ชื่อของฉันคือ โทริส มีภรรยาสุดน่ารักชื่อ อลิเซีย เราพบกันในสมัยเรียนที่โรงเรียนหลวงในราชอาณาจักร เธอเป็นลูกของครอบครัวที่ยศถาบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าฉันไปสองระดับ เรารักกัน แต่ครอบครัวค่อนข้างกีดกัน
ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ชายคนโตของตระกูล จึงต้องแบกภาระมากมายเอาไว้ ทั้งตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปและตำแหน่งผู้นำกองพันทหารที่สืบทอดต่อกันมาในกลุ่มตระกูลทั้งสาม
ฉันมันคนไม่เอาไหน ทั้งปู่และพ่อของฉันชอบบอกกับฉันแบบนั้น
ฉันมันคนไม่รักดี ทั้งปู่และพ่อของฉันชอบบอกกับฉันแบบนั้น และท่านทั้งสองพยายามหาภรรยาที่เหมาะสมกับวงศ์ตระกูลของพวกเขาให้แก่ฉัน
มันผิดหรือเปล่านะที่ต้องเป็นลูกชายคนโตของบ้าน?
คงไม่ผิดนักหรอก อาจจะเป็นฉันที่ผิด ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตระกูลได้
แต่ฉันตอบสนองความต้องการของตัวเองได้
อลิเซีย ภรรยาของฉัน แม้จะเป็นตระกูลขุนนาง แต่เป็นกลุ่มตระกูลขุนนางต่ำศักดิ์ หากใช้คำกล่าวที่พูดกันในงานพบปะสังสรรค์ของพวกชั้นสูงแล้วก็คือ พวกขุนนางกระจอก
ทั้งปู่และพ่อ เรียกสกุลของอลิเซียเช่นนั้น แต่ฉันไม่ได้สนใจ
อลิเซีย เป็นคนสวย เป็นรักแรกของฉัน
ว่ากันตามตรงฉันเป็นเหมือนนกน้อยในกรงทองเสียมากกว่า ฉันชอบบอกแบบนั้นกับเธอ เธอก็จะตีแขนฉัน และบอกว่าตัวเธอต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น
เราสองคนหัวเราะด้วยกัน พยายามศึกษากันและกันเพื่อยืนยันว่าความรู้สึกที่เราทั้งสองมีไม่ได้เกิดจากอารมณ์เพียงชั่ววูบ
อลิเซียเป็นคนฉลาด บางทีเธอคงรู้ตัวและยืนยันความรู้สึกของตัวเองได้ก่อนฉันนานหลายวัน ไม่สิ อาจจะหลายเดือน แต่คงไม่ถึงหลายปี
ฉันมีน้องชายคนหนึ่ง เขาชื่อ แรนดัล แรนดัลสนิทกับฉันมากกว่าพี่น้องอีกสามคนที่เหลือ
แต่เราก็เกิดความขัดแย้งกันเมื่อคนที่พ่อจะให้แต่งงานด้วยคือคนที่แรนดัลแอบหลงรักมานาน แต่ไม่เคยได้บอกเจ้าตัว
แม้จะอธิบายอย่างไร แรนดัลก็ไม่ฟัง ฉันจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับอลิเซีย เพราะตัวฉันไม่ฉลาดพอที่จะหาทางออกได้คนเดียว
อลิเซียยิ้มให้กับความทุกข์ของฉัน เธอแนะนำมาว่าให้แรนดัลเป็นคนแบกภาระของฉันเองเสียก็สิ้นเรื่อง
ฉันไม่เข้าใจ อลิเซียจึงอธิบายเพิ่มว่า เราหนีไปด้วยกันดีมั้ย
ฉันจึงเข้าใจถึงแผนที่อลิเซียคิดเอาไว้
พอนำเอาเรื่องนี้ไปคุยกับแรนดัล เขายิ้มให้ฉันทั้งน้ำตา บางทีคงเป็นน้ำตาแห่งความปิติ เขาเข้ามากอดฉันและขอให้ฉันโชคดี เพราะสนับสนุนให้ฉันหายจากตำแหน่งหัวหน้ากองพันและพร้อมรับช่วงต่อผู้นำตระกูลเอง
ถ้าฉันหายไป คนที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปคือเขา และตำแหน่งหัวหน้ากองพันคงเป็นอีกบ้านที่มีความสามารถด้านการรบทัดเทียมกับฉัน แต่โชคร้ายที่ในการสอบคัดเลือก เขาบาดเจ็บไปเสียก่อน
ฉันละทิ้งนามสกุลของฉันไป ‘โทริส ฮาร์เทอร์’ เหลือเพียง ‘โทริส’ ส่วนภรรยาละทิ้งนาม ‘อลิเซีย โพ’ เหลือเพียง ‘อลิเซีย’ และหนีไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอดีกับที่เราหอบเงินจำนวนหนึ่งมาด้วยทำให้เราสามารถซื้อขาดบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ได้หลังหนึ่ง มันเป็นบ้านร้าง แค่ปัดกวาดเช็ดถูนิดหน่อยก็พออาศัยอยู่ได้แล้ว
หลังจากเราอาศัยอยู่ด้วยกัน ตัดขาดจากพันธะที่เรียกว่า วงศ์ตระกูล เราก็มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ชิน’
ฉันมีพี่น้องหลายคนจึงจำได้ว่า ตอนพวกเขาพูดได้คือช่วงอายุ 2 เดือนแรก ไม่รู้ว่าพวกเป็นอัจฉริยะกันหรืออย่างไร แต่ลูกชายของพวกเราอยู่ในช่วง 3 เดือนกำลังไป 4 เดือนแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้
อลิเซียบอกว่าลูกไม่ค่อยเหมือนเด็กทารกในตำราเท่าไหร่ เขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ บางทีลูกอาจจะเป็นอัจฉริยะจริงๆก็ได้
ฉันที่รู้จักเพียงแค่การกวัดแกว่งดาบ ทิ่มแทงด้วยหอก ฟาดฟันศัตรูบนหลังม้า ไม่รู้เรื่องเลี้ยงลูกมากนัก จึงได้แต่พยักหน้าไป
ความกลุ้มใจของฉันอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ อลิเซียเป็นคนปัดเป่ามันไปด้วยคำพูดที่ว่า
“วันนี้ลูกเรียก แม่ ด้วยล่ะ”
ฉันตกใจ เลยขอลองดูบ้าง ปรากฏว่าเขารับรู้ได้ว่าฉันคือพ่อของเขา
ลูกเราเป็นอัจฉริยะจริงๆ ฉันคิดชมลูกแบบนั้น ดูเหมือนว่าไม่ทันไร เราสองคนก็กลายเป็นคนเห่อลูกไปซะแล้ว
พวกเราใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่มีมอนส์เตอร์บุกมาบ้างไปในแต่ละวัน อลิเซียฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงสามารถดูแลลูกตัวคนเดียวได้ดีเยี่ยม
ฉันทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครลาดตระเวนให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ร่วมกับชายอีกหลายคน ส่วนใหญ่จะเด็กกว่าฉัน มีบ้างที่เขาดูถูกฉันและเรียกฉันว่าตาลุงแปลกหน้า ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่ตอนทำงานตั้งใจกัน ฉันก็ยอมมองผ่านเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนั้นไปได้
ฉันได้ยินเรื่องที่ลูกเริ่มพูดได้คล่องขึ้นเรื่อย ๆ กับการเดินที่แข็งแรงดี เรื่องแค่นั้นก็ทำให้ฉันดีใจได้มากแล้ว
พอนึกเปรียบเทียบตัวเองในตอนนี้กับตัวเองสมัยก่อน มันก็กลายเป็นเรื่องตลกขึ้นมาที่ตัวฉันในตอนนี้กลับมีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆขนาดนี้
เช้า ออกลาดตระเวน เที่ยง ทานมื้อเที่ยงกับสมาชิกในหมู่บ้าน ตกบ่าย ซ้อมทักษะการต่อสู้ให้พวกเขาบ้าง ตอนเย็นกลับมาบ้านเพื่อเจอใบหน้าภรรยาและลูกชายอันเป็นที่รัก
ชีวิตประจำวันหลังละทิ้งตำแหน่งในกองอัศวิน ทิ้งชีวิตนักผจญภัยไป ช่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไร้เรื่องราวใดๆให้เล่าขาน
แต่เป็นชีวิตที่สงบ และมีความสุขดี
พอสมาชิกดั้งเดิมของหมู่บ้านเริ่มมั่นใจในทักษะของตัวเองมากขึ้น ฉันก็เริ่มพักได้บ่อยขึ้น หน้าที่ที่ลดลง เวลาที่อาศัยอยู่กับครอบครัวก็พลอยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แม้ไม่มีเรื่องเล่าขานสืบต่อไปอีกหลายร้อยหลายพันปีข้างหน้า แต่ชีวิตแค่นี้ก็มีความสุขบนความสงบที่สุดแล้ว
ทว่า
เช้าวันหนึ่ง เหตุการณ์ของทุกวันผ่านไปเหมือนทุกที
เข้าป่า ลาดตระเวนดูร่องรอยของมอนส์เตอร์ที่เข้ามาในบริเวณชายแดน ช่วงนี้มีพืชผลทางการเกษตรถูกทำลาย ถูกขโมยไปเป็นจำนวนมากผิดปกติ สถานการณ์เช่นนี้เหมือนพวกมันกำลังจะเข้าสู่สถานะจำศีล
อลิเซียเคยกล่าวว่า ก็อบลินเป็นมอนส์เตอร์ที่มักทำแบบนั้น
ออกล่าหาเหยื่อ ขโมยข้าวของ ก่อนจำศีลเพราะหน้าหนาวที่กำลังจะมาเยือน พอพ้นช่วงเวลาที่ลมหนาวพัดผ่าน พวกมันก็จะออกล่าอีกครั้ง
เพียงแต่มีอีกสิ่งที่อลิเซียชี้ว่าผิดปกติ
เพราะตอนนี้ หน้าหนาวที่ว่าได้มาเยือนแล้ว แต่พวกมันก็ยังออกล่า ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ก็อบลินจะทำ
ฉันเชื่อความฉลาดและรอบรู้ของเธอ จึงออกความเห็นในที่ประชุมของหมู่บ้านไปว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องผิดปกติ
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคุณยายแก่ๆ คนหนึ่ง เธอดูไม่มีความน่าเกรงขามแต่เป็นใจดี เวลาเธอยิ้ม ดวงตาของเธอก็จะยิ้มไปด้วย
หลังฟังรายงานทั้งหมดจบ เธอพยักหน้าช้าๆ แสดงความเข้าใจต่อรายงาน ก่อนจะเรียกให้หลานชายของเธอ ซึ่งเป็นคนหนุ่มแน่นกว่าฉันเข้ามาหา บอกว่าให้เดินทางไปหาท่านเจ้าผู้ปกครองเพื่อรายงานสถานการณ์นี้ ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านบอกให้ตั้งเวลาลาดตระเวนเป็นกะ ทำให้แต่ละรอบมีคนทำงานลดลง แต่มีช่วงเวลาพักกันมากขึ้น
แน่นอนว่าฉันเห็นด้วย ไม่ใช่เพียงความปลอดภัยของคนในหมู่บ้าน แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของอลิเซียและชินด้วย
หนึ่งเดือนผ่านไป ลูกชายของฉันใกล้สี่ปีเข้าไปทุกที เขาดูฉลาดสมเป็นลูกของอลิเซีย และดูแข็งแรงสมเป็นลูกของฉัน แต่เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันกลับน้อยลงถนัดตา
ขากลับจากการออกลาดตระเวนช่วงบ่าย ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าดัง กุบ กุบ จากระยะไกล หลายคนในหมู่บ้านหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
เหล่าผู้คนบนหลังม้า สวมชุดเกราะสีขาวสลักลวดลายสีทอง ที่เอวแต่ละคนเหน็บดาบไว้ ไม่ก็แบกหอกมาด้วย
ฉันจำพวกเขาได้ดี กองทหารม้าปราบปราม หน่วยที่ฉันเคยเป็นหัวหน้ามาก่อนจะย้ายไปเป็นหัวหน้ากองพลประจัญบาน
หน้าที่หลักของกองทหารม้าปราบปรามคือจัดการกับมอนส์เตอร์ ทำงานตั้งแต่ตามรอยเท้าพวกมันเพื่อรายงานอาณาจักรไปจนถึงทำลายรังให้สิ้นซากตามคำสั่งของราชอาณาจักร
ส่วนกองพลประจัญบานมีหน้าที่ในการรุกในการศึกสงครามมากกว่า แต่ใช่ว่าจะสู้มอนส์เตอร์ไม่ได้เลย แต่ได้ยินว่าหากไปยุ่งมาก ระบบนักผจญภัยจะเสีย มันเป็นข้อตกลงที่ทางกิลด์ทำไว้อะไรทำนองนั้น
การที่พวกเขาปรากฏตัวที่หมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ แปลว่าทางผู้ปกครองดินแดนมองว่าเป็นปัญหาที่ต้องจัดการ
อลิเซียเคยกล่าวว่า ก็อบลินเป็นมอนส์เตอร์ที่หวงถิ่น มีความโลภ มีความต้องการสืบพันธุ์สูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันไม่ได้แข็งแรงมากนัก ในส่วนนั้นจึงแลกมาด้วยความฉลาดระดับใกล้เคียงกับคน แต่ทั้งนี้มันก็ยังขาดความสามารถในการวางแผนให้ซับซ้อนอยู่ การที่มันเข้ามารุกรานเขตมนุษย์ทั้งๆที่ควรจำศีลอยู่ เป็นไปได้ว่าตอนนี้ถิ่นที่อยู่ของมันกับมนุษย์กับซ้อนทับกัน หรือไม่ก็มีเหตุผลอื่นเป็นเบื้องหลังมากกว่านั้น
ก็อบลิน ไม่ใช่ศัตรูที่คนที่อ้างว่าพอต่อสู้เป็นจะจัดการได้ การจัดการต้องเด็ดขาด
ลูกและภรรยาของฉันรออยู่ที่บ้าน ในฐานะคนเป็นพ่อ ในฐานะผู้นำครอบครัว ฉันต้องปกป้องพวกเขา
มีความเสี่ยงที่ว่าถ้าปลอมตัวไปคุยกับพวกทหารม้าที่เดินทางเข้ามาจะถูกจับได้ทันที ถึงจะแก่ลงไปสักปีสองปี ฉันก็ยังมั่นใจว่าตัวเองดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านคนอื่นพอสมควร
โดยเฉพาะสีผมของฉันที่แตกต่างกับพวกเขา หากเห็นกันตรงๆคงโดนจับได้แน่ว่าเป็นใคร
หากโดนจับได้ การที่พวกเราหนีมาด้วยกันสองคนก็จะสูญเปล่า ดังนั้นจึงควรเลี่ยง
ด้วยเหตุนี้จึงยกหมวกฟางขึ้นมาสวม แล้วหันหลังให้ พยายามเดินหลบฝูงชนที่เดินสวนเพื่อที่จะไปมุงคณะของทหารม้า แต่ว่า…
“เดี๋ยวก่อน”
ฉันถูกหยุดด้วยเสียงอันคุ้นเคย จำเสียงนั่นได้ว่ามันเป็นเสียงของลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มทหารม้าที่เคยสังกัด
แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่เวลาใครสักคนเรียกตัวเองด้วยความต้องการอันแรงกล้า มันมักมีความรู้สึกเช่นนี้
เขาคือ เฟลิซ เวนเดลล์ อดีตเคยเป็นหนึ่งในผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉัน
ถึงแม้จะพยายามคิดว่าเขาไม่ได้เรียกตัวเอง แต่ขาสองข้ากลับก้าวได้ช้าลง
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่า ตัวเองถูกเจอตัวแล้ว
ฉันได้ยินเสียงเขาลงจากม้า ขาที่สวมเกราะโลหะจนถึงเท้าส่งเสียงกระทบกับเกราะบนขาอีกข้าง แกร๊ง แกร๊ง มาแต่ไกล
“หัวหน้า… ใช่ หัวหน้าหรือเปล่าครับ”
เจ้าของเสียงที่เรียกเป็นเสียงเดียวกับที่ทักตอนนี้ ฉันไม่กล้าหันหลังกลับไป หากหันหลัง คงไม่พ้นโดนจับได้
“ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาครับ”
ภายใต้หมวก เหงื่อกำลังไหลพรากๆ
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมองเห็นฉัน แต่ทางเลือกที่มีคือการปกปิดตัวตนต่อไป หากอีกฝ่ายยอมเปลี่ยนใจว่าฉันไม่ใช่อดีตหัวหน้าของพวกเขาก็คงดี
แต่เสียงเกราะโลหะที่มีบางจังหวะกระทบกันเองดัง แกร๊ง แกร๊งๆ นั้นก็เข้าใกล้ฉันเต็มที
ฉันอยากจะวิ่งหนีไปออกจากตรงนี้ เรื่องฝีเท้าในสภาพที่ไม่สวมชุดเกราะ ฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าเร็วกว่าพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาควบม้าตามมาก็อีกเรื่อง แถมหากจะหนีในตอนนี้ก็คงเป็นการทำตัวน่าสงสัย อาจเป็นการยืนยันกลายๆว่าฉันนี่แหละ หัวหน้าของพวกแก
แต่ถ้าปล่อยให้เขาซักถามมากกว่านี้ โดนจับได้แน่
เอายังไงดีนะ?
ตอนที่ฉันกำลังกังวลอยู่นั่นเอง…
“เฟลิซ อย่าไปกวนชาวบ้านสิ”เป็นเสียงของหัวหน้ากองร้อย ชื่อ เอริค อาราน่า ภาพจำต่อเขาตอนสมัยฉันเป็นหัวหน้ากองพันของพวกเขา เขาเป็นคนที่ดุกับลูกน้องมากๆ แต่พอเหล้าเข้าปากกับเป็นคนละคน ลูกน้องจึงชื่นชอบเขาตอนเมามากกว่า
“รับทราบครับ หัวหน้า”
ฉันได้ยินเขาตอบเสียงค่อย เพียงแค่จิตนาการก็เห็นภาพเขาเดินคอตกกลับไปยังม้า
ขอโทษนะ เฟลิซ ฉันรู้สึกผิดนิดๆที่ทำให้เขาโดนดุ และขอบคุณนะ เอริค ช่วยไว้ได้พอดี
โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ฉันรีบออกเดินหนีจากจุดนั้นแล้วกลับบ้านไป
หลายเดือนต่อมา กองทหารม้าปราบปรามแวะเวียนมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้หลายครั้ง พวกเขาตัดสินใจตั้งค่ายเฝ้ายามและลาดตระเวนกันเล็กน้อย และทหารม้าหนุ่มเฟลิซถูกแต่งตั้งให้ทำงานม้าเร็ว คอยส่งเอกสารระหว่างค่ายเฝ้ายามชั่วคราวกับผู้ปกครองดินแดน
และแน่นอนว่า ฉันพยายามเลี่ยงหลบหน้าพวกเขาทุกครั้ง
ในแต่ละวัน ฉันกับพวกคนหนุ่มในหมู่บ้านช่วยกันสังหารก็อบลินที่เข้ามาบุกรุกขโมยพืชผลทางการเกษตรและสังหารปศุสัตว์ของชาวบ้าน บางวันยอดสังหารก็อบลินก็เกินที่นิ้วมือสองข้างจะนับไว้ ยุทโธปกรณ์ที่มันใช้เริ่มพัฒนา จากการปาหินธรรมดา ไม่ก็เอาหินเข้ามาทุบกันตรงๆ เริ่มกลายเป็นไม้ไผ่ที่เหลาจนแหลม กลายเป็นขวานที่คมทำจากหินแล้วมัดด้วยเถาวัลย์ หรือแม้แต่ธนูก็เริ่มปรากฏให้เห็น
โชคดีที่พวกมันไม่ได้ดูเชี่ยวชาญมาก จึงจัดการไม่ได้ยากเย็นนัก แต่พวกคนหนุ่มก็เริ่มบาดเจ็บกันบ้างแล้ว
พอไปปรึกษาภรรยา เธอกล่าวว่า มันเป็นเรื่องแปลกมากที่พวกนี้จะทำอาวุธแบบนั้นขึ้นมา เพราะปกติมันมักเก็บอาวุธจากศพของคนเดินทางในป่ามากกว่าจะทำขึ้นเอง แถมมักใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการเอาธนูมาฟาด เอาหอกมาเป็นที่ค้ำการเดิน ไม่ก็แกว่งดาบมั่วๆ
การที่มันเริ่มใช้อาวุธถูกประเภท อาจเรียกได้ว่ามันเริ่มมีวิวัฒนาการเกิดขึ้น หรือไม่ก็…
“มีมอนส์เตอร์ที่มีภูมิปัญญากว่าก็อบลินกำลังฝึกพวกมัน”
อลิเซียกล่าวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ซึ่งฉันเข้าใจได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
“ถือว่ายังโชคดีนะคะ อาวุธของพวกก็อบลินถือว่าล้าสมัยไปมากเมื่อเทียบกับอาวุธของกองกำลังที่คุณเคยนำ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าเตือนพวกเขาให้ระวังเรื่องการถูกขโมยในยามกลางคืนไว้บ้างก็ดีนะคะ ก็อบลินถึงจะตัวสูงกว่าเด็กนิดเดียว แต่มันดุร้ายและชอบใช้ความรุนแรงมากๆ”
ฉันพยักหน้า สัญญาว่าจะเอาเรื่องนี้ไปเตือนให้เร็วที่สุด
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หลังรับประทานมื้อเที่ยงกับครอบครัวเสร็จ ฉันจึงออกเดินทางไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านเรียกหลานชายของเขาเข้ามาพบ กล่าวกับเขาว่าให้เอาข้อมูลของฉันไปบอกกองทหารที่เข้ามาให้เร็วที่สุด
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ เขาดูไม่ค่อยพอใจที่ฉันเข้ามาแล้วกลายเป็นจุดเด่นเท่าไหร่นัก แต่พอเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดของหมู่บ้านกลับทำตามแต่โดยดี บางทีเขาอาจจะมองฉันเป็นคนนอกอยู่ก็ได้
พอเหลือแค่ฉันกับยายหัวหน้าหมู่บ้าน เธอก็ลืมตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนที่กำลังหมดแรงแม้จะทำเพียงลืมตายังไม่ไหว เธอยิ้มให้ฉันและสอบถามฉันถึงสารทุกข์สุขดิบในช่วงนี้
“สบายดีครับ ทุกคนดูให้การตอบรับดี”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เธอตอบเสียงเฉื่อย ไม่รู้ว่ารู้ว่าฉันเพิ่งโกหกไปหรือไม่ แต่หลังจากนั้นฉันรายงานสิ่งที่อลิเซียพูดให้ฟังทุกประการ และขอตัวออกจากที่พักของหัวหน้าหมู่บ้านหลังรายการเสร็จ
วันนี้ไม่มีกะลาดตระเวนรอบเย็นถึงค่ำของฉัน จึงอาศัยช่วงเวลานี้กลับไปฝึกกับอาวุธที่ไม่ได้ใช้มานานเสียหน่อย
พอกลับมาถึงบ้าน อลิเซียบอกให้ฉันเบาเสียงลงน้อย ดูเหมือนลูกชายของพวกเรา, ชิน จะยังหลับอยู่
ฉันอธิบายเรื่องคร่าวๆให้เธอฟังทั้งหมด เธอยังคงหวาดหวั่นกับทั้งเรื่องกองกำลังทหารม้าที่เข้ามาและการเคลื่อนไหวของก็อบลินที่ผิดปกติ
“ฉันจะปกป้องเธอและลูกเอง”
ฉันยิ้มและให้คำมั่นสัญญา จูบหน้าผากของภรรยาแสนน่ารักของตัวเองไปครั้งหนึ่ง เธอทุบอกผมเบาๆด้วยสีหน้าที่แดงไปจนถึงใบหู
“แล้วจะกลับไปฝึกหอกกับดาบเหรอคะ”
ขณะที่ผมกำลังเหลาไม้ให้กลายเป็นแท่งกระบองยาวๆ เธอก็เข้ามาถาม ในมือถือท่อนไม้จำนวนมาด้วย
“อืม อย่างน้อยก็ขอคืนทรงสักเล็กน้อย”
อย่างไรก็ตาม ผมก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยประจัญบาน แค่ก็อบลินไม่กี่ตัวไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่หากเป็นฝูงก็อบลิน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย
ไม่ว่ายังไง มนุษย์หนึ่งคน หากไม่ใช่ผู้มาจากต่างโลก อย่าว่าแต่หลักร้อยเลย หากขึ้นเลขมากพอที่จะนับด้วยนิ้วสองมือและสองเท้าไม่ไหว ก็ถือว่าลำบากต่อการรับมือแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงขอใช้เวลาว่างในการฝึกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และเรื่องสำคัญที่ฉันต้องบอกอลิเซียเอาไว้ก่อนคือ
“สมมุติ แค่สมมุติว่าทางพวกเราตัดสินใจจะบุกทำลายรังพวกก็อบลินเมื่อไหร่ ฝากเธอกับลูกย้ายไปกระโจมอพยพด้วยนะ”
“ฉันเป็นนักวิชาการควบตำแหน่งผู้ร่ายคาถานะคะ ฉันช่วยสนับสนุนพวกคุณได้นะ”
“ไม่ได้… ถ้าเกิดพวกผมพลาดขึ้นมา ต้องมีคนที่หนีรอดไปให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องพาลูกของเราหนีไปให้ได้”
อลิเซียดูไม่เห็นด้วยมากนัก ฉันเข้าใจความไม่พอใจและความกังวลของเธอได้ แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้เธอเข้าไปในสนามรบได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าชาวบ้านหลายคนจะเป็นคนดีและสนิทสนมกับพวกเรามากแค่ไหน แต่ฉันก็เคยเห็นสภาพของหมู่บ้านที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันหนีเมื่อถูกฝูงมอนส์เตอร์จู่โจมมาแล้ว มีแม้แต่คนดีที่สามารถผลักให้เพื่อนข้างบ้านไปเป็นเหยื่อล่อมอนส์เตอร์เพื่อถ่วงเวลาให้ตนหนีไปได้ด้วยซ้ำ
ในวันนั้น กล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เรามีเรื่องเถียงกันเป็นจริงเป็นจัง
แต่ฉันมั่นใจว่าเธอเข้าใจเหตุผลดี การที่เธอไม่โต้แย้ง บางทีอาจหมายความว่าเธอเองก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยในด้านเหตุผล แต่ด้านอารมณ์ของเธอกำลังคัดค้านเต็มพิกัด
ขอโทษนะ อลิเซีย…
ผมกล่าวในใจ และตั้งใจว่าหลังจบศึกนี้ ผมจะมาขอโทษเธอด้วยคำพูดเองอีกที
MANGA DISCUSSION