ที่โรงแรมหรูกลางเมืองอควาเดีย ผม – ชิน อยู่ภายในห้องกับอีกสองคนคือลูน่าและอาร์เจนตา
พวกเราทั้งสามคนกำลังนั่งหารือเป็นรอบเกินนับได้ เพื่อหาเหตุผลที่ไลล่ากลายเป็นกลุ่มคนสวมเสื้อฮู้ดและบุกเข้ามาในงานได้
เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะเริ่มต้นที่ลูน่าเห็นว่าไลล่าหายไปตอนที่ตนไปเข้าห้องน้ำ คิดว่าคงหนีออกไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ตนเองเลยวิ่งตามหา จนบังเอิญไปพบกับอาร์เจนตาจึงแจ้งเรื่องนี้กับเธอ อาร์เจนตาที่มีความคล่องตัวมากกว่าจึงหาหลายที่ที่คาดว่าน่าจะพบ จนสุดท้าย
“ก็เลยไปเจอที่งานเลี้ยงสินะครับ”
ผมทวนปากคำจากลูน่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจทราบได้ เนื้อหาส่วนใหญ่ตรงกันเกือบหมด มีเพียงบางคำที่ลดหายไป ซึ่งไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเหตุการณ์ ณ คืนนั้นมากนัก
ส่วนคำของอาร์เจนตา สาเหตุที่เธอไปทันท่วงทีก็เพราะ คิดว่าหากโดนควบคุมไปก็คงจะไปโจมตีสถานที่ที่มีคนรวมกันเยอะๆมากกว่า
“พอจะคาดการณ์สาเหตุได้หรือเปล่าครับ”
ส่วนสาเหตุนั้น ผมถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม เป้าหมายไม่ใช่การสังหารวิเวียนหรือสังหารใครทั้งนั้น อาร์เจนตากล่าวว่าเพื่อปั่นป่วนการก่อตั้งพันธมิตรสำหรับการขยายดินแดนของมนุษย์ที่กำลังก่อตัว
ในมุมมองหนึ่ง มันเป็นเรื่องดีสำหรับมนุษย์ แต่การออกไปสำรวจโลกอาจก่อผลร้ายบางอย่างกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จึงไม่แน่ว่ามีบางกลุ่มที่มองการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นภัยร้ายสำหรับพวกตนและจ้องหาทางทำลาย
เพียงแต่ วิธีการควบคุมมนุษย์แบบนี้ จะมีสักกี่คนที่ทำได้
ในสายตาผม นอกจากนอกรีตแล้วยังดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก ผมไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าตนเองรู้เรื่องทั้งหมดของต่างโลกนี้ แต่ดูจากสีหน้าและท่าทางที่เป็นกังวลของทั้งลูน่าและอาร์เจนตาแล้ว คงไม่ผิดจากที่ผมคาดคิดนัก
“กลับมาแล้วจ้า~”
คนที่กลับมาคือวิเวียน เธอหอบข้าวเที่ยงมาให้พวกเราหลังจากออกไปเยี่ยมไลล่าในคุก
“ไลล่าเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านวิเวียน”
“ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แถมยังดูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อด้วย…”
วิเวียนกล่าวด้วยท่าทีห่อเหี่ยวพลางถอนหายใจ
ส่วนไลล่า ตอนผมไปเยี่ยมเธอกับวิเวียนก็ได้ข้อสรุปประมาณว่า เพราะตนเกือบทำให้วิเวียนตกในข้อหาเดียวกัน จึงรู้สึกว่าตนเองควรแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่ทำให้เดือดร้อนขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม วิเวียนยืนกรานว่าจะช่วยไลล่าให้ได้ และพวกเราก็เห็นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นผมที่ทำหน้าที่เป็นคนสืบสวนเฉพาะกิจ จึงเป็นคนตั้งหน่วยสืบสวนกันอยู่แบบนี้
“ไลล่าได้พูดอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ”
ทว่าคำตอบของวิเวียนคือการส่ายหน้าช้าๆ พวกผมกลับไปมืดแปดด้านกันอีกครั้ง
คนที่มีข้อมูลมากที่สุดก็คือ อาร์เจนตาที่ได้มีโอกาสสำรวจพื้นที่ในเมืองมากกว่าใครและมีโอกาสได้สัมผัสในเรื่องที่ผมไม่ได้ทำคือ เธอได้ ฟัน บางสิ่งบางอย่างที่ลักษณะเหมือนเส้นด้าย
เพียงแค่มองไม่เห็น อาร์เจนตาเองก็ลงมือฟันไปโดยที่ไม่รู้ว่ามีด้ายควบคุมจริงๆหรือเปล่า แต่ลางสังหรณ์บอกให้ฟัน เธอจึงลงมือฟันก็เท่านั้น
หากเอาทั้งหมดมารวมๆกัน คงคิดได้ว่าทั้งสองคน รวมชายชื่อบิลไปด้วยก็แปลว่าพวกเขาโดนควบคุมอยู่ แต่จากใครและเป้าหมายของคนที่ทำเช่นนั้นคืออะไร ต้องหาคำตอบกันหลังจากนี้
รวมถึง จะมีใครที่สามารถควบคุมได้ขนาดนี้หรือไม่
ขั้นตอนหลังจากนี้คือการเดินสอบถามสิ่งแปลกประหลาดในวงกว้าง เป็นงานที่ต้องลงแรงแต่เราก็ไม่มีทางเลือกเหลืออีกแล้ว
อีกสี่วัน การพิพากษาจะเริ่มต้นขึ้น วิเวียนจะต้องขึ้นศาลเพื่อให้การ แม้เธอจะพอช่วยได้แต่คำพูดของเธอคงไม่มีน้ำหนักมากพอจะค้านกับผู้เสียหายรายอื่น ๆ
“ท่านลูกค้า มีคนขอเข้าพบค่ะ หากท่านไม่ยินดีที่จะต้อนรับดิฉันจะขอให้พวกเขากลับไป แต่หากท่านยินดีต้อนรับ ดิฉันจะแจ้งให้พวกเขารอที่โถงรับแขกค่ะ”
เสียงแสดงความเป็นมิตรอันไม่คาดคิดของพนักงานโรงแรมดังขึ้นจากอีกฟากของประตู
พวกเราสี่คนมองหน้ากัน ผมคิดว่าเราต่างมีความเห็นเหมือนกันนั่นก็คือ
“รบกวนบอกให้เขารอพวกเราที่ชั้นล่างด้วยค่ะ”
คนที่หันไปให้คำตอบกับพนักงานสาวที่อยู่อีกฟากคือวิเวียน ก่อนที่เราจะเปลี่ยนพื้นที่พูดคุยไปยังโถงต้อนรับลูกค้าที่ชั้นหนึ่ง เว้นแต่ลูน่าที่ไม่ได้ลงไป ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ขอฉันทบทวนอะไรสักหน่อยนะ”
ณ ชั้นหนึ่ง โซนโถงรับแขก กลิ่นหอมจากของประดับตกแต่งจำพวกเครื่องหอมลอยโชยไปมาบนอากาศในรูปร่างของควันจางๆ
ที่เก้าอี้หวายสีเหลือง สุดสายตาของพวกเรา ผมเห็นชายผมสีฟ้ากำลังนั่งหันหลังให้ แม้จะจำได้ในทันทีว่าเขาคือใคร แต่ตัวตนของเขา ณ ตอนนี้กลับดูชราภาพลงจากเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างไรชอบกล
ผมจะเดินเข้าไปหาตั้งใจจะทักทาย แต่วิเวียนกลับรั้งไหล่ผมเอาไว้ สายตาที่ส่งมาบอกว่าให้เป็นหน้าที่ของเธอเอง
“สวัสดีค่ะ คุณเฮนริค”
ไหล่ของคนถูกเรียกชื่อสะดุ้ง วิเวียนเดินอาดๆเข้าหา ขณะที่ผมกับอาร์เจนตาเดินตามหลังเหมือนเป็นลูกน้องขององค์ราชินีผู้งดงาม
“วิเวียน…”
เฮนริคค่อยๆหันหน้ามามอง ดวงตาของเขาคล้ำจนเหมือนเป็นรอยหลุมลึกลงไปในดวงตา เส้นผมสีฟ้าบัดนี้แซมด้วยสีขาวบางส่วน
ไม่ใช่ภาพของพ่อค้าผู้ร่ำรวย แต่เป็นชายคนหนึ่งที่ตกในสภาวะความเครียดมาตลอดเวลาสามวัน
ทั้งที่เมื่อสี่วันก่อน เขายังคงดูมีความสุข วิเวียนยังอวยพรให้ครอบครัวของเขาได้รับลูกที่แข็งแรงแท้ๆ
จนตอนนี้ คำพูดที่เขาใช้เรียกวิเวียนก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหลือท่าทีซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อตัวตนของอีกฝ่ายในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว บางทีนี่คงเป็นใจจริงของเขาที่มองศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการค้าเท่านั้น
”ตลอดสามวันที่ผ่านมาคุณคงเหนื่อยจนแทบไม่ได้พัก หากไม่ว่าอะไร ให้ดิฉันช่วยใช้ [ฮีล] เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าสักหน่อยดีหรือเปล่าคะ”
วิเวียนเอ่ยถาม ขณะนั่งลงบนเก้าอี้หวายฝั่งตรงข้าม ส่วนผมกับอาร์เจนตาขยับไปยืนด้านหลังเธอเหมือนบอดี้การ์ด
“ไม่ต้อง… ถ้าจะ [ฮีล] ได้ ช่วยดูแลภรรยาของผมที”
“คุณไอลินยังปลอดภัยดี ไลล่าช่วยดูแลอยู่ค่ะ ไม่ต้องกังวล”
นั่นถือเป็นข่าวสารใหม่ที่ผมเพิ่งได้รับ เฮนริคเองก็คงไม่รู้มาก่อนจึงเงยหน้าขึ้นมามองวิเวียนนิดหน่อยก่อนจะกลับไปนั่งก้มหน้าเหมือนเดิม
“ผมมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ…”
แล้วแฮนริคก็เล่าให้ฟังว่าตนพยายามคิดหาคำตอบทุกอย่างแล้วว่าทำไมทั้งไอลิน ไลล่า บิล และคนไม่รู้จักอีกสองคนที่เป็นผู้บุกรุกซึ่งถูกวิเวียนจัดการไปอย่างง่ายดายนั้นถึงลุกขึ้นมาทำเรื่องแบบนั้น
อันที่จริง ผมคิดทางออกขึ้นมาได้หลายทาง แต่คงไม่ใช่หนทางที่ดีและแก้ไขปัญหาอื่นไม่ได้อีกด้วย
อย่างเช่น หากเอาความผิดทั้งหมดให้เฮนริคเป็นคนแบกรับในข้อหาสะกดจิตเพื่อใช้งาน ทุกคนก็จะพ้นข้อกล่าวหาอย่างง่ายดาย แต่ตัวการที่แท้จริงก็จะยังคงหลบอยู่ในเงาเช่นนั้น และจะก่อเหตุร้ายอีกครั้งที่ไหน เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้
หนทางของเราจึงมีเพียงการกระชาก มัน ออกมาจากเงาเท่านั้น
“ขอร้อง… ขอร้องล่ะ”
เสียงสั่นเครือของชายตรงหน้าทำให้ผมไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้ แต่วิเวียนเองก็ไวพอที่จะยกมือขึ้นมาห้ามผม
“เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ คุณเฮนริค”
“ช่วยไอลินด้วย”
ไม่รู้ว่าเสียงของวิเวียนส่งไปถึงเขาหรือไม่ แต่ดวงตาที่อดกลั้นต่ออารมณ์ที่กำลังเอ่อล้นไม่ไหวได้ขับของเหลวสีใสปริมาณมากออกมา
เสียงพึมพำของเขายังพึมพำออกมาไม่หยุด
“ไม่ว่าจะด้วยอะไร…”
หากคำพูดและการแสดงออกของเขาเป็นจริง บางทีเราอาจจะได้เบาะแสบางอย่างเพิ่มเติม
เย็นวันนั้น พวกผมได้รับประทานมื้อเย็นกับเฮนริค โดยมีลูน่าแสร้งว่าตามมาที่หลัง เฮนริคที่สติไม่อยู่ครบย่อมไม่มีทางรู้ตัวว่าลูน่าไม่ได้เดินเข้ามาแต่เดินลงมาจากชั้นบน
ในห้องอาหารของโรงแรม มีเพียงพวกเราห้าคน ก่อนจะเพิ่มเป็นเจ็ดคนเมื่อผู้เสียหายอีกคนปรากฏตัว
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ เอเวอร์ไลท์ทุกท่าน และท่านประธานสมาคมการค้า เฮนริค ลูเมนฮอฟ”
องค์ราชินีมิร่ากล่าวทักทายพร้อมกับจีบกระโปรงย่อตัวลงด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ข้างกายเธอมีร่างกำยำของ เจอร์แมน ไอโรลันซ์ยืนเคียงข้าง
หากวัดกันตามในฐานะ พวกผมคงไม่สามารถเทียบชนชั้นด้านยศถาบรรดาศักดิ์กับเธอได้ อีกทั้งเธอควรเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่ฟากผู้เสียหาย การที่เธอปรากฏตัวบนโต๊ะหารือตัวนี้นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับผม
“แหม ชินดูสงสัยพวกเราจังเลยนะ คุณวิเวียนยังไม่ได้อธิบายหรอกเหรอจ๊ะ”
หมายความว่าอะไรนะ ผมคิดพลางหันไปมองวิเวียนที่บังเอิญสบตากันพอดี
“ขอโทษที่แจ้งช้า แต่ว่ามิร่าจะเข้ามาร่วมการประชุมกับพวกเราด้วยน่ะ”
แล้วองค์ราชินีมิร่าก็ดึงเก้าอี้ นั่งลงข้างผม กลิ่นหอมจากเธอเป็นคนละรูปแบบกับวิเวียนหรืออาร์เจนตา หากกล่าวเปรียบเทียบ วิเวียนคงเหมือนน้ำหอนแต่กลิ่นของเธอกลับเหมือนของหวานที่หลอกล่อ และเพราะเธอนั่งลงที่ฝั่งซ้ายผมจึงถูกประกบด้วยทั้งวิเวียนและองค์ราชินี
อาร์เจนตาที่นั่งลงฝั่งตรงกันข้ามหรี่ตาลงจ้องเขม่นใส่มิร่าเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี อาจเพราะเกรงใจเจอร์แมนที่นั่งลงข้างเธอ
ตอนนี้โต๊ะสองตัวที่ผมยกเอามาต่อกัน ฝั่งซ้ายเป็นเฮนริค ลูน่า อาร์เจนตา และ เจอร์แมนตามลำดับ
ส่วนด้านตรงกันข้ามเป็น วิเวียน ผม และองค์ราชินีมิร่า
การประชุมของเราทั้งเจ็ดเริ่มต้นขึ้นด้วยการวางตำแหน่งบนโต๊ะอันแสนประหลาด เหตุผลที่ทำไมองค์ราชินีถึงมานั่งกับผม ยังไม่มีคำตอบในเวลานี้และผมก็ไม่คิดว่าเราจะมีเวลาให้เสียไปกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้นัก
“เอาล่ะครับ ผมคิดว่าเราเริ่มทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกชุดซอมซ่อบุกเข้ามากันดีกว่า”
ทุกคนไม่พูดอะไร ผมถือว่าอาการตอบรับเช่นนั้นคือการเห็นด้วย จึงเริ่มสอบถามที่อาร์เจนต้า
“ดิฉันรู้สึกเหมือนฟันอะไรสักอย่าง หยุ่นๆเหมือนเส้นด้ายที่แข็งแรงค่ะ”
ผมไม่แน่ใจว่าเส้นด้ายที่แข็งแรงมันเป็นอย่างไร แต่เธอคงอยากจะยืนยันว่าทั้งหมดตกอยู่ในทักษะประเภทหุ่นเชิดของใครสักคน ส่วนเจอร์แมนกับวิเวียนไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเพราะน็อคอีกฝ่ายโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้น
ประการต่อมา หากเราใช้ความคิดของอาร์เจนตาเป็นที่ตั้ง เท่ากับว่ามีศัตรูที่รู้การเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะงานเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ไม่ใช่งานเล็กๆ ประธานผู้จัดงานคือสมาคมการค้าที่มีเฮนริคเป็นประธานสูงสุด
ดังนั้นจึงเกิดสองคำถาม
“ศัตรูคือใคร ทุกคนมีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้างเหรอครับ”
ผมมองทุกคนบนโต๊ะ ว่ากันว่าหากสบตาแล้วจะเข้าใจอีกฝ่ายได้มากขึ้น ทว่า…
คนแรกที่ยกมือขึ้นมาคือ เจอร์แมน
“ข้าไม่เข้าใจ อะไรคือไอเดียหรือ?”
“ฉันด้วยจ้ะ”
แขกทั้งสองจากแอนโดรเมียนต่างยกมือ ดูเหมือนว่าถึงแม้จะมีผู้กล้าเป็นตัวเป็นตัวภายในเมือง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันบ่อย หรือไม่ก็ผู้กล้าคนนั้นคงเป็นมนุษย์จากศตวรรษก่อนที่คำในยุคผมยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
“เอ่อ หมายถึง ความคิดน่ะครับ ทุกคนมีความคิดเห็นกันยังไงบ้างเหรอครับ”
ผมไม่ได้รังเกียจการอธิบายมากนัก แต่จะให้สาธยายยืดยาวกว่านี้คงไม่เข้าท่ากับเวลาที่น้อยลงเรื่อยๆจึงสรุปให้แบบกระชับ
ด้านวิเวียนกับอาร์เจนตาเสนอในหัวข้อเดียวกันคือ มีใครบางคนที่อยากขัดขวางการชุมนุมกันของผู้นำเผ่ามนุษย์มากกว่าจะเป็นการลอบสังหาร
“หรือที่ต้องการจะสื่อความหมายก็คือ มีพวกไม่พอใจที่มนุษย์กำลังก้าวไปข้างหน้างั้นรึ?”
กล่าวโดยสรุปคงเป็นไปตามที่เจอร์แมนบอก หากให้เทียบกับในประวัติศาสตร์โลกก่อน ตอนนี้คงเหมือนช่วงเวลาที่เหล่าประเทศมหาอำนาจคิดริเริ่มเดินทางเพื่อแสวงหาแผ่นดินใหม่ๆเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง
ผมไม่สามารถกล่าวได้แน่ชัดว่าการออกเดินทางโดยมี แอนโดรเมียน ช่วยเหลือจะมีคล้ายคลึงกับพวกเจ้าอาณานิคมมากแค่ไหน แต่ถ้าหากจะมีเผ่าพันธุ์สักเผ่าที่มองว่าการเดินมากเช่นนี้เต็มไปด้วยภัยต่อตนเองก็คงไม่แปลกนัก
ทว่า เราก็ยังคงไม่รู้ว่าเผ่าไหน
หากอ้างอิงตามอานิเมะที่เคยดู ไม่ว่าใครก็คงใช้พลังที่คล้ายกับการเชิดหุ่นได้ทั้งนั้น
เงื่อนไขคืออะไร ทำจากจุดไหน ผมลองร่างภาพทั้งหมดในหัว
หรือว่า…
จากข้างบน? ไม่สิ ถ้าเป็นตรงนั้น อาร์เจนตาก็น่าจะเห็น
จากข้างหลัง ภายในงาน แต่นั่นก็หมายความว่าคนก่อเหตุคือเผ่ามนุษย์ หากเป็นเช่นนั้น บุคคลคนนั้นมีสาเหตุอะไร
ไม่สิ ต่อให้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ก็ใช่ว่าจะมีเหตุผลเป็นเรื่องไม่พอใจท่าทีของคนในงานเลี้ยง บางทีอาจจะมีเหตุผลเบื้องหลังอื่น เล็กๆน้อยๆ มีความเป็นไปได้ถมเถ
ผลการพูดคุยกันจึงไม่ได้มีความคืบหน้าไปกว่านี้ คนที่ลากลับไปคนแรกคือเฮนริค ส่วนเจอร์แมนและองค์ราชินีมิร่าอยู่คุยกับวิเวียนอีกนิดหน่อย เป็นการถามไถ่เรื่องอาการบาดเจ็บ รวมถึงสถานการณ์ของแต่ละฝ่ายในตอนนี้
“ชินตัวจริง ค่อนข้างแตกต่างจากที่คุณวิเวียนเล่าในจดหมายนะคะ”
“แค่ตัวอักษรคงบ่งบอกตัวตนของเขาได้ไม่ครบ ถึงอยากให้มิร่ามาเจอตัวจริงไง”
ท่าทางสนิทสนมทำให้ผมมั่นใจเต็มร้อยว่าทั้งสองรู้จักกันมาก่อนในระดับที่ความสัมพันธ์นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับยศถาบรรดาศักดิ์ แต่สงสัยจังว่าทำไมผมถึงกลายเป็นประเด็นของการสนทนาไปได้
เอาเถอะ
ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วหันไปคุยกับอาร์เจนตาในเรื่องที่ผมยังสงสัย
“คุณอาร์เจนตา ผมมีเรื่องอยากสอบถาม ช่วยตอบตามตรงได้หรือเปล่าครับ”
เธอเอียงคอมองผมคล้ายกับสงสัยว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร หรือตัวเองมีเรื่องที่ปิดบังอะไรเอาไว้
ในตอนนั้นเอง ลูน่าก็เข้ามาสมทบ
“คุณอาร์เจนตา ฉันคิดว่าพ่อ… หมายถึงเฮนริค แปลกไป”
“ดิฉันคิดว่าคนในครอบครัวถูกจับเช่นนั้น หากไม่เครียดจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติกว่าหรือเปล่าคะ”
ทว่าลูน่าส่ายหน้าช้าๆ เป็นการปฏิเสธอว่าเรื่องที่เธอต้องการจะพูดถึงกับสิ่งที่อาร์เจนตาพูดออกมานั้น เป็นคนละเรื่องกัน
“ฉันคิดว่า เขาปิดบังบางอย่างเอาไว้”
ผมเองก็คิดคล้ายกัน ถึงจะไม่รู้จักเฮนริคมาก่อน แต่การที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรก็ผิดปกติเกินไป
“ลูน่ากับท่านชิน สงสัยเขาเหรอคะ?”
“เปล่าครับ แต่เขาปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้แน่”
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมตั้งใจจะคุยกับคุณอาร์เจนตาตั้งแต่แรก
สิ่งที่ผมอยากถามจริงๆก็คือ
“คุณอาร์เจนตา ช่วยเล่าเรื่องตอนไปสำรวจให้ผมฟังอีกครั้งได้หรือเปล่าครับ”
…
รุ่งเช้ามาเยือน ภายในเรือนจำที่คุมขังนักโทษทั้งสี่รายเต็มไปด้วยความเงียบ
ข้างกายของไอลิน มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน เนื่องจากมีแขกมาขอพบ
มือสองข้างถูกจำกัดอิสระด้วยแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่ทำหน้าที่แทนกุญแจมือ ท่อนล่างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ด้านหน้ามีชายกำยำในชุดเครื่องแบบเดินนำ
ร่างกายของหญิงสาวที่หน้าท้องนูนชัดเจนนั้น ถูกพาเข้าไปนั่งห้องแคบ ถูกบังคับนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกสีขุ่นที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่มองไม่เห็นอีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะ แม่”
“เอรี่เหรอลูก…”
“อื้อ หนูเอง”
พอได้ยินเสียงลูกสาวดังมาจากอีกฝั่ง ฝ่ามือที่วางบนกระจกก็กำแน่น
หากเป็นไปได้ ก็อยากพังสิ่งกีดขวางอันแสนน่ารำคาญพวกนี้ทิ้ง ปลดพันธนาการทั้งหมดออก หนีหายจากโลกนี้ไปเพียงสองคนกับลูกสาว ใช้ชีวิตเงียบๆ แสนสงบอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครรู้
ทว่าเธอเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้
เธอไม่มีสติสักนิดเดียว
ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวเองก็ถูกจับสอบปากคำอย่างเข้มงวดโดยเจ้าหน้าที่ผู้หญิง และได้รับฟังโทษของตนเองว่า มันคือการรอวันประหารอย่างไร้ความหวังเท่านั้น
ครั้งแรกที่ได้ยิน น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาด ร้องไห้จนเหลือเพียงแต่เสียง ร้องไห้จนเหลือเพียงคราบน้ำตา เรี่ยวแรงกำลังวังชาที่มีหายไปแทบจะหมดสิ้น
พอตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้อีกครั้ง ร้องไห้ให้กับความสิ้นหวังที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เห็นไม่ไกลตา
“ได้ทานอะไรหรือยังลูก…”
“อื้อ พ่อหาให้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ แม่”
เสียงสดใสที่เคยได้ยินของลูกสาวคนเดียวของตน บัดนี้ก็ยังดูห่างไกล
ได้ยินจากเพื่อนร่วมห้องขังที่ชื่อไลล่าว่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันพิพากษา และหลังจากนั้นก็คือการรอคอยวันสำเร็จโทษ
อยากบอกให้เธอไม่ต้องมาหาอีก แต่ถึงกระนั้นหัวใจกลับโหยหาลูกสาวมากกว่าใคร
“แล้วเจอกันนะคะ แม่”
“อื้อ แล้วเจอกันนะ…”
สุดท้ายก็โกหกคำโตออกไป และเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริง พรุ่งนี้จะต้องตื่นมาอีกครั้ง รอคอยให้ลูกสาวหรือสามีมาเยี่ยมอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร”
เธอกล่าวกับตัวเองเช่นนั้น ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งเข้าไปในกรงขัง เสียงประตูเหล็กที่ปิดดังปังและเพื่อนร่วมห้องขังที่เดินออกไปเพราะแขกมาเยี่ยมเช่นเดียวกัน เธอก็ยังคงพึมพำถ้อยคำเช่นนั้นต่อไป
หลังจากตอนนี้เป็นต้นไป ผมจะลงตอนใหม่ทุกวันพุธ และ เสาร์(ไม่ก็อาทิตย์) นะครับบบ
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามนะครับ ╰(*°▽°*)╯
MANGA DISCUSSION