ่อนไว้มาให้ผม มันเป็นกล่องทรงยาวแต่แบนนิดหน่อย ถ้าให้บรรยาย ผมนึกถึงกล่องพัสดุที่บริการขนส่งในโลกก่อนชอบใช้กัน
และจากหน้าตา ผมมั่นใจมากๆว่าของข้างในคืออะไร
“หนังสือเหรอครับ?”
“ถูกต้อง แหม สมเป็นยอดนักอ่านจริงๆเลย”
เธอลูบหัวผม ราวกับผมเป็นเด็กเล็ก
อันที่จริง ภายนอกก็เป็นเช่นนั้นนั่นแหละ และอาจเพราะเหตุนั้นทำให้ผมเผลอรู้สึกเคลิบเคลิ้มและรู้สึกดีไปด้วย
พอรู้ตัว กล่องของขวัญก็มาอยู่ในมือผม ส่วนสายตาของผมจับจ้องใบหน้าของเธอไม่วางตา
“เด็กลามก~”
เสียงกระซิบกระซิบอันแผ่วเบาในขณะที่มือของเธอยังวางบนหัวของผมอยู่แบบนั้น ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีต่อความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในร่างเล็กๆนี้
ผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกที่ก่อตัวนี้เท่าไหร่ จึงพยายามปฏิเสธและปัดมันให้พ้นไป แต่ยิ่งทำเท่าไหร่เหมือนยิ่งโดนต่อต้าน
สิ่งเดียวที่ทำได้ คงเป็นการคิดถึงเรื่องอื่นไปก่อน
“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ”
ผมไม่อาจตำหนิเธอได้ อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าเธอหวังดีต่อผม ที่คิดต่อต้าน บางทีคงเป็นเพียงตัวผมเอง
“ปกติ ชินชอบกินอะไรเหรอ?”
“ผมเหรอครับ? ถ้าโลกก่อน ผมกินได้หมดนั่นแหละครับ ถ้ารสชาติไม่ห่วยจริงๆนะ”
เพราะชีวิตของผมอยู่ตัวคนเดียวบ่อยนั่นแหละ จึงไม่มีอาหารในความทรงจำเป็นพิเศษ แต่ก็เพราะมีเงินพอสมควร ทำให้อาหารที่ชอบจึงเป็นอะไรก็ได้ที่หากินได้และรสชาติไม่แย่ก็พอ
“แล้วพวกขนมล่ะ?”
“อืม คุกกี้มั้งครับ ไม่ก็ช็อกโกแลต”
ผมตอบตามตรง แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงทำท่านึกคิดอยู่เช่นนั้น หรือว่า…
คงไม่ได้คิดจะทำมาให้ผมกินหรอก ใช่มั้ย?
“อืมมม จะลองทำดูดีมั้ยนะ”
จู่ๆเธอก็พูดลอยๆขึ้นมา ผมชักรู้สึกว่าลางสังหรณ์ของผมจะเป็นจริงเสียแล้ว
“ทำอะไรเหรอครับ”
“คุกกี้ไง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ โลกนี้ก็ใช่ว่าจะมีสักหน่อย…”
“มีสิ ร้านดังในเมืองหลวงขายอยู่นะ ฉันลองไปหาซื้อดูดีกว่า”
เธอว่าแล้วยิ้มให้ผม
อาจเป็นเพราะแสงแดดในช่วงหน้าหนาว อาจเพราะความอบอุ่นของสิ่งนี้มันสร้างบรรยากาศ หรืออาจเป็นเพราะผู้หญิงตรงหน้า ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงจนตัวเองสัมผัสได้
และสังหรณ์ว่า ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่อง สถานการณ์ฝั่งตัวเองจะยิ่งแย่ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะยิงคำถามมั่วๆออกไป
“อ เออ จริงสิ คุณอยู่ในต่างโลกมานานแค่ไหนแล้วเหรอ”
ไม่ใช่คำถามที่กลั่นกรองมาจากความคิดอย่างถี่ถ้วน เป็นเพียงคำถามที่อยากถามเพื่อเบี่ยงประเด็นออกไปเท่านั้น
แต่เธอกลับทำสีหน้าจริงจัง หรือผมไปเหยียบกับระเบิดเข้าแล้วกันนะ?
“หลอกถามอายุผู้หญิงมันไม่ดีนะจ๊ะ”
“ผมแค่อยากรู้… เอ่อ ไม่ได้หมายถึงอายุของคุณ หมายถึงเรื่องราวของคุณเฉยๆ”
เป็นการแถเบี่ยงประเด็นที่ผมคิดว่าแย่มากๆ แต่พอพูดออกไปแล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เราเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ปีเท่านั้น
เรื่องราวของเธอเป็นความลับมากสำหรับผม
“ถ้าอยากฟังจริงๆ มาอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฉันจะเล่าให้หมดเปลือกเลย”
เธอเสริมอีกว่า หากมาอยู่ด้วยกัน เธอจะสอนเวทมนตร์ดีๆให้อีกด้วย เป็นข้อเสนอที่ดีเยี่ยม แต่ผมยังคงตอบปฏิเสธเธอ
“ขอปฏิเสธไปก่อนนะครับ”
ผมบอกเช่นนั้นกับเธอและบอกเช่นนั้นตัวเอง พยายามคิดแง่ลบกับเธอให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อที่จะไม่คิดกับเธอไปไกลกว่านี้
ผมตอกย้ำตัวเองเช่นนั้น และนั่งลงเปิดหนังสือที่เพิ่งได้มาใหม่จากมือของผู้หญิงตรงหน้า
เธอทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง…
หากจะว่าเป็นความอบอุ่น ก็คงใช่
หากจะว่าเป็นความรู้สึกว่าปลอดภัยก็ใกล้เคียง
ท่ามกลางแสงแดดในหน้าหนาวที่สาดส่องลงมา ในเวลานี้ผมคิดเช่นนั้น
MANGA DISCUSSION