พวกผมพาร่างไร้สติของไลล่ากลับมายังโรงแรมอันเป็นที่พักของเรา วิเวียนที่รออยู่เมื่อเห็นไลล่ากลับมาในสภาพสะบักสะบอมก็รีบกุลีกุจอเตรียมเตียงให้ไลล่า
ชุดฮู้ดซอมซ่อ เธอได้มาจากไหนนะ ผมสอบถามทั้งอาร์เจนตาและวิเวียน ทั้งสองคนต่างตอบไปในทางเดียวกันว่า ไลล่าไม่มีรสนิยมใส่ชุดแบบนี้
แถมข้างในยังเป็นร่างเปลือย ผมไม่ได้เห็นก็จริงแต่เสียงของอาร์เจนตาที่ดังออกมาจากหลังประตูดูตกใจไม่น้อย วิเวียนเองก็เหมือนจะทำเสียงตรวจสอบว่าโดนทำร้ายร่างกายตรงไหนหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าการตรวจคร่าวๆของวิเวียนจะสามารถยืนยันได้ว่าไลล่าปลอดภัยดี ไม่มีอาการบาดเจ็บตรงไหนมาก แต่ยังมีจุดที่น่าสงสัยว่าเธอไปเจออะไรมากันแน่
หลังตรวจสอบอาการทั้งหมดเสร็จ วิเวียนก็ออกมานอกห้อง
“ฉันถามอาร์เจนตาไปแล้วทีนึง แต่อยากถามความคิดเห็นของเธอด้วย ชิน”
และหลังจากนั้นก็เป็นการซักถามระยะยาว ผมตอบตามตรง ไม่ว่าจะเป็นอาการของไลล่าตอนที่พวกเราพบเจอ สถานที่พบ สภาพชุด ท่าทางการเดินไปจนถึงสิ่งที่น่าสงสัย
“เฮนริค เหมือนเขาพูดถึงทางเดินน้ำใต้เมืองนี้ด้วยครับ”
“ถ้าเป็นตามอนิเมะคงมีองค์กรลึกลับแฝงตัวในนั้นสินะ”
ผมอยากบอกวิเวียนอยู่หรอกว่า แค่เราอยู่ในต่างโลกก็เหมือนเรื่องราวในอนิเมะเต็มทีแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจังของหญิงสาวผมก็เก็บคำพูดโต้ตอบที่ผุดมาเหมือนระบบตอบสนองอัตโนมัติลงไป
ที่สำคัญ ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับไลล่า
มีอะไรที่น่าสงสัยอีกมั้ยนะ…
ระหว่างกำลังคิดทวนเหตุการณ์อีกครั้ง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองกับเฮนริคได้ทำข้อตกลงกันไว้หนึ่งอย่าง
“จริงสิ คุณวิเวียน ผมอาจจะไปก่อเรื่องเข้าแล้วก็ได้”
“หืม เรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
สีหน้าที่ตึงเครียดดูผ่อนคลายลง อาจด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่เสริมแทรกเข้ามาช่วยปรับบรรยากาศระหว่างเรา เธอเริ่มยิ้มอย่างสนใจ ผมกระแอมไอเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับบรรยากาศของเธอก่อนจะกล่าวถึงข้อตกลงที่ตนให้ไว้กับเฮนริค
“พรุ่งนี้ ผมคงต้องไปงานเลี้ยงต้อนรับกับคุณซะแล้วล่ะ”
“ก็ไปสิ”
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่อยากให้ผมไปหรอกเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เดิมทีเธอน่าจะวางตำแหน่งผู้ติดตามเป็นไลล่า ไม่ก็อาร์เจนตามากกว่า หากผมไป ไม่ใช่แค่จะตกเป็นตาเดินตาหนึ่งในกระดานหมากของเฮนริค แต่คงกลายเป็นข้อสงสัยจนถึงข้อครหาของใครหลายคนเลย
เพราะอย่างไรก็ตาม บ้านเอเวอร์ไลท์ ก็ดูเหมือนจะไม่เคยมีเพศชายเข้ามาอาศัยอยู่ในระยะยาวเท่าผมมาก่อน การที่ผมไปปรากฏตัวข้างเคียงวิเวียนจึงคงดูเป็นเรื่องประหลาดเหมือนปลาทูน่าที่ไปอยู่บนต้นสน
ในตอนมื้อเย็นของเมื่อวาน ผมยังพอเข้าใจได้ว่าวิเวียนต้องการให้ผมเป็นตัวดึงดูดความสนใจของเฮนริค แต่หากไปในงานใหญ่ระดับนั้น มันจะไม่แย่เอาหรอกเหรอ…
ผมเอง ในฐานะผู้อยู่อาศัยก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้วิเวียนเหมือนกัน
“ชิน กลัวเหรอ?”
ดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองเข้ามาใกล้ทำให้ผมขยับถอยหลังหนี เห็นแบบนั้นเธอก็ยิ้มอย่างซุกซนออกมา ก่อนจะยืนนิ้วมาดันหน้าผากผมเบาๆ
“ไม่เห็นต้องกลัวเลย ฉันอยู่ด้วยทั้งคน”
รอยยิ้มประกอบความมั่นใจไม่ได้ช่วยให้ผมโล่งใจขึ้น กลับกัน มันทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด ในอกรู้สึกอึดอัดมากขึ้นด้วยซ้ำ
“ถอยออกไปหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นจะแย่เอานะ”
“พรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้ อะไรเหรอครับ?”
พรุ่งนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ? ผมรู้แค่ว่าตัวเองต้องไปงานเลี้ยงใหญ่ด้วยกันกับวิเวียน เนื้อหามากกว่านั้นผมไม่รู้แล้ว
แต่พอเห็นเธอหัวเราะ หึๆ แล้วยื่นมือมาแตะไหล่ ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้หู ผมก็ได้ยินเธอกล่าวเสียงกระซิบว่า
“ถ้าพรุ่งนี้ คนเห็นเราทำแบบนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วสินะ”
“เอ…”
ในทางคำพูดก็คงใช่ หากมีคนเห็นผมเดินไปกับวิเวียนหลังจากที่ผมถูกเปิดตัวในงานเลี้ยงแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาอะไรตามมา แต่หากพูดในเชิงปฏิบัติ คนที่มองมาคงตั้งคำถามกับระยะที่ใกล้ชิดกันเกินไประหว่างเราสองคน
ทั้งที่วิเวียนเองก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมมากไปกว่าผู้ชายที่อายุน้อยกว่าที่มาจากโลกใบเดียวกัน และผมเองก็อาจจะแค่มองเธอเป็นคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดในต่างโลกนี้
แน่นอนว่าไม่ใช่ความลับที่เปิดเป็นวงกว้าง มีเพียงบ้านเอเวอร์ไลท์บางคนเท่านั้นที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์เช่นนี้ ดังนั้นหากจะถูกมองว่าแปลก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ก่อนจะใช้คำว่าช่วยไม่ได้แบบพร่ำเพรื่อ ก็ต้องพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นก่อนนั่นแหละที่เหมาะสมกว่า…
ทว่าท่าทางของวิเวียนช่างตรงกันข้ามกับความกังวลของผมเสียเหลือเกิน
มือของเธอยันกำแพงที่หลังของผมไม่สามารถถอยไปได้มากกว่านี้
ด้วยส่วนสูงที่น่าจะต่างกันเกินหนึ่งไม้บรรทัด ทำให้ผมต้องเงยหน้าและเธอต้องก้มหน้าลงมามอง เกิดเป็นภาพเหมือนกำลังถูกทำคาเบะด้ง เตรียมถูกสารภาพรักไม่ก็กำลังโดนหาเรื่องด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า
ผมกำลังหน้าแดงอยู่ ไม่ผิดแน่ แต่อย่างไรก็ต้องรีบเตือนสติ เพื่อทั้งวิเวียนและตัวผมเอง
“เอ่อ ถอยไปหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวมีคนขึ้นมาเห็นจะไม่แย่เอาเหรอครับ”
“หืม~ เป็นห่วงกันด้วยเหรอ”
“อ เอ่อ ก็ใช่ครับ แล้วก็เป็นห่วงตัวเองด้วย”
ต่อหน้ารอยยิ้มเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด ผมไม่สามารถรับมือได้เลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นผมก็เลือกที่จะไม่โกหกต่อเธอและตอบออกไปตามความเป็นจริง
เห็นเธอกลั้นหัวเราะ จนส่งเสียงดัง ฮุฮุ ออกมาหลายที ผมสไลด์ตัวนี้จากช่องว่างระหว่างแขนและกำแพง ไปยืนไม่ห่างจากตัวเธอมากนัก
“เอ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมชักอยากทำใจให้สงบลงกว่านี้
วิเวียนหันมา แล้วยิ้มให้
“ขอบคุณนะ”
เอ เรื่องอะไรกันนะ
ก่อนที่ผมจะได้ถามสิ่งที่ผมสงสัย วิเวียนที่คงอ่านสีหน้าของผมออกก็ชิงพูดต่อขึ้นมาก่อน
“ขอบคุณที่ตามหาไลล่าจนเจอนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ…”
ตั้งใจจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่ตามตัวเจอก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยสิ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่”
ผมก็พูดออกไปตามตรง อย่างไรก็ตามหนึ่งปีที่ผ่านมา ถึงผมจะได้คุยกับเธอในจำนวนที่ใช้นิ้วมือครั้งเดียวยังสามารถนับครั้งได้ แต่อย่างน้อยภายใต้ชายคาเดียวกัน ชื่อห้อยท้ายนามสกุลที่เหมือนกัน เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน
เช่นเดียวกับโทริสและอลิเซีย ถึงแม้เราจะอยู่ด้วยกันไม่นาน และผมไม่ได้รู้สึกมีสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับครอบครัวในโลกก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองคนก็คือพ่อและแม่ของผม
“อื้อ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้น…”
วิเวียนเดินเข้ามาหา ผมลนลานถอยหลังหนี หากมากกว่านี้อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้
“ถ้าเธอมีปัญหาอะไรในใจก็บอกกับพวกเราได้ทุกเมื่อนะ ชิน”
ก่อนจะเข้าไปในห้อง ร่างกายของผมโดนดึงเข้าไปหา เสน่ห์ที่น่าดึงดูดทำให้ผมไม่อาจขัดขืนอะไรได้ ท่อนแขนยาวของเธอยื่นมาหาตัวผมที่หยุดยืนนิ่ง
กลิ่นหอมที่ไม่ใช่แค่เส้นผม แต่รวมไปถึงทุกอย่างตั้งแต่ร่างกายยันเสื้อผ้ากำลังทำลาย – ไม่สิ บอกให้ผมอยู่เฉยๆ
ร่างกายของเด็กถูกยกขึ้น รู้สึกได้ถึงขาที่ไม่แตะพื้น
ใบหน้าสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มจากเนินเขาอันโดดเด่น กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ฟุ้งกระจายในห้วงความคิด แขนขาของผมถูกทำให้สิ้นเรี่ยวแรงจากท่อนแขนที่กอดรัดผมเอาไว้
ทำไมจู่ๆถึงกอดกันนะ
อย่างน้อยสติสัมปชัญญะของผมก็ยังอยู่ครบ ตอนนี้จึงพยายามออกแรงขัดขืน แต่กลับเหมือนผึ้งที่ตกลงไปในกับดักของต้นหม้อข้าวหม้อแกง
ยิ่งดิ้น ยิ่งไม่รอด ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ กับดักที่จับผมเอาไว้ยิ่งออกแรงแสดงความเหนือกว่าออกมา
“ปล่อยเถอะครับ ถ้ามีคนมาเห็นคงโดนเอาไปนินทาแน่ๆเลยนะครับ”
พยายามใช้เหตุผลเข้าว่าเผื่อเธอจะดึงสติมาได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะร่างกายของผมยังคงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมที่ไม่จางหายไปไหน สุดท้ายแล้ว ผมก็กลายเป็นผึ้งตัวนั้น หมดเรี่ยวแรงและหนทางจะขัดขืนต่อต้นหม้อข้าวหมอแกงโดยสิ้นเชิง
ในความรู้สึกของผม เหมือนเวลามันผ่านไปนานแสนนาน ทว่าในความจริงมันแค่ไม่กี่วินาที
อ้อมกอดถูกคลายออก ผมเดินเซไปชนเข้ากับกำแพง สายตาที่ประสานกันชั่วคราวทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี
“ผม ขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อน ชิน”
ผมที่เอื้อมมือไปเปิดประตูห้อง ถูกหญิงสาวเรียกเอาไว้
ว่าจะไม่หันไปมองมากกว่านี้ แต่ความสงสัยกลับเป็นฝ่ายมีชัยเหนือความตั้งใจ ผมหันไปมองหญิงสาวผู้เรียกผมเอาไว้
ตรงหน้าผม เธอยืนส่งยิ้มอ่อนโยน เท้าขยับเข้าหาผมที่หมดทางหนีอีกครั้งเล็กน้อย
มากกว่านี้ ท่าจะแย่ ทั้งต่อด้านเหตุผลและด้านอารมณ์
หากเธอเข้ามาใกล้กว่านี้ ผมตั้งใจว่าจะเปิดประตูแล้วเข้าไปหลบในห้อง
แต่แผนทั้งหมดที่วางเอาไว้กลับไปไม่ได้สวยนัก เมื่อเธอขยับเข้ามาใกล้ กลับเป็นตัวผมที่ขยับไปไหนไม่ได้ราวกับต้องมนตร์สะกด
เธอค้อมตัวลงมาหาเล็กน้อย เอ่ยถ้อยคำกระซิบ
“ฝันดีนะ”
“อ อื้ม ฝันดีครับ”
รู้สึกได้เลยว่าตัวเองพูดตะกุกตะกัก และสาเหตุนั้นก็มาจากข้างในที่สูบฉีดเต็มที่
ระยะห่างเพียงแค่นี้ ผมยังได้กลิ่นหอมของเธออยู่เลย
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ค ครับ”
ผมเขินอะไรของผมกันนะ ตัวเองได้แต่กลับมานั่งคิดหลังวิเวียนจากไปและเข้ามาในห้องแล้ว
ผมไปอาบน้ำ ภาพที่ติดในหัวก็ยังคงเป็นวิเวียนไม่กี่นาทีก่อนหน้า กลิ่นของแชมพูเองก็ทำให้หวนนึกถึงกลิ่นที่ผมรู้สึกได้จากตัววิเวียน
“คิดอะไรของเขากันนะ…”
ไม่เชิงว่าหงุดหงิด แต่ใจมันกำลังตั้งคำถามว่าเธอคิดเช่นไรกับผมกันแน่ แต่หลายครั้งที่ผมมองดวงตาของเธอ เหมือนเห็นความคิดถึงบางอย่างก่อตัวขึ้น ถึงจะไม่มั่นใจนักว่าเธอมองเห็นผมแล้วคิดถึงใคร แต่มั่นใจแน่ๆว่า ผมอาจเป็นตัวแทนของใครสักคน
บางทีอาจจะเพื่อนในโลกก่อนของเธอ บางทีอาจเป็นคนสนิท หรือไม่ก็ญาติที่เธอเอ็นดูเป็นพิเศษ ถ้าเป็นคนแบบวิเวียน และกาลเวลาไม่ได้ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไป ผมคิดว่าเธอคงมีคนที่ตัวเองห่วงใยอยู่สักคนสองคนก็ไม่แปลกอะไร
แต่ผมคงไม่ใช่คนนั้น คนที่สะท้อนในดวงตาของเธอบางทีอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้
หลังแต่งตัวเสร็จ ผมขึ้นเตียง หลังจากทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ทั้งวัน ก็แอบคิดว่าคงหลับยากไม่ใช่น้อย
โชคดีที่คิดผิด คืนนั้นผมโดนความเหนื่อยล้าประสานกับเสียงสายฝนที่โปรยลงมาเล่นงานเข้าอย่างจัง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ผมหลับเป็นตาย
…
“ชิน”
ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังเรียก เป็นเสียงที่ไม่สามารถแยกออกได้ว่าอยู่ในโลกความฝันหรือโลกแหง่ความจริง บอกได้เพียงเป็นเสียงของผู้หญิง
“ชิน”
ไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่เหมือนบางอย่างนั้นกำลังเรียกผมให้ตื่นขึ้นมา
แต่ตัวเลือกของผมคือจะการนอนหลับต่อไปทั้งแบบนั้น
เปาะ แปะ…
เสียงหยดน้ำเริ่มดังขึ้น แม้จะไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาดูแต่ความเย็นในอากาศเพิ่มขึ้น อุณหภูมิภายในห้องกำลังลดลง
บางทีฝนคงกำลังเริ่มตก
ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมง แยกไม่ออกว่าในความฝันหรือไม่ แต่อากาศดีๆแบบนี้ ผมปล่อยตัวปล่อยใจซึมซับความสบายไปทั้งแบบนั้น
จึงไม่ได้รู้ตัวเลยว่า มีบางสิ่งบางอย่างกำลังร้องเตือน
“ชิน ระวัง”
ไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นหูนั้น แต่กลับแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร
ไม่ได้สนใจ แม้ว่านั่นจะเป็นคำเตือนที่ควรจำเอาไว้ก็ตาม
MANGA DISCUSSION