นับจากวันนั้น ทุกอย่างในบ้านของผมก็เปลี่ยนแปลงไป
โทริสที่ก่อนหน้านี้ออกไปข้างนอก ทำงานร่วมกับชุมนของหมู่บ้านแทบทุกวันไม่ได้ออกไปไหนอีก เขาหมกตัวอยู่ในบ้าน
ผมเห็นว่าบางครั้งเขามองแขนและขาที่เสียไปด้วยดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่อย่างเลื่อนลอย จากนั้นก็หลั่งน้ำตาออกมา
เป็นความเจ็บปวดที่ผมไม่มีทางเข้าใจได้ ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปปลอบ แต่ผมไม่อาจสรรหาคำดีๆให้เขาเลย
ทางที่ผมเลือกจึงไม่สามารถใช้คำว่าไม่เป็นไร ได้เพราะผมไม่มีทางเข้าใจ
เพียงแต่ ถ้าผมเข้าหาโทริสเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกันกับตอนที่เขายังสมบูรณ์ดี บางทีอาจเป็นการช่วยเยียวยาเขาได้
ด้านอลิเซีย เธอกลายเป็นคนแบกรับภาระแทบทุกอย่างภายในบ้าน ทั้งทำงานบ้าน เลี้ยงดูผม แต่มีโทริสเข้ามาเพิ่มอีกคน
ผู้หญิงผมทองที่แวะเวียนมาดูแลเขาบ่อยๆ คอยรักษาเขาด้วยถ้อยคำเวทมนตร์ ปรากฎการณ์ที่วิทยาศาสตร์ เธอมักมาเยี่ยมพร้อมอาหารที่แม่นิยามว่าพิลึกแต่รสชาติไม่เลวหลายต่อหลายครั้ง จนการมาปรากฏตัวของเธอ เข้ามาดูแลรักษาอาการของพ่อกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านหลังนี้ไป
อาการของพ่อดีขึ้นทีละเล็กน้อย แม้หลักวิทยาศาสตร์ของโลกนี้ไม่ได้พัฒนามากนัก แต่การแพทย์ที่ผสานเรื่องเวทมนตร์เข้าไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องที่จะดูถูกได้
ไม่ใช่เป็นเรื่องงมงายอย่างพืชบางชนิดที่สามารถรักษาได้ทุกโรคอย่างที่โลกเก่ามักนำมาซึ่งความหลอกลวงตามประสามิจฉาชีพ ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่ลัทธิประหลาดที่อ้างว่ามีพลังพิเศษในการรักษาโรคได้สารพัด
แต่มันคือเวทย์มนตร์จริงๆ
[ฮีล]
เป็นถ้อยคำสั้น ๆ ไม่ยาว แต่กลับสามารถรักษาบาดแผลได้ ซึ่งเท่าที่ผมได้ยินจากบทสนทนาระหว่างแม่ก็หญิงสาวผมทองผู้มาเยือน ดูเหมือนว่าจะมีประเด็นของความเข้ากันของผู้ใช้กับเวทมนตร์บทนั้นๆด้วย
และดูเหมือนทั้งพ่อและแม่ของผมจะไม่มีความเข้ากันได้นั้นอยู่เลย ทำให้เธอต้องมาหาบ่อยๆ
แต่มันก็บ่อยเกินไป และไม่ได้เป็นความถี่ที่แน่นอน และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกเหมือนว่าเธอมักมองมาที่ผม อย่างน้อยก็สักครั้งต่อการมาหาครั้งหนึ่ง
เมื่อผ่านไปหลายเดือน ผมจึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนภายในบ้าน
แม่ผม… อลิเซีย แม้ว่าเธอไม่ใช่บุคคลที่สวยงามดุจเทพธิดา ไม่ได้หุ่นดีสมบูรณ์แบบเหมือนนางแบบที่ขึ้นปกนิตยสาร แต่ทันทีที่ผมเห็นตั้งแต่เกิดใหม่บนโลกนี้ สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่สองเป็นต้นไป
ใบหน้าของเธอเริ่มซูบผอม เส้นผมที่ขาดการดูแลเริ่มแตกปลาย ผมได้ยินเธอพึมพำคำว่า [ฮีล] ออกมาบ่อยครั้ง
ผมไม่มีความรู้ ไม่สามารถตอบได้ว่ามันช่วยอะไรได้หรือไม่ แต่การที่เธอทำเช่นนั้น เธอคงเชื่อมั่นว่าช่วยอะไรสักอย่างได้
อลิเซีย ยังคงพยายามทำหน้าที่ในฐานะภรรยาของโทริสและในฐานะที่เป็นแม่ของผมอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารในแต่ละมื้อ เล่านิทานก่อนนอน อาบน้ำให้ทั้งผมและพ่อ น่าอัศจรรย์ที่ผ่านมาเกือบปี เธอไม่ล้มป่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พอเข้าสู่วัยเจ็ดปี อลิเซียเริ่มปล่อยผมให้เป็นอิสระมากขึ้น อาจเป็นเพราะ เธอพยายามเอาใจใส่พ่อมากกว่าผม แต่ผมไม่ได้โกรธเคืองเธอในเรื่องนั้นแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ผมรู้สึกขอบคุณมากกว่าเพราะผมมีอิสระในการกระทำมากขึ้น
ผมเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ที่แม่มักมาอ่านให้ผมฟังก่อนนอน มีน้อยครั้งที่จะออกไปข้างนอก
พักหลัง สติของเธอค่อนข้างไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้หมายความว่าเธอเสียสติ แต่เหมือนคนล่องลอย เหมือนกำลังใช้ความคิดนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้หลายครั้งหนังสือที่เธอหยิบเข้ามาเล่าให้ผมฟัง แทนที่จะเป็นหนังสือนิทาน กลับกลายเป็นหนังสือวิชาการพื้นฐานที่ไม่เหมาะกับการเล่าให้เป็นเรื่องก่อนนอนด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะผมแสดงความสนใจต่อมันออกมาบ่อยๆ เธอคงไม่ยอมเล่าเรื่องให้ผมฟัง
น้ำเสียงในการเล่าของเธอในแต่ละวันค่อนข้างไม่คงที่ มันคงเปลี่ยนไปตามความเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวันของเธอ
และในทุกๆวัน เธอมักจะเริ่มต้นด้วย
“คาบเรียนวันนี้…”
เหมือนเธอกำลังสอนหนังสือ บางทีเธอคงมีความสามารถในการเป็นครูพอสมควร
ผมเก็บข้อมูลต่าง ๆเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานของโลกผ่านเรื่องราวที่เธอเป็นคนเล่า
แต่มีหนังสือประเภทหนึ่งที่เธอจะไม่อ่าน คือเรื่องของมอนส์เตอร์
แม้ว่าผมต้องการจะเรียนรู้เรื่องทุกอย่างของโลกนี้ให้ครบ แต่ผมไม่อาจฝืนใจใคร ในเมื่อเธอไม่อยากกล่าวถึง ผมคงทำอะไรไม่ได้
ชีวิตที่อลิเซียรับภาระทุกอย่างในบ้านกลายเป็นภาพชินตา
และอีกสิ่งที่กลายเป็นเรื่องปกติคือ หญิงสาวผมทองคนนั้น ที่มักมาเยี่ยมบ้านพวกเราบ่อยๆพร้อมกับของกินหน้าตาคุ้นๆจากโลกฝั่งนั้นที่ชวนคิดถึง
เช้าวันหนึ่ง ที่ชีวิตทุกอย่างเริ่มโคจรไปในทิศใหม่
หากจะกล่าวว่าปกติ ก็คงไม่ผิด แต่เป็นปกติบนเส้นทางวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ถูกโชคชะตาพัดพามาให้เดินไปบนเส้นทางนี้
คนเป็นพ่อที่ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่มาก และคนเป็นแม่ที่กลายเป็นเสาหลักและตัวแทนของบ้านหลังนี้
พวกเราตื่นเช้ามา รับประทานมื้อเช้าท่ามกลางความเงียบสงบ
ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีความครื้นเครงบนโต๊ะสมัยที่ทุกอย่างยังเป็นแบบเดิม
หลังสิ้นสุดมื้อเช้า อลิเซียจะออกจากบ้าน นั่งรถม้าไปทำงานด้านนอก อีกสักพักหญิงสาวผมทองก็จะมาปรากฏตัวมาเพื่อดูแลโทริส ส่วนผมก็ไปนั่งหมกตัวในห้อง
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหารยามเช้า ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่เหมือนกันที่มีแขกมาในยามเช้าแบบนี้
หากเป็นผู้หญิงผมทองคนนั้น คงเปิดประตูเข้ามาเลย ไม่มีทางที่จะเคาะประตูเป็นครั้งที่สองแน่
ก๊อกๆ
พอไม่เห็นว่ามีใครตอบรับ แขกผู้มาเยือนก็ลงมือเคาะต่อ ฟังจากจังหวะที่เคาะเป็นปกติ ไม่ได้รุนแรงอะไร บางทีผู้มาเยือน
แต่จะปล่อยให้เคาะต่อไปเรื่อยๆก็ไม่ใช่เรื่อง แถมยังน่าสงสัยอีกต่างหาก หากไม่ใช่ธุระเร่งด่วนก็ไม่จำเป็นต้องเคาะซ้ำสองรอบ แต่หากเป็นเรื่องเร่งด่วนคงเคาะรุนแรงกว่านี้ ในส่วนนี้ดูท่าผมและอลิเซียจะคิดตรงกัน แต่คนที่ลุกออกไปก่อนคืออลิเซีย
ไม่ใช่แค่เธอที่สงสัย ผมเองก็คิดเช่นเดียวกันจึงหันไปมองยังประตูตามอลิเซียที่เดินไปเปิดรับแขกผู้มาเยือนยามเช้า
ประตูถูกเปิดออก คนที่ปรากฏตัวไม่ใช่คนคุ้นหน้าเท่าไหร่นัก
เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายชาวบ้านธรรมดา เขายืนคุยกับอลิเซียอยู่พักหนึ่ง ผมเห็นเธอพยักหน้าโต้ตอบกันเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้ามาในบ้าน
“เห็นว่าแม่เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านเสียชีวิตแล้ว”
เป็นการเสียชีวิตตามวัยชราโดยทั่วไป และชายผู้มาเยือนยามเช้าแจ้งว่า วันนี้จะมีเลือกตัวหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ ตกเย็นจะเป็นพิธีศพของอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน
“งั้นเหรอ”
โทริสตอบสั้น ๆ เขาทานมื้อเช้าด้วยตัวคนเดียวจนหมดจานได้แล้ว
ส่วนผม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความอยากไปร่วมงาน แต่อลิเซียกลับบอกว่าผมควรไปด้วย อย่างน้อยผมควรไปรู้จักคนในหมู่บ้านให้มากกว่านี้
เธอไม่เคยบังคับให้ผมออกไปเล่นข้างนอก หรือบังคับให้ผมไปทำความรู้จักใคร
ครั้งนี้ผมจึงยอมสักครั้ง แล้วตอบตกลงเธอไปว่ายินดีจะไปด้วย
…
งานศพของหญิงชราจัดขึ้นในใจกลางหมู่บ้าน ทุกคนไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่เศร้าสร้อยไปมากกว่าเดิมนัก นับตั้งแต่เหตุก็อบลินบุก
เพราะเกือบทุกหลังคาเรือนเกิดการสูญเสีย
เด็กมากมายสูญเสียพ่อ ครอบครัวหลายบ้านเสียผู้นำหลักของตระกูล
หญิงสาวหลายคนมุ่งหน้าสู่เมืองอื่น ๆเพื่อชีวิตที่ดีกว่า บางคนหอบลูกไปด้วย
หรือบางคนก็ตัดสินใจตามสามีไปก็มี
ด้วยสาเหตุข้างต้น ทำให้ประชากรในหมู่บ้านลดลงไป
ยิ่งเป็นประชากรที่เป็นชายหนุ่มซึ่งมีวี่แววจะทำหน้าที่ผู้นำคนต่อไปได้ยิ่งน้อยลงไปอีก
ในวันประชุมหารือเพื่อคัดเลือกผู้นำหมู่บ้านคนต่อไป แม่พาผมไปร่วมประชุมด้วย แต่ในที่ประชุมไม่ได้ให้เด็กๆเข้าไป ผมจึงรอข้างนอกและใช้เวลาว่างในการเดินชมเล่นในบริเวณที่ไม่ห่างไกลกันมากนัก
ผมไม่ค่อยได้ออกมาพบปะพวกเด็กๆในหมู่บ้านมากนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่อยากเพิ่มภาระกับอลิเซียและโทริส หรือไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวที่ผมมองว่าการอ่านหนังสือเฉยๆที่บ้าน ชวนสบายใจกว่า
ไม่ว่าจะเหตุผลข้อไหน มันก็สนับสนุนให้ผมอยู่ในบ้านดีกว่าทั้งนั้น
ถึงมันจะดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อยก็เถอะ
อินโทรเวิร์ต โลกนี้คงไม่มีคำนี้ แต่หากให้อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือคำนี้นี่แหละ
ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเราเจอหน้ากัน
แต่ว่า…
“อ้าว ลูกเจ้าด้วนนี่หว่า”
เด็กชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็ก ดูอายุไม่น่าเกินสิบปี
เขาพูดพลางหัวเราะ หึหึ ออกมา ตามมาด้วยเสียง ฮ่าๆ ของเหล่าลูกน้องที่มีทั้งชายและหญิง
ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ คนที่เขาเพิ่งพูดถึงหมายถึงพ่อของผม
“หน้าตา… กระจอกชะมัด”
เด็กที่ตัวเล็กกว่าดูถูก
อืม เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ช่างขยันหาถ้อยคำมาด่าทอได้เก่งจริงๆ
ไม่ได้ถือสาอะไรหรอก แต่พอคิดว่าอายุเท่านี้ยังมีทักษะในการสรรหาถ้อยคำได้รุนแรงขนาดนี้ อนาคตคงน่าเป็นห่วง
ในสายตาของพวกเขา ผมคงเป็นพวกที่ไม่น่าคบด้วย คงกลายเป็นศัตรู
“ถ้าไม่มีแก…”
เด็กอีกคนพูด ผมเห็นเขาหยิบหินมา
พอสังเกตดูดีๆ ไม่ใช่แค่เด็กคนนั้น แต่เด็กที่เดินตามหัวโจกมาด้วยพากันหยิบหินขึ้นมาแล้วง้างมือ
ท่าจะไม่ดีแล้ว ผมเตรียมวิ่งหนี
แต่ขาไม่ไวพอจะทำเช่นนั้น หินก้อนหนึ่งพุ่งมาใส่ผม โชคดีที่มันกระทบโดนที่แขน
แม้จะเจ็บ แต่ก็ยังดีกว่าโดนที่หัว
ตอนนี้แหละที่ผมควรวิ่งหนี แต่แล้วพวกเขากลับวิ่งไล่ตาม
สภาพเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่ไม่เห็นหน้าผม แต่พวกเขาต้องการจะทำร้ายผมเสียมากกว่า
ตัวเองไม่แน่ใจนักว่าไปทำอะไรให้เด็กพวกนั้นเจ็บแค้น แต่หากให้คาดเดาจากที่เด็กพวกนั้นใช้สรรพนามเรียกโทริสเช่นนั้น คงไม่พ้นการระบายความโกรธที่สูญเสียคนในครอบครัวไป
บ้านที่มีคนกลับมาได้ คงตกเป็นเป้าเพ่งเล็ง
และบ้านที่แปลกแยกกว่าใคร คงตกเป็นเป้าหมาย
และทั้งหมดที่ว่าคือบ้านของผมที่เป็นหลังล่าสุดที่ย้ายมา
ผมวิ่งด้วยขาสองข้าง หาจังหวะหนีไปไหนไม่ได้เพราะกำลังขาไม่เพียงพอที่จะวิ่งแล้วสลัดพวกเขาได้ขาดลอย
“ทางนี้…”
ตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงพูดอันแผ่วเบาออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง
คงเป็นโชคดีที่ผมได้ยินพอดี จึงสังเกตได้พอดี
“มาทางนี้ เร็วเข้า”
แล้วผมก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไปในพุ่มไม้อย่างไม่กลัวเจ็บ
ร่างกายที่พุ่งเข้าไป กระแทกกับพื้นจนรู้สึกเจ็บช่วงอกและท้อง แต่พอกัดฟันอดทนไม่ให้ร้องออกมาได้อยู่
“จ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงตะกุกกักอันแผ่วเบาที่ไม่คุ้นหูบอกอายุและเพศของผู้ช่วยเหลือว่าเป็นเด็กสาว
“ไม่เลย ช่วยได้พอดี”
ผมลุกขึ้นยืน ปัดพั่บๆไล่ ฝุ่นที่เปื้อนตามเสื้อและกางเกง
เสียงของเหล่าเด็กที่ไล่ตามผมมายังคงดังอยู่ด้านนอก หากออกไปตอนนี้คงไม่พ้นโดนจับได้แน่
ผมกับเด็กสาวผู้ช่วยชีวิตรอให้เสียงของพวกนั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเสียงก็ไกลออกจนแทบจับใจความไม่ได้ว่าคุยอะไรกัน ผมจึงหันไปขอบคุณที่เธอเข้ามาช่วยเอาไว้พอดี
“ไม่เป็นไร”
เธอกล่าว มันเป็นคำพูดที่คุ้นหู รอยยิ้มของเธอเองก็เหมือนผมจะจำได้ลางๆ
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
เธอพยักหน้าตอบ และใช้นิ้วชี้สองข้างแตะมุมปากแล้วลากดึงขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ท่าแบบนั้น ผมจำได้ว่าเคยเห็นตอนหลบภัยจากก็อบลิน
“เธอในตอนนั้นเหรอ…”
จะว่าไป ผมยังไม่เคยรู้ชื่อของเธอเลย
แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปากถาม หูได้ยินเสียงบางอย่างแหวกพุ่มไม้เข้ามา
“เจอตัวแล้ว!”
เสียงตะโกนดังขึ้น เป็นเด็กพวกนั้นที่หาพบเจอ
ผมรีบลุกขึ้นยืน พยายามจะหนี แต่นึกขึ้นได้ว่าหากผมหนีตอนนี้เด็กผู้หญิงผมดำที่ช่วยเหลือผมจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไรบ้างนะ
ผมไม่อยากหนี…
เพราะผมเองเดาได้ว่า หากผมทิ้งเธอไป เธอคงไม่ได้พบชะตากรรมที่ดีนัก
“เอรี่! ทำไมแกถึงช่วยเหลือมัน ห๊ะ!”
เด็กสักคนตะคอกถามพลางพาทางกลุ่มเดินย่นระยะห่างเข้ามา
มือของผมกำแน่น ใจหนึ่งไม่อยากทำร้ายเด็กนักหรอก แต่ว่าผมเองก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย
และที่สำคัญที่สุด
“วิ่งหนีให้ไวเลยนะ…”
อย่างน้อยก็ต้องให้เด็กคนนี้ปลอดภัยให้ได้
“ชิน…”
เธอเรียกชื่อผมด้วยเสียงแผ่วเบา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงทราบชื่อของผมได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาซักถามแล้ว
“ไปตามผู้ใหญ่มาซะ…”
ใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นอลิเซียจะดีมาก ผมไม่มั่นใจนักว่าพ่อแม่คนอื่นจะเข้าข้างผมที่กำลังจะกลายเป็นฝ่ายโดนกระทำในอีกไม่กี่อึดใจ
ทันทีที่เด็กสาวผมดำวิ่ง อีกฝ่ายก็วิ่งเช่นกัน
จุดเริ่มต้นคือผม จุดสิ้นสุดของทางนั้นก็คือผม
พวกเขาวิ่งเข้ามา อาวุธพวกก้อนหินถูกปาใส่ แม้จะอยู่ในระยะใกล้ อาวุธพวกกิ่งไม้ถูกฟาดลงมา
ร่างกายถูกผลักให้ล้มลงไปกองกับพื้น ฝ่าเท้ามากมายนับไม่หวาดไม่ไหวกำลังทำร้ายให้ร่างกายรู้สึกบาดเจ็บ
ทั้งเตะ ทั้งเหยียบ การทำร้ายที่เด็กคนหนึ่งจะคิดออกระดมลงมาจนผมไม่สามารถหาช่องว่างให้ลุกได้
“เพราะไอ้ด้วน พ่อของฉันถึง…!”
“เพราะพ่อของแก พี่ชายของฉันถึงได้…!”
เสียงตะโกนพ่นถ้อยคำกล่าวโทษ ผสมกับผมที่ร้องโอ๊ยออกมานับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นพร้อมๆกัน
เรี่ยวแรงของพวกเขาไม่ได้มากมายเหมือนผู้ใหญ่ และคงเทียบไม่ได้กับมอนส์เตอร์ แต่มันก็เจ็บจริงๆ
พวกเขาไม่ได้ทำร้ายผมเพียงเพื่อความสะใจ แต่ทำลงไปด้วยความโกรธแค้น
แม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ความโกรธแค้นที่พัฒนาจากความเศร้าโศกก็ยังคงน่ากลัว
ดวงตาของผมเริ่มพร่ามัว อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเริ่มลากสติของผมให้ดับวูบเหมือนเปลวไฟที่ต้องลม หากลมแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานมันคงดับสนิทแน่
ผมกำลังจะตายอีกครั้งหรือเปล่านะ?
ชั่วขณะหนึ่งแอบคิดได้แบบนั้นจริงๆ
แต่ว่า โชคชะตาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นง่ายๆ
“หยุดนะ! พวกเธอ!”
เสียงตะโกนดังขึ้น ผมพยายามลืมตาที่ปูดบวมขึ้นมา เห็นเงาลางๆของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา พวกเด็กที่ล้อมทำร้ายผมค่อยๆขยับตัวหนีห่างออกไป
“แม่มด! แม่มด! แม่มดมา! แม่มดมา!!”
เสียงเล็กๆของเด็กที่ยังไม่เข้าวัยเติบโตตะโกนเรียกเธอแบบนั้น เหมือนผมเห็นเด็กพวกนั้นปาก้อนหินใส่เธอด้วย
[ฮีล]
ทว่าเธอไม่สนใจ แล้วอุ้มร่างผมไปพิงกับต้นไม้ เสียงที่ตะโกนเรียกห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเด็กพวกนั้นวิ่งหนีไปหรือเป็นพวกเราที่ออกห่างมากันแน่
[ฮีล]
เธอกล่าวถ้อยคำเวทมนตร์ แสงสว่างที่ทอดลงมาในครั้งนี้ขจัดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นไปจนเกือบหมด
ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วก็พบหญิงสาวผมทองกำลังก้มหน้าใช้ [ฮีล] รักษาผมอยู่
“เป็นไงบ้าง ชิน”
“หา เห้ย”
กว่าผมจะนึกหน้าเจ้าของเสียงออก ใบหน้าของเธอก็แทบจะมาชิดกับใบหน้าผม ระยะสั้นๆที่สามารถรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้ชัดเจน
“ท ทำอะไรของคุณกันครับ”
“ดูอาการเด็กน้อยที่ล้มพับไปไง”
เธอว่าแล้วยิ้ม นิ้วชี้แตะที่หน้าผากผมแล้วออกแรงผลักเบาๆ
“ทำแบบนี้ มันดูไม่ดีนะครับ’
“ฉันแค่รักษา ดูอาการของเด็กน้อยท่าทีอวดเก่งคนหนึ่ง ไม่ดีตรงไหนกัน?”
ใบหน้าของผมกลายเป็นสีแดง รู้สึกได้ถึงบางอย่างในร่างกายที่สูบฉีดอย่างรุนแรง ใจหนึ่งอยากถอยหนี แต่หลังติดต้นไม้แล้ว ไม่มีที่ให้หนีไปมากกว่านี้
เธอหัวเราะ หุหุ ออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม
“ไม่กลัวชุดเปื้อนเหรอครับ”
“ช่างมันเถอะ เปื้อนก็ซักเอา”
ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าชุดที่เธอใส่วันนี้เป็นชุดเดรสสีเบจอ่อนๆ ทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้ม เนื้อผ้าแนบไปกับร่างกายที่งดงามของเธอ ชั่วขณะหนึ่งผมเผลอมองหน้าอกที่เด่นชัดออกมาจากใต้เนื้อผ้าสีเบจ
เส้นผมสีทองของเธอวันนี้ทักเป็นเปียมงกุฎ ดูใช้เวลานานและยุ่งยากน่าดูกว่าจะได้ออกจากบ้าน
“จ้องฉันตาไม่กะพริบเลยนะ”
ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองผม รอยยิ้มขี้เล่นปนเจ้าเล่ห์ของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายกำลังไหลเวียนเร็วขึ้นและไวขึ้น
“ขอโทษ…”
“เอ๋~ ขอโทษเรื่องอะไรกันน้า~”
น้ำเสียงอ่อนหวานผสานความสบายๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก ผมพยายามไม่มองเธอ แต่ส่วนหนึ่งของตัวผมบอกให้ผมมองเธออีกครั้ง
เกิดเป็นการแอบชำเลืองมองแบบกล้าๆกลัวๆ
รู้สึกสมเพชตัวเองไม่น้อยที่เป็นคนแบบนี้ ไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่รอยยิ้มของเธอทำให้ผมรู้สึกร้อนรน
ผมไม่ควรมองเธอนานๆ เตือนตัวเองเอาไว้แบบนั้น แล้วพยายามมองออกไปด้านหน้าให้มากที่สุด แม้จะไม่มีภาพใดๆที่ชวนให้มองก็ตาม
“เด็กลามก~”
เสียงหัวเราะคิกคักหวานใสดังขึ้นจากด้านข้าง ผมไม่หันไปมอง ทำตัวนิ่งเหมือนรูปปั้นเข้าไว้ สถานการณ์น่าจะผ่านไปเอง แต่ว่า…
“นี่”
ขาเล็กๆของผมสัมผัสได้ว่ามีมือมาจับ
“อ ออกไปนะครับ ผมยังเด็กอยู่เลยนะ”
“คิดอะไรในหัวกัน ฉันแค่จับขาเอง”
ผมอยากสวนไปว่าเพราะน้ำเสียงเธอที่เดาไม่ออกกับท่าทีที่แสดงออกมานี่แหละ เป็นสาเหตุให้นึกกลัวว่าเธอจะทำอะไรไม่ดี
“ม ไม่มีอะไรครับ”
สุดท้ายผมก็ไม่กล้า เสียงที่เปล่งออกมามีแต่ความตะกุกตะกัก ตรงกันข้ามกับเธอที่ยังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าของผมเริ่มแดงอีกครั้งหลังจากมันเพิ่งเริ่มสงบไปได้ไม่กี่นาที
“ทำไมให้เด็กคนนั้นหนีมาคนเดียวซะล่ะ”
เธอคงหมายถึงเด็กสาวผมดำคนนั้น
ผมจึงบอกเธอไปว่า หากเป็นตัวผมคนเดียวคงวิ่งหนีได้ แต่…
“หนีด้วยกันสองคนอาจจะช้ากว่าก็ได้ครับ ผมไม่อยากให้เธอโดนทำร้ายเหมือนผมด้วยสิ”
แต่ก็ใช่ว่า จะรอดปลอดภัยนับหลังจากนี้
เด็กพวกนั้นอาจจะมองว่าเธอเป็นศัตรูอีกคนหนึ่ง หากเป็นกรณีนั้นเป้าหมายการถูกกลั่นแกล้งคงไม่ได้มีเพียงผม แต่เป็นเธอด้วย
ผมหันไปมองผู้หญิงคนข้างๆ ตอนนี้เธอไม่ได้จับขาผม เธออยู่ในท่านั่งกอดเข่า เปิดเผยให้เห็นท่อนขาผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากชายกระโปรง
พยายามห้ามใจไม่หันไปมอง แต่กลับถูกพลังงานบางอย่างบังคับให้หันหน้าไปเป็นระยะๆ
“นี่ ชิน…”
“อ อะไรเหรอครับ”
เพราะความลนลาน ทำให้ผมให้คำตอบแปลกๆออกไป แต่แทนที่เธอจะแสดงสีหน้าสับสนออกมา เธอกลับหัวเราะ ส่งเสียงดัง ฮุฮุ ในลำคอ
“เธอมาจากไหนเหรอ”
มีเพียงเสียงใบหญ้าต้องสายลมพัดผ่านระหว่างเรา ช่องว่างของบทสนทนาระหว่างสองเรากลายเป็นความเงียบงันที่หันหน้าเข้าหากัน
คำถามของเธอไม่ได้ถามผมในโลกนี้ แต่เป็นตัวผมในโลกก่อน
ผมลังเลว่าจะเล่าดีหรือไม่ แต่ผมก็กลัวที่จะโดนซักไซ้ถึงอดีตไปมากกว่านี้
ในช่วงเวลาเช่นนั้นคนที่เอ่ยคำพูดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ผม แต่เป็นเธอ
“เอาเป็นว่า แล้วเจอกันตอนวันเกิดนะ ชิน”
“อ่า ครับ…”
โชคดีจังที่เธอไม่ถามต่อไปมากกว่านี้ ผมจึงไม่จำเป็นต้องนึกถึงอดีตอีก
“แล้วก็ ทำความรู้จักเพื่อนวัยเดียวกันให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
“ยังไงนะครับ?”
“ถ้าไม่มีเด็กผู้หญิงผมดำคนนั้นไง เป็นห่วงเธอน่าดูเลย”
จะว่าไปผมก็ไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นจะตามเธอมาด้วย พอลองถามก็ได้ความส่งให้แม่ของเธอเรียบร้อย
“สนิทกับสาวๆไว้ล่ะ เพื่อนวัยเด็ก โตขึ้นเป็นนางเอกของเธอได้เลยนะ”
“จะพูดหยอกล้อกันก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะครับ!”
ผมตะโกนเถียงกลับไป แต่เธอก็จ้ำอ้าว ก้าวขายาวๆหนีไปก่อน
…จะว่าไป ทำไมเธอถึงรู้วันเกิดของผมได้กันนะ?
MANGA DISCUSSION