เบื้องหน้าของผมในตอนนี้คือหญิงสาวคนหนึ่ง ที่หากเรียกเธอว่า สาวงาม ก็ไม่มีส่วนใดที่จะให้โต้แย้งได้
เป็นสาวงามผมทอง คำว่าราวกับเทพธิดาสามารถใช้บรรยายลักษณะของเธอได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด
แต่รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นปนเจ้าเล่ห์เล็กน้อยของเธอ ทำให้รูปลักษณ์นั้นผิดแปลกชอบกลในใจผม
“ไม่ใช่คนของโลกนี้ใช่มั้ย?”
เธอถามผม รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นปนเจ้าเล่ห์เริ่มเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากยิ่งขึ้น
ผมนอนนิ่งคล้ายกับอาการคนโดนผีอำ
รู้สึกอยากขยับตัวแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ร่างกายรู้สึกตึงไปหมดตั้งแต่หัวยันนิ้วเท้า
“เอ่อ…”
พอลองส่งเสียงออกไป พบว่ายังสามารถทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อเห็นดังนั้นจึงคิดว่าควรทำในสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก
“ใครครับเนี่ย?”
เธอเป็นคนสวยก็จริง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นผู้บุกรุกมากกว่า
มิหนำซ้ำ ตอนนี้เธอยังมองผมด้วยรอยยิ้มซุกซน และกล่าวว่า
“ให้พี่สาวช่วยมั้ย”
“ถ้าช่วยได้จะดีมากเลยครับ”
ไม่ได้โกหกจริงๆนะ
ถ้าหากเธอช่วยให้ผมหลุดจากสภาวะที่ร่างกายตึงขนาดนี้ได้ล่ะก็ จะเป็นเรื่องยินดีมากเลย
เหมือนเห็นเธอพยักหน้าเบาๆสองสามที ก่อนจะเห็นว่าเธอเอามือมาแตะหน้าผากของผมและกล่าวคำว่า [ฮีล] ออกมา
แสงสีเขียวอ่อนวงเล็กปรากฏบนหน้าผากผม สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆห่อหุ้มร่างกาย
“เป็นเด็กแท้ๆ เก็บเอาอะไรมาคิดให้สมกับเป็นเด็กหน่อยสิ”
ข้างในมันไม่ใช่เด็กสักหน่อย อยากบอกแบบนั้นออกไป แต่ถ้าได้ลองพูดไปสักครั้ง ทางผมคงไม่มีโอกาสปิดบังว่าตัวเองเป็นคนจากโลกอื่นได้อีก
“ผม ผมไม่รู้เหมือนกัน…”
“แกล้งเป็นเด็กไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะนะ”
เหมือนความจะแตกแล้ว เธอหลับตาพริ้มหัวเราะคิกคักแล้วผลักผมที่พยายามชันตัวลุกขึ้นจากเตียงเบาๆ
“นอนพักไปก่อนเถอะ ฉันไม่ได้มาหาเธอหรอกนะ”
ว่าแล้ว เธอก็หันหลังให้
ร่างกายของผมเหมือนถูกตรึงด้วยตัวตนพิศวงของเธอ อุณหภูมิข้างในเหมือนรู้สึกร้อนแปลกๆ
“เดี๋ยวสิครับ”
ผมส่งเสียงเรียกเธอ แต่คำที่ออกมาดันเบาเสียจนไม่มั่นใจว่าเธอจะได้ยินมันหรือไม่
ความสงสัยเป็นไปตามคาด เธอเดินออกนอกห้องไปแล้ว
หลังเกิดเหตุไม่คาดคิด สมองไม่สามารถสั่งการให้หลับได้อีก แสงแดดยามเช้าเริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง เห็นเพดานแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้มันคงกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นตามหน้าที่
ได้ยินเสียงหญิงสาวผมทองปริศนาคนนั้นคุยกับอลิเซีย ผู้เป็นแม่ของผม
“เขาชื่อ ชิน ลูกชายของพวกเราเองค่ะ”
คนที่ปรากฏตัวคืออลิเซีย เธอแนะนำตัวผมให้หญิงสาวปริศนารู้จัก
“อรุณสวัสดิ์นะ ชิน”
เธอทำตัวเหมือนเราเพิ่งจะได้รู้จักกัน ไม่สิ ก็เพิ่งได้รู้จักกันจริงๆ เหตุการณ์ก่อนหน้ามันเรียกว่าทำความรู้จักคงไม่ได้
“เธอเป็นคุณหมอที่จะมารักษาพ่อจ้ะ”
อลิเซียแนะนำตัวอีกฝ่ายไว้เช่นนั้น
หากเป็นคุณหมอจริงก็หมายความว่าเธอเป็นมิตร ถึงการกระทำก่อนหน้าของเธอจะเผลอสร้างความหวาดระแวงให้ผมไปบ้าง แต่ในเมื่อเป็นหมอ โดยเฉพาะมารักษาโทริส ผมต้องแสดงท่าทีกับเธอให้ดีกว่านี้
ต่อหน้า ผมพยายามปั้นยิ้มให้ดี
‘ไม่ใช่คนของโลกนี้ใช่มั้ย?’ ประโยคนี้คงไม่มีความหมายแฝงซ้อนอะไร แต่ทำไมเธอถึงรู้กัน
หากเช่นนั้นแล้ว เธอเองก็เป็นคนของ ‘โลกนี้’ หรือ ‘โลกก่อน’ กันแน่
ผมจ้องใบหน้าของเธอ ขณะที่เธอเองก็จ้องมองผม คงไม่ได้คิดไปเองว่าเธอกำลังมองผมอย่างสนอกสนใจ
“คุณอลิเซีย ฉันขอไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านแห่งนี้สักครู่ได้หรือเปล่า”
เธอหันไปถามแม่ของผมในโลกนี้
คนถูกถามดูจะไม่เข้าใจความหมายที่เธอต้องการสื่อมากนัก แต่ก็พยักหน้าตอบรับให้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจอยู่
“แล้วเจอกันนะ ชิน, เดี๋ยวฉันกลับมาหลังมื้อเช้านะคะ คุณอลิเซีย”
หญิงสาวผมทองปริศนากล่าวแล้วเดินจากไป ผมได้ยินเสียงประตูบ้านถูกเปิดและปิด เธอคงไปแล้วจริงๆ
“ชิน”
เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น คนเรียกคือแม่ที่ยืนห่อไหล่และถอนหายใจไปหมาดๆ
“ข้าวเช้าเสร็จแล้ว มาทานด้วยกันเถอะ”
ผมลุกจากเตียงตามแม่สั่ง เดินไปยังห้องครัวผสมห้องทานข้าวที่เรานั่งด้วยกันเป็นประจำ
ทุกอย่างเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวัน เพียงแต่
เบื้องหน้าผมในตอนนี้ นอกจากอลิเซียแล้วมีโทริสที่รูปลักษณ์เปลี่ยนไป
เขาเสียแขนข้างซ้ายไปเกือบทั้งแขน เสียเท้าซ้าย ดวงตาข้างขวาปิดผ้าปิดตาเอาไว้
“พ่อ…”
สภาพของเขา กลายเป็นคนพิการ คำว่าบาดเจ็บสาหัสที่ชายหนุ่มชื่อเฟลิซ กล่าวตอนนั้น ไม่เกินจริง
สาเหตุที่อลิเซีย แม่ของผมร้องไห้หนักขนาดนั้นคงเป็นเพราะ ได้เห็นสภาพเช่นนี้ของผู้เป็นสามี
ไม่สิ ภาพที่เธอเห็น อาจจะยิ่งกว่านี้ก็ได้ เป็นภาพที่ผมไม่สามารถจินตนาการออกได้เลยว่าโหดร้ายเพียงใด
“อืม ใช่ๆ พ่อเอง ถึงจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยก็เถอะ”
แม้ริมฝีปากจะพยายามยิ้มแย้ม แม้คำพูดจะพยายามติดตลกแค่ไหน แต่ใบหน้าที่บิดเบี้ยว ดวงตาที่เหลือข้างเดียวมีน้ำตาไหลออกมา
เขานั่งบนรถเข็น ท่าทางดูไม่สะดวกสบาย
แขนที่เสียไปข้างหนึ่ง สำหรับคนที่ถือดาบฟาดฟันได้จนถึงเมื่อวาน คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดจนผมไม่สามารถจินตนาการได้
เช้าวันแรกที่ผมได้พบเจอโทริสในรูปลักษณ์ใหม่
อลิเซียเข้าไปกอดเขา ทั้งสองร้องไห้ด้วยกัน
สิ่งที่ได้เห็นกับตาตัวเองทำให้ผมรู้สึกเศร้าและรู้สึกแย่ตามไปด้วย
คำว่า ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้…
สำหรับมื้อเช้า ผมได้กลิ่นเครื่องเทศร้อนแรงจากจานที่อยู่ตรงหน้า
มันกลิ่นแรงกว่าปกติ เช่นเดียวกับสัดส่วนของเนื้อกับน้ำที่แปลกไป
ในมือของเธอแทนที่จะถือช้อน แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถือส้อมแทน
เพียงชั่วข้ามคืน ทุกอย่างในบ้านการเปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่บนโต๊ะอาหาร แต่มันเป็นบรรยากาศของทั้งบ้านเลยด้วยซ้ำ
ตึก… ท่ามกลางความเงียบ เสียงบางอย่างร่วงหล่นลงพื้น
พอหันไปมองตามเสียง ก็เห็นช้อนไม้ตกลงบนพื้น แม่กำลังก้มเก็บของ ตามมาดัง ปัง! โต๊ะสะเทือน ข้าวของบนโต๊ะเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิมของมันเล็กน้อย
ดวงตาของพ่อย้อมด้วยสีแดง ของเหลวสีใสไหลออกจากดวงตา เขากัดฟันแน่น มือข้างที่เหลือเกร็งจนเห็นเส้นเลือดผุดออกมา
“คุณ…”
แม่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเหมือนใกล้ร้องไห้เต็มที
พ่อก้มศีรษะ พึมพำคำว่าขอโทษไปมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แม่ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ แตะแผ่นหลังของพ่อ
ท่ามกลางความเงียบ มีเสียงพึมพำของสองสามีภรรยาที่วิถีชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน
ความอึดอัดยังคงปกคลุมในบ้านเช่นนั้น ผมตัดสินใจแล้วว่าหลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จจะออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย
…
ผมไม่ค่อยได้เดินในหมู่บ้านมากนัก ครั้งล่าสุดที่ได้เดินคือมากับแม่ที่พาผมออกมาข้างนอกด้วยเพื่อทำธุระ
ถึงกระนั้นผมก็จำได้ว่ามันเคยเป็นหมู่บ้านที่มีชีวิตชีวามากกว่านี้
ผมยังจำได้ว่าเคยเห็นคนออกมาทำกิจวัตรประจำวัน เห็นคนออกมายืนพูดคุยสนทนา เห็นคนถืออุปกรณ์มาทำไร่
แต่วันนี้ที่ผมเห็น ทั่วทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในบรรยากาศหดหู่
หากให้ผมบรรยาย บ้านทุกหลัง แม้จะเปิดหน้าต่าง แต่สีสันของความโศกเศร้าก็แผ่ออกมาพร้อมๆกับเสียงร้องไห้บ้าง เสียงกรีดร้องบ้าง
หรือแม้แต่เสียงเด็กเล็กที่ถามว่าคนในครอบครัวหายไปไหน
พ่อ พี่ชาย หายไปไหน
คนที่เหลือในบ้าน ไม่สามารถให้คำตอบเด็กเล็กได้
คนที่เหลือในบ้าน ไม่จำเป็นต้องสื่อสารก็เข้าใจกันได้
“ออกไป!”
ผมได้ยินเสียงใครบางคนตะโกน เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง พอหันไปตามเสียงก็เห็นผู้หญิงผมทองคนนั้นกำลังโดนเจ้าของบ้านตะคอกไล่ด้วยความเกรี้ยวกราด
“ถ้าพวกแก แค่พวกแกมาเร็วกว่านี้สักนิดล่ะก็!”
มือของหญิงสาวเจ้าของบ้านผลักผู้มาเยือนอย่างแรง
ผู้หญิงผมทองเซถอยหลัง เสียงประตูปิดกระแทกหน้าดัง ปัง! เดินตามมา
“ขออภัยที่รบกวนค่ะ”
ผมได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้นแล้วเดินหน้าไปยังบ้านหลังต่อไป
บ้านอีกหลัง แม้จะเปิดประตูออกมา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าเธอโดนสาดน้ำไล่
ร่างกายมีไอน้ำลอยขึ้น พอสังเกตดีๆก็เห็นว่ามันเป็นไอน้ำจากน้ำที่เธอโดนสาดใส่
เรารู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่เห็นภาพแบบนี้ต่อหน้าต่อตาแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
และด้วยความรู้สึกเช่นนั้น มันก็ได้พาสองขาเดินหน้าไปหาเธอ
ตอนที่ผมเห็นเธอเคาะประตูบ้านหลังที่สาม
ครั้งนี้ไม่มีใครออกมาต้อนรับ มีเพียงเสียงตะโกนกลับมาว่า ออกไปซะ เท่านั้น
ผมเดินตามหลังเธอไป ไม่ว่าบ้านไหนก็ดูไม่ต้อนรับเธอเป็นส่วนใหญ่
หากให้นับเป็นเปอร์เซ็นต์ คงประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ที่บอกเธอว่าไม่เป็นไร ไม่ใข่ความผิดของเธอ
ขณะเดียวกัน สัดส่วนที่เหลือกลับต่อว่า ด่าทอและทำร้ายเธอที่ไม่สู้กลับแต่อย่างใด
“ว่าไง พ่อหนุ่มน้อย”
ตอนที่ผมกำลังจะเอ่ยเสียงทัก กลับเป็นเธอที่หันมาทักผมเสียก่อน
รู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? ผมอยากลองถามออกไป แต่โดนดักทางด้วยรอยยิ้มเหนื่อยล้าบนใบหน้าเธอเสียก่อน
รู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมอยากถามเธอเรื่องอื่นมากกว่า
“เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ”
“อื้อ เจ็บใจล่ะมั้ง”
เธอหัวเราะแห้งๆ ก่อนที่พวกเราจะพากันไปยืนใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นหนึ่ง
เงาแมกไม้มันไม่ได้กว้างขวาง ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็มากพอจะเห็นผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กอีกหนึ่งคนเข้าไปหลบแดดข้างใต้ได้
เธอบอกว่าเธอ เจ็บใจ บางทีผมอาจจะเข้าใจความหมายนั้นอยู่บ้าง
เพราะผมเองก็รู้สึกแย่ที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เช่นกัน
“รู้สึกแย่เหรอครับ”
“อื้อ สุดๆเลย”
เธอพยักหน้า แล้วหันมามองผม
ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ ทำให้ผมรู้สึกสนิทสนมกับเธอมากขึ้น บางทีเธอคงเป็นคนจากอีกโลก เช่นเดียวกันกับผม
“ฉันพูดอะไรกับเธอได้บ้าง”
“ในฐานะคนของโลกก่อน คิดว่าพูดได้หมดนะครับ”
พอกล่าวออกไปเช่นนั้น เธอก็หัวเราะออกมา
ไม่รู้เป็นผลลัพธ์ที่ดีหรือแย่ แต่หากมันปรับอารมณ์ของเธอได้สักเล็กน้อย ผมก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีเอาไว้ก่อน
“ก่อนหน้านี้พยายามปิดบังแทบตาย ทำไมตอนนี้เปิดเผยออกมาซะแล้วล่ะ”
“ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ”
เธอถาม ส่วนคำตอบผมมีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้าบอกออกไปเท่านั้นเอง
ควรบอกเธอที่กำลังทำหน้าเหมือนสงสัยหรือเปล่านะ?
บางทีเธออาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่คิดว่าถ้าบอกออกไปน่าจะดีกว่า
ในตอนที่ผมตัดสินใจจะอธิบายเหตุผลที่ปิดบังไว้ อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก
“หรือว่า กลัวโดนมองว่าเป็นตัวประหลาด?”
“ส่วนหนึ่งก็ถูกต้องตามนั้นเลยครับ”
เพราะในความจริงมันยังมีเหตุผลอีกส่วนที่ผมเพิ่งรู้สึกเร็วๆนี้
“กลัวว่าทุกคนจะโทษเธอ ส่วนเธอโทษตัวเองที่ไร้กำลัง ใช่เหตุผลนี้หรือเปล่า”
คราวนี้ผมอ้าปากค้าง
เหตุผลตรงกับที่ผมคิดไว้จริงๆ
เพราะผมเป็นคนจากต่างโลก ตามความรู้ที่มี ทุกคนคงคาดหวังให้ผมเป็นความหวังของหมู่บ้าน สามารถจัดการฝูงก็อบลินได้ด้วยพลังของผมเพียงลำพังแบบสบายๆ
แต่ผมกลับไร้พลังที่จะไปต่อกร ไม่ต่างอะไรจะเด็กทั่วไปเลยสักนิด
“ทำไมถึงรู้ได้ขนาดนั้นกันครับ…”
น่าสงสัยจริงๆ หรือว่าเธอจะอ่านใจผมออกนะ
ผมมองหน้าเธอตรงๆ ดวงตาของผมสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าของเธอ
เส้นผมสีทองยาวที่ไหวตามลมอ่อนพัด ดึงดูดสายตาผมเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาสนใจที่ใบหน้าของเธอเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ
“ฉันเองก็ รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน”
“รู้สึกไม่ดีเหรอครับ?”
“ใช่” เธอตอบแล้วพยักหน้าเบาๆหนึ่งครั้ง
“ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้ คงไม่มีคนบาดเจ็บเท่านี้ ถ้าฉันมาไวกว่านี้ คงไม่มีใครตาย”
ถ้าผมมีกำลังมากกว่านี้ คงช่วยเหลือทุกคนได้… คล้ายๆกับผมเล็กน้อย
“นั่นคือเหตุผลที่ไปเคาะประตูบ้านทุกหลังเลยเหรอครับ”
“ฉันคงกำลังหาบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับตัวเองล่ะมั้ง”
เธอกล่าวแล้วหัวเราะแห้ง ส่งเสียง แหะๆ ออกมา
“เพราะแบบนั้นเลยแวะบ้านผมด้วยหรือเปล่าครับ”
หากเป็นเช่นนั้นจริง การพบเจอของเราสองคนคงเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าเธอกลับส่ายหน้าและบอกว่า
“คุณโทริสเป็นคนไข้ของฉัน ไม่ว่าคุณอลิเซียจะกล่าวโทษฉันหรือไม่ ฉันก็ต้องมาดูแลคนไข้ของฉันอยู่ดี”
“แล้วที่เช้ามาทักผม…”
“เธอนอนละเมอ”
“ละเมอเหรอครับ?”
“ละเมอพูดว่า ขอโทษ ขอโทษ พูดแบบนี้ไม่หยุดเลย”
“เด็กคนนึงจะรู้สึกผิด มันไม่น่าแปลกอะไรนะครับ…”
“อืม ไม่แปลกหรอก ถ้าเธอพูดภาษาประเทศเดิมของตัวเองออกมานะ”
“ไม่คิดว่ามันจะเป็นภาษาที่คุณไม่คุ้นในโลกนี้บ้างเลยเหรอครับ”
“ฉันเดินทางไปหลายที่ เลยได้ยินหลายภาษาของโลกนี้ ไม่มีภาษาไหนที่ใกล้เคียงภาษาในโลกของฉันเท่าที่เธอพูดแล้วล่ะ”
สีหน้าและแววตาของเธอบอกผมว่า หากผมจะหาข้ออ้างไปมากกว่านี้ เธอก็พร้อมจะลบล้างมันทิ้งทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ไปก็เปล่าประโยชน์ สู้เปลี่ยนหัวข้อคุยไปเลยจะง่ายเสียกว่า
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรกับเธอ หญิงสาวผมทองก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะ” และยื่นมาให้ผม
“จะทำอะไรน่ะครับ”
“พาเด็กหลงกลับบ้านไง”
ระหว่างทางเราสองคนไม่ได้ดำเนินบทสนทนาใดๆ มือของคนสองคนที่ขนาดตัวแตกต่างกันกำลังแกว่งไหวเบาๆในอากาศ
…
MANGA DISCUSSION