ภายในโรงแรมหรู ที่ห้องนอนส่วนตัวของผม ในฐานะเจ้าของห้องแล้วย่อมมีสิทธิที่จะให้ใครไม่เข้าห้องก็ได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อำนาจเหล่านั้นกลับไม่ใช่ของผมเลยสักนิด
ในห้องนอนหลังใหญ่ ผู้หญิงห้าคน – วิเวียน อาร์เจนตา ลูน่า เอรี่ และไลล่า ต่างเข้ามารวมตัวกันภายในห้อง จากพื้นที่ใหญ่เกินไปสำหรับหนึ่งคน บัดนี้กลับรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
ตัวตนของผมถูกบีบอัดให้ลีบเล็กลงอยู่บนเตียง นั่งนิ่งขยับไปไหนไม่ได้
สายตาทั้งห้าคู่ที่จ้องมองผมสลับไปมา ราวกับนักเดินเรือที่ยานพาหนะอัปปางกลางทะเลและตอนนี้กำลังอยู่บนแพ โหยหาความช่วยเหลือ หนีจากทางออกจากฉลามนักล่าทั้งห้า
ไม่สิ ตัดไปหนึ่งคนคือ เอรี่ ที่ตอนนี้กำลังนั่งข้างผม
ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วหลังจากที่เฮนริค ลูเมนฮอฟกับไอลิน ลูเมนฮอฟได้จากเด็กสาวไป เหลือเพียงแต่ความทรงจำเอาไว้
ตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่มีที่ไป จึงกลายเป็นว่าต้องมานอนห้องเดียวกับผมไปก่อน
แทบทุกคืน ผมจึงได้ยินเสียงเธอร้องไห้ นานบ้าง สั้นบ้าง
ถึงผมจะนอนหันหลังให้ แต่ก็สามารถรับรู้ความโศกเศร้าจากการสูญเสียนั้นได้ชัดเจนราวกับกำลังจ้องมองเธอทั้งคืน
จนคืนล่าสุด ที่ผมไม่ได้ยินเสียงใดๆอีกแล้ว
คืนนั้น มีเพียงเสียงเรียกชื่อผม แต่ผมไม่ได้ตอบรับกลับไป ปล่อยให้ความเงียบกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง หายไปราวกับเป็นอากาศธาตุ
และแล้วเช้าวันนี้ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
“ชิน พวกเราตัดสินใจแล้ว”
คนที่เปิดบทสนทนามาท่ามกลางวงล้อมคือ วิเวียน เท่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้ เธอคงเป็นตัวต้นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ส่วนเรื่องตัดสินใจ คงเป็นเรื่องที่เธอคุยกันเอง
เรื่องแรกก็คือ
“ฉันกับอาร์เจนตาคุยกันแล้วว่าจะรับเอรี่มาอยู่ด้วยนกัน”
เป็นเรื่องที่ผมผิดคาด แต่ไม่ถึงกับตกใจมาก
ส่วนเรื่องที่สองนั้น พื้นที่ของการพูดตกเป็นของไลล่าที่ก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนจะหันไปหาวิเวียนและโค้งตัวลง
“ท่านวิเวียน ขอขอบคุณที่ดูแลเสมอมาค่ะ”
คำพูดของเธอชวนให้คิดในเรื่องที่ไม่ดี คำพูดแบบนี้ผมคิดว่าตัวเองเคยได้ยินจากการดูเรื่องราวที่ฉายผ่านจอคอมมานักต่อนัก
ถัดจากนั้น เธอหันมาหาผมและค้อมตัวลงคล้ายทำความเคารพ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“ถึงจะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ฉันขอขอบคุณท่านชินเช่นกันค่ะ”
รอยยิ้มน้อยๆของเธอทำให้ผมเผลอยิ้มตาม แม้จะไม่เข้าใจว่าเธอขอบคุณผมเรื่องอะไรก็ตาม
เพราะผมรู้สึกว่าเป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ สำหรับความช่วยเหลือเพียงฝ่ายเดียวที่เธอมอบให้ตลอดเวลาที่รู้จักกัน
“ลูน่า ขอบคุณนะคะที่ดุฉันเวลาฉันทำพลาด”
ถัดไปก็เป็นลูน่า
คนโดนขอบคุณตอบกลับเขินๆว่า ‘อะไรเล่า คนกันเองแท้ๆ’ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แถมยังไม่กล้าหันมามองตรงๆอีกต่างหาก
สุดท้าย คืออาร์เจนตา
“ขอบคุณนะคะ คุณอาร์เจนตาสำหรับการดูแลและฝึกฝนตลอดหลายปี”
เมดสาวผมเงินพยักหน้าเบาๆ แทนการรับรู้ในความรู้สึกของไลล่า
หากใครจะเป็นคนที่นิ่งต่อการขอบคุณของไลล่าที่สุดก็คงเป็นอาร์เจนตานี่แหละ
“ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านค่ะ”
นั่นแปลว่าเธอจะออกจากบ้านเอเวอร์ไลท์หรือเปล่านะ?
แอบใจหายเหมือนกัน แต่ถ้าหากนั่นเป็นการตัดสินใจของเธอแล้ว ผมก็ไม่คิดจะรั้งหรือสอบถามอะไร
บางทีเหตุการณ์ในครั้งนี้คงทำให้เธอเลือกเส้นทางข้างหน้าของตนเองไปแล้ว
ส่วนเอรี่ ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดเห็นอย่างไรกับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเอเวอร์ไลท์ ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะรู้สึกแย่ที่ต้องอยู่ร่วมกับผมหรือเปล่า
ถัดจากวันชุมนุมภายในห้องพักของผมสองวัน พวกเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านหลังใหญ่ของเรา ทั้งที่จากไปไม่ถึงเดือน แต่ในความรู้สึกของผมกลับรับรู้เหมือนผ่านไปเกือบปี
บนรถม้าที่ไลล่าจะทำหน้าที่เป็นสารถีเป็นครั้งสุดท้าย มีสมาชิกเพิ่มเติมอีกหนึ่งคนคือ เอรี่ ถ้าหากเรียกให้ถูกต้องคือหลังจากนี้เธอจะเปลี่ยนเป็น เอรี่ เอเวอร์ไลท์
ท่ามกลางเส้นทางเดินที่ขรุขระ รถม้าสั่นไหวท่ามกลางความเงียบ
เอรี่นั่งกอดสัมภาระโดยจ้องมองมายังผม
สายตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยการครุ่นคิด หากถามตัวผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอกำลังมองผมในทิศทางไหน ดวงตาที่นอกจากความโศกเศร้าแล้ว ผมก็บอกอะไรไม่ได้เลยกำลังจ้องมองผมเช่นนั้นตลอดทาง
เธอจะคิดว่าผมเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมกันไม่ได้หรือเปล่า
เธอจะคิดว่าผมคือต้นเหตุที่ทำให้แม่ของเธอเสียชีวิตหรือเปล่า
หรือเธอจะให้อภัย ไม่โกรธอะไรอีกแล้ว
ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้
ระหว่างการเดินทาง เราพักที่ป่าข้างทางเหมือนครั้งที่ผ่านมา เป็นค่ำคืนที่ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น
และเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราก็ถึงคฤหาสน์บ้านเอเวอร์ไลท์
การจัดแจงห้องนอน เอรี่ไม่ได้มาอยู่ในฐานะเดียวกับผม
กล่าวแบบนี้อาจฟังดูแปลก แต่เธอเลือกที่จะเป็นเมดอีกคนของบ้านหลังนี้ ส่วนไลล่าออกเดินทางในวัดถัดไป
ได้ยินวิเวียนคุยกับเธอว่า “ไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทางก็ได้” แต่ทางฝ่ายนั้นก็ยังคงยืนยันที่จะออกเดินทาง โดยให้เหตุผลไว้ว่าไม่อยากรบกวนบ้านเอเวอร์ไลท์มากกว่านี้
เช้าวันถัดมา ไม่เหลือร่องรอยว่าเธออยู่ภายในบ้านอีกเลย จะมีเพียงแต่รูบี้ที่ยังเผลอเดินเรียกชื่อเธอ ก็เท่านั้น
ส่วนผม หลังกลับมาไม่ถึงสัปดาห์ก็ถูกอาร์เจนตาจับไปฝึกหนักแทบทุกวัน อาจดูแล้วไม่แตกต่างจากชีวิตประจำวันที่ผ่านมาในระยะเวลาหนึ่งปี แต่ที่เพิ่มเติมก็คือ วิธีการฝึกนั้นกลับหนักขึ้น
การลงน้ำหนักในแต่ละครั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์บางอย่าง แม้ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นนั้นจะไม่ได้แปรเปลี่ยนมาก ทว่าทุกครั้งที่ฝึกจบ ทุกครั้งที่ผมล้มลง เธอจะเดินเข้ามาหาและใช้ [ฮีล] เพื่อฟื้นฟูผม
ชีวิตประจำวันของผมกลับเข้าสู่เวลาปกติอีกครั้ง
…
จากที่นั่งตรงนี้ ฉัน มองเห็นเรือครูซที่กำลังขับเคลื่อนอยู่บนแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ อาหารที่อยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นหอมหวน แต่ความอยากอาหารในตัวไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ตอนนี้ ฉัน กำลังรอบุคคลคนหนึ่ง ชายผู้เคยเป็นอันที่รัก ชายที่ฉันตัดสินใจแต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูกชายคนหนึ่งด้วยกัน ตั้งใจจะเลี้ยงดูเขาให้มีความสุข
เพราะ เงิน คือปัจจัยสำคัญ พวกเรารู้เรื่องนั้นดี จึงใช้เวลากับการหาเงินเข้าบ้าน จ้างแม่บ้านที่มากประสบการณ์เอาไว้เพื่อคอยดูแลลูกชายของพวกเรา
แต่ว่า เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
จุดเริ่มต้นอาจจะมาจาก ฉัน ที่ไว้ใจลมปากของแม่บ้านคนนั้นมากไป หรือบาทีอาจจะ เรา ทั้งคู่ ที่คิดว่าปล่อยให้เด็กคนนั้นได้เติบโตโดยไม่มีพวกเราก็ไม่เป็นไร
“กานต์…”
นับตั้งแต่วันที่ลูกชายของเรา กานต์ โดนรถชนไป ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เหมือนแจกันที่ตกลงพื้น
ไม่แตก แต่รอยร้าวที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะรักษาไว้ สุดท้ายเราก็แยกทางกัน
เรื่องที่เรามาคุยกันในวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งปีหลังลูกชายเสียชีวิตไป
พวกเราตัดสินใจที่จะหย่าขาดกัน
“ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเลยนะ ลิล”
เสียงของเขา ฉันยังจำได้ ข้างตัวเขามีผู้หญิงสาวคนใหม่ ที่ทั้งสาวและสวยกว่าฉันที่เป็นแค่พนักงานในออฟฟิศ มีเงินเดือนมากกว่าใครเขานิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับต้องโอ้อวดได้
เขาเลื่อนเก้าอี้นั่ง เสียงเก้าอี้สองตัวที่ถูกลากออกมาพร้อมกับทำให้ฉันรู้สึกบาดใจเล็กน้อย
เมื่อก่อนตอนเราคบกันใหม่ๆ เขาก็เคยดูแลฉันแบบนี้ แต่ถึงตอนนี้ฉันคงไม่โกรธแค้นอะไรเขาอีกแล้ว
นี่คือการตัดสินใจของเราทั้งคู่ เขาจะไปคบหาใครใหม่ก็เรื่องของเขาแล้วเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น…
“วัฒน์ คุณจำวันนี้ได้หรือเปล่า”
เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ ฉันจึงไม่อยากให้เขาพาผู้หญิงใหม่ของเขามาแนะนำให้ฉันรู้จักในวันแบบนี้
“วันนี้เหรอ… อ่า จริงสิ ใกล้วันเกิดเธอแล้วนี่หน่า”
วันเกิดของฉันคือวันที่ 25 กันยา ใกล้วันเกิดของฉันจริงๆอย่างที่เขาว่า เพียงแต่…
“ไม่ใช่…”
ไม่ใช่สักหน่อย วันนี้คือวันที่ 20 กันยา วันที่กานต์เสียชีวิตต่างหาก!
พอฉันตะคอกแบบนั้นออกไป สีหน้าของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ผู้หญิงที่มาด้วยไม่แสดงอารมณ์ส่วนร่วมอะไร ราวกับถือป้ายและบอกว่าเรื่องนี้ตัวเองจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ให้มองตนเองเป็นอากาศธาตุได้เลย
“ลลิล เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่คุยเรื่องลูกกันในที่แบบนี้”
เขาพูดถูก เราเคยตกลงกันแล้วจริงๆว่าจะให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเราเพียงสองคน จะไม่หยิบมันออกมาคุยในที่สาธารณะเด็ดขาด
เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วเข้าที ฉันคงผิดไปเองจริงๆ แต่ว่า
“ขอแค่วันนี้ ขอแค่ครั้งนี้ เราจะเลิกแล้วต่อกันแล้วนะ วัฒน์”
ทำไมยังทำตัวแบบนั้นได้อีก คุณเองก็เป็นพ่อของเขาไม่ใช่หรือไง!
อยากตะโกนแบบนั้นออกไป แต่ถ้ามากกว่านี้คงโดนทั้งร้านมองและอาจจะโดนเชิญออกจากร้านได้ ฉันจึงเลือกสงบปากสงบคำไว้แต่เพียงเท่านี้
ขั้นตอนการเซ็นเอกสารหย่าไม่มีอะไรซับซ้อน ตอนนี้เหลือแค่เรากรอกแบบฟอร์ม
ก็พวกเราตกลงกันแล้วนี่…
มื้อเย็นวันนั้น ฉันแทบไม่รับรู้ถึงรสชาติเลย
บรรยากาศที่เขาว่าสวย วิวที่เขาว่ากลับไม่ปรากฏในสายตาเลยสักนิด
พอถึงบ้าน สถานที่ที่ลูกของฉันเคยอาศัย ก็เดินขึ้นไปบนห้อง
ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง แต่เป็นห้องนอนที่เขาเคยอาศัยอยู่ สมัยที่ยังมีชีวิต
บนโต๊ะทำงาน มีสมุดไดอารี่เล่มหนึ่ง เมื่อก่อนเขาเป็นคนชอบเขียนมาก โตมาก็อาจจะยังติดนิสัยนั้นอยู่ จึงมีสมุดไดอารี่ทิ้งไว้
ฉันเคยถือวิสาสะเปิดอ่าน ครั้งแรกที่เห็นฉันตกใจมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขารู้สึกอย่างไรหรือเผชิญกับปัญหาอะไรบ้างในหลายปีที่ผ่านมา
อย่างเช่น เรื่องแฟน พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเคยมี
ฉันไม่รู้ว่าเขาเคยคิดจะฆ่าตัวตาย ไม่รู้เลยว่าถึงขั้นพยายามทำร้ายร่างกายตัวเอง
พอเรื่องพวกนั้นมาตอกย้ำว่าเราไม่สนใจลูกชายมากแค่ไหน
และเพราะแบบนั้น ตำรวจที่แสนไม่ได้เรื่องจึงพยายามจะยัดเยียดผลสรุปของคดีที่ลูกชายโดนรถชนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย
หากไม่มี เด็ก ที่เขาช่วยไว้มายืนยัน เขาคงกลายเป็นหนึ่งในหลายร้อยคดีที่ถูกมองแบบผิดๆ
“เขาตะโกนว่า ระวัง เสียงดัง แล้วก็ผลักหนู…”
เด็กสาววัยมัธยมต้นคนนั้นบอกแบบนั้น สาเหตุที่เขาช่วยเหลือใครสักคน ฉันไม่อาจทราบได้ บางทีคงมีบางอย่างไปกระตุ้นเขา แต่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ใครคิดจะทำก็ทำได้เลย
และคำให้การของเด็กสาวที่เป็นประโยชน์เช่นนั้น ทำให้ทั้งฉันและวัฒน์ต่างได้รับค่าเสียหายที่ทางบริษัทขนส่งเจ้านั้นต้องจ่ายให้เป็นค่าเยียวยา
แต่เงินมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน…
กานต์ เติบโตขึ้นมา เผชิญปัญหาหลายๆอย่าง โดยมีสื่อออนไลน์อย่างพวกอนิเมะ หนัง หรือซีรีส์เป็นเพื่อนยิ่งกว่าฉันและวัฒน์ที่พ่อแม่
น้ำตาหยดลงแหมะบนเตียงนอนที่เขาคงเคยทิ้งตัวลงหลับพักผ่อน
ร้องไห้อีกแล้ว…
ทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์แท้ๆ แต่น้ำตาและความเศร้าที่ล้นขึ้นมาก็พุ่งพล่านไม่หยุด
ค่ำคืนนั้น ฉันหลับลงไปในห้องนอนของลูกชายโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันใหม่มาถึง ฉันยังคงโอบกอดความสูญเสียนั้นเอาไว้เพียงลำพัง
MANGA DISCUSSION