เสียงการปะทะดังขึ้นจากสถานที่อันห่างไกล
เสียงดาบกระทบกัน เสียงผู้คนกรีดร้อง เป็นเสียงสุดท้ายก่อนจากโลกไปดังระงม
ทั้งหมดล้วนมาจากด้านนอก แม้แต่ผมที่ยังอยู่ในสภาพเด็กทารกยังสามารถได้ยินเสียงได้จากระยะไกล
แม่กอดผมเอาไว้แน่น แม้ว่าไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เธอจะบอกกับผมว่า ‘เราจะไม่เป็นอะไร’ แต่นั่นคงเป็นเพียงการพยายามทำให้ตัวเองเชื่อเช่นนั้น
ได้ยินเสียงร้องไห้ พอหันไปหาที่มาก็เห็นเด็กผู้หญิงผมดำคนนั้นเริ่มน้ำตาคลอ
แต่เธอไม่ใช่คนเดียวในที่แห่งนี้ที่กำลังจะร้องออกมา เด็กหลายคนพากันร้องไห้ไปแล้วด้วยซ้ำ
พอคนหนึ่งร้อง คนสองและคนสามก็ส่งเสียงร้องไห้ตามๆกันมา
ไม่มีผู้ใหญ่คนนั้นหยุดเสียงร้องของเด็กได้ ความหวาดกลัวที่เขาปกคลุมกะทันหันทำให้คำว่า ไม่เป็นไร แตกกระเจิง
แรงภายใต้อ้อมกอดของคนเป็นแม่แน่นขึ้น ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แม้เธอจะเป็นคนที่มีความรู้เยอะ แต่ใช่ว่าความรู้จะขจัดความกลัวได้เสมอไป
ผมได้ยินเสียงของผู้หลบภัยอีกหลายคนพึมพำคุยกัน น้ำเสียงของพวกเขาบอกให้ผมทราบว่าการประเมินสถานการณ์จากประสบการณ์ของพวกเขาไม่ได้เป็นไปด้วยดีเท่าใดนัก
ถึงขั้นมีคนลุกขึ้นยืน และตะโกนบอกให้รีบหนี แล้ววิ่งออกไป
แม้ภายในสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้สว่างมาก แต่ผมเห็นแววตาของผู้หญิงคนนั้น มันคือแววตาของคนที่เสียสติไปแล้ว
หายไปหลายชั่วโมง เขาไม่กลับมาอีกเลย
ไม่มีใครทราบว่าชะตาของหญิงคนนั้นจะเป็นเช่นไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะออกไปตามกลับมา
นอกจากหญิงคนนั้น ก็มีอีกหลายคนที่เริ่มโวยวาย หัวหน้าหมู่บ้านที่ชราภาพมากแล้วพยายามห้ามทุกคนไม่ให้แตกตื่นไปมากกว่านี้
หลายคนไม่เชื่อฟัง เดินหนีออกไป
แน่นอนว่า พวกเขาไม่มีใครที่กลับมาอีก
ชั่วขณะหนึ่ง ผมคิดในใจว่า ข้างนอกมันมีตัวกินคนอยู่หรือไง แต่จากประสบการณ์จากโลกเก่า ก็อบลินมันเป็นมอนส์เตอร์ที่ถูกเซตให้เก่งบ้าง อ่อนแอบ้าง แต่ที่เหมือนกันเกือบทั้งหมดคือมันอันตรายเกินชาวบ้านทั่วไปจะรับมือได้
ผมไม่ได้จะแช่งใคร แต่หากคิดตามหลักความเป็นจริง บางทีคนพวกนั้นอาจจะโดนก็อบลิน…
ตอนที่ผมกำลังคิดในเชิงลบอยู่ หูของผมที่ยังเป็นเด็กได้ยินเสียงบางอย่างกระแทกพื้นดัง กุบกับ กุบกับ
ผมได้ยินเสียงนั้นมาจากระยะไกล ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนผ่านสถานที่ที่พวกเราอยู่ไป
ไม่กี่นาทีต่อมา ประตูของกระโจมก็เปิดออก
คนที่โผล่หน้าเข้ามา คือชายหนุ่มรูปงาม ไว้ผมสีเขียวยาวพอๆกับแม่คนปัจจุบันของผม
“เฟลิซ… เฟลิซใช่มั้ย”
“ค ครับ เอ่อ คุณอลิเซีย ห หัวหน้า เอ่อ หมายถึง โทริส…”
ชั่วขณะที่เขาเรียกพ่อว่าหัวหน้า ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงเคยเป็นคนใต้บังคับบัญชาของพ่อมาก่อน แถมเหมือนจะรู้จักแม่ของผมอีกต่างหาก
เรื่องที่ว่าตัวตนของเขาเป็นใครไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ แต่การที่แม่อลิเซียเห็นเขาแล้วส่งเสียงตกใจแบบนั้น แปลว่าการที่เขาอยู่ ณ ที่แห่งนี้มันมีนัยยะบางอย่าง
“โทริส… สามีของฉัน เป็นอะไร! รีบบอกมาเร็วเข้า!”
เกือบหนึ่งปีที่ผมเกิดมาในโลกนี้ ผมไม่เคยเห็นเธอแสดงอาการร้อนรนขนาดนี้มาก่อน ผมลองลอบสังเกตสีหน้าของชายที่แม่เรียกว่า ‘เฟลิซ’ ดู พอเห็นสีหน้าที่ซีดอย่างเห็นได้ชัด ปากที่พยายามจะอ้าออกมาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ปิดไปราวกับกลืนถ้อยคำบางอย่างลงคอ ผมจึงสรุปเอาเองว่าเขาลังเลที่จะพูดออกมา
สถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก บางทีพ่อของผมในโลกนี้คงได้รับบาดเจ็บ แต่หากมองในแง่ดี การที่ชายคนนี้สามารถวิ่งมารายงานถึงที่ได้เช่นนี้ อาจหมายความว่าการต่อสู้ได้จบลงไป ไม่สิ ผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่จบลงอาจไม่ใช่ผลชนะเสมอไปก็ได้
พอลองคิดแบบนั้นดู จิตใจรู้สึกห่อเหี่ยวลงไม่น้อย
ก็เลยคิดในแง่บวกอีกครั้งว่า ผลที่ออกมาคงเป็นการจัดการได้แล้ว หรือไม่ก็สถานการณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว จึงทำให้แค่คนสักคนหายไปจากแนวรบ คงไม่เป็นไร
“หัวหน้า ม หมายถึง คุณโทริส…”
ผมกลับไปให้ความสนใจกับเขาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของเขากล่าวออกมา
สีหน้าที่ดูลังเล ดวงตาที่มองต่ำแสดงถึงความรู้สึกผิดที่เขามี และยิ่งเขาพูดชื่อของบุคคลที่เป็นพ่อของผมในโลกนี้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้ว ทำให้ผมมั่นใจขึ้นว่าเรื่องไม่ดีได้เกิดขึ้นแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา…”
น้ำเสียงสั่นเครือถูกเปร่งออกมา พอผมหันไปมองแม่ ควบตำแหน่งภรรยาที่ดี ก็สังเหตเห็นว่าใบหน้าของเธอในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเธอเองยามปกติ
คิ้วบิดเข้าหากัน ริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าที่ผมคิดว่าเป็นผู้หญิงสวยงามคนหนึ่งกำลังบิดเบี้ยว หยดน้ำหยดแล้วหยดแล้วร่วงผล็อยจากดวงตา มือที่เคยจับมือของผมเอาไว้ ตอนนี้กำเอาไว้แน่นราวกับออกคำสั่งให้อารมณ์ที่กำลังจะปะทุออกมาให้กลับไป
ผมหันไปมองเฟลิซ ภาวนาอย่าให้เขาเอ่ยถ้อยคำนั้นออกมา…
“โทริส ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ได้รับการรักษา อยู่ที่น หน่วยพยาบาลครับ”
ถึงแม้จะมีจังหวะที่คนเผลอกัดลิ้นตัวเองไป แต่ข่าวร้ายก็ยังคือข่าวร้าย
ผมไม่เคยเห็นคำว่า วิ่งเร็วดั่งพายุมาก่อน
แต่วันนี้ประจักษ์ต่อสายตา อลิเซียหรือหญิงสาวผู้เป็นแม่ของผมในโลกใหม่นี้ ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไป
ผมถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว เฟลิซหันหน้ามามองผมแล้วค้อมตัวลงค้างในท่านั้น
“ขอโทษที่ผมปกป้องพ่อของคุณไม่ได้เลย…”
“แม่ไปไหน…”
ผมไม่อาจต่อว่าอะไรใครได้ เดิมทีอาจเป็นผมเองที่ไม่สามารถปกป้องใครได้ ทั้งที่เป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่ แต่กลับไร้พลังและความสามารถอย่างสิ้นเชิง
จริงๆผมอยากให้เขานำทางผมไปยังที่ตั้งของหน่วยพยาบาลมากกว่า แต่ใช้แม่เป็นข้ออ้างเพื่อทำตัวให้เหมือนเด็กคนหนึ่ง
ยิ่งทำ ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง บางทีถ้าผมไม่ได้แกล้งเป็นเด็กตั้งแต่แรก อาจจะมีคนบาดเจ็บน้อยลงกว่านี้
ลองนึกดูดีๆ บรรยากาศในกระโจม ณ ตอนนี้ไม่สู้ดีนักหลังเฟลิซปรากฏตัว ทั่วพื้นที่ก็ปกคลุมด้วยความขุ่นมัวของความเศร้า
ชาวบ้านที่ยังอยู่ภายในกระโจมหลังนี้ ค่อยๆขยับตัวเข้ามาหาเฟลิซ
พวกเขาเริ่มถามความเป็นตายร้ายดีของครอบครัวของตนที่ออกไปแนวหน้าร่วมกับผู้เป็นพ่อของผม
ชายชื่อเฟลิซโบกมือพัลวัน เขาพยายามถอยหลังหนี สุดท้ายก็คว้ามือผมเอาไว้แล้ววิ่งออกกระโจมไปด้วยกัน
ได้ยินเสียงชาวบ้านบ่นจากด้านใน แต่ไม่ได้ฟังให้ดีจึงไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรบ้าง
เราสองคนวิ่งไปจนถึงสถานที่ที่ตั้งของหน่วยพยาบาล
เบื้องหน้าผมเป็นกระโจมสีขาวหลังใหญ่ ที่ตรงทางเข้ามีม่านสีขุ่น ลักษณะโปร่งแสงติดตั้งเอาไว้ไม่ให้ภายนอกมองเข้าไปภายในได้ง่ายๆ ตรงกลางม่านนั้นมีตรากาชาดอยู่ ทำให้มองออกทันทีว่าที่แห่งนี้คือที่ตั้งของหน่วยพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัยว่าจะโดนหลอก
ผมได้ยินเสียงร้องไม่ได้ศัพท์จากด้านในปะปนมากับเสียงร้องไห้ หากผมไม่ได้คิดไปเอง เสียงนั้นคือเสียงของอลิเซีย
ทั้งผมและเฟลิซต่างหยุดยืน ไม่กล้าเดินหน้าไปมากกว่านี้ เขาเองก็คงได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน
เสียงร้องไห้นั้นไม่ได้ดังต่อเนื่อง เป็นเสียงสะอึกสะอื้น เต็มไปด้วยความเศร้าประหนึ่งโลกของคนๆหนึ่งได้พังทลาย
เสียงตะโกนที่แหบแห้งเรียกชื่อ ‘โทนิส’ เพื่อปลุกร่างของคนๆหนึ่งให้ฟื้นขึ้นมา โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลยดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเสียงนั้นก็หายไป เหลือเพียงแต่เสียงสะอื้นไห้ท่ามกลางความเงียบที่เปล่าเปลี่ยวที่รายล้อมรอบตัวเท่านั้น
“พ่อ พ่อเป็นอะไรไป…”
ผมหันไปถามเฟลิซ ตั้งใจจะขจัดความเงียบที่ชวนหดหู่ที่รายล้อมเราสองคนไป
เฟลิซคลายมือที่กุมกันเอาไว้ของผม เขาย่อตัวลงไปนั่งชันเข่าและบีบไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้
“ผมขอโทษ…”
เขาเอ่ยออกมา เสียงสั่นของเขาบอกผมว่าเขารู้สึกผิดแค่ไหน แต่ดังที่ได้กล่าวไป ผมไม่โทษเขา หากมีใครสักคนจะผิด บางทีคงเป็นตัวผมเองที่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
แม่หายเข้าไปนานพอๆกับเวลาที่ใช้เดินทางมา ผมเริ่มเป็นห่วงว่าเธอจะเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วหรือเปล่า
ผมได้ยินเสียงของหน่วยแพทย์ทำงานอีกครั้ง เหมือนเห็นปรากฏการณ์ของแสงบางอย่างสาดส่องออกมาผ่านม่านสีขุ่น
นั่นคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ ปรากฏการณ์ที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้ที่มีมาจากโลกก่อน
แสงสีเขียวสว่างนั้นส่องแสงไม่นานก่อนจะดับลงไป และมีคนเดินออกมาจากม่านที่กั้นเอาไว้
คนๆนั้นคือแม่ในโลกนี้ ผมไม่เห็นเธอร้องไห้แล้ว แต่บนใบหน้ายังคงทิ้งร่อยรอยเอาไว้ บางทีเธอคงไม่หลงเหลือน้ำตาให้หลั่งไหลไปมากกว่านี้ได้อีก
เธอหันมา สบตากับผม ร่างสูงที่วัดจากตัวผมในวัยนี้แทบจะล้มลงมา โชคดีที่เฟลิซเข้าไปช่วยประคองได้ทัน
อลิเซียไม่อาจแสดงความเข้มแข็งต่อหน้าลูกชายอย่างผมได้อีกต่อไป
“ชิน…”
เธอเอ่ยชื่อของผมออกมา แต่ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยต่อจากนั้น สิ่งที่เธอทำมีเพียงกอดร่างลูกชายของตัวเองไว้แน่น
ส่วนผม ทำได้เพียงกอดเธอกลับไป
ในร่างของเด็กเล็ก ผมได้สัมผัสตัวตนของเธอผู้เป็นแม่ในโลกนี้อีกครั้งว่า
ตัวตนที่ผมมองว่าสูงใหญ่ จริงๆก็เล็กนิดเดียวเท่านั้น
แผ่นหลังของเธอ แม้สองมือของผมจะไม่สามารถกอดได้เต็มวงแขน แต่ก็ดูบอบบางขึ้นมาถนัดตา
“แม่”
ผมเรียกเธอที่ส่งเสียงสะอื้นไห้
“ไม่เป็นไรนะครับ”
ผมไม่สามารถสรรหาคำใดๆมาปลอบโยนให้เธอรู้สึกว่ามีที่พึ่งได้ สุดท้ายจึงได้เพียงเอ่ยถ้อยคำนั้นออกไป
คืนนั้น ภายในบ้านที่มีเพียงผมกับแม่อยู่สองคน
พ่อของผม – โทริสไม่เสียชีวิต แต่บาดเจ็บสาหัส เสียอวัยวะบางส่วนไป กลายเป็นผู้พิการ ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองไปตลอดชีวิต
ผมทิ้งตัวลงน้องบนเตียงหลังใหญ่ ในหัวนึกถึงตอนที่ได้เตียงนี้มาใหม่ๆหลังจากที่เติบโตมาได้สักพัก โทริสและอลิเซียก็ช่วยกันหาหนทางเพื่อให้ได้เตียงที่เหมาะสมกว่าเตียงสำหรับเด็กทารก
ในห้องที่ไร้แสงจากภายใน มีเพียงแสงจากวัตถุบนฟากฟ้าอย่างดวงจันทร์และดวงดาวที่ให้แสง ผมแหงนหน้ามองเพดานที่มีหินเวทมนตร์ฝังที่ไหนสักที่ในนั้น
ทำไมผมถึงเกิดมาบนโลกนี้อีกครั้งกันนะ
หากนี้เป็นฝัน คงเป็นฝันที่ยาวนาน ฝันครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะโดนวัตถุมวลหนักอย่างรถบรรทุกชนเข้า
หากนี้เป็นฝัน ร่างของผมในตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ
โดนชนขนาดนั้น คงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีแน่ๆ
ดังนั้น ภาวนาให้มันเป็นความจริงเสียยังดีกว่า แต่หากเป็นความจริง ผมก็ไม่อยากให้ใครมาเศร้าเสียใจจากการตัดสินใจแย่ๆของตัวเองเลย
และสิ่งที่ตอกย้ำผมไปยิ่งกว่านั้นคือเสียงในห้องข้างๆ
ผมได้ยินเสียงคนทรุดตัวลง ได้ยินเสียงเธอกำลังร้องไห้
หากเป็นไปได้ก็อยากกล่าวขอโทษ อยากเล่าให้เธอฟังว่าความจริงแล้ว ผมเป็นผู้กลับชาติมาเกิดที่อาจจะมีสกิลโกงๆติดตัวก็ได้
แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่กล้าบอกเธอ
แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมหลับตา และส่งสติสัมปชัญญะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
…
“—-”
ผมได้ยินเสียงใครเรียกชื่อของผม เป็นชื่อของโลกเดิม ผมไม่ได้ยินมันมาเกือบปี เป็นชื่อที่ตัวเองก็เกือบลืมไปแล้ว และเป็นเสียงที่เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“โอ๊ย”
ผมได้ยินเสียงใครบางคนร้องออกมา ผมหันไปมองตามทิศทางที่มาของเสียง
เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิง ไว้ผมสั้น หน้าตาน่ารักในความคิดของผม
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผม ในความทรงจำ จัดให้เธอเป็นคนที่ผมไม่สนิท แต่รู้จักกัน เป็นเด็กนักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่ในช่วงที่ผมอยู่วัยมัธยมต้น และโดนกระแสของความเกลียดชังกดทับอย่างรุนแรง
เพราะเป็นเด็กใหม่ที่ย้ายเข้ามาในช่วงปีสุดท้ายของช่วงวัยมัธยมต้น มีหน้าตาที่ดี ตกเป็นเป้าสนใจของคนทุกคน
เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน ทำให้การเข้าเรียนกลางเทอมไม่ใช่เรื่องที่เดินเรื่องได้ยากในสถานที่ที่ผมจากมา หากทางบ้านมีชื่อเสียงในด้านที่ดี หรือมีเงินพอจะเสียให้กับค่าบำรุงการศึกษา ก็พอจับยัดเข้ามาได้แล้ว
แต่บังเอิญว่านามสกุลของเธอ ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้จักกันเอง แต่การค้นหาผ่านทางอินเทอร์เน็ต นอกจากญาติเธอที่ใช้ชื่อจริง นามสกุลจริงในโลกโซเชี่ยล ก็ไม่ขึ้นผลการค้นหาอะไรมาเลย
และเจ้าตัวก็ไม่เคยบอกกล่าวอะไร จึงคิดได้ว่าเป็นในกรณีหลังคือ ใช้เงินเพื่อเข้ามากลางเทอม
เธอ ไม่เคยพูดว่าทำไมถึงย้ายมา และไม่ได้สนิทกับเธอ จึงไม่เคยซักถามถึงสาเหตุ
ความนิยมของเจ้าตัว ตรงกันข้ามกับตัวผมอย่างสิ้นเชิงในช่วงแรก กับผมที่เป็นคนจืดจางภายในห้อง ภายในโรงเรียน ตัวเธอคือคนมีแสงสว่างในตัวเอง อาจเพราะการเข้ามากลางเทอมทำให้กลายเป็นที่สนใจ มิหนำซ้ำความหน้าตาดีสมวัยของเธอก็สร้างความน่าเอ็นดูออกมา ช่วงที่ย้ายมาใหม่ เกือบทุกคนในห้องจึงคอยช่วยเหลือเธอไม่ขาด
มันคงเป็นเรื่องที่ดี หากความหวังดีนั้นอยู่กับเธอไปจนจบการศึกษา ทว่าความหวังดีจากเกือบทุกคนดังกล่าว กับอยู่กับเธอเพียงช่วงสองถึงสามเดือนแรกเท่านั้น
เพราะในห้อง ย่อมมีคนไม่พอใจ โชคร้ายที่คนกลุ่มนั้นคือคนกุมอำนาจเก่าในห้องเรียนมาก่อน พวกเธอคือกลุ่มนักเรียนหญิงที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของห้องก่อนเด็กใหม่จะย้ายมา
ไม่ว่าจะชื่อเสียง เงินทอง เส้นสาย พวกเธอก็มีทั้งหมด สิ่งที่พวกเธอขาด ใช่ว่าจะไม่มี หากให้ตัวผมในตอนนี้ กล่าวถึงพวกเธอในตอนนั้น สิ่งที่พวกเธอขาดอาจเป็นการดูแลเอาใจใส่และการอบรมจากครอบครัวก็ได้
พวกเธอเป็นพวกจองหอง มีเงินเยอะ ทำให้คิดว่าเกือบทุกอย่างจัดการได้ด้วยทรัพย์สินที่มี รวมไปถึงชื่อเสียงที่คลุมได้แม้แต่ผู้อำนวยการหรือสำนักข่าวหลายๆที่
คำว่า อดีตอันดับหนึ่ง ที่พวกเธอรับรู้จากการปฏิบัติตัวของคนในห้อง นำพาโชคร้ายมาสู่เด็กใหม่
ไม่ใช่เรื่องที่อาศัยเวลา มันเกิดขึ้นปุบปับ เพียงไม่กี่เดือน ความเอาใจใส่ ความเอ็นดูที่มีต่อเด็กสาวก็ถูกทำลาย มันกลายเป็นการมองมายังเธอด้วยความมุ่งร้าย สายตาเคลือบแคลง ตั้งคำถาม อคติต่อคนๆหนึ่ง
จากอันดับสูงสุด กลายเป็นคนที่ทั้งห้องจับจ้องด้วยสายตาประสงค์ร้าย กลายเป็นเหมือนตัวตนที่ถูกรังเกียจ หมดสิ้นความใจดีทั้งหมดที่เคยแสดงออกมา
โต๊ะที่นั่งเรียน ถูกเขียนถ้อยคำด่าทอ รองเท้าถูกเอาไปทิ้ง
มีข่าวลือกันหนาหูในชั้นปีว่า เธอเข้ามาด้วยเส้นสายของคุณครูนิรนามคนหนึ่ง ที่พ่อของเธอยอมให้เธอมีอะไรด้วย เพื่อแลกกับการเข้ามากลางเทอม
มีนักข่าวมาสอบถามเรื่องนี้แทบทุกวัน ผมได้ยินเสียงเธอคอยปฏิเสธตลอด แต่ถึงกระนั้น คนที่ปักใจเชื่อไปแล้ว ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
การกลั่นแกล้งในห้องเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเคยคิดว่าเธอเป็นคนเข้มแข็งที่อดทนมาได้ขนาดนี้ จนกระทั่ง…
“…ทำไม”
เพราะเรานั่งโต๊ะที่ไม่ห่างกันมาก ทำให้ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ
ผมหันไปมอง เห็นเธอก้มหน้ามองโต๊ะ ดวงตาเจ่อนองด้วยน้ำตา บนโต๊ะมีข้อความด่าทอมากมายขีดเขียนเอาไว้
อีตอแหล
ขี้โกหก สารเลว ขยะแขยง…
แค่คำไม่กี่คำ จากตำแหน่งที่ผมนั่งก็เห็นได้หลายจุด
จากนั้น ผมได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
คนทยอยเข้ามาในห้อง กลุ่มเด็กผู้หญิงที่คอยกลั่นแกล้งเด็กใหม่ก็เข้ามาเช่นกัน
พวกเธอมองเป้าหมายด้วยหางตา ยิ้มเยาะแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่กี่นาทีต่อมา ชั่วโมงโฮมรูมเริ่มพร้อมกับคุณครูที่เดินเข้ามา
ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้ ผมไม่ใช่คนที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ ณ ตอนนั้น
ณ ตอนนั้น หากผมมีความคิดที่มากกว่านี้ ผมคงเลือกทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้ และเธอคง…
สติของผมในความฝันหายไป พร้อมกับเช้าวันใหม่ที่มาถึง
“เอ๋? ห๊ะ?”
ผมรู้สึกตัวว่าส่งเสียงพิลึกๆออกมา แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตอนนี้ เบื้องหน้าของผมมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้ามองผมอยู่
“เอ๋? ห๊ะ? เหรอ ฮิฮิ แปลกจัง”
ผิวกายสีขาวผ่อง เสียงหัวเราะสดใสที่ช่วยปัดเป่าความมืดในใจออกไปได้ เส้นผมสีทองยาว ดวงตาสีฟ้าสดใส ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มให้บรรยากาศสดใสเหมือนแสงแดดยามเช้าในหน้าหนาวที่ให้ความอบอุ่นในยามที่ห้องเพิ่งผ่านยามค่ำคืนอันหนาวเย็นมา
ทรวดทรงองค์เอวมีสัดส่วนเว้าโค้งที่เย้ายวน เป็นบุคคลที่รูปงามทั้งหน้าตาและร่างกาย
เธอเป็นคนสวยคนหนึ่งในสายตาผม และไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็กล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังมองมาที่ผม ภาพของผมที่สะท้อนในดวงตาของเธอ ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ว่าไม่ใช่เด็กเล็ก แต่กลับเป็นตัวตนของผมในอดีต ตัวตนของผมในโลกก่อน
MANGA DISCUSSION